เราเตอร์ – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Mon, 22 Feb 2021 03:32:21 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : AIS Fibre Mesh WiFi เพิ่มจุดกระจายสัญญาณเดือนละ 100 บาท https://cyberbiz.mgronline.com/review-ais-fibre-mesh-wifi-subscription/ Fri, 05 Feb 2021 05:42:35 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34719

AIS ได้เริ่มนำเสนอบริการ Mesh WiFi เข้ามาแก้ไขพื้นที่อัปสัญญาณ WiFi ภายในบ้านมาสักพักแล้ว ในรูปแบบของแพ็กเกจหลักให้ลูกค้าเลือกสมัครใช้งาน หรือเลือกซื้อเราเตอร์ Mesh WiFi หรือ Super Mesh WiFi เพิ่มเพื่อไปกระจายสัญญาณในบ้าน

แต่ด้วยลักษณะของการใช้งานที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะในช่วงการที่ต้องอยู่บ้านในสถานการณ์โควิดระบาดระลอกใหม่ ทำให้ต้องมีการใช้งานอินเทอร์เน็ตไร้สายในบ้านเพิ่มขึ้น ทำให้เอไอเอส นำเสนอแพ็กเสริมในการเพิ่มจุดกระจายสัญญาณ ในรูปแบบของค่าบริการเพิ่มเติมเดือนละ 100 บาทต่อจุด

โปรโมชันนี้จึงเหมาะกับในช่วงที่เราต้อง Work from Home หรือในกรณีที่มีบุตรหลานต้องเรียนออนไลน์ ก็จะเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาจุดอับสัญญาณได้ โดยความสะดวกก็คือติดตั้งได้ง่าย ไม่ต้องเดินสายเพิ่มเติมด้วย

ข้อดี

  • ลดจุดอับสัญญาณ
  • ใช้งานร่วมกับแพ็กเกจใดก็ได้

ข้อสังเกต

  • ลูกค้าเก่าติดสัญญาแพ็กเกจเพิ่มอีก 12/24 เดือน ขึ้นอยู่กับแพ็กเกจที่สมัคร
  • ความเร็วของจุดที่ 2 ซึ่งเป็นตัวกระจายสัญญาณจะไม่เท่ากับจุดแรก

เน้นสะดวก เพิ่มจุดใช้งาน

ก่อนหน้านี้ AIS ได้มีการนำเสนอแพ็กเกจหลักที่เป็น AIS SuperMESH WiFi ที่ให้เน็ต 1 Gbps / 500 Mbps โดยลูกค้าจะได้รับ SuperMESH WiFi เราเตอร์ 2 ตัวไปติดตั้งใช้งานในบ้านทันที แต่ค่าบริการายเดือนจะอยู่ที่ 999 บาทต่อเดือน

การออกแพ็กเกจบริการเสริม AIS Fibre MESH WiFi จึงเข้ามาเสริมให้ผู้ที่ใช้งาน AIS Fibre แพ็กเกจอื่นๆ สามารถติดตั้งจุดกระจายสัญญาณเพิ่มได้ โดยไม่ต้องเปลี่ยนแพ็กเกจหลักมาเป็น AIS SuperMESH WiFi ในรูปแบบของค่าบริการเพิ่มจากเดิมเดือนละ 100 บาทแทน

ทำให้เหมาะกับการใช้งานในช่วงนี้ ที่ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตบ้าน มีความจำเป็นต้องใช้งานมากขึ้นจากเดิม เพื่อใช้ในการทำงาน หรือเรียนออนไลน์ Mesh WiFi จะเข้าไปช่วยกระจายสัญญาณให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ภายในบ้านมากขึ้น ไม่เกิดจุดอับสัญญาณในบ้าน

นอกจากนี้ AIS Mesh WiFi ยังทำงานในแบบใยแมงมุม ทำให้อุปกรณ์ทุกชิ้นสามารถเชื่อมต่อเข้าในเครือข่ายเดียวกับแบบอัตโนมัติ ทำให้สามารถใช้อินเทอร์เน็ตบ้านได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม

มีช่างมาติดตั้งให้ถึงบ้าน

ข้อดีอย่างหนึ่งของ AIS Mesh WiFi คือติดตั้งได้สะดวก ไม่ต้องเดินสาย LAN เชื่อมระหว่างเราเตอร์ โดยเมื่อตัดสินใจเลือกใช้บริการจะมีช่างเข้าไปดำเนินการติดตั้ง และทดสอบใช้งานให้ครอบคลุมโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

โดยลูกค้าที่ใช้งาน AIS Fibre เดิมสามารถเข้าไปสมัครผ่าน https://newfibre.ais.co.th/process/existingfibre ได้ทันที ในกรณีที่สมัครจะมีการเริ่มนับระยะสัญญาใหม่ ในวันที่สมัครบริการเสริมอีก 12 หรือ 24 เดือน ขึ้นอยู่กับแพ็กเกจที่สมัคร ซึ่งจะมีค่าบริการอุปกรณ์เสริมเดือนละ 100 บาทต่อจุด (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

ผู้ที่สมัคร AIS Fibre MESH WiFi จะสามารถสมัครจุดเสริมได้ไม่เกิน 3 จุด เพื่อให้คุณภาพของการใช้งานเครือข่ายไร้สายในบ้านดีที่สุด และในกรณีที่ไม่ต้องการใช้งานก็สามารถยกเลิกบริการอุปกรณ์เสริมได้ทันที

ทั้งนี้ รุ่นของ Mesh WiFi ที่นำมาติดตั้งให้เพิ่มเติมนั้น จะขึ้นอยู่กับแพ็กเกจหลักที่ใช้งาน โดยจะมีทั้งรุ่นที่เป็น Mesh WiFi ปกติ และ SuperMESH WiFi ซึ่งจะมีข้อจำกัดในเรื่องของความเร็วที่แตกต่างกัน

ทดสอบใช้งาน

ทีมงานได้ลองทดสอบใช้งาน AIS Super MESH WiFi ในจุดที่ 3 ในแพ็กเกจ 1000/500 Mbps ความเร็วหลักที่ได้เมื่อเชื่อมต่อกับจุดหลักบน MacBook Pro จะอยู่ที่ราว 800 Mbps บนคลื่น 5GHz

ในขณะที่เมื่อเชื่อมต่อจากจุดเสริมความเร็วที่ได้จะอยู่ที่ราว 200-300 Mbps จากเดิมที่ในจุดนี้ถ้าเชื่อมต่อจากจุดหลักจะได้ไม่ถึง 100 Mbps ซึ่งนับว่าเป็นจุดที่อับสัญญาณ WiFi ในบ้าน

อย่างไรก็ตาม นี่ถือเป็นข้อจำกัดของเราเตอร์ Mesh ที่ไม่ได้ทำงานแบบ Tri-Band ทำให้เราเตอร์เสริมต้องแบ่งช่องสัญญาณในการรับอินเทอร์เน็ตจากจุดหลัก และมากระจายต่อในจุดที่ 2 ดังนั้นความเร็วที่ได้จึงไม่เท่ากับใช้งานจากจุดหลักแน่นอน

การติดตั้งใช้งาน MESH WiFi จะเข้ามาช่วยเสริมพื้นที่ในการให้งานในบ้านให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น จากเดิมที่อาจจะเป็นจุดอับสัญญาณ หรือสัญญาณอ่อน การมี MESH WiFi จึงเข้าไปทำให้ใช้งานได้ทุกพื้นที่นั่นเอง และความเร็วที่ได้ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่เพียงพอกับการใช้งานแล้ว

อีกส่วนที่ AIS SuperMESH WiFi มีประโยชน์ คือการนำเราเตอร์จุดที่ 2-3 ไปเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ ผ่านสาย LAN อย่างคอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก เกมคอนโซล สมาร์ททีวี กล่องอินเทอร์เน็ตทีวี ที่จะได้ความเร็วในการเชื่อมต่อเต็มที่

โดยเฉพาะในช่วงที่ PlayStation 5 กำลังวางขาย ใครที่บริเวณโทรทัศน์ไม่มีเราเตอร์ติดตั้งอยู่ ต้องใช้การเชื่อมต่อผ่าน WiFi ทำให้ความเร็วเน็ตที่ได้ไม่เต็มที่ MESH WiFi ก็จะเข้าไปช่วยให้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้เร็วขึ้นด้วย

สรุป

บริการเสริม AIS Fibre MESH WiFi จุดละ 100 บาท ถือว่าเข้ามาตอบโจทย์ของทั้งลูกค้าเก่า และลูกค้าใหม่ที่ต้องการสมัครใช้งาน เพราะสามารถเพิ่มพื้นที่ใช้งานอินเทอร์เน็ตในบ้านได้ครอบคลุมขึ้น

เพราะด้วยการใช้งานในปัจจุบันจะไม่ได้อยู่แค่ในห้องนั่งเล่น หรือห้องนอนอีกต่อไป โดยเฉพาะในช่วงที่ Work from Home อาจจะต้องเปลี่ยนโต๊ะทานข้าวเป็นห้องทำงาน หรือมีการใช้งานในพื้นที่อื่นๆ ของบ้านเพิ่มเติม

]]>
Review : Linksys Velop MX5300 ยกระดับเครือข่ายไร้สายในบ้านด้วย WiFi 6 https://cyberbiz.mgronline.com/review-linksys-velop-mx5300/ Mon, 11 May 2020 04:16:48 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=32808

ก่อนหน้านี้ Cyberbiz เคยแนะนำทั้ง Linksys Velop Tri-Band และเกมเมอร์เราเตอร์  MR900X ที่รองรับการกระจายสัญญาณแบบ Mesh WiFi กันมาอย่างต่อเนื่อง แต่ทั้ง 2 รุ่นจะมากับเทคโนโลยี WiFi 5 ทำให้ยังมีข้อจำกัดในการกระจายสัญญาณบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงอยู่

ประกอบกับการที่ ISP ในบ้านเราเพิ่มความเร็วในการเชื่อมต่อ 1 Gbps เข้ามาเป็นมาตรฐาน การที่จะใช้งานสัญญาณอินเทอร์เน็ตไร้สายภายในบ้านให้ได้ความเร็วตามแพ็กเกจ ก็จะต้องใช้งานคู่กับเราเตอร์ที่มีประสิทธิภาพด้วย โดยเฉพาะเทคโนโลยี WiFi 6 ที่อุปกรณ์ลูกข่าย (ดีไวซ์) รุ่นใหม่ๆ รองรับ

Linksys Velop MX5300 ถือเป็น Mesh WiFi ที่รองรับการกระจายสัญญาณ WiFi 6 ในระดับไฮเอนด์รุ่นแรกๆ ที่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย ซึ่งชูจุดเด่นในเรื่องของการกระจายสัญญาณที่ครอบคลุม และความนิ่งของสัญญาณให้ใช้งานกัน

ข้อดี

  • เทคโนโลยี WiFi 6 ช่วยให้ส่งข้อมูลได้เร็วขึ้น
  • รองรับ Mesh WiFi สามารถใช้กับอุปกรณ์เก่าได้
  • ดีไซน์สวยงาม มีพอร์ตเชื่อมต่อ LAN ให้มากขึ้น

ข้อสังเกต

  • ตัวเครื่องมีขนาดใหญ่ขึ้น เมื่อเทียบกับ Velop รุ่นเดิม
  • การกระจายสัญญาณจะเน้นครอบคลุม ไม่ได้เน้นความเร็วสูงสุด
  • ราคาค่อนข้างสูง

WiFi 6 ส่งข้อมูลความเร็วสูง

การอัปเกรดขึ้นมาเป็น Velop MX5300 ของ Linksys ในครั้งนี้ จะเน้นการเพิ่มความเร็วในการเชื่อมต่อของเครือข่ายภายในบ้าน โดยเฉพาะการทำงานร่วมกับเน็ตบ้านความเร็วสูงระดับ 1 Gbps เพราะตัว MX5300 สามารถส่งต่อข้อมูลในบ้านได้ความเร็วสูงถึง 5.3 Gbps

เพียงแต่ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า ในการส่งข้อมูลนั้น จะมีทั้งการส่งข้อมูลไป และกลับ ทำให้จากแบนด์วิดท์ที่ได้ 5.3 Gbps เวลาใช้งานจริงก็จะแบ่งสัดส่วนออกเป็นการส่งข้อมูลบนคลื่น 2.4GHz 1147 Mbps 5GHz 2402 Mbps และ 5GHz คลื่นที่ 2 สำหรับ Mesh อีก 1733 Mbps

ดังนั้นเวลาใช้งาน ความเร็วในการใช้งานอินเทอร์เน็ตสูงสุดที่ทำได้ ถ้าเป็นอุปกรณ์ที่รองรับคลื่น 5GHz บน WiFi 6 จะทำความเร็วได้เต็มสปีดที่เกือบๆ 1 Gbps ส่วนอุปกรณ์ที่รองรับ WiFi 5 ก็จะลงมาอยู่สูงสุดราว 850 Mbps ตามปกติ

การที่ MX5300 รองรับทั้งคลื่น 2.4 GHz และ 5GHz อีก 2 คลื่น จะมาช่วยให้เวลาใช้เป็น Mesh WiFi ร่วมกับ Velop รุ่นอื่น จะสามารถส่งสัญญาณ 5 GHz ไปให้ Velop เครื่องลูกได้ โดยไม่รบกวนกับคลื่นหลักที่ใช้งาน ซึ่งจะช่วยให้เครื่องอื่นๆ ได้ความเร็วที่เพิ่มขึ้นไปด้วย

ข้อดีอีกอย่างของ MX5300 คือรองรับเครื่องลูกข่ายได้มากขึ้น โดยเฉพาะในยุคของอุปกรณ์ IoT ที่เครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละชนิดสามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตเพื่อสั่งงานได้ ทำให้การที่มีเครือข่ายที่รองรับก็จะช่วยให้การใช้งาน IoT ภายในบ้านสะดวกขึ้นด้วย

ทีมงานทดลองเชื่อมต่อ MX5300 เข้ากับ AIS Fibre ที่ให้ความเร็ว 1 Gbps / 200 Mbps ผ่านการเชื่อมต่อสาย LAN เข้ากับเราเตอร์หลัก เพื่อลดขั้นตอนในการติดตั้ง และทดสอบใช้งานพบว่า MX5300 สามารถรับสัญญาณอินเทอร์เน็ตผ่านสาย LAN มาได้ราว 935 Mbps

เมื่อทดลองนำสมาร์ทโฟนที่รองรับ WiFi 6 อย่าง Samsung Galaxy S20 Ultra มาเชื่อมต่อ ก็จะได้ความเร็วที่ใกล้เคียงกันอยู่ในช่วง 850-900 Mbps ส่วนอุปกรณ์ที่เป็น WiFi 5 ก็จะลดลงอยู่ที่ราว 650-700 Mbps ซึ่งถือเป็นการทดสอบความเร็วสูงสุดในการเชื่อมต่อ

ถัดมา ทดลองเชื่อมต่อใช้งานในจุดที่ไกลขึ้น จากเดิมที่ Velop รุ่นแรก ใช้งานได้ความเร็วประมาณ 200 – 300 Mbps พอเปลี่ยนมาเป็น MX5300 ความเร็วที่ได้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ราว 500-600 Mbps ซึ่งถือว่าให้สัญญาณที่แรง และครอบคลุมพื้นที่ได้มากขึ้น

ดังนั้น สำหรับบ้านหลังใหญ่ๆ ที่จากเดิมอาจจะต้องใช้ Velop 3 จุดให้ครอบคลุมทั่วทั้งบ้าน พอมาเป็นรุ่นใหม่อย่าง MX5300 การวางจุดกระจายสัญญาณดีๆ สัก 2 จุด ก็เชื่อว่าเพียงพอใช้งานให้ครอบคลุมในระดับที่ใช้งานได้แบบไม่หงุดหงิดแล้ว

ตัวเครื่องใหญ่ขึ้น แต่พอร์ตก็ครบขึ้นด้วย

มาถึงในส่วนของดีไซน์ตัวเครื่อง Velop MX5300 ยังมากับดีไซน์ที่คล้ายคลึงกับ Velop รุ่นเดิม เพียงแต่มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น เนื่องจากมีการเพิ่มเสาสัญญาณภายในเป็น 13 เสา เพื่อขยายกำลังส่งให้ไกลมากขึ้น

โดยขนาดของ MX5300 จะอยู่ที่ 110 x 110 x 244 มิลลิเมตร น้ำหนัก 1.59 กิโลกรัม ที่มีการสกรีนสัญลักษณ์ Linksys อยู่ด้านหน้า ข้างบนจะเป็นช่องระบายอากาศ และไฟแสดงสถานะในการเชื่อมต่อ

ด้านหลัง จะเป็นจุดรวมพอร์ตเชื่อมต่อต่างๆ ไล่ตั้งแต่ USB 3.0 พอร์ต Gigabit LAN 4 พอร์ต และอีก 1 พอร์ตสำหรับรับสัญญาณอินเทอร์เน็ต (WAN) กับช่องเสียบอะเดปเตอร์ ซึ่งภายในกล่องที่ให้มาจะแถมสาย LAN 1 เมตร มาให้ด้วย

ใต้เครื่อง จะมีปุ่มเปิดปิดเครื่อง พร้อมปุ่ม WPS และปุ่ม Reset มาให้กดใช้เวลาต้องการล้างเครื่อง หรือการเชื่อมต่อแบบรวดเร็ว โดยบริเวณขอบๆ จะมีการเว้นช่องไว้เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวกขึ้น

ติดตั้งใช้งานง่าย

อีกจุดเด่นที่สำคัญของ Linksys Velop คือการที่ผู้ใช้สามารถซื้อมาติดตั้งได้ด้วยตัวเอง และมีขั้นตอนในการติดตั้งที่ง่ายมาก โดยสามารถเลือกได้ว่าจะใช้งานร่วมกับเราเตอร์เก่าที่มีอยู่เชื่อมต่อ LAN เข้ากับ Velop เพื่อใช้งานได้เลย

หรือจะเลือกใช้ Velop MX5300 แทนเราเตอร์เครื่องที่ ISP ให้มา ซึ่งถ้าเป็นขั้นตอนนี้จะต้องทำการประสานกับทาง Call Center ของแต่ละผู้ให้บริการเพื่อขอรหัสผ่าน และทำ Bridge Mode เพื่อให้ใช้ Velop ได้แทนเราเตอร์ ซึ่งอาจจะยุ่งยากขึ้นเล็กน้อย แต่ก็แลกกับการที่ไม่ต้องต่อเราเตอร์ 2 เครื่อง

ขั้นตอนในการติดตั้งก็จะเริ่มจากดาวน์โหลดแอป Linksys มาติดตั้งไว้บนสมาร์ทโฟน เปิดแอปขึ้นมาจะให้ทำการลงทะเบียน และทำตามขั้นตอนในการตั้งค่าไปเรื่อยๆ จนเสร็จแล้วไฟสัญลักษณ์ที่แสดงผลจะขึ้นเป็นสีฟ้า

เมื่อติดตั้งเสร็จแล้วสามารถใช้แอปพลิเคชันเป็น Dashboard ดูข้อมูลการเชื่อมต่อ และตั้งค่าเพิ่มเติมได้ด้วยไม่ว่าจะเป็นดูว่ามีอุปกรณ์ใดเชื่อมต่ออยู่บ้าน จัดความสำคัญของอุปกรณ์ในการจัดสรรแบนด์วิดท์ จนถึงการเปิดโหมดผู้ปกครอง และตั้งเครือข่ายสำหรับแขกที่มาที่บ้าน

สำหรับรายละเอียดการตั้งค่าต่างๆ สามารถย้อนกลับไปดูได้ในรีวิว Linksys MR900X ที่อธิบายการทำงานของแอป Linksys ไว้อย่างละเอียดแล้ว และทำการเชื่อมต่อระบบ Mesh WiFi กับอุปกรณ์ Velop รุ่นอื่นไว้ด้วย

ราคาจำหน่าย Linksys Velop MX5300

สำหรับราคาจำหน่ายของ MX5300 จะมีขายทั้งแบบ 1 ตัว และแบบเป็นแพ็กให้เลือกประกอบด้วย Linksys Velop MX5300 1 โหนด ราคา 14,990 บาท 2 โหนด 24,990 บาท และ 3 โหนด 34,990 บาท

และยังมีการจัดแพ็กคู่ระหว่าง MX5300 คู่กับ Velop Tri-Band 3 โหนด ราคา 19,990 บาท เพิ่มเติมสำหรับผู้ที่เน้นสัญญาณให้ครอบคลุมบ้านขนาดใหญ่มากๆ

สรุป

แม้ว่าราคาของ Linksys Velop MX5300 จะเริ่มต้นที่ 14,990 บาท แต่ถ้ามองถึงการใช้งานในระยะยาว กับอุปกรณ์ที่รองรับ WiFi 6 และสามารถขยาย Mesh เพิ่มได้ในอนาคต ก็ถือเป็นการลงทุนที่น่าสนใจ

โดยเฉพาะบ้านที่มีพื้นที่กว้างๆ อาศัยอยู่กันเป็นครอบครัวขนาดใหญ่ และเจอปัญหาในเรื่องของสัญญาณ WiFi ไม่ครอบคลุมทั่วบ้าน ที่สำคัญคือเรื่องของการติดตั้งใช้งานที่ง่ายที่สามารถติดตั้งใช้งานได้ด้วยตัวเอง

อย่างไรก็ตาม ถ้าการใช้งานในปัจจุบันยังไม่ได้มีอุปกรณ์ที่รองรับ WiFi 6 มาใช้งานมากนัก เครื่องรุ่นเดิมอย่าง Velop Tri-Band ที่ปรับลดราคาลงมาก็ถือเป็นรุ่นที่น่าสนใจเช่นเดียวกัน

Gallery

]]>
Review : Linksys MR9000X ไฮเอนด์เราเตอร์รองรับ Mesh WiFi https://cyberbiz.mgronline.com/review-linksys-mr9000x/ Mon, 23 Mar 2020 02:54:24 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=32460

หลังจากที่ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหลายๆ รายเริ่มปรับความเร็วในการใช้งานเน็ตบ้านเพิ่มขึ้นเป็น 1 Gbps แต่กลายเป็นว่าเราเตอร์ที่ให้มาไม่รองรับ หรือใช้งานได้ไม่ครอบคลุม ทำให้เป็นโอกาสของ Linksys ที่จะนำเสนอเราเตอร์คุณภาพสูงให้ได้ใช้งานกัน

ที่ผ่านมา Linksys เริ่มนำเสนอ Mesh WiFi มา 2-3 ปีแล้ว ในรุ่นของไฮเอนด์ดีไซน์สวย และเริ่มพัฒนาให้มีคุณภาพในการใช้งานมากขึ้น อย่าง MR9000 รุ่นนี้ นอกจากจะเชื่อมต่อกับ Velop เพื่อทำ Mesh ได้แล้ว ยังสามารถแยกคลื่นเพื่อให้เกมเมอร์ใช้งานโดยเฉพาะได้

MR9000 ชูเรื่องของ Tri-Band ที่แบ่งเป็นการปล่อยสัญญาณ WiFi 5 GHz 2 ช่องสัญญาณ และ 2.4 GHz อีก 1 ช่องสัญญาณ ที่มีระบบป้องกันคลื่นรบกวน และให้ Latency ที่ต่ำด้วย จึงเหมาะกับพาวเวอร์ยูสเซอร์ที่ต้องการอินเทอร์เน็ตคุณภาพสูง

ข้อดี

  • เราเตอร์ Tri-Band รองรับ Velop Mesh WiFi
  • แยกสัญญาณ WiFi สำหรับเล่นเกมโดยเฉพาะได้
  • ติดตั้งใช้งานง่านผ่านแอป Linksys
  • เลือก 3 ดีไวซ์สำคัญที่จะให้ความสำคัญในการกระจายสัญญาณ

ข้อสังเกต

  • เราเตอร์ยังรองรับแค่ WiFi 5
  • ไม่สามารถตั้งค่าขั้นสูงได้ (เลือกช่องสัญญาณ WiFi เองไม่ได้)

เราเตอร์กระจายสัญญาณคุณภาพสูง

เชื่อว่าก่อนเลือกซื้อเราเตอร์ที่มีราคาค่อนข้างสูงมักจะเกิดคำถามขึ้นว่า จะเสียเงินทำไมในเมื่อผู้ให้บริการก็มีเราเตอร์มาให้ และสามารถใช้งาน WiFi ในบ้านได้

แต่จริงๆ แล้วเราเตอร์คุณภาพสูงเหล่านี้ จะเหมาะกับผู้บริโภคที่ต้องการประสิทธิภาพ และคุณภาพในการใช้งานเครือข่ายไวไฟภายในบ้าน ซึ่งไม่ใช่แค่ใช้ได้ แต่ต้องคุณภาพดี ครอบคลุมทุกพื้นที่ภายในบ้านด้วย

ทำให้ตลาดของเราเตอร์กระจายสัญญาณในบ้านยังได้รับการตอบรับที่ดีเสมอมา และเติบโตไปพร้อมๆ กับปริมาณผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ที่เพิ่มมากขึ้น

ยิ่งในเฉพาะช่วงที่เกิดการทำงานที่บ้าน (Work From Home) การที่นั่งทำงานที่บ้านแล้วสัญญาณไวไฟมีปัญหา เน็ตช้า หรือนั่งทำได้เฉพาะบางจุด ไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ การหาเราเตอร์ดีๆ มาช่วยกระจายสัญญาณจะทำให้ปัญหาเหล่านี้หมดไป

3 ย่านความถี่ ส่งข้อมูลได้สเถียรกว่า

จากจุดเด่นของ Linksys MR9000X ที่ชูเรื่องของ Tri-Band หรือ 3 ย่านความถี่ ที่มากับหน่วยประมวลผล Quad Core ช่วยให้การประมวลผล ส่งข้อมูลทำได้รวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะการส่งต่อข้อมูลขนาดใหญ่ระดับ 4K หรือการเล่นเกมที่ต้องการความเร็วในการตอบสนอง

โดยการที่มี 3 ย่านความถี่ทำให้รองรับทั้งอุปกรณ์รุ่นเก่าที่รองรับ WiFi 4 ส่วน ย่านคลื่นความถี่ 5 GHz ที่มี 2 ช่องสัญญาณ จะใช้สำหรับการส่งข้อมูลไปยัง Mesh WiFi เพื่อช่วยให้การใช้งานครอบคลุมพื้นที่มากที่สุด ซึ่งความเร็วสูงสุดที่ส่งได้ภายในเครือข่ายภายในบ้านจะอยู่ที่ 3000 Mbps

ขณะเดียวกัน ด้วยการที่นำระบบ Intelligent Mesh มาช่วยในการกระจายสัญญาณให้ครอบคลุมทั่วบ้าน และรองรับการเชื่อมต่อกับ Velop ทำให้ตัวเราเตอร์จะคำนวนการส่งสัญญาณที่ได้คุณภาพมากที่สุดโดยอัตโนมัติ

ที่สำคัญคือมีระบบค้นหาช่องสัญญาณที่ดีที่สุดแบบอัตโนมัติด้วย โดยเมื่อเลือกแล้วเราเตอร์จะทำการสแกนช่องสัญญาณรบกวนบริเวณบ้าน ก่อนเลือกช่องสัญญาณที่โดนรบกวนน้อยที่สุดมาใช้ ซึ่งถ้ามีการใช้งานในระบบ Mesh ก็จะมีการเลือกช่องสัญญาณที่แตกต่างกันไปด้วย

จุดสำคัญอยู่ที่แอปฯ

นอกเหนือจากประสิทธิภาพของเราเตอร์ที่ดีแล้ว การบริหารจัดการเครือข่ายภายในบ้านที่ง่าย และรวดเร็วกลายเป็นอีกจุดเด่นของ Linksys หลังจากเริ่มนำเสนอแอปพลิเคชันในการตั้งค่าต่างๆ ภายในบ้านตั้งแต่ 2 ปีที่ผ่านมา เมื่อตอนที่ออก Velop มาให้ใช้งานกัน

ผู้ที่สนใจ Velop สามารถย้อนกลับไปอ่านรีวิว Review : Linksys Velop สร้างเครือข่าย Wi-Fi ที่คลุมทุกพื้นที่ในบ้าน ได้ที่ https://cyberbiz.mgronline.com/review-linksys-velop/ โดยทางทีมงานได้นำ Velop มาเชื่อมต่อกับ MR9000X เพื่อช่วยกระจายสัญญาณเพิ่มเติมด้วย

ในการติดตั้งครั้งแรก หลังจากนำเราเตอร์เชื่อมต่อกับ Eternet ผ่านสาย LAN จากโมเด็มเข้าเราเตอร์ เปิดเครื่อง ให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Linksys มาติดตั้งไว้บนสมาร์ทโฟน หลังจากนั้นทำการล็อกอินเลือกเพิ่มเราเตอร์เข้าไปในระบบ ทำตามขั้นตอนต่างๆได้เลย

โดยเมื่อติดตั้งเราเตอร์หลักเสร็จ ค่อยเลือกเพิ่มจุดกระจายสัญญาณเพิ่ม เมื่อติดตั้งครบทุกจุดแล้ว แนะนำให้ใช้ความสามารถของ Intelligent Mesh ในการเลือกช่องสัญญาณอัตโนมัติ (Channel Finder) เพื่อให้การเชื่อมต่อได้ประสิทธิภาพสูงที่สุด

ภายในแอปฯ ยังเลือกตั้งดีไวซ์ที่จะให้ความสำคัญในการเชื่อมต่อมากที่สุด (Device Prioritization) เลือกตั้งจำกัดการเข้าถึงเฉพาะช่วงเวลาที่กำหนด (Parental Controls) รวมถึงแยกสัญญาณ WiFi ออกมาให้แขกที่มาบ้านใช้งาน (Guest Access) ซึ่งจะช่วยในเรื่องความปลอดภัยที่ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญภายในบ้านได้

ข้อดีอีกหนึ่งอย่างคือ Mesh WiFi ของ Linksys จะไม่มีการแยกคลื่น 2.4GHz หรือ 5GHz ให้เชื่อมต่อ แต่ใช้เป็นชื่อเดียวกันเชื่อมต่อได้ทั้งบ้าน ทำให้ไม่ต้องมาคอยเปลี่ยนช่องสัญญาณที่ใช้งาน เพราะสมาร์ทโฟนจะเลือกสัญญาณ WiFi ที่ดีที่สุดอัตโนมัติอยู่แล้ว

ทดสอบประสิทธิภาพ

หลังจากที่ทีมงานได้ทดลองติดตั้ง Linksys MR9000X ไว้ในห้องทำงานบริเวณชั้น 2 ของบ้าน และนำ Velop อีก 1 คู่ มาติดตั้งเพื่อใช้งานในชั้น 1 และ ชั้น 3 อย่างแรกที่เกิดขึ้นคือ ไม่มีพื้นที่ที่เป็นจุดบอดของสัญญาณ WiFi ภายในบ้านอีกต่อไป

โดยบริเวณชั้น 2 ที่ MR9000X กระจายสัญญาณ จะเป็นชั้นที่ทำความเร็วในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้สูงที่สุด ส่วนชั้น 1 และ ชั้น 3 เมื่อเป็นการเชื่อมต่อผ่าน Mesh ทำให้ความเร็วในการใช้งานจะอยู่ที่ราว 200 – 250 Mbps เนื่องจากเป็นการกระจายสัญญาณผ่าน Velop

ประโยชน์ของการเพิ่มจุดที่ 2 และ 3 เข้ามาก็คือช่วยให้สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตกับอุปกรณ์ที่ต้องการความเสถียรอย่างชั้น 1 เชื่อมเข้ากับเครื่องเล่นเกม Playstation 4 และกล่องอินเทอร์เน็ตทีวี ซึ่งเมื่อเชื่อมต่อจาก LAN ของ Velop เข้าไปจะทำความเร็วได้ระดับ 600 Mbps

เช่นเดียวกับชั้น 3 ที่ติดตั้งกล่องควบคุมกล้องวงจรปิด และมีสมาร์ททีวี ก็สามารถใช้สาย LAN จาก Velop เชื่อมต่อเข้าไปเพื่อช่วยให้คุณภาพดีที่สุดเช่นกัน ส่วนอุปกรณ์พกพาต่างๆ การใช้งานบนความเร็วอินเทอร์เน็ตระดับ 200 Mbps ต่ออุปกรณ์ก็ถือว่าเพียงพออยู่แล้ว

สรุป

การที่จะตัดสินใจเลือกซื้อเราเตอร์กระจายสัญญาณ WiFi ภายในบ้าน ถือเป็นเรื่องที่ตัดสินใจค่อนข้างยากจากการที่มีเราเตอร์ที่ทางผู้ให้บริการแถมมาให้อยู่แล้ว แต่ถ้าใช้แล้วมีปัญหาสัญญาณไม่ครอบคลุม อินเทอร์เน็ตช้า ไม่ได้ความเร็วตามที่ต้องการ ซึ่งเป็นปัญหาหลักๆ ที่พบเจอในการใช้งานเน็ตบ้าน

การเลือกซื้อเราเตอร์กระจายสัญญาณคุณภาพดีมาใช้งานจะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ในตัว ซึ่งถ้ามองว่าเป็นการลงทุนเพื่อให้ใช้งาน WiFi ได้คุณภาพ และประสิทธิภาพดีขึ้น โดยเฉพาะในบ้านที่มีจำนวนดีไวซ์เยอะ และมีแนวโน้มที่จะติดตั้งอุปกรณ์ IoT เพิ่มเติม Linksys จะช่วยเข้ามาตอบโจทย์นี้ได้

ทั้งนี้ ราคาจำหน่ายของ Linksys MR9000X เปิดตัวอยู่ที่ 7,990 บาท ส่วนถ้าต้องการ Mesh WiFi Velop มาช่วยเรื่องความครอบคลุม สามารถซื้อ Linksys Velop AC4400 เพิ่มได้ ในราคา 8,990 บาท

Gallery

]]>