องค์กรธุรกิจ – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Mon, 01 Mar 2021 03:35:51 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : Asus ExpertCenter D500SA เดสก์ท็อปองค์กรเครื่องเล็ก ประสิทธิภาพสูง https://cyberbiz.mgronline.com/review-asus-expertcenter-d500sa/ Mon, 01 Mar 2021 03:30:29 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34835

ในยุคที่พื้นที่ภายในสำนักงานมีขนาดเล็ก และจำกัดมากขึ้น ทำให้บรรดาผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ต่างหันมาออกแบบคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปประสิทธิภาพสูงให้มีขนาดเล็กลง พร้อมกับเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งานทั้งการวางเครื่องแนวตั้ง แนวนอน การเพิ่มพอร์ตเชื่อมต่อให้ใช้งานได้ครบถ้วน

Asus ExpertCenter D5 ถือเป็นหนึ่งในซีรีส์เดสก์ท็อปของทางเอซุส ที่เปิดตัวมาจับกลุ่มผู้ใช้งานพีซีในองค์กรธุรกิจโดยเฉพาะ ซึ่งนอกเหนือจากเครื่องที่มีขนาดเล็กลงแล้ว ยังสามารถเลือกปรับแต่งประสิทธิภาพตามการใช้งาน มีความทนทาน และรองรับการอัปเกรดได้ง่ายขึ้น และที่สำคัญที่มีบริการเสริมสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก เข้าไปช่วยลดต้นทุนในธุรกิจได้ด้วย

ตัวเลือกของ ExpertCenter D5 จะทำงานร่วมกับหน่วยประมวลผล Intel 10 Gen Core i5 เริ่มต้นในราคาประมาณ 15,000 บาท มีตัวเลือกกราฟิกการ์ดทั้ง NVIDIA GeForce GT1030 / GT710 ใส่ RAM ได้สูงสุด 64 GB เลือกใช้งานร่วมกับพื้นที่เก็บข้อมูลได้ทั้งแบบ HDD และ SSD สูงสุด 3 TB และรองรับการทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows 10 Pro ที่ออกแบบมาสำหรับการใช้งานในธุรกิจโดยเฉพาะ

ข้อดี

  • ขนาดเล็ก ประหยัดพื้นที่
  • วางใช้งานได้ทั้งแนวตั้ง และแนวนอน
  • พอร์ตเชื่อมต่อครบ

ข้อสังเกต

  • ตัวเครื่องค่อนข้างหนัก (ประมาณ 5 กิโลกรัม)
  • การปรับแต่งสเปกต้องสั่งซื้อตามจำนวนที่กำหนด

ยุคของเดสก์ท็อป Small From Factor

ด้วยการที่ปัจจัยหลักในการเลือกซื้อคอมพิวเตอร์เพื่อนำไปใช้งานในองค์กรธุรกิจส่วนใหญ่ในเวลานี้ จะเน้นไปที่ความคุ้มค่า เมื่อเทียบกับประสิทธิภาพที่ได้ รวมถึงข้อจำกัดของงบประมาณต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่าในแต่ละประเภทของธุรกิจก็มีความจำเป็นในการใช้งานที่แตกต่างกัน

เพียงแต่ว่าหนึ่งในข้อได้เปรียบของคอมพิวเตอร์องค์กรยุคใหม่คือ การที่สามารถผลิตตัวเครื่องได้มีขนาดเล็ก กะทัดรัดมากขึ้น ในลักษณะของ Small From Factor หรือ SSF ทำให้สามารถนำไปใช้ในสำนักงานที่พื้นที่มีจำกัด ดังนั้นเมื่อ Asus ที่เป็นผู้นำในตลาดเมนบอร์ดเข้ามาจับตลาดนี้ ก็จะสามารถออกแบบเมนบอร์ดเพื่อนำมาใช้งานกับเดสก์ท็อปในกลุ่มนี้ได้อย่างน่าสนใจ

Asus ExpertCenter D500SA จึงกลายเป็นเดสก์ท็อปขนาดเล็กระดับเริ่มต้นขององค์กรธุรกิจที่น่าสนใจ จากทั้งประสิทธิภาพของตัวเครื่อง และพอร์ตเชื่อมต่อที่ครบ แม้จะมีขนาดตัวเครื่องเล็กลง และยังออกแบบให้เหมาะกับการปรับแต่งใช้งาน และซ่อมบำรุงสำหรับฝ่ายไอทีด้วย

นอกจากนี้ การที่ตัวเครื่องทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows 10 Pro ที่ออกแบบมาสำหรับใช้งานในองค์กรธุรกิจโดยเฉพาะ ทำให้การใช้งานปลอดภัยมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันข้อมูลต่างๆ ภายในองค์กรธุรกิจกลายเป็นสิ่งที่มีมูลค่าไม่แตกต่างจากตัวสิ่งของไปเรียบร้อยแล้ว

ขณะเดียวกันภายใน ExpertCenter D500SA ยังมาพร้อมโซลูชันรักษาความปลอดภัยทั้ง Asus Business Manager ที่ช่วยให้สามารถตั้งค่าความปลอดภัยในการใช้งานทั้งการควบคุมการใช้งานพอร์ต USB ไม่ให้สามารถเขียนไฟล์ได้ เข้ารหัสฮาร์ดดิสก์ให้ข้อมูลที่เก็บไว้ปลอดภัยขึ้น จนถึงการย้อนกลับของระบบเพื่อกู้คืนระบบกลับมาให้ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ

ยังมี My Asus ที่ใช้แสดงรายละเอียดการรับประกัน การแก้ไขปัญหาการใช้งานเบื้องต้น รวมถึงการอัปเดตซอฟร์แวร์ และไดรฟ์เวอร์ ให้ทันสมัยอยู่เสมอ เช่นเดียวกับการอัปเกรดระบบรักษาความปลอดภัยของ Windows 10 Pro ที่จะช่วยปกป้องคอมพิวเตอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

ออกแบบให้สะดวกต่อการใช้งาน

ความน่าสนใจอย่างหนึ่งของ ExpertCenter D500SA คือการที่มีพอร์ตใช้งานให้ครบถ้วน ซึ่งรองรับการเชื่อมต่อทั้งหน้า และหลังตัวเครื่อง ทำให้สะดวกในการใช้งานภายในสำนักงานที่มีพื้นที่จำกัดได้เป็นอย่างดี ประกอบกับตัวเครื่องที่สามารถเลือกวางทั้งในแนวตั้ง และแนวนอนได้ด้วย ทำให้การออกแบบต้องคำนึงถึงการใช้งานทั้ง 2 รูปแบบด้วย

โดยด้านหน้าของตัวเครื่องจะมีตั้งแต่ถาดใส่แผ่นซีดี ที่ซ่อนเนียนเข้าไปกับดีไซน์ของตัวเครื่อง ถัดไปทางขวาเป็นปุ่มเปิดเครื่อง ไฟแสดงสถานะการทำงานของฮาร์ดดิสก์ ช่องเสียบหูฟัง และไมโครโฟ และพอร์ต USB 3.2 ให้ใช้งานถึง 4 พอร์ต พร้อมกับ Card Reader อีก 2 ขนาดให้ใช้งาน

ส่วนหลังเครื่องให้พอร์ตมารองรับการเชื่อมต่อทั้งอุปกรณ์สมัยใหม่ และอุปกรณ์ที่เป็น Legacy เดิม ไล่ตั้งแต่ พอร์ต PS/2 สำหรับเชื่อมต่อเมาส์ และคีย์บอร์ด ช่องต่อจอภายนอกที่มีทั้ง Display Port / HDMI / VGA โดยในกลุ่มนี้จะใช้การแสดงผลจากการ์ดจอออนบอร์ด ตามด้วยพอร์ต USB 2.0 อีก 4 พอร์ต ช่องเชื่อมต่อสาย LAN รวมถึง Serial Port ด้วย

นอกจากนั้นก็จะมีช่องเชื่อมต่อกับลำโพง ไมโครโฟน และ Parallel port มาให้ด้วย ที่เหลือก็จะเป็นออปชันเสริม อย่างการใส่การ์ดจอแยก ก็จะมีพอร์ต HDMI / DVI / D-Sub มาพร้อม และช่องต่ออุปกรณ์รับสัญญาณ Wi-Fi เพิ่มเติม

ในจุดนี้ผู้ใช้สามารถแกะฝาของเครื่องออกมาได้ โดยไม่ต้องใช้ไขควงเพิ่มเติม และเมื่อเปิดฝาออกมายังสามารถถอดเปลี่ยนฮาร์ดไดรฟ์ ได้แบบง่ายๆ ทำให้สามารถบำรุงรักษาเครื่อง รวมถึงอัปเกรดชิ้นส่วนภายในได้อย่างง่ายดาย

จุดเด่นอีกอย่างของ ExpertCenter D500SA คือการที่ Asus เลือกใช้เมนบอร์ดแบบ 100% Solid Capacitor ทำให้เมนบอร์ดมีความทนทานในการใช้งานมากยิ่งขึ้น เพราะคาปาซิเตอร์แบบนี้จะช่วยเก็บประจุ และควบคุมแรงดันไฟฟ้า เพิ่มความเสถียร และช่วยยืดอายุการใช้งานได้ยาวนานขึ้นด้วย

ขณะเดียวกัน ตัวเครื่องยังผ่านการทดสอบความแข็งแรงตามเกณฑ์ของอุตสาหกรรม และการทดสอบมาตรฐานกองทัพสหรัฐฯ MIL-STD-810G ทั้งในเรื่องของความทนทาน ยิ่งทำให้การนำไปใช้งานในองค์กรธุรกิจ ได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้นด้วย

เลือกสเปกตามการใช้งาน

เมื่อเป็นสินค้าในกลุ่ม ExpertCenter ที่เจาะกลุ่มธุรกิจ ทางเอซุส จึงได้เปิดทางเลือกให้องค์กรสามารถเลือกปรับแต่งสเปกในการใช้งานเพิ่มเติมสำหรับการสั่งซื้อสินค้าจำนวนมากได้ โดยในรุ่น ExpertCenter D500SA จะสามารถเลือกปรับแต่งได้ทั้งซีพียู Intel Gen 10 Core i5-10400 2.9 GHz ไปจนถึง Core i7-10700 2.9 GHz พร้อมตัวเลือกกราฟิกการ์ดเป็น NVIDIA GeForce GT1030 และ NVIDIA GeForce GT710

ช่องใส่ RAM มีมาให้ 2 ช่อง เลือกใส่ได้สูงถึ 64 GB (32 GBx2) และมีช่องต่อ PCIe ให้เพิ่มเติม ในส่วนของสตอเรจ สามารถเลือกใส่ได้ทั้ง HDD ขนาด 2.5” หรือ 3.5” สูงสุด 3 TB ไปจนถึง SSD สูงสุดที่ 2 TB เช่นเดียวกับการเชื่อมต่อ WiFi มีให้เลือกทั้ง WiFi 5 / WiFi 6 ดังนั้น องค์กรธุรกิจสามารถเลือกปรับแต่งสเปกเหล่านี้เพิ่มเติมได้

ทดสอบการใช้งาน

สำหรับ Asus ExpertCenter D500SA ที่ได้รับมาทดสอบนั้น จะมาพร้อมกับ Intel Core i5-10500 3.1 GHz พร้อมกราฟิกการ์ด NVIDIA GeForce GT710 อัด RAM 16 GB และฮาร์ดดิสก์ 1 TB ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows 10 Pro รองรับการเชื่อมต่อ WiFi 5 แบบ 2×2

ในแง่ของการใช้งานทั่วไป อย่างการทำงานเอกสาร เข้าใช้งานเว็บไซต์ต่างๆ รวมถึงโปรแกรมเฉพาะทางเกี่ยวกับธุรกิจ ต้องยอมรับว่าสเปกเท่านี้เพียงพอกับการใช้งานอยู่แล้ว และสามารถนำไปใช้ในงานที่ยาก และซับซ้อนขึ้นได้อีก สำหรับการนำไปใช้งานในองค์กรธุรกิจทั่วๆไป

แต่ถ้าต้องการนำไปใช้งานที่ต้องใช้ประสิทธิภาพในการประมวลผลสูงขึ้น หรือการตอบสนองต่อการใช้งานที่ลื่นไหลมากกว่าเดิม การเพิ่มซีพียูเป็น Core i7 เพิ่ม RAM เป็น 32 GB และเลือกใช้ SSD จะทำให้ประสิทธิภาพในการใช้งานโดยรวมดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่แน่นอนว่าขึ้นอยู่กับงบประมาณของแต่ละองค์กรด้วย

สรุป

ในภาพรวมแล้ว Asus ExpertCenter D500SA จะเข้าไปตอบโจทย์องค์กรธุรกิจที่กำลังต้องการอัปเกรดคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปรุ่นเก่าที่มี มาใช้งานเป็นเครื่องที่ใหม่ขึ้น ประสิทธิภาพสูงขึ้น ขนาดกะทัดรัดมากขึ้น และประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญก็คือ Asus มีการรับประกันแบบ Onsite Service 3 ปี และรับประกันอุบัติเหตุ 1 ปีแรกเพิ่มเติมเข้ามาด้วย

องค์กรธุรกิจไหนที่กำลังมองหาเดสก์ท็อปพีซี ขนาดเล็กประสิทธิภาพสูง ExpertCenter D500SA ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ในราคาเริ่มต้นของรุ่น Intel Gen 10 Core i5 ที่ประมาณ 15,000 บาท ขึ้นอยู่กับสเปกที่เลือก และสามารถปรับแต่งสเปกเพิ่มเติม เพื่อนำไปใช้งานให้เหมาะสมกับธุรกิจได้ด้วย

สนใจ Asus ExpertCenter DS500SA สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ https://bit.ly/2NKSiwc

]]>
Review : MSI Summit E15 / B15 โน้ตบุ๊กองค์กรเครื่องแรง ปลอดภัยสูง https://cyberbiz.mgronline.com/review-msi-summit-e15-b15/ Mon, 01 Feb 2021 03:00:25 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34591

ตลาดโน้ตบุ๊กในกลุ่มองค์กรธุรกิจ ถือเป็นอีกกลุ่มที่ได้รับผลตอบรับในเชิงบวก จากสถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้เกิดการทำงานจากที่บ้าน หรือการปรับเปลี่ยนองค์กรธุรกิจสู่โมบิลิตี้เพิ่มมากขึ้น

MSI ถือเป็นแบรนด์โน้ตบุ๊กที่สร้างชื่อเสียงจากบรรดาเกมเมอร์ จนได้รับความเชื่อมั่นในแง่ของประสิทธิภาพในการใช้งาน จึงได้ขยายไลน์ผลิตภัณฑ์โน้ตบุ๊กเพิ่มเติม เพื่อมาตอบโจทย์องค์กรธุรกิจที่มีความต้องการโน้ตบุ๊กคุณภาพ บนมาตรฐานความปลอดภัยที่ได้รับการยอมรับ

MSI Summit ถือเป็นซีรีส์ที่มาเจาะกลุ่มนักธุรกิจที่เน้นในแง่ของประสิทธิภาพในการประมวลผลจากตัวเลือกอย่าง 11th Gen Intel Core i5 และ Core i7 บนจอแสดงผลขนาด 15” นิ้ว ในดีไซน์เรียบหรู เหมาะกับระดับผู้บริหาร

โดย MSI Summit แบ่งออกเป็น 2 รุ่นย่อยหลักๆ คือ Summit B15 ที่เป็นโน้ตบุ๊กธุรกิจระดับพรีเมียมรุ่นเริ่มต้น ในราคา 35,990 บาท และ Summit E15 รุ่นท็อปที่มาพร้อมการ์ดจอแยก ในราคาเริ่มต้น 55,990 บาท

ข้อดี

  • โน้ตบุ๊กประสิทธิภาพสูง บนหน่วยประมวลผล Intel รุ่นใหม่ล่าสุด
  • มีระบบรักษาความปลอดภัย รองรับการทำงานขององค์กรธุรกิจ
  • วัสดุตัวเครื่องเป็นอะลูมิเนียมแบบผิวด้าน ให้ความรู้สึกพรีเมียม
  • MSI Center ช่วยบริหารจัดการระบบใช้งานทรัพยากรต่างๆ ของตัวเครื่อง
  • ใช้งานบนแบตเตอรีได้ต่อเนื่อง

ข้อสังเกต

  • ด้วยการที่ให้พอร์ตมาครบ ทำให้ตัวเครื่องหนา 16.9 มม. น้ำหนัก 1.6 – 1.7 กิโลกรัม
  • รุ่นเริ่มต้นไม่รองรับการปลดล็อกด้วยใบหน้าใน มีเฉพาะสแกนลายนิ้วมือ
  • รุ่น Summit E15 ที่ใช้พลังงานสูง ทำให้อะเดปเตอร์มีขนาดใหญ่ พกพาได้ยากขึ้น

รู้จักซีรีส์ MSI Summit

สำหรับโน้ตบุ๊กในกลุ่มใช้งานทั่วไป และใช้สำหรับองค์กรธุรกิจของ MSI ปัจจุบัน จะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือซีรีส์ Modern ที่เน้นเรื่องความบางเบา พกพาง่าย ใช้งานแบตเตอรีได้ยาวนาน ตามมาด้วยซีรีส์ Prestige ที่เน้นความเป็นพรีเมียม และประสิทธิภาพสูงเพิ่มขึ้นมา

ส่วนในซีรีส์ Summit จะเป็นโน้ตบุ๊กสำหรับองค์กรธุรกิจระดับมืออาชีพ ที่ช่วยเพิ่มภาพลักษณ์ในการเลือกใช้งานสินค้า จากแบรนด์ที่ได้รับความมั่นใจในแง่ของความแรง และประสิทธิภาพตัวเครื่องที่พร้อมช่วยให้การทำงานราบรื่น

ภายในซีรีส์ Summit จะมีโน้ตบุ๊กให้เลือกใน 2 รุ่น ในขนาดหน้าจอ 15 นิ้ว โดยมีตัวเลือกอย่าง Summit B15 ที่เป็นรุ่นเริ่มต้น และ Summit E15 ซึ่งเป็นรุ่นจบของซีรีส์นี้

ความแตกต่างหลักๆ ของ Summit B15 และ E15 จะอยู่ที่สเปกตัวเครื่อง ที่ควรเลือกให้เหมาะสมกับลักษณะการทำงานมากกว่า ในรุ่นเริ่มต้นของ B15 จะมากับซีพียู Intel Core i5 และมีตัวเลือกให้เป็น Core i7 เพิ่มเติม แต่ในรุ่นนี้จะใช้เป็นกราฟิกการ์ด Intel Iris Xe

ในขณะที่ Summit E15 จะได้ความแรงในการใช้งานมากขึ้นด้วย Intel Core i7 ในซีรีส์ 1185G7 ที่ให้การประมวลผลแรงกว่า และยังมาพร้อมกับการ์ดจอแยก GeForce GTX 1650Ti with Max-Q Design ทำให้รองรับทั้งการทำงานทุกประเภท จนถึงนำมาเล่นเกมเพื่อคลายเครียดก็ได้

อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่เป็นโน้ตบุ๊กที่สามารถปรับแต่งเพิ่มเติมได้ ทำให้ลูกค้าในกลุ่มองค์กรธุรกิจ สามารถเลือกปรับสเปกบางส่วนอย่างการเลือกความละเอียดหน้าจอ เพิ่มฟีเจอร์การสัมผัสหน้าจอ รวมถึงการเพิ่มกล้องอินฟาเรด เพื่อใช้งานการปลดล็อกด้วยใบหน้าเพิ่มเติมได้ด้วย

สำหรับราคาจำหน่ายของ MSI Summit B15 เริ่มต้นที่ 35,990 บาท ในรุ่น Core i5 และ 38,990 บาท ในรุ่น Core i7 ในขณะที่ MSI Summit E15 จะเริ่มต้นที่ 55,990 บาท โดยตัวเครื่องจะมาพร้อมซองใส่โน้ตบุ๊ก และเมาส์ไร้สายให้ภายในกล่องด้วย

สเปกของ Summit E15 ที่วางจำหน่ายในประเทศไทย

สำหรับ MSI Summit E15 / B15 ที่วางจำหน่ายในไทย แบ่งออกเป็น 3 รุ่นด้วยกันคือ

MSI Summit E15 A11SCST-219TH
CPU – Intel Core i7-1185G7
GPU – NVIDIA GeForce GTX 1650 Ti Max-Q
Display – 15.6” FHD (1920 x 1080 พิกเซล) , Finger Touch Panel
RAM – DDR4 16 GB
SSD – NVMe 512 GB
ราคา – 55,990 บาท

สเปกของ Summit B15 ที่วางจำหน่ายในประเทศไทย

MSI Summit B15 A11M-065TH
CPU – Intel Core i5-1135G7
GPU – Intel Iris Xe
Display – 15.6” FHD
RAM – DDR4 8 GB
SSD – NVMe 512 GB
ราคา – 35,990 บาท

MSI Summit B15 A11M-064TH
CPU – Intel Core i7-1165G7
GPU – Intel Iris Xe
Display – 15.6” FHD
RAM – DDR4 8 GB
SSD – NVMe 512 GB
ราคา – 38,990 บาท

ใช้งานสำหรับองค์กรธุรกิจ

เมื่อรูปแบบการทำงานเปลี่ยนแปลงไป จากเดิมการเก็บข้อมูลอาจจะอยู่เฉพาะภายในบริษัท แต่ด้วยการทำงานในลักษณะของ Work From Home ทำให้พนักงานจำเป็นต้องเข้าถึงข้อมูลในองค์กรธุรกิจจากโน้ตบุ๊ก ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุดคือการที่องค์กรธุรกิจ เลือกใช้งานโน้ตบุ๊กที่มาพร้อมกับระบบรักษาความปลอดภัย

ภายใน MSI Summit ได้มีการนำระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูลมาตรฐานองค์กรธุรกิจมาใช้งาน โดยเฉพาะการเข้ารหัสข้อมูลด้วย Trusted Platform Module (TPM 2.0) ที่ทำงานร่วมกับ Windows Hello ทั้งการสแกนใบหน้าจากกล้องอินฟาเรด และปลดล็อกเครื่องด้วยลายนิ้วมือ

นอกจากนี้ ยังมีไฟสัญลักษณ์แสดงการทำงานของกล้องเว็บแคม เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานรู้ตัวว่ากำลังเปิดใช้งานกล้องอยู่ จนถึงการล็อกการโอนถ่ายข้อมูลผ่านพอร์ต USB และ MicroSD Card ป้องกันข้อมูลรั่วไหล

ขณะเดียวกัน เพื่อดูแลผู้ใช้งานให้โน้ตบุ๊กทำงานได้ราบรื่นมากที่สุด MSI มีการติดตั้งโปรแกรมอย่าง MSI Center มาอำนวยความสะดวก ในการอัปเกรดระบบปฏิบัติการ และไดรฟ์เวอร์ต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ

รวมถึงเปิดให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าไปตั้งค่าใช้งานตัวเครื่องอย่างง่ายๆ ทั้งการปรับแต่งประสิทธิภาพตัวเครื่องให้ใช้พลังงานอย่างเหมาะสม จนถึงปรับความสว่างหน้าจอ ความแรงพัดลม เพื่อให้ใช้งานเครื่องได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

นอกเหนือจากซอฟต์แวร์ในการทำงานแล้ว MSI Summit ยังผ่านการรับรองมาตรฐานความทนทานทางทหาร (MIL-STD-810G) ที่สามารถป้องกันแรงกดอากาศ อุณหภูมิสูงหรือต่ำเกินไป จนถึงป้องกันข้อมูลเมื่อเครื่องตกกระแทก ทำให้มั่นใจถึงความทนทานของตัวเครื่องได้

การออกแบบ

สำหรับดีไซน์ของ MSI Summit B15 และ Summit E15 ด้วยการที่วางตำแหน่งเป็นโน้ตบุ๊กธุรกิจระดับพรีเมียม วัสดุที่เลือกใช้จึงเป็นอะลูมิเนียมคุณภาพสูง นำมาเคลือบด้วยทรายละเอียด (Sandblasting) ทำให้สัมผัสตัวเครื่องที่ได้มีความหรูหรามากขึ้น

โดยขนาดของทั้ง B15 และ E15 จะอยู่ที่ 356.8 x 233.7 x 16.9 มิลลิเมตรเท่ากัน แต่น้ำหนักของ B15 จะอยู่ที่ประมาณ 1.6 กิโลกรัม ในขณะที่ E15 มีน้ำหนักของการ์ดจอ เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.79 กิโลกรัม

ดีไซน์โดยรวมของทั้ง B15 และ E15 นั้นจะคล้ายคลึงกันทั้งหมด แต่จะมีจุดที่แยกได้ระหว่าง 2 รุ่นนี้ชัดเจนเลยคือ E15 จะมีการเดินขอบทัชแพดสีทอง และบริเวณข้อต่อพับหน้าจอ จะมีสัญลักษณ์ Summit สีทองอยู่ ในขณะที่ B15 จะเป็นสีดำล้วนทั้งหมด

ในส่วนของหน้าจอ B15 จะมากับจอ 15.6 นิ้ว ความละเอียด FHD ซึ่งเป็นจอแบบ IPS แสดงผลสี sRGB ใกล้เคียง 100% ส่วน E15 มีขนาดเท่ากัน แต่จะมีออปชันเพิ่มคือเลือกเป็นหน้าจอแบบสัมผัสได้ เพื่อให้การใช้งานสะดวกขึ้น

ด้านบนหน้าจอจะมีกล้องเว็บแคมความละเอียด HD มาให้ โดยรุ่น E15 จะพิเศษเพิ่มขึ้นตรงที่มีไฟแสดงสถานะการทำงานของกล้องเพิ่มขึ้นมา และเลือกปรับแต่งเป็นกล้องแบบอินฟาเรดเพื่อนำมาใช้ปลดล็อกด้วยใบหน้าได้

อีกรูปแบบการใช้งานที่เพิ่มขึ้นมาในซีรีส์ Summit คือผู้ใช้สามารถกางหน้าจอแบบ 180 องศา ได้ ทำให้สามารถเปิดหน้าจอแชร์ให้เพื่อนร่วมงาน หรือคู่ค้าทางธุรกิจเข้าถึงคอนเทนต์ได้เช่นเดียวกัน

ถัดลงมาในส่วนของคีย์บอร์ดทั้ง 2 รุ่นเลือกใช้คีย์บอร์ดขนาดมาตรฐาน พร้อมมีดีไซน์แบบ Ergonomic Lift ที่จะช่วยยกตัวเครื่องขึ้นเมื่อกางหน้าจอขึ้นมา ช่วยให้องศาเหมาะกับการพิมพ์มากขึ้น พร้อมช่วยระบายความร้อนไปในตัว

บริเวณปุ่มควบคุมของคีย์บอร์ดแถบบน จะมีการปรับแต่งให้เหมาะกับการทำงานมากขึ้น อย่างการเพิ่มปุ่มควบคุมพิเศษ อย่างการเปิดปิดกล้อง และไมโครโฟน รวมถึงมีไฟคีย์บอร์ดมาให้ใช้งานในที่แสงน้อยได้ด้วย

ในส่วนของพอร์ตเชื่อมต่อทั้ง Summit B15 และ E15 ถือว่าให้มาครบถ้วย ซึ่งมีจุดที่แตกต่างกันเล็กน้อย คือในรุ่น B15 ทางฝั่งซ้ายจะมีพอร์ตชาร์จไฟ DC มาให้ ตามด้วย HDMI USB-C USB 3.2 และช่องเสียบหูฟัง

ในขณะที่ E15 จะมีจะไม่มีพอร์ตชาร์จไฟ แต่ให้เป็น USB-C 2 พอร์ต ตามด้วยพอร์ต HDMI และช่องเสียบหูฟังแทน ส่วนทางขวาเป็นพอร์ต USB 3.2 2 พอร์ต และช่องอ่านไมโครเอสดีการ์ด ทั้ง 2 รุ่น

ด้วยการที่ Summit B15 / E15 มีทั้งพอร์ต HDMI และ USB-C ที่เป็น Thunderbolt 4 มาให้ ทำให้สามารถเชื่อมต่อกับจอภาพได้ 2 จอพร้อมกัน ช่วยให้สามารถเชื่อมต่อกับหน้าจอเวลานั่งทำงานในสำนักงาน หรือโฮมออฟฟิศก็ได้ด้วย

สเปก

ทั้งนี้ รุ่นที่นำมาทดสอบในคราวนี้จะมีทั้ง Summit B15 ที่มากับ Intel Core i7-1165G7 ให้ความเร็วสูงสุด 4.7 GHz การ์ดจอ Intel Iris Xe RAM 8 GB SSD 512 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows 10 Pro

ส่วน Summit E15 มากับ Intel Core i7-1185G7 4.8 GHz การ์ดจอ GeForce GTX 1650 Ti with Max-Q Design RAM 16 GB SSD 512 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows 10 Pro เช่นเดียวกัน

สำหรับการเชื่อมต่อรองรับ WiFi 802.11ax บลูทูธ 5.1 แบตเตอรรี Summit E15 เป็นแบบ 4 เซลล์ 82Whr ขณะที่ Summit B15 เป็นแบตเตอรี 52 Whr

ทดสอบประสิทธิภาพ

เร่ิมกันที่ Summit B15 ก่อน จะเห็นได้ว่า ประสิทธิภาพในการประมวลผล เพียงพอกับการใช้งานทั่วไปอยู่แล้ว เพราะตัวเครื่องมากับซีพียูระดับ Core i7 เพียงแต่ถ้ามีการทำกราฟิกขั้นสูงมากขึ้นหรือ 3D อาจจะเริ่มไม่ไหว เพราะไม่มีการ์ดจอแยกมา

ในขณะที่ Summit E15 ที่มากับ Core i7 และการ์ดจอแยก GeForce GTX 1650 Ti with Max-Q Design ทำให้ตัวเครื่องรองรับการใช้งานได้หลากหลายกว่า เหมาะกับการทำงานของครีเอเตอร์มืออาชีพที่สามารถนำไปใช้ในการตัดต่อ หรือทำกราฟิกได้ด้วย

ทั้งนี้ สเปกของเครื่องที่วางจำหน่าย กับที่ทีมงานได้รับมาทดสอบจะมีจุดที่แตกต่างกันบ้างเล็กน้อย แต่ความสามารถโดยรวมจะใกล้เคียงกัน

สรุป

จากการแยกไลน์ผลิตภัณฑ์โน้ตบุ๊กของ MSI มาจับกลุ่มนักธุรกิจระดับพรีเมียม ที่ต้องการโน้ตบุ๊กจอใหญ่ประสิทธิภาพสูง บนมาตรฐานความปลอดภัยในการใช้งาน ทำให้ MSI Summit ทั้งรุ่น B15 และ E15 เป็นรุ่นที่ตอบโจทย์การใช้งานในองค์กรธุรกิจได้เป็นอย่างดี

โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการความแรงในการใช้งาน รวมถึงระยะเวลาการใช้งานต่อเนื่องบนแบตเตอรี อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่รุ่นเริ่มต้นอย่าง Summit B15 ไม่ได้มีการใส่การ์ดจอมาให้ด้วย อาจจะมีข้อจำกัดในการใช้งานเมื่อเทียบกับ Summit E15 ที่ครบเครื่องมากกว่า แลกกับระดับราคาที่แตกต่างกันไป

Gallery MSI Summit E15

Gallery MSI Summit B15

]]>
Review : Microsoft Surface Pro X โน้ตบุ๊ก 2-1 พร้อมใช้ LTE บน TrueMove H https://cyberbiz.mgronline.com/review-microsoft-surface-pro-x/ Tue, 10 Nov 2020 07:01:48 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34118

ในช่วงที่องค์กรธุรกิจกำลังมองหาโน้ตบุ๊กพกพาง่าย เหมาะกับการใช้ทำงาน เพราะเน้นเรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก ทำให้ทรูบิสสิเนส เข้าไปร่วมกับทาง Microsoft เป็นผู้ให้บริการสื่อสารโทรคมนามรายแรกในไทย เริ่มนำ Microsoft Surface สำหรับลูกค้าธุรกิจเข้ามาเริ่มทำตลาด

จุดต่างของ Surface สำหรับลูกค้าธุรกิจคือมากับ Windows 10 Pro ทำให้มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีกว่า Windows 10 Home ของผู้ใช้งานทั่วไป และมีบริการเสริมสำหรับการใช้งานธุรกิจเพิ่มเติมอย่างประกันตัวเครื่อง บริการซ่อม และให้คำปรึกษาในการใช้งานต่างๆ

ประกอบกับ Microsoft Surface Pro X ถือเป็น Surface สำหรับผู้ใช้งานมืออาชีพที่หันมาใช้หน่วยประมวลผล Microsoft SQ1 / SQ2 บนสถาปัตยกรรมแบบ ARM ที่ไมโครซอฟท์ เข้าไปร่วมพัฒนากับ Qualcomm มาพร้อมโมเด็มทำให้สามารถเชื่อมต่อ LTE ได้ทันที

ข้อดี

  • ดีไซน์เรียบหรู เหมาะกับพกพาใช้งาน
  • รองรับการเชื่อมต่อ LTE
  • คีย์บอร์ดพิมพ์สนุกมือ ใช้งานง่าย

ข้อสังเกต

  • ข้อจำกัดในการใช้งานบางโปรแกรม
  • แบตเตอรี เวลาประมวลผลหนักๆ จะหมดค่อนข้างเร็ว
  • พอร์ตเชื่อมต่อค่อนข้างจำกัด (USB-C 2 พอร์ต)

เน้นพกพาใช้งานได้ทุกที่

Microsoft Surface Pro X ถือเป็นซีรีส์ใหม่ในตระกูล Surface ของไมโครซอฟท์ ที่ต้องการควบคุมประสบการณ์ใช้งานแก่ผู้ใช้ให้ดีที่สุด ด้วยการเข้าไปร่วมกับทางผู้ผลิตชิปเซ็ตอย่าง Qualcomm ร่วมกันผลิตชิปเซ็ต Microsoft SQ1 ขึ้นมาใช้งาน

โดย Microsoft SQ1 เป็นหน่วยประมวลผลที่พัฒนาขึ้นบนสถาปัตยกรรมแบบ ARM ทำให้สามารถประหยัดพลังงานได้มากขึ้น และสามารถฝังโมเด็มเข้าไปเพื่อให้ตัวเครื่องสามารถใส่ซิมการ์ดเข้าไป ใช้งาน 4G LTE ได้ทันที ไม่ต้องพึ่งพาเครือข่าย Wi-Fi เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากระบบปฏิบัติการ Windows นั้นแรกเริ่มเดิมทีพัฒนาขึ้นมาใช้งานกับหน่วยประมวลผลบนสถาปัตยกรรมแบบ x86 (32 บิต) และ x64 (64 บิต) ทำให้เมื่อเปลี่ยนมาใช้งาน ARM โปรแกรมหลายๆ อย่างที่พัฒนาขึ้นบน สถาปัตยกรรมแบบเดิม จะยังทำงานได้ไม่สมบูรณ์

ยกเว้นโปรแกรมหลักๆ จาก Microsoft ที่มีการพัฒนาเพิ่มเติมให้สามารถทำงานบน ARM ได้สมบูรณ์แบบแล้ว โดยเฉพาะ Microsoft Office ที่มีความโดดเด่นในแง่ของการทำงานทั้ง Microsoft Word PowerPoint Excel รวมถึง OneNote ด้วย

รวมถึงอีกหลายๆ โปรแกรมที่โหลดใช้งานได้จาก Microsoft Store ทำให้โดยรวมแล้วสามารถใช้งานได้ไม่แตกต่างจากโน้ตบุ๊กทั่วไป แต่ถ้ามีการใช้งานโปรแกรมเฉพาะทางอาจจะต้องลองทดสอบใช้งานดูก่อนว่า สามารถรันใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

หรือในกรณีที่ใช้งานผ่านระบบคลาวด์ ผ่านหน้าเว็บไซต์ เบราว์เซอร์อย่าง Microsoft EDGE ที่พัฒนาขึ้นมาใหม่นี้ มีความรวดเร็วในการใช้งานดีขึ้นอย่างชัดเจน ก็จะช่วยปลดล็อกข้อจำกัดในการใช้งานหลายๆ อย่างได้ด้วย

แบตเตอรีกลายเป็นอีกจุดที่ทำให้ Surface Pro X น่าสนใจ เพราะในการใช้งานบนหน่วยประมวลผล Microsoft SQ1 นั้นจะช่วยประหยัดพลังงานมากกว่าเดิม ทำให้แม้จะมีการเชื่อมต่อกับ 4G LTE ใช้งานไปด้วย ก็สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 11 ชั่วโมง

เหมาะกับองค์ธุรกิจที่หาดีไวซ์ตอบโจทย์

กลับมาที่การทำตลาดของ Microsoft Surface ซึ่งไมโครซอฟท์ เข้าไปร่วมกับทางทรู บิสสิเนส เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าองค์กรธุรกิจ ดังนั้นองค์กรธุรกิจที่สนใจ สามารถเข้าไปปรึกษากับทางทรู บิสสิเนส ได้ว่า ในแต่ละองค์กรเหมาะกับการนำ Microsoft Surface รุ่นไหนไปใช้งาน

หนึ่งในนั้นก็คือ Microsoft Surface Pro X รุ่นนี้ ที่จะแตกต่างจากโมเดลที่ขายให้แก่ผู้บริโภคทั่วไปตรงที่ ตามปกติจะมากับ Windows 10 Home แต่สำหรับลูกค้าองค์กรธุรกิจจะเป็น Windows 10 Pro แทน ซึ่งจะได้ในเรื่องของความปลอดภัยในการใช้งานที่มากขึ้น

เนื่องจากองค์กรธุรกิจนั้นต้องระมัดระวังในแง่ของการเก็บช้อมูล ให้ปลอดภัยมากที่สุด เมื่อใช้งานร่วมกับ Windows 10 Pro ก็จะได้ระบบรักษาความปลอดภัยอย่าง Windows Hello ที่สามารถทำงานร่วมกับกล้องวิดีโอคอลล์ เพื่อใช้ปลดล็อกเครื่องด้วยใบหน้าได้ด้วย

ปัจจุบัน Microsoft Surface Pro X วางจำหน่ายด้วยกัน 4 รุ่นหลักด้วยกัน คือ รุ่นที่มากับชิปเซ็ต Microsoft SQ1 RAM 8 GB SSD 128 GB / 8 GB SSD 256 GB / Microsoft SQ2 RAM 16 GB SSD 256 GB และ RAM 16 GB SSD 512 GB ในราคาเริ่มต้นเดือนละ 2,799 บาท

สำหรับลูกค้าทรูบิสิเนส จะได้รับบริการอย่างให้คำปรึกษาในการเลือกซื้อรุ่นที่เหมาะสม พร้อมแพ็กเกจใช้งานได้ทันที และรับประกันเครื่องนาน 3 ปี และบริการหลังการขายจากทรูบิสสิเนสเพิ่มเติม

การออกแบบ

Microsoft Surface Pro X ออกแบบมาเป็นโน้ตบุ๊กในลักษณะของแท็บเล็ต 2-1 ที่สามารถเชื่อมต่อกับ Signature Keyboard ที่มีช่องลสำหรับเก็บปากกา Surface Slim Pen เพื่อให้พกพาใช้งานได้สะดวกขึ้น

หน้าจอ Surface Pro X มากับจอ PixelSense ขนาด 13 นิ้ว ความละเอียด 2880 x 1920 พิกเซล ความละเอียดเม็ดสีอยู่ที่ 267 ppi อัตราส่วนหน้าจอแบบ 3:2 รองรับการสัมผัส 10 จุด โดยมีดีไซน์ขอบจอบาง

ตัวเครื่องทำจากอะลูมิเนียม มีให้เลือก 2 สี คือ สีดำด้าน และสีเงินแพลตินัม ขนาดของตัวเครื่องอยู่ที่ 287 x 208 x 7.3 มิลลิเมตร นำ้หนัก เฉพาะหน้าจออยู่ที่ราว 774 กรัม เมื่อร่วมกับคีย์บอร์ด และปากา ก็จะอยู่ที่ราว 1 กิโลกรัม

รอบตัวเครื่องจะมีปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิด/ปิดเครื่องอยู่ด้านบน ด้านซ้าย มีพอร์ต USB-C 2 ช่อง เท่านั้น ส่วนทางขวาเป็น Surface Connect สำหรับเสียบสายชาร์จ

ด้านหลังตัวเครื่อง ถือเป็นจุดเด่นของ Surface Pro X ก็คือขาตั้ง Kickstand ที่สามารถปรับเปลี่ยนมุมมองในการใช้งานได้หลากหลาย เหมาะกับทั้งใช้เป็นโน้ตบุ๊ก หรือเป็นแท็บเล็ตเพื่อจดบันทึกข้อมูลก็ได้

ใต้ขาตั้ง Kickstand บริเวณมุมเครื่อง จะมีช่องใส่ซิมการ์ดแบบนาโนซิมอยู่ ในกรณีที่ซื้อเครื่องใช้งานกับทางทรูบิสสิเนส ก็จะมีซิม 4G LTE ของ TruemoveH มาให้ใช้งานพร้อมแพ็กเกจด้วย

 

อีกความพิเศษที่จะเปลี่ยนให้ Surface Pro X ทำงานได้ไม่ต่างจากโน้ตบุ๊กทั่วไปก็คือ Signature Keyboard ที่มีความพิเศษตรงสามารถปรับองศาการพิมพ์ได้ คือการยกองศาขึ้นมาเล็กน้อย หรือวางให้แบนราบไปกับพื้นก็ได้

ในช่วงที่ใช้งาน Signature Keyboard แบบยกองศาขึ้นมานั้น จะเป็นการซ่อนช่องเก็บปากกา Surface Slim Pen ไปด้วย ถ้าต้องการใช้งานปากกาก็แค่ปรับมุมคีย์บอร์ดออกมาเป็นแนวราบนั่นเอง

สรุป

องค์กรธุรกิจที่กำลังมองหาโน้ตบุ๊กให้พนักงาน หรือผู้บริหารใช้งาน โดยเฉพาะในยุคที่การทำงานสามารถทำงานที่ไหนก็ได้ Microsoft Surface Pro X พร้อมกับบริการให้คำปรึกษาจาก TrueMove H น่าจะเข้ามาช่วยหาโซลูชันที่ตอบโจทย์ได้ไม่ยาก

อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก Surface Pro X เป็นการนำซีพียูรุ่นใหม่ที่ทาง Microsoft ผลิตขึ้นมาบนสถาปัตยกรรมแบบใหม่ อาจทำให้โปรแกรมเดิมที่เคยใช้งานบน Windows 10 ได้ อาจจะไม่สามารถใช้งานบน Pro X ได้ ซึ่งแนะนำให้ตรวจสอบให้ดีก่อนเลือกซื้อมาใช้งาน

Gallery

]]>
Review : ASUS ExpertBook P1410CDA โน้ตบุ๊กครบเครื่องสำหรับองค์กรธุรกิจ https://cyberbiz.mgronline.com/review-asus-expertbook-p1410/ Thu, 17 Sep 2020 03:20:46 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=33590

การที่เอซุส (Asus) ต้องการบุกเข้ามาในตลาดโน้ตบุ๊กสำหรับองค์กรธุรกิจ พร้อมกับตั้งเป้าหมายขึ้นเป็นผู้นำในตลาดนี้ภายใน 3 ปีข้างหน้า สอดคล้องกับยุคการทำงานรูปแบบใหม่ที่องค์กรธุรกิจหลายแห่งต่างต้องปรับตัว เตรียมความพร้อมให้แก่พนักงาน ในกรณีที่ต้องทำงานจากนอกสถานที่ นำให้โน้ตบุ๊กกลับมาได้รับความนิยมอีกรั้ง

จุดเด่นของ Asus ExpertBook P1คือมาพร้อมกับ Windows 10 Pro ที่เหมาะกับการใช้งานในองค์กรธุรกิจ พร้อมการล็อกอินแบบสแกนลายนิ้วมือที่ทำงานร่วมกับ Windows Hello เมื่อผสมผสานกับระบบบริหารจัดการของ My Asus ทำให้กลายเป็นโน้ตบุ๊กที่เหมาะกับพนักงานที่ต้องการความคล่องตัวในการทำงานได้ทันที

ในขณะเดียวกัน ด้วยการเลือกใช้หน่วยประมวลผลจาก AMD Ryzen 7 ที่พัฒนาขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนที่เหลืออย่าง RAM พื้นที่เก็บข้อมูลต่างๆ สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการของแต่ละองค์กรธุรกิจ จึงรองรับทั้งการใช้งานทั่วไป จนถึงการเป็นเครื่องประสิทธิภาพให้พนักงานได้ใช้งาน

ข้อดี

  • โน้ตบุ๊กองค์กรรุ่นเริ่มต้นที่สามารถปรับแต่งได้ตามการใช้งาน
  • พอร์ตเชื่อมต่อครบ มีให้ทั้ง USB-C HDMI และอะเดปเตอร์เชื่อมต่อ LAN / VGA
  • มี Windows 10 Pro ให้เลือกซึ่งเหมาะกับใช้งานในองค์กรธุรกิจมากกว่า
  • เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือเพื่อความปลอดภัย

ข้อสังเกต

  • ตัวเครื่องค่อนข้างหนา น้ำหนัก 1.65 กิโลกรัม
  • จอรุ่นเริ่มต้นยังไม่เป็น Full HD แต่สามารถปรับแต่งได้

สำหรับสเปกของ ASUS ExpertBook P1410CDA ในรุ่นเริ่มต้น ประกอบด้วย

  • OS : Windows 10 Pro 
  • CPU : AMD Ryzen 7 3700U
  • GPU : Radeon Vega 10
  • RAM : DDR4 8 GB
  • พื้นที่เก็บข้อมูล : HDD 1 TB
  • หน้าจอ :14  นิ้ว HD (1366 x 768 พิกเซล)
  • การเชื่อมต่อ : WiFi 5 / Bluetooth 4.2
  • แบตเตอรี่ : 32Whr 2 เซลล์
  • น้ำหนัก : 1.65 กิโลกรัม
  • ราคา : เริ่มต้น 8,xxx บาท สอบถามผ่านตัวแทนจำหน่ายที่ http://bit.ly/2wAuouV

โน้ตบุ๊กครบเครื่องสำหรับองค์กรธุรกิจ

เมื่อเป็นโน้ตบุ๊กสำหรับองค์กรธุรกิจ สิ่งที่หลายองค์กรให้ความสำคัญเลยคือต้องซื้อแล้วจบ สามารถเลือกปรับสเปกได้ตามความต้องการ มีการรับประกันที่ดี และที่สำคัญคือแกะกล่องมาต้องพร้อมใช้งาน

ด้วยเหตุนี้ Asus จึงทำการบ้านมาค่อนข้างดีสำหรับ ExperBook P1410CDA ด้วยการที่มีตัวเลือกให้ลูกค้าสามารถปรับแต่งได้ตั้งแต่การเลือกหน่วยประมวลผล ที่มีตัวเลือกเริ่มต้นเป็น Ryzen 3 (3200U) Ryzen 5 (3500U) และ Ryzen 7 (3700U)

ในขณะที่ระบบปฏิบัติการก็สามารถเลือกได้ว่าจะใช้งานคู่กับ Windows 10 Home หรือ Windows 10 Pro แต่ทางเลือกที่แนะนำสำหรับใช้งานในองค์กรธุรกิจคือ Windows 10 Pro ที่จะมีฟีเจอร์สำหรับการทำงานที่เพิ่มขึ้น เหมาะกับการใช้ทางธุรกิจโดยเฉพาะ

นอกจากนี้ องค์กรธุรกิจยังสามารถเลือกปรับ RAM ได้สูงสุด 16 GB พื้นที่เก็บข้อมูลแบบคู่ ที่สามารถใส่ SSD ได้สูงสุด 512 GB คู่กับ HDD สูงสุด 1 TB ซึ่งแน่นอนว่าขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งาน ถ้าให้แนะนำคือเริ่มต้นด้วย SSD 128 GB กับ HDD 500 GB เพื่อเก็บข้อมูล ก็เพียงพอกับการใช้งานของพนักงานทั่วไปแล้ว

ถัดมาคือตัวเลือกในการปรับแต่งจอ โดยจอรุ่นเริ่มต้นที่ให้มาจะเป็นขนาด 14 นิ้ว ความละเอียด 1366 x 768 พิกเซล ที่สามารถปรับเลือกได้เป็น 14 นิ้ว Full HD 1920 x 1080 พิกเซล

ในขณะที่การรับประกันของ Asus จะประกอบไปด้วย บริการซ่อมถึงที่ 3 ปี (3 Year Onsite Service) รับประกัน 3 ปีทั่วโลก (3 Year Global Warranty) เพิ่มเติมด้วย ประกันอุบัติเหตุในปีแรก (1 Year Perfect  Warranty) ทำให้สบายใจในการใช้งานได้

สุดท้ายคือความพร้อมในการใช้งาน Asus ถือว่าทำการบ้านมาค่อนข้างดีตั้งแต่การออกเดสก์ท็อปอย่าง ExpertPC ด้วยการให้อุปกรณ์เสริมอย่างเมาส์ USB มาให้ภายในกล่อง และยังไม่หมดแค่นั้น เพราะมีอะเดปเตอร์แปลงพอร์ต USB เป็น LAN และ HDMI เป็น VGA มาให้ในกล่องด้วย

เรียกได้ว่าแกะกล่องมาทำการล็อกอินเข้าใช้งาน Windows 10 Pro เรียบร้อย ก็พร้อมใช้งานได้ทันที และในกรณีที่ต้องการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ ก็มีพอร์ตให้ใช้งานครบครัน

ภาพรวมตัวเครื่อง ExpertBook P1

ในแง่ของการออกแบบ ExpertBook P1 ถือว่าทำออกมาได้น่าสนใจ จากการนำจอแบบ NanoEdge มาใช้งาน ช่วยให้ตัวเครื่องมีขนาดเล็กลง เมื่อเทียบกับขนาดหน้าจอ 14 นิ้ว ตัวจอจะมีสัดส่วนถึง 82% ของตัวเครื่อง โดยมีขอบจออยู่ที่ 6.5 มิลลิเมตร

โดยตัวหน้าจอที่ให้มามีขนาด 14 นิ้ว ความละเอียด 1366 x 768 พิกเซล ซึ่งเป็นจอผิวด้าน ที่เคลือบป้องกันแสงสะท้อน ให้มุมมองภาพ 178 องศา ด้านบนจะมีกล้อง VGA ให้ใช้งานเพื่อประชุมสายทางไกลได้ ส่วนด้านล่างจะมีโลโก้ ASUS สีเงินอยู่

ถัดลงมาในส่วนของคีย์บอร์ดที่ออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ โดยทางเอซุสมีการเสริมความแข็งแรงของตัวเครื่องด้วยการนำโครงสร้างโลหะชิ้นเดียวมาใช้งาน แป้นพิมพ์มีระยะการกดที่ 1.4 มิลลิเมตร ช่วยให้พิมพ์ใช้งานได้สะดวกขึ้น

ขณะเดียวกับแถบคำสั่งลัดที่ให้มาบริเวณปุ่ม Fn ถือว่าครบ ตั้งแต่การปรับระดับเสียง ความสว่างหน้าจอ ปิดการใช้งานทัชแพด สลับหน้าจอ ปิดกล้อง จับภาพหน้าจอ เรียกโปรแกรมจัดการ My Asus

ต่อเนื่องมาในส่วนของทัชแพด ที่หลังๆ เอซุส พัฒนาการใช้งานมาได้น่าสนใจ การควบคุมสั่งงานด้วยทัชแพด ลื่นไหลดี และในรุ่นนี้ยังมีการฝังเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือมาที่มุมขวาบนของทัชแพด เพื่อใช้ปลดล็อกใช้งานเครื่องด้วย

บริเวณที่วางข้อมือทางฝั่งซ้าย จะมีสัญลักษณ์ ExpertBook อยู่ ส่วนทางฝั่งขวาเป็นข้อความ Sonic Master ที่เป็นเทคโนโลยีลำโพงของเครื่องรุ่นนี้ ซึ่งให้พลังเสียงได้ดีทีเดียว

ในส่วนของพอร์ตการเชื่อมต่อทางซ้าย จะมีช่องเสียบสายชาร์จ พอร์ต USB-C 3.1 HDMI และ USB 3.1 อีก 1 พอร์ต

ขณะที่ทางขวา จะมีพอร์ตล็อกเครื่อง Kensington ตามด้วย USB 2.0 อีก 2 พอร์ต ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. และช่องอ่านไมโครเอสดีการ์ด

ส่วนของแบตเตอรีที่ให้มาอยู่ที่ 32 Whr โดยทางเอซุส ระบุว่า เมื่อทำงานร่วมกับอะเดปเตอร์ 65W จะสามารถชาร์จได้ 60% ภายใน 49 นาที

ฟีเจอร์ที่น่าสนใจ

ด้วยการที่ ExpertBook P1 ถูกออกแบบมาสำหรับใช้งานภายในองค์กร ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเรื่องของการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล โดยใน ExpertBook P1 ได้มีการนำมาตรฐานการป้องกันฮาร์ดดิสก์ EAR HDD มาใช้งาน

โดยจะช่วยป้องกันฮาร์ดดิสก์ ที่จะมีการตรวจจับแรงสั่นสะเทือน และตัดการทำงานของฮาร์ดดิสก์ เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลที่เก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์ได้รับผลกระทบ ประกอบกับเปิดให้สามารถใช้พื้นที่เก็บข้อมูลคู่ SSD + HDD ทำให้ปลอดภัยมากขึ้น

ขณะเดียวกันด้วยการที่ Windows 10 Pro รองรับการใช้งาน Windows Hello ที่สามารถใช้งานร่วมกับเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือเพื่อปลดล็อกเครื่องได้ จะช่วยให้ผู้ไม่หวังดีไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลในตัวเครื่องได้ด้วย

นอกจากนี้ การที่เอซุส มีโปรแกรมบริหารจัดการตัวเครื่องอย่าง My Asus มาให้ ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าไปตรวจสอบการอัปเดตไดรฟ์เวอร์ และตรวจสอบการใช้งานของตัวเครื่องได้

เพิ่มเติมด้วยการปรับโหมดชาร์จแบตเตอรี ที่สามารถเลือกได้ว่าจะใช้โหมดความจุเต็ม ที่จะชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี 100% รองรับการใช้งานระหว่างเดินทาง หรือเลือกใช้โหมดสมดุล ที่จะชาร์จแบตเตอรีไว้ที่ 80% และโหมดยืดอายุการใช้งาน ที่จะชาร์จสูงสุด 60% เพื่อยืดระยะประจุของแบตเตอรี

ทดสอบประสิทธิภาพ

ภาพรวมของการใช้งาน Asus ExpertBook P1 ในรุ่นเริ่มต้นนั้น ถือว่าเหมาะกับการใช้งานเอกสารทั่วไปภายในสำนักงานเป็นหลัก รวมถึงรองรับทางด้านความบันเทิงระดับเริ่มต้น เนื่องจากตัวจอไม่ได้เป็นแบบ Full HD 

ขณะเดียวกัน การใช้งานบนแบตเตอรีนั้น ถ้าเปิดความสว่างหน้าจอ 50% ใช้งานทั่วไป จะใช้งานต่อเนื่องได้ราว 5 ชั่วโมง 44 นาที และถ้าปรับความสว่างหน้าจอเป็น 100% จะใช้ได้ต่อเนื่อง 4 ชั่วโมง 51 นาที

ส่วนถ้าต้องใช้งานประมวลผลหนักๆ ต่อเนื่องจะอยู่ที่ราว 1 ชั่วโมง 15 นาที เท่านั้น เนื่องจากยังใช้ซีพียูเป็น Ryzen 7 3700U ที่ใช้สถาปัตยกรรมแบบ Zen+ 12 นาโนเมตร ซึ่งถ้าอัปเกรดเป็น Ryzen 4000 ซีรีส์ที่ใช้ 7 นาโนเมตร ก็จะประหยัดแบตเตอรีมากขึ้น

ส่วนผลการทดสอบจากโปรแกรมทดสอบต่างๆ สามารถดูผลได้จากอัลบั้มด้านล่าง

สรุป

Asus ExpertBook P1 ที่ถือเป็นโน้ตบุ๊กรุ่นเริ่มต้นของทางเอซุส กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ สำหรับบรรดาธุรกิจ SMEs จนถึงองค์กรธุรกิจขนาดกลาง และใหญ่ ที่ต้องการโน้ตบุ๊กประสิทธิภาพดี รองรับมาตรฐานความปลอดภัยต่างๆ

โดยเฉพาะการเปิดทางเลือกให้สามารถปรับแต่งสเปก ตามแต่ความต้องการขององค์กรธุรกิจ มีพอร์ตเชื่อมต่อที่ครบครัน ที่สำคัญคือทำงานบน Windows 10 Pro ที่รองรับการอัปเกรดแพทซ์ เพื่อความปลอดภัยของข้อมูลภายในตัวเครื่องด้วย

Gallery

]]>