หูฟังไร้สาย – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Fri, 26 Mar 2021 04:34:21 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : Huawei FreeBuds 4i หูฟัง ANC คุณภาพดี ราคาเข้าถึงได้ https://cyberbiz.mgronline.com/review-huawei-freebuds-4i/ Fri, 26 Mar 2021 04:34:17 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35011

การที่ หัวเว่ย (Huawei) หันมาโฟกัสกับธุรกิจ IoT โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เป็นอุปกรณ์สวมใส่ (Wearable) มากยิ่งขึ้น จุดประสงค์หลักเพื่อมาอุดช่องว่างของรายได้ที่หายไปจากการที่ไม่สามารถทำตลาดสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ได้เหมือนในช่วงก่อนหน้านี้

เมื่อเป็นเช่นนั้น ทำให้ หัวเว่ย ยิ่งต้องพัฒนา และนำสินค้าที่มีคุณภาพเข้ามาเจาะกลุ่มผู้ใช้งานสมาร์ทโฟน ซึ่งไม่ใช่แค่ Android แต่รวมถึงผู้ใช้งาน iOS ที่กำลังมองหาหูฟังไร้สาย ราคาเข้าถึงได้ พร้อมประสิทธิภาพในการตัดเสียงรบกวน

Huawei FreeBuds 4i ถือเป็นรุ่นที่ต่อยอดจากปีก่อนหน้า ด้วยการปรับดีไซน์ให้เหมาะกับการใช้งานมากขึ้น เพิ่มคุณภาพเสียง และการตัดเสียงรบกวน รองรับการใช้งานในชีวิตประจำวันด้วย Awareness Mode รับเสียงรอบข้างขณะใส่ใช้งาน ในราคา 2,799 บาท

ข้อดี

  • หูฟังไร้สาย ตัดเสียงรบกวนคุณภาพดี
  • ดูสถานะ และปรับโหมดใช้งานผ่านแอป AI Life ได้
  • ราคา 2,799 บาท

ข้อสังเกต

  • กันน้ำ IPX4 แต่ไม่แนะนำให้โดนน้ำ
  • ตัวหูฟังขนาดค่อนข้างใหญ่ อาจไม่เหมาะกับคนที่หูเล็ก

ปรับดีไซน์ให้สวยงามขึ้น

หนึ่งในจุดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดเจนตั้งแต่แกะกล่องออกมาคือเคสของ FreeBuds 4i ที่ได้แรงบันดาลใจจากหินบนหาดทราย จนทำให้ออกมาเป็นเคสลักษณะกลม ช่วยให้หยิบจับ พกพาได้ง่ายขึ้น เมื่อเทียบกับรุ่นเดิมที่เป็นสีเหลี่ยม

ตัวเคสจะมีขนาด 48 x  61.8 x 27.5 มิลลิเมตร น้ำหนัก 36.5 กรัม วางจำหน่ายด้วยกันทั้งหมด 3 สี คือ แดง ขาว (Ceramic White) และ ดำ (Carbon Black) ภายในของ FreeBuds 4i ให้แบตเตอรีหูฟังข้างละ 55 mAh และในเคสชาร์จอีก 215 mAh 

รอบๆ ตัวเคสจะมีอยู่ 4 ส่วนหลักๆ คือบริเวณฝาเปิดเคส ถัดลงมาเป็นโลโก้ HUAWEI อยู่ตรงกึ่งกลาง มีไฟแสดงสถานะอยู่ข้างล่าง โดยจะบอกสถานะการเชื่อมต่อ แบตเตอรี ด้วยไฟสีต่างๆ อย่างเขียว ส้ม และขาว

การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ ที่ไม่ใช่สมาร์ทโฟนหัวเว่ย สามารถทำได้ด้วยการกดปุ่มที่ด้านข้างเคสค้างไว้ เพื่อเข้าสู่โหมด Pairing ซึ่งไฟจะเป็นสีขาวกระพริบ หลังจากทำการเชื่อมต่อก็สามารถใช้งานได้ทันที

ด้านล่างเคสจะเป็นพอร์ต USB-C สำหรับเสียบสายชาร์จ โดยภายในกล่องจะมีสาย USB Type A – USB-C มาให้ใช้งาน พร้อมกับจุกหูฟังขนาดใหญ่ และเล็กอีกอย่างละคู่ให้ปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม

ในส่วนของหูฟังไร้สาย จะมากับดีไซน์ยอดนิยม โดยเป็นหูฟังแบบ In-Ears ที่สามารถถอดเปลี่ยนจุกยางได้ ถัดเข้ามาเป็นส่วนขับเสียงที่ภายในมีไดรเวอร์ขนาด 10 มม. อยู่ช่วยให้เสียงที่มีคุณภาพเหมาะสมกับระดับราคาที่จ่ายไป

บริเวณก้านหูฟัง รองรับการสัมผัสสั่งงาน โดยสามารถแตะค้างเพื่อสลับโหมดตัดเสียงรบกวน และเปิดรับเสียงจากภายนอกได้ และยังสามารถใช้การแตะ 2 ครั้ง เพื่อเล่นเพลงหยุดเพลงได้

ใช้ง่าย ตัดเสียงดี

จุดเด่นของ FreeBuds 4i หลักๆ นอกจากการปรับดีไซน์ ให้สวมใส่ได้สบายขึ้น จากน้ำหนักของหูฟังข้างละประมาณ 5.5 กรัม ก็คือเรื่องของระบบตัดเสียงรบกวน (Active Noise Cancellation) ที่สามารถปรับโหมดการใช้งานด้วยการสัมผัสที่ก้านค้างไว้

เมื่อทดสอบใส่ใช้งาน ด้วยสัมผัสของจุกยางที่นุ่ม และเป็นแบบ In-Ears เมื่อเลือกสวมใส่ในขนาดที่เหมาะสมจะป้องกันเสียงรบกวนจากรอบข้างในระดับหนึ่งอยู่แล้ว เมื่อเปิดใช้งาน ANC เสียงรบกวนรอบข้างที่เป็น Noise ก็จะหายไป ช่วยให้ใช้สมาธิได้เต็มที่มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาที่เปิดระบบ ANC แต่ยังไม่ได้เปิดเพลงฟัง จะให้ความรู้สึกเหมือนกำลังดำน้ำอยู่ แต่พอเปิดเพลงก็จะหายไป ทั้งนี้ระบบตัดเสียงรบกวนของ FreeBuds 4i ก็ถือว่าอยู่ในระดับมาตรฐานเท่านั้น ไม่ได้ตัดเสียงรอบข้างหายไปทั้งหมด

ในกรณีที่ต้องมีการสนทนา หรืออยากเปิดรับฟังเสียงจากรอบข้าง FreeBuds 4i ยังมาพร้อมกับ Awareness Mode ให้แตะเพื่อสลับโหมดได้ทันที ทำให้จากเดิมต้องคอยถอดหูฟัง เพื่อฟังเสียงสนทนา ก็ใช้การแตะค้าง ช่วยให้ใช้งานได้ต่อเนื่อง

เทคโนโลยีที่มาช่วยให้ FreeBuds 4i สามารถตัดเสียงรบกวน และรับฟังเสียงจากรอบข้างได้ มาจากการนำ Dual-mic มาใช้ พร้อมดีไซน์แบบ Slit-duct ที่ช่วยลดเสียงรบกวนจากภายนอกเป็นพิเศษ รวมถึงการนำ Beamforming มาทำงานร่วมกับ AI ช่วยให้การสนทนาทำได้อย่างชัดเจน

อีกจุดที่ควรระมัดระวังคือในเรื่องของการกันน้ำกันฝุ่น แม้ว่าตัวเครื่องจะมีมาตรฐานกันน้ำ IPX4 แต่จากข้อมูลจากเว็บไซต์ของ หัวเว่ย ระบุชัดเจนว่า FreeBuds 4i ไม่ใช่อุปกรณ์กันน้ำโดยเฉพาะ ทำให้ไม่สามารถกันน้ำได้ ในกรณีที่โดนละอองน้ำให้รีบเช็ดออกทันที และไม่แนะนำให้ใช้งานระหว่างมือเปียกด้วย ดังนั้นถ้าใครที่ใช้ใส่ออกกำลังกายอาจจะต้องระมัดระวังเพิ่มเติมด้วย  

สำหรับแบตเตอรี หัวเว่ย ระบุว่า FreeBuds 4i สามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง 10 ชั่วโมงต่อการชาร์จ 1 ครั้ง เมื่อแบตหมด สามารถเสียบชาร์จ 10 นาทีกับเคสเพื่อใช้งานต่อเนื่องได้ 4 ชั่วโมง เมื่อรวมระยะเวลาชาร์จกับเคสจะใช้งานได้ทั้งหมด 22 ชั่วโมง

แน่นอนว่า ในการใช้งาน 10 ชั่วโมงนั้นจะเป็นการเล่นเพลงในโหมดปกติ ไม่ได้เปิดใช้งาน ANC ซึ่งถ้าเปิดใช้งาน ANC ต่อเนื่อง ระยะเวลาการใช้งานก็จะลดลงไปอีก เช่นเดียวกับการใช้โทรศัพท์ที่จะใช้พลังงานมากขึ้น

นอกจากนี้ ด้วยการที่ FreeBuds 4i ใช้การเชื่อมต่อผ่านบลูทูธ 5.2 ทำให้สามารถสลับการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ 2 ชนิด ได้สะดวกขึ้น ไม่ต้องคอยยกเลิกการเชื่อมต่อเครื่องเดิม แล้วไปเชื่อมต่อที่เครื่องใหม่ แต่ถ้าเป็นเครื่องที่ 3 ขึ้นไปต้องทำการ Disconnect เครื่องเดิมที่ใช้ก่อน

สำหรับผู้ใช้งานใน Android แนะนำให้ดาวน์โหลดแอป AI Life จากใน App Gallery มาใช้งานแทน เพราะจะเป็นเวอร์ชันที่ใหม่กว่าที่อยู่บน PlayStore โดยในช่วงที่ทดสอบ AI Life บน PlayStore ยังไม่รองรับการเชื่อมต่อกับ FreeBuds 4i

สรุป

ใครที่กำลังมองหาหูฟังไร้สายแบบ True Wireless ที่มาพร้อมระบบตัดเสียงรบกวน ANC มาใช้งาน เชื่อว่า Huawei FreeBuds 4i จะเป็นตัวเลือกในกลุ่มเริ่มต้นได้ไม่ยาก เพราะด้วยเทคโนโลยีที่นำเสนอมา เมื่อเทียบกับราคา 2,799 บาทแล้วถือว่าคุ้มค่าอย่างแน่นอน

แต่ถ้าใครที่ไม่ได้มีงบประมาณจำกัด แล้วอยากได้หูฟังไร้สายที่ซื้อครั้งเดียวใช้งานยาวๆ คุณภาพเสียงที่ครบและดีกว่า อาจจะต้องขยับขึ้นไปมองหาหูฟังไร้สายในกลุ่มระดับราคาเกิน 5,000 บาทขึ้นไป ซึ่งปัจจุบันเริ่มมีตัวเลือกมากขึ้นในตลาดแล้ว

Gallery

]]>
Review : Sennheiser CX 400BT True Wireless หูฟังไร้สายคุณภาพเสียงดี สวมใส่สบาย https://cyberbiz.mgronline.com/review-sennheiser-cx-400bt-true-wireless/ Sun, 13 Sep 2020 08:37:06 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=33567

จากความสำเร็จของหูฟังไร้สายอย่าง Sennheiser Momentum True Wireless 2 ที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากเรื่องคุณภาพเสียง และการตัดเสียงรบกวน จนทำให้กลายเป็นหนึ่งในหูฟังไร้สายรุ่นที่น่าสนใจในตลาด เพียงแต่ว่าด้วยระดับราคาที่ค่อนข้างสูงเกินหมื่นบาท ทำให้หลายคนอาจจะตัดสินใจได้ยาก

ด้วยเหตุนี้ Sennheiser จึงออกหูฟังไร้สายที่มีราคาเข้าถึงง่ายขึ้นอย่าง Sennheiser CX 400BT True Wireless ออกมา ด้วยการดึงจุดเด่นเรื่องไดรเวอร์เสียงรุ่นเดียวกับ MTW2 มาใช้งาน ทำให้ได้คุณภาพเสียงที่ไม่แตกต่างกัน แต่ก็มีการตัดฟีเจอร์บางอย่างออกไป เพื่อให้ทำราคาได้ดีขึ้น

นอกจากเรื่องคุณภาพเสียงแล้ว CX 400BT True Wireless ยังมากับรูปแบบการควบคุมที่ใช้งานง่าย สวมใส่สบาย และสามารถใช้งานต่อได้เนื่องถึง 7 ชั่วโมง ไม่นับเคสชาร์จที่รวมแล้วใช้ได้ถึง 20 ชั่วโมง โดยเปิดราคามาที่ 7,990 บาท ปรับราคาลงเหลือ 6,990 บาท

ข้อดี

  • หูไร้ฟังสายคุณภาพเสียงดี
  • สวมใส่สบาย
  • แบตเตอรีใช้ได้ต่อเนื่อง 7 ชั่วโมง

ข้อสังเกต

  • ไม่มีระบบตัดเสียงรบกวน (ANC)
  • ใส่ใช้งานข้างเดียวได้เฉพาะด้านขวา
  • ไม่สามารถสลับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ แบบอัตโนมัติ

เสียงดี ราคาเข้าถึงง่ายขึ้น

ในตลาดหูฟังไร้สายแบบ True Wireless นั้นถือว่ามีการแข่งขันกันสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมาหลังจากที่สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่หลายๆ รุ่นมีการตัดพอร์ตการเชื่อมต่อหูฟัง 3.5 มม. ออกไป ทำให้ผู้ที่ต้องการใช้งานหูฟังต้องหาอุปกรณ์เสริมมาใช้งาน

ประกอบกับการที่เทคโนโลยีสมัยใหม่ช่วยให้ผู้ผลิตสามารถพัฒนาหูฟังไร้สายมาใช้งานกันในแบบที่มีคุณภาพเสียงดีขึ้น โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลักคือระดับเริ่มต้นที่เน้นราคาถูกเข้าถึงได้ง่ายในระดับราคาไม่กี่พันบาท ตามมาด้วยกลุ่มหลักที่ได้รับความนิยมคือ AirPods ในระดับราคาต่ำกว่าหมื่นบาท จนถึงรุ่นที่เน้นเรื่องคุณภาพเสียงในราคาเกิน 10,000 บาท

โดยที่ผ่านมา Sennheiser มี MTW2 มาจับผู้ใช้งานในกลุ่มที่ต้องการคุณภาพเสียงดี พร้อมระบบตัดเสียงรบกวนแล้วในกลุ่มราคาสูงกว่า 10,000 บาท และยังมีช่องว่างให้สามารถสอดแทรกเข้ามาในตลาดที่ต้องการคุณภาพเสียงที่ดีในระดับราคาที่เข้าถึงได้มากยิ่งขึ้น

จนทำให้เกิดเป็นรุ่น CX 400BT ออกมาเพื่อแข่งขันกับหลายๆ รุ่นที่ได้รับความนิยมในตลาดตอนนี้ ด้วยการนำไดรเวอร์ไดนามิก 7 มม. รุ่นเดียวกับที่ใช้งานใน Momentum True Wireless 2 มาใช้ ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ถึงเสียงที่ได้ทั้งทุ้มลึก กลางธรรมชาติ และให้รายละเอียดเสียงแหลมที่ชัดเจน

ความน่าสนใจของ CX 400BT ยังมีในเรื่องของการนำ Audio Codec ซึ่งรองรับทั้ง SBC, AAC และ aptX ทำให้สามารถใช้งานได้กับทั้งสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ และ iPhone ทำให้สามารถดึงประสิทธิภาพของหูฟังออกมาได้หมดไม่ว่าจะใช้กับสมาร์ทโฟนใดก็ตาม

ถัดมา ยังมีเรื่องของแบตเตอรี ที่ CX 400BT สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องสูงถึง 7 ชั่วโมง ต่อการใช้งาน 1 ครั้ง และถ้ารวมกับแบตเตอรีที่อยู่เคสก็จะใช้งานได้นานถึง 20 ชั่วโมง โดยใช้เวลาชาร์จ 10 นาที สำหรับการใช้งานต่อเนื่อง 1 ชั่วโมง และใช้เวลา 1.5 ชั่วโมงเพื่อชาร์จจนเต็มทั้งหูฟัง และเคสชาร์จ

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นรุ่นที่รองลงมาจาก MTW2 ทำให้มีการตัดฟีเจอร์บางส่วนออกไป อย่างการตัดเสียงรบกวนของหูฟัง หรือ Active Noise Cancelling (ANC) ทำให้รุ่นนี้ ไม่ได้โดดเด่นในเรื่องของการตัดเสียงรบกวน แต่ด้วยการที่ปกติแล้วหูฟังแบบ In-Ears จะช่วยตัดเสียงภายนอกอยู่แล้ว ก็ถือว่าชดเชยไปบางส่วนได้

กับอีกส่วนคือคือเรื่องของไมโครโฟนสนทนา แม้ว่าทาง Sennheiser จะมีการใส่ไมโครโฟนที่ตัดเสียงรบกวนมา แต่ด้วยข้อจำกัดของรูปทรงทำให้ยังรับเสียงพูดได้ไม่ดีเท่าที่ควร เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมเปิดที่มีเสียงจากภายนอกอย่างนั่งรถไฟฟ้า ปลายสายยังได้ยินเสียงบอกสถานีปลายทางชัดเจน

ดีไซน์ และการใช้งาน

สำหรับ Sennheiser CX 400BT True Wireless นั้น ตัวเคสชาร์จจะอยู่ที่ 59 x 33.8 x 42.3 มิลลิเมตร น้ำหนักรวม 49 กรัม ซึ่งจะเห็นว่าตัวเคสนั้นค่อนข้างหนา แต่ก็ยังอยู่ในขนาดที่สามารถใส่กระเป๋าพกพาไปได้

ที่ตัวเคสด้านบนจะมีสัญลักษณ์ของ Sennheiser อยู่ ส่วนด้านหลังจะมีช่องเสียบสายชาร์จ USB-C และปุ่มสำหรับกดเพื่อเช็กสถานะแบตเตอรี โดยถ้ามีไปสีเขียวขึ้นแปลว่าชาร์จเต็มแล้ว ถ้าสีเหลืองแปลว่ามีแบตเตอรีอยู่ราว 50% และถ้าสีส้มคือแบตใกล้หมดแล้ว

เมื่อเปิดฝาขึ้นมาจะเห็นหูฟัง CX 400BT เสียบชาร์จกับขั้วชาร์จที่เป็นแม่เหล็กอยู่ ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าจะหลุดเวลาหยิบออกมาใช้งาน เพราะแม่เหล็กที่ใช้งานพลังดูดสูงมาก

ในส่วนของหูฟัง CX 400BT นั้นถูกออกแบบมาในลักษณะของ Minimalist และให้ความสำคัญกับการสวมใส่สบาย ตามหลัก Ergonomic ดังนั้นเวลาหยิบขึ้นมา วิธีใส่ที่ถูกต้องคือเมื่อใส่จุก In Ears เข้าไปในรูหูแล้วให้บิดหูฟังมาข้างหน้าเล็กน้อย จะทำให้รู้สึกฟิตพอดีกับหู

นอกจากนี้ เนื่องจากขนาดรูหูของแต่ละคนไม่เท่ากัน Sennheiser จึงได้เพิ่มจุกยางมาให้เลือกรวมแล้ว 4 ขนาด ไล่ตั้งแต่ XS S M และ โดยขนาดที่ใส่มากับหูฟังจะเป็น M ถ้าลองใส่แล้วแน่นเกินไปก็สามารถเปลี่ยนขนาดได้ทันที ส่วนอุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องเพิ่มเติมก็จะมีคู่มือการใช้งาน และสายชาร์จแบบ USB-C 

ตามคำแนะนำของ Sennheiser คือเมื่อใช้งานครั้งแรก แนะนำให้เชื่อมต่อเข้ากับแอปพลิเคชัน Smart Control ด้วยการใส่หูฟังทั้ง 2 ข้างเข้าไป แตะทั้ง 2 ข้างค้างไว้เพื่อเข้าสู่โหมดเชื่อมต่อ (Pairing) หลังจากนั้นเลือก CX 400BT TW ในลิสต์ของอุปกรณ์บลูทูธ ก็จะพร้อมใช้งานได้ทันที

โดยภายในแอป Smart Control ผู้ใช้สามารถเข้าไปตั้งค่าหูฟังเพิ่มเติม อย่างการตั้งปุ่มลัด แยกทั้งซ้ายขวา อย่างการเล่นเพลง หยุดเพลง เรียกใช้งานผู้ช่วยส่วนตัว แตะ 2 ครั้ง – 3 ครั้งเพื่อเปลี่ยนเพลง และแตะค้างเพื่อเพิ่ม หรือลดเสียง หรือถ้าไม่ต้องการใช้งานระบบควบคุมก็สามารถกดปิดการสัมผัสได้

สำหรับผู้ที่ชื่นชอบในการปรับแต่ง Equalizer ก็สามารถเข้าไปปรับแต่งใน Smart Control ได้เช่นกัน โดยสามารถเลือกปรับเพิ่มลดเสียงเบส เสียงกลาง และความใสของเสียงสูง ได้ทั้งหลักของคลื่นเสียง และปุ่มปรับตามปกติ

ทั้งนี้ ในการใส่ Sennheiser CX 400BT True Wireless ใช้งาน ในกรณีที่ต้องการใช้หูฟังเพียงข้างเดียว จะใช้ได้เฉพาะข้างขวาเท่านั้น เพราะเป็นหูฟังข้างหลักที่ Sennheiser มีการเพิ่มตัวรับสัญญาณเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน ในขณะที่ข้างซ้ายจะมีเฉพาะตัวส่งสัญญาณไปยังข้างขวาเท่านั้น

ทาง Sennheiser ให้เหตุผลว่า เนื่องมาจากการออกแบบที่ต้องการให้หูฟังเชื่อมต่อได้สเถียรมากที่สุด ลดสัญญาณรบกวนต่างๆ ทำให้เลือกใช้การเชื่อมต่อระหว่างหูฟังซ้ายขวา แล้วค่อยส่งสัญญาณมาที่สมาร์ทโฟน หรืออุปกรณ์ที่เชื่อมต่อแทน

กับอีกจุดที่ Sennheiser ยังไม่ได้ปรับปรุงขึ้นมาจากรุ่นก่อนหน้าอย่าง MTW2 คือเรื่องของการสลับอุปกรณ์ที่ใช้งาน ผู้ใช้จำเป็นต้องยกเลิกการเชื่อมต่อ (Disconnect) จากอุปกรณ์เดิมก่อน ถึงจะสลับไปอุปกรณ์ใหม่ได้ แม้จะเคยเชื่อมต่ออุปกรณ์มาก่อนแล้วก็ตาม

ทำให้ผู้ที่ต้องสลับใช้งานระหว่างสมาร์ทโฟน 2 เครื่อง หรือบางทีต้องการใช้งานร่วมกับโน้ตบุ๊ก ก็ต้องยกเลิกการเชื่อมต่อที่สมาร์ทโฟนก่อน ในขณะที่คู่แข่งรายหลักอย่าง Apple AirPods นั้นไม่มีปัญหาดังกล่าวแต่อย่างใด

สรุป

Sennheiser CX 400BT True Wireless ออกมาเป็นตัวเลือกให้ผู้ที่ชื่นชอบหูฟัง True Wireless คุณภาพเสียงดี ของทาง Sennheiser เข้าถึงได้ง่ายขึ้น เมื่อดูในส่วนของระดับราคาเปิดตัวที่ 7,990 6,990 บาท มีให้เลือกทั้งสีขาว และสีดำ

แต่ในขณะเดียวกันก็ตัดบางฟีเจอร์ออกไปจากรุ่นพี่อย่าง Momentum True Wireless 2 ทั้งระบบตัดเสียงรบกวน ANC ฟีเจอร์รับฟังเสียงจากรอบข้าง ระบบหยุดเล่นอัตโนมัติ และมาตรฐานกันน้ำอย่าง IP4 ซึ่งถ้าใครมองว่าฟีเจอร์เหล่านี้ไม่ได้ใช้งาน การเลือกเป็น CX 400BT ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ

Gallery

]]>
Review : Samsung Galaxy Buds Live หูฟังไร้สายดีไซน์แหวกแนว https://cyberbiz.mgronline.com/review-samsung-galaxy-buds-live/ Wed, 19 Aug 2020 05:45:14 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=33454

ในช่วงที่ผ่านมาตลาดหูฟังไร้สายส่วนใหญ่จะถูกจำกัดอยู่ในลักษณะการออกแบบที่มาในแนวทางเดียวกันคือ ไม่เหมือน AirPods ที่มีก้านยาวลงมา กับลักษณะของหูฟังบลูทูธที่มาพร้อมที่เกี่ยวหู ก็จะเป็นลักษณะของจุกหูฟังทั่วไปที่ใส่เข้ามาในหู

ทำให้การเปิดตัว Galaxy Buds Live ที่ Samsung เปิดตัวมาพร้อมกับ Galaxy Note20 นั้น ได้ออกมาพลิกโฉมรูปแบบของหูฟังไร้สายในตลาด ด้วยรูปทรงแบบใหม่ ภายใต้แนวคิด Ergonomic ที่เข้ากับหูของคนส่วนใหญ่ได้อย่างพอดี

แน่นอนว่า ภาพแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของผู้ที่ได้สัมผัสทุกคนคือ Buds Live จะมีดีไซน์เหมือนถั่ว จนทำให้เรียกผิดเป็น Galaxy Beans และทุกคนก็เข้าใจว่าคือ Buds Live ด้วยการที่มีดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ชัดเจน

จุดเด่นของ Galaxy Buds Live นั้นถือว่าตอบโจทย์การเป็นหูฟังไร้สายได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งเรื่องของการสวมใส่ที่สบาย ระยะเวลาการใช้งานบนแบตเตอรี ฟีเจอร์การสั่งงาน ที่เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน และดีไวซ์อื่นๆ ได้อย่างไร้รอยต่อ จนถึงเรื่องของคุณภาพเสียง แต่ก็มากับราคาที่ค่อนข้างสูงขึ้นมาเล็กน้อย เพราะเปิดตัวมาที่ 6,990 บาท

ข้อดี

  • หูฟังไร้สาย ใส่สบาย
  • คุณภาพเสียงสมกับราคา
  • เคสรองรับการชาร์จไร้สาย

ข้อสังเกต

  • หูฟังค่อนข้างเล็กลื่น ทำให้เวลาจับใส่หูมีโอกาสหลุดมือ
  • มีขนาดเดียว ทำให้อาจไม่เหมาะกับคนที่หูเล็ก
  • ระบบตัดเสียงรบกวน ยังไม่ดีเท่าที่ควร

สวมใส่สบายผิดคาด

ด้วยรูปทรงที่แปลกตาของ Buds Live ทำให้ในครั้งแรกที่หยิบขึ้นมาใส่หูเพื่อลองใช้งานนั้น กลายเป็นว่าต้องทำความเข้าใจก่อนเบื้องต้นว่า จะใส่ Buds Live เข้าไปในหูอย่างไร เพราะไม่ใช่ว่าสามารถจับใส่เข้าไปในรูหูได้เหมือนหูฟังปกติ

ในการใส่ Buds Live ให้พอดีนั้นจำเป็นต้องใส่ด้านที่เป็นลำโพงเข้าไปบริเวณรูหูก่อน แล้วค่อยใส่ส่วนที่เป็นปลายอีกฝั่งตามเข้าไปเพื่อให้ยึดเข้ากับใบหูส่วนใน ซึ่งหลังจากใส่แล้วจะรับรู้ได้ว่า Samsung ทำการบ้านมาได้ค่อนข้างดี ในแง่ของ Ergonomic เพราะสามารถใส่เข้าไปได้พอดิบพอดี

ความน่าสนใจก็คือ Buds Live เข้าไปได้กระชับพอดี ไม่แน่น หรือหลวนจนเกินไป ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าหูฟังจะหลุดออกมาในขณะที่สวมใส่ แม้จะมีการโยกหัวแรงๆ ก็ยังไม่หลุดออกมา แต่ก็มีข้อควรระวังในกรณีที่ใส่ออกกำลังกาย อย่างการวิ่งเมื่อมีเหงื่อออกหูฟังจะไม่กระชับเหมือนเดิมทำให้ต้องคอยจับอยู่เรื่อยๆ

อย่างไรก็ตาม Buds Live มีจุดที่ต้องระวังอยู่ 2 ส่วนหลักๆ ในการหยิบใส่ใช้งาน อย่างแรกคือตัวหูฟังทำมาในลักษณะผิวมัน และมีขนาดเล็ก ทำให้เวลาจับใส่หูจะค่อนข้างลื่น อาจจะลื่นหลุดมือตกพื้นได้ง่ายๆ กับอีกส่วนคือเซ็นเซอร์รับสัมผัสในการสั่งงานทำงานค่อนข้างเร็ว บางทีต้องการจับหูฟังเพื่อให้กระชับขึ้นแต่กลายเป็นไม่แตะโดนเซ็นเซอร์แทน

ทั้งนี้ ดีไซน์ของ Buds Live อย่างที่เห็นกันคือมีการปรับการออกแบบให้ไม่เหมือนใคร ด้วยการนำรูปทรงคล้ายถั่วมาใช้งาน โดยขนาดของหูฟังจะอยู่ที่ 27.3 x 16.5 x 14.9 มม. ส่วนเคสจะอยู่ที่ 50 x 50.2 x 27.8 มม. มีให้เลือกด้วยกัน 3 สี คือ Mystic Bronze Mystic White และ Mystic Black ในราคา 6,990 บาท

ในส่วนของเคสชาร์จ ภายนอกจะมีไฟแอลอีดี แสดงสถานะแบตเตอรี ที่จะติดขึ้นเมื่อชาร์จไฟ และแสดงระดับของแบตเตอรีเมื่อเปิดปิดเคส โดยถ้าเป็นสีแดงแปลว่าแบตต่ำกว่า 30% ตามด้วยสีเหลืองแสดงว่าต่ำกว่า 50% ถ้าสูงกว่านี้จะเป็นสีเขียว ด้านหลังจะมีช่องเสียบสายชาร์จ USB-C โดยที่ตัวเคสรองรับการชาร์จไร้สายด้วย

เชื่อมต่อแอปฯ เริ่มใช้งาน

เมื่อเปิดฝาเคสขึ้นมา จะพบกับหูฟัง Buds Live 2 ข้างชาร์จอยู่กับ Connecter โดยมีแม่เหล็กอ่อนๆ ช่วยยึดไว้ทำให้แม้จะคว่ำเคสลงมาหูฟังก็จะไม่หลุดจากตัวเคส (ยกเว้นเขย่า) โดยตรงบริเวณนี้จะมีไฟแอลอีดี อีกจุดเพื่อแสดงสถานะการเชื่อมต่อ

ครั้งแรกที่เปิดเคสขึ้นมาไฟแอลอีดีสีเขียวจะกระพริบเพื่อให้รับรู้ว่า Buds Live กำลังเข้าสู่โหมดรอการเชื่อมต่อ (Pairing) โดยผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนตระกูล Galaxy สามารถดาวน์โหลดแอป Galxaxy Wearable มาเชื่อมต่อใช้งานได้ทันที เช่นเดียวกับผู้ใช้ Android รุ่นอื่นๆ

ส่วนผู้ใช้งาน iOS สามารถดาวน์โหลดแอป Galaxy Buds มาเพื่อเชื่อมต่อกับ Buds Live ได้เช่นกัน โดยประสบการณ์ในการใช้งานนั้นไม่แตกต่างกัน เรียกได้ว่า Samsung ทำการบ้านในจุดนี้มาค่อนข้างดี

ความน่าสนใจของ Buds Live ในเรื่องของการเชื่อมต่อก็คือ หลังจากเชื่อมต่อเข้ากับดีไวซ์หลักแล้ว ผู้ใช้งานสามารถเชื่อมต่อ Buds Live เข้ากับอุปกรณ์อื่นๆ ได้ด้วย ผ่านการแตะค้างที่หูฟังทั้ง 2 ข้างเพื่อเข้าโหมด Pairing 

หลังจากเชื่อมต่อเรียบร้อยแล้วผู้ใช้สามารถสลับการใช้งานไปมาระหว่างอุปกรณ์ได้อย่างไร้รอยต่อ ไม่ต้องมาคอยยกเลิกการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เก่า แล้วค่อยกดเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ใหม่ เหมือนหูฟังไร้สายทั่วๆ ไปในท้องตลาด

ภายในแอปพลิเคชัน Buds Live จะมีการแสดงผลสถานะของแบตเตอรี ทั้งหูฟังข้างซ้ายขวา และตัวเคส ถัดลงมาเป็นสถานะการเปิดใช้งานระบบตัดเสียงรบกวน ANC ที่สามารถสั่งเปิดปิด ได้จากในแอป หรือแตะสั่งงานที่ตัวหูฟังก็ได้เช่นกัน

ต่อมาเป็นการปรับอีควอไลเซอร์ ซึ่งมีให้เลือกด้วยกัน 6 โหมด ประกอบไปด้วย Normal Bass Boost Soft Dynamic Clear และ Treble boost ซึ่งถือว่าครอบคลุมการใช้งานในระดับหนึ่ง

ที่เหลือก็จะเป็นการตั้งค่าการสัมผัส อย่างการกดค้างให้เปิดใช้โหมด ANC หรือจะเปลี่ยนการสั่งงานเฉพาะข้างให้กดค้างแล้วเรียกใช้งานแอปพลิเคชันก็ได้ ส่วนการแตะสัมผัส 1 ครั้ง จะถูกตั้งให้เป็นการเล่นเพลง หยุดเพลง ตามด้วยแตะ 2 ครั้ง ในการเปลี่ยนเพลง และแตะ 3 ครั้งเพื่อเล่นเพลงก่อนหน้าเป็นต้น

จุดที่น่าสนใจคือผู้ใช้สามารถสั่งปิดโหมดสัมผัสที่หูฟังได้ด้วย ซึ่งแปลว่าจะเปลี่ยนการควบคุมเป็นผ่านแอปพลิเคชันแทน ทำให้เห็นว่า Samsung เองก็ทราบว่าการรับสัมผัสที่หูฟังไวเกิดไป จนทำให้เวลาจับหูฟังกลายเป็นแตะสั่งงานแทน

คุณภาพเสียง และระบบตัดเสียงรบกวน

Samsung

อีกหนึ่งจุดที่ Galaxy Buds Live ทำได้ประทับใจคือเรื่องของเสียงที่ได้จากหูฟังไร้สายในราคาระดับนี้ ถือที่ว่าสมกับคุณภาพที่ได้อย่างแน่นอน โดยลำโพงของ Buds Live มีขนาด 12 มม. มาพร้อมกับไดรฟ์เวอร์ขนาดใหญ่ ช่วยเพิ่มเบส และมีช่องลมที่ช่วยเพิ่มเบสให้ลุ่มลึกยิ่งกว่าเดิม

Samsung

ในขณะที่ไมโครโฟนของ Buds Live นั้นให้มาถึง 3 ตัวด้วยกัน แบ่งเป็น 2 ตัวที่จะจับเสียงภายนอก และอีกหนึ่งตัวด้านในที่ทำงานร่วมกับเซ็นเซอร์ที่จะคอยตรวจจับการสั่นสะเทือนของขากรรไกรให้กลายเป็นสัญญาณเสียง แม้จะอยู่ในสภาพที่มีเสียงรบกวนต่างๆ

แม้ว่า Buds Live จะใส่ไมโครโฟนมาให้ถึง 3 ตัว แต่กลายเป็นว่าเวลาใช้งานโทรศัพท์นั้นจะต้องพูดในระดับเสียงที่ดังกล่าวปกติเล็กน้อย ดังนั้นถ้าใครที่ปกติเป็นคนพูดเสียงดังอาจจะไม่มีปัญหากับการใช้งานด้านบันทึกเสียง แต่ถ้าเป็นคนพูดเบาอาจจะต้องปรับตัวเล็กน้อยเพื่อให้ปลายสายได้ยินเสียงชัดเจนขึ้น

สิ่งที่น่าเสียดายอย่างหนึ่งคือระบบตัดเสียงรบกวน แบบ Active Noise Cancellation : ANC ที่กลายเป็นว่าด้วยรูปแบบของหูฟังที่ไม่ใช่ In-Ears เหมือน Galaxy Buds ทำให้ถึงแม้เปิดใช้งานโหมด ANC แล้วก็ยังได้ยินเสียงรบกวนเข้ามาอยู่ ไม่ได้ตัดให้เงียบสนิทเหมือนอย่างที่หวังไว้

แม้ซัมซุงจะระบุว่า ระบบตัดเสียงรบกวนแบบ ANC จะสามารถลดเสียงรบกวนจากภายนอกได้ถึง 97% ในช่วงคลื่นความถี่ต่ำอย่างเสียงรถไฟ หรือเครื่องบิน ทำให้สามารถได้ยินเสียงพูด และเสียงประกาศต่างๆ ได้ตามปกติ แต่กลายเป็นว่าแทบไม่รู้สึกถึงความต่างเลย

สำหรับแบตเตอรีของ Buds Live นั้น สามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง 6 ชั่วโมง และเมื่อรวมกับเคสชาร์จจะทำให้ใช้งานได้ต่อเนื่องถึง 21 ชั่วโมง และยังมีโหมดชาร์จไฟเร็วที่ใส่เคสชาร์จ 5 นาทีจะสามารถใช้งานได้ราว 30 นาที

สรุป

Samsung Galaxy Buds Live ถือว่าเป็นหูฟังไร้สายที่ทำดีไซน์ออกมาได้เป็นเอกลักษณ์มากๆ ขณะเดียวกันด้วยการออกแบบใหม่นี้ทำให้สวมใส่แล้วสบาย ถูกหลักสรีระมากขึ้น จึงทำให้กลายเป็นอีกหนึ่งหูฟังไร้สายที่สวมใส่สบายรุ่นหนึ่งในเวลานี้ก็ว่าได้

แต่ในแง่ของการใส่ใช้งานอาจจะต้องระมัดระวังกันสักหน่อยเพราะหูฟังมีขนาดเล็ก กับเรื่องของระบบสัมผัสที่ค่อนข้างไวทำให้กดสั่งงานโดยไม่ตั้งใจได้ง่ายน สำหรับคุณภาพของเสียงที่ได้ถือว่าสมราคาดี จากการปรับแต่งร่วมกับทาง AKG ติดอยู่ตรงระบบตัดเสียงรบกวน ANC ที่มีปัจจัยจากดีไซน์มาทำให้สู้แบบ In-Ears ไม่ได้

Gallery

]]>
Review : Sennheiser Momentum True Wireless 2 หูฟังเสียงคุณภาพ เพิ่มตัดเสียงรบกวน https://cyberbiz.mgronline.com/review-sennheiser-momentum-true-wireless-2/ Thu, 14 May 2020 05:30:33 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=32836

ในยุคที่สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ไม่รองรับการใช้งานร่วมกับสายหูฟัง 3.5 มม. จนทำให้ตลาดหูฟังไร้สายมีการเติบโตขึ้นเป็นอย่างมากในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา หนึ่งในหูฟังรุ่นที่ได้รับความนิยมจากตลาดที่เน้นคุณภาพของเสียงคงหนีไม่พ้น Sennheiser Momentum

แน่นอนว่า ใครที่ประทับใจกับหูฟังไร้สายแบบ True Wireless ของ Sennheiser Momentum รุ่นแรกไปแล้ว เตรียมเสียเงินได้เลยกับ Momentum True Wireless 2 รุ่นใหม่ที่ออกมาอัปเดตทั้งคุณภาพเสียง แบตเตอรีให้ใช้งานได้ยาวนานขึ้น และที่สำคัญคือระบบตัดเสียงรบกวนแบบ Active Noise Cancellation

ทำให้ Momentum True Wireless 2 (MTW2) กลายเป็นหูฟังไร้สายที่สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น แม้ว่าราคาจำหน่ายจะถือว่าค่อนข้างสูงเพราะเปิดราคามาที่ 11,999 บาท แต่เชื่อว่าใครที่กำลังมองหูฟังไร้สายคุณภาพดี หูฟังรุ่นนี้เป็นหนึ่งในรุ่นที่ตอบโจทย์ได้อย่างแน่นอน

ข้อดี

  • หูฟัง In-Ear ไร้สายคุณภาพเสียงดี น้ำหนักเบา
  • ระบบตัดเสียงรบกวนแบบ Active-Noise
  • ใช้งานได้ต่อเนื่อง 7 ชั่วโมง + เคสชาร์จอีก 21 ชั่วโมง

ข้อสังเกต

  • ไม่รองรับการเชื่อมต่อหลายอุปกรณ์พร้อมกัน
  • เคสยังไม่รองรับการชาร์จไร้สาย
  • ราคาค่อนข้างสูง

เด่นที่คุณภาพเสียง เสริมด้วยตัดเสียงรบกวน

ด้วยการที่หูฟังไร้สายรุ่นแรกของ Sennheiser Momentum True Wireless ทำมาตรฐานของคุณภาพเสียงไว้สูงมาก จนเป็นหนึ่งในรุ่นยอดนิยมของหูฟังไร้สายในลักษณะของ True Wireless ก็ว่าได้ เพียงแต่ว่าด้วยการที่ออกมาตั้งแต่ช่วงแรกๆ ของตลาดหูฟังไร้สาย ทำให้ยังไม่ได้มีการพัฒนาเรื่องของการตัดเสียงรบกวนเข้าไปด้วย

พอมาเป็นรุ่นที่ 2 Sennheiser ก็ไม่พลาดที่จะใส่ความสามารถอย่าง Active Noise Cancellation มาให้ใช้งานกัน ซึ่งในกลุ่มนี้จะมีเจ้าตลาดอย่าง Sony WF-1000XM3 และ Apple AirPods Pro ครองตลาดอยู่ทำให้หูฟังรุ่นนี้เข้ามาชนกันตลาดนี้เต็มๆ ในระดับราคาค่าตัวที่สูงกว่าด้วย

ประเด็นสำคัญก็คือ กลุ่มผู้ใช้งานหูฟังไร้สายในระดับราคาหมื่นบาท จะถือเป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับเสียงมาเป็นลำดับแรกๆ เรียกได้ว่าถึงฟีเจอร์ในการใช้งานจะดีแค่ไหน แต่ถ้าคุณภาพเสียงไม่ดีก็ไม่มีทางเลือกซื้อกันอยู่แล้ว ซึ่ง MTW2 กลับสามารถมาตอบโจทย์ตรงนี้ได้

การที่มีคุณภาพเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ทำให้ MTW2 เป็นหูฟังไร้สายที่ให้เสียงได้ครบที่สุดรุ่นหนึ่งก็ว่าได้ ทั้งเสียงใสที่เป็นเอกลักษณ์ เก็บรายละเอียดได้ทุกโทนเสียง ส่วนเบสจะออกแนวนุ่มๆ ซึ่งอาจจะไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการเบสหนักแบบตึบๆ

ภายในของ MTW2 จะมากับเทคโนโลยีเสียงที่ใส่ Dynamic Driver ขนาด 7 มม. ซึ่งตอบสนองความถี่ 5 – 21,000 Hz ส่วนไมโครโฟนจะตอบสนองที่ 100 Hz – 10 kHz ซึ่งจะมีไมโครโฟนแยกสำหรับการตัดเสียงรบกวนมาด้วย

ส่วนภายนอก MTW2 จะมากับเคสที่ใช้วัสดุเป็นผ้าบุอยู่ภายนอก โดยมีสัญลักษณ์ของ Sennheiser อยู่ด้านบน ด้านหลังเป็นพอร์ต USB-C สำหรับเสียบชาร์จเคสหูฟัง และปุ่มกด เพื่อดูสถานะของแบตเตอรี ขนาดของเคสจะอยู่ที่ 76.8 x 43.8 x 34.8 มิลลิเมตร น้ำหนัก 70 กรัม

เมื่อเปิดฝาขึ้นมาจะพบกับหูฟัง MTW2 ที่เชื่อมต่อชาร์จกับเคสด้วยแม่เหล็กที่มีแรงดูดค่อนข้างสูง ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าหูฟังจะหลุดออกจากเคสได้เอง เพราะต้องใช้นิ้วคีบออกมาด้วยแรงพอสมควร ทั้งนี้บริเวณฝาจะมีแถบแม่เหล็กที่ใช้ปิดฝาเคสอยู่ และตัวอักษร Sennheiser ซ่อนอยู่ภายใน

ตัวหูฟังจะแยกซ้ายขวา อิสระจากกัน เชื่อมต่อกันด้วยเทคโนโลยีบลูทูธ โดยที่หูบริเวณที่เป็นสัญลักษณ์ Sennheiser จะใช้เป็นปุ่มสัมผัสในการสั่งงานด้วย ถัดมาข้างๆ จะเป็นไมโครโฟนเพื่อรับเสียงจากภายนอก ถัดเข้ามาบริเวณด้านในจะมีเซ็นเซอร์ตรวจจับการใช้งาน และไฟแสดงสถานะการเชื่อมต่ออยู่

สำหรับตัวจุกหูฟังแบบ In-Ears จะมีมาให้เลือก 4 ขนาด คือ XS S M L ที่ผู้ใช้สามารถเลือกเปลี่ยนได้ตามขนาดที่ต้องการ อีกจุดที่พัฒนาจากรุ่นแรกคือ การปรับขนาดของหูฟังให้เล็กลง โดยแต่ละข้างจะมีน้ำหนักเพียง 6 กรัมเท่านั้น

เรียนรู้การสัมผัสเพื่อสั่งงาน

ในการใช้งาน MTW2 สิ่งแรกที่ต้องทำเลยคือการดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Smart Control มาติดตั้งบนสมาร์ทโฟน หลังจากนั้น หยิบหูฟังขึ้นมาใส่ แตะค้างที่หูฟังทั้ง 2 ข้าง 3 วินาที เพื่อเข้าสู่โหมดเชื่อมต่อบลูทูธ (Pairing) หลังจากนั้นทำการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน

หลังจากเชื่อมต่อครั้งแรก ตัวแอปพลิเคชันจะขึ้นแจ้งเตือนให้ทำการอัปเดตเฟิร์มแวร์ครั้งแรก ที่จะใช้ระยะเวลาประมาณ 50 นาที โดยหลังจากกดอัปเดตให้ปล่อยหูฟังทิ้งไว้โดยไม่ต้องเก็บเข้าเคสชาร์จ เมื่ออัปเดตเสร็จแล้วค่อยหยิบมาใช้งาน

ทั้งนี้ ในการใช้งาน MTW2 จะใช้การสั่งงานผ่านระบบสัมผัสที่หูฟัง โดยค่ามาตรฐานที่ตั้งมา เมื่อสัมผัสหูฟังทางซ้าย 1 ครั้ง จะใช้เล่น/หยุดเพลง 2 ครั้ง เลื่อนไปเพลงถัดไป 3 ครั้งเพื่อเล่นเพลงก่อนหน้า แตะค้างเพื่อลดเสียง

ส่วนหูฟังขวา แตะ 1 ครั้งจะเรียกใช้งานผู้ช่วยส่วนตัว 2 ครั้งเปิดโหดมรับเสียงจากภายนอก และตัดสาย 3 ครั้ง เพื่อเปิดโหมดตัดเสียงรบกวน และแตะค้างเพื่อเพิ่มเสียง ทั้งนี้ ผู้ใช้สามารถเข้าไปตั้งการสั่งงานตามที่ต้องการได้ภายในส่วนตั้งค่าของแอปฯ บนสมาร์ทโฟน

สำหรับโหมดที่น่าสนใจบน MTW2 มีด้วยกัน 2 โหมดคือ โหมด Transparent Hearing ที่ช่วยให้ได้ยินเสียงรอบข้าง เนื่องจากหู MTW2 เป็นแบบ In-Ears ทำให้เวลาใส่ใช้งานจะไม่ได้ยินเสียงรอบตัวอยู่แล้ว ทำให้เวลาใส่ใช้งานในที่สาธารณะอาจจะเป็นอันตรายได้

นอกจากนี้ เพื่อให้การตัดเสียงทำได้ดีขึ้น MTW2 จึงได้เพิ่มฟีเจอร์ตัดเสียงรบกวนแบบ Active Noise Cancellation มาด้วย ด้วยการนำไมโครโฟน 2 ตัว รับเสียงภายนอกเพื่อนำมาตัดเสียง

ภายในหูฟัง และยังนำเทคโนโลยี Beamforming มาช่วยในการใช้ไมโครโฟนสนทนาให้คู่สายได้ยินชัดเจนขึ้น

MTW2 ยังเปิดให้ผู้ใช้สามารถตั้ง Equalizer ได้ด้วยตัวเองด้วย ในรูปแบบของกราฟให้เลือกว่าจะเพิ่มลด เสียง Bass และ Treble โดยหลังจากปรับแล้วสามารถบันทึกเก็บไว้ได้สูงสุด 9 รูปแบบ เรียกได้ว่าชอบเสียงรูปแบบไหนก็สามารถเซฟเก็บไว้แล้วมากดเปลี่ยนให้เหมาะกับเพลงที่ฟังได้เลย

ความฉลาดของ MTW2 ยังไม่หมด เพราะด้วยการที่ตัวหูฟังมีเซ็นเซอร์ตรวจจับการใส่ใช้งานมาด้วย ทำให้มีการเพิ่มฟีเจอร์อย่าง Smart Pause ที่จะหยุดเพลงทันทีที่ถอดหูฟังออก และกลับมาเล่นอัตจโนมัติเมื่อใส่กลับเข้ามา

ส่วนระยะเวลาในการใช้งาน MTW2 สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องสูงสุด 7 ชั่วโมง และสามารถชาร์จกับเคสเพื่อฟังได้สูงสุด 28 ชั่วโมง ส่วนการชาร์จจะใช้ระยะเวลา 1.5 ชั่วโมงเพื่อชาร์จจนเต็ม และกรณีที่ชาร์จ 10 นาที จะฟังได้ราว 1.5 ชั่วโมง

สรุป

เชื่อว่า Sennheiser Momentum True Wireless 2 จะกลายเป็นอีกรุ่นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะเข้ามาตอบโจทย์การใช้งานหูฟังแบบ True Wireless ที่มาพร้อมการตัดเสียงรบกวน ทำให้สามารถโฟกัสกับเสียงเพลง จนถึงการทำงานได้ไม่ยาก

ใครที่กำลังมองหาหูฟัง True Wireless คุณภาพสูงอยู่ และงบประมาณไม่ได้จำกัดมากนัก เมื่อได้ลองรุ่นนี้จะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน

Gallery

]]>
Review : Sony WF1000XM3 หูฟัง TrueWireless เด่นที่ตัดเสียงรบกวนได้ https://cyberbiz.mgronline.com/review-sony-wf1000xm3/ Mon, 09 Sep 2019 04:17:57 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=31195

โซนี่ (Sony) กลับมาทำให้เห็นแล้วว่าการออกโปรดักส์ที่มีนวัตกรรม และจับกลุ่มเฉพาะ สามารถช่วยให้ได้รับความนิยม จนสินค้าขายตลาดในช่วงแรกที่วางจำหน่ายได้ กับหูฟังไร้สาย WF1000XM3 ซึ่งถือเป็นหูฟังแบบ True Wireless รุ่นแรกๆ ที่มากับระบบตัดเสียงรบกวน

ด้วยการนำจุดเด่นของหูฟัง True Wireless ที่มีขนาดเล็ก พกพาง่ายใส่ติดหู มาผสมกับเรื่องการตัดเสียงรบกวนที่โซนี่มุ่งพัฒนามาในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในกลุ่มหูฟังครอบหูตั้งแต่ยุคของ MDR1000X มาจนถึง WH1000X ที่ได้รับความนิยมต่อเนื่อง

ข้อดี

หูฟัง TrueWireless แบบ In-Ears พร้อมระบบตัดเสียงรบกวน

ใช้งานต่อเนื่องได้  5-6 ชั่วโมง ไม่รวมเคสชาร์จทำให้รวมแล้วได้ราว 24 ชั่วโมง

มีระบบ Adaptive Sound เลือกรับเสียงจากภายนอก หรือตัดเสียงรบกวน

สั่งงานสมาร์ทโฟนด้วยระบบเสียงได้ผ่านหูฟังทั้ง Siri และ Google Assistant

พอร์ตชาร์จเป็น USB-C และรองรับ NFC ให้เชื่อมต่อง่ายขึ้น

 

ข้อสังเกต

เคสชาร์จมีขนาดค่อนข้างใหญ่ทำให้พกติดตัวยาก

ปุ่มควบคุมแบบสัมผัสที่ค่อนข้างไว ทำให้บางทีจับหูฟังให้แน่นขึ้นกลายเป็นกดสั่งงาน

ถ้าต้องการปรับเสียงต้องสั่งที่อุปกรณ์เชื่อมต่อ หรือใช้ผู้ช่วยส่วนตัวปรับให้

ไม่เหมาะกับใส่ออกกำลัง เพราะตัวหูฟังไม่กันน้ำ

หูฟัง In-Ears ไร้สาย ตัดเสียงได้

ด้วยการที่โซนี่ ออกแบบหูฟังรุ่นนี้มาให้เป็นแบบ In-Ears ในลักษณะของ True Wireless คือใช้การเชื่อมต่อด้วยบลูทูธระหว่างหูฟังข้างซ้ายขวา กับดีไวซ์ต่างๆ ทำให้ลักษณะการใช้งานจะเน้นไปที่ความสะดวกในการพกพา และใส่ใช้งานเป็นหลัก

ขนาดของตัวหูฟังจึงมีขนาดเล็ก ที่ใส่ไปแล้วจะไม่รู้สึกหนักหู หรือทำให้ล้าเวลาใส่ใช้งานนานๆ ประกอบกับภายในกล่องมีขนาดของจุกยาง และจุกโฟมให้เลือกใช้ตามความต้องการ ดังนั้นใครที่มีปัญหาการใช้หูฟังแบบ In-Ears แล้วรู้สึกไม่สบายหู อาจจะต้องคิดภาพใหม่

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของตัวเคสใส่หูฟัง ที่เป็นที่ชาร์จในตัว มีพอร์ต USB-C สำหรับเสียบสายชาร์จ และมี NFC ให้สามารถนำสมาร์ทโฟนที่รองรับมาแสกนเพื่อเชื่อมต่อกับหูฟังได้ทันที เมื่อเปิดฝาขึ้นมาก็จะเจอกับหูฟังทั้ง 2 ข้างเสียบชาร์จอยู่

ที่ตัวหูฟังจะมีเซ็นเซอร์หลักๆ อยู่ 2 ส่วน คือบริเวณภายในไว้ใช้ตรวจจับการสวมใส่ของผู้ใช้ ทำให้เวลาใช้งานอยู่ ถ้าถอดหูฟังออกมา 1 ข้าง เพลงก็จะหยุด และถ้าใส่กลับเข้าไปเพลงก็เล่นต่อ โดยจะอยู่บริเวณที่ครอบพลาสติกสีข้างๆ จุกหูฟัง

กับเซ็นเซอร์รับสัมผัสในการสั่งงานที่อยู่ภายนอก บริเวณที่เป็นพลาสติกเป็นผิวเรียบๆ ทรงกลมๆ ที่สามารถแตะเพื่อสั่งงานแยกกันได้ทั้งหูซ้าย และหูขวา โดยผู้ใข้สามารถปรับตั้งค่าเพิ่มเติมได้จากแอปที่ติดตั้งบนสมาร์ทโฟน

การใช้งาน Sony WF1000M3

ในการใช้งาน Sony WF1000M3 เริ่มต้นขั้นแรกเลยคือทำการเชื่อมต่อ ถ้าใช้งาน Android ที่มีระบบ NFC สามารถนำสมาร์ทโฟนมาแตะบริเวณสัญลักษณ์ หลังจากที่เปิดฝาขึ้นมาเพื่อทำการเชื่อมต่อได้เลย

ส่วนถ้าเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆที่ไม่มี NFC จะต้องใส่หูฟังเข้าไปทั้งสองข้าง และแตะบริเวณเซ็นเซอร์ทั้ง 2 ข้าง ค้างไว้พร้อมๆ กัน เพื่อเข้าสู่โหมดการเชื่อมต่อ (Pairing Mode) จากนั้นก็เข้าไปเชื่อมต่อผ่านการตั้งค่า บลูทูธบนสมาร์ทโฟนได้ทันที

หลังจากเชื่อมต่อเสร็จ แนะนำให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Headphones ของทาง Sony มาติดตั้ง เพื่อใช้ควบคุม และดูสถานะต่างๆ ของหูฟัง ไม่ว่าจะเป็นเปอเซนต์แบตเตอรีที่เหลืออยู่ การอัปเดตเฟิร์มแวร์ของหูฟังต่างๆ จะทำผ่านแอปพลิเคชันนี้ทั้งหมด

นอกจากนี้ ภายในยังมีให้ตั้งโหมด Adaptive Sound Control ที่จะมีทั้งหมด 4 โหมดหลักๆ ด้วยกัน ตั้งแต่การใช้งานเมื่อนั่งอยู่กับที่ ขณะเดิน วิ่ง หรืออยู่บนรถโดยสาร เพื่อควบคุมการตัดเสียง (Noise Canceling) และเลือกรับเสียงจากภายนอก (Ambient Sound) ที่มีให้เลือกทั้งหมด 20 ระดับ

การทำงานของ Ambient Sound คือจะใช้ไมโครโฟนที่ติดตั้งอยู่บริเวณหูฟังรับเสียงจากภายนอก เพื่อทำให้เวลาที่ใส่หูฟังแล้วเดินอยู่บนถนน จะได้ยินเสียงรถ หรือบรรยากาศรอบๆตัว ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ หรือในกรณีที่ต้องการฟังเสียงคนที่มาพูดด้วยก็เปิดใช้โหมดนี้ได้

การสั่งงานระหว่างโหมดตัดเสียง และรับเสียงภายนอก ผู้ใช้สามารถนำนิ้วไปแตะที่หูฟังข้างซ้าย เพื่อสลับโหมดใช้งานได้ทันที และยังมีฟีเจอร์อย่างถ้าแตะนิ้วค้างไว้ที่หูฟังจะเป็นการเปิดฟังเสียงภายนอกในทันทีด้วย

ส่วนการแตะสั่งงานที่หูฟังทางขวาเบื้องต้นจะตั้งมาเป็นการควบคุมการเล่นเพลง แตะเพื่อหยุด และเล่นต่อ ถ้ากดค้างจะเป็นการเรียกใช้งานผู้ช่วยส่วนตัวอย่าง Siri และ Google Assistant ขึ้นมาให้สั่งงาน แต่ทั้งหมดนี้สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามการตั้งค่าภายในแอป

อีกจุดที่คิดว่าน่าสนใจ คือผู้ใช้เลือกได้ว่าอยากเน้นคุณภาพเสียง หรือความต่อเนื่องในการใช้งาน เพราะต้องรับรู้กันก่อนว่าเวลาใช้งานหูฟังแบบ True Wirless ปัญหาที่มักจะพบเจอกันคือเมื่อใช้งานภายในห้างสรรพสินค้า หรือสถานที่ที่มีคลื่นรบกวนเยอะๆ จะเกิดปัญหาหูฟังติดๆ ดับๆ

กับ Sony WF1000M3 ก็เจอปัญหานี้เช่นเดียวกัน แต่ดีที่มีโหมดให้สามารถเลือกได้ว่า ถ้าต้องการเน้นคุณภาพเสียงดีๆ ก็อาจจะเจอปัญหาดังกล่าว แต่ถ้าต้องการเชื่อมต่อให้สเถียรมากที่สุด ก็จะปรับลดคุณภาพเสียงลงเพื่อให้หูฟังเน้นการใช้งานที่ไม่กระตุก หรือติดๆ ดับๆ

ในจุดนี้ถือว่าโซนี่ พัฒนาออกมาได้ดี เพราะเมื่อทดลองใช้โหมดที่เน้นความสเถียรเดินใช้งานภายในห้างสรรพสินค้า ที่หูฟัง True Wireless รุ่นอื่นๆ เจอปัญหา แต่กับ Sony WF1000M3 ยังเชื่อมต่อได้ความสเถียรดี

สรุป

โซนี่ ทำการบ้านมาเป็นอย่างดีกับการออก Sony WF1000M3  เพราะในการใช้งานหูฟังแบบ True Wireless ผู้ใช้หลายๆ รายเวลานี้คือจะเจอปัญหาเรื่องเสียงรบกวนจากภายนอก ดังนั้นเมื่อนำนวัตกรรมที่โซนี่มีมาช่วย จึงทำให้ Sony WF1000M3 ได้รับความนิยม

ขณะเดียวกัน ด้วยราคาเปิดตัวที่ 8,990 บาท ในมุมหนึ่งถือว่าเป็นระดับราคาที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับหูฟังไร้สายจากแบรนด์มือถืออย่าง AirPods (6,500) Galaxy Buds (4,990) แต่ถ้าไปเทียบกับแบรนด์หูฟังในระดับเดียวกันอย่าง B&O Sennheiser หรือ Boss ในระดับหมื่นกว่าบาท กลายเป็นว่าโซนี่ทำราคาออกมาได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว

Gallery

]]>
Review : Beats PowerBeats Pro ยกระดับหูฟัง Beats ด้วยความสามารถของ AirPods https://cyberbiz.mgronline.com/review-beats-powerbeats-pro/ Tue, 23 Jul 2019 13:46:15 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=30995

ตลาดหูฟังบลูทูธไร้สายกลายเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่สร้างรายได้ให้แก่ Apple ตั้งแต่ AirPods ออกวางจำหน่าย และกลายเป็นหูฟังแบบ True Wireless ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในเวลานี้ จากผู้ใช้งาน iPhone

ประกอบกับก่อนหน้านี้ Apple ได้เข้าไปซื้อธุรกิจหูฟังของ Beats by Dr.Dre ทำให้มีการนำนวัตกรรมหูฟังที่คิดค้นขึ้น มาใช้งานกับหูฟังของ Beats ด้วย โดยเฉพาะ PowerBeats Pro ที่ออกมาจับกลุ่มผู้ใช้งานออกกำลังกายเป็นหลัก

จุดเด่นของ PowerBeats Pro คือเป็นหูฟังบลูทูธไร้สาย ที่ได้ความฉลาดของ AirPods มา ทำให้สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ในอีโคซิสเตมส์ของ Apple ได้ง่ายแค่เปิดฝา เสริมด้วยประสิทธิภาพในแง่ของการกันน้ำ เพื่อให้เหมาะกับการนำมาใช้เพื่อออกกำลังกาย

ข้อดี

  • หูฟังบลูทูธไร้สาย เชื่อมต่อง่าย ไม่เจอสัญญาณรบกวนเมื่อใช้ในห้างฯ
  • กันเหงื่อ ทำให้สามารถใส่ออกกำลังกายได้อย่างสบายใจ
  • ระยะเวลาใช้งานต่อเนื่อง 9 ชั่วโมง เทียบกับ AirPods ได้ราว 5 ชั่วโมง

ข้อสังเกต

  • เป็นหูฟัง In-Ear แบบเกี่ยวกับใบหู ทำให้อาจจะไม่เหมาะกับผู้ที่ใส่แว่น/แว่นกันแดด
  • ตัวเคสแม่เหล็กเก็บหูฟังมีขนาดใหญ่ทำให้พกพายาก ไม่รองรับการชาร์จไร้สาย
  • ไม่มีระบบตัดเสียงรบกวน

 

การเสริมไลน์หูฟังไร้สายสำหรับออกกำลังกายของ Apple ในครั้งนี้ ถือเป็นอีกก้าวที่แสดงให้เห็นว่าแอปเปิลให้ความสำคัญในเรื่องของการออกกำลังกาย และสุขภาพของผู้ใช้มากขึ้น แม้ว่าแต่เดิมแอปเปิลจะบอกว่า AirPods สามารถใส่เพื่อออกกำลังกายได้ แต่ในการใช้งานจริงก็อาจจะไม่สะดวกเพราะหูฟังอาจจะหลุดออกจากใบหูได้

ทำให้ PowerBeats Pro เป็นหูฟังรุ่นที่เข้ามาจับกลุ่มผู้ใช้ดังกล่าวแทน ด้วยการออกแบบให้เป็นหูฟังไร้สายแบบที่เกี่ยวกับใบหู พร้อมกับจุดเด่นในเรื่องหูฟังแบบ In-Ears ของ Beats เพื่อให้ใส่กระชับ และไม่หลุดระหว่างออกกำลังกาย โดย Powerbeats Pro รุ่นใหม่นี้มีขนาดเล็กกว่ารุ่นก่อนหน้า 23% และมีน้ำหนักเบากว่าเดิม 17%

เพียงแต่เมื่อเปลี่ยนเป็นแบบเกี่ยวหู ก็ทำให้เวลาใส่ใช้งานยากมากขึ้น เมื่อเทียบกับ AirPods ที่สามารถใส่เข้าหูได้เลย แต่กลายเป็นว่า PowerBeats Pro ต้องง้างส่วนที่เกี่ยวหูออกมาก่อนใส่ และจัดให้เข้ากับรูหู ขณะเดียวกัน พบว่าหลังจากใส่ใช้งานเป็นเวลานานต่อเนื่อง จะทำให้รู้สึกล้าบริเวณใบหูในช่วงแรกๆ ที่ของยังใหม่อยู่ แต่เมื่อใช้งานไปสักพัก เมื่อก้านนิ่มขึ้น ปรับก้านให้รับกับใบหูมากขึ้น ก็ทำให้ใส่ใช้งานได้นานขึ้น

ฟีเจอร์ใน AirPods มาให้ใช้งานครบ

จุดเด่นหลักของ PowerBeats Pro ที่น่าสนใจคือการนำความสามารถของ AirPods มาให้ใช้งานกันด้วย เริ่มจากการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ iOS ที่เมื่อเปิดฝากล่องขึ้นมา ก็จะมีการแจ้งเตือนที่หน้าจอ iPhone เพื่อเชื่อมต่อทันที หลังจากนั้นอุปกรณ์ทั้งหมดที่อยู่ใน Apple ID เดียวกันก็จะรู้จักกับหูฟังดังกล่าว

ถัดมาคือด้วยการที่ Apple มีการเพิ่มชิป H1 เข้ามาทำให้เซ็นเซอร์ตรวจจับต่างๆในหูฟังฉลาดขึ้น อย่างเช่นเมื่อใส่หูฟังเข้ากับใบหู ระบบก็จะทำการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ให้อัตโนมัติ ประกอบกับการที่มี 2 ข้าง ถ้าใส่ใช้เพียงข้างเดียว ระบบก็จะทำการตรวจจับ และเลือกใช้ไมค์จากข้างนั้นให้อัตโนมัติ

หรืออย่างในกรณีที่ใส่หูฟังเพื่อฟังเพลง หรือดูภาพยนตร์อยู่ ถ้าถอดหูฟังข้างใด ข้างหนึ่งออก ก็จะหยุดเล่นให้อัตโนมัติ และเมื่อใส่กลับเข้ามาก็จะเล่นต่อแบบอัตโนมัติเช่นเดียวกัน ซึ่งถือเป็นฟีเจอร์ที่โดดเด่นของ AirPods ในตลาดหูฟังไร้สายอยู่แล้ว

นอกจากนี้ ยังสามารถเรียกสั่งใช้งาน Siri ได้ทันทีผ่านการสั่งงานด้วยเสียง โดยไม่จำเป็นต้องกดปุ่ม หรือแตะสั่งงาน แต่ความพิเศษของ PowerBeats Pro ที่เพิ่มขึ้นมาก็คือมีปุ่มสั่งงานให้ด้วย แปลว่าผู้ใช้สามารถกดปรับระดับเสียง หรือเปลี่ยนเพลงจากหูฟังได้ทันที

ทั้งนี้ ตามสเปกที่แอปเปิลระบุถึงแบตเตอรี คือ แต่ละข้างสามารถใช้งานได้สูงสุด 9 ชั่วโมง และเมื่อใช้คู่กับเคสแม่เหล็กจะสามารถใช้งานได้กว่า 24 ชั่วโมง โดยเคสแม่เหล็กที่มากับระบบชาร์จเร็วทำให้การชาร์จเพียง 5 นาที สามารถใช้งานได้ 1.5 ชั่วโมง และชาร์จ 15 นาที ใช้งานได้ 4.5 ชั่วโมง

ประกอบกับการที่ PowerBeats Pro ไม่มีปุ่มเปิดปิด เพราะตัวเครื่องจะเปิดอัตโนมัติเมื่อนำออกจากเคส และปิดการใช้งานอัตโนมัติเมื่อเสียบชาร์จ หรือในกรณีที่วางทิ้งไว้นอกเคสแบบไม่ได้ใช้งาน ตัวหูฟังก็จะเข้าสู่โหมดประหยัดพลังงานโดยอัตโนมัติ

สำหรับอุปกรณ์ที่ให้มาในกล่อง PowerBeats Pro ประกอบไปด้วยเคสแม่เหล็กสำหรับชาร์จ หูฟัง ที่มีจุกแบบ In-Ears ให้เลือกทั้งหมด 4 ขนาด ที่เหลือก็จะมีสายชาร์จ Lightning สีดำ สติกเกอร์ Beats และคู่มือการใช้งานให้มาด้วย

ทั้งนี้ Powerbeats Pro มีให้เลือกทั้งหมด 4 สี ประกอบด้วย สีดำ สีงาช้าง สีเขียว และสีกรมท่า วางจำหน่ายในราคา 8,900 บาท โดยในช่วงแรกจะนำเข้ามาทำตลาดเฉพาะสีดำก่อน ส่วนสีที่เหลือจะตามเข้ามาในอนาคต

Gallery

]]>