เครื่องฟอกอากาศ – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Thu, 31 Dec 2020 03:28:38 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : Mi Air Purifier 3C เครื่องฟอกอากาศใช้งานง่าย ราคาเข้าถึงได้ https://cyberbiz.mgronline.com/review-mi-air-purifier-3c/ Thu, 31 Dec 2020 03:21:31 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34452

ปัจจุบันเครื่องฟอกอากาศภายในห้อง ได้กลายเป็นอีกหนึ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีความจำเป็น โดยเฉพาะในช่วงปลายปี ต่อเนื่องถึงต้นปี ที่สภาพอากาศหลายพื้นที่ในประเทศไทย เริ่มกลับมาได้รับผลกระทบจากฝุ่น PM 2.5 จนทำให้ผู้บริโภคต้องหาทางแก้ไขด้วยการเลือกหาเครื่องฟอกอากาศมาใช้งาน

Mi Air Purifier 3C ถือเป็นเครื่องฟอกอากาศรุ่นเริ่มต้นของ Xiaomi ในตอนนี้ ด้วยการเปิดราคาจำหน่ายมาที่ 3,190 บาท รองรับการเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน Mi Home เพื่อใช้ควบคุมระยะไกล ส่วนไส้กรองสามารถดักจับอนุภาคขนาดเล็ก 0.3 ไมครอน ได้ 99.97% ตามมาตรฐานของไส้กรอง HEPA

โดนในรุ่นนี้ถ้าเทียบกับ Air Purifier 2S หรือ Air Purufier 3H ที่มีขนาดใกล้เคียงกัน และวางจำหน่ายก่อนหน้านี้ จะมีการตัดฟีเจอร์อย่างการวัดอุณหภูมิ และระดับความชื้นในอากาศออกไป มาเน้นที่การเป็นเครื่องกรองอากาศหลักๆ แทน

ข้อดี

  • เครื่องฟอกอากาศ ไส้กรอง HEPA กรองอนุภาค 0.3 ไมครอน 99.97%
  • ครอบคลุมพื้นที่สูงสุด 38 ตารางเมตร
  • รองรับการเชื่อมต่อกับแอปฯ สั่งงานผ่านสมาร์ทโฟน

ข้อสังเกต

  • ไม่สามารถวัดอุณหภูมิ และความชื้นในอากาศได้

ความแตกต่าง Mi Air Purifier แต่ละรุ่น

Xiaomi เริ่มนำ Mi Air Purifier 3C เข้ามาเสริมตลาดเครื่องกรองอากาศในประเทศไทย ด้วยการวางตำแหน่งให้อยู่ในรุ่นเริ่มต้น เข้ามาแทนที่ Air Purifier 2S รุ่นเดิม ตามด้วย Air Purifier 3H ที่มีขนาดเครื่องใกล้เคียงกัน ก่อนขยับขึ้นไปเป็น Air Purifier Pro และ Air Purifier Pro H ที่ตัวเครื่องมีขนาดใหญ่ขึ้น

โดยความสามารถหลักในการกรองอากาศ กรองฝุ่น PM ต่างๆ ทำได้เหมือนกันทุกรุ่น เพราะใช้ไส้กรอง HEPA รุ่นเดียวกัน ทำให้สามารถกรองอนุภาคเล็ก 0.3 ไมครอนได้ถึง 99.97% ทำให้การเลือกซื้อมาใช้งานจะคำนวนจากขนาดพื้นที่เป็นหลัก

ในรุ่นเริ่มต้น 3C จะเหมาะกับใช้ในห้องนอน หรือห้องรับแขกที่มีพื้นที่ประมาณ 22-38 ตารางเมตร ถัดมาคือ 3H ที่ครอบคลุมเพิ่มขึ้นมาเป็น 26-45 ตารางเมตร เหมาะกับการใช้งานในบ้าน หรือวางตามห้องต่างๆ

ส่วนรุ่น Pro จะสามารถฟอกอากาศในห้องที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ถ้ามีบ้านที่ห้องรับแขกกว้างๆ หรือเลือกใช้ในสถานที่ทำงาน ก็จะเหมาะกว่า เพราะสามารถฟอกอากาศได้ครอบคลุม 35-60 ตารางเมตร ตามด้วย Pro H ที่ครอบคลุมพื้นที่สูงสุด 72 ตารางเมตร

ดังนั้น ในการเลือกซื้อมาใช้งาน แนะนำให้ลองคำนวนจากขนาดห้องดู อย่างถ้าเป็นการใช้งานตามคอนโด หรือหห้องหักที่มีขนาดไม่เกิน 38 – 45 ตารางเมตร รุ่นอย่าง 3C และ 3H ก็เพียงพอกับการใช้งานแล้ว แต่ถ้าต้องการนำไปใช้ฟอกอากาศในห้องที่มีขนาดใหญ่กว่านั้น ก็แนะนำให้เลือกรุ่น Pro ใช้งานแทน

การออกแบบ

ดีไซน์โดยรวมของ Mi Air Purifier 3C นั้น ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก เพราะยังมากับรูปทรงสี่เหลี่ยมแนวตั้ง สไตล์มินิมอล สีขาว ทำให้สามารถนำไปวางเข้ากับเฟอนิเจอร์ในบ้านได้สบายๆ ซึ่งในรุ่น 3C จะปรับเปลี่ยนในส่วนของแผงวงจร และระบบไฟต่างๆ ขึ้นมาอยู่ส่วนบนเครื่องแทน

โดยผู้ใช้สามารถยกถอดบริเวณพัดลมขึ้นมา ด้วยการกดสลักปลดล็อกข้างเครื่องได้ทันที เมื่อถอดออกมาก็จะสามารถเปลี่ยนไส้กรอง HEPA ด้านในได้ทันที แตกต่างจากรุ่นเดิมอย่าง 2S หรือ 3H ที่จะเป็นฝาหลังเครื่องให้ถอดเปลี่ยน ทำให้ในรุ่น 3C นี้ สามารถถอดฐานส่วนล่างไปทำความสะอาดได้ด้วย

ส่วนปุ่มสั่งงานต่างๆ ยังอยู่ด้านบนเช่นเดิม โดยปุ่มทางฝั่งซ้าย เมื่อกดจะเป็นการปรับความสว่างของจอแสดงผลมีให้เลือกทั้งสว่าง หรี่ และปิดหน้าจอ ส่วนปุ่มทางขวาใช้ในการสลับโหมดฟอกอากาศเช่นเดิม และเป็นปุ่มเปิดปิดเครื่องด้วยการกดค้างไว้

หน้าจอแสดงผล จะขึ้นแสดงข้อมูล PM2.5 โดยใช้สีเขียวสำหรับอากาศที่บริสุทธ์ สีเหลือง และสีแดง แสดงว่าค่าฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐาน ตามด้วยสัญลักษณ์โหมดใช้งานต่างๆ ประกอบด้วยอัตโนมัติ กลางคืน และปรับความแรงด้วยตนเอง

 

หลังเครื่องจะมีเซ็นเซอร์วัดคุณภาพอากาศอยู่ ซึ่งจะทำงานร่วมกับตัวเครื่องเพื่อคำนวนความแรงในการฟอกอากาศให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติด้วย ดังนั้นเวลาวางเครื่องใช้งาน ควรเผื่อพื้นที่ด้านหลังเครื่องให้สามารถเก็บค่าสภาพอากาศด้วย

การทำงานของ Mi Air Purifier 3C จะใช้การดูดอากาศจากด้านล่างเครื่อง ผ่านไส้กรอง HEPA และฟอกอากาศออกด้วยพัดลมด้านบนตัวเครื่อง ทำให้อากาศเกิดการหมุนเวียน และฟอกอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย โดยสามารถสร้างอากาศบริสุทธิ์ (CADR) อยู่ที่ 320 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง

ควบคุมผ่านระบบ Smart Home

จุดเด่นอย่างหนึ่งของอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าของ Mi คือการที่ออกแบบมาให้รองรับการเชื่อมต่อกับแอป Mi Home ทำให้ผู้ใช้สามารถสั่งงานตัวเครื่องผ่านสมาร์ทโฟนได้ทันที ทำให้เราสามารถตั้งเปิดเครื่องฟอกอากาศก่อนเข้าบ้านได้ เพื่อให้เวลาที่ถึงบ้านอากาศภายในห้องจะได้รับการปรับอากาศเรียบร้อยแล้ว

นอกจากนี้ ถ้ามีการติดตั้งอุปกรณ์ Smart Home ต่างๆ ใช้งานภายในบ้าน ก็สามารถสั่งเปิดปิด เครื่องฟอกอากาศได้จาก Google Assistant ด้วย โดยเฉพาะผู้ที่มี Google Nest เวลาออกจากบ้านก็ใช้คำสั่งเสียง สั่งปิดเครื่องฟอกอากาศได้ทันที

ส่วนการแสดงผลในแอป Mi Home นั้นจะมีทั้งบอกคุณภาพอากาศ เลือกปรับเปลี่ยนโหมดในการฟอกอากาศได้ โดยเฉพาะปรับความแรงของการฟอกอากาศที่ต้องปรับผ่านแอปพลิเคชันเท่านั้น ที่เหลือก็จะแสดงข้อมูลไส้กรองว่าใช้งานไปแล้วกี่เปอเซนต์ สามารถตั้งเวลาเปิดปิดเครื่อง ปรับเสียงปิดหน้าจอได้ด้วย

สรุป

Mi Air Purifier 3C ถือเป็นเครื่องฟอกอากาศรุ่นเริ่มต้น ที่มีความอัจฉริยะในตัว และรองรับการควบคุมผ่านระบบ Smart Home ได้ด้วย ดังนั้น ใครที่กำลังมองหาเครื่องฟอกอากาศราคาไม่สูงมากนักรุ่นนี้น่าจะตอบโจทย์ได้ไม่ยาก

สำหรับราคาจำหน่ายของ Mi Air Purifier 3C อยู่ที่ 3,190 บาท และมีการทำโปรโมชันพิเศษผ่านการจำหน่ายช่องทางออนไลน์ทั้ง Lazada / Shopee / JD Central ที่บางช่วงราคาไม่ถึง 3,000 บาท ด้วย ส่วนในกรณีที่ใช้งานไปนานๆ แล้วต้องการเปลี่ยนไส้กรองก็สามารถหาซื้อได้ในราคาประมาณ 8-900 บาท

Gallery

]]>
Review : Samsung Blue Sky AX5500 เครื่องฟอกอากาศควบคุมได้ผ่านมือถือ https://cyberbiz.mgronline.com/review-samsung-blue-sky-ax5500/ Mon, 30 Dec 2019 03:53:22 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=31924

สภาพอากาศภายในเมือง และบริเวณภาคเหนือที่ปกคลุมด้วยฝุ่น PM2.5 ทำให้ผู้บริโภคชาวไทย เริ่มให้ความสนใจกับการจัดการปัญหาเรื่องฝุ่นมากขึ้น ทั้งมีความรู้ในการป้องกัน จนถึงการหาอุปกรณ์มาช่วยป้องกันฝุ่น และมลพิษภายในบ้าน

ด้วยเหตุนี้จึงได้เห็นผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องปรับอากาศหลายแบรนด์ ต่างเริ่มทยอยนำผลิตภัณฑ์เครื่องฟอกอากาศเข้ามาทำตลาดในไทย Samsung เป็น 1 ในแบรนด์ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยทำตลาดเครื่องฟอกอากาศมาก่อน แต่เป็นผู้นำในกลุ่มแอร์ภายในบ้าน จึงตัดสินใจเพิ่มไลน์สินค้านี้เข้ามาทำตลาด

ประเดิมด้วยไลน์อัปของ Blue Sky ที่มีให้เลือกใช้งานตามขนาดของพื้นที่ ไล่ตั้งแต่พื้นที่ 40 ตารางเมตร จนถึง 90 ตารางเมตร ในรุ่น AX3300 AX5500 และ AX7500 โดยรุ่นที่ได้รับมาทดสอบคือรุ่น AX5500 ที่สามารถใช้ฟอกอากาศได้ครอบคลุมพื้นที่ 60 ตารางเมตร

ข้อดี

  • รองรับการสั่งงานด้วยเสียง
  • ควบคุมได้ผ่านสมาร์ทโฟน
  • มีโหมดเงียบฟอกอากาศเวลานอน

ข้อสังเกต

  • ราคาแผ่นกรองอากาศ ยังค่อนข้างสูง (2,290 บาท)
  • เซ็นเซอร์ตรวจจับฝุ่นอยู่ทางฝั่งขวา ทำให้ไม่สามารถวางชิดผนังได้

ตัวเครื่อง Samsung AX5500

เครื่องฟอกอากาศ Samsung AX5500 มีขนาดอยู่ที่ 36 x 78.3 x 29.3 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 11.2 กิโลกรัม โดยตัวเครื่องมีให้เลือกเฉพาะสีขาวเท่านั้น วัสดุหลักที่ใช้งานเป็นพลาสติก ที่รองรับการยืดหยุ่นได้ดี

สำหรับทิศทางที่ฟอกอากาศออกมา จะเป็น 3 ทิศทางคือด้านบน ด้านซ้าย และด้านขวา ซึ่งทั้งทางซ้าย และขวา จะพัดลมในทิศที่เยื้องมาข้างหน้า เพื่อให้สามารถวางเครื่องฟอกอากาศด้านหลังชิดกับผนังได้ ไม่ต้องกังวลว่าจะฟอกอากาศไม่ครอบคลุมทั่วห้อง

บริเวณแฝงด้านหน้าจะใช้เป็นส่วนในการดูดอากาศเข้าไป โดยสามารถอดฝาส่วนนี้ออกได้ แล้วภายในจะเป็นฟิลเตอร์กรองอากาศอยู่ภายใน ซึ่งถ้าใช้งานจนสกปรกสามารถซื้อมาเปลี่ยนใหม่ได้เอง

การควบคุม

การควบคุมใช้งานเครื่องฟอกอากาศ สามารถทำได้ผ่านแผงควบคุมระบบสัมผัสที่อยู่ส่วนบนของตัวเครื่อง ใกล้ๆ กับบริเวณที่ฟอกอากาศออกมา โดยจะใช้การแสดงผลแบบดิจิทัลทั้งหมด และมีไฟบอกคุณภาพอากาศให้เห็นในระยะไกลด้วย

แถบไฟแสดงสถานะ Air Quality Indicator จะมีการปรับเปลี่ยนตามฝุ่นที่ตรวจพบภายในห้อง โดยการนำสีมาใช้เป็นตัวบอกคุณภาพอากาศ ไล่จากสีแดง สีเหลือง สีเขียว และสีฟ้า ซึ่งถ้าเป็นสีฟ้าแปลว่าอากาศบริสุทธิ์มากที่สุด

ส่วนปุ่มควบคุม จะมีตั้งแต่เปิดปิดเครื่อง ปรับความเร็วลม เข้าโหมดเงียบ (Sleep Mode) ตั้งเวลา เปิดปิดไฟแสดงข้อมูล และเลือกดูหน่วยของ PM ที่มีตั้งแต่ PM10 PM2.5 และ PM1.0

ส่วนของจอแสดงผลก็จะมีแสดงคุณภาพอากาศ พร้อมใข้ต้นไม้มาคอยบอกคุณภาพ ตามด้วยตัวเลขบอกคุณภาพของอากาศ ที่ดูได้ตั้งแต่ PM10 PM2.5 และ PM 1.0 ในระดับ ug/m3 ตามด้วยแก๊ส ความแรงลม และสัญลักษณ์การเชื่อมต่อไวไฟ

ในการเชื่อมต่อไวไฟ จะต้องกดเปิดใช้งานก่อน โดยสามารถกดปุ่ม Sleep Mode ค้างไว้ 3 วินาที เพื่อเปิดการเชื่อมต่อไวไฟ เพื่อให้สมาร์ทโฟนสามารถเชื่อมต่อกับเครื่องฟอกอากาศนี้ได้

ใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟน

จุดเด่นที่ Samsung ชูขึ้นมาสำหรับเครื่องฟอกอากาศรุ่นนี้ คือรองรับการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน เพื่อควบคุมใช้งานได้ทุกที่ทุกเวลา โดยผู้ใช้ต้องควบคุมผ่านแอปพลิเคชัน SmartThing ด้วยการเพิ่มเครื่องฟอกอากาศเข้าไปก่อน

หลังจากนั้น ผู้ใช้สามารถเข้าไปดูสถานะการทำงานของเครื่อง สั่เปิดปิดเครื่องได้ผ่านแอปทันที (ในกรณีที่เสียบปลั้ก และเชื่อมต่อไวไฟอยู่) ทำให้กรณีที่กำลังกลับเข้าบ้าน หรือห้องคอนโด สามารถสั่งเปิดเครื่องล่วงหน้า ให้ฟอกอากาศก่อนถึงห้องได้ด้วย

นอกจากนี้ ก็สามารถกดเพื่อปรับความแรง เปลี่ยนโหมดใช้งาน หรือดูคุณภาพอากาศได้ด้วย รวมถึงการแจ้งเตือนเพื่อบำรุงรักษา ในกรณีที่ต้องเปลี่ยนฟิลเตอร์ ก็จะมีการแจ้งเตือนขึ้นมาให้สั่งฟิลเตอร์มาเปลี่ยน

เมื่อเชื่อมต่อกับ SmartThings แล้ว ก็จะช่วยให้สามารถเชื่อมต่อเครื่องฟอกอากาศเข้ากับผู้ช่วยส่วนตัวอย่าง Bixby ได้ ทำให้ผู้ใช้สามารถสั่งเปิด ปิด เครื่องด้วยคำสั่งเสียงเพิ่มเติมขึ้นมาด้วย

ประสิทธิภาพในการฟอกอากาศ

ด้วยการที่มีตัวเลข และไฟแสดงคุณภาพอากาศชัดเจน ทำให้ผู้ใช้เห็นได้เลยว่าตัวเครื่องฟอกอากาศได้เร็วแค่ไหน ซึ่งถ้าซื้อเครื่องฟอกอากาศที่เหมาะกับขนาดของห้องที่นำมาใช้งาน ก็จะช่วยลดระยะเวลาในการฟอกอากาศได้เร็วขึ้นด้วย

อย่างที่ทดสอบเครื่อง AX5500 ในห้องขนาดประมาณ 50 ตารางเมตร หลังจากเปิดใช้งานที่ขึ้นไฟสถานะสีส้มๆ (ใช้ในห้องปิด ไม่ได้เปิดรับฝุ่น) ไม่กี่นาทีต่อมาไฟสถานะก็เปลี่ยนเป็นสีเขียว และฟ้าตามลำดับ

อีกจุดที่ทำได้ดีคือโหมดเงียบ ที่ช่วยให้ฟอกอากาศในเวลานอน โดยไม่มีเสียงรบกวน ซึ่งทำได้เงียบสนิทดี จนบางทีลืมไปว่าเปิดเครื่องฟอกอากาศทิ้งไว้ ประกอบกับสามารถกดปิดไฟหน้าจอได้ด้วย ทำให้ไม่มีแสงรบกวนออกมา

สรุป

Samsung AX5500 น่าจะกลายเป็นอีกตัวเลือกของเครื่องฟอกอากาศในเวลานี้ เพียงแต่ด้วยระดับราคาที่ค่อนข้างสูง อาจทำให้ตัดสินใจยากหน่อย (20,900 บาท) แต่ก็แลกมากับความสะดวกที่สามารถสั่งงานผ่านสมาร์ทโฟนได้ทันที

อย่างไรก็ตาม ถ้าใช้งานในห้องขนาดเล็ก Samsung มีตัวเลือกอย่าง AX3300 ที่ครอบคลุมพื้นที่ 40 ตารางเมตร ในราคา 11,900 บาท และ AX75000 สำหรับพื้นที่ห้องขนาดใหญ่ 90 ตารางเมตร จำหน่ายในราคา 29,900 บาท

Gallery

]]>