เปิดตัว – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Fri, 02 Jul 2021 03:12:42 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : Microsoft Surface Laptop 4 คีย์บอร์ดพิมพ์สนุก เพิ่มตัวเลือกซีพียู https://cyberbiz.mgronline.com/review-microsoft-surface-laptop-4/ Wed, 30 Jun 2021 08:06:53 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35468

ไมโครซอฟท์ ยังคงรักษามาตรฐานของการออกผลิตภัณฑ์ต้นแบบที่ปรับแต่งให้เหมาะกับลักษณะการใช้งานระบบปฏิบัติการ Windows 10 ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในกลุ่มของผู้ที่ต้องการใช้งานโน้ตบุ๊กเพื่อทำงาน พกพาไปไหนมาไหนได้ง่าย และที่สำคัญคือประสิทธิภาพในการประมวลผลต้องสูงด้วย

Surface Laptop 4 ถือเป็นโน้ตบุ๊กในฟอร์มเฟคเตอร์ปกติรุ่นล่าสุดของ ไมโครซอฟท์ ที่นำเสนอมาในปีนี้ได้อย่างน่าสนใจ ทั้งการเปลี่ยนแปลงคีย์บอร์ดให้พิมพ์ได้สนุกขึ้น เปิดทางเลือกรุ่นซีพียูให้มีทั้ง Intel และ AMD บนขนาดหน้าจอทั้ง 13.5 นิ้ว และ 15 นิ้ว ให้เลือก

แน่นอนว่า ระบบปฏิบัติการ Windows 10 ที่ติดตั้งมาให้บน Surface Laptop 4 นั้น เพียงพอกับการใช้งานในปัจจุบันแล้ว แต่เมื่อ Windows 11 เปิดให้ผู้ใช้งานทั่วไปใช้งาน Surface Laptop 4 จะรองรับการอัปเกรด และเพิ่มประสบการณ์ใช้งานที่ดีขึ้นให้แก่ผู้ใช้ด้วย

ข้อดี

  • จอ PixelSense 13.5 นิ้ว สัดส่วน 3:2 รองรับการสัมผัส และใช้งานปากกาได้
  • ตัวเครื่องบาง 14.5 มม. น้ำหนัก 1.2 กิโลกรัม
  • คีย์บอร์ดที่มาพร้อมที่รองฝ่ามือหุ้ม Alcantara ช่วยให้พิมพ์ได้สนุกขึ้น
  • แบตเตอรี ใช้งานได้ต่อเนื่องทั้งวัน

ข้อสังเกต

  • อะเดปเตอร์ชาร์จยังเป็นพอร์ตเฉพาะของ Surface เช่นเดิม (แม้จะชาร์จจาก USB-C ได้แล้วก็ตาม
  • พอร์ตเชื่อมต่อไม่ครบ มีเพียง USB-C USB Type-A และ 3.5 มม. เท่านั้น
  • กล้องเว็บแคมความละเอียด 720p

ราคาเริ่มต้น เข้าถึงง่ายขึ้น

หนึ่งในความน่าสนใจของ Surface Laptop 4 คือการเพิ่มทางเลือกซีพียูมาให้ผู้ใช้งานอย่าง AMD Ryzen จากเดิมที่จะมีให้เลือกเฉพาะซีพียูจาก Intel เท่านั้น และนั่นทำให้ราคาเริ่มต้นของ Surface Laptop โน้ตบุ๊กที่ดีที่สุดของไมโครซอฟท์ราคาเข้าถึงได้ง่ายขึ้นด้วย

สำหรับรุ่นเริ่มต้นของ Surface Laptop 4 ขนาดจอ 13.5” มากับชิปเซ็ต AMD Ryzen 5 4680U RAM 8 GB SSD 256 GB ในราคา 35,999 บาท หรือจะเพิ่ม RAM เป็น 16 GB SSD 256 GB จะอยู่ที่ 42,999 บาท

ส่วนชิปเซ็ต 11 Gen Intel Core i5 1145G7 RAM 8 GB SSD 512 GB จะเริ่มต้นที่ 44,999 บาท โดยสามารถปรับสเปกไปได้ถึง Intel Core i7 1185G& RAM 16 GB SSD 512 GB ในราคา 57,999 บาท

จะเห็นได้ว่าจากราคาเริ่มต้นของ Surface Laptop 4 ในช่วง 35,999 บาท แต่ได้โน้ตบุ๊กหน้าจอสัมผัส ที่รองรับการพกพาไปใช้งานได้ทุกที่ถือเป็นตัวเริ่มต้นที่น่าสนใจ แต่ถ้าใครที่ต้องการใช้งานยาวๆ อาจจะต้องมองตัวเลือกเป็นรุ่นที่มี SSD 512 GB แทน เพราะ 256 GB อาจจะไม่เพียงพอกับการเก็บข้อมูลในระยะยาว

ดีไซน์เดิม ปรับปรุงภายในให้ดีขึ้น

Surface Laptop 4 ยังคงลักษณะการออกแบบไม่แตกต่างจาก Surface Laptop 3 จนเรียกว่าเป็นไมเนอร์เชนจ์ของรุ่นก็ว่าได้ เพราะตัวเครื่องจะเน้นที่การอัปเดตสเปกภายในเป็นหลัก โดยขนาดของเครื่องจะอยู่ที่ 308 x 223 x 14.5 มิลลิเมตร น้ำหนัก 1.26 กิโลกรัม

ตัวเครื่องมีให้เลือกด้วยกัน 2 สีคือ สีเงินแพลตตินัม ที่จะมากับวัสดุหุ้ม Alcantara และสีดำด้านที่เป็นโลหะตามปกติ ซึ่งในรุ่นสีดำจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็น 1.28 กิโลกรัม ซึ่งจะให้โทนสี และภาพลักษณ์ในการใช้งานที่แตกต่างกันไป

การออกแบบของ Surface Laptop 4 ยังคงเน้นที่ความเป็นมินิมอลเช่นเดิม โดยมีสัญลักษณ์ของ Windows สะท้อนแสงติดอยู่ตรงกึ่งกลางด้านนอกเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

เมื่อเปิดตัวเครื่องขึ้นมาจะพบกับจอสัมผัส PixelSense ขนาด 13.5 นิ้ว ความละเอียด 2256 x 1504 พิกเซล 201 ppi ในสัดส่วน 3:2 ซึ่งช่วยให้แสดงผลคอนเทนต์สำหรับการท่องเว็บ หรือทำงานเอกสารได้ดีขึ้น แต่จะไม่เหมาะกับการรับชมภาพยนต์เท่าไหร่ เนื่องจากจะเหลือขอบสีดำด้านบนและล่างเพิ่มขึ้นด้วย

ที่น่าเสียดายอีกอย่างก็คือเรื่องของขอบจอที่ Surface Laptop 4 ยังมีขอบจอที่ค่อนข้างหนา เมื่อเทียบกับแบรนด์อื่นๆ ในท้องตลาดอย่างเอซุส เดลล์ หรือเอชพี ที่นำเสนอตัวเครื่องขนาด 14 นิ้ว ในฟอร์มเฟคเตอร์ขนาด 13 นิ้ว ได้อย่างน่าสนใจ

บริเวณขอบบนยังคงเป็นที่อยู่ของกล้องเว็บแคมความละเอียด 720p ซึ่งถือว่าน้อยไปหน่อยสำหรับยุคปัจจุบันที่การใช้งานวิดีโอคอลล์มีความจำเป็นมากยิ่งขึ้น ที่ดีก็คือยังมาพร้อมกับเซ็นเซอร์ IR ที่ทำงานร่วมกับ Windows Hello ในการปลดล็อกด้วยใบหน้าได้อยู่

จุดเด่นที่สำคัญที่สุดของ Surface Laptop 4 เท่าที่ทดสอบใช้งานมาคือ ความนิ่มของคีย์บอร์ด ทั้งในแง่ของแป้นคีย์บอร์ดที่รับสัมผัส ทำให้พิมพ์ได้สนุก มีปุ่มลัดสำหรับการสั่งงานต่างๆ ครบถ้วน จะมีจุดที่น่าเสียดายคือย้ายปุ่มลัดอย่าง Home End PageUp PageDown ไปไว้บริเวณแถบบนแทน ทำให้เวลาใช้งานอาจจะต้องปรับตัวเล็กน้อย

ส่วนปุ่มเปิดเครื่องก็ถูกขยับเข้ามาไม่ได้อยู่ที่มุมขวาบน แต่เป็นที่อยู่ของปุ่ม Delete แทน ช่วยให้เวลากดใช้งานทำได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องกังวลว่าจะไปสัมผัสโดนปุ่มปิดเครื่องแทน แทร็กแพดของ Surface Laptop 4 ที่ให้มาใหญ่สะใจ รองรับการใช้งานได้ลื่นไหล

อีกจุดที่นุ่มก็คือการที่ Surface Laptop 4 มีการหุ้มหนังสังเคราะห์อย่าง Alcantara มาให้บริเวณตัวเครื่องด้านใน ทำให้สัมผัสของข้อมือระหว่างการพิมพ์นุ่มสบายกว่าโน้ตบุ๊กที่ใช้โลหะ หรือพลาสติกอื่นๆ แต่ก็แลกมากับการดูแลรักษาที่เพิ่มขึ้น โดยทางไมโครซอฟท์ แนะนำให้สามารถนำผ้าชุบสบู่เหลวอ่อนๆ มาถูกทำความสะอาดได้

ในส่วนของพอร์ตเชื่อมต่อ Surface Laptop 4 ถือว่าให้มาค่อนข้างจำกัด โดยทางฝั่งซ้ายจะมีเพียงช่องเสียบ USB Type A และ USB-C พร้อมกับช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. เท่านั้น ไม่รองรับการเชื่อมต่อ Thunderbolt ด้วย

ส่วนทางขวามีพอร์ต Surface Connect ไว้เสียบชาร์จตัวเครื่อง โดยที่บริเวณอะเดปเตอร์จะมีพอร์ต USB Type A เพิ่มมาให้ใช้งานอีก 1 ช่อง ความจุของแบตเตอรีจะอยู่ที่ 47.4 Whr ที่ไมโครซอฟท์ระบุว่าใช้งานได้ต่อเนื่อง 17-19 ชั่วโมง

สเปก และทดสอบประสิทธิภาพ

ในส่วนของสเปก Surface Laptop ที่ได้รับมาทดสอบจะเป็นรุ่น 11 Gen Intel Core i5 RAM 8 GB SSD 256 GB มาพร้อมกราฟิก Intel IrisXe ส่วนถ้าเป็นรุ่น AMD Ryzen ก็จะมาพร้อมกับ AMD Radeon แบบออนบอร์ดให้ใช้งาน

โดยเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ AMD Ryzen สามารถใช้งานบนแบตเตอรีได้ยาวนานกว่ารุ่นของ Intel คือการที่ปัจจุบัน AMD พัฒนาชิปเซ็ตบนสถาปัตยกรรมแบบ 7 นาโนเมตร ที่ประหยัดพลังงานมากกว่า ในขณะที่ Intel ยังอยู่บนสถาปัตยกรรมแบบ 10 นาโนเมตร

สำหรับการใช้งาน Surface Laptop 4 ต้องยอมรับว่า ถือเป็นแล็ปท็อปเพื่อการทำงาน และความบันเทิงที่ตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการใช้งานทั่วๆ ไป ทำงานเอกสาร ทำรูปภาพบ้าง แต่จะไม่หนักไปจนถึงการตัดต่อวิดีโอ หรือเล่นเกมความละเอียดสูงๆ เนื่องจากไม่มีการ์ดจอแยกมาช่วยประมวลผล

ส่วนในแง่ของความบันเทิง เรียกได้ว่าให้มาครบถ้วนจากหน้าจอขนาดใหญ่ 13.5 นิ้ว ที่ให้ความละเอียดสูง สีสันสมจริง แบตเตอรีที่ใช้งานต่อเนื่องได้ยาวนาน ทีมงานลองใช้งานทั่วๆ ไปอยู่ที่ราว 11 ชั่วโมง แต่ถ้าใช้งานหนักๆ อย่างเล่นเกม จะเหลือประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง

สรุป

Microsoft Surface Laptop 4 ยังคงรักษาการเป็นโน้ตบุ๊กที่ดีที่สุดของไมโครซอฟท์ได้อย่างน่าสนใจ และนำเสนอเทคโนโลยีต่างๆ ของ Windows 10 ได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยของ Windows Hello ควบคู่กับชิปความปลอดภัย TPM2.0 ที่มาช่วยเข้ารหัสข้อมูล

ทำให้ Surface Laptop 4 เหมาะที่จะเป็นทั้งโน้ตบุ๊กสำหรับคอนซูเมอร์ และใช้งานในองค์กรธุรกิจ จะติดก็เรื่องของพอร์ตเชื่อมต่อที่ให้มาค่อนข้างจำกัด อาจจะต้องพกอะเดปเตอร์เพิ่มเติมในการใช้งาน

ที่น่าสนใจคือ Surface Laptop 4 รองรับการอัปเกรดเป็น Windows 11 ใช้งานในอนาคตอย่างแน่นอนอยู่แล้ว เมื่อมีการปรับเปลี่ยนดีไซน์ของ Windows ใหม่ให้ใช้งานสัมผัสจากหน้าจอได้สะดวกขึ้น Surface Laptop 4 จะเพิ่มความน่าใช้งานเข้าไปอีก

Gallery

]]>
Review : Apple AirTag ทำงานอย่างไร ช่วยให้หาของหายง่ายขึ้นจริงไหม? https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-airtag/ Fri, 04 Jun 2021 07:09:20 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35311

เมื่อต้องให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ ทำให้ แอปเปิล (Apple) ต้องใช้ระยะเวลาในการพัฒนา AirTag ให้ปลอดภัยกับทั้งผู้ใช้ และผู้บริโภคทุกคนมากที่สุด เพราะเมื่อเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ติดตามสิ่งของหายได้ ก็ใช้ในการติดตามหรือสะกดรอยผู้คนได้เช่นเดียวกัน

แนวคิดในการพัฒนา AirTag ของ Apple นั้นถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการระบุตำแหน่งสิ่งของสำคัญๆ ได้ง่ายขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีอ Ultra-wideband (UWB) เพื่อช่วยระบุพิกัดสิ่งของเหล่านั้น และเมื่ออยู่ใกล้วัตถุภายในระยะ 10 เมตร บลูทูธ ก็จะเข้ามาทำหน้าที่ในการระบุตำแหน่งที่ชัดเจนอีกทีหนึ่ง

Apple AirTag เริ่มวางจำหน่ายในประเทศไทยแล้ววันนี้ ในราคาชิ้นละ 990 บาท และมีขายเป็นแพ็ก 4 ชิ้น ในราคา 3,390 บาท พร้อมกับอุปกรณ์เสริมอย่างพวงกุญแจหนัง (1,390 บาท) ห่วงคล้องแบบหนัง (1,590 บาท) และห่วงคล้องโพลียูรีเทน (1,190 บาท)

ข้อดี

  • ช่วยหาสิ่งของที่ลืมไว้ง่ายขึ้น
  • เข้ารหัสข้อมูล โดยคำนึงถึงความเป็นส่วนตัว
  • กันน้ำ กันฝุ่น IP67
  • แบตเตอรีใช้งานได้ราว 1 ปี (เปลี่ยนเองได้)

ข้อสังเกต

  • ใช้งานได้เฉพาะอุปกรณ์ iOS 14.5 ขึ้นไป
  • ต้องซื้อพวงกุญแจสายห้อยเพิ่ม
  • กรณีที่ทำหล่นหาย หากถูกถอดแบตเตอรีจะไม่สามารถติดตามได้
  • การแจ้งเตือนผู้ใช้รายอื่นที่ถูก AirTag ติดตามต้องใช้ระยะเวลา

เบื้องหลังคือชิป U1 ที่มี Ultra-wideband

ก่อนหน้านี้ แอปเปิล ได้มีการนำฟีเจอร์อย่างค้นหาของฉันหรือ Find My มาใช้ในการติดตามผลิตภัณฑ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น iPhone iPad Mac Apple Watch และ AirPods กันอยู่แล้ว ด้วยการที่ให้อุปกรณ์เหล่านั้นส่งพิกัดที่อยู่ผ่านอินเทอร์เน็ต เพื่อให้ทราบตำแหน่งคร่าวๆ บนแผนที่

ก่อนเริ่มประยุกต์ใช้เครือข่ายของ iPhone ที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เป็นตัวช่วยในการตามหาอุปกรณ์ที่ Offline อย่าง MacBook ที่ไม่ได้เชื่อมต่อ WiFi หรือ iPad รุ่นที่ไม่ได้ใส่ซิมการ์ด ด้วยการให้อุปกรณ์เหล่านี้ส่งสัญญาณไปยัง iPhone เพื่อระบุตำแหน่งให้เจ้าของทราบได้

ทำให้ปัจจุบัน Find My ได้กลายเป็นเครือข่ายสำหรับติดตามสิ่งของต่างๆ ที่ใหญ่ และครอบคลุมมากที่สุดในโลก จากอุปกรณ์ของ Apple ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตระดับพันล้านเครื่องทั่วโลก ที่สำคัญคือการส่งข้อมูลทั้งหมดนี้จะไม่มีการะบุตัวตน เพื่อป้องกันความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้

ต่อจากนั้น แอปเปิลจึงเริ่มพัฒนาชิป U1 ที่นำเทคโนโลยี UWB มาใช้ในการ ระบุตำแหน่งที่ตั้งจริง (Precision Finding) สำหรับ iPhone 11 และ iPhone 12 ที่ช่วยระบุทิศทางที่แม่นยำในการตามหา AirTag เมื่ออยู่ในระยะใกล้เคียง จึงทำให้ AirTag สามารถค้นหาสิ่งของที่หายไปได้

แกะกล่องใช้งาน

เมื่อทราบถึงหลักการทำงานของ AirTag แล้วก็ถึงเวลาใช้งาน เมื่อแกะ AirTag ออกจากกล่องสิ่งแรกที่ต้องทำคือแกะพลาสติกที่หุ้มรอบตัวเครือง เพื่อดึงให้ขั้วแบตเตอรีสัมผัสกัน เพื่อเปิดการใช้งานก่อน

ขนาดของ AirTag จะมีเส้นผ่านศูนย์กลางขนาด 31.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 11 กรัม โดยมีความสามารถป้องกันน้ำ และฝุ่นระดับ IP67 (ลึก 1 เมตร ไม่เกิน 30 นาที) รองรับการเชื่อมต่อทั้ง บลูทูธ UWB และ NFC

ภายในของ AirTag จะใช้ถ่านกระดุมขนาดมาตรฐาน CR2032 ที่ใช้งานได้ราว 1 ปี เมื่อสัญญาณอ่อน หรือแบตเตอรีใกล้หมดผู้ใช้สามารถหาซื้อมาเปลี่ยนเองได้ทันที โดยจะมีสถานะแบตเตอรีแจ้งอยู่ในแอป Find My

หลังจากนั้นนำ AirTag ไปไว้ใกล้เคียงกับ iPhone ที่ต้องการเชื่อมต่อ จะเด้งหน้าจอขึ้นมาให้ทำการเชื่อมต่อได้ทันที คล้ายกับการเชื่อมต่อ AirPods ที่คุ้นเคยกัน หลังจากนั้นจะมีให้เลือกว่าต้องการทำ AirTag นี้ไปติดกับสิ่งของใด คล้ายๆ กับการระบุชื่อของสิ่งของให้เข้ามาเลือกดูได้สะดวกขึ้น ในจุดนี้ผู้ใช้สามารถเลือกปรับตั้งชื่อ พร้อมใส่ Emoji เพิ่มเติมได้ด้วย

เมื่อทำการเชื่อมต่อเสร็จแล้ว ก็จะสามารถใช้ในการค้นหาตำแหน่งได้ทันที โดยเมื่ออยู่ในระยะใกล้ประมาณ 10 เมตร จะใช้การค้นหาจากสัญญาณบลูทูธ ร่วมกับ UWB ในการระบุตำแหน่งที่แม่นยำ หรือจะกดให้ส่งเสียงจากตัว AirTag เพื่อช่วยระบุตำแหน่งเพิ่มเติมได้ด้วย

สำหรับการค้นหา AirTag เมื่อตามพิกัดบนแผนที่เข้ามาอยู่ในระยะที่เชื่อมต่อโดยตรงได้แล้ว ที่หน้าจอ iPhone จะมีการชี้บอกทิศทาง และระยะห่างให้ค้นหาได้ง่ายขึ้น ยิ่งเข้าใกล้ AirTag มากเท่าไหร่ ก็จะมีการสั่นช่วยบอกด้วย

กรณีที่ทำหายหล่นอยู่นอกสถานที่ ก็สามารถเข้าไปตั้งโหมดสูญหาย (Lost Mode) เพื่อระบุช่องทางติดตามอย่างเบอร์โทรศัพท์ หรืออีเมล ให้ผู้ที่เก็บได้ใช้ติดต่อกลับมา ในจุดนี้ผู้ที่เก็บ AirTag จะสามารถเห็นข้อมูลดังกล่าวได้ต่อเมื่อนำ AirTag ไปแปะบริเวณจุดรับสัญญาณ NFC ที่ตัวเครื่อง ซึ่งทำงานทั้งบน iOS และ Android

ในระหว่างที่เข้าสู่โหมดสูญหาย เจ้าของ AirTag ยังสามารถติดตามตำแหน่งของอุปกรณ์ หรือสิ่งของนี้ได้ และจะได้รับการแจ้งเตือนเมื่อมีคนค้นหาเจอ ซึ่งถ้าคนอื่นเก็บได้แล้วนำมาสแกน ก็จะปรากฏลิงก์ให้เข้าสู่เว็บไซต์ แสดงรายละเอียดเฉพาะการติดต่อ และเลขซีเรียลเท่านั้น ไม่ได้ระบุถึงรายละเอียดส่วนตัวอื่นๆ แต่อย่างใด

การนำไปใช้งาน

Apple ออกแบบให้ผู้ใช้สามารถนำ AirTag ไปห้อยไว้กับอุปกรณ์อื่นๆ ที่ทำหายบ่อยๆ หรือชอบลืมทิ้งไว้แล้วหาไม่เจอ ไม่ว่าจะเป็น AirPods หูฟังอื่นๆ กระเป๋าสตางค์ หรือแม้แต่กระเป๋าถือ เมื่อนำไปห้อยไว้ ก็จะสามารถใช้ AirTag ในการตามหาได้ทันที

ระบบป้องกันการถูกติดตาม

ในแง่ของความเป็นส่วนตัว เมื่อ AirTag สามารถใช้ในการระบุพิกัดได้ ทำให้อาจะถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่ดีในการสะกดรอยได้ ในจุดนี้แอปเปิล ได้คิดค้นวิธีการป้องกันที่จะคอยแจ้งเตือน เมื่อตรวจพบว่า AirTag เดินทางไปในสถานที่ต่างๆ โดยไม่ได้อยู่กับเจ้าของ

เมื่อได้รับการแจ้งเตือน AirTag ที่ไม่ได้อยู่กับเจ้าของ จะแจ้งข้อมูลให้ผู้ใช้งานได้ทราบว่า AirTag เครื่องนี้ติดตามตั้งแต่สถานที่ใดบ้าง และมีปุ่มให้กดเล่นเสียงเพื่อค้นหา AirTag ดังกล่าว เพื่อทำการปิดกั้นไม่ให้ติดตามได้ หรือในกรณีที่อยู่ห่างไกลจากเจ้าของนานเกินช่วงเวลา 8 – 24 ชั่วโมง แอปเปิล ได้ตั้งให้ AirTag ส่งเสียงเพื่อแจ้งเตือนไว้ด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ ผู้ใช้ iPhone สามารถเข้าไปแอป Find My แล้วกดเข้าไปใน ระบุสิ่งของที่พบ (Identify Found Item) เมื่อตรวจพบจะขึ้นรายละเอียดของ AirTag ให้เห็นอย่าง Serial Number และเลขหมายโทรศัพท์ 2 หลักหลัง พร้อมคำแนะนำในกรณีที่ไม่ใช่เจ้าของ และเป็น AirTag ต้องสงสัย

โดยถ้ามีการสะกดรอยตามจริงๆ ก็สามารถนำข้อมูล Serial Number ไปดำเนินคดีตามกฏหมายได้ เพราะเมื่อมีการฟ้องร้องทาง Apple สามารถให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับเจ้าของ AirTag ที่ลงทะเบียนไว้ได้อย่าง ชื่อ และอีเมล เพื่อช่วยในการดำเนินคดี

เบื้องต้นทาง Apple จะแนะนำวิธีป้องกันไม่ให้อุปกรณ์นี้สามารถติดตามคุณได้ด้วยการถอดแบตเตอรีออกได้ทันที AirTag นั้นจะไม่สามารถระบุตำแหน่งได้อีกต่อไป จนกว่าจะใส่แบตเตอรีกลับเข้ามา

อุปกรณ์เสริม

เนื่องจาก Apple วางจำหน่าย AirTag เป็นชิ้นๆ ไม่ได้มีสายคล้อง หรือสายห้อยมาให้ด้วย ทำให้เปิดโอกาสให้ผู้ผลิตอุปกรณ์เสริมแบรนด์อื่นๆ สามารถผลิตพวงกุญแจต่างๆ มาจำหน่ายเพิ่มเติมได้

โดยปัจจุบัน Apple มีห่วงคล้องสำหรับ AirTag ที่เป็นแบบพื้นฐานให้เลือก 2 แบบ และพวงกุญแจอีก 1 แบบ ไม่นับรวมกับสายคล้อง Hermes ที่มีตัวเลือกเพิ่มเติม เพื่อนำไปคล้องกับอุปกรณ์ต่างๆ

เริ่มกันที่ Leather Loop ที่เป็นห่วงคล้องหนัง มีให้เลือก 2 สีคือ แดง และน้ำตาล ถัดมาคือ Loop ที่เป็นยางโพลียูรีเทนมีให้เลือก 4 สี คือ ส้ม เหลือง กรมท่า และขาว ส่วนพวงกุญแจหนัง (Leather Key Ring) มีให้เลือก 3 สี น้ำเงิน น้ำตาล และแดง

นอกจากนี้ ในตลาดยังมี Belkin ที่เปิดตัว Belkin Secure Holder for AirTag มีให้เลือก 2 รูปแบบคือ พวงกุญแจ และสายรัด มีให้เลือก 4 สี คือ สีดำ สีขาว สีชมพู และสีฟ้า วางจำหน่ายแล้วในราคา 490 บาท

ทำให้ในการเลือกซื้อ AirTag นอกจากตัวอุปกรณ์แล้ว ยังต้องเสียเงินซื้ออุปกรณ์เสริมเพื่อนำมาใส่ AirTag ให้นำไปติดกับสิ่งของต่างๆ ได้สะดวกขึ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็น ติดกับกุญแจรถ กุญแจบ้าน กระเป๋า จักรยาน กล้อง หูฟัง เสื้อคลุม ร่ม หรือแม้แต่กระเป๋าตังก็ตาม

สรุป

AirTag จะกลายเป็นอีกอุปกรณ์เสริมที่ผู้ใช้งาน iPhone ต้องมีติดตัวไว้ สำหรับการค้นหาสิ่งของอย่างแน่นอน เพราะสามารถใช้ในการติดตามหาของได้จริง แม้ว่าจะทำตกไว้ระหว่างทาง หรือตามสถานที่ต่างๆ

ที่สำคัญคือ Apple ออกแบบให้ป้องกันการขโมยไว้อย่างน่าสนใจ โดยผู้ที่ได้ AirTag ไป จะไม่สามารถเชื่อมต่อใช้งานได้ จนกว่าเจ้าของจะยกเลิกการเชื่อมต่อ ดังนั้นถึงขโมยไปได้ ก็จะได้แค่ถ่าน CR2032 ไปใช้งานเท่านั้น ส่วน AirTag ก็ไม่ต่างจากของชิ้นหนึ่งที่ไม่สามารถใช้งานได้

อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรก AirTag ยังไม่มีวิธีป้องกันไม่ให้คนติดตามได้ในระยะเวลาอันสั้น รวมถึงถ้าไม่ได้ใช้งาน iOS 14.5 ขึ้นไป ก็จะไม่ได้รับการแจ้งเตือนว่ามี AirTag คอยสะกดรอยตามอยู่ เพราะระบบแจ้งเตือนที่คิดค้นมาไม่ได้ทำมาเผื่อให้ Android จึงต้องใช้การฟังเสียงเตือน (ที่ค่อนข้างเบา) จาก AirTag เวลาอยู่ห่างจากเจ้าของนานๆ แทน

]]>
Review : realme 8 5G เมื่อเครื่อง 5G เข้าถึงได้ในราคา 9,999 บาท https://cyberbiz.mgronline.com/review-realme-8-5g/ Wed, 19 May 2021 04:52:46 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35180

การแข่งขันในกลุ่มสมาร์ทโฟนราคาต่ำกว่าหมื่นบาท ที่รองรับ 5G เริ่มมีให้เห็นชัดเจนขึ้นในช่วงนี้ ซึ่งหนึ่งในรุ่นที่น่าจับตามองคงหนีไม่พ้น realme 8 5G ที่ทำราคาเปิดตัวมา 9,999 บาท ตัวเครื่องรองรับ 5G แบบ Dual Standby และให้หน้าจอมาขนาดใหญ่ถึง 6.5 นิ้ว

ความสามารถของ realme 8 5G ในแง่การใช้งานถือว่าอยู่ระดับกลางๆ เนื่องจากต้นทุนของชิปเซ็ต 5G ที่ค่อนข้างสูง ทำให้มีการปรับลดสเปกเครื่องบางส่วนลง เพื่อให้ตัวเครื่องรองรับ 5G ซึ่งถ้าใครกำลังมองหาสมาร์ทโฟนที่รองรับ 5G มาใช้งาน ก็เป็นตัวเลือกระดับเริ่มต้นที่น่าสนใจ

ข้อดี

  • สมาร์ทโฟนขนาดจอ 6.5 นิ้ว Refresh Rate 90 Hz
  • รองรับการเชื่อมต่อ 5G Dual Standby
  • แบตเตอรี 5,000 mAh
  • ราคาเปิดตัว 9,999 บาท

ข้อสังเกต

  • ชิปเซ็ต Dimensity 700 5G จะเน้นที่การเชื่อมต่อ 5G เป็นหลัก การประมวลผลอยู่ในระดับกลางๆ
  • กล้องหลักอยู่ที่ 48 ล้านพิกเซล (รุ่น 4G ได้กล้อง 64 ล้านพิกเซล)
  • รองรับชาร์จเร็ว 18W (รุ่น 4G ได้ Dart Charge 30W)

เน้นเจาะกลุ่มผู้ใช้ 5G เริ่มต้น

ด้วยโพสิชันของ realme 8 ที่ออกวางจำหน่ายพร้อมกันทั้งรุ่น 4G และ 5G ในราคาต่างกัน 1,000 บาท ทำให้ realme 8 5G มีสเปกเครื่องโดยรวมหลายๆ ส่วนต่ำกว่ารุ่น 4G เนื่องจากชิปเซ็ตที่รองรับ 5G ในท้องตลาดเวลานี้ ยังมีราคาค่อนข้างสูงอยู่ ทำให้ต้องตัดต้นทุนในจุดอื่นออกไป

ดังนั้น Realme 8 5G จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการสมาร์ทโฟนรองรับ 5G ในระดับราคาที่เข้าถึงได้ เพื่อนำส่วนต่างจากค่าเครื่องไปสมัครแพ็กเกจใช้งาน 5G ที่ปัจจุบัน การใช้งาน 5G แบบไม่จำกัดจะอยู่ที่ราวเดือนละ 1,099 บาท จะทำให้ได้ประสบการณ์ใช้งาน 5G ที่ดีที่สุด

เพราะอย่าลืมว่า ในการเลือกซื้อเครื่อง 5G มาใช้งาน นอกจากความเร็วในการเชื่อมต่อโมบายอินเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้นแล้ว ราคาของแพ็กเกจที่ต้องจ่ายก็เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน เนื่องจากปริมาณในการใช้งาน 5G เมื่อเทียบกับ 4G แล้วจะเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ทำให้ต้องคำนวนถึงค่าใช้จ่ายแฝงที่จะตามมาด้วย

ในกรณีกลับกัน ถ้าไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้งาน 5G ตัวเลือกอย่าง realme 8 4G ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะด้วยสเปกหลายๆ ส่วนที่ดีขึ้นทั้งชิปเซ็ตประมวลผล กล้อง และระบบชาร์จเร็ว ทำให้มีความคุ้มค่ามากกว่า

จุดเด่นของ realme 8 5G

นอกเหนือจากการเชื่อมต่อ 5G แล้ว ในภาพรวมของการใช้งาน realme 8 5G ก็ต้องยอมรับว่า realme ทำการบ้านมาได้ดี ในแง่ของประสบการณ์ใช้งานตัวเครื่องทำได้ลื่นไหล เมื่อใช้งานทั่วๆ ไป ประกอบกับการที่ให้จอมา 6.5 นิ้ว Ultra Smooth Display 90 Hz ความละเอียด FHD+ (2400 x 1080 พิกเซล) ทำให้การแสดงผลทำได้ดี

ถัดมาในแง่ของขนาดตัวเครื่อง realme 8 5G อยู่ที่ 162.5 x 74.8 x 8.5 มิลลิเมตร น้ำหนัก 185 กรัม วางจำหน่ายด้วยกัน 2 สี คือ Supersonic Blue ที่ชุบอินเดียมไฮกลอส เพิ่มความสว่างเป็นประกายที่ฝาหลัง และอีกสีคือ Supersonic Black 

จะเห็นได้ว่า ตัวเครื่องมากับดีไซน์ที่ค่อนข้างบาง และตัวเครื่องไม่หนักจนเกินไป ทำให้การถือใช้งานทำได้ถนัดมือ แม้ว่าส่วนของฝาหลังจะเป็นเงาๆ ทำให้ติดรอยนิ้วมือได้ง่ายสักหน่อย แต่ถ้าการใช้งานส่วนใหญ่ใส่เคสอยู่แล้วก็ไม่มีปัญหา

ในส่วนของกล้อง realme 8 5G ให้กล้องหลักมาที่ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล f/1.8 มาพร้อมเลนส์ขาวดำ ที่มาช่วยตรวจจับแสงเพิ่มเติม และเลนส์มาโคร ให้สามารถถ่ายภาพระยะใกล้ได้ถึง 4 เซนติเมตร พร้อมไฟแฟลช LED

ส่วนกล้องหน้าแบบเจาะรูอยู่ใต้จอจะให้ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล มี AI Beauty Selfie มาให้ใช้งาน รองรับการถ่ายวิดีโอทั้งกล้องหลัก และกล้องหน้าที่ 1080p / 30 fps เท่านั้น ยังไม่สามารถบันทึกภาพแบบ 4K ได้

ความน่าสนใจอีกอย่างของ realme 8 5G คือสัมผัสที่ได้จากขอบเครื่อง ที่ใช้กระบวนการ Microcrack มาช่วยในการหล่อขอบตัวเครื่อง ให้มีความยืดหยุ่นรองรับแรงจอของกระจกหน้าจอ พร้อมกับการออกแบบป้องกันมุม ช่วยลดความเสี่ยงในการแตกของหน้าจอ

โดยจะมีปุ่มปรับระดับเสียง และถาดใส่ซิมการ์ดอยู่ทางฝั่งซ้าย ข้อดีของถาดใส่ซิม realme 8 5G ก็คือสามารถใส่ 2 นาโนซิมการ์ด พร้อมกับไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มเติมได้เลย ส่วนทางฝั่งขวาจะมีปุ่มเปิดเครื่องพร้อมเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมืออยู่

ด้านบนตัวเครื่องจะถูกปล่อยว่างไว้ และมีพอร์ต USB-C ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ไมโครโฟนสนทนา และลำโพงอยู่ที่ขอบด้านล่างเครื่อง โดยภายในกล่องจะไม่ได้แถมหูฟังมาให้ด้วย มีเฉพาะอะเดปเตอร์ชาร์จ 18W กับสาย USB Type-A to USB-C ให้เท่านั้น

สเปก

ในแง่ของสเปกตัวเครื่อง realme 8 5G มากับชิปเซ็ตประมวลผล Dimensity 700 5G ที่เป็น Octa-Core ผลิตบนสถาปัตยกรรมแบบ 7 นาโนเมตร ความเร็ว 2.2 GHz ทำงานคู่กับ GPU Mali-G57 ช่วยให้สามารถประมวลผลภาพได้ลื่นไหล กับจอแสดงผลแบบ 90 Hz ได้เป็นอย่างดี

ตัวเครื่องมากับ RAM 8 GB ROM 128 GB สามารถใส่ไมโครเอสดีการ์ดได้สูงสุด 1 TB รองรับการเชื่อมต่อ WiFi 5 บลูทูธ 5.1 พร้อมระบบระบุพิกัด GPS แบตเตอรี 5000 mAh รองรับชาร์จเร็ว 18W กับอะเดปเตอร์ที่แถมมาให้ในกล่อง รวมถึงเคสใส และฟิลม์กันรอย

Realme 8 5G ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 11 ครอบด้วย realme UI 2.0 ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งานให้ลื่นไหล และง่ายขึ้น ซึ่งตัวเครื่องจะมีการพรีโหลดแอปฯ มาให้ใช้งานด้วย

ทดสอบใช้งาน

เท่าที่ได้ลองใช้งาน realme 8 5G มาอย่างแรกที่ชื่นชอบคือเรื่องความเร็วในการเชื่อมต่อ 5G ทำได้เป็นอย่างดี ยิ่งอยู่ในพื้นที่รองรับแล้ว ความเร็วระดับ 400 Mbps ขึ้นไป ถือเป็นเรื่องปกติ ช่วยให้ใช้งานอินเทอร์เน็ตได้อย่างลื่นไหลมาก

ถัดมาในส่วนของความบันเทิงต้องยอมรับว่าด้วยจอที่ให้มา 6.5 นิ้ว 90 Hz ก็เพียงพอกับการใช้งานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นใช้โซเชียลเน็ตเวิร์ก ดูหนัง ดูยูทูป ประกอบกับแบตเตอรีที่ให้มา 5,000 mAh ทำให้ใช้งานทั้งวันได้สบายๆ

ขณะที่การเล่นเกม แม้ว่าด้วยสเปกเครื่องที่ไม่ได้สูงมาก ทำให้ปรับการแสดงผลแบบสูงสุดไม่ได้ แต่พอปรับให้เหมาะสม การแสดงผล การเล่นต่างๆ ก็ทำได้ลื่นไหล ภายใน realme 8 5G ยังมีโหมดเล่นเกมโดยเฉพาะมาให้ ที่จะคอยเคลียการใช้ทรัพยากรต่างๆ ของเครื่องเพื่อให้ลื่นไหลที่สุด

ส่วนกล้องที่ให้มา 48 ล้านพิกเซล ถือว่าทำได้คุ้มกับราคาที่เสียไปแน่นอน โดยเฉพาะการถ่ายภาพในพื้นที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ สามารถเก็บรายละเอียดได้เป็นอย่างดี ส่วนในโหมดถ่ายกลางคืน แม้ว่าจะรับแสงได้มากขึ้น แต่ก็อยู่ในระดับพอใช้งานได้เท่านั้น

สรุป

ด้วยค่าตัวของ realme 8 5G ที่ 9,999 บาท ทำให้สมาร์ทโฟนรุ่นนี้ น่าสนใจสำหรับผู้ที่พร้อมจ่ายเงินค่าแพ็กเกจ 5G เพิ่ม เลือกใช้งานแน่นอน และรองรับการใช้งานต่อเนื่อง ในอนาคตได้สบายๆ

แต่ถ้าไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้งาน 5G ทางเลือกอย่าง realme 8 4G จะดูคุ้มค่าในการใช้งานมากกว่า เพราะได้ประสิทธิภาพตัวเครื่องที่ดีกว่าอย่าง การชาร์จแบตที่เร็วกว่า แลกกับขนาดจอที่เล็กลงเหลือ 6.4 นิ้ว และไม่รองรับ 5G แค่นั้นเอง

Gallery

]]>