แอร์พอด – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Thu, 07 Jan 2021 14:26:35 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : Apple AirPods Max หูฟังครอบหูเน้นใช้ง่าย ปรับเสียงอัตโนมัติ https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-airpods-max/ Thu, 07 Jan 2021 14:17:17 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34485

การที่ แอปเปิล (Apple) เลือกนำเสนอหูฟังครอบหูแบบไร้สายออกสู่ตลาดในชื่อ AirPods Max พร้อมกับตั้งราคาเปิดตัวไว้ที่ 19,900 บาท ทำให้หลายๆ คนอาจจะมองว่าเป็นระดับราคาที่สูงเกินไป แต่ถ้าลองดูในตลาดแล้ว หูฟังแบบครอบหูคุณภาพเสียงดีๆ ก็จะอยู่ในช่วงระดับราคาเกิน 15,000 บาทขึ้นไปอยู่แล้ว

จุดเด่นของ AirPods Max ไม่ใช่แค่เรื่องของคุณภาพเสียงที่ถูกปรับมาให้แบบอัตโนมัติเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความง่ายในการใช้งานร่วมกับอีโคซิสเตมส์ต่างๆ ของผลิตภัณฑ์ Apple และจุดเด่นเรื่องระบบตัดเสียงรบกวนแบบ Active Noise Cancellation ทำให้กลายเป็นหูฟังที่หยิบมาใช้งานได้อย่างสบายใจ

อย่างไรก็ตาม AirPods Max ไม่ได้เหมาะกับการใช้งานทุกรูปแบบเหมือน AirPods Pro ที่มากับมาตรฐานกันน้ำ ทำให้สามารถใส่ออกกำลังได้ แต่เหมาะกับใช้งานในชีวิตประจำวันทั่วไป หรือระหว่างเดินทาง เพื่อให้เข้าถึงคุณภาพเสียงที่ดีขึ้นมากกว่า

ข้อดี

  • หูฟังครอบหูตัดเสียงรบกวนแบบ Active Noise Cancellation
  • ทำงานกับอีโคซิสเตมส์ของ Apple ได้อย่างไร้รอยต่อ
  • โฟมครอบหูสามารถถอดเปลี่ยนได้

ข้อสังเกต

  • ใช้ที่ชาร์จ Lighting เท่านั้น
  • ไม่มีช่องต่อสาย 3.5 มม. มาให้ (ต้องใช้กับสายแปลง Lighting)
  • น้ำหนักค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับหูฟังครอบหูแบบพลาสติก

ออกแบบเก็บทุกรายละเอียด

แม้ว่า Apple จะผลิต AirPods ทำตลาดมาแล้วหลายปี รวมถึงเคยทำงานร่วมกับ Beats นำชิปประมวลผลทางด้านเสียงไปใส่ใช้งานในหูฟังทั้งแบบครอบหู และหูฟังเกี่ยวหูที่เหมาะกับการออกกำลังกาย

แต่กลายเป็นว่า AirPods Max นับเป็นหูฟังไร้สายแบบครอบหูรุ่นแรกที่ Apple ผลิตออกมา ทำตลาด ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อเป็นผลิตภัณฑ์ของ Apple ย่อมมีการเก็บรายละเอียดในการออกแบบทุกส่วนให้ใช้งานได้สบายที่สุด

โครงสร้างหลักๆ ของ AirPods Max มีด้วยกัน 3 ส่วน คือบริเวณโครงหลักที่ใช้วัสดุเป็นสแตนเลสตีล เพื่อให้หูฟังมีความแข็งแรง หุ้มด้วยวัสดุที่มีผิวสัมผัสนุ่ม อย่างบริเวณส่วนก้านครอบศีรษะ จะนำจากตาข่ายถักที่ช่วยระบายอากาศ และลดแรงกดบนศรีษะด้วย

ถัดมาคือในส่วนของก้านยืดหดที่ใช้ปรับขนาดของหูฟัง Apple เรียกส่วนนี้ว่า Telescoping arms ที่ออกแบบมาให้สามารถเลื่อนปรับเข้าออกได้อย่างลื่นไหล แตกต่างจากหูฟังครอบหัวรุ่นอื่นๆ ในท้องตลาดที่จะมีลักษณะเป็นขั้นๆ ให้เลื่อนปรับ

สุดท้ายในส่วนของบริเวณที่ครอบหู จะใช้วัสดุอะลูมิเนียมแบบ Anodised ที่มีคามแข็งแรงสูงเช่นเดียวกัน ส่งผลให้โดยรวมแล้วนำ้หนักของ AirPods Max อยู่ที่ 384 กรัม เมื่อเทียบกับหูฟังครอบหูพลาสติกในระดับราคาใกล้เคียงกันจะอยู่ที่ราว 255 กรัมเท่านั้น

เมื่อเจาะลึกลงมาบริเวณที่ครอบหูด้านในส่วนที่สัมผัสกับศีรษะ Apple ได้นำ เมมโมรี่โฟม มาใช้งานทำให้เมื่อครอบหูแล้วนอกจากปิดกันเสียงภายนอกแล้ว ยังให้ความรู้สึกสบายเวลาสวมใส่ใช้งานด้วย

สำหรับปุ่มควบคุมต่างๆ บน AirPods Max จะมีเพียงปุ่มควบคุมเสียงรบกวน ที่ใช้ในการเลือกปรับโหมดใช้งาน และเม็ดมะยม (Digital Crown) มาใช้ในการหมุนปรับเสียง หรือกดสั่งงานเท่านั้น โดยทั้ง 2 ปุ่ม จะอยู่ที่หูฟังฝั่งขวา

ในขณะที่พอร์ตชาร์จเป็น Lightning ทำให้สามารถนำสายชาร์จ iPhone มาเสียบชาร์จได้ทันที และภายในกล่องก็มีสาย USB-C to Lightning มาให้ใช้งานด้วย นั่นแปลว่าไม่สามารถเสียบใช้งานร่วมกับช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ได้ถ้าไม่เสียเงินซื้อสายเชื่อมต่อเพิ่ม

AirPods Max จะมาพรอ้มกับ Smart Case หรือซองเก็บหูฟังมาด้วย โดยที่ตัวซองเก็บหูฟังจะมีแม่เหล็กที่ หูฟังจะตรวจจับว่าเมื่อเก็บเข้าซองแล้ว จะเข้าสู่โหมดประหยัดพลังงานสูงสุด เพื่อช่วยยืดระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรีในช่วงที่ไม่ได้ใช้งานด้วย

อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่ Smart Case คลุมแค่บริเวณที่เป็นส่วนของหูฟังเท่านั้น เวลาเก็บใส่กระเป๋าก็อาจจะต้องระวังส่วนอื่นไปสัมผัสกับวัสดุที่มีโอกาสทำให้บริเวณตาข่ายข้างบนขาดได้ หรือแม้แต่ตัวเคส ที่ใช้เป็นผิวสังเคราะห์เมื่อใช้งานไปนานๆ ก็มีโอกาสลอก ซึ่งคาดว่าเป็นวัสดุเดียวกับเคสของ iPad ที่เมื่อใช้งานไปสักพักจะลอกได้ ดังนั้น Smart Case จึงไม่ใช่เคสเก็บ AirPods Max ที่ดีที่สุด

เชื่อมต่อง่าย ใช้งานได้ทุก Apple ดีไวซ์

สำหรับผู้ที่เคยใช้งาน AirPods มาก่อนทั้ง AirPods และ AirPods Pro น่าจะเคยได้สัมผัสถึงความง่ายในการเชื่อมต่อใช้งานหูฟังไร้สายของ Apple มาแล้ว เพราะเพียงแค่เปิดฝา AirPods เท่านั้น iPhone ก็จะตรวจพบทันทีว่า มีอุปกรณ์ใหม่มาอยู่บริเวณใกล้เคียง

หลังจากนั้น เพียงแค่กดเชื่อมต่อ (Connect) ครั้งเดียว ทุกผลิตภัณฑ์ของ Apple ที่ล็อกอินด้วย Apple ID เดียวกัน ก็จะรู้จักหูฟังนี้ทันที ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถสลับใช้งานหูฟังร่วมกับ iPhone iPad Mac ได้ โดยไม่ต้องมาคอยเชื่อมต่อใหม่

รวมถึงความสามารถในการโอนย้ายการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องโดยอัตโนมัติ อย่างกรณีที่ฟังเพลงบน iPhone อยู่ แล้วหยุดเล่น เปลี่ยนมาดูหนังบน iPad อีโคซิสเตมส์ของ Apple จะช่วยสลับการใช้งานให้โดยอัตโนมัติ ทำให้สะดวกในการใช้งาน

AirPods Max ก็ยังเป็นอุปกรณ์ที่ได้ความสามารถนี้มาเช่นเดียวกัน และยังเก่งขึ้นด้วย ในเรื่องของการปรับเรื่องการตัดเสียงรบกวน โดยนอกจากสั่งงานที่หูฟังแล้ว ยังสามารถเลือกเปลี่ยนโหมดในเครื่อง Mac ได้ทันที (เมื่ออัปเดตเป็น macOS Big Sur)

ในส่วนของการควบคุม AirPods Max นั้น การกดปุ่มควบคุมการตัดเสียงรบกวน จะเป็นการสลับระหว่างโหมดตัดเสียงรบกวน (Active Noise Cancellation) และโหมดรับฟังเสียงรอบข้าง (Transparency) ในเบื้องต้น ถ้าต้องการให้มีโหมดปกติด้วยจะต้องไปตั้งค่าเพิ่มเติมใน iPhone

ถัดมาในส่วนของปุ่ม Digital Crown สามารถหมุนเพื่อปรับระดับเสียง (เลือกทิศทางหมุนได้) กด 1 ครั้ง เพื่อเล่น/หยุดเพลง และรับสายโทรศัพท์ กด 2 ครั้ง เพื่อเปลี่ยนเพลงไปข้างหน้า กด 3 ครั้ง เพื่อย้อนกลับไปเพลงก่อนหน้า และกดค้าง เพื่อเรียกใช้งาน Siri

สำหรับระยะเวลาการใช้งาน AirPods Max ทาง Apple ระบุว่า สามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง 20 ชั่วโมง ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ในการเปิดโหมดป้องกันเสียงรบกวน และระบบเสียง Spatial Audio ซึ่งถ้าปิดโหมดป้องกันเสียงรบกวนก็จะช่วยเพิ่มระยะเวลาในการใช้งานได้อีก ส่วนการชาร์จ มีระบบชาร์จเร็วเมื่อชาร์จ 5 นาที จะใช้งานได้ต่อเนื่อง 90 นาที

คุณภาพเสียงตัดเสียงรบกวน

เรื่องของคุณภาพเสียงที่ได้ถือว่ากลายเป็นหนึ่งจุดที่ผู้สนใจซื้อหา AirPods Max มาใช้งาน คำนึงถึงเป็นส่วนแรกๆ เนื่องจากด้วยระดับราคาเกือบ 2 หมื่นบาท การเลือกซื้อหูฟังคุณภาพเสียงดีๆ สักตัวที่เหมาะกับการใช้งานนั้นมีตัวเลือกที่หลากหลาย

ในจุดนี้ แอปเปิล ยังคงความโดดเด่นในแง่ของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับการใช้งานสำหรับทุกคนเช่นเดิม กล่าวคือคุณภาพเสียงของ AirPods Max นั้น ไม่ได้มีจุดที่โดดเด่นขึ้นมาเป็นพิเศษ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้มีจุดที่ให้ตำหนิได้ ทำให้กลายเป็นว่า AirPods Max มอบคุณภาพเสียงที่ดีในระดับพรีเมียมได้อย่างน่าสนใจ

เบื้องหลังของคุณภาพเสียงที่อยู่ในเกณฑ์ดีของ AirPods Max เกิดขึ้นจากการนำความสามารถของชิปเซ็ตประมวลผล Apple H1 มาทำงานร่วมกับซอฟต์แวร์ ในการขับเคลื่อนไดรเวอร์ 40 มม. ภายในหูฟังได้เป็นอย่างดี โดยแอปเปิลเรียกเทคโนโลยีนี้ว่า Computational Audio

โดยตัวหูฟัง AirPods Max จะมากับระบบ Adaptive EQ ที่จะคอยปรับย่านเสียงใหม่เหมาะสม และให้ประสบการณ์ในการฟังที่ดีที่สุด จึงทำให้ AirPods Max กลายเป็นหูฟังครอบหูที่เหมาะกับผู้ใช้งานทั่วไปทุกคน แต่สำหรับผู้ที่ต้องการเลือกปรับ Equalizer ด้วยตัวเองก็อาจจะผิดหวังได้ เพราะแอปเปิล ไม่ได้เปิดช่องให้ตั้งค่าด้วยตนเองได้

ถัดมาในส่วนของระบบตัดเสียงรบกวน Active Noise Cancellation ก่อนหน้านี้ แอปเปิล เคยนำระบบตัดเสียงรบกวนนี้มาให้ผู้บริโภคใช้งานกันแล้วใน AirPods Pro และใน AirPods Max นี้ก็ได้พัฒนาเพิ่มขึ้น เนื่องจากสามารถใส่ไมโครโฟนในการรับเสียงได้เพิ่มขึ้น

ภายใน AirPods Max จะมีการฝังไมโครโฟนไว้ทั้งหมด 9 ตัว โดย 8 ตัวจะถูกนำมาใช้ในการเก็บเสียงทั้งภายนอก ภายในหูฟัง เพื่อให้ชิป H1 นำไปคำนวนคลื่นเสียงที่ส่งเข้ามา และปรับคลื่นเสียงให้เหมาะสมภายในหูฟัง ทำให้ได้ระบบตัดเสียงรบกวนที่ดีที่สุด ในขณะที่ไมโครโฟนตัวที่ 9 จะถูกใช้ในการเก็บเสียงสนทนาเวลาใช้เป็นหูฟังบลูทูธปกติ

นอกเหนือจากโหมดตัดเสียงรบกวน ในโหมดรับเสียงจากภายนอก ก็ได้ใช้ประโยชน์ของไมโครโฟนทั้ง 8 ตัวในการรับ และประมวลผลเสียง ทำให้ผู้ใช้ได้ยินเสียงรอบข้างได้อย่างชัดเจน โดยไม่ต้องเอื้อมมือไปถอดหูฟังออกแต่อย่างใด

Spatial Audio เพิ่มประสบการณ์รับชมคอนเทนต์

อีกหนึ่งเทคโนโลยีเสียงที่ Apple ใส่มาให้ใช้งานใน AirPods Max คือระบบเสียงที่ติดตามทิศทางการหันของศีรษะ Spatial Audio ที่เริ่มเปิดให้ผู้ใช้งาน AirPods Pro บน iOS 14.3 ใช้งานมาแล้วก่อนหน้านี้

เมื่อ AirPods Max วางจำหน่ายก็รองรับระบบนี้เช่นเดียวกัน โดยจะนำข้อมูลจากเซ็นเซอร์ Accelerometers และ Gyroscopes มาผสมผสานกับข้อมูลของดีไวซ์ที่ใช้งานอย่าง iPhone หรือ iPad ในการระบุตำแหน่งของหูฟังที่สวมใส่

ทำให้เวลารับชมคอนเทนต์ที่รองรับระบบเสียง 5.1, 7.1 หรือ Dolby Atmos ทำงานร่วมกับ AirPods Max ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เสียงที่ออกมาเหมือนอยู่รอบๆ ตัวแบบ 360 องศา ช่วยให้การรับชมภาพยนต์สนุกขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

สรุป

แน่นอนว่า AirPods Max นั้นต้องเหมาะกับผู้ที่มีอุปกรณ์ของ Apple ใช้งานอยู่แล้ว เพราะถ้าซื้อมาใช้งานคู่กับแอนดรอยด์โฟน ฟีเจอร์อย่าง Spatial Audio หรือการสลับการใช้งานระหว่างอุปกรณ์แบบอัจฉริยะก็จะหายไป ดังนั้นผู้ที่เหมาะกับ AirPods Max คงหนีไม่พ้นผู้ที่มี iPhone iPad ใช้งานเป็นอุปกรณ์หลัก

ในขณะที่คุณภาพของหูฟัง เสียง และเทคโนโลยีที่ได้ เมื่อเทียบกับราคา ต้องยอมรับว่า Apple ทำการบ้านมาได้เป็นอย่างดี ด้วยวัสดุที่เลือกใช้งาน การปรับ Adaptive EQ ที่ฉลาด ระบบตัดเสียงรบกวน Active Noise Cancellation ที่ทำได้ตามมาตรฐานของหูฟังระดับนี้

อย่างไรก็ตาม AirPods Max อาจจะไม่เหมาะกับการนำไปใช้สำหรับการออกกำลังกาย เนื่องจากหูฟังไม่ได้ถูกออกแบบมาให้กันน้ำ เหมือนกับ AirPods Pro หรือนำไปใช้กับการรับฟังเสียงเพื่อใช้งานตัดต่อที่ต้องการความแม่นยำของเสียง เพราะตัวหูฟังจะมีการปรับแต่งเสียงให้ดีที่สุดตลอดเวลา

สุดท้ายก็คือ AirPods Max ไม่ได้มีช่องเสียบสาย 3.5 มม. มาให้ ถ้าต้องการนำไปใช้กับอุปกรณ์อื่นๆ ต้องจ่ายเงินซื้อสาย Lightning to 3.5 มม. อีก 1,290 บาท เช่นเดียวกับการที่ในกล่องไม่มีอะเดปเตอร์ชาร์จมาให้ด้วย

Apple วางจำหน่าย AirPods Max ด้วยกันทั้งหมด 5 สี คือ เงิน เทาสเปซเกรย์ สกายบลู ชมพู และเขียว ในราคา 19,990 บาท ส่วนบริเวณโฟมหูฟัง หรือ Ear Cushions ในกรณีที่อยากสั่งเพิ่มมาสลับสี หรือเปลี่ยนใช้งานจะอยู่ที่ 2,290 บาท มีให้เลือก 5 สีเช่นเดียวกัน

Gallery

]]>
Review : Apple AirPods Pro หูฟังไร้สายที่โปรขึ้น ตัดเสียงรบกวนได้เด็ด https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-airpods-pro/ Mon, 23 Dec 2019 06:22:53 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=31887

ตอนนี้ AirPods กลายเป็นหูฟังไร้สายแบบ True Wireless ที่ขายดีที่สุดในโลกไปแล้ว และยังต่อเนื่องถึงการเป็นของขวัญที่ได้รับความนิยมในเทศกาลของขวัญช่วงปลายปี ยิ่งตอกย้ำถึงความสำเร็จในการทำตลาด AirPods ของแอปเปิล (Apple) ได้เป็นอย่างดี

พอแอปเปิล ออก AirPods Pro มา เชื่อว่าผู้ที่เคยใช้งาน AirPods มาและมีประสบการณ์ใช้งานที่ดี ก็พร้อมที่จะเปลี่ยนมาใช้งานในรุ่นที่ดีขึ้น ขณะเดียวกันผู้ที่เคยมีปัญหาไม่สามารถใช้งาน AirPods ได้เพราะใส่แล้วหลุด พอออกมาเป็น AirPods Pro ก็จะใช้งานได้แล้ว

จุดเด่นของ AirPods Pro จะอยู่ที่การออกแบบหูฟัง In-Ears ให้ใส่ได้สบายหู พร้อมระบบตัดเสียงรบกวนแบบ Active Noise Cancellation รุ่นแรกของแอปเปิล และยังมีโหมดรับเสียงจากรอบข้าง เพื่อให้ใส่ใช้งานได้ในทุกๆ เวลา

ข้อดี

  • หูฟังไร้สาย พร้อมระบบตัดเสียงรบกวน
  • มีโหมด Transparency รับเสียงจากรอบข้าง
  • ระบบปรับแรงดันในหู ช่วยให้ใส่ In-Ears ได้สบายขึ้น
  • เชื่อมต่อกับ iPhone และ Apple Device ได้ง่าย แบบไร้รอยต่อ

ข้อสังเกต

  • เวลาใช้งานต่อเนื่องอยู่ที่ 4.5 – 5 ชั่วโมง ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง (ถ้านับรวมแบตฯ เคสได้เกิน 24 ชั่วโมง)
  • คุณภาพเสียง ยังสู้กับแบรนด์อื่นในระดับราคาใกล้เคียงกันไม่ได้

 

ทำความรู้จักเทคโนโลยีตัดเสียง

เทคโนโลยีที่ทำให้ AirPods Pro มีความแตกต่างจากหูฟังตัดเสียงรบกวน (Noise Cancelling) รุ่นอื่นๆ ในท้องตลาดคือเรื่องของการนำเทคโนโลยี Active Noise Cancellation มาใช้งาน ด้วยการติดตั้งไมโครโฟนเพิ่มมาช่วยตรวจจับเสียงภายนอก

โดยไมโครโฟนที่จับเสียงภายนอกนี้จะทำให้หูฟังรับรู้ว่าเวลาที่ใช้งานอยู่สภาพเสียงรบกวนภายนอกเป็นอย่างไร หลังจากนั้น AirPods Pro จะส่งคลื่นเสียงด้านตรงข้ามที่เท่ากัน เพื่อตัดเสียงภายนอกออก

แต่ไม่ใช่แค่นั้น เพราะ AirPods Pro มีไมโครโฟนที่หันเข้ามาอยู่ภายในหูของผู้ใช้ ที่จะคอยฟังเสียงภายในหูด้วย เพื่อคำนวนและตัดเสียงรบกวนที่ไม่อยากได้ยินออกเช่นกัน โดยระบบการทำงานจะมีการตัดเสียงรบกวนต่อเนื่องที่ 200 ครั้งต่อวินาที

In-Ears ที่ใส่สบาย

อีกจุดที่แอปเปิลนำมาใช้เป็นจุดขายสำคัญของ Air Pods Pro คือเรื่องของการใส่ได้สบายหู โดยเริ่มจากภายในกล่องจะมีจุกซิลิโคน (Ear Tip) ให้เลือก 3 ขนาด เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานของผู้ใช้แต่ละคนที่มีขนาดรูหูไม่เท่ากัน

โดยสิ่งที่แอปเปิล พัฒนาเพิ่มมาคือ ฟีเจอร์ที่จะตรวจสอบว่า จุกซิลิโคนที่ใส่อยู่พอดีหูหรือไม่ โดยหลังจากที่ทำการเชื่อมต่อ AirPods Pro เข้ากับอุปกรณ์ที่ใช้งาน iOS 13.2 ขึ้นไป แล้วผู้ใช้สามารถกดเข้าไปทดสอบกันได้

แน่นอนว่าวิธีการเชื่อมต่อ AirPods Pro ยังง่ายเหมือน AirPods ที่เพียงเปิดฝาขึ้นมา ตัว iOS ก็จะทำการแจ้งเตือนให้กดเชื่อมต่อได้ทันที หลังจากนั้นสามารถเข้าไปตั้งค่าเพิ่มเติมได้ใน Setting > Bluetooth > กดสัญลักษณ์ i ด้านหลัง AirPods Pro เพื่อเข้าสู่การตั้งค่า

สิ่งแรกที่ต้องทำเลยคือการกด Ear Tip Fit Test เพื่อตรวจสอบว่า จุกซิลิโคนที่ใส่ใช้งานอยู่พอดีหรือไม่ ซึ่งจะช่วยทั้งในเรื่องของคุณภาพเสียง และการตัดเสียงรบกวนด้วย

ถ้าใส่พอดีจะมีการขึ้นบอกว่า Good Seal ถ้าไม่พอดีจะขึ้นแจ้งว่าให้ลองขยับ หรือเปลี่ยนจุกซิลิโคนดู ซึ่งจุกมาตรฐานที่ติดมากับ AirPods Pro คือขนาดกลาง ถ้ารู้สึกว่าหลวมไปให้เปลี่ยนเป็นขนาดใหญ่ขึ้น และถ้ารู้สึกว่าแน่นไปให้ลองปรับให้เล็กลงดู

ในการใส่ใช้งาน เท่าที่ทดสอบใช้งานจนแบตเตอรี AirPods Pro หมด ประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่ง พบว่า AirPods Pro ออกแบบจุกมาได้ดีมากๆ เพราะไม่รู้สึกล้าหู เหมือนเวลาใส่หูฟัง In Ears ของแบรนด์อื่นๆ อาจจะเพราะ AirPods Pro มีระบบช่วยปรับแรงดันภายในหูด้วยในตัว

ตัดเสียงรบกวนที่เลือกปรับได้เอง

แน่นอนว่าฟีเจอร์หลักของ AirPods Pro คือระบบการตัดเสียงรบกวน แต่ในการใช้งานในชีวิตประจำวัน การใส่หูฟังแบบตัดเสียงรบกวนตลอดเวลา กลายเป็นเรื่องอันตราย เพราะจะไม่ทำให้ได้ยินเสียงแวดล้อมรอบตัว

ในจุดนี้แอปเปิล จึงได้เพิ่มฟีเจอร์ในการสั่งงาน AirPods Pro เข้ามาให้ผู้ใช้เลือกปรับได้ว่า จะเปิดใช้งานระบบตัดเสียงรบกวน (Noise Cancellation) ปิด หรือเปิดโหมดรับเสียงจากภายนอก (Transparency) ที่เลือกปรับได้ 3 วิธี

วิธีแรกคือ กดบีบก้านหูฟัง เพื่อสลับระหว่างตัดเสียง และรับเสียงจากภายนอก วิธีที่สองคือเข้าไปปรับในการตั้งค่าบลูทูธ เหมือนตอนทดสอบจุกซิลิโคน และวิธีที่สาม เข้าจากแถบตั้งค่าด่วน กดค้างที่แถบปรับระดับเสียง จะมีตัวเลือกขึ้นมาให้ปรับ

การออกแบบ AirPods Pro

รูปลักษณ์ของ AirPods Pro เมื่อเทียบกับ AirPods บริเวณก้านหูฟังจะสั้นลงเล็กน้อย ส่วนตัวหูฟังจะมีส่วนของจุกซิลิโคนที่ยื่นขึ้น เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม ทำให้ โดยขนาดจะอยู่ที่ 30.9 x 21.8 x 24 มม. น้ำหนักข้างละ 5.4 กรัม

โดยทั้งภายในและภายนอกของ AirPods Pro จะมีไมโครโฟนอยู่ด้วยเพื่อใช้คู่กับระบบตัดเสียงรบกวนดังที่กล่าวไปข้างต้น นอกจากนี้ก็จะมีเซ็นเซอร์ตรวจจับเวลาใส่ และถอดออกจากหู

ส่วนตรงก้านได้ออกแบบใหม่ให้มีส่วนที่เว้าลงไปเล็กน้อย เพื่อรับนำ้หนักในการบีบสั่งงาน ด้วยการใส่เซ็นเซอร์แรงกดที่ไว้ใช้ทั้งการควบคุมเพลง บีบเพื่อรับโทรศัพท์ และเปลี่ยนโหมดใช้งาน

ภายในของ AirPods Pro จะมีชิปเซ็น Apple H1 ที่คอยประมวลผลเรื่องของเสียง ซึ่งทำงานร่วมกับไดรเวอร์ของลำโพง ในการตัดเสียงรบกวน จนถึงการสั่งงานด้วยเสียงผ่าน Siri ด้วย

ส่วนของเคส AirPods Pro เมื่อเทียบกับ AirPods ปกติ จะมีลักษณะกว้างขึ้น แต่สั้นลง ขนาดเคสจะอยู่ที่ 45.2 x 60.6 x 21.7 มิลลิเมตร นำ้หนัก 45.6 กรัม ส่วนขนาดเคสของ AirPods จะอยู่ที่ 53.5 x 44.3 x 21.3 มิลลิเมตร น้ำหนัก 40 กรัม

โดยตัวเคสจะมากับระบบชาร์จไร้สายอยู่แล้ว สามารถนำไปวางบนแท่นชาร์จมาตรฐาน Qi เพื่อชาร์จได้เลย หรือจะเลือกชาร์จผ่านพอร์ต Lightning ก็ได้เช่นกัน

สรุป

AirPods Pro น่าจะเป็นหูฟังไร้สายที่ผู้ใช้งาน iPhone ส่วนใหญ่ต้องหารซื้อหามาใช้งาน ทั้งผู้ที่มี AirPods เดิมอยู่แล้ว และยังไม่มี เพราะถือว่ามาช่วยในเรื่องของการตัดเสียงรบกวนจากภายนอกเวลาใช้งานได้

แม้ว่าระดับราคาของ AirPods Pro จะค่อยข้างสูง (9,490 บาท) แต่เมื่อเทียบกับหูฟังไร้สายแบบตัดเสียงรบกวนคุณภาพสูงในท้องตลาดแล้ว ถือว่าใกล้เคียงกัน ถ้าใครที่อยากซื้อแล้วจบก็แนะนำ

แต่ถ้ามองว่าระดับราคานี้ค่อนข้างสูงเกิดไป ก็อาจจะมองตัวเลือกอย่าง AirPods ที่ปรับลดราคาลงมา แต่ก็แลกกับไม่มีระบบตัดเสียงรบกวน แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการใช้งานของผู้ใช้แต่ละรายด้วย เพราะหูฟังแบบ In Ears อาจจะชอบไม่เหมือนกัน

Gallery

]]>