ใช้งาน – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Fri, 02 Jul 2021 03:12:42 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : Microsoft Surface Laptop 4 คีย์บอร์ดพิมพ์สนุก เพิ่มตัวเลือกซีพียู https://cyberbiz.mgronline.com/review-microsoft-surface-laptop-4/ Wed, 30 Jun 2021 08:06:53 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35468

ไมโครซอฟท์ ยังคงรักษามาตรฐานของการออกผลิตภัณฑ์ต้นแบบที่ปรับแต่งให้เหมาะกับลักษณะการใช้งานระบบปฏิบัติการ Windows 10 ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในกลุ่มของผู้ที่ต้องการใช้งานโน้ตบุ๊กเพื่อทำงาน พกพาไปไหนมาไหนได้ง่าย และที่สำคัญคือประสิทธิภาพในการประมวลผลต้องสูงด้วย

Surface Laptop 4 ถือเป็นโน้ตบุ๊กในฟอร์มเฟคเตอร์ปกติรุ่นล่าสุดของ ไมโครซอฟท์ ที่นำเสนอมาในปีนี้ได้อย่างน่าสนใจ ทั้งการเปลี่ยนแปลงคีย์บอร์ดให้พิมพ์ได้สนุกขึ้น เปิดทางเลือกรุ่นซีพียูให้มีทั้ง Intel และ AMD บนขนาดหน้าจอทั้ง 13.5 นิ้ว และ 15 นิ้ว ให้เลือก

แน่นอนว่า ระบบปฏิบัติการ Windows 10 ที่ติดตั้งมาให้บน Surface Laptop 4 นั้น เพียงพอกับการใช้งานในปัจจุบันแล้ว แต่เมื่อ Windows 11 เปิดให้ผู้ใช้งานทั่วไปใช้งาน Surface Laptop 4 จะรองรับการอัปเกรด และเพิ่มประสบการณ์ใช้งานที่ดีขึ้นให้แก่ผู้ใช้ด้วย

ข้อดี

  • จอ PixelSense 13.5 นิ้ว สัดส่วน 3:2 รองรับการสัมผัส และใช้งานปากกาได้
  • ตัวเครื่องบาง 14.5 มม. น้ำหนัก 1.2 กิโลกรัม
  • คีย์บอร์ดที่มาพร้อมที่รองฝ่ามือหุ้ม Alcantara ช่วยให้พิมพ์ได้สนุกขึ้น
  • แบตเตอรี ใช้งานได้ต่อเนื่องทั้งวัน

ข้อสังเกต

  • อะเดปเตอร์ชาร์จยังเป็นพอร์ตเฉพาะของ Surface เช่นเดิม (แม้จะชาร์จจาก USB-C ได้แล้วก็ตาม
  • พอร์ตเชื่อมต่อไม่ครบ มีเพียง USB-C USB Type-A และ 3.5 มม. เท่านั้น
  • กล้องเว็บแคมความละเอียด 720p

ราคาเริ่มต้น เข้าถึงง่ายขึ้น

หนึ่งในความน่าสนใจของ Surface Laptop 4 คือการเพิ่มทางเลือกซีพียูมาให้ผู้ใช้งานอย่าง AMD Ryzen จากเดิมที่จะมีให้เลือกเฉพาะซีพียูจาก Intel เท่านั้น และนั่นทำให้ราคาเริ่มต้นของ Surface Laptop โน้ตบุ๊กที่ดีที่สุดของไมโครซอฟท์ราคาเข้าถึงได้ง่ายขึ้นด้วย

สำหรับรุ่นเริ่มต้นของ Surface Laptop 4 ขนาดจอ 13.5” มากับชิปเซ็ต AMD Ryzen 5 4680U RAM 8 GB SSD 256 GB ในราคา 35,999 บาท หรือจะเพิ่ม RAM เป็น 16 GB SSD 256 GB จะอยู่ที่ 42,999 บาท

ส่วนชิปเซ็ต 11 Gen Intel Core i5 1145G7 RAM 8 GB SSD 512 GB จะเริ่มต้นที่ 44,999 บาท โดยสามารถปรับสเปกไปได้ถึง Intel Core i7 1185G& RAM 16 GB SSD 512 GB ในราคา 57,999 บาท

จะเห็นได้ว่าจากราคาเริ่มต้นของ Surface Laptop 4 ในช่วง 35,999 บาท แต่ได้โน้ตบุ๊กหน้าจอสัมผัส ที่รองรับการพกพาไปใช้งานได้ทุกที่ถือเป็นตัวเริ่มต้นที่น่าสนใจ แต่ถ้าใครที่ต้องการใช้งานยาวๆ อาจจะต้องมองตัวเลือกเป็นรุ่นที่มี SSD 512 GB แทน เพราะ 256 GB อาจจะไม่เพียงพอกับการเก็บข้อมูลในระยะยาว

ดีไซน์เดิม ปรับปรุงภายในให้ดีขึ้น

Surface Laptop 4 ยังคงลักษณะการออกแบบไม่แตกต่างจาก Surface Laptop 3 จนเรียกว่าเป็นไมเนอร์เชนจ์ของรุ่นก็ว่าได้ เพราะตัวเครื่องจะเน้นที่การอัปเดตสเปกภายในเป็นหลัก โดยขนาดของเครื่องจะอยู่ที่ 308 x 223 x 14.5 มิลลิเมตร น้ำหนัก 1.26 กิโลกรัม

ตัวเครื่องมีให้เลือกด้วยกัน 2 สีคือ สีเงินแพลตตินัม ที่จะมากับวัสดุหุ้ม Alcantara และสีดำด้านที่เป็นโลหะตามปกติ ซึ่งในรุ่นสีดำจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็น 1.28 กิโลกรัม ซึ่งจะให้โทนสี และภาพลักษณ์ในการใช้งานที่แตกต่างกันไป

การออกแบบของ Surface Laptop 4 ยังคงเน้นที่ความเป็นมินิมอลเช่นเดิม โดยมีสัญลักษณ์ของ Windows สะท้อนแสงติดอยู่ตรงกึ่งกลางด้านนอกเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

เมื่อเปิดตัวเครื่องขึ้นมาจะพบกับจอสัมผัส PixelSense ขนาด 13.5 นิ้ว ความละเอียด 2256 x 1504 พิกเซล 201 ppi ในสัดส่วน 3:2 ซึ่งช่วยให้แสดงผลคอนเทนต์สำหรับการท่องเว็บ หรือทำงานเอกสารได้ดีขึ้น แต่จะไม่เหมาะกับการรับชมภาพยนต์เท่าไหร่ เนื่องจากจะเหลือขอบสีดำด้านบนและล่างเพิ่มขึ้นด้วย

ที่น่าเสียดายอีกอย่างก็คือเรื่องของขอบจอที่ Surface Laptop 4 ยังมีขอบจอที่ค่อนข้างหนา เมื่อเทียบกับแบรนด์อื่นๆ ในท้องตลาดอย่างเอซุส เดลล์ หรือเอชพี ที่นำเสนอตัวเครื่องขนาด 14 นิ้ว ในฟอร์มเฟคเตอร์ขนาด 13 นิ้ว ได้อย่างน่าสนใจ

บริเวณขอบบนยังคงเป็นที่อยู่ของกล้องเว็บแคมความละเอียด 720p ซึ่งถือว่าน้อยไปหน่อยสำหรับยุคปัจจุบันที่การใช้งานวิดีโอคอลล์มีความจำเป็นมากยิ่งขึ้น ที่ดีก็คือยังมาพร้อมกับเซ็นเซอร์ IR ที่ทำงานร่วมกับ Windows Hello ในการปลดล็อกด้วยใบหน้าได้อยู่

จุดเด่นที่สำคัญที่สุดของ Surface Laptop 4 เท่าที่ทดสอบใช้งานมาคือ ความนิ่มของคีย์บอร์ด ทั้งในแง่ของแป้นคีย์บอร์ดที่รับสัมผัส ทำให้พิมพ์ได้สนุก มีปุ่มลัดสำหรับการสั่งงานต่างๆ ครบถ้วน จะมีจุดที่น่าเสียดายคือย้ายปุ่มลัดอย่าง Home End PageUp PageDown ไปไว้บริเวณแถบบนแทน ทำให้เวลาใช้งานอาจจะต้องปรับตัวเล็กน้อย

ส่วนปุ่มเปิดเครื่องก็ถูกขยับเข้ามาไม่ได้อยู่ที่มุมขวาบน แต่เป็นที่อยู่ของปุ่ม Delete แทน ช่วยให้เวลากดใช้งานทำได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องกังวลว่าจะไปสัมผัสโดนปุ่มปิดเครื่องแทน แทร็กแพดของ Surface Laptop 4 ที่ให้มาใหญ่สะใจ รองรับการใช้งานได้ลื่นไหล

อีกจุดที่นุ่มก็คือการที่ Surface Laptop 4 มีการหุ้มหนังสังเคราะห์อย่าง Alcantara มาให้บริเวณตัวเครื่องด้านใน ทำให้สัมผัสของข้อมือระหว่างการพิมพ์นุ่มสบายกว่าโน้ตบุ๊กที่ใช้โลหะ หรือพลาสติกอื่นๆ แต่ก็แลกมากับการดูแลรักษาที่เพิ่มขึ้น โดยทางไมโครซอฟท์ แนะนำให้สามารถนำผ้าชุบสบู่เหลวอ่อนๆ มาถูกทำความสะอาดได้

ในส่วนของพอร์ตเชื่อมต่อ Surface Laptop 4 ถือว่าให้มาค่อนข้างจำกัด โดยทางฝั่งซ้ายจะมีเพียงช่องเสียบ USB Type A และ USB-C พร้อมกับช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. เท่านั้น ไม่รองรับการเชื่อมต่อ Thunderbolt ด้วย

ส่วนทางขวามีพอร์ต Surface Connect ไว้เสียบชาร์จตัวเครื่อง โดยที่บริเวณอะเดปเตอร์จะมีพอร์ต USB Type A เพิ่มมาให้ใช้งานอีก 1 ช่อง ความจุของแบตเตอรีจะอยู่ที่ 47.4 Whr ที่ไมโครซอฟท์ระบุว่าใช้งานได้ต่อเนื่อง 17-19 ชั่วโมง

สเปก และทดสอบประสิทธิภาพ

ในส่วนของสเปก Surface Laptop ที่ได้รับมาทดสอบจะเป็นรุ่น 11 Gen Intel Core i5 RAM 8 GB SSD 256 GB มาพร้อมกราฟิก Intel IrisXe ส่วนถ้าเป็นรุ่น AMD Ryzen ก็จะมาพร้อมกับ AMD Radeon แบบออนบอร์ดให้ใช้งาน

โดยเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ AMD Ryzen สามารถใช้งานบนแบตเตอรีได้ยาวนานกว่ารุ่นของ Intel คือการที่ปัจจุบัน AMD พัฒนาชิปเซ็ตบนสถาปัตยกรรมแบบ 7 นาโนเมตร ที่ประหยัดพลังงานมากกว่า ในขณะที่ Intel ยังอยู่บนสถาปัตยกรรมแบบ 10 นาโนเมตร

สำหรับการใช้งาน Surface Laptop 4 ต้องยอมรับว่า ถือเป็นแล็ปท็อปเพื่อการทำงาน และความบันเทิงที่ตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการใช้งานทั่วๆ ไป ทำงานเอกสาร ทำรูปภาพบ้าง แต่จะไม่หนักไปจนถึงการตัดต่อวิดีโอ หรือเล่นเกมความละเอียดสูงๆ เนื่องจากไม่มีการ์ดจอแยกมาช่วยประมวลผล

ส่วนในแง่ของความบันเทิง เรียกได้ว่าให้มาครบถ้วนจากหน้าจอขนาดใหญ่ 13.5 นิ้ว ที่ให้ความละเอียดสูง สีสันสมจริง แบตเตอรีที่ใช้งานต่อเนื่องได้ยาวนาน ทีมงานลองใช้งานทั่วๆ ไปอยู่ที่ราว 11 ชั่วโมง แต่ถ้าใช้งานหนักๆ อย่างเล่นเกม จะเหลือประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง

สรุป

Microsoft Surface Laptop 4 ยังคงรักษาการเป็นโน้ตบุ๊กที่ดีที่สุดของไมโครซอฟท์ได้อย่างน่าสนใจ และนำเสนอเทคโนโลยีต่างๆ ของ Windows 10 ได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยของ Windows Hello ควบคู่กับชิปความปลอดภัย TPM2.0 ที่มาช่วยเข้ารหัสข้อมูล

ทำให้ Surface Laptop 4 เหมาะที่จะเป็นทั้งโน้ตบุ๊กสำหรับคอนซูเมอร์ และใช้งานในองค์กรธุรกิจ จะติดก็เรื่องของพอร์ตเชื่อมต่อที่ให้มาค่อนข้างจำกัด อาจจะต้องพกอะเดปเตอร์เพิ่มเติมในการใช้งาน

ที่น่าสนใจคือ Surface Laptop 4 รองรับการอัปเกรดเป็น Windows 11 ใช้งานในอนาคตอย่างแน่นอนอยู่แล้ว เมื่อมีการปรับเปลี่ยนดีไซน์ของ Windows ใหม่ให้ใช้งานสัมผัสจากหน้าจอได้สะดวกขึ้น Surface Laptop 4 จะเพิ่มความน่าใช้งานเข้าไปอีก

Gallery

]]>
Review : Apple iPad Pro 12.9” M1 เร็วแรง จอสวย ครบเครื่อง https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-ipad-pro-m1/ Mon, 28 Jun 2021 06:14:44 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35440

การนำชิปเซ็ต Apple M1 มาใช้งานบน iPad Pro ทั้ง 11” และ 12.9” ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการเปิดตัว iPad Pro รุ่นของปี 2021 ที่อัปเกรดในเรื่องประสิทธิภาพการประมวลผลภายในชิปเซ็ต ช่วยให้ตัวเครื่องทำงานได้อย่างลื่นไหล

Apple iPad 12.9” ยังมากับหน้าจอแบบใหม่ Liquid Retina XDR ที่รองรับช่วงสีที่กว้างขึ้น และกลายเป็น iPad รุ่นที่จอสวยสุดในเวลานี้ โดยยังคงความสามารถของทั้ง ProMotion True Tone P3 Colour และลดแสงสะท้อนจากหน้าจอด้วย

ทำให้ iPad Pro 12.9” เป็นแท็บเล็ตที่แรง จอสวย รองรับการใช้งานที่หลากหลายทั้ง ใช้งานคู่กับ Apple Pencil 2nd Gen เพื่อสร้างสรรค์ผลงานวาดเขียน จดบันทึก หรือใช้งานควบคู่กับ Magic Keyboard ทำให้มี Productivity ในการทำงานได้มากขึ้น ร่วมกับ iPadOS

ข้อดี

  • iPad ประสิทธิภาพสูง รองรับการใช้งานหลากหลาย
  • จอ Liquid Retina XDR 12.9”
  • ตัวเครื่องรองรับ 5G
  • มีพื้นที่เก็บข้อมูลให้เลือกสูงถึง 2TB

ข้อสังเกต

  • ราคาค่อนข้างสูง
  • ถ้าต้องการใช้งานให้ครบทุกความสามารถต้องซื้ออุปกรณ์เสริมอย่าง Pencil และ Keyboard เพิ่ม
  • Magic Keyboard สีขาวเปื้อนง่ายมาก

Apple M1 เพิ่มประสิทธิภาพ iPad Pro

การเปลี่ยนชิปเซ็ตประมวลผลจาก Apple A12Z Bionic มาใช้งาน Apple M1 ที่มีการผสมผสานทั้งหน่วยประมวลผล กราฟิก ชิปประมวลผลทางด้าน AI อย่าง Apple Neural Engine เข้าไป ทำให้ iPad Pro รองรับการใช้งานได้ครบถ้วนมากขึ้น

ตั้งแต่การใช้งานเพื่อความบันเทิงแบบจัดเต็ม หรือการประมวลผลหนักๆ อย่างการอ่านข้อมูลขนาดใหญ่ ปรับแต่งภาพความละเอียดสูง จนถึงการตัดต่อวิดีโอระดับ 4K ได้อย่างลื่นไหล ทำให้กลายเป็นอุปกรณ์พกพาที่ทรงพลัง

ข้อมูลจากแอปเปิลระบุว่า Appe M1 ที่เป็น CPU 8 Core GPU 8 Core และ Apple Neural Engine 16 Core แรงกว่าซีพียูรุ่นก่อนหน้าถึง 50% และการประมวลผลภาพเร็วขึ้นถึง 40% ส่งผลให้ iPad Pro แรงกว่าโน้ตบุ๊กเกือบทุกรุ่นในตลาดตอนนี้

โดยการประมวลผลที่เร็วขึ้นของ Apple M1 ช่วยให้ผู้ที่ใช้งานทางครีเอทีฟทำงานบน iPad ด้วยระยะเวลาที่น้อยลง ทั้งการใช้งาน Adobe Photoshop Affinity Photo หรือตัดต่อวิดีโอด้วย LumaFusion

ขณะเดียวกัน ถ้าเป็นนักพัฒนาที่กำลังศึกษาเกี่ยวกับ AR VR การที่ M1 มี Neural Engine จะช่วยให้การประมวลผลทางด้านแมชชีนเลิร์นนิ่งต่างๆ ทำได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อรวมกับกล้องที่รองรับ LiDAR ทำให้ iPad Pro รองรับการใช้งาน XR ได้เป็นอย่างดี

จอสวยงาม คมชัด

อีกจุดเด่นที่ปรับปรุงขึ้นของ iPad Pro 12.9 นิ้ว คือหน้าจอที่เลือกใช้แหล่งกำเนิดแสงแบบ mini-LED มาใช้งาน ใน Liquid Retina XDR ความละเอียด 2732 x 2048 พิกเซลนี้ ช่วยให้การแสดงผลของ iPad Pro มี Extreme Dynamic Range ที่สูงขึ้น และยังรองรับ ProMotion ที่ปรับอัตราการแสดงผลระหว่าง 24Hz – 120Hz แบบอัตโนมัติ

นอกจากนี้ เพื่อให้รองรับการใช้งานในสถานที่ต่างๆ รวมถึงในที่แสงจัด ทำให้ iPad Pro 12.9 เพิ่มความสว่างหน้าจอขึ้นมาอยู่ที่ 1000 nits และเร่งได้สูงสุดถึง 1600 nits ซึ่งรองรับการแสดงผลแบบ HDR ทำให้ภาพนิ่ง และวิดีโอที่ได้ชัดเจน และสวยงาม

การเลือกใช้ mini-LCD ยังช่วยให้ทำ Contrast Ratio ได้สูงถึง 1,000,000 : 1 จากจุดกำแนิดแสงที่ละเอียดขึ้นถึง 2596 จุด โดยเมื่อใช้งานกับคอนเทนต์ที่รองรับ Dolby Vision HDR10+ จะสามารถรีดประสิทธิภาพของจอ Liquid Retina XDR ออกมาได้

อย่างไรก็ตาม iPad Pro รุ่นหน้าจอ 11 นิ้ว จะยังใช้จอ Liquid Retina เช่นเดิม ไม่ได้ถูกอัปเกรดมาเป็น Liquid Retina XDR ดังนั้น ถ้าใครใช้งาน iPad Pro 11” อยู่แล้วอยากเปลี่ยนมาใช้รุ่นปี 2021 ก็อาจจะไม่จำเป็นนัก แต่ถ้าข้ามมารุ่นจอใหญ่ 12.9” ก็จะมีความแตกต่างมากขึ้น

มาพร้อม 5G – Thunderbolt 3 – USB 4

การเชื่อมต่อที่ครบจากรุ่น Cellular ที่รองรับทั้ง WiFi 6 และ 5G ทำให้ iPad Pro มีความสมบูรณ์ในการใช้งานมากขึ้น เพราะสามารถรับส่งไฟล์ความละเอียดสูงได้อย่างรวดเร็ว แม้ทำงานอยู่นอกสถานที่ ช่วยปลดล็อกข้อจำกัดหลายๆ อย่างที่ 4G ทำไม่ได้ โดยเฉพาะเวลาที่ต้องดาวน์โหลดไฟล์งานขนาดใหญ่มาใช้

ส่วนผู้ที่มีอุปกรณ์เสริม USB-C อยู่แล้ว ก็สามารถเชื่อมต่อเพื่อโอนถ่ายข้อมูลที่ความเร็วสูงขึ้นถึง 40 Gbps เมื่อใช้งานร่วมกับ Thunderbolt 3 และ USB 4 นอกจากนี้ ยังสามารถใช้เชื่อมต่อกับจอความละเอียดสูงระดับ pro Display XDR ที่ความละเอียด 6K ได้ด้วย

หรือในกรณีที่ต้องการเชื่อมต่อ 10 Gigabit พอร์ต Thunderbolt ที่ให้มาก็รองรับ จึงทำให้ iPad Pro รุ่นปี 2021 มีการเชื่อมต่อที่ครบถ้วนมาก และพื้นที่เก็บข้อมูลภายในยังมีให้เลือกสูงสุดถึง 2TB ด้วย

ดีไซน์เดิมที่คุ้นเคย

ในแง่ของดีไซน์ตัวเครื่อง iPad Pro 12.9 นั้นมีความเปลี่ยนแปลงน้อยมากๆ คือตัวเครื่องหนาขึ้นเล็กน้อย เป็น 280.6 x 214.9 x 6.4 มิลลิเมตร จากรุ่นก่อนหน้าที่ 5.9 มิลลิเมตร ซึ่งความหนา 6.4 มิลลิเมตร ก็ยังถือว่าเป็นแท็บเล็ตที่บางมากๆ อยู่ดี

บริเวณขอบหน้าจอด้านบน (แนวตั้ง) หรือด้านซ้าย (แนวนอน) จะเป็นที่อยู่ของกล้อง TrueDepth 12 ล้านพิกเซล f/2.4 ที่รองรับการปลดล็อกด้วย FaceID สามารถบันทึกวิดีโอที่ความละเอียด 1080p 60fps

รอบตัวเครื่องทางด้านบน (แนวนอน) จะมีปุ่มปรับระดับเสียง แถบแม่เหล็กไว้เชื่อมต่อกับ Apple Pencil 2nd Gen และช่องใส่ซิมการ์ดแบบนาโนซิม ทางขวา จะมีพอร์ต USB-C ทางซ้ายมีปุ่มเปิดเครื่อง

ที่เพิ่มขึ้นมาคือลำโพง 4 จุด ช่วยให้คุณภาพเสียงสเตอริโอของ iPad Pro พัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เช่นเดียวกับไมโครโฟนรับเสียงที่เพิ่มขึ้นเป็น 5 จุด ทำให้ได้เสียงในระดับสตูดิโอเวลาใช้งาน FaceTime หรือ VDO Call

โดยความน่าสนใจของ iPad Pro รุ่นปี 2021 นี้ คือการพัฒนากล้อง TrueDepth ให้มีความสามารถอย่าง Center Stage เพื่อรับกับพฤติกรรมการใช้งานวิดีโอคอลล์ที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19

Center Stage จะนำ AI มาช่วยในการจับภาพ และทำให้ใบหน้าอยู่บริเวณกึ่งกลางของกล้องตลอดเวลา ช่วยให้เวลาใช้งานสามารถขยับ เคลื่อนไหวไปรอบๆ ได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะหลุดออกจากเฟรมเกินไป

ส่วนกล้องหลังยังมาพร้อมกับกล้องเลนส์หลัก 12 ล้านพิกเซล และเลนส์มุมกว้าง 10 ล้านพิกเซล พร้อม LiDAR Scanner ในการตรวจจับวัตถุ และระยะต่างๆ เช่นเดิม ซึ่งช่วยให้สามารถจับโฟกัสในที่แสงน้อยได้ด้วย

ราคาจำหน่าย

Apple iPad Pro 12.9 ที่มาพร้อมชิป Apple M1 วางจำหน่ายในรุ่น RAM 8 GB พื้นที่เก็บข้อมูลให้เลือกตั้งแต่ 128 GB 256 GB และ 512 GB ส่วนพื้นที่เก็บข้อมูล 1 TB และ 2 TB จะมากับ RAM 16 GB

iPad Pro 12.9 นิ้ว ราคา 37,900 บาท – 76,400 บาท ถ้าต้องการรุ่น Cellular ก็เพิ่มเงินอีก 5,000 บาท ในทุกช่วงราคา ส่วน iPad Pro 11 นิ้ว ราคาเริ่มต้น 27,900 บาท – 66,400 บาท

ส่วนราคา Apple Pencil 2nd Gen อยู่ที่ 4,490 บาท Magic Keyboard (3rd Gen) สำหรับรุ่น 11” อยู่ที่ 9,990 บาท ส่วนรุ่น 12.9” อยู่ที่ 11,690 บาท นอกจากนี้ยังมี Smart Keyboard Folio เริ่มต้นที่ 5,990 บาท – 6,590 บาท

สรุป

iPad Pro 12.9 ที่มากับชิปเซ็ต M1 ถือเป็นแท็บเล็ตประสิทธิภาพสูงที่รองรับการใช้งานได้หลากหลายมาก ขึ้นอยู่กับการนำไปใช้งาน ซึ่งถ้าเป็นกลุ่มผู้ใช้ที่เป็นมืออาชีพ ครีเอเตอร์ ช่างภาพ ตัดต่อวิดีโอ นักพัฒนาต่างๆ iPad Pro รุ่นใหม่นี้ตอบโจทย์แน่นอน

แต่ถ้าไม่ได้มองหาการประมวลผลระดับสูง และขนาดหน้าจอ 11 นิ้ว เพียงพอกับการใช้งาน ตัวเลือกอย่าง iPad Air ที่เพิ่งปรับโฉมมาลักษณะเดียวกับ iPad Pro ก็เพียงพอกับการใช้งานทั่วไปอยู่แล้ว ดังนั้นคงต้องดูว่า iPad Pro รุ่นนี้คุ้มค่ากับการใช้งานหรือไม่

]]>
Review : Apple AirTag ทำงานอย่างไร ช่วยให้หาของหายง่ายขึ้นจริงไหม? https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-airtag/ Fri, 04 Jun 2021 07:09:20 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35311

เมื่อต้องให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ ทำให้ แอปเปิล (Apple) ต้องใช้ระยะเวลาในการพัฒนา AirTag ให้ปลอดภัยกับทั้งผู้ใช้ และผู้บริโภคทุกคนมากที่สุด เพราะเมื่อเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ติดตามสิ่งของหายได้ ก็ใช้ในการติดตามหรือสะกดรอยผู้คนได้เช่นเดียวกัน

แนวคิดในการพัฒนา AirTag ของ Apple นั้นถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการระบุตำแหน่งสิ่งของสำคัญๆ ได้ง่ายขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีอ Ultra-wideband (UWB) เพื่อช่วยระบุพิกัดสิ่งของเหล่านั้น และเมื่ออยู่ใกล้วัตถุภายในระยะ 10 เมตร บลูทูธ ก็จะเข้ามาทำหน้าที่ในการระบุตำแหน่งที่ชัดเจนอีกทีหนึ่ง

Apple AirTag เริ่มวางจำหน่ายในประเทศไทยแล้ววันนี้ ในราคาชิ้นละ 990 บาท และมีขายเป็นแพ็ก 4 ชิ้น ในราคา 3,390 บาท พร้อมกับอุปกรณ์เสริมอย่างพวงกุญแจหนัง (1,390 บาท) ห่วงคล้องแบบหนัง (1,590 บาท) และห่วงคล้องโพลียูรีเทน (1,190 บาท)

ข้อดี

  • ช่วยหาสิ่งของที่ลืมไว้ง่ายขึ้น
  • เข้ารหัสข้อมูล โดยคำนึงถึงความเป็นส่วนตัว
  • กันน้ำ กันฝุ่น IP67
  • แบตเตอรีใช้งานได้ราว 1 ปี (เปลี่ยนเองได้)

ข้อสังเกต

  • ใช้งานได้เฉพาะอุปกรณ์ iOS 14.5 ขึ้นไป
  • ต้องซื้อพวงกุญแจสายห้อยเพิ่ม
  • กรณีที่ทำหล่นหาย หากถูกถอดแบตเตอรีจะไม่สามารถติดตามได้
  • การแจ้งเตือนผู้ใช้รายอื่นที่ถูก AirTag ติดตามต้องใช้ระยะเวลา

เบื้องหลังคือชิป U1 ที่มี Ultra-wideband

ก่อนหน้านี้ แอปเปิล ได้มีการนำฟีเจอร์อย่างค้นหาของฉันหรือ Find My มาใช้ในการติดตามผลิตภัณฑ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น iPhone iPad Mac Apple Watch และ AirPods กันอยู่แล้ว ด้วยการที่ให้อุปกรณ์เหล่านั้นส่งพิกัดที่อยู่ผ่านอินเทอร์เน็ต เพื่อให้ทราบตำแหน่งคร่าวๆ บนแผนที่

ก่อนเริ่มประยุกต์ใช้เครือข่ายของ iPhone ที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เป็นตัวช่วยในการตามหาอุปกรณ์ที่ Offline อย่าง MacBook ที่ไม่ได้เชื่อมต่อ WiFi หรือ iPad รุ่นที่ไม่ได้ใส่ซิมการ์ด ด้วยการให้อุปกรณ์เหล่านี้ส่งสัญญาณไปยัง iPhone เพื่อระบุตำแหน่งให้เจ้าของทราบได้

ทำให้ปัจจุบัน Find My ได้กลายเป็นเครือข่ายสำหรับติดตามสิ่งของต่างๆ ที่ใหญ่ และครอบคลุมมากที่สุดในโลก จากอุปกรณ์ของ Apple ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตระดับพันล้านเครื่องทั่วโลก ที่สำคัญคือการส่งข้อมูลทั้งหมดนี้จะไม่มีการะบุตัวตน เพื่อป้องกันความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้

ต่อจากนั้น แอปเปิลจึงเริ่มพัฒนาชิป U1 ที่นำเทคโนโลยี UWB มาใช้ในการ ระบุตำแหน่งที่ตั้งจริง (Precision Finding) สำหรับ iPhone 11 และ iPhone 12 ที่ช่วยระบุทิศทางที่แม่นยำในการตามหา AirTag เมื่ออยู่ในระยะใกล้เคียง จึงทำให้ AirTag สามารถค้นหาสิ่งของที่หายไปได้

แกะกล่องใช้งาน

เมื่อทราบถึงหลักการทำงานของ AirTag แล้วก็ถึงเวลาใช้งาน เมื่อแกะ AirTag ออกจากกล่องสิ่งแรกที่ต้องทำคือแกะพลาสติกที่หุ้มรอบตัวเครือง เพื่อดึงให้ขั้วแบตเตอรีสัมผัสกัน เพื่อเปิดการใช้งานก่อน

ขนาดของ AirTag จะมีเส้นผ่านศูนย์กลางขนาด 31.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 11 กรัม โดยมีความสามารถป้องกันน้ำ และฝุ่นระดับ IP67 (ลึก 1 เมตร ไม่เกิน 30 นาที) รองรับการเชื่อมต่อทั้ง บลูทูธ UWB และ NFC

ภายในของ AirTag จะใช้ถ่านกระดุมขนาดมาตรฐาน CR2032 ที่ใช้งานได้ราว 1 ปี เมื่อสัญญาณอ่อน หรือแบตเตอรีใกล้หมดผู้ใช้สามารถหาซื้อมาเปลี่ยนเองได้ทันที โดยจะมีสถานะแบตเตอรีแจ้งอยู่ในแอป Find My

หลังจากนั้นนำ AirTag ไปไว้ใกล้เคียงกับ iPhone ที่ต้องการเชื่อมต่อ จะเด้งหน้าจอขึ้นมาให้ทำการเชื่อมต่อได้ทันที คล้ายกับการเชื่อมต่อ AirPods ที่คุ้นเคยกัน หลังจากนั้นจะมีให้เลือกว่าต้องการทำ AirTag นี้ไปติดกับสิ่งของใด คล้ายๆ กับการระบุชื่อของสิ่งของให้เข้ามาเลือกดูได้สะดวกขึ้น ในจุดนี้ผู้ใช้สามารถเลือกปรับตั้งชื่อ พร้อมใส่ Emoji เพิ่มเติมได้ด้วย

เมื่อทำการเชื่อมต่อเสร็จแล้ว ก็จะสามารถใช้ในการค้นหาตำแหน่งได้ทันที โดยเมื่ออยู่ในระยะใกล้ประมาณ 10 เมตร จะใช้การค้นหาจากสัญญาณบลูทูธ ร่วมกับ UWB ในการระบุตำแหน่งที่แม่นยำ หรือจะกดให้ส่งเสียงจากตัว AirTag เพื่อช่วยระบุตำแหน่งเพิ่มเติมได้ด้วย

สำหรับการค้นหา AirTag เมื่อตามพิกัดบนแผนที่เข้ามาอยู่ในระยะที่เชื่อมต่อโดยตรงได้แล้ว ที่หน้าจอ iPhone จะมีการชี้บอกทิศทาง และระยะห่างให้ค้นหาได้ง่ายขึ้น ยิ่งเข้าใกล้ AirTag มากเท่าไหร่ ก็จะมีการสั่นช่วยบอกด้วย

กรณีที่ทำหายหล่นอยู่นอกสถานที่ ก็สามารถเข้าไปตั้งโหมดสูญหาย (Lost Mode) เพื่อระบุช่องทางติดตามอย่างเบอร์โทรศัพท์ หรืออีเมล ให้ผู้ที่เก็บได้ใช้ติดต่อกลับมา ในจุดนี้ผู้ที่เก็บ AirTag จะสามารถเห็นข้อมูลดังกล่าวได้ต่อเมื่อนำ AirTag ไปแปะบริเวณจุดรับสัญญาณ NFC ที่ตัวเครื่อง ซึ่งทำงานทั้งบน iOS และ Android

ในระหว่างที่เข้าสู่โหมดสูญหาย เจ้าของ AirTag ยังสามารถติดตามตำแหน่งของอุปกรณ์ หรือสิ่งของนี้ได้ และจะได้รับการแจ้งเตือนเมื่อมีคนค้นหาเจอ ซึ่งถ้าคนอื่นเก็บได้แล้วนำมาสแกน ก็จะปรากฏลิงก์ให้เข้าสู่เว็บไซต์ แสดงรายละเอียดเฉพาะการติดต่อ และเลขซีเรียลเท่านั้น ไม่ได้ระบุถึงรายละเอียดส่วนตัวอื่นๆ แต่อย่างใด

การนำไปใช้งาน

Apple ออกแบบให้ผู้ใช้สามารถนำ AirTag ไปห้อยไว้กับอุปกรณ์อื่นๆ ที่ทำหายบ่อยๆ หรือชอบลืมทิ้งไว้แล้วหาไม่เจอ ไม่ว่าจะเป็น AirPods หูฟังอื่นๆ กระเป๋าสตางค์ หรือแม้แต่กระเป๋าถือ เมื่อนำไปห้อยไว้ ก็จะสามารถใช้ AirTag ในการตามหาได้ทันที

ระบบป้องกันการถูกติดตาม

ในแง่ของความเป็นส่วนตัว เมื่อ AirTag สามารถใช้ในการระบุพิกัดได้ ทำให้อาจะถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่ดีในการสะกดรอยได้ ในจุดนี้แอปเปิล ได้คิดค้นวิธีการป้องกันที่จะคอยแจ้งเตือน เมื่อตรวจพบว่า AirTag เดินทางไปในสถานที่ต่างๆ โดยไม่ได้อยู่กับเจ้าของ

เมื่อได้รับการแจ้งเตือน AirTag ที่ไม่ได้อยู่กับเจ้าของ จะแจ้งข้อมูลให้ผู้ใช้งานได้ทราบว่า AirTag เครื่องนี้ติดตามตั้งแต่สถานที่ใดบ้าง และมีปุ่มให้กดเล่นเสียงเพื่อค้นหา AirTag ดังกล่าว เพื่อทำการปิดกั้นไม่ให้ติดตามได้ หรือในกรณีที่อยู่ห่างไกลจากเจ้าของนานเกินช่วงเวลา 8 – 24 ชั่วโมง แอปเปิล ได้ตั้งให้ AirTag ส่งเสียงเพื่อแจ้งเตือนไว้ด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ ผู้ใช้ iPhone สามารถเข้าไปแอป Find My แล้วกดเข้าไปใน ระบุสิ่งของที่พบ (Identify Found Item) เมื่อตรวจพบจะขึ้นรายละเอียดของ AirTag ให้เห็นอย่าง Serial Number และเลขหมายโทรศัพท์ 2 หลักหลัง พร้อมคำแนะนำในกรณีที่ไม่ใช่เจ้าของ และเป็น AirTag ต้องสงสัย

โดยถ้ามีการสะกดรอยตามจริงๆ ก็สามารถนำข้อมูล Serial Number ไปดำเนินคดีตามกฏหมายได้ เพราะเมื่อมีการฟ้องร้องทาง Apple สามารถให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับเจ้าของ AirTag ที่ลงทะเบียนไว้ได้อย่าง ชื่อ และอีเมล เพื่อช่วยในการดำเนินคดี

เบื้องต้นทาง Apple จะแนะนำวิธีป้องกันไม่ให้อุปกรณ์นี้สามารถติดตามคุณได้ด้วยการถอดแบตเตอรีออกได้ทันที AirTag นั้นจะไม่สามารถระบุตำแหน่งได้อีกต่อไป จนกว่าจะใส่แบตเตอรีกลับเข้ามา

อุปกรณ์เสริม

เนื่องจาก Apple วางจำหน่าย AirTag เป็นชิ้นๆ ไม่ได้มีสายคล้อง หรือสายห้อยมาให้ด้วย ทำให้เปิดโอกาสให้ผู้ผลิตอุปกรณ์เสริมแบรนด์อื่นๆ สามารถผลิตพวงกุญแจต่างๆ มาจำหน่ายเพิ่มเติมได้

โดยปัจจุบัน Apple มีห่วงคล้องสำหรับ AirTag ที่เป็นแบบพื้นฐานให้เลือก 2 แบบ และพวงกุญแจอีก 1 แบบ ไม่นับรวมกับสายคล้อง Hermes ที่มีตัวเลือกเพิ่มเติม เพื่อนำไปคล้องกับอุปกรณ์ต่างๆ

เริ่มกันที่ Leather Loop ที่เป็นห่วงคล้องหนัง มีให้เลือก 2 สีคือ แดง และน้ำตาล ถัดมาคือ Loop ที่เป็นยางโพลียูรีเทนมีให้เลือก 4 สี คือ ส้ม เหลือง กรมท่า และขาว ส่วนพวงกุญแจหนัง (Leather Key Ring) มีให้เลือก 3 สี น้ำเงิน น้ำตาล และแดง

นอกจากนี้ ในตลาดยังมี Belkin ที่เปิดตัว Belkin Secure Holder for AirTag มีให้เลือก 2 รูปแบบคือ พวงกุญแจ และสายรัด มีให้เลือก 4 สี คือ สีดำ สีขาว สีชมพู และสีฟ้า วางจำหน่ายแล้วในราคา 490 บาท

ทำให้ในการเลือกซื้อ AirTag นอกจากตัวอุปกรณ์แล้ว ยังต้องเสียเงินซื้ออุปกรณ์เสริมเพื่อนำมาใส่ AirTag ให้นำไปติดกับสิ่งของต่างๆ ได้สะดวกขึ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็น ติดกับกุญแจรถ กุญแจบ้าน กระเป๋า จักรยาน กล้อง หูฟัง เสื้อคลุม ร่ม หรือแม้แต่กระเป๋าตังก็ตาม

สรุป

AirTag จะกลายเป็นอีกอุปกรณ์เสริมที่ผู้ใช้งาน iPhone ต้องมีติดตัวไว้ สำหรับการค้นหาสิ่งของอย่างแน่นอน เพราะสามารถใช้ในการติดตามหาของได้จริง แม้ว่าจะทำตกไว้ระหว่างทาง หรือตามสถานที่ต่างๆ

ที่สำคัญคือ Apple ออกแบบให้ป้องกันการขโมยไว้อย่างน่าสนใจ โดยผู้ที่ได้ AirTag ไป จะไม่สามารถเชื่อมต่อใช้งานได้ จนกว่าเจ้าของจะยกเลิกการเชื่อมต่อ ดังนั้นถึงขโมยไปได้ ก็จะได้แค่ถ่าน CR2032 ไปใช้งานเท่านั้น ส่วน AirTag ก็ไม่ต่างจากของชิ้นหนึ่งที่ไม่สามารถใช้งานได้

อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรก AirTag ยังไม่มีวิธีป้องกันไม่ให้คนติดตามได้ในระยะเวลาอันสั้น รวมถึงถ้าไม่ได้ใช้งาน iOS 14.5 ขึ้นไป ก็จะไม่ได้รับการแจ้งเตือนว่ามี AirTag คอยสะกดรอยตามอยู่ เพราะระบบแจ้งเตือนที่คิดค้นมาไม่ได้ทำมาเผื่อให้ Android จึงต้องใช้การฟังเสียงเตือน (ที่ค่อนข้างเบา) จาก AirTag เวลาอยู่ห่างจากเจ้าของนานๆ แทน

]]>
Review : Huawei FreeBuds 4i หูฟัง ANC คุณภาพดี ราคาเข้าถึงได้ https://cyberbiz.mgronline.com/review-huawei-freebuds-4i/ Fri, 26 Mar 2021 04:34:17 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35011

การที่ หัวเว่ย (Huawei) หันมาโฟกัสกับธุรกิจ IoT โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เป็นอุปกรณ์สวมใส่ (Wearable) มากยิ่งขึ้น จุดประสงค์หลักเพื่อมาอุดช่องว่างของรายได้ที่หายไปจากการที่ไม่สามารถทำตลาดสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ได้เหมือนในช่วงก่อนหน้านี้

เมื่อเป็นเช่นนั้น ทำให้ หัวเว่ย ยิ่งต้องพัฒนา และนำสินค้าที่มีคุณภาพเข้ามาเจาะกลุ่มผู้ใช้งานสมาร์ทโฟน ซึ่งไม่ใช่แค่ Android แต่รวมถึงผู้ใช้งาน iOS ที่กำลังมองหาหูฟังไร้สาย ราคาเข้าถึงได้ พร้อมประสิทธิภาพในการตัดเสียงรบกวน

Huawei FreeBuds 4i ถือเป็นรุ่นที่ต่อยอดจากปีก่อนหน้า ด้วยการปรับดีไซน์ให้เหมาะกับการใช้งานมากขึ้น เพิ่มคุณภาพเสียง และการตัดเสียงรบกวน รองรับการใช้งานในชีวิตประจำวันด้วย Awareness Mode รับเสียงรอบข้างขณะใส่ใช้งาน ในราคา 2,799 บาท

ข้อดี

  • หูฟังไร้สาย ตัดเสียงรบกวนคุณภาพดี
  • ดูสถานะ และปรับโหมดใช้งานผ่านแอป AI Life ได้
  • ราคา 2,799 บาท

ข้อสังเกต

  • กันน้ำ IPX4 แต่ไม่แนะนำให้โดนน้ำ
  • ตัวหูฟังขนาดค่อนข้างใหญ่ อาจไม่เหมาะกับคนที่หูเล็ก

ปรับดีไซน์ให้สวยงามขึ้น

หนึ่งในจุดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดเจนตั้งแต่แกะกล่องออกมาคือเคสของ FreeBuds 4i ที่ได้แรงบันดาลใจจากหินบนหาดทราย จนทำให้ออกมาเป็นเคสลักษณะกลม ช่วยให้หยิบจับ พกพาได้ง่ายขึ้น เมื่อเทียบกับรุ่นเดิมที่เป็นสีเหลี่ยม

ตัวเคสจะมีขนาด 48 x  61.8 x 27.5 มิลลิเมตร น้ำหนัก 36.5 กรัม วางจำหน่ายด้วยกันทั้งหมด 3 สี คือ แดง ขาว (Ceramic White) และ ดำ (Carbon Black) ภายในของ FreeBuds 4i ให้แบตเตอรีหูฟังข้างละ 55 mAh และในเคสชาร์จอีก 215 mAh 

รอบๆ ตัวเคสจะมีอยู่ 4 ส่วนหลักๆ คือบริเวณฝาเปิดเคส ถัดลงมาเป็นโลโก้ HUAWEI อยู่ตรงกึ่งกลาง มีไฟแสดงสถานะอยู่ข้างล่าง โดยจะบอกสถานะการเชื่อมต่อ แบตเตอรี ด้วยไฟสีต่างๆ อย่างเขียว ส้ม และขาว

การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ ที่ไม่ใช่สมาร์ทโฟนหัวเว่ย สามารถทำได้ด้วยการกดปุ่มที่ด้านข้างเคสค้างไว้ เพื่อเข้าสู่โหมด Pairing ซึ่งไฟจะเป็นสีขาวกระพริบ หลังจากทำการเชื่อมต่อก็สามารถใช้งานได้ทันที

ด้านล่างเคสจะเป็นพอร์ต USB-C สำหรับเสียบสายชาร์จ โดยภายในกล่องจะมีสาย USB Type A – USB-C มาให้ใช้งาน พร้อมกับจุกหูฟังขนาดใหญ่ และเล็กอีกอย่างละคู่ให้ปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม

ในส่วนของหูฟังไร้สาย จะมากับดีไซน์ยอดนิยม โดยเป็นหูฟังแบบ In-Ears ที่สามารถถอดเปลี่ยนจุกยางได้ ถัดเข้ามาเป็นส่วนขับเสียงที่ภายในมีไดรเวอร์ขนาด 10 มม. อยู่ช่วยให้เสียงที่มีคุณภาพเหมาะสมกับระดับราคาที่จ่ายไป

บริเวณก้านหูฟัง รองรับการสัมผัสสั่งงาน โดยสามารถแตะค้างเพื่อสลับโหมดตัดเสียงรบกวน และเปิดรับเสียงจากภายนอกได้ และยังสามารถใช้การแตะ 2 ครั้ง เพื่อเล่นเพลงหยุดเพลงได้

ใช้ง่าย ตัดเสียงดี

จุดเด่นของ FreeBuds 4i หลักๆ นอกจากการปรับดีไซน์ ให้สวมใส่ได้สบายขึ้น จากน้ำหนักของหูฟังข้างละประมาณ 5.5 กรัม ก็คือเรื่องของระบบตัดเสียงรบกวน (Active Noise Cancellation) ที่สามารถปรับโหมดการใช้งานด้วยการสัมผัสที่ก้านค้างไว้

เมื่อทดสอบใส่ใช้งาน ด้วยสัมผัสของจุกยางที่นุ่ม และเป็นแบบ In-Ears เมื่อเลือกสวมใส่ในขนาดที่เหมาะสมจะป้องกันเสียงรบกวนจากรอบข้างในระดับหนึ่งอยู่แล้ว เมื่อเปิดใช้งาน ANC เสียงรบกวนรอบข้างที่เป็น Noise ก็จะหายไป ช่วยให้ใช้สมาธิได้เต็มที่มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาที่เปิดระบบ ANC แต่ยังไม่ได้เปิดเพลงฟัง จะให้ความรู้สึกเหมือนกำลังดำน้ำอยู่ แต่พอเปิดเพลงก็จะหายไป ทั้งนี้ระบบตัดเสียงรบกวนของ FreeBuds 4i ก็ถือว่าอยู่ในระดับมาตรฐานเท่านั้น ไม่ได้ตัดเสียงรอบข้างหายไปทั้งหมด

ในกรณีที่ต้องมีการสนทนา หรืออยากเปิดรับฟังเสียงจากรอบข้าง FreeBuds 4i ยังมาพร้อมกับ Awareness Mode ให้แตะเพื่อสลับโหมดได้ทันที ทำให้จากเดิมต้องคอยถอดหูฟัง เพื่อฟังเสียงสนทนา ก็ใช้การแตะค้าง ช่วยให้ใช้งานได้ต่อเนื่อง

เทคโนโลยีที่มาช่วยให้ FreeBuds 4i สามารถตัดเสียงรบกวน และรับฟังเสียงจากรอบข้างได้ มาจากการนำ Dual-mic มาใช้ พร้อมดีไซน์แบบ Slit-duct ที่ช่วยลดเสียงรบกวนจากภายนอกเป็นพิเศษ รวมถึงการนำ Beamforming มาทำงานร่วมกับ AI ช่วยให้การสนทนาทำได้อย่างชัดเจน

อีกจุดที่ควรระมัดระวังคือในเรื่องของการกันน้ำกันฝุ่น แม้ว่าตัวเครื่องจะมีมาตรฐานกันน้ำ IPX4 แต่จากข้อมูลจากเว็บไซต์ของ หัวเว่ย ระบุชัดเจนว่า FreeBuds 4i ไม่ใช่อุปกรณ์กันน้ำโดยเฉพาะ ทำให้ไม่สามารถกันน้ำได้ ในกรณีที่โดนละอองน้ำให้รีบเช็ดออกทันที และไม่แนะนำให้ใช้งานระหว่างมือเปียกด้วย ดังนั้นถ้าใครที่ใช้ใส่ออกกำลังกายอาจจะต้องระมัดระวังเพิ่มเติมด้วย  

สำหรับแบตเตอรี หัวเว่ย ระบุว่า FreeBuds 4i สามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง 10 ชั่วโมงต่อการชาร์จ 1 ครั้ง เมื่อแบตหมด สามารถเสียบชาร์จ 10 นาทีกับเคสเพื่อใช้งานต่อเนื่องได้ 4 ชั่วโมง เมื่อรวมระยะเวลาชาร์จกับเคสจะใช้งานได้ทั้งหมด 22 ชั่วโมง

แน่นอนว่า ในการใช้งาน 10 ชั่วโมงนั้นจะเป็นการเล่นเพลงในโหมดปกติ ไม่ได้เปิดใช้งาน ANC ซึ่งถ้าเปิดใช้งาน ANC ต่อเนื่อง ระยะเวลาการใช้งานก็จะลดลงไปอีก เช่นเดียวกับการใช้โทรศัพท์ที่จะใช้พลังงานมากขึ้น

นอกจากนี้ ด้วยการที่ FreeBuds 4i ใช้การเชื่อมต่อผ่านบลูทูธ 5.2 ทำให้สามารถสลับการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ 2 ชนิด ได้สะดวกขึ้น ไม่ต้องคอยยกเลิกการเชื่อมต่อเครื่องเดิม แล้วไปเชื่อมต่อที่เครื่องใหม่ แต่ถ้าเป็นเครื่องที่ 3 ขึ้นไปต้องทำการ Disconnect เครื่องเดิมที่ใช้ก่อน

สำหรับผู้ใช้งานใน Android แนะนำให้ดาวน์โหลดแอป AI Life จากใน App Gallery มาใช้งานแทน เพราะจะเป็นเวอร์ชันที่ใหม่กว่าที่อยู่บน PlayStore โดยในช่วงที่ทดสอบ AI Life บน PlayStore ยังไม่รองรับการเชื่อมต่อกับ FreeBuds 4i

สรุป

ใครที่กำลังมองหาหูฟังไร้สายแบบ True Wireless ที่มาพร้อมระบบตัดเสียงรบกวน ANC มาใช้งาน เชื่อว่า Huawei FreeBuds 4i จะเป็นตัวเลือกในกลุ่มเริ่มต้นได้ไม่ยาก เพราะด้วยเทคโนโลยีที่นำเสนอมา เมื่อเทียบกับราคา 2,799 บาทแล้วถือว่าคุ้มค่าอย่างแน่นอน

แต่ถ้าใครที่ไม่ได้มีงบประมาณจำกัด แล้วอยากได้หูฟังไร้สายที่ซื้อครั้งเดียวใช้งานยาวๆ คุณภาพเสียงที่ครบและดีกว่า อาจจะต้องขยับขึ้นไปมองหาหูฟังไร้สายในกลุ่มระดับราคาเกิน 5,000 บาทขึ้นไป ซึ่งปัจจุบันเริ่มมีตัวเลือกมากขึ้นในตลาดแล้ว

Gallery

]]>