โน้ตบุ๊ก – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Tue, 13 Jul 2021 07:47:59 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : MSI Summit E13 Flip Evo โน้ตบุ๊กธุรกิจ ดีไซน์พรีเมียม https://cyberbiz.mgronline.com/review-msi-summit-e13-flip-evo/ Tue, 06 Jul 2021 03:03:31 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35512

หลังจาก MSI นำเสนอ Summit B15/E15 ไปก่อนหน้านี้ ในกลุ่มของโน้ตบุ๊กองค์กรธุรกิจใช้งานทั่วไป ล่าสุด MSI ได้เพิ่มไลน์สินค้าให้ครอบคลุมกลุ่มธุรกิจ ด้วยการแนะนำ MSI Summit E13 Flip Evo ที่เน้นความเป็นพรีเมียมและใช้งานได้อเนกประสงค์มากขึ้น

จุดเด่นของ MSI Summit E13 Flip Evo คือเป็นโน้ตบุ๊กแบบ 2-1 ที่สามารถพับหน้าจอใช้งานได้ 4 รูปแบบ รองรับการสัมผัส รวมถึงใช้งานควบคู่กับ MSI Pen ในดีไซน์ที่มีรูปแบบเฉพาะตัวจากสีดำ ตัดขอบสีทอง มาพร้อมกับ Windows 10 Pro ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยสูงให้ใช้งาน

สเปกภายในมีให้เลือกทั้งรุ่นที่มากับ 11th Gen Intel Core i5 1135G7 และ Core i7 1185G7 RAM 16/32 GB SSD 512/1 TB ผ่านมาตรฐาน Intel EVO เรียบร้อย วางจำหน่ายในราคา 46,990 – 51,990 บาท

ข้อดี

  • โน้ตบุ๊กองค์กรระดับพรีเมียม ดีไซน์มีเอกลักษณ์ของ MSI
  • ผ่านมาตรฐาน Intel EVO รองรับการอัปเกรดเป็น Windows 11 ในอนาคต
  • ใช้งานได้หลายรูปแบบ จอสัมผัส รองรับ MSI Pen
  • แบตเตอรี ใช้งานต่อเนื่องได้ตลอดวัน

ข้อสังเกต

  • ตัวเครื่องค่อนข้างร้อน เวลาประมวลผลหนักๆ
  • ผิวสัมผัสตัวเครื่องสีดำด้าน แต่เป็นรอยนิ้วมือค่อนข้างง่าย
  • กล้องเว็บแคมยังเป็น 720p

ดีไซน์มีเอกลักษณ์

โน้ตบุ๊กในตระกูล Summit ของ MSI จะถูกออกแบบมาให้มีความเป็นธุรกิจสูง เน้นการใช้สีที่ดูสุขุม แฝงด้วยความกระฉับกระเฉง โดยใน Summit E13 Flip Evo ได้มีการนำสัดส่วนทองคำ หรือ Golden Ratio 1/1.618 มาปรับใช้ในหลายๆ ส่วน

เริ่มตั้งแต่การออกแบบโลโก้ของ MSI แบบใหม่ที่ใช้สัดส่วน Golden Ration อยู่แล้ว ตามด้วยสัดส่วนหน้าจอแบบ 16:10 ที่ใกล้เคียงกับ Golden Ration มากที่สุด พร้อมกระบวนการขึ้นรูปโครงเครื่อง และขัดเงาด้วย CNC ให้ความละเอียดสูงทำให้ตัวเครื่องสมบูรณ์แบบมากที่สุด

สำหรับขนาดตัวเครื่องของ MSI Summit E13 Flip Evo จะอยู่ที่ 300.2 x 222.2 x 14.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 1.35 กิโลกรัม วางจำหน่ายในประเทศไทยเฉพาะสีดำ Ink Black ที่เป็นตัวเครื่องดำ ตัดกับขอบเครื่องสีทองเท่านั้น

หน้าจอเครื่องมากับขนาด 13.4 นิ้ว ความละเอียด FullHD IPS รองรับอัตราการแสดงผลที่ 60 Hz ใช้งานคู่กับ MSI Pen เพื่อจดบันทึก วาดเขียนข้อมูลต่างๆ ได้ที่ระดับความแม่นยำ 4,096 ระดับ

ที่น่าสนใจคือขอบเครื่องที่ที่ค่อนข้างบาง ส่งผลให้พื้นที่หน้าจอทั้งหมดถูกใช้งานได้อย่างน่าสนใจ ด้านบนหน้าจอจะมีทั้งกล้องเว็บแคมความละเอียด 720p มาให้ ซึ่งเป็นกล้องแบบอินฟาเรด ใช้งานร่วมกับ Windows Hello ในการปลดล็อกด้วยใบหน้าได้

ถัดลงมาในส่วนของคีย์บอร์ด MSI Summit E13 Flip Evo มากับคีย์บอร์ดขนาดมาตรฐาน โดยมีระยะปุ่มกดอยู่ที่ 1.5 มิลลิเมตร มีปุ่มลัดสำหรับสั่งงานต่างๆ ให้ครบถ้วน ส่วนแทร็กแพดที่ให้มารับสัมผัสได้เป็นอย่างดี มีขนาดใหญ่เพียงพอให้ใช้งาน

พอร์ตเชื่อมต่อเพียงพอปลอดภัย

อีกความใส่ใจของ MSI ในเครื่องระดับพรีเมียมนี้ คือการใส่พอร์ตมาให้เพียงพอกับการใช้งาน และยังคงประสิทธิภาพการเชื่อมต่อมาให้ครบ ไม่ว่าจะเป็นทางขวาที่มีทั้งพอร์ต USB 3.2 Type-A และ USB-C อีก 2 พอร์ต ที่รองรับทั้ง USB 4.0 / Display Port / Thunderbolt 4 และใช้เสียบชาร์จได้ด้วย

ทางขวามี USB-C เพิ่มให้อีกพอร์ต พร้อมกับช่องใส่ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มเติม ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. และปุ่มสำหรับล็อกการใช้งานเว็บแคม เพิ่มความเป็นส่วนตัวในระดับฮาร์ดแวร์ในการใช้งานกล้อง

ประกอบกับเมื่อเป็นโน้ตบุ๊กในกลุ่มองค์กรธุรกิจ MSI ได้มีการนำมาตรฐานความปลอดภัยทั้งการปกป้องข้อมูลจากการเชื่อมต่อพอร์ต USB ที่สามารถควบคุมได้จาก MSI Center ภายในมีชิปเซ็ต TPM 2.0 มาช่วยเข้ารหัสข้อมูลในระดับฮาร์ดแวร์ด้วย

นอกเหนือจากการใช้ใบหน้าปลดล็อกด้วย Windows Hello แล้ว Summit E13 Flip Evo ยังมากับเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือให้ใช้งานด้วย บริเวณตัวเครื่องด้านล่างปุ่มลูกศรของคีย์บอร์ด เรียกได้ว่าให้มาครบ และปลอดภัยอย่างแน่นอน

ใช้งานได้หลายรูปแบบ

ด้วยการที่ Summit E13 Flip Evo รองรับการพับหน้าจอทำให้ผู้ใช้งานสามารถปรับรูปแบบการใช้ได้ทั้งเป็นโน้ตบุ๊กปกติ พับหน้าจอใช้งานในลักษณะของแท็บเล็ตร่วมกับ MSI Pen เพื่อใช้งานได้สะดวกแล้ว

ยังสามารถกางโน้ตบุ๊กในลักษณะของ Tent เพื่อใช้ในการรับชมคอนเทนต์ ข้อมูลต่างๆ ได้ หรืออีกรูปแบบคือการวางในลักษณะของการพรีเซ็นต์งานให้ลูกค้า ทำให้ Summit E13 Flip Evo รองรับการใช้งานถึง 4 รูปแบบด้วยกัน

สเปก และทดสอบประสิทธิภาพ

ในส่วนของสเปกภายใน MSI Summit E13 Flip Evo วางจำหน่ายด้วยกัน 2 สเปก โดยมีจุดที่แตกต่างกันคือเรื่องของซีพียู RAM และ SSD โดยรุ่นเริ่มต้น จะมากับ 11th Gen Intel Core i5 1135G7 RAM 16 GB SSD 512 GB ส่วนรุ่น Core i7 1185G7 จะให้ RAM 32 GB SSD 1 TB มาใช้งาน และสามารถอัปเกรด SSD ได้สูงสุด 2 TB

ส่วนรุ่นที่ได้รับมาทดสอบนั้น จะมีความแตกต่างจากรุ่นที่วางจำหน่ายอยู่พอสมควร ดังนั้นผลทดสอบที่เกิดขึ้นในบทความนี้ จึงมีโอกาสแตกต่างจากรุ่นที่วางจำหน่าย ซึ่งมีให้เลือก 2 สเปกตามข้อมูลด้านบน

ที่เหลือคือมาพร้อมกับกราฟิกออนบอร์ด Intel IrisXe รองรับการเชื่อมต่อทั้งบลูทูธ 5.2 WiFi 6E ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อ โดยเฉพาะในช่วงที่การทำงานเกิดขึ้นได้จากทุกสถานที่ และมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Windows 10 Pro รองรับการอัปเกรดเป็น Windows 11 ในอนาคต

ด้านแบตเตอรีมากับขนาดใหญ่ถึง 70Whr โดยทาง MSI ทดสอบสามารถใช้งานต่อเนื่องได้ราว 20 ชั่วโมง ในกรณีที่ใช้งานทั่วไป ทีมงานทดสอบใช้ทำงานโดยมีการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตตลอดเวลา ใช้งานได้ต่อเนื่องเกือบ 12 ชั่วโมง

กรณีที่ประมวลผลหนักๆ อย่างการเรนเดอร์ไฟล์วิดีโอ เล่นเกมความละเอียดสูงๆ ใช้งานได้ต่อเนื่องถึง 2 ชั่วโมงครึ่ง เรียกได้ว่านอกจากประสิทธิภาพสูงแล้ว แบตเตอรีที่ให้มาก็เพียงพอกับการใช้งานด้วย และยังมากับระบบชาร์จเร็วจากอะเดปเตอร์ 65W ที่ให้มาด้วย

สรุป

MSI Summit E13 Flip Evo ถือว่าเป็นโน้ตบุ๊กสำหรับองค์กรธุรกิจที่น่าสนใจ เพราะรองรับการทำงานหลากหลายรูปแบบ รวมถึงใช้งานร่วมกับ MSI Pen ในการจดบันทึก หรือคอมเมนต์งาน ช่วยให้ผู้บริหารใช้งานโน้ตบุ๊กได้สะดวกมากขึ้น

ในแง่ของความปลอดภัยนอกจาก TPM 2.0 และตัวเครื่องที่รองรับ Windows Hello ปลดล็อกด้วยใบหน้า และลายนิ้วมือแล้ว ยังมีปุ่มล็อกกล้องเว็บแคมมาให้ใช้งานเพิ่มเติมด้วย ปลอดภัยในทุกๆ ส่วน และ MSI ยังมีการรับประกัน 2 ปี มาให้ด้วย

Gallery

]]>
Review : ASUS ExperBook B9 อัปเกรดใหม่ปี 2021 เน้นแข็งแรง-ปลอดภัย https://cyberbiz.mgronline.com/review-asus-experbook-b9400/ Tue, 22 Jun 2021 06:09:13 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35401

ในปีที่ผ่านมา ASUS เปิดตลาดโน้ตบุ๊กเบางเบาในกลุ่มองค์กรธุรกิจได้อย่างน่าสนใจ ด้วยซีรีส์ใหม่อย่าง ExpertBook B9 ชูความโดดเด่นของการเป็นแล็ปท็อปองค์กรธุรกิจที่มีน้ำหนักเบาที่สุดในโลก ด้วยน้ำหนักไม่ถึง 1 กิโลกรัม และได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากผู้ใช้งาน

พอมาในปี 2021 เอซุส ได้อัปเกรดความสามารถของ ExpertBook B9 (9400) ให้ตอบโจทย์การใช้งานมากขึ้น ด้วยการเพิ่มความแข็งแรงของหน้าจอ เลือกนำเฉพาะรุ่นประสิทธิภาพสูงอย่าง 11 Gen Intel Core i7 มาทำตลาด โดยเปิดให้เลือกเพิ่มเติมว่าจะใช้งานคู่กับ Windows 10 Home หรือ Windows 10 Pro ในราคาเริ่มต้นที่ 44,990 บาท

จุดเด่นของ ASUS ExpertBook B9 (9400) รุ่นปี 2021 นี้ คือมาพร้อมกับการรับรอง Intel EVO แพลตฟอร์ม ตัวเครื่องน้ำหนักประมาณ 1 กิโลกรัม พอร์ตเชื่อมต่อครบ พร้อมด้วยฟังก์ชันรักษาความปลอดภัยด้วย Windows Hellp ทั้งสแกนใบหน้า และลายนิ้วมือให้ใช้งาน รวมถึงการเลือกใช้ Dual SSD ทำให้สามารถทำ RAID 1 เพื่อสำรองข้อมูลได้ด้วย

ข้อดี

  • โน้ตบุ๊กธุรกิจ ประสิทธิภาพสูง 11 Gen Intel Core i7
  • น้ำหนัก 1 กิโลกรัม
  • แบตเตอรีใช้งานต่อเนื่องเกิน 13 ชั่วโมง
  • กล่องใส่ที่ชาร์จเปลี่ยนเป็นฐานตั้งโน้ตบุ๊กได้

ข้อสังเกต

  • หน้าจอยังเป็น Full HD+
  • กล้องเว็บแคมความละเอียด 720p
  • มีให้เลือกเฉพาะรุ่น Core i7 ต่างจากปีที่ผ่านมามีรุ่น Core i5 ที่ราคาย่อยเยาว์กว่า

บางเบา พอร์ตครบเหมือนเดิม

ความโดดเด่นของ Asus ExpertBook B9 ยังคงเป็นเรื่องของความบางเบาของตัวเครื่อง โดยมีขนาดอยู่ที่ 320 x 203 x 14.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 1,009 กรัม หรือประมาณ 1 กิโลกรัม ซึ่งน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นถ้าเทียบกับรุ่นของปี 2020 คือการเลือกใช้แบตเตอรีขนาด 66 Whr แทนรุ่นเดิมที่ใช้แบตเตอรีขนาด 33 Whr ทำให้สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ยาวนานขึ้นด้วย

ดีไซน์ของ ExpertBook B9 นั้น ยังคงใช้ดีไซน์แบบเดิม เรียกได้ว่าเป็นไมเนอร์เชนจ์ของรุ่นก็ว่าได้ มีวางจำหน่ายสีเดียวคือ Star Black ที่เป็นสีดำแบบผิวด้าน ช่วยให้ตัวเครื่องติดรอยนิ้วมือได้ยาก และให้ความรู้สึกหรูหรา พรีเมียมขึ้นในตัว

ASUS ยังคงเลือกใช้ฟอร์มเฟคเตอร์ของเครื่องขนาด 13 นิ้ว มาใส่หน้าจอ 14 นิ้ว ทำให้เห็นได้ว่ารุ่นนี้ขอบจอค่อนข้างบาง ให้สัดส่วนหน้าจอเทียบกับตัวเครื่องอยู่ที่ 94% ความละเอียดหน้าจอเป็น FullHD 1920 x 1080 พิกเซล มุมมองแบบ IPS ให้ความสว่าง 400 nits และค่าแสงที่ sEGB 100%

บริเวณกล้องเว็บแคมความละเอียด 720p ที่ให้มาจะมีชัตเตอร์เพื่อปิดกรณีที่ไม่ต้องการใช้งาน พร้อมกับเพิ่มเซ็นเซอร์วัดระยะมาด้วย ทำให้เวลาลุกออกจากหน้าเครื่อง ExpertBook B9 จะทำการล็อกหน้าจออัตโนมัติเพื่อความปลอดภัยเพิ่มเติม อย่างไรก็ตามในกรณีที่ปิดขัตเตอร์บังกล้องไว้ ก็จะไม่สามารถใช้งานปลดล็อกด้วยใบหน้าได้

ในส่วนของคีย์บอร์ด ยังคงมาในรูปแบบชิกเล็ตมาตรฐาน ระยะกดของปุ่มอยู่ที่ 1.5 มิลลิเมตร ป้องกันน้ำหกใส่ และมีไฟ Backlit ไว้ใช้งานในเวลากลางคืนด้วย ส่วนบริเวณทัชแพด จะสามารถเปิดฟีเจอร์ใช้งานเป็นปุ่มตัวเลขเพิ่มเติมได้ ช่วยให้สามารถกรอกข้อมูลตัวเลขได้สะดวกขึ้น

สำหรับพอร์ตเชื่อมต่อ ExpertBook B9 ให้พอร์ตมาครบถ้วนสำหรับการเป็นโน้ตบุ๊กบิสสิเนส ไล่ตั้งแต่พอร์ต USB 3.2 Type-A 1 พอร์ต มี Thunderbolt 4 (USB-C) ให้อีก 2 พอร์ต ซึ่งรองรับการต่อจอแยก และชาร์จไฟทั้งสองพอร์ต เพิ่มเติมด้วย HDMI 2.0 ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. และ MicroHDMI ที่ใช้งานคู่กับอะเดปเตอร์แปลงเป็นพอร์ต LAN ที่แถมมาให้ในกล่อง

ในแง่ของความปลอดภัยตัวเครื่องมีช่องล็อก Kensington มาให้ เพื่อรวมกับ Windows Hello ที่รองรับทั้งการปลดล็อกด้วยใบหน้า และเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่บริเวณมุมขวาล่างของคีย์บอร์ด ทำให้เครื่องรุ่นนี้ ผ่านมาตรฐานด้านซิเคียวริตี้สำหรับใช้งานในองค์กรธุรกิจแน่นอน

ส่วนแบตเตอรีที่ให้มา 66 Whr นั้น สามารถใช้งานรับชมวิดีโอได้ต่อเนื่องกว่า 20 ชั่วโมง ส่วนการใช้งานหนักๆ ได้กว่า 13 ชั่วโมง และรองรับการชาร์จเร็วจากอะเดปเตอร์ 65W ที่ให้มาจาก 1% – 60% ได้ในเวลา 49 นาที ซึ่งแปลว่าสามารถชาร์จเพียง 1 ชั่วโมง ใช้งานได้ตลอดวันสบายๆ

จุดที่อัปเกรดขึ้น

ภายใน ExpertBook B9 จุดที่มีการอัปเกรดเพิ่มเติมจากรุ่นปี 2020 จะประกอบด้วยชิปเซ็ตที่ใหม่ขึ้น ด้วยการเลือกใช้ 11 Gen Intel Core i7-1165G7 พร้อม Intel Iris Xe RAM 16 GB SSD 1 TB ให้ใช้งาน

ถัดมาคือการเพิ่มความแข็งแรงของหน้าจอด้วยการเสริมโครงเหล็กเข้าไป แก้ปัญหาหน้าจอยวบในรุ่นของปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้น้ำหนักโดยรวมของตัวเครื่องเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่รองรับการกดทับของหน้าจอได้มากขึ้น

อีกอย่างที่น่าสนใจคือการเปิดให้สามารถเลือกใส่ SSD ได้แบบคู่ ทำให้ ExpertBook B9 สามารถทำ RAID0 เพื่อให้ตัวเครื่องทำงานได้เร็วขึ้น หรือ RAID1 เพื่อสำรองข้อมูลในการใช้งานได้ เหมาะกับการใช้งานในองค์กรธุรกิจขึ้นไปอีก

นอกจากนี้ ก็มีการอัปเกรดในแง่ของระบบตัดเสียงรบกวน เวลาใช้งานวิดีโอคอลล์ ด้วยการนำ ASUS AI Noise-Cancelling Audio มาช่วยทั้งเสียงของคู่สนทนาที่ผู้ใช้ได้ยิน และปรับเสียงจากไมโครโฟนให้ปลายสายด้วย

อีกความน่าสนใจก็คือเรื่องของบรรจุภัณฑ์รักษ์โลก โดยที่ในรุ่น ExpertBook B9400 นี้ ได้มีการนำกล่องบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ใส่อะเดปเตอร์ชาร์จไฟ และอุปกรณ์เสริมอื่นๆ มาใช้เป็นขาตั้งเครื่องได้เพิ่มเติม และยังทำจากกระดาษทั้งหมดอีกด้วย

สรุป

Asus ExpertBook B9 รุ่นปี 2021 ในรหัส B9400 วางจำหน่ายให้เลือกด้วยกัน 2 รุ่น คือเลือกระหว่าง Windows 10 Home ราคา 44,990 บาท กับ Windows 10 Pro ราคา 49,490 บาท ซึ่งถ้าเป็นการใช้งานในองค์กรธุรกิจที่ต้องการความปลอดภัย แนะนำให้เลือกรุ่น Windows 10 Pro จะเหมาะสมกว่า

อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่มีเฉพาะรุ่น Core i7 ทำให้ราคาเริ่มต้นของ ExpertBook B9 ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับรุ่นของปีที่แล้ว Core i5 จะอยู่ที่ 38,990 บาท ซึ่งถ้าไม่ได้ต้องการพลังในการประมวลผลระดับ Core i7 แต่เน้นความบางเบา พกพาง่าย ก็จะไม่มีตัวเลือกเริ่มต้นมาให้

ในภาพรวม ExpertBook B9400 ยังคงรักษามาตรฐานของบิสสิเนสแล็ปท็อปได้เป็นอย่างดี แต่ก็กลายเป็นว่า ไม่ได้เหมาะกับการนำไปใช้งานทั่วไปสำหรับคอนซูเมอร์ เพราะเมื่อระดับราคาสูงขึ้นมาเกือบ 5 หมื่นบาท ยังมีตัวเลือกอีกหลายรุ่นที่น่าสนใจในตลาดนี้

Gallery

]]>
Review : HP ProBook 635 Aero G7 โน้ตบุ๊กองค์กรขุมพลัง AMD https://cyberbiz.mgronline.com/review-hp-probook-635-aero-g7/ Wed, 24 Mar 2021 03:44:22 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34954

เอชพี (HP) เป็นอีกแบรนด์ที่หันมานำซีพียูตัวแรงจาก AMD มาใช้ในกลุ่มโน้ตบุ๊กองค์กรธุรกิจ โดยเฉพาะในซีรีส์ ProBook ที่เน้นเรื่องของดีไซน์ที่ให้ความทนทาน น้ำหนักเบา สามารถพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ได้ และมาพร้อมการเชื่อมต่อที่ครบถ้วน

HP ProBook 635 Aero จึงกลายมาเป็นรุ่นเด่นของเอชพี ที่ถูกนำเสนอแก่องค์กรธุรกิจที่ต้องการเปลี่ยนผ่านการทำงานของพนักงานในองค์กร ที่เริ่มปรับเปลี่ยนรูปแบบจากทำงานในสำนักงาน มาเป็น Work from Home หรือ Work from Anywhere ที่ให้ทั้งประสิทธิภาพในการใช้งาน ระยะเวลาการใช้งานที่ต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน เมื่อรูปแบบของการทำงานจากที่บ้านได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น เอชพี เลยมีการนำเสนอหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่จะมาเชื่อมต่อให้สามารถใช้งาน HP ProBook ร่วมกับจอขนาด 27 นิ้ว ได้ง่ายๆ ผ่านพอร์ตเชื่อมต่อเดียวคือ USB-C ช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้เพิ่มเติมด้วย

ข้อดี

  • ตัวเครื่องใช้วัสดุโลหะ อะลูมิเนียม ผสมแมกนีเซียมอัลลอยด์ให้ความแข็งแรง
  • น้ำหนักเบา เริ่มต้นไม่ถึง 1 กิโลกรัม
  • รองรับการเชื่อมต่อครบถ้วน
  • ทำงานบน AMD Ryzen ที่ประมวลผลแรง และประหยัดพลังงาน

ข้อสังเกต

  • ดีไซน์ตัวเครื่องจะเป็นเหลี่ยมๆ สีเงินคลาสสิกทั่วๆ ไป
  • ขนาดเครื่องค่อนข้างหนา เนื่องจากต้องการให้พอร์ตครบที่สุด

โน้ตบุ๊กสู่การเปลี่ยนการทำงานยุคใหม่

ที่ผ่านมา เอชพี พยามนำเสนอผลิตภัณฑ์ในกลุ่มโน้ตบุ๊กสำหรับองค์กรธุรกิจ และได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่จุดที่น่าสนใจสำหรับ HP ProBook 635 Aero คือการที่เอชพี สามารถลดน้ำหนักของตัวเครื่องโน้ตบุ๊กหน้าจอ 13.3 นิ้ว ลงมาให้เหลือต่ำกว่า 1 กิโลกรัมได้

แม้ว่าจะใช้งานดีไซน์ตัวเครื่องแบบเดิมของ ProBook แต่ด้วยน้ำหนักที่เบาขึ้น จึงทำให้รุ่นนี้กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับพนักงานองค์กรธุรกิจยุคใหม่ ที่สามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ จึงทำให้การมีโน้ตบุ๊กที่พกพาได้ง่าย น้ำหนักเบา จะเข้ามาตอบโจทย์การใช้งานมากที่สุด

HP ProBook 635 Aero มีขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 307.6 x 204.5 x 17.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 0.99 กิโลกรัม ที่ชูจุดเด่นในเรื่องของพอร์ตเชื่อมต่อใช้งานที่ครบถ้วน ทำให้ขนาดตัวเครื่องจะหนากว่าโน้ตบุ๊กที่มีเฉพาะพอร์ต USB-C เพียงอย่างเดียว

หน้าจอของ HP ProBook 635 Aero จะมีขนาด 13.3 นิ้ว ความละเอียด Full HD (1920 x 1080 พิกเซล โดยเป็นจอแบบ IPS ที่ป้องกันแสงสะท้อน โดยมีกล้องเว็บแคมความละเอียด HD 720p อยู่ขอบจอด้านบน ซึ่งในจุดนี้จะมี HP Privacy Camera ที่เป็นม่านปิดกล้องมาให้เลื่อนปิดเวลาที่ไม่ได้ใช้งานด้วย

ถัดลงมาในส่วนของคีย์บอร์ด ที่เอชพีเรียกว่าเป็น HP Premium Keyboard นั้น จะมาพร้อมกับไฟ backlit ทำให้สามารถใช้งานในที่แสงน้อยได้ รวมถึงขนาดของแป้นพิมพ์ และการรับสัมผัสต่างๆ ทำได้อย่างน่าสนใจ พิมพ์สนุก เหมาะกับการทำงานได้อย่างเต็มที่

อีกความใส่ใจในเรื่องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน ทำให้ HP เพิ่มปุ่มปิดไมโครโฟนมาไว้ที่ปุ่มคำสั่งลัดบริเวณแถบบนของคีย์บอร์ดด้วย เมื่อปิดไมค์จะมีไฟแสดงสถานะสีส้มโชว์ขึ้นมา และยังมีปุ่มลัดให้ผู้ใช้สามารถเลือกตั้งสำหรับเรียกใช้งานโปรแกรมที่ใช้งานประจำได้ด้วย

ถัดลงมาในส่วนของ Clickpad รองรับการใช้งานแบบมัลติทัชแล้ว ทำให้การสั่งงานต่างๆ ทำได้ง่ายขึ้น และเพิ่มเติมในเรื่องของความปลอดภัยด้วยการใส่เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือมาเป็นตัวเลือกให้องค์กรธุรกิจสามารถเลือกใส่เพิ่มเติมได้

สำหรับพอร์ตเชื่อมต่อต่างๆ ทางฝั่งซ้ายจะมีพอร์ตล็อกเครื่อง Kensington ตามด้วยพอร์ต USB-A 2 พอร์ต และช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ทางฝั่งขวาจะมีช่องเสียบสายชาร์จมาตรฐาน ตามด้วยพอร์ต HDMI พอร์ต USB-C ที่รองรับทั้งการเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริมต่างๆ และใช้เป็นพอร์ตชาร์จไฟได้ด้วย

ภายในให้แบตเตอรีขนาด 53Wh แบบ 3 เซลล์ มาพร้อมอะเดปเตอร์ชาร์จไฟขนาด 65W ทำให้สามารถชาร์จได้เต็มภายในระยะเวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง ในขณะที่การใช้งานบนแบตเตอรีสามารถทำงานได้ต่อเนื่องมากกว่า 11 ชั่วโมง

เชื่อมต่อจอ ทำงานใช้งานในบ้าน

นอกเหนือจากการนำเสนอ HP ProBook 635 Aero G7 แล้ว อีกหนึ่งอุปกรณ์ที่เปิดตัวมาพร้อมกันก็คือหน้าจอ HP E27u USB-C จุดเด่นของหน้าจอรุ่นนี้ ก็คือเป็นหน้าจอขนาด 27 นิ้ว ที่สามารถเชื่อมต่อกับพอร์ต USB-C กับโน้ตบุ๊กเพื่อใช้เสียบชาร์จ และเป็น Display Port ไปในตัว เรียกได้ว่า เพียงแค่เชื่อมต่อโน้ตบุ๊กกับ จอด้วยสาย USB-C เส้นเดียวก็พร้อมใช้งานแล้ว

ความพิเศษของจอตัวนี้อีกอย่างคือ สามารถปรับหมุนจอภาพให้ใช้งานในแนวตั้งได้ จึงเหมาะกับรูปแบบการใช้งานที่หลากหลาย ช่วยเสริมการทำงานให้สะดวกขึ้น อีกอย่างคือเรื่องของพอร์ตเชื่อมต่อที่ให้มาครบ ทั้งพอร์ต USB Type A 4 พอร์ต สำหรับเชื่อมต่อเมาส์ คีย์บอร์ด จนถึง Display Port อีก 2 ช่อง และ HDMI ให้เชื่อมต่อใช้งาน

ตัวเครื่องยังมาพร้อมความละเอียดหน้าจอระดับ QHD สามารถสลับใช้งานระหว่างดีไวซ์ต่างๆ ได้อย่างลื่นไหล มีระบบจ่ายไฟ Power Delivery ให้แก่โน้ตบุ๊ก ทำให้ไม่ต้องเสียบสายชาร์จโน้ตบุ๊ก ก็ใช้งานร่วมกับหน้าจอได้ ถือเป็นอุปกรณ์ที่มาช่วยให้เกิดเวิร์กสเตชันของการทำงานในบ้าน

สเปก

ด้วยการที่เป็นโน้ตบุ๊กสำหรับองค์กรธุรกิจ ทางเอชพี จึงเปิดให้สามารถปรับแต่งสเปกต่างๆ เพื่อให้นำไปใช้งานในองค์กรได้อย่างเหมาะสม โดย HP ProBook 635 Aero G7 จะมีตัวเลือกทั้ง AMD Ryzen 5 4500U และ Ryzen 7 4700U มาให้ใช้งาน พร้อมกับเลือกปรับ RAM ได้ตั้งแต่ 8 – 32 GB พื้นที่เก็บข้อมูลเริ่มต้นเป็น SSD 512 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows 10 Pro

อีกจุดแข็งของ HP ProBook 635 Aero คือเรื่องของการเชื่อมต่อที่มีทั้งพอร์ต USB-C รองรับการส่งข้อมูลระดับ 10 Gbps ส่วนการเชื่อมต่อไร้สายจะเป็น WiFi 6 บนชิปเซ็ต Intel AX200 มีบลูทูธ 5.0 มาให้ใช้งานเพิ่มเติม เรียกได้ว่าให้มาครบเพียงพอกับการใช้งานโน้ตบุ๊กยุคใหม่เรียบร้อย

ทดสอบประสิทธิภาพ

ด้วยการที่เป็นโน้ตบุ๊กสำหรับใช้งานในองค์กร ประสิทธิภาพของการประมวลผล และแบตเตอรี ที่สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนาน จะเป็น 2 ปัจจัยหลักที่ควรคำนึงถึง โดยใน HP ProBook 635 Aero G7 นี้ สามารถทำได้อย่างน่าประทับใจ โดยเฉพาะแบตเตอรีที่ใช้ได้ยาวต่อเนื่องมากกว่า 11 ชั่วโมง

ในขณะที่การใช้งานรองรับการทำงานในสำนักงานแทบทั้งหมด รวมถึงใช้ในการคำนวนข้อมูลจาก Excel ทำ PowerPoint เพื่อพรีเซ็นต์งานได้สบายๆ ไปจนถึงในกรณีที่มีงานครอบคลุมไปยังการทำรูปภาพต่างๆ ตัวเครื่องก็สามารถรองรับการใช้งานได้

สรุป

HP ProBook 635 Aero G7 น่าจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกโน้ตบุ๊กสำหรับองค์กร ที่มองหาโน้ตบุ๊กประสิทธิภาพสูง น้ำหนักเบา ไปใช้พนักงานใช้งาน โดยเฉพาะในยุคที่การ Work From Anywhere กลายเป็นลักษณะการทำงานที่เกิดขึ้นได้ทั่วไปแล้ว

ด้วยการที่ตัวเครื่องให้พอร์ตมาครบ รองรับการทำงานที่หลากหลาย แบตเตอรีใช้งานได้ต่อเนื่องมากกว่า 11 ชั่วโมง จึงเหมาะกับการพกพาไปใช้งานได้อย่างสบายใจ สำหรับราคาจำหน่ายของ HP ProBook 635 Aero G7 เริ่มต้นที่ 31,890 บาท – 37,990 บาท ส่วนหน้าจอ HP E27u USB-C ราคา 10,900 บาท

Gallery

]]>
Review : MSI Summit E15 / B15 โน้ตบุ๊กองค์กรเครื่องแรง ปลอดภัยสูง https://cyberbiz.mgronline.com/review-msi-summit-e15-b15/ Mon, 01 Feb 2021 03:00:25 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34591

ตลาดโน้ตบุ๊กในกลุ่มองค์กรธุรกิจ ถือเป็นอีกกลุ่มที่ได้รับผลตอบรับในเชิงบวก จากสถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้เกิดการทำงานจากที่บ้าน หรือการปรับเปลี่ยนองค์กรธุรกิจสู่โมบิลิตี้เพิ่มมากขึ้น

MSI ถือเป็นแบรนด์โน้ตบุ๊กที่สร้างชื่อเสียงจากบรรดาเกมเมอร์ จนได้รับความเชื่อมั่นในแง่ของประสิทธิภาพในการใช้งาน จึงได้ขยายไลน์ผลิตภัณฑ์โน้ตบุ๊กเพิ่มเติม เพื่อมาตอบโจทย์องค์กรธุรกิจที่มีความต้องการโน้ตบุ๊กคุณภาพ บนมาตรฐานความปลอดภัยที่ได้รับการยอมรับ

MSI Summit ถือเป็นซีรีส์ที่มาเจาะกลุ่มนักธุรกิจที่เน้นในแง่ของประสิทธิภาพในการประมวลผลจากตัวเลือกอย่าง 11th Gen Intel Core i5 และ Core i7 บนจอแสดงผลขนาด 15” นิ้ว ในดีไซน์เรียบหรู เหมาะกับระดับผู้บริหาร

โดย MSI Summit แบ่งออกเป็น 2 รุ่นย่อยหลักๆ คือ Summit B15 ที่เป็นโน้ตบุ๊กธุรกิจระดับพรีเมียมรุ่นเริ่มต้น ในราคา 35,990 บาท และ Summit E15 รุ่นท็อปที่มาพร้อมการ์ดจอแยก ในราคาเริ่มต้น 55,990 บาท

ข้อดี

  • โน้ตบุ๊กประสิทธิภาพสูง บนหน่วยประมวลผล Intel รุ่นใหม่ล่าสุด
  • มีระบบรักษาความปลอดภัย รองรับการทำงานขององค์กรธุรกิจ
  • วัสดุตัวเครื่องเป็นอะลูมิเนียมแบบผิวด้าน ให้ความรู้สึกพรีเมียม
  • MSI Center ช่วยบริหารจัดการระบบใช้งานทรัพยากรต่างๆ ของตัวเครื่อง
  • ใช้งานบนแบตเตอรีได้ต่อเนื่อง

ข้อสังเกต

  • ด้วยการที่ให้พอร์ตมาครบ ทำให้ตัวเครื่องหนา 16.9 มม. น้ำหนัก 1.6 – 1.7 กิโลกรัม
  • รุ่นเริ่มต้นไม่รองรับการปลดล็อกด้วยใบหน้าใน มีเฉพาะสแกนลายนิ้วมือ
  • รุ่น Summit E15 ที่ใช้พลังงานสูง ทำให้อะเดปเตอร์มีขนาดใหญ่ พกพาได้ยากขึ้น

รู้จักซีรีส์ MSI Summit

สำหรับโน้ตบุ๊กในกลุ่มใช้งานทั่วไป และใช้สำหรับองค์กรธุรกิจของ MSI ปัจจุบัน จะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือซีรีส์ Modern ที่เน้นเรื่องความบางเบา พกพาง่าย ใช้งานแบตเตอรีได้ยาวนาน ตามมาด้วยซีรีส์ Prestige ที่เน้นความเป็นพรีเมียม และประสิทธิภาพสูงเพิ่มขึ้นมา

ส่วนในซีรีส์ Summit จะเป็นโน้ตบุ๊กสำหรับองค์กรธุรกิจระดับมืออาชีพ ที่ช่วยเพิ่มภาพลักษณ์ในการเลือกใช้งานสินค้า จากแบรนด์ที่ได้รับความมั่นใจในแง่ของความแรง และประสิทธิภาพตัวเครื่องที่พร้อมช่วยให้การทำงานราบรื่น

ภายในซีรีส์ Summit จะมีโน้ตบุ๊กให้เลือกใน 2 รุ่น ในขนาดหน้าจอ 15 นิ้ว โดยมีตัวเลือกอย่าง Summit B15 ที่เป็นรุ่นเริ่มต้น และ Summit E15 ซึ่งเป็นรุ่นจบของซีรีส์นี้

ความแตกต่างหลักๆ ของ Summit B15 และ E15 จะอยู่ที่สเปกตัวเครื่อง ที่ควรเลือกให้เหมาะสมกับลักษณะการทำงานมากกว่า ในรุ่นเริ่มต้นของ B15 จะมากับซีพียู Intel Core i5 และมีตัวเลือกให้เป็น Core i7 เพิ่มเติม แต่ในรุ่นนี้จะใช้เป็นกราฟิกการ์ด Intel Iris Xe

ในขณะที่ Summit E15 จะได้ความแรงในการใช้งานมากขึ้นด้วย Intel Core i7 ในซีรีส์ 1185G7 ที่ให้การประมวลผลแรงกว่า และยังมาพร้อมกับการ์ดจอแยก GeForce GTX 1650Ti with Max-Q Design ทำให้รองรับทั้งการทำงานทุกประเภท จนถึงนำมาเล่นเกมเพื่อคลายเครียดก็ได้

อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่เป็นโน้ตบุ๊กที่สามารถปรับแต่งเพิ่มเติมได้ ทำให้ลูกค้าในกลุ่มองค์กรธุรกิจ สามารถเลือกปรับสเปกบางส่วนอย่างการเลือกความละเอียดหน้าจอ เพิ่มฟีเจอร์การสัมผัสหน้าจอ รวมถึงการเพิ่มกล้องอินฟาเรด เพื่อใช้งานการปลดล็อกด้วยใบหน้าเพิ่มเติมได้ด้วย

สำหรับราคาจำหน่ายของ MSI Summit B15 เริ่มต้นที่ 35,990 บาท ในรุ่น Core i5 และ 38,990 บาท ในรุ่น Core i7 ในขณะที่ MSI Summit E15 จะเริ่มต้นที่ 55,990 บาท โดยตัวเครื่องจะมาพร้อมซองใส่โน้ตบุ๊ก และเมาส์ไร้สายให้ภายในกล่องด้วย

สเปกของ Summit E15 ที่วางจำหน่ายในประเทศไทย

สำหรับ MSI Summit E15 / B15 ที่วางจำหน่ายในไทย แบ่งออกเป็น 3 รุ่นด้วยกันคือ

MSI Summit E15 A11SCST-219TH
CPU – Intel Core i7-1185G7
GPU – NVIDIA GeForce GTX 1650 Ti Max-Q
Display – 15.6” FHD (1920 x 1080 พิกเซล) , Finger Touch Panel
RAM – DDR4 16 GB
SSD – NVMe 512 GB
ราคา – 55,990 บาท

สเปกของ Summit B15 ที่วางจำหน่ายในประเทศไทย

MSI Summit B15 A11M-065TH
CPU – Intel Core i5-1135G7
GPU – Intel Iris Xe
Display – 15.6” FHD
RAM – DDR4 8 GB
SSD – NVMe 512 GB
ราคา – 35,990 บาท

MSI Summit B15 A11M-064TH
CPU – Intel Core i7-1165G7
GPU – Intel Iris Xe
Display – 15.6” FHD
RAM – DDR4 8 GB
SSD – NVMe 512 GB
ราคา – 38,990 บาท

ใช้งานสำหรับองค์กรธุรกิจ

เมื่อรูปแบบการทำงานเปลี่ยนแปลงไป จากเดิมการเก็บข้อมูลอาจจะอยู่เฉพาะภายในบริษัท แต่ด้วยการทำงานในลักษณะของ Work From Home ทำให้พนักงานจำเป็นต้องเข้าถึงข้อมูลในองค์กรธุรกิจจากโน้ตบุ๊ก ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุดคือการที่องค์กรธุรกิจ เลือกใช้งานโน้ตบุ๊กที่มาพร้อมกับระบบรักษาความปลอดภัย

ภายใน MSI Summit ได้มีการนำระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูลมาตรฐานองค์กรธุรกิจมาใช้งาน โดยเฉพาะการเข้ารหัสข้อมูลด้วย Trusted Platform Module (TPM 2.0) ที่ทำงานร่วมกับ Windows Hello ทั้งการสแกนใบหน้าจากกล้องอินฟาเรด และปลดล็อกเครื่องด้วยลายนิ้วมือ

นอกจากนี้ ยังมีไฟสัญลักษณ์แสดงการทำงานของกล้องเว็บแคม เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานรู้ตัวว่ากำลังเปิดใช้งานกล้องอยู่ จนถึงการล็อกการโอนถ่ายข้อมูลผ่านพอร์ต USB และ MicroSD Card ป้องกันข้อมูลรั่วไหล

ขณะเดียวกัน เพื่อดูแลผู้ใช้งานให้โน้ตบุ๊กทำงานได้ราบรื่นมากที่สุด MSI มีการติดตั้งโปรแกรมอย่าง MSI Center มาอำนวยความสะดวก ในการอัปเกรดระบบปฏิบัติการ และไดรฟ์เวอร์ต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ

รวมถึงเปิดให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าไปตั้งค่าใช้งานตัวเครื่องอย่างง่ายๆ ทั้งการปรับแต่งประสิทธิภาพตัวเครื่องให้ใช้พลังงานอย่างเหมาะสม จนถึงปรับความสว่างหน้าจอ ความแรงพัดลม เพื่อให้ใช้งานเครื่องได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

นอกเหนือจากซอฟต์แวร์ในการทำงานแล้ว MSI Summit ยังผ่านการรับรองมาตรฐานความทนทานทางทหาร (MIL-STD-810G) ที่สามารถป้องกันแรงกดอากาศ อุณหภูมิสูงหรือต่ำเกินไป จนถึงป้องกันข้อมูลเมื่อเครื่องตกกระแทก ทำให้มั่นใจถึงความทนทานของตัวเครื่องได้

การออกแบบ

สำหรับดีไซน์ของ MSI Summit B15 และ Summit E15 ด้วยการที่วางตำแหน่งเป็นโน้ตบุ๊กธุรกิจระดับพรีเมียม วัสดุที่เลือกใช้จึงเป็นอะลูมิเนียมคุณภาพสูง นำมาเคลือบด้วยทรายละเอียด (Sandblasting) ทำให้สัมผัสตัวเครื่องที่ได้มีความหรูหรามากขึ้น

โดยขนาดของทั้ง B15 และ E15 จะอยู่ที่ 356.8 x 233.7 x 16.9 มิลลิเมตรเท่ากัน แต่น้ำหนักของ B15 จะอยู่ที่ประมาณ 1.6 กิโลกรัม ในขณะที่ E15 มีน้ำหนักของการ์ดจอ เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.79 กิโลกรัม

ดีไซน์โดยรวมของทั้ง B15 และ E15 นั้นจะคล้ายคลึงกันทั้งหมด แต่จะมีจุดที่แยกได้ระหว่าง 2 รุ่นนี้ชัดเจนเลยคือ E15 จะมีการเดินขอบทัชแพดสีทอง และบริเวณข้อต่อพับหน้าจอ จะมีสัญลักษณ์ Summit สีทองอยู่ ในขณะที่ B15 จะเป็นสีดำล้วนทั้งหมด

ในส่วนของหน้าจอ B15 จะมากับจอ 15.6 นิ้ว ความละเอียด FHD ซึ่งเป็นจอแบบ IPS แสดงผลสี sRGB ใกล้เคียง 100% ส่วน E15 มีขนาดเท่ากัน แต่จะมีออปชันเพิ่มคือเลือกเป็นหน้าจอแบบสัมผัสได้ เพื่อให้การใช้งานสะดวกขึ้น

ด้านบนหน้าจอจะมีกล้องเว็บแคมความละเอียด HD มาให้ โดยรุ่น E15 จะพิเศษเพิ่มขึ้นตรงที่มีไฟแสดงสถานะการทำงานของกล้องเพิ่มขึ้นมา และเลือกปรับแต่งเป็นกล้องแบบอินฟาเรดเพื่อนำมาใช้ปลดล็อกด้วยใบหน้าได้

อีกรูปแบบการใช้งานที่เพิ่มขึ้นมาในซีรีส์ Summit คือผู้ใช้สามารถกางหน้าจอแบบ 180 องศา ได้ ทำให้สามารถเปิดหน้าจอแชร์ให้เพื่อนร่วมงาน หรือคู่ค้าทางธุรกิจเข้าถึงคอนเทนต์ได้เช่นเดียวกัน

ถัดลงมาในส่วนของคีย์บอร์ดทั้ง 2 รุ่นเลือกใช้คีย์บอร์ดขนาดมาตรฐาน พร้อมมีดีไซน์แบบ Ergonomic Lift ที่จะช่วยยกตัวเครื่องขึ้นเมื่อกางหน้าจอขึ้นมา ช่วยให้องศาเหมาะกับการพิมพ์มากขึ้น พร้อมช่วยระบายความร้อนไปในตัว

บริเวณปุ่มควบคุมของคีย์บอร์ดแถบบน จะมีการปรับแต่งให้เหมาะกับการทำงานมากขึ้น อย่างการเพิ่มปุ่มควบคุมพิเศษ อย่างการเปิดปิดกล้อง และไมโครโฟน รวมถึงมีไฟคีย์บอร์ดมาให้ใช้งานในที่แสงน้อยได้ด้วย

ในส่วนของพอร์ตเชื่อมต่อทั้ง Summit B15 และ E15 ถือว่าให้มาครบถ้วย ซึ่งมีจุดที่แตกต่างกันเล็กน้อย คือในรุ่น B15 ทางฝั่งซ้ายจะมีพอร์ตชาร์จไฟ DC มาให้ ตามด้วย HDMI USB-C USB 3.2 และช่องเสียบหูฟัง

ในขณะที่ E15 จะมีจะไม่มีพอร์ตชาร์จไฟ แต่ให้เป็น USB-C 2 พอร์ต ตามด้วยพอร์ต HDMI และช่องเสียบหูฟังแทน ส่วนทางขวาเป็นพอร์ต USB 3.2 2 พอร์ต และช่องอ่านไมโครเอสดีการ์ด ทั้ง 2 รุ่น

ด้วยการที่ Summit B15 / E15 มีทั้งพอร์ต HDMI และ USB-C ที่เป็น Thunderbolt 4 มาให้ ทำให้สามารถเชื่อมต่อกับจอภาพได้ 2 จอพร้อมกัน ช่วยให้สามารถเชื่อมต่อกับหน้าจอเวลานั่งทำงานในสำนักงาน หรือโฮมออฟฟิศก็ได้ด้วย

สเปก

ทั้งนี้ รุ่นที่นำมาทดสอบในคราวนี้จะมีทั้ง Summit B15 ที่มากับ Intel Core i7-1165G7 ให้ความเร็วสูงสุด 4.7 GHz การ์ดจอ Intel Iris Xe RAM 8 GB SSD 512 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows 10 Pro

ส่วน Summit E15 มากับ Intel Core i7-1185G7 4.8 GHz การ์ดจอ GeForce GTX 1650 Ti with Max-Q Design RAM 16 GB SSD 512 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows 10 Pro เช่นเดียวกัน

สำหรับการเชื่อมต่อรองรับ WiFi 802.11ax บลูทูธ 5.1 แบตเตอรรี Summit E15 เป็นแบบ 4 เซลล์ 82Whr ขณะที่ Summit B15 เป็นแบตเตอรี 52 Whr

ทดสอบประสิทธิภาพ

เร่ิมกันที่ Summit B15 ก่อน จะเห็นได้ว่า ประสิทธิภาพในการประมวลผล เพียงพอกับการใช้งานทั่วไปอยู่แล้ว เพราะตัวเครื่องมากับซีพียูระดับ Core i7 เพียงแต่ถ้ามีการทำกราฟิกขั้นสูงมากขึ้นหรือ 3D อาจจะเริ่มไม่ไหว เพราะไม่มีการ์ดจอแยกมา

ในขณะที่ Summit E15 ที่มากับ Core i7 และการ์ดจอแยก GeForce GTX 1650 Ti with Max-Q Design ทำให้ตัวเครื่องรองรับการใช้งานได้หลากหลายกว่า เหมาะกับการทำงานของครีเอเตอร์มืออาชีพที่สามารถนำไปใช้ในการตัดต่อ หรือทำกราฟิกได้ด้วย

ทั้งนี้ สเปกของเครื่องที่วางจำหน่าย กับที่ทีมงานได้รับมาทดสอบจะมีจุดที่แตกต่างกันบ้างเล็กน้อย แต่ความสามารถโดยรวมจะใกล้เคียงกัน

สรุป

จากการแยกไลน์ผลิตภัณฑ์โน้ตบุ๊กของ MSI มาจับกลุ่มนักธุรกิจระดับพรีเมียม ที่ต้องการโน้ตบุ๊กจอใหญ่ประสิทธิภาพสูง บนมาตรฐานความปลอดภัยในการใช้งาน ทำให้ MSI Summit ทั้งรุ่น B15 และ E15 เป็นรุ่นที่ตอบโจทย์การใช้งานในองค์กรธุรกิจได้เป็นอย่างดี

โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการความแรงในการใช้งาน รวมถึงระยะเวลาการใช้งานต่อเนื่องบนแบตเตอรี อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่รุ่นเริ่มต้นอย่าง Summit B15 ไม่ได้มีการใส่การ์ดจอมาให้ด้วย อาจจะมีข้อจำกัดในการใช้งานเมื่อเทียบกับ Summit E15 ที่ครบเครื่องมากกว่า แลกกับระดับราคาที่แตกต่างกันไป

Gallery MSI Summit E15

Gallery MSI Summit B15

]]>
Review : Apple MacBook Pro M1 จุดเริ่มต้นของแมคยุคใหม่ https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-macbook-pro-m1/ Fri, 29 Jan 2021 06:54:18 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34666

นับตั้งแต่ Apple เปิดตัวชิปเซ็ตสำหรับแมคบุ๊กรุ่นใหม่อย่าง Apple M1 ออกมา ได้กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตลาดโน้ตบุ๊กพอสมควร ทั้งในแง่ของประสิทธิภาพในการทำงานที่แรงกว่าซีพียูหลักๆ ที่ใช้งานกันในปัจจุบัน จนถึงเรื่องของการใช้พลังงานที่น้อยลง และกลายเป็นจุดที่ทำให้ประทับใจกับชิปเซ็ตนี้มากที่สุด

หลังจากใช้งาน MacBook Pro M1 มาเกือบ 2 เดือน ทำให้เห็นถึงภาพรวมการใช้งานของ MacBook รุ่นใหม่ที่นำความสามารถของชิปเซ็ตนี้มาใช้งานได้อย่างน่าสนใจ ทั้งเรื่องของฮาร์ดแวร์ และระบบปฏิบัติการที่ปรับปรุงให้รองรับการใช้งานได้เป็นอย่างดี

แม้ว่า MacBook Air และ MacBook Pro จะยังคงใช้โมเดลเครื่องเดิม แต่การที่เปลี่ยนแปลงชิปเซ็ตในครั้งนี้ ช่วยให้ตัวเครื่องแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และกลายเป็น MacBook 2 รุ่น เริ่มต้น ที่เหมาะกับการใช้งานทั่วไปมากที่สุดในเวลานี้

ข้อดี

  • ประสิทธิภาพในการทำงานของชิปเซ็ต ร่วมกับระบบปฏิบัติการ macOS BigSur
  • แบตเตอรีใช้งานได้ต่อเนื่องทั้งวันสบายๆ
  • ตัวเครื่องร้อนน้อยกว่ารุ่น Intel อย่างเห็นได้ชัด

ข้อสังเกต

  • การใช้งานโปรแกรมเก่า บนชิปเซ็ตรุ่นใหม่ยังไม่ 100%
  • ตัวเครื่องยังใช้โมเดลเดิม และคาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในปีนี้
  • ในช่วงแรกที่ใช้งานมีปัญหาเรื่องการเชื่อมต่อบลูทูธไม่เสถียร

เปลี่ยนชิป แต่ดีไซน์เดิม

ทั้ง MacBook Air และ MacBook Pro ที่ใช้งาน Apple M1 รุ่นแรกที่ออกมาทำตลาดนั้น ต้องมองว่าแอปเปิล เลือกที่จะนำชิปเซ็ตรุ่นใหม่มาใช้งานกับฟอร์มเฟคเตอร์แบบเดิมก่อน แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วชิปเซ็ต M1 จะมีขนาดเล็กลงอย่างมาก เมื่อเทียบกับการใช้เมนบอร์ดที่ทำงานร่วมกับซีพียูของ Intel

ดังนั้น เครื่องรุ่นแรกนี้จึงเหมือนเป็นรุ่นทดสอบแรก ของ Apple ในช่วงการเปลี่ยนผ่านหน่วยประมวลผลจาก Intel ที่ทำงานบนสถาปัตยกรรมแบบ x86/x64 ไปยังสถาปัตยกรรมแบบ ARM ที่จะเกิดขึ้นในช่วง 2 ปีข้างหน้านี้

โดยใน MacBook Pro 13” (late 2020) จะใช้ดีไซน์เดิมของ MacBook Pro with TouchBar รุ่นเริ่มต้น ที่มีพอร์ต Thunderbolt 3 (USB-C) 2 พอร์ต มาให้ใช้งาน โดยมีขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 304.1 x 212.4 x 15.6 มิลลิเมตร น้ำหนักประมาณ 1.4 กิโลกรัม

สิ่งที่พัฒนาขึ้นมาคือเรื่องของการแสดงผลบนจอ Retina Display ขนาด 13.3 นิ้ว ความละเอียด 2560 x 1600 พิกเซ ที่ให้ความสว่างหน้าจอ 500 nit แสดงผลสีแบบ True Tone ที่รองรับขอบเขตสีกว้างระดับ P3 ทำให้การแสดงผลทำได้สวยงาม

พอร์ตเชื่อมต่อที่ให้มาทางซ้ายจะมีเพียง Thunderbolt 3 ที่เป็น USB 4 ใช้สำหรับเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมต่างๆ ต่อจอภาพ รวมถึงชาร์จแบตฯ มาให้ 2 พอร์ต และทางขวาจะมีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. มาให้ใช้งาน

คีย์บอร์ดของ MacBook Pro 13.3 นี้ปรับมาใช้งาน Magic Keyboard แล้วจากรุ่นก่อนหน้าที่ใช้งานเป็น Butterfly Keyboard และเริ่มนำมาใช้งานใน MacBook Pro 16” ก่อนทยอยอัปเดตให้ MacBook Pro รุ่นใหม่ใช้งานแทนที่ของเดิม

เทียบ Butterfly Keyboard ในรุ่นเก่า กับ Magic Keyboard ในรุ่นใหม่

บริเวณคีย์บอร์ดยังให้ Touch Bar มาไว้สำหรับสั่งงานร่วมกับโปรแกรมต่างๆ ได้สะดวกขึ้น โดยทางขวาสุดของ Touch Bar จะเป็น Touch ID ไว้สแกนลายนิ้วมือในการปลดล็อกเครื่อง รวมถึงการทำธุรกรรมต่างๆ บน MacBook ด้วย

ตัวแทร็กแพดที่ให้มายังคงใช้งานเป็น Force Touch ที่ใช้ไฟฟ้าสถิตมาคำนวนแรงกดของปุ่มช่วยให้มีความแม่นยำ และรองรับการใช้งานแบบมัลติทัชได้สมบุรณ์แบบเช่นเดิม

แบตเตอรีที่ให้มาภายใน MacBook Pro 13.3 นิ้ว เป็นขนาด 58.2 Whr ซึ่งทำให้ MacBook Pro รุ่นนี้ สามารถใช้งานเว็บเบราว์เซอร์ได้นานถึง 17 ชั่วโมง และใช้ดูภาพยนต์ได้ต่อเนื่องถึง 20 ชั่วโมงด้วยกัน

ภายในของ MacBook Pro M1 ยังมีจุดที่พัฒนาขึ้นอีกหลายๆ ด้านทั้งเรื่องของกล้อง FaceTime HD ที่ปรับปรุงให้รับแสงได้ดีขึ้น ลำโพงสเตอริโอที่ให้เสียงกว้างขึ้น รองรับ Dolby Atmos เพิ่มไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน รับกับเทรนด์ของการใช้งานวิดีโอคอนเฟอเรนซ์มากยิ่งขึ้น

ในขณะที่การเชื่อมต่อจะรองรับ WiFi 6 (802.11ax) เรียบร้อยแล้ว พร้อมบลูทูธ 5.0 ทำงานบนระบบปฏิบัติการ macOS BigSur ภายในกล่องจะให้อะเดปเตอร์แปลงไฟ USB-C ขนาด 61W มาให้พร้อมสาย USB-C ยาว 2 เมตร

ทำความเข้าใจ Apple M1

ในส่วนของสเปกตัวเครื่อง MacBook Pro 13.3 นิ้ว รุ่นใหม่นี้ จะมากับชิป Apple M1 ที่เปลี่ยนการออกแบบของหน่วยประมวลผลจากเดิมที่แยกกันในยุคของ Intel มารวมกันอยู่ในชิปเดียว (SOC : System on Chip) ช่วยให้แต่ละส่วนสื่อสารกันได้เร็วขึ้น และทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ภายในชิป M1 นี้ จะเป็นการรวมทั้งซีพียู ชิปโมเด็มสำหรับเชื่อมต่อ หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) หน่วยความจำ (RAM) ชิปประมวลผล AI (Neural Engine) เข้ามาอยู่รวมกัน

ขณะเดียวกัน ด้วยการผลิตบนสถาปัตยกรรมแบบ 5 นาโนเมตร ทำให้ Apple M1 กลายเป็นชิปรุ่นแรกที่ใช้เทคโนโลยีดังกล่าวในคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ที่มีการนำทรานซิสเตอร์ 1.6 หมื่นล้านตัวมาไว้ในชิปเดียวกัน

ในส่วนของซีพียูนั้น จะทำงานในแบบของ Octa-Core หรือ 8 คอร์ ที่แบ่งเป็นคอร์ประสิทธิภาพสูงจำนวน 4 คอร์ ออกแบบมาให้เรียกใช้การประมวลผลได้อย่างเต็มที่ และอีก 4 คอร์ สำหรับการใช้งานเบาๆ ช่วยให้รวมๆ แล้วสามารถประหยัดพลังงานได้เป็นอย่างมาก

ถัดมาคือความสามารถในการประมวลผลภาพ ที่กลายเป็นว่าเมื่อ GPU สามารถดึงหน่วยความจำมาใช้งานได้เต็มที่ก็จะช่วยทำให้ความเร็วในการประมวลผลเพิ่มขึ้นด้วย ตามด้วยการเติมชิป Neural Engine มาช่วยเรียนรู้พฤติกรรมการใช้งาน และปรับรูปแบบการใช้งานให้เหมาะสมด้วย

ในภาพรวมชิปเซ็ต Apple M1 ถือว่าให้พลังในการประมวลผลที่เร็วขึ้น และประหยัดพลังงานขึ้นอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับซีพียู Intel ที่แอปเปิลเลือกใช้ก่อนหน้านี้ ถือว่าพัฒนามาอย่างก้าวกระโดด

โดยปัจจัยหนึ่งที่สำคัญมากๆ ในการเปลี่ยนผ่านซีพียูครั้งนี้เกิดขึ้นได้ไร้รอยต่อก็คือการที่ทีมนักพัฒนาของแอปเปิล ปรับปรุง macOS BigSur ให้รองรับการทำงานร่วมกับชิปที่ใช้ ARM ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และปลดล็อกรูปแบบการใช้งานใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นบน MacBook ด้วย

ภายใต้การนำ Rosetta 2 ที่จะช่วยแปลงโปรแกรมที่ใช้ x86/x64 มาใช้งานบน M1 ได้รวดเร็วขึ้นด้วย นอกจากนี้ ยังสามารถนำแอปพลิเคชันที่พัฒนาให้ใช้งานบน iPhone และ iPad มาใช้งานบน MacBook ได้ด้วย เพราะถือว่าเป็นแอปที่พัฒนาบนพื้นฐานเดียวกันเรียบร้อยแล้ว

MacBook Air / Pro ที่ใช้ M1 เหมาะกับใคร

แน่นอนว่า ด้วยการที่เป็นรุ่นเปลี่ยนผ่านจาก Intel สู่ Apple M1 ทำให้ในการใช้งานจะมีจุดที่ต้องคำนึงถึงหลายๆ อย่าง เช่นผู้ที่ต้องทำงานร่วมกับโปรแกรมที่เป็น legacy ทั้งหลาย ที่หยุดพัฒนาไปแล้ว อาจจะไม่รองรับการทำงานได้อย่างเต็มที่บน M1

รวมถึงผู้ที่มีความจำเป็นต้องใช้งาน Bootcamp เพื่อรัน Windows ใช้งานบางส่วน บน Mac ที่ใช้ M1 ก็จะไม่สามารถใช้งาน Bootcamp ได้ ทำให้มีข้อจำกัดในการใช้งานอยู่พอสมควร

แต่กลับกันถ้าเป็นผู้ที่อยู่บนอีโคซิสเตมส์ของ Apple อยู่แล้ว โปรแกรมทั้งหลายที่ใช้เพื่อทำงาน ครีเอเตอร์ ทำงานเกี่ยวกับการตกแต่งภาพ ตัดต่อวิดีโอ ตลอดจนเรื่องของความบันเทิงต่างๆ ต้องยอมรับว่าประมวลผลได้เร็วขึ้นอย่างชัดเจน

เช่นเดียวกับเรื่องของแบตเตอรี ที่กลายเป็นว่าจากเดิม MacBook Pro ที่ใช้งาน Intel แทบจะต้องชาร์จแบตฯ เพื่อใช้งานทุกวัน แต่เมื่อใช้งานบน Apple Silicon ของ M1 แล้วกลายเป็นว่าใช้งานได้ต่อเนื่องยาวๆ เรียกได้ว่าไม่ต้องพกพาอะเดปเตอร์ออกนอกบ้านก็ทำงานได้ต่อเนื่องตลอดทั้งวัน

เรียกได้ว่าถ้าใครมีแผนที่จะซื้อ MacBook เครื่องใหม่ในช่วงนี้ เพื่อใช้ในการเรียน ทำงาน เน้นใช้โปรแกรมของ Apple และโปรแกรมใหม่ๆ ที่มีให้ดาวน์โหลดผ่าน App Store รุ่นที่ใช้งาน M1 จะตอบโจทย์อย่างแน่นอน

อีกข้อได้เปรียบของ MacBook ที่ใช้ Apple M1 คือภายใน App Store สามารถเลือกติดตั้งแอปพลิเคชันที่เปิดให้ใช้งานบน iPad และ iPhone ได้ด้วย ซึ่งถ้าแอปมีการอัปเดตให้รองรับก็จะใช้งานได้ไม่ต่างจากใช้งานบน iOS ได้เลย ช่วยอำนวยความสะดวกเพิ่มมากขึ้น

เลือก MacBook Air หรือ MacBook Pro

กลับมาที่อีกคำถามสำคัญคือ Apple เลือกเปิดตัว MacBook Air และ MacBook Pro ที่ใช้ชิป Apple M1 ออกมาพร้อมกัน ซึ่งประสิทธิภาพในการประมวลผลของทั้ง 2 รุ่นแทบไม่แตกต่างกัน

จุดต่างหลักๆ คือถ้าเป็น MacBook Air รุ่นเริ่มต้น 32,900 บาท จะเป็นชิป M1 ที่ใช้ GPU แบบ 7 คอร์ ความจุ 256 GB แต่ถ้าเป็นรุ่นที่ใช้ GPU 8 คอร์ ราคาจะอยู่ที่ 41,400 บาท ได้ความจุ 512 GB ซึ่งราคาจะไปใกล้กับ MacBook Pro M1 รุ่นเริ่มต้นที่ 42,900 บาท แต่ได้ความจุแค่ 256 GB

ถ้ามองในแง่ของความคุ้มค่าในการใช้งานจริงๆ MacBook Air M1 รุ่น 512 GB ถือว่าเพียงพอกับการใช้งานแล้ว ถ้าไม่ได้นำมาใช้ในการตัดต่อที่ต้องใช้พลังการประมวลผลยาวนาน แต่ถ้าใช้งานหนักๆ ต่อเนื่อง MacBook Pro ก็จะเหมาะกว่า

เหตุผลหลักก็คือ MacBook Air จะไม่มีพัดลมระบายอากาศ ในขณะที่ MacBook Pro จะมีพัดลม ทำให้ช่วยคุมอุณหภูมิของซีพียู เพื่อให้ใช้งานแบบประสิทธิภาพสูงสุดได้ต่อเนื่อง แต่ถ้าเป็นการประมวลผลในช่วงระยะเวลาสั้นๆ MacBook Air ก็พอกับการทำงานแล้ว

อย่างไรก็ตาม ถ้ายังไม่ได้มีความจำเป็นต้องซื้อเครื่องใหม่ในเวลานี้ ก็อยากแนะนำให้รอ MacBook รุ่นใหม่ที่จะออกในปี 2021 นี้มากกว่า เพราะคาดว่าจะมีการปรับปรุงในแง่ของดีไซน์ใหม่

เพราะขนาดของชิปเซ็ต และชิ้นส่วนต่างๆ ที่ใช้งานกับ Apple M1 นั้นเล็กลงมา แต่กลายเป็นว่าในรุ่นนี้ยังใช้ดีไซน์เดิมอยู่ การออกรุ่นใหม่ในปีนี้อย่าง Apple M1x อาจจะมาพร้อมกับดีไซน์ใหม่ และปลดล็อกประสิทธิภาพการใช้งานขึ้นไปอีก

สรุป

MacBook Pro 13 นิ้ว ที่มากับชิปเซ็ต Apple M1 ถือว่าทำออกมาได้ประทับใจในเรื่องประสิทธิภาพในการประมวลผล ที่เร็วขึ้นอย่างรู้สึกได้ ทั้งการใช้งานทั่วไป หรือแม้แต่การตกแต่งรูป ตัดต่อวิดีโอต่างๆ

อีกจุดที่สร้างความประทับใจเป็นอย่างมาก คือเรื่องของประหยัดพลังงานที่สามารถพกเครื่องนี้ออกไปทำงานนอกบ้านได้สบายๆ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องของแบตเตอรีเลย แม้ว่าจะเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตใช้งานตลอดเวลาก็ตาม

อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรกที่ใช้งานพบเจอปัญหาจากความไม่เสถียรของรับบบ้าง อย่างเช่นการส่ง AirDrop ระหว่างอุปกรณ์ Apple ด้วยกัน หรือปัญหาการเชื่อมต่อบลูทูธหลายอุปกรณ์พร้อมๆ กัน ทำให้ Magic Mouse เกิดอาการหน่วง หรือ AirPods เสียงขาดๆ ซึ่งถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นแล้วในการอัปเดต BigSur เวอร์ชันปัจจุบัน

]]>
Review : Microsoft Surface Pro X โน้ตบุ๊ก 2-1 พร้อมใช้ LTE บน TrueMove H https://cyberbiz.mgronline.com/review-microsoft-surface-pro-x/ Tue, 10 Nov 2020 07:01:48 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34118

ในช่วงที่องค์กรธุรกิจกำลังมองหาโน้ตบุ๊กพกพาง่าย เหมาะกับการใช้ทำงาน เพราะเน้นเรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก ทำให้ทรูบิสสิเนส เข้าไปร่วมกับทาง Microsoft เป็นผู้ให้บริการสื่อสารโทรคมนามรายแรกในไทย เริ่มนำ Microsoft Surface สำหรับลูกค้าธุรกิจเข้ามาเริ่มทำตลาด

จุดต่างของ Surface สำหรับลูกค้าธุรกิจคือมากับ Windows 10 Pro ทำให้มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีกว่า Windows 10 Home ของผู้ใช้งานทั่วไป และมีบริการเสริมสำหรับการใช้งานธุรกิจเพิ่มเติมอย่างประกันตัวเครื่อง บริการซ่อม และให้คำปรึกษาในการใช้งานต่างๆ

ประกอบกับ Microsoft Surface Pro X ถือเป็น Surface สำหรับผู้ใช้งานมืออาชีพที่หันมาใช้หน่วยประมวลผล Microsoft SQ1 / SQ2 บนสถาปัตยกรรมแบบ ARM ที่ไมโครซอฟท์ เข้าไปร่วมพัฒนากับ Qualcomm มาพร้อมโมเด็มทำให้สามารถเชื่อมต่อ LTE ได้ทันที

ข้อดี

  • ดีไซน์เรียบหรู เหมาะกับพกพาใช้งาน
  • รองรับการเชื่อมต่อ LTE
  • คีย์บอร์ดพิมพ์สนุกมือ ใช้งานง่าย

ข้อสังเกต

  • ข้อจำกัดในการใช้งานบางโปรแกรม
  • แบตเตอรี เวลาประมวลผลหนักๆ จะหมดค่อนข้างเร็ว
  • พอร์ตเชื่อมต่อค่อนข้างจำกัด (USB-C 2 พอร์ต)

เน้นพกพาใช้งานได้ทุกที่

Microsoft Surface Pro X ถือเป็นซีรีส์ใหม่ในตระกูล Surface ของไมโครซอฟท์ ที่ต้องการควบคุมประสบการณ์ใช้งานแก่ผู้ใช้ให้ดีที่สุด ด้วยการเข้าไปร่วมกับทางผู้ผลิตชิปเซ็ตอย่าง Qualcomm ร่วมกันผลิตชิปเซ็ต Microsoft SQ1 ขึ้นมาใช้งาน

โดย Microsoft SQ1 เป็นหน่วยประมวลผลที่พัฒนาขึ้นบนสถาปัตยกรรมแบบ ARM ทำให้สามารถประหยัดพลังงานได้มากขึ้น และสามารถฝังโมเด็มเข้าไปเพื่อให้ตัวเครื่องสามารถใส่ซิมการ์ดเข้าไป ใช้งาน 4G LTE ได้ทันที ไม่ต้องพึ่งพาเครือข่าย Wi-Fi เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากระบบปฏิบัติการ Windows นั้นแรกเริ่มเดิมทีพัฒนาขึ้นมาใช้งานกับหน่วยประมวลผลบนสถาปัตยกรรมแบบ x86 (32 บิต) และ x64 (64 บิต) ทำให้เมื่อเปลี่ยนมาใช้งาน ARM โปรแกรมหลายๆ อย่างที่พัฒนาขึ้นบน สถาปัตยกรรมแบบเดิม จะยังทำงานได้ไม่สมบูรณ์

ยกเว้นโปรแกรมหลักๆ จาก Microsoft ที่มีการพัฒนาเพิ่มเติมให้สามารถทำงานบน ARM ได้สมบูรณ์แบบแล้ว โดยเฉพาะ Microsoft Office ที่มีความโดดเด่นในแง่ของการทำงานทั้ง Microsoft Word PowerPoint Excel รวมถึง OneNote ด้วย

รวมถึงอีกหลายๆ โปรแกรมที่โหลดใช้งานได้จาก Microsoft Store ทำให้โดยรวมแล้วสามารถใช้งานได้ไม่แตกต่างจากโน้ตบุ๊กทั่วไป แต่ถ้ามีการใช้งานโปรแกรมเฉพาะทางอาจจะต้องลองทดสอบใช้งานดูก่อนว่า สามารถรันใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

หรือในกรณีที่ใช้งานผ่านระบบคลาวด์ ผ่านหน้าเว็บไซต์ เบราว์เซอร์อย่าง Microsoft EDGE ที่พัฒนาขึ้นมาใหม่นี้ มีความรวดเร็วในการใช้งานดีขึ้นอย่างชัดเจน ก็จะช่วยปลดล็อกข้อจำกัดในการใช้งานหลายๆ อย่างได้ด้วย

แบตเตอรีกลายเป็นอีกจุดที่ทำให้ Surface Pro X น่าสนใจ เพราะในการใช้งานบนหน่วยประมวลผล Microsoft SQ1 นั้นจะช่วยประหยัดพลังงานมากกว่าเดิม ทำให้แม้จะมีการเชื่อมต่อกับ 4G LTE ใช้งานไปด้วย ก็สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 11 ชั่วโมง

เหมาะกับองค์ธุรกิจที่หาดีไวซ์ตอบโจทย์

กลับมาที่การทำตลาดของ Microsoft Surface ซึ่งไมโครซอฟท์ เข้าไปร่วมกับทางทรู บิสสิเนส เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าองค์กรธุรกิจ ดังนั้นองค์กรธุรกิจที่สนใจ สามารถเข้าไปปรึกษากับทางทรู บิสสิเนส ได้ว่า ในแต่ละองค์กรเหมาะกับการนำ Microsoft Surface รุ่นไหนไปใช้งาน

หนึ่งในนั้นก็คือ Microsoft Surface Pro X รุ่นนี้ ที่จะแตกต่างจากโมเดลที่ขายให้แก่ผู้บริโภคทั่วไปตรงที่ ตามปกติจะมากับ Windows 10 Home แต่สำหรับลูกค้าองค์กรธุรกิจจะเป็น Windows 10 Pro แทน ซึ่งจะได้ในเรื่องของความปลอดภัยในการใช้งานที่มากขึ้น

เนื่องจากองค์กรธุรกิจนั้นต้องระมัดระวังในแง่ของการเก็บช้อมูล ให้ปลอดภัยมากที่สุด เมื่อใช้งานร่วมกับ Windows 10 Pro ก็จะได้ระบบรักษาความปลอดภัยอย่าง Windows Hello ที่สามารถทำงานร่วมกับกล้องวิดีโอคอลล์ เพื่อใช้ปลดล็อกเครื่องด้วยใบหน้าได้ด้วย

ปัจจุบัน Microsoft Surface Pro X วางจำหน่ายด้วยกัน 4 รุ่นหลักด้วยกัน คือ รุ่นที่มากับชิปเซ็ต Microsoft SQ1 RAM 8 GB SSD 128 GB / 8 GB SSD 256 GB / Microsoft SQ2 RAM 16 GB SSD 256 GB และ RAM 16 GB SSD 512 GB ในราคาเริ่มต้นเดือนละ 2,799 บาท

สำหรับลูกค้าทรูบิสิเนส จะได้รับบริการอย่างให้คำปรึกษาในการเลือกซื้อรุ่นที่เหมาะสม พร้อมแพ็กเกจใช้งานได้ทันที และรับประกันเครื่องนาน 3 ปี และบริการหลังการขายจากทรูบิสสิเนสเพิ่มเติม

การออกแบบ

Microsoft Surface Pro X ออกแบบมาเป็นโน้ตบุ๊กในลักษณะของแท็บเล็ต 2-1 ที่สามารถเชื่อมต่อกับ Signature Keyboard ที่มีช่องลสำหรับเก็บปากกา Surface Slim Pen เพื่อให้พกพาใช้งานได้สะดวกขึ้น

หน้าจอ Surface Pro X มากับจอ PixelSense ขนาด 13 นิ้ว ความละเอียด 2880 x 1920 พิกเซล ความละเอียดเม็ดสีอยู่ที่ 267 ppi อัตราส่วนหน้าจอแบบ 3:2 รองรับการสัมผัส 10 จุด โดยมีดีไซน์ขอบจอบาง

ตัวเครื่องทำจากอะลูมิเนียม มีให้เลือก 2 สี คือ สีดำด้าน และสีเงินแพลตินัม ขนาดของตัวเครื่องอยู่ที่ 287 x 208 x 7.3 มิลลิเมตร นำ้หนัก เฉพาะหน้าจออยู่ที่ราว 774 กรัม เมื่อร่วมกับคีย์บอร์ด และปากา ก็จะอยู่ที่ราว 1 กิโลกรัม

รอบตัวเครื่องจะมีปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิด/ปิดเครื่องอยู่ด้านบน ด้านซ้าย มีพอร์ต USB-C 2 ช่อง เท่านั้น ส่วนทางขวาเป็น Surface Connect สำหรับเสียบสายชาร์จ

ด้านหลังตัวเครื่อง ถือเป็นจุดเด่นของ Surface Pro X ก็คือขาตั้ง Kickstand ที่สามารถปรับเปลี่ยนมุมมองในการใช้งานได้หลากหลาย เหมาะกับทั้งใช้เป็นโน้ตบุ๊ก หรือเป็นแท็บเล็ตเพื่อจดบันทึกข้อมูลก็ได้

ใต้ขาตั้ง Kickstand บริเวณมุมเครื่อง จะมีช่องใส่ซิมการ์ดแบบนาโนซิมอยู่ ในกรณีที่ซื้อเครื่องใช้งานกับทางทรูบิสสิเนส ก็จะมีซิม 4G LTE ของ TruemoveH มาให้ใช้งานพร้อมแพ็กเกจด้วย

 

อีกความพิเศษที่จะเปลี่ยนให้ Surface Pro X ทำงานได้ไม่ต่างจากโน้ตบุ๊กทั่วไปก็คือ Signature Keyboard ที่มีความพิเศษตรงสามารถปรับองศาการพิมพ์ได้ คือการยกองศาขึ้นมาเล็กน้อย หรือวางให้แบนราบไปกับพื้นก็ได้

ในช่วงที่ใช้งาน Signature Keyboard แบบยกองศาขึ้นมานั้น จะเป็นการซ่อนช่องเก็บปากกา Surface Slim Pen ไปด้วย ถ้าต้องการใช้งานปากกาก็แค่ปรับมุมคีย์บอร์ดออกมาเป็นแนวราบนั่นเอง

สรุป

องค์กรธุรกิจที่กำลังมองหาโน้ตบุ๊กให้พนักงาน หรือผู้บริหารใช้งาน โดยเฉพาะในยุคที่การทำงานสามารถทำงานที่ไหนก็ได้ Microsoft Surface Pro X พร้อมกับบริการให้คำปรึกษาจาก TrueMove H น่าจะเข้ามาช่วยหาโซลูชันที่ตอบโจทย์ได้ไม่ยาก

อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก Surface Pro X เป็นการนำซีพียูรุ่นใหม่ที่ทาง Microsoft ผลิตขึ้นมาบนสถาปัตยกรรมแบบใหม่ อาจทำให้โปรแกรมเดิมที่เคยใช้งานบน Windows 10 ได้ อาจจะไม่สามารถใช้งานบน Pro X ได้ ซึ่งแนะนำให้ตรวจสอบให้ดีก่อนเลือกซื้อมาใช้งาน

Gallery

]]>
Review : HP Envy x360 ขุมพลัง AMD ที่มายกระดับมาตรฐานโน้ตบุ๊กสมัยใหม่ https://cyberbiz.mgronline.com/review-hp-envy-x360-2020/ Mon, 12 Oct 2020 12:11:32 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=33881

ด้วยรูปแบบการใช้งานที่หลากหลายของ HP Envy x360 ทำให้ปัจจุบัน โน้ตบุ๊กรุ่นนี้ ถือเป็นหนึ่งในรุ่นเด่นของ เอชพี ที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ใช้งาน โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงาน นักธุรกิจ จนถึงผู้บริหาร ที่ต้องการความคล่องตัว และประสิทธภาพในการใช้งาน

จุดเด่นของ HP Envy x360 คือการที่มากับหน้าจอขนาด 13.3 นิ้ว ตัวเครื่องสามารถหมุนหน้าจอเพื่อใช้งานแทนแท็บเล็ตได้ น้ำหนักเบา พกพาง่าย และที่สำคัญเมื่อจับคู่กับซีพียูจาก AMD Ryzen 7 ทำให้ได้โน้ตบุ๊กที่มีประสิทธิภาพสูง และใช้งานได้ยาวนานด้วย

ขณะเดียวกันในเรื่องของความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัว HP ได้มีการนำเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือมาให้ใช้งานร่วมกับ Windows Hello และยังมีม่านชัตเตอร์ปิดกล้องเว็บแคม และฟีเจอร์ที่ลดการมองเห็นจากด้านข้าง เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ด้วย

ข้อดี

  • ตัวเครื่องเล็ก พกพาง่าย
  • ปรับโหมดใช้งานได้ทั้งเป็นโน้ตบุ๊ก แท็บเล็ต
  • ประสิทธิภาพสูงจาก AMD Ryzen 7

ข้อสังเกต

  • ไม่มีพอร์ต HDMI / LAN ต้องใช้งานร่วมกับอะเดปเตอร์แทน
  • ด้วยการที่ตัวเครื่องบาง ทำให้บริเวณจอยวบๆ เวลาจับถือตัวเครื่อง

ยกระดับคอนซูเมอร์โน้ตบุ๊ก

ตั้งแต่ HP Envy x360 ออกมาสู่ตลาดในระดับราคาเริ่มต้นที่ไม่ถึง 3 หมื่นบาท จากการนำหน่วยประมวลผลของ AMD Ryzen มาใช้งาน ทำให้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรมโน้ตบุ๊ก ในช่วงระดับราคาใกล้เคียงกันให้โดดเด่นมากขึ้น

โดยปัจจุบัน ถ้าเป็นกลุ่มนักเรียน นักศึกษา อาจจะเริ่มต้นมองหาโน้ตบุ๊กในระดับราคาประมาณ 2 หมื่นบาท เพื่อให้รองรับการใช้งานระหว่างเรียน และในช่วงเริ่มต้นทำงาน ทำให้อาจจะได้เครื่องที่มีขนาดค่อนข้างหนา เน้นเรื่องประมวลผลเป็นหลัก

แต่จริงๆ แล้วช่วงระดับราคาที่เหมาะสมสำหรับการเลือกซื้อโน้ตบุ๊กประสิทธิภาพสูง ดีไซน์สวย นั้นจะขยับขึ้นมาอยู่ในช่วงราคา 3 หมื่นบาท ที่จะได้ทั้งโน้ตบุ๊กที่รองรับการทำงานในระยะยาว และมีดีไซน์ท่ีเหมาะสม พกพาง่าย เพิ่มเติมด้วยรูปแบบการใช้งานที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น

อย่าง HP Envy x360 ที่ถูกออกแบบมาให้หมุนหน้าจอได้ 360 องศา หน้าจอสัมผัส ทำให้นอกจากใช้งานในลักษณะของโน้ตบุ๊กทั่วไปแล้ว ยังสามารถหมุนพับหน้าจอกลับมาเป็นแท็บเล็ต หรือกางหน้าจอเพื่อใช้พรีเซ็นต์งาน หรือไว้ใช้เพื่อความบันเทิงก็ได้ด้วย

ด้วยเหตุผลนี้ จึงทำให้ HP Envy x360 ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในระดับราคานี้ โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มนักธุรกิจ หรือผู้ที่ต้องพกพาโน้ตบุ๊กติดตัวไปใช้งานได้ตลอดเวลา สอดคล้องกับการทำงานยุคใหม่ที่เกิดขึ้น คือพนักงานสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ เพียงแค่มีวิดีโอคอลล์รองรับ

หรือในกรณีที่ต้องการแปลงโน้ตบุ๊กให้กลายเป็นแท็บเล็ตเพื่อจดบันทึก HP Envy x360 ก็มาพร้อมกับปากกา HP Rechargeable MPP 2.0 Tilt Pen ที่ให้ความแม่นยำในการสัมผัสถึง 4096 ระดับ มีปุ่มคำสั่งให้เลือกตั้งค่าเพิ่มเติมได้ และที่สำคัญคือสามารถชาร์จแบตเตอรีเพื่อใช้งานได้ต่อเนื่อง 30 วัน

เสริมฟีเจอร์ปกป้องความเป็นส่วนตัว

เมื่อรูปแบบการทำงานจากนอกสถานที่ กลายเป็นพฤติกรรมใหม่ของผู้ใช้ ทำให้ทาง HP มีการเสริมฟีเจอร์ที่เข้ามาช่วยปกป้องการใช้งานของผู้ใช้ที่น่าสนใจในเครื่องรุ่นีนี้ ตั้งแต่เรื่องการล็อกอินใช้งาน จนถึงการปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้

โดยในเครื่อง HP Envy x360 มีการนำเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือมาใช้งานร่วมกับ Windows Hello ทำให้สามารถใช้การสแกนนิ้วเพื่อล็อกอินใช้งานเครื่องได้ทันที หรือจะเลือกใช้การปลดล็อกด้วยการตรวจจับใบหน้าก็ได้เช่นเดียวกัน

ถัดมาคือการเพิ่มปุ่มลัดสำหรับตัดการทำงานของไมโครโฟน และกล้องเว็บแคม โดยเมื่อปิดการทำงานแล้วจะมีไฟสถานะสีส้มขึ้นแจ้งไว้ ที่ตัวกล้องจะมีม่านชัตเตอร์มาบังไว้ทันที ทำให้ไม่ต้องกังวล หรือหาสติกเกอร์มาปิดกล้องอีกต่อไป

อีกฟีเจอร์ที่น่าสนใจคือ HP Sure View ที่จะปรับการแสดงผลของหน้าจอให้มองเนื้่อหาบนหน้าจอจากด้านข้างได้ยากขึ้น เพื่อป้องกันผู้ที่นั่งอยู่ใกล้เคียงเห็นหน้าจอ ทำให้สามารถทำงานสำคัญๆ ในพื้นที่สาธารณะได้อย่างปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดอย่างหนึ่งของ HP Sure View ก็คือเมื่อเปิดใช้งานความสว่างของหน้าจอจดลดลงเล็กน้อย ทำให้ถ้าใช้งานในที่แสงจ้า อาจจะต้องปรับมุมมองของหน้าจอให้เข้ากับใบหน้าตรงๆ ถึงจะเห็นหน้าจอชัดเจน 

นอกจากนี้ HP ยังได้มีการใส่ปุ่มลัด HP Command Center มาให้กดใช้งานเพื่อปรับโหมดการทำงานของตัวเครื่องด้วย อย่างการเร่งประสิทธิภาพสูงที่สุด เพิ่มการทำงานของพัดลมระบายอากาศเพื่อให้เครื่องเย็นที่สุด และปรับความแรงของพัดลมให้เครื่องเงียบที่สุดเป็นต้น

ความพิเศษของเครื่องรุ่นนี้คือมากับ Microsoft Office Home & Student ทำให้ผู้ซื้อเครื่องสามารถใช้งาน Microsoft Office ได้ฟรีๆ โดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม ซึ่งช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมด้วย

สเปก

สำหรับ HP Envy x360 มากับหน่วยประมวลผล AMD Ryzen 7 4700U ที่เป็นซีพียู 8 คอร์ให้ความเร็ว 2 GHz และสามารถเร่งความเร็วขึ้นไปถึง 4.1 GHz RAM 8 GB SSD 512 GB ทำงานร่วมกับระบบปฏิบัติการ Windows 10 Home

ทดสอบประสิทธิภาพ

ในส่วนของการใช้งานด้วยการที่ HP Envy x360 ที่มีรูปแบบการใช้งานหลากหลายนั้น ถือว่า Ryzen 7 นั้นถือว่าเอาอยู่ โดยเฉพาะลักษณะการทำงานแบบออฟฟิศ ที่เน้นการใช้งานนอกสถานที่ ใช้จดบันทึก แก้ไขข้อมูลต่างๆ ได้

โดยจุดเด่นของ Ryzen 7 ช่วยให้การใช้งาน HP Envy X360 สามารถใช้งานได้ตลอดวัน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งานอย่างถ้าเปิดความสว่างหน้าจอสูงสุดใช้งานจะใช้ได้ราว 6 ชั่วโมง ถ้าปรับความสว่างหน้าจอลงเหลือ 50% ก็จะใช้งานได้มากกว่า 10 ชั่วโมง

ส่วนผลการทดสอบจากทั้ง Geekbench PCMark 10 และ 3D Mark ได้จากภาพด้านล่าง

สรุป

ถ้าใครกำลังมองหาโน้ตบุ๊กสเปกดี รองรับการใช้งานหลากหลายรูปแบบ ในระดับราคา 3 หมื่นบาท เชื่อว่า HP Envy x360 จะกลายเป็นตัวเลือกแรกๆ ในช่วงระดับราคานี้ทันที เพราะนอกจากประสิทธิภาพการใช้งานที่ครอบถ้วนรอบด้านแล้ว ยังมากับ Windows 10 และ Microsoft Office ให้ใช้งานกันด้วย

นอกจากนี้ ในกล่องยังมีอุปกรณ์อย่างอะเดปเตอร์แปลงพอร์ต USB-C เพื่อต่อกับจอ HDMI และพอร์ต USB Type-A มาให้ กับปากกา ทำให้ตัวเครื่องบางๆ นี้ ยังมีพอร์ตให้ใช้ครบครัน ในราคา 32,990 บาท

Gallery

]]>
Review : Lenovo Ideapad Gaming 3i เกมมิ่งโน้ตบุ๊กรุ่นเริ่มต้น https://cyberbiz.mgronline.com/review-lenovo-ideapad-gaming-3i/ Wed, 05 Aug 2020 02:57:06 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=33400

โน้ตบุ๊กเกมมิ่งราคาเข้าถึงได้ ยังคงตลาดที่หลายแบรนด์ให้ความสนใจ โดยเฉพาะ Lenovo ที่ตามปกติแล้วจะมีการแยกแบรนด์ Legion ออกมาทำตลาดเกมมิ่งโดยเฉพาะ แต่เพื่อทำให้ระดับราคาสามารถเข้าถึงได้ จึงได้เสริมสินค้าในกลุ่มนี้ด้วย Lenovo Ideapad Gaming มาให้เป็นตัวเลือก

จุดเด่นของ Lenovo Ideapad Gaming 3i คือการเป็นโน้ตบุ๊กที่มากับหน่วยประมวลผลประสิทธิภาพสูง Intel Core i Gen 10 เสริมด้วยการ์ดจอแยก NVIDIA GeForce GTX 1650 ทำราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 25,990 บาท และสามารถปรับแต่งได้จนถึง 32,990 บาท

พร้อมกับพัฒนาฟีเจอร์มาเสริมสำหรับเกมเมอร์ที่ต้องการยกระดับ ด้วยปุ่มควบคุมโหมดการทำงานอย่าง Lenovo Q Control ในการสลับโหมดใช้งานระหว่างโหมดประสิทธิภาพสูง ทำงาน และโหมดเงียบ ที่จะลดการทำงานของซีพียู และพัดลมลงให้เหมาะกับรูปแบบการใช้งาน

ข้อดี

  • เกมมิ่งโน้ตบุ๊กจอ 15.9 นิ้ว
  • ราคาเริ่มต้น 25,990 บาท
  • พอร์ตเชื่อมต่อครบ
  • รองรับ WiFi 6 / USB-C

ข้อสังเกต

  • ตัวเครื่องหนาตามสไตล์โน้ตบุ๊กเกมเมอร์
  • อะเดปเตอร์ 135W ขนาดใหญ่
  • ระยะเวลาใช้งานบนแบตเตอรี ในโหมดประสิทธิภาพสูงได้ราว 1 ชั่วโมง

อัปเกรดรุ่นใหม่ เสริมประสิทธิภาพ

Lenovo Ideapad Gaming 3i

ในช่วงปลายปีที่แล้วเลอโนโว มีการแนะนำไลน์สินค้าใหม่ในกลุ่มเกมมิ่งอย่าง Lenovo Ideapad L340 Gaming ออกสู่ตลาดมาเพื่อจับกลุ่มเกมเมอร์ที่มีงบประมาณจำกัด ซึ่ง Ideapad Gaming 3i รุ่นใหม่นี้ ถือว่าเป็นรุ่นที่เลอโนโว เลือกนำมาอัปเกรดให้ดี และคุ้มค่ากับราคามากยิ่งขึ้น

Lenovo Ideapad Gaming 3i

โดยในรุ่น Ideapad Gmaing 3i นั้นได้มีการปรับปรุงในเรื่องการระบายความร้อน ที่นำระบบ Heat Pipe มาช่วยระบายความร้อนของ GPU โดยเฉพาะ ช่วยให้ในเวลานี้เล่นเกมประมวลผลหนักๆ ความร้อนที่สะสมในตัวเครื่องจะไม่สูงมาก

ที่เหลือจะเป็นการอัปเกรดสเปกภายในอย่างการนำซีพียู Intel Core i Gen 10 H ซีรีส์มาให้เลือกใช้ โดยในรุ่นเริ่มต้นจะมากับ Intel Core i5 10300H และสามารถปรับแต่งเพิ่มเป็น Intel Core i7 10750H ได้ ตามด้วยการ์ดจอที่มีตัวเลือกให้ระหว่าง NVIDIA Geforce GTX 1650 และ GTX 1650Ti ส่วนการอัปเกรด RAM รองรับได้สูงสุดที่ 16 GB

สำหรับรุ่นที่นำมาทดสอบกันในคราวนี้ จะเป็นรุ่นที่ใช้งาน Core i7 + GTX 1650i RAM 8 GB SSD 1 TB มากับตัวเครื่องสีดำ Onyx Black ขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 359 x 249.6 x 24.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 2.2 กิโลกรัม

ทั้งนี้ มีอีกจุดที่น่าสนใจสำหรับเกมเมอร์ที่ต้องการความแม่นยำในการแสดงผล Lenovo Ideapad Gaming 3i ที่มากับหน้าจอ Full HD (1920×1080 พิกเซล) นั้น ยังสามารถเลือกหน้าจอแสดงผลที่ให้ Refresh Rate 60 Hz และ 120 Hz ได้ด้วย

เน้นจอใหญ่ คีย์บอร์ดใหญ่ ใช้งานสะดวก

Lenovo Ideapad Gaming 3i

ด้วยการที่เป็นโน้ตบุ๊กสำหรับเล่นเกม การที่เลอโนโวเลือกหน้าจอขนาด 15.6 นิ้ว มาให้ใช้งานนั้น ถือว่าเป็นขนาดที่ตอบโจทย์ในเบื้องต้นอยู่แล้ว แต่ก็มาพร้อมกับน้ำหนักของตัวเครื่องที่หนักเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

เพียงแต่ว่าในส่วนของหน้าจอนั้น ยังมากับความละเอียดสูงสุดแค่ Full HD เท่านั้น ถ้าต้องการจอที่มีความละเอียดสูงๆ ระดับ 2K หรือมากกว่าเพื่อมาใช้ในการทำงานรุ่นนี้อาจจะไม่ได้ตอบโจทย์ในส่วนนั้น

Lenovo Ideapad Gaming 3i

ถัดมาในส่วนของคีย์บอร์ดถือว่า Lenovo Ideapad Gaming 3i ทำการบ้านมาได้ค่อนข้างดีว่าเกมเมอร์ต้องการไฟสีๆ ที่คีย์บอร์ด ทำให้เครื่องรุ่นนี้มากับ Blue backlit ให้ไฟสีฟ้าจากคีย์บอร์ด มาช่วยเสริมคีย์บอร์ดที่มีปุ่มกดลูกศรแยกออกมาชัดเจน

Lenovo Ideapad Gaming 3i

อีกความโดดเด่นก็คือการให้ปุ่มกดตัวเลขแยกออกมา ทำให้กลายเป็นคีย์บอร์ดแบบเต็มรูปแบบ แต่ละปุ่มมีความโค้งรับกับนิ้วมือ ทำให้เวลาพิมพ์สัมผัสทำได้แม่นยำมากขึ้นด้วย ส่งผลให้การใช้งานคีย์บอร์ดถือว่าทำมาได้ดี การพิมพ์ หรือการควบคุมในการเล่นเกมทำได้ลื่นไหลดี

แต่ในส่วนของแทร็กแพดนั้น แม้ว่าจะมีความแม่นยำสูง แต่ด้วยระบบปฏิบัติการทำให้การควบคุมยังติดๆ ขัดๆ อยู่บ้าง ซึ่งคิดว่าน่าจะปรับแต่งมาให้ควบคุมได้ลื่นไหลมากกว่านี้ โดยเฉพาะการทำงานแบบมัลติทัช

Lenovo Ideapad Gaming 3i

ความพิเศษอีกอย่างหนึ่งของ Lenovo Ideapad Gaming 3i คือการที่ให้พอร์ตมาค่อนข้างครบ โดยไล่จากทางฝั่งซ้ายจะมีช่องเสียบอะเดปเตอร์ชาร์จไฟ LAN HDMI USB 3.1 USB-C ช่องเสียบหูฟัง

Lenovo Ideapad Gaming 3i

ส่วนทางฝั่งขวาจะมีช่องล็อก Kensington มาให้ กับ USB อีกหนึ่งพอร์ตไว้เชื่อมต่อกับเมาส์เพิ่มเติม ส่วนการเชื่อมต่อไร้สายจะนั้นให้มาทั้ง WiFi 6 และบลูทูธ 5.0 ดังนั้นถือว่าให้มาครบถ้วนตามยุคสมัย

ปุ่มลัดสลับโหมดประหยัดพลังงาน

ด้วยการที่เป็นเกมมิ่งโน้ตบุ๊ก ทำให้เมื่อเปิดโหมด Performance นั้นจะทำให้ใช้พลังงานของแบตเตอรีนั้นหมดเร็วกว่าปกติ ทำให้ Lenovo มีการพัฒนา Lenovo Q Control ขึ้นมา ทำให้ผู้ใช้สามารถกดปุ่ม Fn+Q เพื่อสลับระหว่างโหมดใช้งานทั้ง Performance Work และ Quiet Mode ใช้งานได้ทันที

หรือในกรณีที่ไม่อยากกดปุ่มสลับใช้งานก็สามารถกดที่ไอค่อนแบตเตอรีบนหน้าจอเพื่อเข้าสู่ Lenovo Vantage เพื่อปรับโหมดใช้งานได้เช่นเดียวกัน เท่าที่ทีมงานทดสอบใช้งานดู เมื่อเข้าสู่โหมดประสิทธิภาพสูง เปิดเล่นเกมหนักๆ แบตเตอรีจะใช้งานได้ต่อเนื่องราว 1 ชั่วโมงเท่านั้น

ในกรณีกลับกันถ้าเป็นเป็นโหมดใช้งานทั่วไป แล้วใช้ในการทำงาน หรือเล่นเน็ต ตัวเครื่องจะสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องราว 5-6 ชั่วโมง ซึ่งแน่นอนว่าขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานด้วย แต่ด้วยการที่ออกแบบมาให้เป็นเกมเมอร์ แนะนำให้พกอะเดปเตอร์ไปใช้งานด้วยจะดีที่สุด

เมื่อพูดถึงอะเดปเตอร์ที่ให้มากับ Ideapad Gaming 3i นั้น รองรับการชาร์จได้ถึง 135W ทำให้ชาร์จแบตเตอรีได้เร็ว แต่ก็แลกมากับขนาดของอะเดปเตอร์ที่ค่อนข้างใหญ่ ยิ่งเมื่อพกพาร่วมกับตัวเครื่องแล้ว จะทำให้พกพาค่อนข้างยาก

ในส่วนของการตั้งค่าลัดนั้น Lenovo ยังเปิดให้สามารถเลือกปิดกล้อง ปิดไมค์ ปิดเสียง และปิดไฟคีย์บอร์ดได้จากปุ่มลัดบนหน้าจอด้วย และถ้าต้องการดูรายละเอียดของเครื่องเพิ่มเติม ก็สามารถกดเข้าไปในโปรแกรมต่อได้ทันที

เมื่อเปิดโปรแกรมขึ้นมา จะมีกราฟิดแสดงผลการทำงานของ CPU RAM พื้นที่เก็บข้อมูลภายในตัวเครื่อง จนถึงการเลือกปรับระบบระบายความร้อน ปิดทัชแพด เปิดฟีเจอร์ชาร์จเร็ว เข้ารหัสการใช้งาน WiFi เพื่อให้เชื่อมต่อได้อย่างปลอดภัยเป็นต้น

ทดสอบประสิทธิภาพ

ในส่วนของการทดสอบประสิทธิภาพ ทั้ง PCMark10 และ 3DMark10 สามารถดได้จากภาพด้านล่างนี้

สรุป

Lenovo IdeaPad Gaming 3i ถือว่าเป็นโน้ตบุ๊กรุ่นเริ่มต้นสำหรับเกมเมอร์ที่มีงบประมาณจำกัดได้อย่างน่าสนใจ เพราะราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ 25,990 บาท เท่านั้น แต่สเปกที่ให้มาถือว่าเล่นเกมที่มีอยู่ในปัจจุบันได้อย่างสบายๆ

อีกกลุ่มผู้ใช้งานที่เหมาะกับเครื่องรุ่นนี้ก็คือผู้ที่ต้องการโน้ตบุ๊กประสิทธิภาพสูง ในระดับราคาที่เหมาะสม มีระบบระบายความร้อนที่ดี ดีไซน์เรียบๆ แต่ก็ต้องแลกกับน้ำหนัก และตัวเครื่องขนาดใหญ่ด้วย

]]>
Review : Asus VivoBook 14 โน้ตบุ๊กราคาดีขุมพลัง AMD https://cyberbiz.mgronline.com/review-asus-vivobook-14/ Wed, 15 Jul 2020 07:22:56 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=33278

เมื่อตลาดซีพียูมีการแข่งขันกันรุนแรงมากขึ้นในแง่ของประสิทธิภาพในการทำงาน ทำให้บรรดาผู้ผลิตพีซี ก็ได้รับประโยชน์จากการแข่งขันนี้ด้วย เพราะสามารถผลิตโน้ตบุ๊กประสิทธิภาพสูง ราคาดีออกมาทำตลาดได้หลากหลายมากขึ้น เมื่อเทียบกับตอนที่ตลาดซีพียูมีการผูกขาด

ในช่วงนี้จะเห็นได้ว่า เริ่มมีโน้ตบุ๊กที่ใช้หน่วยประมวลผล AMD Ryzen 4000 ซีรีส์ ออกสู่ตลาดค่อนข้างเยอะ และแต่ละรุ่นก็สามารถทำระดับราคาได้น่าสนใจ หนึ่งในนั้นคือ Asus Vivobook 14 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในรุ่นยอดนิยมของ Asus ที่เจาะตลาดในกลุ่มคอนซูเมอร์ได้อย่างน่าสนใจ

Asus Vivobook 14 เป็นโน้ตบุ๊กขนาดหน้าจอ 14 นิ้ว ที่นำนวัตกรรมหลายๆ อย่างที่น่าสนใจมาให้ใช้งาน ทั้งเรื่องของการออกแบบให้ขอบจอบางลง มีสีสันให้เลือกหลากหลายตามความต้องการ และที่สำคัญคือมากับหน่วยประมวลผล AMD Ryzen 4000 ซึ่งมีจุดเด่นที่การประมวลผลแบบมัลติทาสก์ที่ดีขึ้น ในราคา เริ่มต้น 19,990 บาท

ข้อดี

  • โน้ตบุ๊กสำหรับการใช้งานทั่วไป
  • ราคาเริ่มต้น 19,990 บาท
  • มีให้เลือกทั้งรุ่น 14 นิ้ว และ 15 นิ้ว

ข้อสังเกต

  • รุ่นนี้ไม่มี ErgoLift มาข่วยยกแป้นพิมพ์ให้รับกับการพิมพ์งาน
  • น้ำหนักเริ่มต้น 1.4 กิโลกรัม
  • USB-C ใช้ได้แค่เชื่อมต่อข้อมูล ไม่สามารถต่อจอ หรือชาร์จไฟได้

ตัวเครื่องหลากสีสัน พกพาพร้อมใช้งาน

เดิมที Asus VivoBook จะเน้นนำเสนอในเรื่องของการมีสีตัวเครื่องให้เลือกหลากหลาย เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายของเครื่องรุ่นนี้ คือกลุ่มนักเรียน นักศึกษา และวัยเริ่มทำงาน ที่ต้องการโน้ตบุ๊กประสิทธิภาพสูง ในระดับราคาที่สามารถเข้าถึงได้

ด้วยเหตุนี้ เพื่อให้มีความโดดเด่น และจับกลุ่มวัยรุ่น VivoBook 14 ถึงมีให้เลือก 6 สี โดยแบ่งเป็น VivoBook 14 3 สี คือ ทอง Hearty Gold เงิน Transparent Silver และดำ Indie Black ตามเ่วย VivoBook S14/S15 อีก 3 สี คือ ขาว Dreamy White แดง Resolute Red และเขียว Gaia Green

อย่างรุ่นที่นำมารีวิวจะเป็นสี Resolute Red ที่ให้สีสันสดใส ชัดเจน และที่น่าสนใจคือการนำดีไซน์แบบ Diamond Cut มาใช้ ทำให้บริเวณขอบมุมสะท้อนแสงเพิ่มความหรูหราให้กับตัวเครื่อง สำหรับขนาดของตัวเครื่องจะอยู่ที่ 324 x 213 x 15.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 1.4 กิโลกรัม

บริเวณฝาเครื่องนอกจากโลโก้ Asus VivoBook ที่เป็นสีเงินสะท้อนแสงอยู่ที่หน้าจอแล้ว ยังมีการเล่นลายเส้นที่ขอบบนของเครื่อง ภายในกล่องยังมีสติกเกอร์ลวดลายต่างๆ มาให้แปะเพิ่มเติมเพื่อแสดงของถึงตัวตนของผู้ใช้

เมื่อเปิดหน้าจอขึ้นมา จะพบกับหน้าจอขนาด 14 นิ้ว ความละเอียด Full HD โดยมีสัดส่วนระหว่างหน้าจอแสดงผล และตัวเครื่องอยู่ที่ 84% ซึ่งถือว่าเป็นรุ่นที่ขอบจอบางเมื่อเทียบกับแบรนด์อื่นๆ ในช่วงระดับราคาใกล้เคียงกัน ซึ่งที่ขอบบนจะมีกล้องเว็บแคมความละเอียด HD ติดตั้งอยู่ ส่วนล่างหน้าจอก็จะมีสัญลักษณ์ Asus VivoBook อีกจุด

ถัดลงมาที่แป้นคีย์บอร์ดของรุ่นนี้จะมีเอกลักษณ์อยู่ตรงปุ่ม Enter ที่จะมีขอบสีเขียวสะท้อนแสงอยู่ ทำให้คีย์บอร์ดดูสดใสมากขึ้น และมีปุ่มตัวเลขมาให้ใช้งานด้วย โดยปุ่มคีย์บอร์ดจะมาในลักษณะของ Chiclet พร้อมไฟ LED ช่วยให้สามารถใช้งานในที่มืดได้

ทั้งนี้ คีย์บอร์ดของ Asus VivoBook 14 ในส่วนของปุ่มตัวอักษรต่างๆ ถือว่าออกแบบมาได้ดี พิมพ์ได้สนุก แต่จะมีในส่วนของปุ่มแถบควบคุมแถวบนที่มีขนาดเล็กกว่าปกติ เช่นเดียวกับปุ่มลูกศร ที่มีขนาดเล็กเพียงครึ่งเดียวของปุ่มปกติ เช่นเดียวกับการผสมปุ่มคำสั่งเข้าไปกับ NumPad ทำให้ต้องใช้ความเคยชินพอสมควร ถัดลงมาก็จะเป็นแทร็กแพดขนาดมาตรฐาน

อีกจุดที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือเรื่องของลำโพงที่ติดตั้งมาใน VivoBook 14 นั้นจะใช้ลำโพงที่ผ่านการรับรองของ Harman Kardon ทำให้เสียงที่ได้ดัง และมีคุณภาพ เหมาะกับการใช้เพื่อความบันเทิงได้อย่างเต็มที่ด้วย

ในส่วนของพอร์ตการเชื่อมต่อต่างๆ นั้น VivoBook 14 ถือว่าให้มาครบ ไล่จากทางฝั่งซ้าย นอกเหนือจากช่องเสียบสายชาร์จ แล้วก็จะมี HDMI ขนาดปกติ USB 3.2 Gen 1, USB C 3.2 และช่องเสียบหูฟัง อีกฝั่งจะมีพอร์ต USB 2.0 ให้อีก 2 พอร์ต พร้อมกับช่องอ่านไมโครเอสดีการ์ด

จุดที่น่าเสียดายคือ USB-C ที่ให้มานั้นไม่สามารถใช้งานเป็น Display Port หรือใช้ในการเสียบชาร์จเครื่องได้ ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรมไปแล้ว ดังนั้นก็อาจจะต้องพกอะเดปเตอร์ของตัวเครื่องไปด้วย ซึ่งยังดีที่อะเดปเตอร์มีขนาดเล็ก ทำให้พกพาได้ง่าย

สเปกเครื่องทดสอบประสิทธิภาพ

Asus VivoBook 14 รุ่นเริ่มต้น D433 จะมากับหน่วยประมวลผล AMD Ryzen 5 4500U ที่ทำงานบนสถาปัตยกรรมแบบ 7 นาโนเมตร ความเร็ว 2.4 GHz ที่สามารถเร่งขึ้นไปได้ถึง 3.8 GHz มาพร้อมกับ AMD Radeon แบบออนบอร์ด RAM 8 GB พื้นที่เก็บข้อมูลเป็น SSD 512 GB

ด้านการเชื่อมต่อมากับ WiFi 6 (802.11ax) พร้อมบลูทูธ 5.0 แบตเตอรี 50Wh รองรับการชาร์จเร็ว 60% ใน 49 นาที ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows 10 Home และแถม MS Office Home and Student 2019 มาให้ใช้งานด้วย ในราคา 19,990 บาท

กรณีที่ต้องการประสิทธิภาพที่แรงขึ้น จะมีตัวเลือกอย่างการปรับซีพียูเป็น Ryzen 7 4700U ความเร็วประมวลผลจะขึ้นไปอยู่ที่ 3.6 GHz เร่งขึ้นไปสูงสุดได้ที่ 4 GHz ซึ่งจะเหมาะกับผู้ที่ต้องใช้งานหนักๆ อย่างการตัดต่อวิดีโอ หรือเล่นเกมที่ต้องใช้การประมวลผลสูงๆ ราคาจะขยับขึ้นไปที่ 22,990 บาท

ในส่วนของการทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานนั้น ต้องยอมรับว่า Asus VivoBook 14 นั้นทำได้น่าสนใจ โดยเฉพาะเรื่องการประมวลผลที่ให้ประสิทธิภาพเหนือกว่าซีพียูคู่แข่งในระดับราคาใกล้เคียงกัน ส่วนปัญหาเรื่องความร้อนนั้นแทบไม่พบเจอจากการใช้งาน

อีกจุดที่น่าสนใจคือเรื่องการประหยัดพลังงาน เนื่องจากพอปรับมาใช้สถาปัตยกรรมแบบ 7 นาโนเมตร ทำให้ใช้พลังงานลดลง ทำให้สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ตลอดวัน โดยไม่ต้องกังวลว่าแบตเตอรีจะหมด

เน้นความคุ้มค่าในราคา 19,990 บาท

รวมๆ แล้วความโดดเด่นหลักของ Asus Vivobook 14 กลายเป็นอยู่ที่สเปกเครื่องที่ให้มาเมื่อเทียบกับราคาที่ต้องจ่ายไป ซึ่งในรุ่นเริ่มต้นนั้น ถือว่าเพียงพอกับการใช้สำหรับการเรียน และทำงานแล้ว ดังนั้นถ้ามองหาโน้ตบุ๊กประสิทธิภาพดี ราคาคุ้มค่าซีรีส์นี่ ทำออกมาได้น่าสนใจเลยทีเดียว

นอกจากเรื่องของหน่วยประมวลผลที่ใช้ Ryzen 4000 ซีรีส์ อย่างในรุ่นเริ่มต้นเป็น Ryzen 5 นั้น จะมีการผสมผสานหน่วยประมวลผลภาพ AMD Radeon มาให้ด้วย ทำให้สามารถประมวลผลกราฟิกได้ในตัว แถมยังประหยัดแบตเตอรีอีกด้วย

]]>
Review : Asus ZenBook 13 คงจุดเด่น 2 จอ พกพาง่าย https://cyberbiz.mgronline.com/review-asus-zenbook-13/ Wed, 26 Feb 2020 02:32:42 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=32234

กลายเป็นแนวทางที่ชัดเจนของ เอซุส (Asus) ไปเรียบร้อยแล้วกับการทำโน้ตบุ๊ก 2 หน้าจอ ที่จะมาช่วยให้การใช้งานโน้ตบุ๊กทำได้สะดวกขึ้น จากทั้งการทำงานของ Screen Pad+ และ Duo Screen ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาเอซุส เพิ่งมีการอัปเดตไลน์ผลิตภัณฑ์ ZenBook ใหม่ในรุ่นหน้าจอ 13 นิ้ว และ 14 นิ้ว ในระดับราคาที่เข้าได้ถึงง่ายขึ้น

โดยรุ่นที่นำมารีวิวกันในวันนี้คือ Asus ZenBook 13 (UX334FLC) ซึ่งมีการปรับปรุงเพิ่มเติมในส่วนของซีพียู ที่หันมาใช้ Intel Core i7 Gen 10 และ ScreenPad 2.0 ที่ถูกปรับปรุงให้ใช้งานง่ายขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้่า พร้อมกับจุดเด่นเรื่องของพอร์ตครบ น้ำหนักเบา แบตเตอรีใช้งานได้ต่อเนื่องเกือบ 14 ชั่วโมง

ข้อดี

  • โน้ตบุ๊กขนาดหน้าจอ 13 นิ้ว สเปกแรง พกพาสะดวก
  • มี ScreenPad 2.0 ให้ใช้งานเป็นจอที่ 2
  • พอร์ตเชื่อมต่อครบ

ข้อสังเกต

  • เสียงพัดลมค่อนข้างดัง จากที่ใช้ Core i7 เวลาประมวลผลหนักๆ
  • พอร์ตชาร์จไฟยังเป็นอะเดปเตอร์ ไม่ใช่ USB-C

ขนาดเล็ก พกพาง่าย

Asus ZenBook 13 ขึ้นชื่อว่าเป็นโน้ตบุ๊กที่ถูกออกแบบมาให้มีขนาดเล็กที่สุดในโลกเวลานี้ก็ว่าได้ (ไม่นับความหนา) เพราะด้วยการเลือกใช้หน้าจอในสัดส่วน 16:9 เมื่อรวมกับหน้าจอแบบ NanoEdge Display ทำให้มีขนาดตัวเครื่องเล็กกว่ากระดาษ A4 และเล็กลงกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 14%

โดยขนาดของตัวเครื่อง ZenBook 13 จะอยู่ที่ 302 x 189 x 17.9 มิลลิเมตร น้ำหนักอยู่ที่ 1.22 กิโลกรัม เมื่อเทียบขนาดหน้าจอ 13.3 นิ้วกับตัวเรื่อง จะมีสัดส่วนถึง 95% ตัวเครื่องมีให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 2 สี คือน้ำเงิน Royal Blue และ สีเงิน Icicle Silver

สำหรับหน้าจอที่ให้มาจะเป็นจอแบบป้องกันแสงสะท้อน (Anti Glare) ขนาด 13.3 นิ้ว ให้ความละเอียดสูงสุดที่ Full HD (1920 x 1080 พิกเซล) โดยมีมุมมองในการใช้งานถึง 178 องศา และมีกล้องเว็บแคมซ่อนอยู่บริเวณขอบบนของจอภาพ

ถัดลงที่เป็นจุดเด่นอีกอย่างของโน้ตบุ๊กเอซุส ในช่วงหลังๆ คือการนำการออกแบบ Ergolift มาใช้งาน ทำให้เวลากางหน้าจอขึ้นมา จะยกตัวฐานคีย์บอร์ดขึ้นมา 3 องศา เพื่อให้ได้องศาที่เหมาะสมแก่การใช้งาน พร้อมกับช่วยระบายความร้อนตัวเครื่องไปในตัว

ต่อกันที่คีย์บอร์ดของ ZenBook 13 ที่มาในรูปแบบของ Chicklet พร้อมไฟ backlit ทำให้สามารถใช้งานในที่มืดได้ โดยขนาดของปุ่มคีย์บอร์ด 4 แถวหลังจะเป็นขนาดมาตรฐาน ส่วนแถบบนจะมีขนาดที่เล็กลงครึ่งหนึ่ง เพื่อแบ่งที่ให้กับหน้าจอ ScreenPad 2.0

โดยแถบบนนอกจากเป็นปุ่ม Fn แล้วยังถูกใช้เป็นปุ่มควบคุมลัดไม่ว่าจะเป็นการปิดเสียง ปรับเสียง ความสว่างหน้าจอ เปิดใช้งานทัชแพด ไฟคีย์บอร์ด การสลับหน้าจอ ล็อกปุ่ม Windows ปิดการทำงานของกล้อง จับภาพหน้าจอ และเรียก myAsus ขึ้นมาใช้งาน

มาถึงจุดเด่นของ ZenBook 13 รุ่นนี้ ก็คือหน้าจอ ScreenPad 2.0 ที่ปรับให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 5.65 นิ้ว และให้ความละเอียดหน้าจอเป็น 2160 x 1080 พิกเซล ที่ผู้ใช้สามารถเลือกเปิดปิด ได้จากปุ่มลัด f6 บนคีย์บอร์ด ส่วนความพิเศษของ ScreenPad จะกล่าวถึงต่อไปในภายหลัง

นอกเหนือจากเรื่องคีย์บอร์ด และสกรีนแพดแล้ว สิ่งที่โดดเด่นอีกเรื่องของ ZenBook 13 คือการที่ให้พอร์ตเชื่อมต่อมาครบ ไล่จากทางฝั่งซ้ายจะมีช่องเสียบสายชาร์จ พอร์ต HDMI USB3.1 USB-C

ทางฝั่งขวาเป็นช่องอ่านไมโครเอสดีการ์ด USB 2.0 ช่องเสียบหูฟัง และไฟแสดงสถานะการทำงานของเครื่อง ทั้งนี้ในส่วนนี้ก็มีจุดที่น่าเสียดายคือ น่าจะเปลี่ยนช่องเสียบสายชาร์จให้มาเป็นพอร์ต USB-C แทน เช่นเดียวกับ USB 2.0 ที่ควรเปลี่ยนเป็น USB-C เพิ่มให้มาใช้งานกับอุปกรณ์อื่นๆ ตามเทคโนโลยีสมัยใหม่ดีกว่า

สเปก

Asus ZenBook 13 (UX334) เป็นรุ่นที่ได้รับการอัปเกรดซีพียู ขึ้นมาเป็น Intel Core i7 Gen 10 (10510U) โดยมาพร้อมกับชิปกราฟิก NVIDIA MX250 RAM 8 GB พื้นที่เก็บข้อมูล SSD 512 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows 10 พร้อมให้ใช้งานทันที

ส่วนเรื่องการเชื่อมต่อมากับ WiFi 6 (802.11ax) ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตไฟเบอร์ 1 Gbps ที่มีให้บริการในไทยแล้วได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เสริมด้วยบลูทูธ 5.0

ScreenPad 2.0 ที่ฉลาดกว่าเดิม

นับจากเอซุส เริ่มนำเสนอ SreenPad ออกมาเกือบ 2 ปีแล้ว ทำให้ตัวทัชแพดอัจฉริยะนี้มีการพัฒนาเพิ่มขึ้น และตอบโจทย์การใช้งานมากขึ้น โดยเพาะการเพิ่มแอปพลิเคชันที่รองรับการใช้งานถือว่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สำหรับความสามารถหลักๆ ของ ScreenPad 2.0 นั้นต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า ถ้าผู้ใช้งานไม่ต้องการเปิดหน้าจอ ScreenPad ขึ้นมาใช้งานก็สามารถกดปิดการใช้งานหน้าจอเสริมได้

ถัดมาก็คือเลือกใช้งานเป็นจอเสริมจากจอหลัก ก็คือสามารถลากหน้าต่างที่ต้องการเปิดเพื่อใช้ดูข้อมูลลงมาไว้ที่บริเวณ ScreenPad เพื่อใช้งานต่อเนื่องกันไปได้เลย เพียงแต่ว่าด้วยการที่ความละเอียดของ ScreenPad ค่อนข้างสูง ถ้าไม่ได้ตั้งปรับค่าความละเอียดไว้ตัวอักษรอาจจะแสดงผลเล็กมากๆ

รูปแบบสุดท้ายก็คือใช้ความสามารถของ ScreenPad ร่วมกับซอฟต์แวร์ Screen Xpert ที่จะมีแอปพลิเคชันให้เลือกใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการแทนที่ ScreenPad ด้วยปุ่มตัวเลข สร้างปุ่มลัดไว้ใช้งาน เปิดใช้หน้าจอสำหรับการเขียนข้อความ

ตามด้วยการใช้สั่งงานลัดในโปรแกรม Office ใช้ควบคุมการเล่นเพลงบน Spotify จนถึงเข้าไปเลือกดาวน์โหลดแอปเพิ่มเติมจาก App Deal ที่สำคัญคือหน้าจอใช้พลังงานน้อยลงเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้าเยอะมาก จนแทบไม่มีผลกับแบตเตอรีในการใช้งานทั่วๆไป

ทริกเล็กๆ น้อยๆ สำหรับผู้ที่ซื้อ ZenBook 13 มาใช้งานแล้วต้องการสลับใช้งาน ScreenPad กับการเป็นทัชแพดปกติคือ ผู้ใช้สามารถใช้ 3 นิ้วแตะบนหน้าจอเพื่อสลับโหมดใช้งานได้ทันที

หรือถ้าต้องการสลับหน้าจอบนล่าง หรือขยายหน้าจอให้เต็มบน ScreenPad เมื่อนำเมาส์คลิกที่ขอบหน้าต่าง จะมีตัวเลือกขึ้นมาให้สามารถลากหน้าต่างไปไว้ตรงโหมดที่ต้องการได้ทันที

แน่นอนว่าด้วยการที่เป็นแนวคิดใหม่ในการใช้งาน ทำให้อาจเกิดคำถามว่า ScreenPad จะถูกนำไปใช้อะไรได้บ้าง ถ้าให้นึกถึงรูปแบบการใช้งานง่ายๆ ก็คือเมื่อใช้หน้าจอหลักทำงาน เราอาจจะใช้หน้าจอ ScreenPad ในการเปิดข้อมูลเทียบไปด้วย หรือใช้เปิดโปรแกรมสื่อสารเพื่อให้ใช้งานได้ทันที

จุดเด่นอื่นๆ

ไม่ใช่แค่การมี ScreenPad 2.0 และพอร์ตที่ครบจะเป็นจุดเด่นของ ZenBook 13 เพียงอย่างเดียว เพราะยังมีในเรื่องของระบบเสียงที่เลือกใช้ลำโพงจาก harman kardon ทำให้เสียงที่ได้จากเครื่องมีคุณภาพ

หรือแม้แต่เรื่องของแบตเตอรี ที่แม้ว่าจะมีขนาดตัวเครื่องที่เล็กลง แต่แบตเตอรีไม่ได้เล็กตามไปด้วย จากการดีไซน์ตัวเครื่องแบบใหม่ ที่สามารถใส่แบตเตอรีมาได้ถึง 50 Wh ซึ่งสามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง 12-14 ชั่วโมงตามที่เคลมไว้จริงๆ

นอกจากนี้ ด้วยการที่ใส่กล้องเว็บแคมแบบอินฟาเรดมาด้วย ทำให้สามารถนำมาใช้งานคู่กับระบบปลดล็อกตัวเครื่องอย่าง Windows Hello ทำให้เวลาเปิดหน้าจอขึ้นมาใช้งาน เมื่อเจอใบหน้าก็จะปลดล็อกตัวเครื่องใช้งานได้ทันที

สุดท้ายก็คือเรื่องของความทนทานที่ทางเอซุสให้ข้อมูลว่าใช้วัสดุเดียวกับ มาตรฐานทางทหาร ที่ผ่านการทดสอบความทนทานจากการตกหล่น ความดัน ความร้อน ความเย็นต่างๆ มาแล้ว

ทดสอบประสิทธิภาพ

สำหรับการทดสอบประสิทธิภาพของ ZenBook 13 สามารถดูได้จากอัลบั้มภาพด้านล่าง

สรุป

Asus ZenBook 13 ถือว่าเป็นโน้ตบุ๊กที่เหมาะกับวัยทำงานที่ต้องการเครื่องที่พกพาง่าย ประสิทธิภาพสูง รองรับการทำงานได้หลากหลายเป็นหลัก เพราะด้วยขนาดที่เล็กกว่า A4 และแบตเตอรีที่ยาวนานทำให้เหมาะกับการทำงานในออฟฟิศยุคใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ขณะเดียวกันด้วยระดับราคาที่ไม่สูงจนเกินไปเพราะมีสเปกให้เลือกทั้ง Core i5 เริ่มที่ 29,990 บาท และ Core i7 เริ่มที่ 35,990 บาท (รุ่นที่นำมารีวิว) ทำให้สามารถเลือกให้เหมาะกับการใช้งานได้

Gallery

]]>