แกะกล่อง – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Fri, 21 May 2021 04:14:41 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : Apple iMac 24” ดีไซน์ สีใหม่ แรงด้วยชิป M1 https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-imac-24inch/ Fri, 21 May 2021 03:52:00 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35221

iMac 24” รุ่นปี 2021 ถือเป็นการปรับโฉมผลิตภัณฑ์ครั้งสำคัญของ Apple และมีการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ส่วน หลังจากที่ Apple เลือกหันมาพัฒนาชิปประมวลผลของตัวเองอย่าง Apple M1 และทยอยนำมาใช้งานกับผลิตภัณฑ์หลายๆ ประเภท เริ่มจาก MacBook Air MacBook Pro Mac mini และคราวนี้ก็ถึงคิวของ iMac และ iPad Pro

ความพิเศษก็คือที่ผ่านมาทั้ง MacBook Air MacBook Pro Mac mini และ iPad Pro ยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่แอปเปิลใช้ดีไซน์เดิมมาเปลี่ยนชิปเซ็ตภายในเป็น Apple M1 เท่านั้น ไม่เหมือนกับ iMac 24” ที่กลายเป็นผลิตภัณฑ์แรกที่แอปเปิล เลือกออกแบบใหม่ทั้งหมด และใช้ประโยชน์ของ Apple M1 ได้อย่างน่าสนใจ

นอกจากนี้ Apple ยังได้แยกรูปแบบการใช้งานของ iMac 24” ให้ชัดเจนมากขึ้น ด้วยการนำเสนอเป็นคอมพิวเตอร์แบบออลอินวันสำหรับทุกคน ที่ไม่ได้เน้นเจาะกลุ่มมืออาชีพที่ต้องการประสิทธิภาพในการทำงาน และจอใหญ่เท่านั้น แต่รวมถึงการนำไปใช้งานในชีวิตประจำวัน ด้วยการเพิ่มตัวเลือกสีสันที่หลากหลาย จนถึงการนำไปใช้ในภาคธุรกิจก็ได้เช่นกัน

ข้อดี

  • ออกแบบใหม่ ตัวเครื่องบาง มีให้เลือกหลายสี
  • จอ 24 นิ้ว ความละเอียด 4.5K
  • ประสิทธิภาพสูง รองรับการใช้งานที่หลากหลายจาก Apple M1
  • กล้อง FaceTime  HD 1080p รองรับการวิดีโอคอล
  • ไมโครโฟน และลำโพง ปรับปรุงให้คุณภาพดีขึ้น

ข้อสังเกต

  • ขนาดจอจริงๆ อยู่ที่ 23.5 นิ้ว
  • ไม่สามารถเลือกสีของอุปกรณ์เสริมได้
  • เมจิกคีย์บอร์ดพร้อม Touch ID มาในรุ่น CPU 8 Core GPU 8 Core ถ้ารุ่นเริ่มต้นต้องซื้อเพิ่ม

ใส่ใจทุกรายละเอียด

ต้องยอมรับว่า Apple ยังคงรักษามาตรฐานในการออกแบบผลิตภัณฑ์ได้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะกับการใส่ใจรายละเอียดของสีใน iMac รุ่นนี้ ซึ่งจะเห็นได้ตั้งแต่รายละเอียดต่างๆ กล่องของผลิตภัณฑ์ ที่ตรงสีกับตัวเครื่องที่เลือก รวมถึงการใส่ใจในสิ่งแวดล้อม โดยบรรจุภัณฑ์ของ iMac ใช้กระดาษเป็นสัดส่วนหลักถึง 90%

เมื่อเป็นคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ ทำให้ Apple ต้องออกแบบกล่องบรรจุภัณฑ์ที่สามารถป้องกันการกระแทกได้ ด้วยการนำกระดาษมาใช้งาน ทำให้เมื่อเปิดฝากล่องขึ้นมา เมื่อเห็นตัวเครื่องแล้วต้องง้างบริเวณขอบข้างกล่องออก ถึงจะสามารถยก iMac ออกจากกล่องได้ ช่วยให้ปลอดภัยระหว่างการขนส่งอย่างแน่นอน

ถัดมาคือรายละเอียดของอุปกรณ์เสริมต่างๆ อย่างใน iMac สีเหลืองเครื่องนี้ สัญลักษณ์อุปกรณ์เสริมก็จะเป็นสีเหลือง เมื่อเปิดออกมาก็จะพบกับอุปกรณ์ที่ถูกห่อด้วยกระดาษเช่นเดียวกัน ทำให้บรรจุภัณฑ์นี้ กลายเป็นบรรจุภัณฑ์รักษ์โลกตามที่แอปเปิลวางแผนไว้

ในส่วนของสีอุปกรณ์เสริม ไม่ว่าจะเป็นคีย์บอร์ด เมาส์ และทัชแพด จะเล่นขอบสีให้เหมือนกับสีหลักของตัวเครื่อง ส่วนสายชาร์จเมาส์ที่เป็น USB-C to Lightning และสายไฟ จะใช้สีโทนอ่อนลง ซึ่งจะเป็นสีเดียวกับขอบล่างของจอ iMac นั่นเอง

น่าเสียดายที่ Apple ยังไม่เปิดเผยว่าจะมีการแยกวางจำหน่ายอุปกรณ์เสริมที่เป็นสีสันเหล่านี้แยกออกมาหรือไม่ เพราะเชื่อว่าต้องมีผู้ที่ใช้งาน iPhone แล้วอยากได้สายชาร์จแบบถักสีๆ ไปใช้งานแน่นอน สิ่งที่ทำได้ในเวลานี้คือการซื้อเครื่อง iMac ถึงจะได้อุปกรณ์เสริมตามสีที่อยากได้

ดีไซน์ใหม่หมด

หลังจากแกะเครื่องออกจากกล่องแล้ว สิ่งที่ได้เห็นคือ iMac ที่มีการออกแบบใหม่ทั้งหมด โดยมีจุดเด่นอยู่ที่ตัวเครื่องหนาเพียง 11.5 มิลลิเมตร พร้อมกับสีสันตัวเครื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสีเหลืองนี้ จะมีความโดดเด่นของตัวเครื่องใกล้เคียงกับสีทอง สำหรับขนาดของพื้นที่ใช้งานโดยรวมจะอยู่ที่ 46.1 x 54.7 x 14.7 เซนติเมตร น้ำหนักของตัวเครื่องอยู่ที่ 4.46 – 4.48 กิโลกรัม ขึ้นอยู่กับรุ่นที่เลือก

นอกจากสีเหลืองแล้ว iMac ยังมีให้เลือกอีก 6 สี เริ่มจากสีเงินที่เป็นสีดั้งเดิม ตามด้วยสีน้ำเงิน ม่วง ชมพู ส้ม และเขียว ซึ่งสีเหล่านี้ถ้าจำกันได้ก็คือมาจากโลโก้ของ Apple ในยุคแรก เรียกได้ว่ามีให้เลือกหลายสีตามสีที่แต่ละคนชื่นชอบ และเลือกนำไปใช้ให้เหมาะกับเฟอร์นิเจอร์ในบ้านก็ได้

ในส่วนของหน้าจอ iMac 24 นิ้ว ความจริงแล้วขนาดหน้าจอจะอยู่ที่ 23.5 นิ้ว เมื่อวัดในแนวทแยงมุม แต่ด้วยการสื่อสารที่ง่ายทำให้ Apple เลือกสื่อสารว่าเป็นรุ่น 24 นิ้วแทน ความละเอียดจอที่ได้จะเป็น 4.5K Retina display 4480 x 2520 พิกเซล รองรับการแสดงผล 1 พันล้านสี ความสว่างสูงสุด 500 nits ขอบเขตสี P3 และมีการปรับความสว่าง และโทนสีหน้าจออัตโนมัติ (True Tone)

บริเวณขอบของจอแสดงผล iMac ทั้ง 7 สี จะเลือกใช้สีขาว แตกต่างจากก่อนหน้านี้ที่ iMac ทั้งรุ่น 21.5 นิ้ว และ 27 นิ้ว จะมากับขอบจอสีดำ ซึ่งอาจจะเป็นเหตุผลที่จะสื่อถึงเหมาะกับการใช้งานทั่วไป ไม่ได้เน้นกลุ่มมืออาชีพเหมือนที่ผ่านมาอีกต่อไปแล้ว

ในส่วนของกล้อง FaceTime HD ใน iMac 24 นิ้ว มีการปรับความละเอียดเพิ่มขึ้นเป็น 1080p เช่นเดียวกับ iMac 27 นิ้ว ที่ออกมาก่อนหน้านี้ เพียงแต่ในรุ่นนี้จะมีคุณภาพที่ดีกว่าจากการนำชิปประมวลผลภาพ Image Signal Processor (ISP) ที่อยู่ในชิป M1 มาช่วยด้วย เนื่องจากช่วงหลังๆ การวิดีโอคอลล์กลายเป็นรูปแบบการใช้งานหลักของผู้ใช้หลายๆ คน

ในส่วนของพื้นที่ว่างใต้หน้าจอที่เรียกกันว่าบริเวณคางของ iMac 24″ นั้น ภายในจะเป็นที่อยู่ของเมนบอร์ด และชิปเซ็ตต่างๆ พร้อมพัดลมระบายอากาศ 2 ตัว ทำให้ในส่วนนี้จะมีหน้าที่หลักสำหรับการระบาดอากาศ และเป็นที่อยู่ของลำโพงด้วยเช่นกัน

พร้อมกับพัฒนาทั้งไมโครโฟน 3 ตัว ให้รับเสียงได้ดีขึ้น และช่วยตัดเสียงรบกวนจากรอบข้าง เช่นเดียวกับลำโพง 6 ตัว ที่ใส่มาให้ ทำให้เป็นเครื่องที่สามารถใช้งานได้ทั้งการประชุม จนถึงใช้เพื่อความบันเทิงอย่างดูหนัง ฟังเพลงได้อย่างเต็มที่ เพราะรองรับระบบเสียงแบบ Dolby Atmos ด้วย

สำหรับพอร์ตเชื่อมต่อต่างๆ จะมีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. มาให้ทางซ้ายของเครื่อง จากในรุ่นก่อนที่อยู่ด้านหลัง เนื่องมาจากเมื่อตัวเครื่อง iMac บางลง ทำให้ไม่สามารถวางตำแหน่งพอร์ตไว้ที่เดิมได้อีกต่อไป ส่วนหลังเครื่องจะมีพอร์ต USB-C / Thunderbolt มาให้ตามรุ่นที่เลือก โดยในรุ่นเริ่มต้นจะให้มา 2 พอร์ต ส่วนรุ่น 8 CPU 8 GPU จะให้ USB 3 เพิ่มมากอีก 2 พอร์ต

จุดเชื่อมต่อสายไฟเข้าเครื่อง เป็นอีกนวัตกรรมที่ Apple พัฒนาขึ้น เพราะนอกจากใช้ในการปล่อยกระแสไฟเข้าตัวเครื่องแล้ว ที่อะเดปเตอร์ Apple ยังมีพอร์ต Gigabit Ethernet มาให้ด้วย เรียกได้ว่าเป็นการประหยัดพื้นที่ของตัวเครื่อง iMac แล้วนำพอร์ตมาไว้ที่อะเดปเตอร์แทน

โดยอะเดปเตอร์ที่ให้มาสามารถส่งไฟได้ 143W ซึ่งในความเป็นจริงชิป M1 ไม่ได้ใช้พลังงานมากขนาดนั้น เพราะ M1 ที่ใช้งานกับ MacBook Air มากับอะเดปเตอร์เพียง 30W เท่านั้น เรียกได้ว่า Apple เตรียมพร้อมไว้สำหรับอนาคตก็ว่าได้ จากอะเดปเตอร์จะมีสายถักไว้เชื่อมต่อกับตัวเครื่องยาว 2 เมตร ไม่นับรวมสายไฟอีกราว 1 เมตร ทำให้ผู้ใช้สามารถจัดวางตัวเครื่องโดยมีเพียงสายไฟเส้นเดียวโผล่ขึ้นมาจากโต๊ะ

ถัดมาในส่วนของ Magic Keyboard กรณีที่เป็นรุ่นเริ่มต้นจะไม่มี Touch ID มาให้ ต้องเป็นรุ่น 8 CPU 8 GPU ถึงจะมีให้เช่นเดียวกัน โดยความละดวกของ Touch ID ก็คือการที่เวลาใช้งานในบ้านที่มีผู้ใช้หลายคน เมื่อแตะ Touch ID ก็จะเป็นการล็อกอินเข้าบัญชีของแต่ละคนได้ทันที ยิ่งเมื่อทำงานร่วมกับคีย์บอร์ดไร้สายจึงยิ่งสะดวกขึ้น

ในขณะที่ Magic Mouse และ Magic Trackpad จะมีการเปลี่ยนแปลงที่สีบริเวณขอบ ซึ่งจะเป็นโทนเดียวกับตัวเครื่อง เรียกได้ว่าใครที่เลือก iMac สีเหลืองมาใช้ จะได้ปลดล็อกสกินสีทองในเมจิกเมาส์ทันที ที่น่าเสียดายก็คือเวลาต้องการชาร์จ Magic Mouse ก็ยังต้องใช้การเสียบสายที่ใต้เมาส์อยู่ดี ทำให้ไม่สามารถชาร์จไปใช้งานไปด้วยได้

แรงด้วย Apple M1

ที่ผ่านมา Apple ได้พิสูจน์ความสามารถของชิป M1 กันไปแล้ว ตั้งแต่ตอนที่เปิดตัว MacBook Pro M1 ซึ่งผลทดสอบประสิทธิภาพนั้น แรงกว่าชิป Intel Core i9 ที่อยู่ใน MacBook Pro 16” เสียอีก ดังนั้น เรื่องความแรงของ iMac 24” จึงไม่ได้เป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงมากนัก

โดยในภาพรวม Apple M1 ที่ให้มานั้น รองรับการใช้งานทั่วๆ ไปของผู้บริโภคทั่วไปอยู่แล้ว จนถึงคอนเทนต์ครีเอเตอร์ระดับมืออาชีพที่ต้องการคอมพิวเตอร์มาเรนเดอร์ภาพยนต์ความละเอียด 4K ชิป M1 ก็สามารถทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม ดังนั้นถ้าเป็นการใช้งานภายในบ้าน สำนักงาน หรือวางไว้ใช้ตามสถานที่ต่างๆ iMac 24” รองรับได้สบาย

ในการเลือกซื้อ Apple จะมีให้เลือกว่าต้องการ Apple M1 รุ่น 8 Core CPU 7 Core GPU และ 8 Core CPU 8 Core GPU ให้เลือก สามารถใส่ RAM ได้สูงสุดที่ 16 GB และพื้นที่เก็บข้อมูลแบบ SSD ได้สูงสุดถึง 2 TB ดังนั้นก็ขึ้นอยู่กับการนำไปใช้งานเป็นหลัก

ส่วนการเชื่อมต่อ iMac 24” รองรับ WiFi 6 และบลูทูธ 5.0 ทำงานบนระบบปฏิบัติการ macOS BigSur ที่สามารถเชื่อมต่อเข้ากับอีโคซิสเตมส์ของ iPhone และ iPad ได้อย่างไร้รอยต่อ ส่วน Thunderbolt / USB 4 ที่ให้มา สามารถส่งต่อข้อมูลได้ที่ความเร็วสูงสุด 40 Gbps ส่วน USB 3 จะอยู่ที่ 10 Gbps โดยสามารถเชื่อมต่อกับจอแสดงผล 6K อย่าง Pro Display XDR ได้ด้วย

รุ่น และสี ที่วางจำหน่าย

iMac รุ่นเริ่มต้นแบบ 8 CPU 7 GPU จะมีให้เลือกเฉพาะสีฟ้า เขียว ชมพู และเงิน เท่านั้น ในราคาเริ่มต้น 42,900 บาท ส่วนถ้าต้องการสีเเหลือง ส้ม และม่วง จะต้องเลือกเป็นรุ่น 8 CPU 8 GPU แทนในราคาเริ่มต้น 49,900 บาท ซึ่งจะได้พื้นที่เก็บข้อมูล 256 GB

โดยในแง่ของการใช้งาน รุ่นที่แนะนำให้เลือกซื้อก็จะเป็น 8 Core CPU 8 Core GPU เป็นหลัก เพราะจะได้เพิ่มมาทั้งเมจิกคีย์บอร์ดที่มีทัชไอดี ตัวอะเดปเตอร์ที่สามารถเชื่อมต่อสายแลนได้ทันที และมีพอร์ต USB-C เพิ่มมาให้อีก 2 พอร์ตสำหรับเชื่อมต่อใช้งานเพิ่มเติม

ส่วนพื้นที่เก็บข้อมูลถ้าเป็นรุ่นเริ่มต้น 256 GB อาจจะเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ได้ต้องการใช้ iMac ในการเก็บข้อมูล เน้นการใช้งานร่วมกับคลาวด์ หรือเปิดใช้งานผ่านอินเทอร์เน็ตเป็นหลัก ตรงนี้อาจจะต้องดูถึงจุดประสงค์ในการใช้งานร่วมด้วย โดยสามารถเลือกความจุได้ตั้งแต่ 256 GB 512 GB 1 TB และ 2 TB

สรุป iMac 24” เหมาะกับใคร

Apple ไม่ได้วางตำแหน่งให้ iMac เป็นคอมพิวเตอร์สำหรับมืออาชีพอีกต่อไป แต่หันมาจับกลุ่มผู้ใช้งานทั่วไปที่ต้องการคอมพิวเตอร์แบบออลอินวันใช้งานในบ้าน ซึ่งตลาดเครื่อง All-in-One ในช่วงที่ผ่านมา ถือว่าเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงที่มีการ Work from Home หลายๆ บ้านเลือกที่จะซื้อคอมพิวเตอร์ให้บุตรหลานใช้ในการเรียนออนไลน์ และใช้งานเพื่อความบันเทิงเพิ่มเติม

นอกจากนี้ iMac 24” ยังสามารถนำไปใช้งานในกลุ่มธุรกิจได้ อย่างโรงแรม ร้านอาหาร ที่ต้องการคอมพิวเตอร์ไปใช้งาน เพิ่มสีสันให้ร้านค้า เพราะมีตัวเลือกมาให้ถึง 7 สี สามารถนำไปตกแต่งร่วมกับบรรยากาศต่างๆ ได้ทันที ซึ่งถือเป็นการขยายตลาดของ iMac เพิ่มเติมได้อย่างน่าสนใจ

Gallery

]]>
Review : Apple iPhone 12 จุดเริ่มต้นของยุค 5G และการเปลี่ยนดีไซน์ในรอบหลายปี https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-iphone-12/ Wed, 25 Nov 2020 01:00:31 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34208

ในปีนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ แอปเปิล (Apple) มีการเปิดตัว iPhone พร้อมกันทั้งหมด 4 รุ่นย่อย จากในช่วงหลังๆ ที่เลือกนำเสนอพร้อมกัน 3 รุ่นย่อย ตั้งแต่ในยุค iPhone X ต่อด้วย Xs และ 11 โดยมีการเพิ่มไลน์อย่าง iPhone 12 mini ที่กลายมาเป็นรุ่นเริ่มต้นแทน

สีของ iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max

สีของ iPhone 12 และ iPhone 12 mini

ความพิเศษของ iPhone 12 Series คือทั้ง 4 รุ่น 3 ขนาด มีสเปกชิปประมวลผลเดียวกัน ทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมไม่แตกต่างกัน จะมีจุดที่ต่างกันหลักๆ คือเรื่องของแบตเตอรี ขนาดหน้าจอ และกล้องที่ไล่ระดับความสามารถกันไป

ที่สำคัญคือทุกรุ่นรองรับการเชื่อมต่อ 5G ทันทีที่ใส่ซิมใช้งาน จึงกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาดสมาร์ทโฟนในประเทศไทย ที่ปัจจุบันผู้ให้บริการเครือข่ายอย่างเอไอเอส และทรูมูฟ เอช เริ่มให้บริการครอบคลุมในพื้นที่หลักๆ ทั่วประเทศแล้ว

ข้อดี

  • มีตัวเลือกให้เหมาะกับการใช้งานที่หลากลาย
  • ทุกรุ่นประสิทธิภาพเท่ากัน รองรับ 5G ทั้งหมด
  • ดีไซน์ปรับใหม่ ให้ความรู้สึกแข็งแรง
  • หน้าจอ Super Retina XDR ให้สีสวย คมชัด

ข้อสังเกต

  • ภายในกล่องไม่มีแถมอะเดปเตอร์ และหูฟังมาให้
  • แบตเตอรี หมดค่อนข้างเร็วเมื่อเชื่อมต่อ 5G – เล่นเกมหนักๆ
  • ขอบเครื่องรุ่น Pro ติดรอยนิ้วมือค่อนข้างง่าย

รู้จักความเหมือนของทั้ง 4 รุ่น

เมื่อมีตัวเลือกให้เลือกหลากหลายรุ่น ทำให้คำถามที่เกิดขึ้นคือ แต่ละรุ่นมีความแตกต่างกันอย่างไร เพื่อให้เห็นข้อมูลที่ชัดเจนมากขึ้น ขอเริ่มจากสิ่งที่ทั้ง 4 รุ่นเหมือนกันก่อน เพื่อแสดงให้เห็นภาพรวมของ iPhone 12 Series นี้

โดยเริ่มที่ขุมพลังของ iPhone ที่ช่วยให้การใช้งานลื่นไหล และประมวลผลข้อมูลต่างๆ ได้เป็นอย่างดี คือ Apple A14 Bionic ที่เริ่มนำมาใช้งานเป็นครั้งแรกใน iPad Air ที่เปิดตัวในเดือนที่ผ่านมา ก่อนนำมาใช้งานกับ iPhone 12 Series ในรอบนี้

Apple A14 Bionic ถือเป็นชิปเซ็ตที่พัฒนาขึ้นบนสถาปัตยกรรมแบบ 5 นาโนเมตร ที่แบ่งหน่วยประมวลผลออกเป็น 6 คอร์ โดย 2 คอร์สำหรับการประมวลผลระดับสูง และ 4 คอร์ที่ปรับแต่งมาให้รองรับการประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ GPU ใน A14 Bionic ยังช่วยประมวลผลให้ตัวเครื่องสามารถเล่นเกมประสิทธิภาพสูง การแสดงภาพสมจริง จนถึงการปรับแต่งวิดีโอให้แสดงผลได้ดียิ่งขึ้น ทำงานร่วมกับ NPU แบบ 16 คอร์ ที่จะเรียนรู้พฤติกรรมการใช้งานและปรับแต่งให้เหมาะสมที่สุด

ทดสอบความเร็ว AIS 5G ทำความเร็วได้ต่อเนื่องที่ 1 Gbps (ถ้าไม่มีแพ็กเกจ Unlimited ไม่แนะนำให้กดทดสอบความเร็ว)

ถัดมาคือเรื่องของการรองรับการเชื่อมต่อ 5G ซึ่งทางแอปเปิล ปล่อย Carrier Update ให้ผู้ใช้งาน iPhone 12 ในไทยสามารถเชื่อมต่อ 5G ได้ทันที โดยหลังจากที่เปิดเครื่องทำการอัปเดตเฟิร์มแวร์ และซิมการ์ดมีการเปิดใช้งาน 5G ก็จะจับสัญญาณใช้งานได้ทันที

ขอบเครื่องเหลี่ยม เหมือนใน iPhone 5s

ต่อด้วยในเรื่องของดีไซน์ ที่ในปีนี้มีการปรับโฉมกลับมาใช้รูปทรงแบบขอบเหลี่ยมตัดแทน โดยใน iPhone 12 mini และ iPhone 12 จะใช้วัสดุเป็นอะลูมิเนียมเกรดเดียวกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมอวกาศ ในขณะที่รุ่น Pro จะใช้วัสดุเป็นสแตนเลสสตีล 

โดยกระจกหน้าจอของทั้ง 4 รุ่น จะมีการเคลือบ Ceramic Shiled ช่วยป้องกันแรงกระแทกของจอภาพได้ดีขึ้นถึง 4 เท่า แต่ไม่ได้กันในเรื่องของรอยขีดข่วนอยู่เช่นเดิม อย่างไรก็ตามทุกรุ่นมาพร้อมการป้องกันน้ำระดับ IP68 ทำให้สามารถทนน้ำได้ลึก 6 เมตร 30 นาที

ระบบการปลดล็อกเครื่องยังคงเป็น Face ID ที่ทำงานร่วมกับกล้องหน้าแบบ TrueDepth ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/2.2 ทั้ง 4 รุ่น ซึ่งยังรองรับการปลดล็อกด้วยใบหน้าในแนวตั้งเท่านั้น ไม่ได้ถูกปรับให้สามารถปลดล็อกทุกมุมเหมือนใน iPad Pro

ทุกรุ่นยังรองรับการใช้งาน MagSafe ที่เป็นรูปแบบใหม่ของการชาร์จไร้สาย และใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เสริม ด้วยการนำจุดเด่นของแม่เหล็กมาใช้งาน ทำให้สามารถเชื่อมต่อกับเคสใส่นามบัตร และอื่นๆ ที่จะพัฒนาต่อไปในอนาคตด้วย

รวมจุดต่างของทั้ง 4 รุ่น

เมื่อเห็นจุดที่เหมือนกันแล้ว มาดูถึงจุดต่างของเครื่องทั้ง 4 รุ่นกันบ้าง ที่จะมีความแตกต่างเล็กน้อยๆ ไล่ระดับกันไป บนพื้นฐานของการใช้งานที่ไม่แตกต่างกันมากนัก ทำให้ในการเลือกใช้งานควรคำนึงถึงจุดต่างเหล่านี้

เริ่มกันที่หน้าจอ iPhone 12 Series ทุกรุ่นจะมากับหน้าจอ Super Retina XDR ที่เป็นหน้าจอ OLED ให้ความละเอียด และความคมชัดที่ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้า โดยในรุ่น iPhone 12 mini และ iPhone 12 จะให้ความสว่างหน้าจอ 625 nit ในขณะที่ iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max จะอยู่ที่ 800 nit

iPhone 12 mini มากับหน้าจอ 5.4 นิ้ว ความละเอียด 2340 x 1080 พิกเเซล ขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 131.5 x 64.2 x 7.4 มิลลิเมตร น้ำหนัก 135 กรัม

ส่วน iPhone 12 และ iPhone 12 Pro มีขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้ว ความละเอียด 2532 x 1170 พิกเซล ขนาดตัวเครื่อง 146.7 x 71.5 x 7.4 มิลลิเมตร เท่ากันทั้งหมด ทำให้สามารถใช้อุปกรณ์เสริมร่วมกันได้ โดยน้ำหนักของ iPhone 12 จะเบากว่าที่ 164 กรัม ส่วน iPhone 12 Pro หนัก 189 กรัม

iPhone 12 Pro Max ที่เป็นรุ่นใหญ่สุดในปีนี้ ปรับขนาดหน้าจอมาเป็น 6.7 นิ้ว ความละเอียด 2778 x 1284 พิกเซล ขนาดตัวเครื่อง 160.8 x 78.1 x 7.39 มิลลิเมตร น้ำหนัก 228 กรัม

iPhone 12 mini และ iPhone 12 มีให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 5 สี คือ ดำ ขาว น้ำเงิน เขียว และแดง ส่วน iPhone 12 Pro และ 12 Pro Max มีให้เลือก 4 สี คือ กราไฟต์ เงิน ทอง และแปซิฟิกบลู

ให้ความสำคัญกับกล้องถ่ายภาพ

iPhone 12 mini และ iPhone 12 ใช้เลนส์คู่ UltraWide – Wide

ในเรื่องของกล้องถ่ายภาพใน iPhone 12 mini และ iPhone 12 จะมากับกล้องคู่เลนส์ไวด์ และอัลตร้าไวด์ ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล โดยเลนส์มุมกว้างจะมากับ f/2.4 และเลนส์หลักเป็น f/1.6 ช่วยให้สามารถเก็บรายละเอียดภาพในที่แสงร้อยได้ดีขึ้น รองรับการซูมดิจิทัลที่ 5 เท่า

โดยเลนส์อัลตร้าไวด์ที่ใช้จะเป็นเลนส์เดียวกันหมดทั้ง 4 รุ่น ส่วนเลนส์ไวด์ จะถูกนำมาใช้กับ iPhone 12 Pro ด้วย เพิ่มเติมด้วยเลนส์เทเลโฟโต้ f/2.0 ที่รองรับการซูมออปติคอล 2 เท่า เทียบเท่าเลนส์ 52 มม. ซูมดิจิทัลได้ 10 เท่า

iPhone 12 / iPhone 12 Pro Max / iPhone 12 Pro

สุดท้ายในส่วนของ iPhone 12 Pro Max ที่มีความพิเศษในเลนส์ไวด์ ด้วยการใช้เซ็นเซอร์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น รองรับระบบกันสั่น OIS ที่เซ็นเซอร์ f/1.6 เช่นเดียวกัน ทำให้สามารถบันทึกภาพในที่แสงน้อยได้ดีกว่ารุ่นอื่น รวมถึงการเพิ่มระยะเลนส์เทเลโฟโต้เป็น 65 มม. หรือซูมออปติคัล 2.5 เท่า ทำให้รองรับการซูมดิจิทัลได้สูงสุดที่ 12 เท่า

อีกความพิเศษที่มีเฉพาะใน 12 Pro และ 12 Pro Max คือการเพิ่มเซ็นเซอร์ LiDAR แบบเดียวกับที่ใช้งานใน iPad Pro รุ่นล่าสุด เพื่อนำมาใช้ในการวัดระยะของพื้นผิว รวมถึงการคำนวนภาพ 3 มิติ ร่วมกับชิป A14 Bionic ซึ่งช่วยทำให้สามารถโฟกัสได้เร็วขึ้นในที่แสงน้อย รวมถึงการถ่ายภาพบุคคลในโหมดกลางคืนได้แม่นยำขึ้น

ทำให้รวมๆ แล้ว iPhone 12 Pro Max จะกลายเป็นรุ่นที่มีประสิทธิภาพในการถ่ายภาพนิ่ง และวิดีโอดีที่สุด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการคุณภาพที่ดีที่สุด รองลงมาด้วยรุ่น Pro ส่วน 12 และ 12 mini ก็ถือว่าเพียงพอกับการใช้งานทั่วไปแล้ว เพราะเลนส์หลักที่ใช้ใกล้เคียงกัน

สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายวิดีโอ ต้องยอมรับว่า iPhone 12 ที่รองรับการบันทึกวิดีโอแบบ HDR 10 บิต ในแบบ Dolby Vision ทำให้สามารถเก็บรายละเอียดสีได้ดีมากขึ้น และทำให้ภาพที่ดีมีชีวิตชีวา ที่สำคัญด้วยหน้าจอที่รองรับการแสดงผลแบบ HDR ยิ่งทำให้ภาพที่ได้มีคุณภาพมากขึ้นไปอีก

Smart Data ช่วยปรับโหมด 4G – 5G

การตั้งค่าเชื่อมต่อเครือข่าย 5G

ด้วยการที่ iPhone 12 รองรับ 5G ทั้ง 4 รุ่น ทำให้ผู้ที่ใช้งานเครือข่าย 5G จะพบว่าตัวเครื่องใช้พลังงานแบตเตอรีมากกว่าปกติ ดังนั้น ในการใช้งานแนะนำให้เปิดโหมด Smart Data ทิ้งไว้ เนื่องจากตัวเครื่องจะคอยคำนวนว่า เมื่อถึงรูปแบบการใช้งานที่จำเป็น ตัวเครื่องจะสลับการเชื่อมต่อระหว่าง 4G และ 5G ให้แบบอัตโนมัติ

ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีการใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์ก หรือแอปพลิเคชันในการสื่อสารผ่านตัวอักษรทั่วไป ความเร็วในการเชื่อมต่อผ่าน 4G นั้นเพียงพออยู่แล้ว ตัวเครื่องก็จะเลือกใช้งานเครือข่าย 4G เป็นหลัก จึงไม่แปลกที่เมื่อใช้งานทั่วไปจะเห็นสัญลักษณ์ 4G แสดงขึ้นบนหน้าจอ แม้ว่าจะอยู่ในพื้นที่ 5G ครอบคลุมก็ตาม

ในอีกกรณีหนึ่งถ้ามีการเรียกใช้งานระบบสตรีมมิ่ง วิดีโอคอลล์ หรือเล่นเกม ตัวเครื่องก็จะเปลี่ยนไปจับสัญญาณ 5G แทน เพื่อให้การดาวน์โหลดข้อมูลทำได้รวดเร็วมากขึ้น และช่วยให้สามารถโทรผ่าน FaceTime ได้ละเอียดถึงระดับ Full HD 1080p ด้วย

ทั้งนี้ iPhone 12 ทุกรุ่นที่วางขายในไทยจะรองรับการเชื่อมต่อ 5G แบบ Sub-6 หรือคลื่นความถี่ต่ำกว่า 6 GHz เท่านั้น ไม่ได้รองรับคลื่นความถี่ระดับ mmWave ดังนั้น คลื่นหลักที่นำมาใช้งานในไทยจึงเป็นคลื่น 2600 MHz ในปัจจุบัน และช่วงต้นปีหน้าจะมีเพิ่มคลื่น 700 MHz เข้ามาให้ใช้งาน

MagSafe กับกับวิธีการชาร์จไร้สายรูปแบบใหม่

นอกเหนือจากตัวเครื่องแล้วอีกนวัตกรรมที่แอปเปิล พัฒนาขึ้น และนำมาใช้งานร่วมกับ iPhone 12 คือการชาร์จไร้สาย และการเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริมรูปแบบใหม่อย่าง MagSafe ที่นำชื่อของระบบชาร์จในแมคบุ๊กที่เป็นแม่เหล็กช่วยเพิ่มความปลอดภัยขณะชาร์จแบตมาใช้งาน

การทำงานของ MagSafe ในเวลานี้จะมีด้วยกัน 2 ส่วนหลักๆ เริ่มจากใช้งานคู่กับแท่นชาร์จ MagSafe ที่พัฒนาขึ้นมาจากระบบชาร์จไร้สาย Qi ทำให้ชาร์จได้แรงขึ้นเป็น 15W จากปกติที่ 7.5W โดยมีข้อจำกัดว่าต้องใช้งานร่วมกับอะเดปเตอร์แบบ 20W ที่แอปเปิลวางจำหน่ายในราคา 690 บาท ด้วย

อีกรูปแบบหนึ่งคือการนำแม่เหล็กของ MagSafe มาใช้งานกับอุปกรณ์เสริม โดยเฉพาะในเคสสีสันและลวดรายต่างๆ ที่ทำงานร่วมกับกระเป๋าสตางค์หนัง สำหรับใส่นามบัตรแปะไว้ที่หลังเครื่องเป็นต้น

ข้อดีอย่างหนึ่งของ MagSafe คือมีการยึดติดกับตัวเครื่องที่แน่นหนา สามารถยกตัวเครื่องให้ลอยขึ้นมาได้ และช่วยให้สามารถเล่นเกมระหว่างชาร์จแบตเตอรีไปได้ด้วย จากเดิมในการชาร์จแบบมีสายจะทำให้เล่นเกมในแนวนอนไม่สะดวก

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของอุปกรณ์เสริมอย่างซองหนัง เวลาใส่ใช้งานต้องระวังเวลาเก็บ iPhone ใส่เข้าไปในกระเป๋ากางเกงพอสมควร เนื่องจากลื่นหลุดค่อนข้างง่าย เมื่อมีแรงดึงจากด้านข้าง แต่ถ้าเก็บใช้งานในกระเป๋าถือทั่วไปน่าจะไม่เจอปัญหานี้

ไม่แถมอะเดปเตอร์หูฟัง ลดขนาดกล่อง

การที่แอปเปิล ไม่แถมอะเดปเตอร์ชาร์จ ใน iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่นนั้น แม้ว่าจะมีการยกเหตุผลอย่างเรื่องการรักษ์โลกมาใช้ แต่ในความเป็นจริงแล้วกลายเป็นการผลักภาระให้ผู้บริโภคต้องซื้ออะเดปเตอร์มาใช้งานเพิ่มเติม แม้ว่าแอปเปิลจะระบุว่า ทุกคนมีหัวชาร์จ iPhone ใช้งานอยู่แล้วก็ตาม

โดยการที่แอปเปิล ไม่แถมทั้งอะเดปเตอร์ และหูฟังมานั้น ช่วยให้ลดขนาดกล่องของ iPhone ลงมาได้เกือบ 50% จากที่เห็นในรูปคือกล่องของ iPhone 11 Pro Max 1 กล่อง จะใกล้เคียงกับ iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max รวมกัน 2 กล่องเลยทีเดียว

สำหรับอะเดปเตอร์ชาร์จนั้น ประเด็นหนึ่งที่ควรคำนึงถึงก็คือผู้ที่ใช้งาน iPhone รุ่นก่อนหน้านี้ ถ้าไม่ใช่ iPhone 11 Pro หรือ iPhone 11 Pro Max ทุกรุ่นจะแถมอะเดปเตอร์แบบ 5W ที่เป็นหัวชาร์จ USB Type A to Lightning มาให้ ในขณะที่สายชาร์จที่แถมกับ iPhone 12 นั้นเป็น USB Type C to Lightning

นั่นแปลว่าอะเดปเตอร์ของ iPhone รุ่นก่อนหน้าจะไม่สามารถนำมาใช้กับอุปกรณ์ในกล่องที่แอปเปิลแถมมาให้ได้ หรือถ้านำสายเก่ามาใช้ชาร์จก็จะชาร์จได้ช้ามาก โดยในรุ่น 12 Pro Max ถ้าต้องการชาร์จจนเต็มอาจใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมงกว่าๆ

ในขณะที่ถ้าใช้งานร่วมกับอะเดปเตอร์ 20W ขึ้นไป จะสามารถชาร์จ 50% ได้ ภายใน 30 นาที และใช้เวลารวมไม่ถึง 2 ชั่วโมงในการชาร์จจนเต็ม ดังนั้น ในการซื้อ iPhone 12 มาใช้ควรเผื่อเงินอีก 690 บาทไปซื้ออะเดปเตอร์ชาร์จด้วย

ส่วนในเรื่องของหูฟังนั้น ถือว่ายอมรับได้ เพราะปัจจุบันหูฟังแบบไร้สายได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น และสามารถหาซื้อได้ตั้งแต่ราคาไม่กี่ร้อยบาท ไปจนถึงหลักหมื่นบาท ซึ่งเชื่อว่าผู้ที่ใช้งาน iPhone ส่วนใหญ่จะเริ่มมีหูฟังไร้สายใช้งานกันแล้ว จึงไม่ได้ติดอะไร

ภาพรวมตัวเครื่อง

ในส่วนของตัวเครื่อง iPhone นั้น ในรอบนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงเลย์เอาท์บางส่วน อย่างการเปลี่ยนช่องใส่นาโนซิมการ์ดมาอยู่ทางด้านซ้ายตัวเครื่อง ถัดจากปุ่มปิดเสียง และเพิ่มลดเสียง

ทางฝั่งขวายังคงเป็นปุ่มเปิดเครื่อง และเรียกใช้งาน Siri (ถ้าต้องการปิดเครื่องให้กดปุ่มเปิดเครื่อง พร้อมกับปุ่มเพิ่มเสียงค้างไว้) ด้านบนจะเป็นแถบรับสัญญาณโทรศัพท์มือถือ

ด้านล่างจะเป็นพอร์ต Lightning ที่มีช่องลำโพงอยู่ข้างๆ โดยถ้าสังเกตทั้ง 4 รุ่น จะพบว่าลำโพงของ iPhone 12 mini จะมีรูที่น้อยกว่า iPhone 12 และ iPhone 12 Pro เช่นเดียวกับที่ iPhone 12 Pro Max จะมีรูลำโพงมากที่สุดด้วย

ในส่วนของการเชื่อมต่อนอกจาก 5G ที่เป็นเทคโนโลยีใหม่แล้ว ยังรองรับ WiFi 6 บลูทูธ 5.0 มีชิป UltraWide Band ช่วยในการรับรู้ตำแหน่งของอุปกรณ์ต่างๆ มีชิป NFC มาให้ใช้งานได้ครบถ้วน บนระบบปฏิบัติการ iOS 14.2

สำหรับราคาจำหน่ายของ iPhone 12 mini เริ่มต้นที่ 25,900 บาท iPhone 12 เริ่มต้นที่ 29,900 บาท iPhone 12 Pro เร่ิมที่ 36,900 บาท และ iPhone 12 Pro Max เริ่มที่ 39,900 บาท

สรุป

เป็นอีกครั้งที่แอปเปิล ทำ iPhone รุ่นใหม่ออกมาได้น่าสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องการที่ทำให้ทุกรุ่นรองรับการเชื่อมต่อ 5G และมีตัวเลือกที่หลากหลาย เริ่มตั้งแต่ iPhone 12 mini ที่ปัจจุบันเป็นสมาร์ทโฟนที่รองรับ 5G ที่บางที่สุดในโลก

ในส่วนของ iPhone 12 ที่คาดว่าจะเป็นรุ่นขายดีที่สุด เรียกได้ว่าพัฒนาขึ้นมาจาก iPhone 11 ได้แบบก้าวกระโดด และกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มีงบประมาณจำกัด แล้วต้องการ iPhone ที่ครบเครื่อง

สุดท้ายคือ iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max ที่ขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งานเลยว่าต้องการเครื่องที่มีขนาดหน้าจอใหญ่ขึ้นหรือไม่ ถ้าไม่ต้องการ 12 Pro ก็ถือว่าตอบโจทย์การใช้งานแล้ว แต่ถ้าต้องการจอใหญ่ และมีงบประมาณเหลือเฟือการเลือก 12 Pro Max ก็ถือเป็นรุ่นที่จบที่สุด

ชมภาพตัวอย่างจาก iPhone 12 ได้ที่นี่ 

Gallery

]]>