แอปเปิล วอทช์ – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Mon, 19 Oct 2020 07:47:25 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : Apple Watch Series 6 / SE พัฒนาการสู่สมาร์ทวอทช์เพื่อสุขภาพยิ่งขึ้น https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-watch-series-6-se/ Mon, 19 Oct 2020 07:38:44 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=33937

Apple Watch ได้กลายมาเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ Wearable คู่ใจผู้ที่ใช้งาน iPhone และกลายเป็นสมาร์ทโฟนซีรีส์หนึ่งที่ขายดีที่สุดในโลก ซึ่งนอกจากความสามารถในการเชื่อมต่อกับ iPhone เพื่อแจ้งเตือนแล้วในช่วงหลังๆ ได้พัฒนาความสามารถเกี่ยวกับสุขภาพมากยิ่งขึ้น

โดยใน Apple Watch Series 6 ได้มีการเพิ่มความสามารถใหม่เกี่ยวกับอย่างการวัดค่าออกซิเจนในเลือด ในเวลา 15 วินาที เมื่อประกอบกับความสามารถของ watchOS 7 ที่รองรับการตรวจจับการนอน และความสามารถเดิมอย่างการวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ยังไม่สามารถใช้งานในไทย) ทำให้ Apple Watch สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น

ขณะเดียวกัน Apple Watch Series 6 ได้มีการเพิ่มประสิทธิภาพตัวเครื่อง รองรับการเชื่อมต่อ WiFi 5 GHz เพิ่มสีใหม่อย่างน้ำเงิน และสีแดง ปรับปรุงจอแสดงผลให้สว่างขึ้นกว่ารุ่นเดิม และประหยัดพลังงานมากขึ้นด้วย

นอกเหนือจากรุ่นหลังแล้ว ในปีนี้ Apple ยังได้เปิดตัว Apple Watch SE ออกสู่ตลาด เพื่อมาเป็นตัวเลือกสมาร์ทวอทช์ประสิทธิภาพดีราคาประหยัดให้ผู้ใช้ iOS เลือกใช้งานเพิ่มเติม จากรุ่นเริ่มต้นที่เป็น Apple Watch Series 3

ข้อดี

  • Watch 6 รองรับการวัดค่าออกซิเจนในเลือด
  • Watch SE เป็นจะกลายเป็นรุ่นเริ่มต้นกับการใช้งานทั่วไป
  • การเพิ่มสีใหม่อย่าง สีแดง และน้ำเงิน ช่วยให้มีตัวเลือกหลากหลายมากขึ้น

ข้อสังเกต

  • ฟีเจอร์ ECG ยังไม่สามารถใช้งานในไทยได้
  • ระบบการวัดการนอนร่วมกับ watchOS 7 ยังเก็บข้อมูลได้ไม่ลึก ต้องใช้ร่วมกับแอปฯ ภายนอก
  • แบตเตอรี ยังใช้งานได้ประมาณ 1-2 วัน อยู่เช่นเดิม

Apple Watch 6 / Apple Watch SE เลือกรุ่นไหนดี?

Apple Watch 6 / Apple Watch 5 / Apple Watch SE

ด้วยการที่ปัจจุบัน Apple Watch มีตัวเลือกสำหรับการเลือกซื้อทั้งหมด 3 รุ่นด้วยกัน ประกอบไปด้วย Apple Watch 3 ซึ่งเป็นสมาร์ทวอทช์ที่เปิดตัวมา 3 ปีที่แล้ว แต่ปัจจุบันยังคงทำตลาดอยู่ ด้วยการปรับลดราคาลงมาให้น่าสนใจ

จนกลายเป็นตัวเลือกเริ่มต้นของผู้ที่ต้องการใช้งาน Apple Watch ร่วมกับ iPhone เพราะด้วยราคาเริ่มต้นที่ 6,400 บาท แต่สามารถใช้รับการแจ้งเตือน ตรวจวัดการออกกำลังกาย อัตราการเต้นของหัวใจได้ ทำให้เพียงพอกับการใช้งานทั่วๆ ไป

ถัดมาคือ Apple Watch SE หรือให้นึกภาพง่ายๆ คือ Apple Watch Series 4 ที่นำมาปรับปรุงให้กลายเป็นตัวเลือกใช้งานเพิ่มเติม ในราคาเริ่มต้นที่ 9,600 บาท โดยจุดเด่นของ Apple Watch SE เมื่อเทียบกับ Watch 3 คือมีขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น 30% เพิ่มเติมด้วยการตรวจจับการล้ม (Fall Detection) และมีรุ่น Cellular ให้เลือกใช้งาน

ดังนั้น Apple Watch SE จึงกลายเป็นรุ่นที่น่าสนใจถ้าต้องเลือกซื้อ Apple Watch ให้ผู้สูงอายุ หรือเด็กๆ ใช้งานแบบเริ่มต้น เพราะนอกเหนือจากคุณสมบัติทั่วไปของสมาร์ทวอทช์แล้ว การมีเซ็นเซอร์ตรวจจับการล้ม (ใช้เวลาผู้สูงอายุล้ม) และมี Cellular ในตัว จะช่วยให้สามารถแจ้งเตือนฉุกเฉินได้ทันที หรือแม้แต่ให้บุตรหลานใช้ ก็จะทำให้สามารถติดต่อได้ตลอดเวลา

สุดท้ายก็คือ Apple Watch 6 ที่กลายเป็นตัวเลือกหลักในการเลือกซื้อเพื่อใช้งานร่วมกับ iPhone โดยเฉพาะผู้ที่ใส่ใจด้านสุขภาพ และออกกำลังกายเป็นพิเศษ เพราะในรุ่นนี้ เพิ่มความสามารถอย่างการวัดค่าออกซิเจนในเลือด และยังมีเซ็นเซอร์วัดระดับความสูงแบบเรียลไทม์เพิ่มขึ้นมา

จะเห็นได้ว่า Apple Watch แต่ละรุ่นมีรายละเอียดที่น่าสนใจในแต่ละระดับราคา ดังนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าต้องการเลือกใช้ Apple Watch ไปใช้งานในลักษณะไหน ถ้าแค่แจ้งเตือนข้อมูลต่างๆ Watch 3 รุ่นเริ่มต้นก็เพียงพอ แต่ต้องการเลือกให้ผู้สูงอายุ หรือบุตรหลานใช้ แต่ไม่ต้องการซื้อรุ่นราคาสูงก็หันมามอง Watch SE ได้ ส่วน Watch 6 ถือเป็นรุ่นมาตรฐานของปีนี้ ที่ได้ฟีเจอร์ครบถ้วนมากที่สุด

ข้อดีอย่างหนึ่งของ Apple Watch คือสายของรุ่น 38-40 มม. และ 42-44 มม. สามารถใช้ร่วมกันได้ ดังนั้น ถ้าใช้งานตัวเรือนขนาดไหนอยู่ ถึงจะเปลี่ยนรุ่นใหม่ ก็ยังสามารถใช้งานสายเดิมได้ต่อเนื่อง ไม่ต้องคอยสีสายใหม่ทั้งชุดตลอดเวลา

สิ่งใหม่บน Apple Watch 6

เมื่อเห็นถึงความสามารถที่แตกต่างกันใน Apple Watch แต่ละรุ่นที่วางจำหน่ายแล้ว ลองมาดูรายละเอียดที่น่าสนใจเพิ่มเติมของ Apple Watch 6 กันบ้าง ในรุ่นนี้ Apple ยังคงตัวเลือกวัสดุ 3 แบบ คืออะลูมิเนียม ที่พิเศษขึ้นมาคือมาจากวัสดุรีไซเคิล 100% ตามด้วย สแตนเลสสตีล และไทเทเนียม เช่นเดิม

สิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมาในส่วนของสีคือรุ่นอะลูมิเนียม จะเพิ่มรุ่นสีน้ำเงิน และแดง (Product RED) ขึ้นมา พร้อมกับสีเดิมอย่างสีเงิน สีทอง และสีเทาสเปซเกรย์ ถัดมาในรุ่นสแตนเลสสตีล จะมีสีกราไฟต์ และสีทอง รวมกับสีเดิมคือ สีเงิน สีไทเทเนียม และสีดำ

โดยยังคงมีให้เลือก 2 ขนาดตัวเรือนเช่นเดิมคือ 40 มม. (324 x 394 พิกเซล) ขนาด 39.8 x 34.4 x 10.7 มิลลิเมตร น้ำหนัก 30.5 กรัม และรุ่นที่นำมารีวิว 44 มม. (368 x 448 พิกเซล) ขนาด 44 x 37.8 x 10.7 มิลลิเมตร น้ำหนัก 36.4 กรัม

ตัวเรื่องรองรับการเชื่อมต่อ WiFi บนคลื่น 5GHz เรียบร้อยแล้ว ตามด้วยบลูทูธ 5.0 พร้อมเปลี่ยนมาใช้ชุดวงจรรวม (System in Package : SiP) S6 ที่ออกแบบใหม่ให้มีพื้นที่ใช้งานเพิ่มขึ้น 9% ประมวลผลได้รวดเร็วขึ้น 20% และประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น

ในส่วนของเซ็นเซอร์หลังตัวเรือน ได้มีการจัดเรียงฝาหลังคริสตัลพร้อมไฟ LED 4 ดวง สีเขียว แดง อินฟราเรด และโฟโต้ไดโอด เพื่อช่วยในการวัดค่าออกซีเจนในเลือดให้มีความแม่นยำ รวมกับการวัดอัตรการเต้นของหัวใจ และวัดค่า ECG ด้วย

อีกหนึ่งความน่าสนใจที่ปรับปรุงขึ้นบน Watch 6 คือเรื่องของแบตเตอรี ที่ทางแอปเปิล ระบุว่า สามารถใช้งานได้นานขึ้น อย่างการเล่นเพลงในเครื่องได้ต่อเนื่อง 11 ชั่วโมง เล่นเพลงผ่านสตรีมมิ่งได้ 8 ชั่วโมง ติดตามการออกกำลังกายในร่มได้ 11 ชั่วโมง กลางแจ้งแบบเปิดใช้ GPS ได้สูงสุด 7 ชั่วโมง และ 6 ชั่วโมง ถ้าใช้งาน Cellular ร่วมด้วย

ระบบการชาร์จก็เช่นกัน เพราะปัจจุบัน Apple Watch ได้พัฒนาเป็นอุปกรณ์ในการตรวจจับการนอนด้วย ดังนั้นทำให้ต้องลดระยะเวลาชาร์จให้น้อยลง เพื่อให้สามารถชาร์จก่อนนอนได้ โดยในรุ่นนี้ จะสามารถชาร์จได้ 80% ในเวลา 1 ชั่วโมง และจะเต็ม 100% ภายใน 1 ชั่วโมง 30 นาที เทียบกับ Series 5 แล้วชาร์จเร็วขึ้นราว 33%

ข้อดีของการวัดค่าออกซิเจนในเลือด

หนึ่งในคำเตือนสำคัญที่แอปเปิล แจ้งเสมอมาคือ Apple Watch ไม่ใช่อุปกรณ์ทางการแพทย์ ทำให้ข้อมูลที่ได้จากนาฬิกานั้นไม่สามารถนำไปใช้ในการรักษาคนไข้ได้ ซึ่งจริงๆ แล้วถือเป็นสิ่งที่ผู้ใช้ Apple Watch ต้องรับรู้

โดยการเก็บข้อมูลต่างๆ ถูกเก็บเพื่อไว้ใช้เพื่อให้ตรวจพบอาการผิดปกติได้เร็วขึ้น ซึ่งจะช่วยให้สามารถไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาได้รวดเร็วขึ้น ซึ่งที่ผ่านมา Apple Watch ได้ช่วยชีวิตผู้ป่วยที่มีอาการเต้นของหัวใจผิดปกติมาแล้วหลายราย

การเพิ่มระบบวัดค่าออกซิเจนในเลือดครั้งนี้ ถือเป็นอีกก้าวที่น่าสนใจ เพิ่มเติมจากการใส่ฟีเจอร์อย่างวัดค่าคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) ที่แม้ว่าจะยังไม่สามารถใช้งานในไทยได้ เพราะอยู่ระหว่างการขออนุญาต แต่ก็ถือว่าตัวเครื่องรองรับ ที่ผ่านมาแอปเปิลได้เพิ่มฟีเจอร์เพื่อสุขภาพอย่าง การติดตามรอบเดือน การแจ้งเตือนเสียงดังเกินไป จนถึงการตรวจจับการล้มด้วย

ต่อเนื่องมาถึงความอิ่มตัวของออกซิเจน หรือ SpO2 ที่ช่วยแสดงข้อมูลว่าระบบหมุนเวียนเลือดมีการส่งค่าออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ดีแค่ไหน โดยค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนปกติจะอยู่ที่ช่วง 95-99%

หลักการที่แอปเปิล นำมาใช้ในการวัดค่าออกซิเจนในเลือดคือการใช้เทคโนโลยีที่ใกล้เคียงกับ Pulse Oximeter ในการใช้แสงส่องผ่านผิวหนังเพื่อตรวจวัดสีของเลือด และคำนอนออกมาเป็นค่าออกซิเจนในเลือด

ประกอบกับการที่ใน watchOS 7 เพิ่มฟีเจอร์วัดการนอนหลับขึ้นมา ฟีเจอร์นี้จะเข้าไปช่วยให้เห็นระดับค่าความอิ่มตัวระหว่างการนอนได้เพิ่มเติม จนถึงระดับออกซิเจนในเลือดระหว่างวัน ที่สามารถดูข้อมูลย้อนหลังผ่านแอป Health ได้

Apple Watch SE กับความคุ้มค่า

เมื่อ Apple Watch 6 เป็นรุ่นที่สมบูรณ์ที่สุด Apple Watch SE ก็จะอยู่กับความคุ้มค่า ซึ่งถือเป็นจุดหลักของซีรีส์ SE ที่เป็นรุ่นราคาประหยัดของ Apple โดยให้ความสามารถที่เพียงพอกับการใช้งาน ในระดับราคาที่ย่อมเยาลงมา

โดย Watch SE จะมากับขนาดหน้าจอเท่ากับ Watch 6 คือมีให้เลือกระหว่างรุ่น 40 มม. และ 44 มม. ในส่วนของขนาดตัวเรือน และน้ำหนักก็ใกล้เคียงกัน เพียงแต่ว่าจะใช้ SiP S5 ที่ใช้งานกับ Watch 5 แทน รองรับการเชื่อมต่อ WiFi บน 2.4 GHz เท่านั้น

ความสามารถที่ถูกตัดออกไปจาก Watch 6 คือเรื่องของการวัดค่าออกซิเจนในเลือด การวัดค่า ECG แต่ยังใช้วัดอัตราการเต้นของหัวใจ การออกกำลังกาย และการตรวจจับการล้มได้ ทำให้เหมาะกับผู้สูงอายุ เพื่อเป็นตัวเลือกในการใช้งาน

ฟีเจอร์ใหม่ของ watchOS 7 / Family Setup

ทีนี้ มาย้อนดูถึงความสามารถของ watchOS 7 ที่เพิ่มขึ้นมา ให้ผู้ใช้งาน Apple Watch รุ่นเดิมสามารถใช้งานได้แล้ว ก็จะมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจอย่าง การล้างมมือ ที่จะคอยนับถอยหลัง 20 วินาที การวัดการนอน เพิ่มรูปแบบหน้าปัดใหม่

ส่วนที่น่าสนใจที่สุดคือระบบการตั้งค่าครอบครัว (Family Setup) ที่เปิดให้สามารถตั้งค่าและจัดการ Apple Watch สำหรับสมาชิกในครอบครัว โดยที่ไม่ต้องใช้งานร่วมกับ iPhone อย่างเด็กๆ หรือผู้สูงอายุ

โดย Apple Watch จะคอยเก็บข้อมูลสุขภาพ กิจกรรม และการแจ้งเตือนตำแหน่งต่างๆ ซึ่งมีโหมดเฉพาะลงไปสำหรับเด็ก อย่างการตั้งค่าจำกัดการสื่อสาร ในช่วงเวลาเรียน หรือใช้ตรวจจับการล้มสำหรับผู้สูงอายุ

ปัจจัยสำคัญในการใช้งาน Family Setup คือจะทำงานร่วมกับ Apple Watch รุ่นที่ 4 ขึ้นไป แบบ GPS+Cellular เท่านั้น เนื่องจากต้องมีการใส่ eSIM เข้าไปในตัวเรือนเพื่อให้สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต และสื่อสารได้

ประกอบกับการที่ watchOS 7 เปิดให้สามารถจัดการทุกอย่างบนนาฬิกาได้แล้ว ทั้งการโทรฯ รับส่งข้อความ ตั้งค่าหน้าปัดรูปแบบต่างๆ ดาวน์โหลดแอปมาติดตั้งเพิ่มเติม ดังนั้นจึงทำให้กลายเป็นสมาร์ทวอทช์ที่สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องซิงค์กับ iPhone

ในจุดนี้ ทำให้ Apple Watch SE กลายเป็นรุ่นที่น่าสนใจ สำหรับผู้ปกครองที่อยากได้อุปกรณ์ไว้คอยช่วยเฝ้าระวังบุตรหลาน หรือผู้สูงอายุ แต่ก็จะมีค่าใช้จ่ายรายเดือนเพิ่มเข้ามาในการให้บริการซิมการ์ดจากผู้ให้บริการมือถือเดือนละประมาณ 150 บาท 

ราคาจำหน่ายของ Apple Watch

ปัจจุบัน Apple Watch วางจำหน่ายด้วยกันทั้งหมด 3 รุ่นใหญ่ๆ เริ่มต้นที่ Apple Watch 3 38 มม. 6,400 บาท 42 มม. 7,400 บาท โดยมีจำหน่ายเฉพาะรุ่น GPS เท่านั้น

ตามด้วย Apple Watch SE ที่มีทั้ง GPS ในราคา 40 มม. 9,400 บาท 44 มม. 10,400 บาท และ GPS+Cellular ในราคา 10,400 บาท และ 11,900 บาท ตามลำดับ

สุดท้ายคือ Apple Watch 6 รุ่น 40 มม. เริ่มต้นที่ 13,400 บาท สำหรับ GPS และ 16,900 บาท สำหรับ GPS+Cellular ส่วน 44 มม. เริ่มต้นที่ 14,400 บาท และ 17,900 บาท สำหรับ GPS+Cellular เช่นเดียวกัน

สรุป

Apple Watch ได้กลายเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์เสริมที่อยู่คู่กับผู้ใช้งาน iPhone แล้ว Wacth 6 ที่ออกมาในปีนี้ ได้มีการปรับปรุงฟีเจอร์ที่เพิ่มขึ้น และน่าสนใจมากขึ้น ใครที่ใช้งาน Apple Watch 3 ลงไปเชื่อว่าถึงเวลาที่จะได้เปลี่ยนมาใช้งานกันแล้ว

ขณะเดียวกัน การเพิ่มไลน์อย่าง Apple Watch SE มาช่วยให้การใช้งาน Apple Watch นั้นเข้าถึงได้ง่ายมากยิ่งขึ้น และเหมาะกับการเลือกซื้อให้บุคคลอื่นในครอบครัวใช้งานเพื่อสุขภาพไปได้ด้วย

Gallery

]]>
Review : Apple Watch Series 5 จอไม่ดับแล้ว แต่ชาร์จทุกวันเหมือนเดิม https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-watch-series-5/ Fri, 25 Oct 2019 03:11:10 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=31530

การที่ Apple Watch กลายเป็นสมาร์ทวอทช์ที่ได้รับความนิยมที่สุดในโลกไปแล้ว ทำให้การปรับปรุงที่เพิ่มขึ้นในซีรีส์ 5 นี้ จะเน้นเพิ่มความสามารถให้ใช้งานในชีวิตประจำวันได้สะดวกขึ้น พร้อมไปกับการพัฒนาฟีเจอร์ด้านสุขภาพให้ครอบคลุมมากขึ้น

จุดเด่นที่เพิ่มขึ้นมาใน Apple Watch Series 5 หลักๆ มีด้วยกันอยู่ 3 จุด คือเรื่องของการแสดงผล ที่หันมาใช้จอที่ติดตลอดเวลา (Always On) เพิ่มความสามารถในการระบุพิกัดของเข็มทิศ (Compass) และเรื่องของความปลอดภัย ที่มีระบบโทรหาบริการฉุกเฉินได้ 150 ประเทศทั่วโลก (รุ่นเซลลูลาร์)

ในประเทศไทย แอปเปิล (Apple) จะวางจำหน่าย Apple Watch Series 5 ในที่ 25 ตุลาคมนี้ โดยราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 13,400 บาท สำหรับตัวเรือน 40 มม. และ 14,400 บาท สำหรับตัวเรือน 44 มม. ส่วนรุ่นเซลลูลาร์ จะเพิ่มไปเป็น 16,900 และ 17.900 ตามลำดับ

ข้อดี

จอติดตลอดเวลาแล้ว

การใช้งานสมาร์ทวอทช์ครบทั้งการแจ้งเตือน การวัดการออกกำลัง อัตราการเต้นหัวใจ

watchOS 6 ช่วยให้ติดตั้งแอปบนนาฬิกาได้เลย

ข้อสังเกต

แบตเตอรีเพียงพอใช้งานครบวัน แต่ต้องชาร์จทุกคืน

แตกต่างจาก Series 4 ไม่ค่อยเยอะ (ถ้ามี Series 4 อยู่ก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน)

ตัวเรือนที่มีให้เลือกมากขึ้น

จุดที่มีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดของ Apple Watch Series 5 คงหนีไม่พ้นการเพิ่มตัวเรือนไทเทเนียม และเซรามิค เข้ามา ทำให้กลายเป็นว่าปัจจุบัน Apple Watch 5 จะมีวัสดุให้เลือกทั้งหมด 3 วัสดุ 9 สี ด้วยกัน

ไล่ตั้งแต่ตัวเรือนอะลูมิเนียม มีให้เลือกตั้งแต่สีเทา สีทอง สีเงิน ตัวเรือนสแตนเลสสตีล มีสีทอง สีดำ และสีสแตนเลสขัดเงา โดยที่เพิ่มขึ้นมาคือตัวเรือนไทเทเนียม และไทเทเนียมสีดำ กับตัวเรือนเซรามิค สีขาว ไม่นับรวมรุ่นย่อยของไนกี้ และ Hermes อีกด้วย

โดยทางแอปเปิล จะเรียกตัวเรือน ไทเทเนียม และเซรามิค ที่เพิ่มขึ้นมาว่าเป็น Apple Watch Edition แตกต่างจากตัวเรือนอะลูมิเนียม และสแตนเลสสตีล ที่เรียกว่า Apple Watch เฉยๆ

สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือ ผู้ที่สนใจซื้อ Apple Watch ตัวเรือนอะลูมิเนียมไปใช้งาน ก็คือจะได้วัสดุของ iPhone มาอยู่ที่ข้อมือ กล่าวคือ ในการผลิตตัวเรือนของ Apple Watch รุ่นตัวเรือนอะลูมิเนียม แอปเปิล ได้เลือกนำอะลูมิเนียม 7000 ซีรีส์ ของตัว iPhone มารีไซเคิล เพื่อผลิตเป็นตัวเรือน Apple Watch แบบ 100%

รุ่นที่ทีมงานนำมาทดสอบกันคือ Apple Watch Edition Series 5 Space Black Titanium Case ตัวเรือน 44 มม. ที่ภายในกล่องจะมีตัวอักษรเขียนบอกอยู่ที่ด้านข้างเพียงจุดเดียวเท่านั้น

ขนาดของตัวเรือน 44 มม. จะอยู่ที่ 44 x 37.8 x 10.7 มม. โดยน้ำหนักของตัวเรือนอะลูมิเนียมจะอยู่ที่ 36.5 กรัม สแตนเลส 47.8 กรัม ไทเทเนียม 41.7 กรัม และ เซรามิก 46.7 กรัม จะเห็นได้ว่ารุ่นไทเทเนียมจะได้วัสดุที่แข็งแรงขึ้น และตัวเรือนเบาลง

โดยภายในของ Apple Watch Series 5 จะใช้หน่วยประมวลผล S5 ที่เป็น Dual Core 64 บิต มีเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจแบบไฟฟ้า เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นหัวใจแบบออปติคัล อุปกรณ์ตรวจจับความเคลื่อนไหว เซ็นเซอร์วัดความสูง GPS เข็มทิศมาให้

พร้อมรองรับการเชื่อมต่อ WiFi 802.11 g/b/n จากชิปไร้สาย W3 พร้อมบลูทูธ​ 5.0 โดยมีพื้นที่เก็บข้อมูลภายในตัวเรือน 32 GB ตัวเรือนสามารถกันน้ำได้ระดับ WR50 คือสามารถใส่ว่ายน้ำได้

จอที่ติดตลอดเวลา

อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใน Apple Watch Series 5 คือการพัฒนาจอ OLED ที่เป็นโพลีซิลิคอนและออกไซด์อุณหภูมิต่ำ (Low-Temperature Polycrystalline Oxid) ที่ปัจจุบันเป็นผู้ผลิตรายเดียวในตลาดที่นำมาใช้

สังเกตได้ว่าเมื่อเป็นจอ Always On จะไม่แสดงผลเข็มวินาที

ทำให้จอภาพสามารถปรับอัตราการดึงข้อมูลของหน้าจอ (Refresh Rate) ได้ จากเดิมที่ตั้งไว้สูงสุด 60 Hz หรือ 60 ครั้งต่อวินาที เมื่อใช้งาน และปรับให้ลดลงต่ำสุดได้ถึง 1 Hz หรือ 1 ครั้งต่อวินาที ช่วยให้ใช้พลังงานต่ำลง

จึงทำให้จอ Apple Watch Series 5 สามารถแสดงผลได้แบบติดตลอดเวลา เพียงแต่ว่าในขณะที่ใช้งานจอแบบ Always On นั้นรูปแบบการแสดงผลบนหน้าจอก็จะเปลี่ยนแปลงไป ตามจำนวนการแสดงผลข้อมูลที่ลดลง

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าใช้หน้าปัดนาฬิกาที่มีเข็มวินาทีอยู่ เมื่อเข้าสู่หน้าจอ Always On ตัวเข็มวินาทีก็จะหายไป หรือถ้าเป็นการแสดงผลข้อมูลระหว่างออกกำลังกาย จากเดิมที่แสดงผลเวลาระดับชั่วโมง นาที วินาที และเสี้ยววินาที ก็จะตัดลงเหลือเวลาระดับชั่วโมง และนาทีแทน

ไม่ใช่แค่เรื่องของการแสดงผลเวลาเท่านั้นที่เปลี่ยนแปลงไป เพราะแอปเปิลให้ความสำคัญในเรื่องความเป็นส่วนตัว (Privacy) ของผู้ใช้ ทำให้สามารถเลือกได้ว่าจะแสดงผลข้อมูลที่เซนซิทีฟหรือไม่

เพราะในเวลาที่หน้าจอ Always On ติดอยู่ ผู้อื่นก็จะเห็นทั้งตารางนัดหมาย ข้อมูลสุขภาพ การออกกำลังต่างๆ แอปเปิล จึงเลือกให้สามารถปิดการแสดงผลข้อมูลเหล่านี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นเห็นข้อมูลบนหน้าปัดนาฬิกาได้

นอกจากนี้ ถ้าเป็นผู้ที่ว่ายน้ำเป็นประจำ แต่เดิมเวลาจะดูข้อมูลบน Apple Watch อาจจะต้องหยุดว่ายขึ้นมาเพื่อดูเวลา แต่ตอนนี้สามารถดูได้แม้เวลาที่ว่ายน้ำอยู่ โดยไม่ต้องสัมผัสหน้าจอเพื่อให้หน้าจอติดขึ้นมา หรืออย่างผู้ที่ขี่จักรยาน ก็ไม่ต้องปล่อยมือจากแฮนด์จักรยานเพื่อดูเวลาด้วยเช่นกัน

เข็มทิศช่วยกำหนดทิศทาง และวัดระดับความสูง

เข็มทิศ หรือ Compass เป็นอีกแอปที่พัฒนาขึ้นบน Apple Watch เพื่อเปิดให้ผู้ที่ชื่นชอบการเดินป่า หรือวิ่งเทรลสะดวกขึ้นในการใช้งานนาฬิกา เพราะ Apple Watch Series 5 จะมีเข็มทิศมาให้ใช้งานในตัว

พร้อมทั้งเพิ่มความสามารถในการแจ้งเตือนว่ากำลังอยู่ในทิศทางที่ตั้งไว้ แสดงระดับความชัน ความสูงจากพื้นดิน รวมถึงละติจูด และลองจิจูด ที่จะช่วยให้การวัดค่าการออกกำลังกายแม่นยำมากขึ้น และช่วยนำทางได้ในตัว

โทรฉุกเฉินแม้เดินทางในต่างประเทศ

ฟีเจอร์นี้อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนอยากใช้งาน แต่การที่มีไว้ทำให้ Apple Watch Series 5 แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้า เพราะด้วยการที่รุ่นเซลลูล่าร์สามารถเชื่อมต่อเพื่อใช้เป็นโทรศัพท์ได้

ทำให้แอปเปิล ร่วมกับผู้ให้บริการเครือข่ายกว่า 150 ประเทศทั่วโลก เชื่อมต่อนาฬิกา เข้ากับเครือข่ายพิเศษ ที่ทำให้สามารถใช้โทรฉุกเฉิน (SOS) ได้แม้ว่าจะไม่ได้พกสมาร์ทโฟน หรือเปิดใช้งานเซลลูล่าร์บน Apple Watch

ทำให้เหมาะกับผู้ที่เดินทางไปต่างประเทศบ่อยๆ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ และเมื่อทำงานร่วมกับเซ็นเซอร์ตรวจจับการล้ม (Fall Detection) ที่มีมาตั้งแต่ Apple Watch Series 4 จะช่วยให้ผู้สูงอายุที่สวมใส่ปลอดภัยมากขึ้นด้วย

watchOS 6 ที่ใส่ใจผู้ใช้มากขึ้น

นอกเหนือจากฟีเจอร์ที่เพิ่มขึ้นจาก Apple Watch รุ่นใหม่แล้ว การที่แอปเปิล อัปเดตระบบปฏิบัติการ watchOS 6 ก็ช่วยเพิ่มความสามารถในส่วนของการวัดค่าสุขภาพต่างๆ มาด้วยเช่นกัน

อย่างการติดตามรอบเดือน (Cycles) สำหรับสุภาพสตรีทั้งหลาย ที่ใช้ในการบันทึกข้อมูลรอบเดือน ระยะเวลาตกไข่ และจะมีการแจ้งเตือนเมื่อใกล้เวลามีประจำเดือน โดยผู้ที้ใช้งาน Apple Watch รุ่นเก่าก็จะได้รับฟีเจอร์นี้ด้วยเช่นกัน

อีกแอปที่น่าสนใจคือ Hearing หรือการตรวจจับเสียงรอบข้าง ที่จะคอยแจ้งเตือนผู้ใช้เมื่ออยู่ในบริเวณที่ระดับเสียงเกิน 90 เดซิเบล เป็นเวลานาน ซึ่งจะกระทบกับการทำงานของหูในการรับเสียง และเปิดให้ผู้ใช้สามารถเข้าแอปบนนาฬิกาเพื่อดูระดับเสียงรบกวนได้ตลอดเวลาด้วย

ที่เหลือก็จะเป็นการเพิ่มความแม่นยำในการวัดอัตราการเต้นของหัวใจ การตรวจจับการออกกำลังกายต่างๆ รวมถึงการที่ผู้ใช้สามารถติดตั้งแอปเพิ่มเติมได้จาก Apple Store บน Apple Watch ได้แล้ว โดยไม่ต้องติดตั้งผ่าน iPhone

สรุป

Apple Watch Series 5 ยังคงเป็นสมาร์ทวอทช์ที่เป็นตัวเลือกแรกในการนำมาใช้งานคู่กับ iPhone เพราะด้วยยอดขายที่เติบโตขึ้นต่อเนื่องได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วถึงความสามารถในการใส่ใช้งาน

เพียงแต่ว่าถ้าเป็นผู้ที่เพิ่งซื้อ Apple Watch Series 4 ไปใช้งานไม่นาน ถามว่ามีจุดเปลี่ยนอะไรที่ควรทำให้เปลี่ยนมาใช้หรือไม่ก็อาจจะยังไม่ถึงเวลา แต่ถ้าใช้งานรุ่น 3 หรือเก่ากว่านั้น ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจที่จะเปลี่ยนมาใช้งาน

ส่วนผู้ที่ยังไม่เคยใช้งาน Apple Watch มาก่อนแล้วสนใจอยากลอง ถ้าไม่ได้ต้องการรุ่นใหม่ล่าสุด ทางแอปเปิล มีการปรับลดราคา Apple Watch Series 3 ลงมาเหลือ 6,400 บาท เป็นตัวเลือกให้ใช้งานด้วย

Gallery

]]>