ไอโฟน – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Mon, 30 Nov 2020 05:43:24 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : Apple iPhone 12 จุดเริ่มต้นของยุค 5G และการเปลี่ยนดีไซน์ในรอบหลายปี https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-iphone-12/ Wed, 25 Nov 2020 01:00:31 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34208

ในปีนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ แอปเปิล (Apple) มีการเปิดตัว iPhone พร้อมกันทั้งหมด 4 รุ่นย่อย จากในช่วงหลังๆ ที่เลือกนำเสนอพร้อมกัน 3 รุ่นย่อย ตั้งแต่ในยุค iPhone X ต่อด้วย Xs และ 11 โดยมีการเพิ่มไลน์อย่าง iPhone 12 mini ที่กลายมาเป็นรุ่นเริ่มต้นแทน

สีของ iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max

สีของ iPhone 12 และ iPhone 12 mini

ความพิเศษของ iPhone 12 Series คือทั้ง 4 รุ่น 3 ขนาด มีสเปกชิปประมวลผลเดียวกัน ทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมไม่แตกต่างกัน จะมีจุดที่ต่างกันหลักๆ คือเรื่องของแบตเตอรี ขนาดหน้าจอ และกล้องที่ไล่ระดับความสามารถกันไป

ที่สำคัญคือทุกรุ่นรองรับการเชื่อมต่อ 5G ทันทีที่ใส่ซิมใช้งาน จึงกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาดสมาร์ทโฟนในประเทศไทย ที่ปัจจุบันผู้ให้บริการเครือข่ายอย่างเอไอเอส และทรูมูฟ เอช เริ่มให้บริการครอบคลุมในพื้นที่หลักๆ ทั่วประเทศแล้ว

ข้อดี

  • มีตัวเลือกให้เหมาะกับการใช้งานที่หลากลาย
  • ทุกรุ่นประสิทธิภาพเท่ากัน รองรับ 5G ทั้งหมด
  • ดีไซน์ปรับใหม่ ให้ความรู้สึกแข็งแรง
  • หน้าจอ Super Retina XDR ให้สีสวย คมชัด

ข้อสังเกต

  • ภายในกล่องไม่มีแถมอะเดปเตอร์ และหูฟังมาให้
  • แบตเตอรี หมดค่อนข้างเร็วเมื่อเชื่อมต่อ 5G – เล่นเกมหนักๆ
  • ขอบเครื่องรุ่น Pro ติดรอยนิ้วมือค่อนข้างง่าย

รู้จักความเหมือนของทั้ง 4 รุ่น

เมื่อมีตัวเลือกให้เลือกหลากหลายรุ่น ทำให้คำถามที่เกิดขึ้นคือ แต่ละรุ่นมีความแตกต่างกันอย่างไร เพื่อให้เห็นข้อมูลที่ชัดเจนมากขึ้น ขอเริ่มจากสิ่งที่ทั้ง 4 รุ่นเหมือนกันก่อน เพื่อแสดงให้เห็นภาพรวมของ iPhone 12 Series นี้

โดยเริ่มที่ขุมพลังของ iPhone ที่ช่วยให้การใช้งานลื่นไหล และประมวลผลข้อมูลต่างๆ ได้เป็นอย่างดี คือ Apple A14 Bionic ที่เริ่มนำมาใช้งานเป็นครั้งแรกใน iPad Air ที่เปิดตัวในเดือนที่ผ่านมา ก่อนนำมาใช้งานกับ iPhone 12 Series ในรอบนี้

Apple A14 Bionic ถือเป็นชิปเซ็ตที่พัฒนาขึ้นบนสถาปัตยกรรมแบบ 5 นาโนเมตร ที่แบ่งหน่วยประมวลผลออกเป็น 6 คอร์ โดย 2 คอร์สำหรับการประมวลผลระดับสูง และ 4 คอร์ที่ปรับแต่งมาให้รองรับการประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ GPU ใน A14 Bionic ยังช่วยประมวลผลให้ตัวเครื่องสามารถเล่นเกมประสิทธิภาพสูง การแสดงภาพสมจริง จนถึงการปรับแต่งวิดีโอให้แสดงผลได้ดียิ่งขึ้น ทำงานร่วมกับ NPU แบบ 16 คอร์ ที่จะเรียนรู้พฤติกรรมการใช้งานและปรับแต่งให้เหมาะสมที่สุด

ทดสอบความเร็ว AIS 5G ทำความเร็วได้ต่อเนื่องที่ 1 Gbps (ถ้าไม่มีแพ็กเกจ Unlimited ไม่แนะนำให้กดทดสอบความเร็ว)

ถัดมาคือเรื่องของการรองรับการเชื่อมต่อ 5G ซึ่งทางแอปเปิล ปล่อย Carrier Update ให้ผู้ใช้งาน iPhone 12 ในไทยสามารถเชื่อมต่อ 5G ได้ทันที โดยหลังจากที่เปิดเครื่องทำการอัปเดตเฟิร์มแวร์ และซิมการ์ดมีการเปิดใช้งาน 5G ก็จะจับสัญญาณใช้งานได้ทันที

ขอบเครื่องเหลี่ยม เหมือนใน iPhone 5s

ต่อด้วยในเรื่องของดีไซน์ ที่ในปีนี้มีการปรับโฉมกลับมาใช้รูปทรงแบบขอบเหลี่ยมตัดแทน โดยใน iPhone 12 mini และ iPhone 12 จะใช้วัสดุเป็นอะลูมิเนียมเกรดเดียวกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมอวกาศ ในขณะที่รุ่น Pro จะใช้วัสดุเป็นสแตนเลสสตีล 

โดยกระจกหน้าจอของทั้ง 4 รุ่น จะมีการเคลือบ Ceramic Shiled ช่วยป้องกันแรงกระแทกของจอภาพได้ดีขึ้นถึง 4 เท่า แต่ไม่ได้กันในเรื่องของรอยขีดข่วนอยู่เช่นเดิม อย่างไรก็ตามทุกรุ่นมาพร้อมการป้องกันน้ำระดับ IP68 ทำให้สามารถทนน้ำได้ลึก 6 เมตร 30 นาที

ระบบการปลดล็อกเครื่องยังคงเป็น Face ID ที่ทำงานร่วมกับกล้องหน้าแบบ TrueDepth ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/2.2 ทั้ง 4 รุ่น ซึ่งยังรองรับการปลดล็อกด้วยใบหน้าในแนวตั้งเท่านั้น ไม่ได้ถูกปรับให้สามารถปลดล็อกทุกมุมเหมือนใน iPad Pro

ทุกรุ่นยังรองรับการใช้งาน MagSafe ที่เป็นรูปแบบใหม่ของการชาร์จไร้สาย และใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เสริม ด้วยการนำจุดเด่นของแม่เหล็กมาใช้งาน ทำให้สามารถเชื่อมต่อกับเคสใส่นามบัตร และอื่นๆ ที่จะพัฒนาต่อไปในอนาคตด้วย

รวมจุดต่างของทั้ง 4 รุ่น

เมื่อเห็นจุดที่เหมือนกันแล้ว มาดูถึงจุดต่างของเครื่องทั้ง 4 รุ่นกันบ้าง ที่จะมีความแตกต่างเล็กน้อยๆ ไล่ระดับกันไป บนพื้นฐานของการใช้งานที่ไม่แตกต่างกันมากนัก ทำให้ในการเลือกใช้งานควรคำนึงถึงจุดต่างเหล่านี้

เริ่มกันที่หน้าจอ iPhone 12 Series ทุกรุ่นจะมากับหน้าจอ Super Retina XDR ที่เป็นหน้าจอ OLED ให้ความละเอียด และความคมชัดที่ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้า โดยในรุ่น iPhone 12 mini และ iPhone 12 จะให้ความสว่างหน้าจอ 625 nit ในขณะที่ iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max จะอยู่ที่ 800 nit

iPhone 12 mini มากับหน้าจอ 5.4 นิ้ว ความละเอียด 2340 x 1080 พิกเเซล ขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 131.5 x 64.2 x 7.4 มิลลิเมตร น้ำหนัก 135 กรัม

ส่วน iPhone 12 และ iPhone 12 Pro มีขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้ว ความละเอียด 2532 x 1170 พิกเซล ขนาดตัวเครื่อง 146.7 x 71.5 x 7.4 มิลลิเมตร เท่ากันทั้งหมด ทำให้สามารถใช้อุปกรณ์เสริมร่วมกันได้ โดยน้ำหนักของ iPhone 12 จะเบากว่าที่ 164 กรัม ส่วน iPhone 12 Pro หนัก 189 กรัม

iPhone 12 Pro Max ที่เป็นรุ่นใหญ่สุดในปีนี้ ปรับขนาดหน้าจอมาเป็น 6.7 นิ้ว ความละเอียด 2778 x 1284 พิกเซล ขนาดตัวเครื่อง 160.8 x 78.1 x 7.39 มิลลิเมตร น้ำหนัก 228 กรัม

iPhone 12 mini และ iPhone 12 มีให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 5 สี คือ ดำ ขาว น้ำเงิน เขียว และแดง ส่วน iPhone 12 Pro และ 12 Pro Max มีให้เลือก 4 สี คือ กราไฟต์ เงิน ทอง และแปซิฟิกบลู

ให้ความสำคัญกับกล้องถ่ายภาพ

iPhone 12 mini และ iPhone 12 ใช้เลนส์คู่ UltraWide – Wide

ในเรื่องของกล้องถ่ายภาพใน iPhone 12 mini และ iPhone 12 จะมากับกล้องคู่เลนส์ไวด์ และอัลตร้าไวด์ ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล โดยเลนส์มุมกว้างจะมากับ f/2.4 และเลนส์หลักเป็น f/1.6 ช่วยให้สามารถเก็บรายละเอียดภาพในที่แสงร้อยได้ดีขึ้น รองรับการซูมดิจิทัลที่ 5 เท่า

โดยเลนส์อัลตร้าไวด์ที่ใช้จะเป็นเลนส์เดียวกันหมดทั้ง 4 รุ่น ส่วนเลนส์ไวด์ จะถูกนำมาใช้กับ iPhone 12 Pro ด้วย เพิ่มเติมด้วยเลนส์เทเลโฟโต้ f/2.0 ที่รองรับการซูมออปติคอล 2 เท่า เทียบเท่าเลนส์ 52 มม. ซูมดิจิทัลได้ 10 เท่า

iPhone 12 / iPhone 12 Pro Max / iPhone 12 Pro

สุดท้ายในส่วนของ iPhone 12 Pro Max ที่มีความพิเศษในเลนส์ไวด์ ด้วยการใช้เซ็นเซอร์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น รองรับระบบกันสั่น OIS ที่เซ็นเซอร์ f/1.6 เช่นเดียวกัน ทำให้สามารถบันทึกภาพในที่แสงน้อยได้ดีกว่ารุ่นอื่น รวมถึงการเพิ่มระยะเลนส์เทเลโฟโต้เป็น 65 มม. หรือซูมออปติคัล 2.5 เท่า ทำให้รองรับการซูมดิจิทัลได้สูงสุดที่ 12 เท่า

อีกความพิเศษที่มีเฉพาะใน 12 Pro และ 12 Pro Max คือการเพิ่มเซ็นเซอร์ LiDAR แบบเดียวกับที่ใช้งานใน iPad Pro รุ่นล่าสุด เพื่อนำมาใช้ในการวัดระยะของพื้นผิว รวมถึงการคำนวนภาพ 3 มิติ ร่วมกับชิป A14 Bionic ซึ่งช่วยทำให้สามารถโฟกัสได้เร็วขึ้นในที่แสงน้อย รวมถึงการถ่ายภาพบุคคลในโหมดกลางคืนได้แม่นยำขึ้น

ทำให้รวมๆ แล้ว iPhone 12 Pro Max จะกลายเป็นรุ่นที่มีประสิทธิภาพในการถ่ายภาพนิ่ง และวิดีโอดีที่สุด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการคุณภาพที่ดีที่สุด รองลงมาด้วยรุ่น Pro ส่วน 12 และ 12 mini ก็ถือว่าเพียงพอกับการใช้งานทั่วไปแล้ว เพราะเลนส์หลักที่ใช้ใกล้เคียงกัน

สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายวิดีโอ ต้องยอมรับว่า iPhone 12 ที่รองรับการบันทึกวิดีโอแบบ HDR 10 บิต ในแบบ Dolby Vision ทำให้สามารถเก็บรายละเอียดสีได้ดีมากขึ้น และทำให้ภาพที่ดีมีชีวิตชีวา ที่สำคัญด้วยหน้าจอที่รองรับการแสดงผลแบบ HDR ยิ่งทำให้ภาพที่ได้มีคุณภาพมากขึ้นไปอีก

Smart Data ช่วยปรับโหมด 4G – 5G

การตั้งค่าเชื่อมต่อเครือข่าย 5G

ด้วยการที่ iPhone 12 รองรับ 5G ทั้ง 4 รุ่น ทำให้ผู้ที่ใช้งานเครือข่าย 5G จะพบว่าตัวเครื่องใช้พลังงานแบตเตอรีมากกว่าปกติ ดังนั้น ในการใช้งานแนะนำให้เปิดโหมด Smart Data ทิ้งไว้ เนื่องจากตัวเครื่องจะคอยคำนวนว่า เมื่อถึงรูปแบบการใช้งานที่จำเป็น ตัวเครื่องจะสลับการเชื่อมต่อระหว่าง 4G และ 5G ให้แบบอัตโนมัติ

ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีการใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์ก หรือแอปพลิเคชันในการสื่อสารผ่านตัวอักษรทั่วไป ความเร็วในการเชื่อมต่อผ่าน 4G นั้นเพียงพออยู่แล้ว ตัวเครื่องก็จะเลือกใช้งานเครือข่าย 4G เป็นหลัก จึงไม่แปลกที่เมื่อใช้งานทั่วไปจะเห็นสัญลักษณ์ 4G แสดงขึ้นบนหน้าจอ แม้ว่าจะอยู่ในพื้นที่ 5G ครอบคลุมก็ตาม

ในอีกกรณีหนึ่งถ้ามีการเรียกใช้งานระบบสตรีมมิ่ง วิดีโอคอลล์ หรือเล่นเกม ตัวเครื่องก็จะเปลี่ยนไปจับสัญญาณ 5G แทน เพื่อให้การดาวน์โหลดข้อมูลทำได้รวดเร็วมากขึ้น และช่วยให้สามารถโทรผ่าน FaceTime ได้ละเอียดถึงระดับ Full HD 1080p ด้วย

ทั้งนี้ iPhone 12 ทุกรุ่นที่วางขายในไทยจะรองรับการเชื่อมต่อ 5G แบบ Sub-6 หรือคลื่นความถี่ต่ำกว่า 6 GHz เท่านั้น ไม่ได้รองรับคลื่นความถี่ระดับ mmWave ดังนั้น คลื่นหลักที่นำมาใช้งานในไทยจึงเป็นคลื่น 2600 MHz ในปัจจุบัน และช่วงต้นปีหน้าจะมีเพิ่มคลื่น 700 MHz เข้ามาให้ใช้งาน

MagSafe กับกับวิธีการชาร์จไร้สายรูปแบบใหม่

นอกเหนือจากตัวเครื่องแล้วอีกนวัตกรรมที่แอปเปิล พัฒนาขึ้น และนำมาใช้งานร่วมกับ iPhone 12 คือการชาร์จไร้สาย และการเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริมรูปแบบใหม่อย่าง MagSafe ที่นำชื่อของระบบชาร์จในแมคบุ๊กที่เป็นแม่เหล็กช่วยเพิ่มความปลอดภัยขณะชาร์จแบตมาใช้งาน

การทำงานของ MagSafe ในเวลานี้จะมีด้วยกัน 2 ส่วนหลักๆ เริ่มจากใช้งานคู่กับแท่นชาร์จ MagSafe ที่พัฒนาขึ้นมาจากระบบชาร์จไร้สาย Qi ทำให้ชาร์จได้แรงขึ้นเป็น 15W จากปกติที่ 7.5W โดยมีข้อจำกัดว่าต้องใช้งานร่วมกับอะเดปเตอร์แบบ 20W ที่แอปเปิลวางจำหน่ายในราคา 690 บาท ด้วย

อีกรูปแบบหนึ่งคือการนำแม่เหล็กของ MagSafe มาใช้งานกับอุปกรณ์เสริม โดยเฉพาะในเคสสีสันและลวดรายต่างๆ ที่ทำงานร่วมกับกระเป๋าสตางค์หนัง สำหรับใส่นามบัตรแปะไว้ที่หลังเครื่องเป็นต้น

ข้อดีอย่างหนึ่งของ MagSafe คือมีการยึดติดกับตัวเครื่องที่แน่นหนา สามารถยกตัวเครื่องให้ลอยขึ้นมาได้ และช่วยให้สามารถเล่นเกมระหว่างชาร์จแบตเตอรีไปได้ด้วย จากเดิมในการชาร์จแบบมีสายจะทำให้เล่นเกมในแนวนอนไม่สะดวก

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของอุปกรณ์เสริมอย่างซองหนัง เวลาใส่ใช้งานต้องระวังเวลาเก็บ iPhone ใส่เข้าไปในกระเป๋ากางเกงพอสมควร เนื่องจากลื่นหลุดค่อนข้างง่าย เมื่อมีแรงดึงจากด้านข้าง แต่ถ้าเก็บใช้งานในกระเป๋าถือทั่วไปน่าจะไม่เจอปัญหานี้

ไม่แถมอะเดปเตอร์หูฟัง ลดขนาดกล่อง

การที่แอปเปิล ไม่แถมอะเดปเตอร์ชาร์จ ใน iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่นนั้น แม้ว่าจะมีการยกเหตุผลอย่างเรื่องการรักษ์โลกมาใช้ แต่ในความเป็นจริงแล้วกลายเป็นการผลักภาระให้ผู้บริโภคต้องซื้ออะเดปเตอร์มาใช้งานเพิ่มเติม แม้ว่าแอปเปิลจะระบุว่า ทุกคนมีหัวชาร์จ iPhone ใช้งานอยู่แล้วก็ตาม

โดยการที่แอปเปิล ไม่แถมทั้งอะเดปเตอร์ และหูฟังมานั้น ช่วยให้ลดขนาดกล่องของ iPhone ลงมาได้เกือบ 50% จากที่เห็นในรูปคือกล่องของ iPhone 11 Pro Max 1 กล่อง จะใกล้เคียงกับ iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max รวมกัน 2 กล่องเลยทีเดียว

สำหรับอะเดปเตอร์ชาร์จนั้น ประเด็นหนึ่งที่ควรคำนึงถึงก็คือผู้ที่ใช้งาน iPhone รุ่นก่อนหน้านี้ ถ้าไม่ใช่ iPhone 11 Pro หรือ iPhone 11 Pro Max ทุกรุ่นจะแถมอะเดปเตอร์แบบ 5W ที่เป็นหัวชาร์จ USB Type A to Lightning มาให้ ในขณะที่สายชาร์จที่แถมกับ iPhone 12 นั้นเป็น USB Type C to Lightning

นั่นแปลว่าอะเดปเตอร์ของ iPhone รุ่นก่อนหน้าจะไม่สามารถนำมาใช้กับอุปกรณ์ในกล่องที่แอปเปิลแถมมาให้ได้ หรือถ้านำสายเก่ามาใช้ชาร์จก็จะชาร์จได้ช้ามาก โดยในรุ่น 12 Pro Max ถ้าต้องการชาร์จจนเต็มอาจใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมงกว่าๆ

ในขณะที่ถ้าใช้งานร่วมกับอะเดปเตอร์ 20W ขึ้นไป จะสามารถชาร์จ 50% ได้ ภายใน 30 นาที และใช้เวลารวมไม่ถึง 2 ชั่วโมงในการชาร์จจนเต็ม ดังนั้น ในการซื้อ iPhone 12 มาใช้ควรเผื่อเงินอีก 690 บาทไปซื้ออะเดปเตอร์ชาร์จด้วย

ส่วนในเรื่องของหูฟังนั้น ถือว่ายอมรับได้ เพราะปัจจุบันหูฟังแบบไร้สายได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น และสามารถหาซื้อได้ตั้งแต่ราคาไม่กี่ร้อยบาท ไปจนถึงหลักหมื่นบาท ซึ่งเชื่อว่าผู้ที่ใช้งาน iPhone ส่วนใหญ่จะเริ่มมีหูฟังไร้สายใช้งานกันแล้ว จึงไม่ได้ติดอะไร

ภาพรวมตัวเครื่อง

ในส่วนของตัวเครื่อง iPhone นั้น ในรอบนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงเลย์เอาท์บางส่วน อย่างการเปลี่ยนช่องใส่นาโนซิมการ์ดมาอยู่ทางด้านซ้ายตัวเครื่อง ถัดจากปุ่มปิดเสียง และเพิ่มลดเสียง

ทางฝั่งขวายังคงเป็นปุ่มเปิดเครื่อง และเรียกใช้งาน Siri (ถ้าต้องการปิดเครื่องให้กดปุ่มเปิดเครื่อง พร้อมกับปุ่มเพิ่มเสียงค้างไว้) ด้านบนจะเป็นแถบรับสัญญาณโทรศัพท์มือถือ

ด้านล่างจะเป็นพอร์ต Lightning ที่มีช่องลำโพงอยู่ข้างๆ โดยถ้าสังเกตทั้ง 4 รุ่น จะพบว่าลำโพงของ iPhone 12 mini จะมีรูที่น้อยกว่า iPhone 12 และ iPhone 12 Pro เช่นเดียวกับที่ iPhone 12 Pro Max จะมีรูลำโพงมากที่สุดด้วย

ในส่วนของการเชื่อมต่อนอกจาก 5G ที่เป็นเทคโนโลยีใหม่แล้ว ยังรองรับ WiFi 6 บลูทูธ 5.0 มีชิป UltraWide Band ช่วยในการรับรู้ตำแหน่งของอุปกรณ์ต่างๆ มีชิป NFC มาให้ใช้งานได้ครบถ้วน บนระบบปฏิบัติการ iOS 14.2

สำหรับราคาจำหน่ายของ iPhone 12 mini เริ่มต้นที่ 25,900 บาท iPhone 12 เริ่มต้นที่ 29,900 บาท iPhone 12 Pro เร่ิมที่ 36,900 บาท และ iPhone 12 Pro Max เริ่มที่ 39,900 บาท

สรุป

เป็นอีกครั้งที่แอปเปิล ทำ iPhone รุ่นใหม่ออกมาได้น่าสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องการที่ทำให้ทุกรุ่นรองรับการเชื่อมต่อ 5G และมีตัวเลือกที่หลากหลาย เริ่มตั้งแต่ iPhone 12 mini ที่ปัจจุบันเป็นสมาร์ทโฟนที่รองรับ 5G ที่บางที่สุดในโลก

ในส่วนของ iPhone 12 ที่คาดว่าจะเป็นรุ่นขายดีที่สุด เรียกได้ว่าพัฒนาขึ้นมาจาก iPhone 11 ได้แบบก้าวกระโดด และกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มีงบประมาณจำกัด แล้วต้องการ iPhone ที่ครบเครื่อง

สุดท้ายคือ iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max ที่ขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งานเลยว่าต้องการเครื่องที่มีขนาดหน้าจอใหญ่ขึ้นหรือไม่ ถ้าไม่ต้องการ 12 Pro ก็ถือว่าตอบโจทย์การใช้งานแล้ว แต่ถ้าต้องการจอใหญ่ และมีงบประมาณเหลือเฟือการเลือก 12 Pro Max ก็ถือเป็นรุ่นที่จบที่สุด

ชมภาพตัวอย่างจาก iPhone 12 ได้ที่นี่ 

Gallery

]]>
Review : Apple iPhone SE ดีไซน์ที่คุ้นเคย แรงขึ้น ในราคาเริ่มต้น 14,900 บาท https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-iphone-se/ Thu, 04 Jun 2020 07:38:55 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=32920

หลังจากเปิดตัวมา iPhone SE กลายเป็น iPhone รุ่นที่ถูกพูดถึงมากที่สุด และเชื่อว่าจะสามารถทำยอดขายได้ดีเป็นลำดับต้นๆ เหมือนที่ประวัติศาสตร์ของ iPhone SE รุ่นแรกเคยทำได้ เนื่องจากเป็น iPhone ราคาประหยัด ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถเข้าถึงอีโคซิสเตมส์ และบริการต่างๆ ของ Apple ได้

จุดเด่นหลักของ iPhone SE รุ่นที่ 2 คือเรื่องของประสิทธิภาพตัวเครื่อง เนื่องจากใช้หน่วยประมวลผล Apple A13 Bionic เช่นเดียวกับในรุ่นท็อปสุดอย่าง iPhone 11 Pro Max มากับขนาดตัวเครื่องที่กระทัดรัด จับถือใช้งานง่าย ในราคาเริ่มต้นที่ 14,900 บาท ซึ่งถือว่าเป็น iPhone ที่เปิดตัวมาราคาถูกที่สุดในเวลานี้

ข้อดี

  • หน่วยประมวลผล A13 Bionic
  • กันน้ำ กันฝุ่น IP67
  • รองรับการใช้งาน 2 ซิม และเชื่อมต่อ WiFi 6

ข้อสังเกต

  • หน้าจอขนาดเล็ก 4.7 นิ้ว
  • กล้องหลัก ยังเป็นกล้องเดียว ทำให้มีข้อจำกัดในการถ่ายภาพ
  • ที่ชาร์จที่แถมให้ไม่รองรับการชาร์จเร็ว

iPhone SE เหมาะกับใคร?

ที่ผ่านมา iPhone SE รุ่นแรกได้แสดงให้เห็นแล้วว่า Apple ต้องการแย่งชิงกลุ่มลูกค้าที่ใช้งานสมาร์ทโฟน Android แล้วต้องการเปลี่ยนมาใช้งาน iPhone ในระดับราคาที่ไม่สูงเกินไป เพราะถือว่าเป็น iPhone ที่ Apple วางออกมาในระดับราคาที่เหมาะสม และได้เครื่องที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า Android รุ่นท็อป ตามที่ทิม คุก เคยบอกไว้

กับอีกกลุ่มคือผู้ที่ใช้งาน iPhone รุ่นเก่าๆ อย่าง iPhone 5 iPhone 6 iPhone 6s iPhone SE รุ่นแรก จนถึง iPhone 7 แล้วต้องการเครื่องรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ในรูปทรงที่คุ้นชินกันอยู่แล้ว ก็สามารถเลือกใช้งาน iPhone SE ได้ โดยเฉพาะผู้ใช้งาน iPhone 6 ลงไป ที่ไม่สามารถอัปเกรด iOS 13 มาใช้งานได้แล้ว

ขณะเดียวกันก็เหมาะกับการใช้งานในช่วงนี้ ที่ทุกคนต้องใส่ผ้าปิดปากเวลาออกไปข้างนอก เพราะกลายเป็น iPhone รุ่นใหม่เพียงรุ่นเดียวในเวลานี้ ที่มากับระบบ Touch ID ในขณะที่ iPhone 11 iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max ไม่มี Touch ID ให้ใช้งาน มีเพียงแต่การปลดล็อกด้วยใบหน้าอย่าง Face ID เท่านั้น

สำหรับราคาจำหน่ายของ iPhone SE มีด้วยกัน 3 ความจุ เริ่มต้นที่ 64 GB ในราคา 14,900 บาท ตามด้วย 128 GB ในราคา 16,900 บาท และ 256 GB ในราคา 20,900 บาท มีให้เลือกด้วยกัน 3 สีคือ ขาว ดำ และแดง (Product) Red ซึ่งเป็นสีพิเศษ

อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่เป็น iPhone SE ที่ใช้ดีไซน์ของ iPhone รุ่นเดิม ทำให้มีข้อจำกัดในแง่ของขนาดหน้าจอที่อาจจะเล็กไปสักหน่อย เมื่อเทียบกับหน้าจอของสมาร์ทโฟนในยุคปัจจุบัน ทำให้อาจจะต้องตัดสินใจดูเล็กน้อยว่าขนาดหน้าจอมีผลกับการใช้งานมากแค่ไหน

กับอีกจุดที่ Apple ทำได้ดีคือเรื่องของการซัพพอร์ตสินค้า โดย iPhone SE รุ่นแรกได้แสดงให้เห็นแล้วว่าตั้งแต่เครื่องออกมาวางจำหน่ายในปี 2016 จนถึงปี 2020 แล้ว ก็ยังได้รับการอัปเกรดเฟิร์มแวร์เป็นรุ่นใหม่อย่าง iOS 13 นั่นแปลว่า รองรับการอัปเกรดมาถึง 5 รุ่นด้วยกัน

เจาะลึกรายละเอียด iPhone SE รุ่นที่ 2

ด้วยการที่ดีไซน์ของ iPhone SE เป็นการนำโครงของ iPhone 8 มาใช้ และมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในบางจุด ที่สังเกตได้หลักๆ คือ บริเวณขอบจอของ iPhone SE รุ่นที่ 2 นี้ จะมากับสีดำทั้งหมด แตกต่างจากก่อนหน้าที่ในรุ่นสีขาว ขอบจอก็จะเป็นสีขาวด้วย กับอีกจุดคือสัญลักษณ์โลโก้ Apple ที่หลังเครื่อง จะขยับลงมาอยู่ตรงกึ่งกลางมากขึ้น

สำหรับขนาดตัวเครื่องของ iPhone SE จะอยู่ที่ 138.4 x 67.3 x 7.3 มิลลิเมตร น้ำหนัก 148 กรัม เรียกได้ว่าเป็นขนาดเล็กที่พอดีกับมือมากที่สุด วัสดุที่เป็นอะลูมิเนียม 7000 ซีรีส์ ที่ให้ความแข็งแรง น้ำหนักเบาด้วย และกลายเป็น iPhone รุ่นสุดท้ายที่เวลาใช้งาน สามารถใช้มือเดียวสัมผัสได้ครอบคลุมทุกพื้นที่ของจอก็ว่าได้

โดยขนาดหน้าจอของ iPhone SE จะอยู่ที่ 4.7 นิ้ว ที่เป็นหน้าจอ Retina HD ความละเอียด 1344 x 750 พิกเซล ให้วามละเอียดเม็ดสีที่ 326ppi รองรับการแสดงผลแบบ True Tone ที่จะปรับแสงหน้าจอให้เหมาะสมกับสภาพแสง รองรับการแสดงผลขอบเขตสีกว้างแบบ P3 ให้ความสว่างสูงสุดที่ 625 นิต

บริเวณส่วนบนของหน้าจอ ก็จะเป็นที่อยู่ของลำโพงสนทนา และกล้องหน้าความละเอียด 7 ล้านพิกเซล f/2.2 ความพิเศษก็คือ เป็นกล้องหน้าที่รองรับการถ่าย Portrait ด้วย แม้ว่าจะไม่ได้ใช้เซ็นเซอร์ True Depth เหมือนใน iPhone รุ่นหลังๆ แล้วก็ตาม

ส่วนล่างหน้าจอเป็นที่อยู่ของ Touch ID ที่นำเทคโนโลยี Taptic Engine มาใช้งาน ทำให้เวลากดปุ่ม หรือสัมผัส จะมีการสั่นสะท้อนตอบรับกลับมาแทน ใครที่ใช้ iPhone รุ่นที่มีปุ่ม Home แบบกดอยู่ ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเจออาการปุ่ม Home เสีย เพราะ Apple แก้ไขปัญหานี้มาตั้งแต่ iPhone 7 แล้ว

รอบๆ ตัวเครื่องถือว่าเหมือนเดิมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นทางฝั่งซ้ายที่มีปุ่มเปิดปิดเสียง เพิ่มลดเสียง ทางฝั่งขวาเป็นปุ่มเปิดปิดเครื่อง โดยมีช่องใส่ถาดซิมอยู่ตรงกึ่งกลาง ด้านล่างมีไมค์ ลำโพง และพอร์ต Lightning ซึ่งตัดช่องหูฟังแบบ 3.5 มม. ออกไปแล้ว

ด้านหลังเครื่อง จะมีโลโก้ Apple อยู่ตรงกึ่งกลาง โดยมีกล้องหลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/1.8 และแฟลชแบบ True Tone อยู่ข้างๆ ซึ่งถ้าเป็นผู้ที่ใช้งาน iPhone 7 หรือ iPhone 8 อยู่ สามารถนำเคสรุ่นเก่ามาใช้งานได้เลย เพราะกล้องจะอยู่บริเวณเดียวกัน

ข้อจำกัดแบตเตอรีขนาดเล็ก?

อีกประเด็นที่เป็นคำถามตามมาเมื่อตัวเครื่องมีขนาดเล็ก ก็ทำให้ปริมาณแบตเตอรีที่ให้มาในเครื่องเล็กตามไปด้วย โดย iPhone SE จะให้แบตเตอรีมาขนาดเดียวกับ iPhone 8 ที่ประมาณ 1800 mAh ซึ่งทางแอปเปิล เคลมว่าสามารถใช้งานได้หมดวันแน่ๆ

เท่าที่ทีมงานทดลองใช้งาน iPhone SE มาพบว่า แบตเตอรี ถือว่าอยู่ในระดับที่พอรับได้กับการใช้งานทั่วไป ใช้งานเล่นโซเชียลมีเดีย รับส่งอีเมล โปรแกรมแชทต่างๆ สลับกับเล่นเกมบ้าง ใช้งานกล้องบ้าง จนหมดวันแบตฯ ก็ยังเหลือ นั่นแปลว่าตอนเช้าตื่นมาถอดเครื่องออกจากสายชาร์จ ก่อนกลับมาเสียบชาร์จอีกครั้งตอนนอนก็ยังไหว

อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อจำกัดของอะเดปเตอร์ที่แอปเปิล แถมมาให้ในกล่องเป็นแบบ 5W ทำให้การชาร์จทำได้ค่อนข้างช้า แต่ด้วยการที่ตัวเครื่องรองรับการชาร์จเร็วแบบ 18W ในกรณีที่ซื้ออะเดปเตอร์ 18W (1,190 บาท) มาใช้งานคู่กับสาย USB-C to Lightning จะสามารถชาร์จ iPhone SE ได้ 50% ภายในเวลา 30 นาที

หรือในกรณีที่ใช้งาน MacBook หรือ iPad Pro ที่มีอะเดปเตอร์ USB-C ที่แรงกว่า 18W อยู่แล้ว ก็สามารถซื้อเฉพาะสาย USB-C to Lightning (ขายแยกในราคาเส้นละ 690 บาท) มาใช้งานได้เหมือนกัน หรือถ้าไม่ได้จำเป็นต้องชาร์จเร็ว และไม่อยากเสียบๆ ถอดๆ สายชาร์จ iPhone SE ก็รองรับการชาร์จไร้สายด้วยเช่นกัน

กล้องเดียว เพียงพอหรือไม่?

ในยุคที่สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่มากับกล้องคู่กันเป็นอย่างต่ำแล้ว แต่กลายเป็นว่า iPhone SE ยังมากับกล้องหลักกล้องเดียวอยู่ แต่กลายเป็นว่ากล้องที่อยู่ใน iPhone SE กลับถ่ายภาพได้ดีขึ้นกว่าสมัย iPhone 8 เยอะมาก

ส่วนหนึ่งเกิดจากการพัฒนาซอฟต์แวร์ของกล้องให้ทำงานร่วมกับหน่วยประมวลผล Neural Engine บน Apple A13 Bionic ทำให้นอกจากการถ่ายภาพปกติแล้ว เลนส์ของ iPhone SE ยังรองรับการถ่ายภาพบุคคล (Portrait) ที่สามารถปรับระยะชัดลึกได้ ซึ่งใช้งานได้ทั้งกล้องหน้า และกล้องหลัง

อีกส่วนที่ iPhone SE ทำได้ดีขึ้นคือเรื่องของการถ่ายภาพวิดีโอ ที่สามารถถ่ายได้สูงถึง 4K 60fps รองรับการถ่ายภาพสโลว์โมชัน และไทม์แลปส์ด้วย หรือในกรณีที่ต้องการถ่ายวิดีโอในโหมดป้องกันภาพสั่นไหวที่ 4K 30fps เชื่อว่าให้ภาพที่ดีกว่าสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นในระดับราคาใกล้เคียงกันแน่นอน

นอกจากนี้ iPhone SE ยังมากับซอฟต์แวร์ถ่ายภาพใหม่อย่าง QuickTake ที่ผู้ใช้สามารถกดปุ่มชัตเตอร์ค้างเพื่อเข้าสู่การถ่ายวิดีโอได้ทันที เพื่อนำไปใช้แชร์ Instagram Story หรือ TikTok ก็ได้ หรือถ้าต้องการถ่ายวิดีโอระยะยาวก็สามารถเลื่อนปุ่มชัตเตอร์ไปที่สัญลักษณ์วิดีโอเพื่อถ่ายวิดีโอต่อเนื่องได้ทันที

Gallery

มากับ 2 ซิม และ WiFi 6

อีกสิ่งที่เพิ่มเข้ามาใน iPhone SE คือการที่ตัวเครื่องรองรับการใช้งานซิมคู่ เหมือนใน iPhone 11 และ iPhone 11 Pro โดยสามารถใช้ซิมการ์ดปกติ จับคู่กับ eSIM เพื่อใช้งานได้ทันที นอกจากนี้ ยังรองรับ LTE ระดับ Gigabit  และ WiFi 6 ทำให้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ปล่อยสัญญาณที่รองรับได้ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ตัวหน้าจอรองรับการใช้งาน Haptic Touch ด้วย ทำให้สามารถแตะค้างที่หน้าจอ หรือไอค่อนที่ต้องการเพื่อเข้าสู่โหมดลัดได้ ส่วนการเรียกใช้งานแถบควบคุม จะกลับไปใช้การลากจากขอบจอล่างเหมือนใน iPhone 8

สรุป

Apple iPhone SE น่าจะกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการใช้งาน iPhone ในระดับราคาหมื่นกลางๆ ได้อย่างไม่น่าแปลกใจ รวมถึงผู้ที่กำลังลังเลว่าจะเปลี่ยนจากการใช้งานสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ มาลองใช้งาน iPhone ในระดับราคาที่ไม่สูงมาก

ข้อดีอย่างหนึ่งของ iPhone คือผู้ใช้สามารถแน่ใจได้ว่าจะได้รับการอัปเกรดเฟิร์มแวร์ต่อเนื่องไปอีกไม่ต่ำกว่า 5 ปี อย่างที่ iPhone SE รุ่นแรกเคยทำได้มาแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับข้อจำกัดในเรื่องของขนาดหน้าจอ 4.7 นิ้ว และกล้องที่มีข้อจำกัดในเรื่องของฮาร์ดแวร์ ทำให้ไม่สามารถซูม หรือถ่ายภาพมุมกว้างได้

อย่างไรก็ตาม ถ้าตัดสินใจเลือกซื้อ iPhone SE มาใช้งานแล้ว อย่าลืมเรื่องข้อจำกัดของ iPhone ที่ไม่สามารถเพิ่มพื้นที่เก็บข้อมูลได้ ดังนั้นการเลือกซื้อรุ่นเริ่มต้น 64 GB อาจจะไม่ตอบโจทย์การใช้งานในระยะยาว แนะนำให้เลือกรุ่น 128 GB ขึ้นไปจะเหมาะสมกว่า

]]>