5G – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Thu, 21 Jan 2021 09:05:06 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : Redmi Note 9T / Redmi 9T สานต่อรุ่นยอดนิยมรับ 5G – แบตฯใหญ่ https://cyberbiz.mgronline.com/review-redmi-note-9t-redmi-9t/ Tue, 12 Jan 2021 07:35:08 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34526

Redmi Note 9T และ Redmi 9T กลายเป็นสมาร์ทโฟน 2 รุ่นที่มาสร้างสีสันให้แก่ Xiaomi อย่างน่าสนใจในช่วงต้นปีนี้ โดย Redmi Note 9T มีความโดดเด่นที่เป็นสมาร์ทโฟนรองรับ 5G ราคาคุ้มที่สุดในเวลานี้ ส่วน Redmi 9T เน้นประสิทธิภาพคุ้มค่า คุ้มราคา

จุดเด่นหลักของ Redmi Note 9T อยู่ที่ชิปเซ็ตที่เลือกใช้งานเป็น MediaTek Dimensity 800U ที่รองรับการเชื่อมต่อ 5G มาพร้อมกล้องหลัก 48 ล้านพิกเซล แบตเตอรี 5,000 mAh ในราคาเริ่มต้น 6,999 บาท (Pre-Order 5,999 บาท)

ในขณะที่ Redmi 9T มากับ Snapdragon 662 ซึ่งรุ่นนี้จะรองรับเฉพาะ 4G เท่านั้น มาพร้อมกล้องหลัก 48 ล้านพิกเซล แบตเตอรี 6,000 mAh รองรับการใช้งานต่อเนื่อง บนหน้าจอขนาด 6.53 นิ้ว

โดยทั้ง 2 รุ่นได้เข้ามาจับตลาดในช่วงระดับราคา 4,499 – 7,499 บาท ของ Xiaomi ซึ่งเข้ามาแทนที่ตระกูล Redmi 9 เดิมที่ครองตำแหน่งสมาร์ทโฟนราคาประหยัด ได้อย่างน่าสนใจ

ข้อดี

  • Redmi Note 9T รองรับ 5G 2 ซิม พร้อมใช้งานในไทย
  • แบตฯ ใหญ่ 5,000 mAh / 6,000 mAh
  • เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ ที่ปุ่มเปิดเครื่อง
  • ราคาเข้าถึงได้

ข้อสังเกต

  • Redmi Note 9T ให้ RAM มาค่อนข้างน้อย (4 GB)
  • คุณภาพกล้องตามราคา / Note 9T ไม่มีเลนส์มุมกว้าง
  • หน้าจอค่อนข้างมืดเวลาใช้งานกลางแจ้ง

2 ตัวเลือกสมาร์ทโฟนราคาประหยัด

การวางราคาของ Redmi 9T และ Redmi Note 9T ของ Xiaomi ในคราวนี้ ถือว่าทำออกมาได้ค่อนข้างน่าสนใจ เพราะในการใช้งานทั่วไปของสมาร์ทโฟนทั้ง 2 รุ่น นั้นแทบไม่แตกต่างกันมาก เพียงแต่ในการเลือกซื้อควรดูตามรูปแบบการใช้งานด้วย

อย่างในรุ่น Redmi 9T ถ้าต้องการสมาร์ทโฟนที่มาใช้งานทั่วไป เล่นโซเชียลมีเดีย ฟังเพลง ดูหนังสตรีมมิ่ง รุ่นเริ่มต้นอย่าง RAM 4 GB ROM 64 GB ในราคา 4,499 บาท ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว

แต่ถ้าต้องการเล่นเกมด้วยแนะนำให้ขยับขึ้นมาเป็นรุ่น RAM 6 GB ROM 128 GB ในราคา 5,299 บาท จะรองรับการใช้งานได้หลากหลายกว่า และการใช้งานโดยรวมก็จะลื่นไหลมากยิ่งขึ้นด้วย

ในขณะที่ Redmi Note 9T นั้น จริงๆ แล้วเหมาะกับผู้ที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์ 5G เป็นหลัก เพื่อนำมาใช้งานในการดูหนัง ฟังเพลงที่ลื่นไหลเป็นหลัก ส่วนการเล่นเกมบน Redmi Note 9T ถ้าเป็นเกม FPS ทั่วๆ ไปปรับกลางๆ ยังพอเล่นได้ แต่ถ้าปรับสูงขึ้นมา หรือลองเล่น Genshin Impact ที่ค่อนข้างกินสเปก รุ่นนี้ไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่

ดังนั้น ในการเลือกซื้อควรคำนึงถึงเรื่องของแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตที่ใช้งานเป็นหลัก ถ้ามีความจำเป็นในการใช้งานโมบาย อินเทอร์เน็ต เพื่อใช้ทำงานตลอดเวลาและพร้อมที่จะสมัครแพ็กเกจ 5G ที่มีระดับราคาเดือนละ 699 บาท ขึ้นไป หรือ 1,199 บาท สำหรับเน็ตไม่จำกัด Redmi Note 9T เข้ามาตอบโจทย์แน่นอน

แต่ถ้าไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้งาน 5G ตัวเลือกอย่าง Redmi 9T รุ่น RAM 6 GB ROM 128 GB ก็เพียงพอกับการใช้งานแล้ว แต่แน่นอนว่าด้วยราคาเปิดจองของ Redmi Note 9T ที่เริ่มต้น 5,999 บาท และประสิทธิภาพโดยรวมสูงกว่า ย่อมทำให้ตัดสินใจเลือกได้ยากขึ้น

การออกแบบ Redmi 9T / Redmi Note 9T

ด้วยการที่ทั้ง 2 รุ่นอยู่ในซีรีส์ของ Redmi 9 เช่นเดียวกัน ทำให้ทั้ง 2 รุ่นมีขนาดหน้าจอเท่ากันที่ 6.53 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ ซึ่งมีความแตกต่างกันเล็กน้อยในเรื่องของตำแหน่งกล้องหน้า โดย Redmi 9T จะให้กล้องหน้าแบบหยดน้ำ ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ในขณะที่ Redmi Note 9T มากับกล้องหน้าแบบเจาะรู ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล

Redmi 9T เลือกใช้จอ Gorilla Glass 3 ให้ความสว่างหน้าจอสูงสุดที่ 400 nit ตัวเครื่องขนาด 162.3 x 77.3 x 9.6 มิลลิเมตร น้ำหนัก 198 กรัม มีให้เลือกด้วยกัน 4 สี คือ เทา Carbon Gray, น้ำเงิน Twilight Blue, ส้ม Sunrise Orange และเขียว Ocean Green

ด้านหลังของเครื่อง Redmi 9T เลือกใช้วัสดุเป็นพลาสติกแบบด้านช่วยป้องกันรอยนิ้วมือ อย่างในภาพคือรุ่นสีส้ม จะมีการสกรีนตัวอักษร Redmi ขนาดใหญ่เป็นลวดลายไว้ที่ฝาหลังด้วย

กล้องหลักของ Redmi 9T เลือกใช้แบบ 4 เลนส์ โดยมีกล้องหลัก 48 ล้านพิกเซล f/1.79 มาให้ใช้งาน ร่วมกับเลนส์มุมกว้าง 8 ล้านพิกเซล มุมมอง 120 องศา f/2.2 เลนส์ มาโคร 2 ล้านพิกเซล f/2.4 และเลนส์สุดท้ายใช้ในการวัดระยะ 2 ล้านพิกเซล ภายในให้แบตเตอรีขนาด 6,000 mAh

ส่วนรอบตัวเครื่องทางฝั่งขวาเป็นปุ่มปรับระดับเสียง ปุ่มเปิดเครื่อง พร้อมเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ ด้านซ้ายมีช่องใส่ถาดซิมที่สามารถใช้งาน 2 นาโนซิม พร้อมกับไมโครเอสดีการ์ดได้สูงสุด 512 GB

ด้านบนมีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. ช่องลำโพง และเซ็นเซอร์อินฟาเรต ด้านล่างเป็นพอร์ต USB-C  พร้อมไมโครโฟน และลำโพงเช่นเดียวกัน โดยรุ่นนี้รองรับการชาร์จเร็ว 18W โดยมีอะเดปเตอร์ 22.5W มาให้ในกล่อง

ขณะที่ Redmi Note 9T เลือกใช้จอ Gorilla Glass 5 ให้ความสว่างสูงสุดที่ 450 nit ขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 161.95 x 77.25 x 9.05 มิลลิเมตร น้ำหนัก 199 กรัม มีให้เลือก 2 สี คือ ดำ Nightfall Black และ ม่วง Daybreak Purple

ด้านหลัง Redmi Note 9T จะมีเอกลักษณ์ที่ชัดเจนในส่วนของกล้องที่จัดเรียงโมดูลทรงกลมอยู่ตรงกลาง กับกล้อง 3 เลนส์ เมื่อรวมกับไฟแฟลชเป็น 4 รูพอดี ภายในเป็นกล้องหลัก 48 ล้านพิกเซล f/1.79 ตามด้วยเลนส์มาโคร 2 ล้านพิกเซล f/1.75 และเลนส์วัดระยะชัดลึก 2 ล้านพิกเซล จะสังเกตได้ว่ารุ่นนี้ไม่มีเลนส์มุมกว้างมาด้วย ภายในให้แบตเตอรีมาขนาด 5,000 mAh

รอบตัวเครื่องทางฝั่งซ้ายจะเป็นปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิดเครื่องที่มาพร้อมเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ ทางฝั่งขวาเป็นถาดซิมแบบ 2 นาโนซิม และใส่ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มเติมเช่นกัน

ด้านบนตัวเครื่องมีเซ็นเซอร์อินฟาเรตมาให้ใช้งานควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้า พร้อมไมโครโฟน และลำโพง ด้านล่างมีพอร์ต USB-C ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ลำโพง และไมโครโฟนสนทนา รองรับการชาร์จเร็ว 18W เช่นเดียวกัน

สำหรับสเปกของ Redmi 9T มากับหน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon 662 ที่เป็น Octa-Core 2 GHz สถาปัตยกรรม 11 นาโนเมตร GPU Adreno 610 RAM 4 GB ROM 64/128GB รองรับการเชื่อมต่อ WiFi 5 บลูทูธ 5.0 รุ่นที่วางจำหน่ายในไทยไม่รองรับ NFC

ส่วน Redmi Note 9T มากับหน่วยประมวลผล MediaTek 800U บนสถานปัตยกรรมแบบ 7 นาโนเมตร Octa-Core 2.4 GHz GPU Mali-G57 RAM 4 GB ROM 64/128 GB รองรับ WiFi 5 บลูทูธ 5.1 NFC

ทื่สำคัญคือ Redmi Note 9T รองรับการเชื่อมต่อ 5G แบบ 2 ซิม สแตนบาย คือสามารถสลับใช้งานซิมที่ใช้งาน 5G ได้ทันที โดยไม่ต้องรีสตาร์ทเครื่องเพื่อสลับช่องซิมแต่อย่างใด

Redmi Note 9T กับอินเทอร์เน็ตไร้สายพร้อมใช้

ด้วยการที่จุดเด่นของ Redmi Note 9T ใครที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนที่จะมาปล่อยสัญญาณ 5G ให้ดีไวซ์อื่นๆ อย่างโน้ตบุ๊ก หรือคอมพิวเตอร์ใช้งาน ในช่วงที่ต้องทำงานจากที่บ้าน หรือคอนโด สมาร์ทโฟนรุ่นนี้ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างแน่นอน

โดยความน่าสนใจของ Redmi Note 9T คือมากับ WiFi แบบ 4×4 กล่าวคือสามารถใช้ในการปล่อยสัญญาณ WiFi บนคลื่น 5 GHz ได้ ทำให้ได้ความเร็วในการเชื่อมต่อ 5G ไปยังอุปกรณ์ที่รองรับได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ไม่มีคอขวดในการปล่อย HotSpot ใช้งาน

รวมถึงในกรณีที่ต้องการเชื่อมต่อกับ WiFi ตามที่สาธารณะที่มีล็อกอินเดียว ก็สามารถใช้ Redmi Note 9T ปล่อยแชร์อินเทอร์เน็ตด้วยสัญญาณ WiFi ไปได้พร้อมๆ กันด้วย ทำให้รองรับการใช้งานที่หลากหลายขึ้น

แน่นอนว่าด้วยราคาจำหน่ายในช่วงพรีออเดอร์ที่ 5,999 บาท ยิ่งทำให้ Redmi Note 9T น่าสนใจมากยิ่งขึ้น เพราะสามารถนำมาใช้แทนที่ 5G CPE ที่มีราคาสูงได้ด้วย ดังนั้นใครที่กำลังมองหาอุปกรณ์กระจายสัญญาณ 5G ใช้งานรุ่นนี้รองรับสบายๆ

ประสบการณ์ใช้งาน

ทั้ง Redmi 9T และ Redmi Note 9T ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่ตอบโจทย์การใช้งานทั่วไปได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์ก ดูหนัง ฟังเพลงต่างๆ เพราะให้แบตเตอรีมาขนาด 5,000 – 6,000 mAh ทำให้รองรับการใช้งานได้ต่อเนื่อง

ในแง่ของการตอบสนองการใช้งาน ถ้าเป็นการใช้งานทั่วไป ถือว่า MIUI 12 ที่ออกแบบมาให้ใช้งานบน Android 10 นั้นลื่นไหลดี เมื่อเทียบกับระดับราคาเครื่องที่อยู่ราว 4,500 – 7,500 บาท

แต่ถ้ามองถึงดีไวซ์ที่จะมาใช้เล่นเกมลื่นๆ อาจจะต้องมองข้ามทั้ง 2 รุ่นนี้ไปแล้วมองหารุ่นพี่อย่าง Mi 10T ในระดับราคาหมื่นบาทขึ้นไปแทน จะตอบโจทย์การเล่นเกมได้มากกว่าอย่างชัดเจน

ในส่วนของกล้อง ต้องยอมรับว่าด้วยระดับราคาของเครื่อง คุณภาพที่ได้จากการถ่ายภาพเลนส์ 48 ล้านพิกเซล ในสภาพแสงปกตินั้น ถือว่าอยู่ในระดับที่รับได้ แต่กลับกันการถ่ายภาพในที่แสงน้อยเป็นวุ้นๆ ค่อนข้างเยอะ ทำให้ในภาพรวมถือว่ากล้องที่ได้ตามราคาที่จ่ายไป

อีกจุดที่น่าเสียดายไม่น้อยเลยคือการที่ Redmi ทั้ง 2 เครื่องมีการพรีโหลดแอปพลิเคชันที่ไม่จำเป็นมาให้ด้วย รวมถึงการฝังโฆษณามาในแอปพลิเคชันต่างๆ ดังนั้น หลังจากเปิดใช้งานเครื่องแล้ว ถ้ามีแอปพลิเคชันไหนที่คิดว่าไม่ได้ใช้งานแน่ๆ ก็สามารถลบแอปฯ ที่พรีโหลดมาให้ช่วยเพิ่มพื้นที่ว่างในเครื่องได้ด้วย

ทดสอบประสิทธิภาพ

Redmi Note 9T

Redmi 9T

ส่วนของการทดสอบประสิทธิภาพ จะเห็นว่า Redmi 9T ถือว่าทำคะแนนออกมาได้อยู่ในระดับกลางๆ ในขณะที่ Redmi Note 9T ตัวเครื่องแรงกว่าอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งานเป็นหลักมากกว่า

อย่างไรก็ตาม เมื่อทดสอบในแง่ของแบตเตอรรี Redmi 9T ที่มากับแบตเตอรีขนาด 6,000 mAh นั้นใช้งานได้แบบเปิดจอตลอดกว่า 12 ชั่วโมงครึ่ง และแบตเตอรียังเหลืออีก 20% ในขณะที่ Redmi Note 9T ใช้งานได้ต่อเนื่องเกือบๆ 9 ชั่วโมง

ดังนั้น ถ้าต้องการสมาร์ทโฟนแบตอึด ใช้งานได้ยาวๆ เปิดหนัง ฟังเพลง Redmi 9T สามารถใช้งานได้ตลอดวัน ส่วน Redmi Note 9T แม้ว่าจะใช้งานต่อเนื่องได้น้อยกว่า แต่ก็แลกมากับการเชื่อมต่อ 5G ที่ได้ความเร็วในการใช้งานเร็วขึ้นด้วย

สรุป

Redmi 9T และ Redmi Note 9T ถือว่าเข้ามาสานต่อความสำเร็จของซีรีส์ Redmi 9 ที่ขายไปแล้วมากกว่า 20 ล้านเครื่องได้อย่างน่าสนใจ โดยจุดเด่นหลักของ Redmi 9T คือเรื่องของแบตเตอรี ในขณะที่ Redmi Note 9T จะเน้นการเชื่อมต่อ 5G

ดังนั้นใครที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนราคาเข้าถึงได้ในช่วง 4,500 – 7,500 บาท ลองดูทั้ง 2 รุ่นนี้เป็นตัวเลือกได้ เพราะในการใช้งานทั่วๆ ไป เพียงพอกับการใช้งานแน่นอน แต่ถ้ามีงบประมาณในระดับหมื่นบาท Mi 10T ยังเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสุดของ Xiaomi ในเวลานี้

  • Redmi Note 9T ขนาด 4 GB + 64 GB ราคาพิเศษ 5,999 บาท จากราคาปกติ 6,999 บาท เลือกซื้อได้ที่ลิงก์ https://bit.ly/38eS2xu
  • Redmi Note 9T ขนาด 4 GB + 128 GB ราคาพิเศษ 6,599 บาท จากราคาปกติ 7,499 บาท เลือกซื้อได้ที่ลิงก์ http://bit.ly/3ngkjYP
  • Redmi 9T ขนาดความจุ 4 GB + 64 GB ราคา 4,499 บาท วางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2564
  • Redmi 9T ขนาดความจุ 6GB + 12 GB ราคา 5,299 บาท วางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม 2564

Gallery

]]>
Review : Sony Xperia 5 II เครื่องแรง กล้องดี จับถือถนัดมือ https://cyberbiz.mgronline.com/review-sony-xperia-5-ii/ Tue, 29 Dec 2020 11:49:11 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34406

โซนี่ (Sony) ยังคงความโดดเด่นในการผลิตสมาร์ทโฟนในขนาดตัวเครื่องที่พกพาใช้งานง่าย ด้วยการเลือกผลิตสมาร์ทโฟนในสัดส่วนหน้าจอแบบ 21:9 ต่อเนื่องจากในช่วงกลางปีที่นำเสนอ Xperia 1 II ตามด้วยการส่ง Xperia 5 II สู่ตลาดในช่วงปลายปี

ความโดดเด่นของ Xperia 5 II ถือพัฒนาขึ้นมาจากรุ่นก่อนหน้าคือ ปรับหน้าจอแสดงผลให้รองรับ Refresh Rate 120 Hz ในขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้ว ใส่สเปกจัดเต็มมาด้วย Snapdragon 865 5G ทำให้รองรับการใช้งานยาวๆ ต่อไปในอนาคต

อีกจุดก็คือการนำเทคโนโลยีที่โซนี่ มีความเชี่ยวชาญทั้งด้านภาพ เสียง และกล้องถ่ายภาพ มารวมกันไว้ให้ใช้งานในสมาร์ทโฟนเครื่องนี้ ทำให้โดยรวมแล้ว รุ่นนี้จะเข้ามาตอบโจทย์ผู้ที่ช่ืนชอบ โซนี่ และต้องการเครื่องในระดับราคาไม่เกิน 30,000 บาท ได้อย่างแน่นอน

ข้อดี

  • ตัวเครื่องขนาดพอดีมือ
  • หน้าจอรองรับ Refresh Rate 120 Hz
  • กันน้ำ กันฝุ่น IP65/68
  • มีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม.

ข้อสังเกต

  • รองรับ 5G บนคลื่น 700 MHz ทำให้ต้องรอโอเปอเรเตอร์ในไทยขยายพื้นที่ให้บริการ
  • ไม่รองรับการชาร์จไร้สาย

การออกแบบ

Sony Xperia 5 II ถือว่าอยู่ในกลุ่มสมาร์ทโฟนที่มีขนาดตัวเครื่องเล็ก พกพาง่าย เพราะสามารถถือใช้งานได้ด้วยมือข้างเดียว จากการที่โซนี่เลือกใช้สัดส่วนหน้าจอแบบ CinemaWide 21:9 ทำให้มือถือขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้ว มาในทรงยาวคล้ายรีโมททีวีเช่นเดิม

จนกลายเป็นจุดเด่นที่ทำให้ผู้ที่ชื่นชอบโซนี่ ให้ความสนใจ เพราะจะได้มือถือที่ถือใช้งานมือเดียวได้สะดวก ในขนาดตัวเครื่อง 158 x 68 x 8 มิลลิเมตร น้ำหนัก 163 กรัม นอกจากนี้ ตัวเครื่องยังกันน้ำ กันฝุ่นมาตรฐาน IP65/68 อีกด้วย


ในส่วนของหน้าจอที่ให้มาเป็นกระจก Corning Gorilla Glass 6 ขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้ว ที่เป็นจอแบบ OLED HDR ความละเอียด FHD+ (2520 x 1080 พิกเซล) ความน่าสนใจก็คือมากับอัตรารีเฟรชที่ 120 Hz พร้อมเทคโนโลยี Motion Blur Reduction 240 Hz และอัตราการสัมผัสที่ 240 Hz

ส่วนบนของหน้าจอมีกล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล f/2.0 ซึ่งด้วยการที่โซนี่ ไม่ได้เลือกใช้จอแบบเจาะรู ทำให้ยังมีการเว้นพื้นที่บริเวณขอบบน และขอบล่างของหน้าจออยู่ ซึ่งกลายเป็นช่วยให้เวลาใช้งานตัวเครื่องในแนวนอน อุ้งมือจะไม่ไปสัมผัสโดนหน้าจอในขณะถือใช้งานด้วย

รอบตัวเครื่องของ Xperia 5 II ทางฝั่งซ้าย จะมีช่องใส่ซิมการ์ดแบบไฮบริด ที่สามารถเลือกใส่นาโนซิมการ์ด พร้อมกับ MicroSDXC ความจุสูงสุด 1 TB ที่จะมีซีลยางปิดไว้เพื่อป้องกันน้ำกันฝุ่น ทำให้ไม่ต้องใช้งานร่วมกับเข็มจิ้มซิม

ทางฝั่งขวา จะมีทั้งปุ่มเพิ่มลดเสียง ปุ่มเปิดเครื่องที่ใช้เป็นจุดสแกนลายนิ้วมือเพื่อปลดล็อกตัวเครื่อง ปุ่มลัดสำหรับเรียกใช้งาน Google Assistant และปุ่มเรียกใช้งานกล้อง ที่เปลี่ยนเป็นชัตเตอร์ในการถ่ายภาพเมื่อเข้าสู่โหมดกล้องด้วย

ด้านบนมีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. มาให้ใช้งานเพื่อให้ได้คุณภาพเสียงที่ดีขึ้น และลดสัญญาณรบกวนลดเหลือน้อยกว่า 20dB ด้านล่าง จะมีช่องไมโครโฟน และ USB-C ให้เสียบชาร์จแบตเตอรี และเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ตามปกติ

ด้านหลัง Xperia 5 II มากับกล้องหลัก 3 เลนส์ ที่นำชิ้นเลนส์ของ ZEISS มาใช้งาน ความละเอียดเท่ากันทั้งหมดที่ 12 ล้านพิกเซล ใน 3 ระยะเลนส์ เริ่มต้นที่เลนส์ปกติ 24 มม. f/1.7 ตามด้วยเลนส์ซูม 70 มม. f/2.4 และเลนส์มุมกว้าง 16 มม. f/2.2 พร้อมกับไฟแฟลช โดยมีสัญลักษณ์ NFC อยู่ข้างๆ กล้องด้วย

ภายในตัวเครื่องให้แบตเตอรีมาขนาด 4000 mAh รองรับการชาร์จเร็วแบบ USB PD (USB Power Delivery) เมื่อใช้งานร่วมกับอะเดปเตอร์ที่ปล่อยไฟ 21W ขึ้นไป จะสามารถชาร์จได้ 50% ภายใน 30 นาที

ในส่วนของสเปกตัวเครื่อง มากับซีพียู Qualcomm Snapdragon 865 RAM 8 GB พื้นที่เก็บข้อมูลในตัวเครื่อง 256 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 10 และรองรับการอัปเกรดเป็น Android 11 ในอนาคตอันใกล้นี้

ขณะที่การเชื่อมต่อรองรับ WiFi 6 บลูทูธ 5.1 พร้อมระบบระบุพิกัด (GPS) รวมถึง 4G และ 5G เพียงแต่ไม่รองรับการใช้งานบนคลื่น 2600 MHz ทำให้ต้องรอโอเปอเรเตอร์ในไทยนำคลื่น 700 MHz มาให้บริการ 5G ก่อนถึงจะสามารถใช้งานได้ หรือรอการประมูลคลื่น 3500 MHz ที่เป็นอีกหนึ่งคลื่นมาตรฐานของ 5G

รวมความเชี่ยวชาญ โซนี่ สู่มือถือ

ด้วยการที่จุดเด่นของสมาร์ทโฟน Xperia ของโซนี่ คือการนำความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีทั้งการแสดงผล จากโทรทัศน์ Bravia กล้องจาก Alpha และระบบเสียงระดับ Hi-Res Audio มาผสมผสานออกมากลายเป็นสมาร์ทโฟนที่ครบเครื่อง

Sony Xperia 5 II จึงกลายเป็นสมาร์ทโฟนที่มีความครบเครื่องทั้งเรื่องของการถ่ายภาพวิดีโอ ภาพนิ่ง ระบบการแสดงผลบนหน้าจอ CinemaWide ประสบการณ์เล่นเกม จากขุมพลังของ Snapdragon 865 รวมกับการที่มีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. มาให้ใช้งานคู่กับหูฟัง จึงทำให้รุ่นนี้มีความครบเครื่องในแง่ของการส่งมอบความบันเทิงเป็นอย่างมาก

แน่นอนว่า เมื่อเทียบกับ Xperia 1 II ที่วางจำหน่ายไปก่อนหน้า อาจจะมีบางอย่างเช่นเรื่องขนาดของหน้าจอที่ใหญ่กว่า (6.5 นิ้ว ความละเอียด 4K) แต่เป็น Refresh Rate 60 Hz กล้องหลักมีเซ็นเซอร์ 3D มาช่วยในการโฟกัสเพิ่มเติม และขนาดเครื่องที่ใหญ่กว่า

แต่เมื่อดูในแง่ของความคุ้มค่าแล้ว Xperia 5 II ในระดับราคาที่ต่ำกว่า เพราะเปิดราคามา 28,990 บาท แม้จะได้จอเล็กลงเป็น 6.1 นิ้ว แต่ในภาพรวมของการใช้งานแล้ว ถือว่าพกพาง่าย รองรับการแสดงผลในระดับ Refresh Rate 120 Hz ทำให้การเล่นเกมทำได้ลื่นไหลมากกว่าด้วย

ทีนี้ มาเจาะลึกถึงความสามารถของ Xperia 5 II กันบ้าง เริ่มจากจุดเด่นที่สุดของรุ่นนี้คือหน้าจอขนาด 6.1 นิ้ว นั้นมีการนำชิป X1 สำหรับมือถือ ในการแสดงผลเทคโนโลยี Bravia HDR ช่วยให้คอนเทนต์ที่รับชมมีสีสัน และคมชัดมากขึ้นกว่าปกติ ขณะเดียวกัน ประสบการณ์เล่นเกมบนหน้าจอสัมผัสที่แสดงผลแบบ 120 Hz และรองรับอัตราการสัมผัสที่ 240 Hz จะช่วยให้เล่นเกมได้สนุกขึ้นด้วย

ถัดมาคือเรื่องของกล้องที่โซนี่ เลือกนำเทคโนโลยีกล้องจาก Alpha มาช่วยเสริมประสิทธิภาพของกล้องบนสมาร์ทโฟน ทำให้ Xperia 5 II สามารถตรวจจับโฟกัสดวงตาแบบอัตโนมัติ ช่วยให้ถ่ายภาพผู้คน หรือสัตว์ที่กำลังเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว

ประกอบกับการนำเลนส์ ZEISS มาใช้ร่วมกับเซ็นเซอร์กล้องหลัก Exmor RS ขนาด 1/1.7 นิ้ว ทำให้สามารถเก็บรายละเอียดได้คมชัด มีการนำระบบประมวลผลภาพ BIONZ X มาใช้ให้ถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดียิ่งขึ้น

โดยความน่าสนใจคือโหมดถ่ายภาพที่ให้มาใน Xperia 5 II คือการมีแอปกล้องให้เลือกใช้งานทั้งสำหรับการใช้งานทั่วไปแบบอัตโนมัติ จนถึงแอปฯ ถ่ายภาพสำหรับมืออาชีพ ให้เลือกปรับแต่งการตั้งค่าต่างๆ ได้ด้วยตนเอง ช่วยให้สามารถสร้างสรรค์ภาพนิ่ง และวิดีโอได้อย่างที่ต้องการ

ทดสอบประสิทธิภาพ

สำหรับประสิทธิภาพของของ Sony Xperia 5 II นั้นต้องยอมรับว่าอยู่ในกลุ่มของสมาร์ทโฟนเรือธงอยู่แล้ว ทำให้รองรับการใช้งานต่างๆ บนสมาร์ทโฟนได้ครบถ้วน และที่สำคัญเมื่อจอมีขนาดเล็กลงทำให้การใช้งานแบตเตอรีต่อการชาร์จทำได้นานขึ้นมากกว่า 13 ชั่วโมง

สรุป

สำหรับผู้ที่สนใจ Sony Xperia 5 II โดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบสมาร์ทโฟนขนาดพกพาง่าย การเปิดราคาค่าตัวที่ 28,990 บาท ถือว่าไม่ใช่ราคาที่สูงเกินไปนัก เพราะได้เข้าถึงเทคโนโลยีทั้งเรื่องภาพ กล้อง เสียง จากโซนี่ รวมถึงการเลือกใช้ซีพียูระดับไฮเอนด์ ทำให้สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องยาวๆ

อย่างไรก็ตาม Xperia 5 II อาจจะไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการใช้งาน 5G ในไทยเท่าไหร่ เพราะตัวเครื่องไม่ได้รองรับคลื่น 2600 MHz ซึ่งเป็นคลื่นหลักที่โอเปอเรเตอร์นำมาให้บริการ แต่ในอนาคตถ้ามีการนำคลื่น 3500 MHz มาประมูล เครื่องรุ่นนี้จะรองรับการใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพแน่นอน

Gallery

]]>
Review : Motorola Razr 5G ปลุกตำนานสมาร์ทโฟนจอพับ https://cyberbiz.mgronline.com/review-motorola-razr-5g/ Tue, 22 Dec 2020 07:15:24 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34351

การกลับมาทำตลาดสมาร์ทโฟนในไทยอีกครั้งของ โมโตโรล่า (Motorola) ในปีนี้ ไม่ใช่มาแค่สมาร์ทโฟนระดับกลางล่าง ในซีรีส์ยอดนิยมอย่าง Moto G เท่านั้น แต่มีการนำนวัตกรรมจอพับอย่าง Razr 5G เข้ามาขายในไทยด้วย

ความโดดเด่นของ Motorola Razr 5G คือการนำดีไซน์สุดคลาสสิกของ Razr ในทรงฝาพับเครื่องบาง กลับมาทำตลาดอีกครั้ง กับสมาร์ทโฟนจอพับของโมโตโรล่า ที่ได้รับการอัปเกรดให้รองรับ 5G

เมื่อเทคโนโลยีจอพับ เริ่มกลายเป็นนวัตกรรมที่เข้าถึงได้ของสมาร์ทโฟน หลังจากที่เห็นหลายๆ แบรนด์เริ่มผลิตมือถือจอพับออกสู่ตลาด จึงไม่แปลกที่แบรนด์อย่าง Motorola ที่โดดเด่นในเรื่องสมาร์ทโฟนจอพับทรงคลาสสิกจะให้ความสนใจ

Motorola Razr เป็นสมาร์ทโฟนจอพับที่มากับจอแสดงผล 2 หน้าจอ ให้ใช้งานด่วนๆ ด้านนอก และใช้งานแบบเต็มที่เมื่อกางหน้าจอออกมา ทำให้ได้ขนาดจอ 6.2 นิ้ว ในตัวเครื่องเล็ก พกพาง่าย ในราคา 44,990 บาท

ข้อดี

  • สมาร์ทโฟนจอพับหน้าจอ 6.2 นิ้ว
  • รองรับการเชื่อมต่อ 5G
  • กล้องหลัก 48 ล้านพิกเซล ที่ใช้ถ่ายเซลฟี่ได้ด้วย
  • ตัวเครื่องแข็งแรง โดนเฉพาะข้อต่อพับหน้าจอ

ข้อสังเกต

  • ไม่กันน้ำ กันฝุ่น จากการที่ตัวเครื่องเป็นจอพบ
  • ปุ่มสแกนลายนิ้วมือ อยู่ในตำแหน่งที่ใช้งานได้ยาก
  • ไม่มีกล้องมุมกว้าง-เทเลโฟโต้มาด้วย
  • ราคาค่อนข้างสูง

มือถือจอพับ ปลุกตำนาน RAZR

ถ้ามองไปในยุคของโทรศัพท์มือถือจอพับสมัยก่อน เชื่อว่า Motorola Razr ได้กลายเป็นโทรศัพท์เครื่องโปรดของใครหลายๆ คนที่อาจจะเคยใช้งาน หรือได้สัมผัสถึงความบางของมือถือในยุคนั้น

จนทำให้ Razr กลายเป็นหนึ่งในตำนานที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของ Motorola และมีการนำซีรีส์นี้กลับมาผลิตใหม่ในยุคสมาร์ทโฟนหลายๆ ครั้ง เพียงแต่ที่ผ่านมานวัตกรรมจอพับยังไม่เกิดขึ้น ทำให้เน้นจุดเด่นเรื่องความบางของตัวเครื่องเป็นหลัก

ในวันที่มือถือจอพับกลับมาเป็นเทคโนโลยีใหม่ในตลาดอีกครั้ง Motorola จึงไม่รอช้าที่จะนำซีรีส์ Razr กลับมาปัดฝุ่นใหม่อีกครั้ง ในการเป็นสมาร์ทโฟนจอพับ ที่จะเรียกความเชื่อมั่นแบรนด์กลับมา

ดีไซน์ของ Motorola Razr 5G นั้น ถือว่าพยามนำจุดเด่นของ Razr กลับมา ในการเป็นมือถือจอพับแบบฝาหอย แต่ด้วยข้อจำกัดหลายๆ อย่างทำให้ตัวเครื่องเวลาพับหน้าจอนั้น ยังค่อนข้างหนาอยู่

ขนาดของตัวเครื่องเวลาพับจะอยู่ที่ 91.7 x 72.6 x 16 มิลลิเมตร ด้านหน้าจะมีจอแสดงผลขนาด 2.7 นิ้ว (800 x 600 พิกเซ,)ให้ใช้สั่งงานแบบง่ายๆ ในกรณีที่ต้องการเข้าถึงข้อมูลในสมาร์ทโฟนแบบด่วนๆ

ด้านล่างหน้าจอจะเป็นกล้องหลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลช ซึ่งการที่มี 2 จอทำให้สามารถใช้กล้องนี้ในการถ่ายภาพเซลฟี่ได้เช่นเดียวกัน

เมื่อกางหน้าจอขึ้นมาตัวเครื่องจะอยู่ที่ 169.2 x 72.6 x 7.9 มิลลิเมตร น้ำหนักจะอยู่ที่ 192 กรัม ถ้าดูที่ความหนาของตัวเครื่องเมื่อพับหน้าจอจะอยู่ที่ 16 มิลลิเมตร ซึ่งถือว่าค่อนข้างหนาเมื่อเทียบกับขนาดของสมาร์ทโฟนทั่วไป แต่เมื่อกางหน้าจอออกมาเหลือ 7.9 มิลลิเมตร ก็นับว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่บางมากๆ รุ่นหนึ่ง

ในส่วนของหน้าจอแสดงผลด้านในจะมีขนาด 6.2 นิ้ว (2142 x 876 พิกเซล) ในสัดส่วน 21:9 ซึ่งจะเห็นว่าจอค่อนข้างยาว เมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนทั่วไปในท้องตลาด โดยจอจะมีแถบกล้องหน้าความละเอียด 20 ล้านพิกเซล อยู่ด้วย

สำหรับปุ่มควบคุมรอบตัวเครื่องทางซ้าย จะมีปุ่มเปิดเครื่องอยู่ที่ขอบจอส่วนบน และปุ่มปรับระดับเสียงอยู่ทางฝั่งขวา ทำให้เวลากางหน้าจอใช้งาน จะรู้สึกว่าตำแหน่งของปุ่มอยู่สูงไปสักหน่อย

ด้านหลังเครื่อง จะมีสัญลักษณ์ของ Motorola อยู่ ซึ่งเป็นที่อยู่ของเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือด้วย ซึ่งเวลาถือจะปลดล็อกใช้งานต้องขยับจุดในการจับตัวเครื่องเล็กน้อย ถึงจะสามารถสแกนลายนิ้วมือได้อย่างง่ายๆ

ส่วนข้อต่อจอพับของ Motorola Razr 5G นั้นถูกออกแบบมาได้เป็นอย่างดี และถือว่าทำมาได้แข็งแรงมากๆ เพราะด้วยลักษณะการใช้งานของมือถือฝาพับ ในกรณีที่สะดวกเปิดใช้งานมือเดียว เรายังสามารถใช้นิ้วแทรกเข้าไป และเหวี่ยงหน้าจอให้เปิดได้เหมือนเดิม

ด้านล่างของเครื่องจะมีพอร์ต USB-C ถาดใส่ซิมการ์ดแบบนาโนซิม ไมโครโฟน และลำโพงอยู่ ซึ่งทำให้บริเวณนี้หนาขึ้นมาเล็กน้อย ส่งผลให้เวลาสัมผัสขอบล่างของหน้าจอจะชอบโดนตรงจุดนี้เป็นประจำ

แบตเตอรีของ Motorola Razr 5G มีขนาด 2800 mAh รองรับการชาร์จเร็วแบบ TurboPower 15W โดยเท่าที่ใช้งานมา แม้ว่าจะเชื่อมต่อ 5G ตลอดเวลา ก็สามารถใช้งานได้ตลอดวันสบายๆ

สเปก

ในส่วนของสเปกตัวเครื่อง Motorola Razr 5G มากับซีพียู Qualcomm Snapdragon 765G กราฟิก Aderno 620 RAM 8 GB พื้นที่เก็บข้อมูล 256 GB (ไม่สามารถใส่ MicroSD การ์ดเพิ่มเติมได้)

รองรับการเชื่อมต่อทั้ง 4G 5G Wi-Fi 5 บลูทูธ 5.1 NFC GPS เรียกว่าใส่มาให้ครบถ้วนทั้งหมด ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 10 ที่รองรับการอัปเกรดเป็น Android 11 ในอนาคต

การใช้งาน RAZR 5G

ด้วยการที่ตัวเครื่อง Razr 5G มีหน้าจอแสดงผลภายนอก ที่เรียกว่า Quick View มาให้ใช้งานด้วย ในหน้าจอนี้ เราสามารถเข้าถึงการใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ ได้ทันทีที่เราปลดล็อกเครื่อง

ดังนั้นถ้ามีข้อความแจ้งเตือนเข้ามา ก็สามารถใช้นิ้วปลดล็อกที่เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือด้านหลังเครื่อง เพื่อดูข้อความได้ทันที หรือแม้แต่เข้าใช้งานแอปโซเชียลมีเดียต่างๆ

โดยผู้ใช้สามารถเข้าไปเลือกตั้งแอปฯ ด่วนที่ใช้งานประจำไว้เรียกใช้งานได้ นอกจากนี้ยังสามารถใช้เข้าโหมดกล้องเพื่อถ่ายภาพจากกล้องหลัง 48 ล้านพิกเซลได้ทันที

ความน่าสนใจก็คือเวลาที่ใช้งานแอปฯ ในหน้าจอเล็กอยู่แล้วเปิดฝาขึ้นมา ถ้าเป็นแอปที่รองรับการใช้งานแบบต่อเนื่อง อย่างแอปของ Google อย่าง Maps หรือ YouTube ก็สามารถเข้าถึงคอนเทนต์ได้ต่อทันที

เมื่อเปิดฝาพับขึ้นมา ก็จะพบกับหน้าจออินเตอร์เฟสแบบ My UX ที่มาพร้อม Android 10 แบบโล่งๆ ไม่ได้มีการปรับแต่งอะไรเพิ่มเติมมากนัก ทำให้การใช้งานโดยรวมค่อนข้างลื่นไหล

ในส่วนของกล้องถ่ายภาพที่ให้มาทั้งกล้องหลัก 48 ล้านพิกเซล และกล้องเซลฟี่ 20 ล้านพิกเซล ก็ถือว่าเพียงพอกับการใช้งานอยู่แล้ว

ตัวเครื่อง Razr 5G ยังมีฟีเจอร์การควบคุมต่างๆ (Moto Actions) ที่น่าสนใจ อย่างการถ่ายภาพด่วน สามารถทำได้ด้วยการสบัดข้อมือ 2 ครั้ง เปิดไฟฉายด้วยการเขย่ายเครื่อง 2 ครั้ง หรือการใช้สามนิ้วแตะที่หน้าจอค้าง เพื่อจับภาพหน้าจอ มาให้เพิ่มเติมด้วย

สำหรับการใช้งานทั่วไป Razr 5G ถือว่ารองรับทุกรูปแบบการใช้งานอยู่แล้ว แต่ด้วยตัวเครื่องที่มาเป็นลักษณะของฝาพับ อาจจะไม่เหมาะกับการใช้งานเล่นเกมมากสักเท่าไหร่ เนื่องจากเวลาใช้งานตัวเครื่องในแนวนอน บริเวณขอบเครื่องด้านล่างจะทำให้การสัมผัสหน้าจอแถวๆ นั้นยากขั้น

ประกอบกับตัวจอแสดงผลที่เป็นแบบจอพับ ยังไม่ได้เรียบเนียนเหมือนจอแสดงผลแบบปกติ ทำให้เวลาลูบผ่านจะรู้สึกว่าจอบริเวณแกนฝาพับนั้นยุบลงไปเล็กน้อย

อีกอย่างคือจอพับของ Razr 5G นั้น ยังไม่สามารถใช้งานในลักษณะของการงอหน้าจอเหมือนใน Galaxy Z Flip ทำให้ลักษณะการใช้งานจะอยู่ในรูปแบบของการกางจอจนสุดเท่านั้น

สรุป

Motorola Razr 5G ได้เรียกกลิ่นอายของ Razr กลับมาได้อย่างน่าสนใจ ผู้ที่ชื่นชอบโทรศัพท์แบบฝาพับน่าจะชื่นชอบรุ่นนี้ได้ไม่ยาก ที่สำคัญคือการที่ตัวเครื่องรองรับ 5G ทำให้สามารถใช้งานได้ยาวๆ

เช่นเดียวกับงานประกอบ และวัสดุของตัวเครื่อง ที่ให้ความรู้สึกพรีเมียม แกนของฝาพับทำได้แข็งแรง รองรับการพับจอ และกางจอได้เป็นอย่างดี

แต่ด้วยลักษณะของการใช้งานจะเน้นที่การใช้เป็นโทรศัพท์ และใช้งานทั่วๆ ไปมากกว่า ไม่ได้เด่นในแง่ของกล้องถ่ายภาพ หรือการเล่นเกม เพราะให้กล้องมาระยะเดียว และซีพียูที่เลือกใช้ก็ไม่ใช่รุ่นท็อปสุด

Motorola Razr 5G วางจำหน่ายแล้วในราคา 44,990 บาท มีให้เลือกสีเดียวคือ สีเทาเข้ม Polished Graphite

]]>
Review : Xiaomi Mi 10T Pro สมาร์ทโฟน 5G สเปกเรือธง ราคาคุ้มค่า https://cyberbiz.mgronline.com/review-xiaomi-mi-10t-pro/ Mon, 30 Nov 2020 06:35:13 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34274

หนึ่งในปรากฏการณ์ เสียวหมี่ (Xiaomi) ที่เกิดขึ้นในปี 2020 คือการสร้างความคุ้มค่าในการเข้าถึงสมาร์ทโฟน 5G ให้คนไทยได้ใช้งานเครื่องประสิทธิภาพสูงในระดับไฮเอนด์ ในราคา 13,990 บาท ทำให้แบรนด์ของ Xiaomi ได้รับการพูดถึงมากยิ่งขึ้น

ภาพของการต่อแถวจองเครื่องสมาร์ทโฟนในระดับราคาหมื่นกลางๆ นั้นแทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศไทย จะมีก็แต่มือถือระดับไฮเอนด์เกิน 2 หมื่นบาท เท่านั้นที่เคยเกิดขึ้น แต่ Xiaomi ทำได้ ในการเปิดจอง Mi 10T และ Mi 10T Pro

ความโดดเด่นของ Mi 10T Pro คือการเป็นสมาร์ทโฟนที่ครบเครื่องในระดับราคาที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของได้ ด้วยการเลือกนำซีพียูอย่าง Snapdragon 865 มาใช้งานร่วมกับโมเด็มที่รองรับ 5G หน้าจอที่ตอบสนองการแสดงผลแบบ 144 Hz แบต 5000 mAh รองรับชาร์จเร็ว 33W ในราคาเริ่มต้น 13,990 บาท

ข้อดี

  • ประสิทธิภาพสูงจาก Snadragon 865
  • หน้าจอ 6.67 นิ้ว แบบ Adaptive Display 144 Hz
  • รองรับการใช้งาน 5G ในไทย

ข้อสังเกต

  • ไม่รองรับระบบชาร์จไร้สาย
  • ฝาหลังเป็นรอยนิ้วมือค่อนข้างง่าย

ดีไซน์ตัวเครื่อง

Xiaomi Mi 10T Pro ใช้วัสดุเป็นอะลูมิเนียมผสมกับกระจกหน้าหลัง ทำให้ตัวเครื่องดูมีความหรูหรามากยิ่งขึ้น โดยมีให้เลือกทั้งหมด 3 สี คือ ดำ Cosmic Black เงิน Lunar Silver และ น้ำเงิน Aurora Blue ขนาดตัวเครื่อง 165.1 x 76.4 x 9.33 มิลลิเมตร น้ำหนัก 218 กรัม 

อย่างไรก็ตาม หน้าจอของ Mi 10T Pro ขนาด 6.67 นิ้ว ยังคงเลือกใช้หน้าจอแบบ LCD ไม่ได้เปลี่ยนมาใช้จอ OLED ที่ให้สีสันสดใสกว่า แต่ก็แลกมากับรองรับการ Refresh Rate สูงสุดที่ 144 Hz โดยตัวเครื่องจะมีระบบอย่าง AdaptiveSync มาช่วยคำนวนการปรับอัตราการแสดงผลให้เหมาะสมเพื่อประหยัดพลังงานมากขึ้น

กล้องหน้าแบบเจาะรูที่ให้มาความละเอียด 20 ล้านพิกเซล f/2.2 มีโหมดถ่ายภาพบุคคลมาให้ ทำงานร่วมกับ AI ในการตรวจจับฉากหลังต่างๆ ถ่ายวิดีโอได้สูงสุด Full HD 30 fps

ด้านหลังของตัวเครื่องด้วยการที่ใช้กระจก ทำให้สะท้อนแสงได้หลากหลายมุม และมีรอยนิ้วมือติดค่อนข้างง่าย โดยมีชุดเลนส์กล้องอยู่ที่มุมซ้ายบน ร่วมกับไฟแฟลช และมีสัญลักษณ์ Mi อยู่ที่ซ้ายล่าง

ด้านซ้าย จะถูกปล่อยว่างไว้ ด้านขวามีปุ่มเปิดปิดเครื่อง ที่ฝั่งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือมาให้ด้วย และปุ่มเพิ่มลดเสียง ด้านล่างจะมีช่องใส่ถาดซิม ลำโพง และพอร์ต USB-C สำหรับเสียบสายชาร์จ และเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์

รองรับ 5G ราคาคุ้มค่า

การทำราคาจำหน่ายของ Xiaomi Mi 10T 5G ในราคา 13,990 บาท นั้นเรียกได้ว่า ทำให้ตลาดราคาสมาร์ทโฟนระดับไฮเอนด์ได้รับผลกระทบพอสมควร โดยเฉพาะในกลุ่มของ Galaxy S20 FE ที่ใช้หน่วยประมวลผลรุ่นเดียวกัน แต่ราคาอยู่ที่ราว 2 หมื่นบาท

ประกอบกับการที่ เสียวหมี่ มองว่ารุ่นนี้เป็นเครื่องไฮไลท์ส่งท้ายปี ที่มากระตุ้นตลาดสมาร์ทโฟน และยอดขายของเสียวหมี่ให้เติบโต จึงทำให้ตั้งราคามาได้น่าสนใจ โดยสามารถเลือกได้ตั้งแต่ 11,990 – 15,990 บาท ขึ้นอยู่กับว่าต้องการสเปกไหน รองรับ 5G หรือไม่

ดังนั้น ถ้าใครที่มีงบประมาณจำกัดอยู่ในช่วงหมื่นต้นๆ Xiaomi Mi 10T ซีรีส์ ถือว่าเป็นรุ่นที่ตอบโจทย์ได้อย่างแน่นอน ทั้งเรื่องของหน้าจอ การเชื่อมต่อ กล้องถ่ายภาพ แบตเตอรี และการใช้งานตัวเครื่องที่ลื่นไหล

จุดแตกต่างระหว่าง Mi 10T และ Mi 10T Pro หลักๆ แล้วจะอยู่ที่กล้องหลัก 64 ล้านพิกเซล และ 108 ล้านพิกเซล ตามลำดับ ให้สเปกสูงสุดที่ RAM 8 GB ROM 256 GB และมีรุ่นเล็กอย่าง Mi 10T 5G RAM 6 GB ROM 128 GB ออกมาให้เลือกในราคาเริ่มต้นที่ 11,990 บาทเท่านั้น

ที่สำคัญคือทุกรุ่นรองรับการเชื่อมต่อ 5G นั่นแปลว่า ซื้อเครื่องแล้วสามารถใช้งานต่อไปได้ยาวๆ ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องหาเครื่อง 5G มาใช้งานในอนาคตอีก เพราะในไทยเครือข่าย 5G รองรับการใช้งานทั่วประเทศแล้ว และทำให้ประสบการณ์ใช้งานอินเทอร์เน็ตไร้สายดีขึ้นด้วย

เครื่องแรงกล้องดี

นอกเหนือจากการเชื่อมต่อเครือข่ายที่ดีแล้ว Mi 10T Pro ยังมากับหน่วยประมวลผลรุ่นท็อปอย่าง Snapdragon 865 ที่พัฒนาบนสถาปัยกรรมแบบ 7 นาโมเมตร ให้ประสิทธิภาพในการประมวลผลระดับสูง ทำให้รองรับการใช้งานที่หลากหลาย โดยเฉพาะการเล่นเกมที่ใช้สเปกสูงๆ จนถึงการประมวลผลภาพจากกล้องที่ดีขึ้น

ก่อนหน้านี้ Xiaomi เคยนำกล้องหลักความละเอียด 108 ล้านพิกเซล มาใช้งานกับ Mi Note 10 เพียงแต่ว่าใน่ชวงนั้น ทำงานกับซีพียูรุ่นรองลงมาทำให้เกิดปัญหาในการโปรเซสภาพที่ช้า แต่พอมาเป็น Mi 10T Pro ปัญหาดังกล่าวหายไป และได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างดี

ความน่าสนใจของ Mi 10T Pro คือมากับกล้องหลัง 4 เลนส์ โดยมีเลนส์หลัก 108 ล้านพิกเซล f/1.69 ที่ใช้เก็บรายละเอียด ตามด้วยเลนส์มุมกว้าง 13 ล้านพิกเซล f/2.4 และมาโคร 5 ล้านพิกเซล

เมื่อกล้องหลักความละเอียดสูงถึง 108 ล้านพิกเซล ทำให้เครื่องรุ่นนี้รองรับการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงระดับ 8K 24/30 fps ด้วยเช่นกัน ซึ่งเมื่อทำงานกับ Snapdragon 865 แล้วก็ยังประมวลผลออกมาได้รวดเร็ว แต่ในการใช้งานจริง วิดีโอความละเอียด 4K ก็เพียงพอกับการใช้งานแล้ว

แบตฯ ใช้งานได้ยาวๆ

อีกหนึ่งจุดที่ต้องยอมรับว่า Xiaomi ทำการบ้านมาดีคือ การเลือกใช้แบตเตอรีขนาด 5000 mAh เมื่อทำงานร่วมกับระบบปฏิบัติการ Android 10 ที่ครอบด้วย MIUI 12 ถือว่าจัดการพลังงงานได้ดีมาก

แม้ว่าจะเชื่อมต่อกับเครือข่าย 5G เล่นเกมต่อเนื่องก็สามารถใช้งานได้ตลอดวัน แต่จะมีแบตลดเร็วๆ บ้างในช่วงที่ใช้งานกล้องต่อเนื่อง เช่นเดียวกับการที่ตัวเครื่องร้อนขึ้นมา แต่ในภาพรวมถือว่าอยู่ในระดับที่รับได้

ขณะเดียวกัน เมื่อมากับระบบชาร์จเร็ว 33W ที่แถมอะเดปเตอร์แบบ USB-A to USB-C มาให้ในกล่อง ก็ช่วยให้การชาร์ตแบตเตอรีขนาด 5000 mAh ทำได้รวดเร็ว และไม่ใช้ระยะเวลามากเกินไป

ทดสอบประสิทธิภาพ

ในการใช้งาน Xiaomi Mi 10T Pro เรื่องการประมวลผลต่างๆ ถือว่าอยู่ในระดับท็อปอยู่แล้ว รองรับทั้งการเล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลง แต่ที่น่าสนใจคือด้วยหน้าจอที่ให้มาขนาดใหญ่ถึง 6.67 นิ้ว ทำให้การรับชมภาพยนต์แบบสตรีมมิ่งทำได้น่าสนใจมากขึ้น

โดยทาง Xiaomi ได้ทำพันธมิตรร่วมกับ Netflix ให้ลูกค้าที่ซื้อ Mi 10T Pro รับชม Netflix ฟรี 6 เดือนด้วย เมื่อลงทะเบียนภายในสิ้นเดือนมกราคม 2021

ส่วนการใช้งานแบตเตอรี เมื่อลองปรับการใช้งานระหว่างหน้าจอแบบ Adaptive Display 144 Hz เทียบกับ 60 Hz ใช้งานแล้วจะอยู่ที่ 17 ชั่วโมง เทียบกับ 20 ชั่วโมงตามลำดับ ซึ่งถือว่าเปิดใช้งานไว้ตลอดก็ไม่ได้ใช้พลังงานแบตเตอรีเพิ่มมากนัก ยังใช้งานได้ตลอดวันสบายๆ

สรุป

Xiaomi Mi 10T Pro ถือเป็นรุ่นเด่นที่สุดของ Xiaomi ในปีนี้ก็ว่าได้ เพราะด้วยการทำราคาที่น่าสนใจ กับให้สเปกมาสุด จึงทำให้กลายเป็นหนึ่งในสมาร์ทโฟนราคาคุ้มค่าที่สุดในตอนนี้ เพราะทั้งรองรับ 5G หน้าจอ 144 Hz แบตเตอรี 5000 mAh ก็ใช้งานยาวๆ ได้อีกหลายปีแล้ว

Gallery

]]>
Review : Samsung Galaxy Z Fold2 5G ประสบการณ์ 1 เดือนกับสมาร์ทโฟนจอพับ https://cyberbiz.mgronline.com/review-samsung-galaxy-z-fold2/ Mon, 26 Oct 2020 07:39:57 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34027

หลังจากออกสมาร์ทโฟนจอพับมาต่อเนื่องเป็นรุ่นที่ 3 ทำให้ ซัมซุง (Samsung) เห็นแล้วว่าความต้องการของผู้ใช้งานคืออะไร และต้องเพิ่มฟีเจอร์อะไรมาช่วยเพิ่มประสบการณ์ใช้งานให้ผู้ใช้ได้มากที่สุด และต้องยอมรับว่ารุ่นนี้ทำออกมาได้สมบูรณ์แบบแล้ว

ความน่าสนใจของ Samsung Galaxy Z Fold2 5G คือการเป็นสมาร์ทโฟนจอพับประสิทธิภาพสูง ที่สามารถกางหน้าจอออกมาเป็นหน้าจอใหญ่สำหรับใช้งานได้เต็มตา และที่สำคัญคือรองรับการแสดงผลแบบ 120Hz ด้วย พร้อมกับพัฒนาให้สามารถใช้งานได้หลากหลายรูปแบบมากขึ้น

ประกอบกับการที่กลุ่มผู้ใช้งานของ Galaxy Z Fold2 5G นั้นชัดเจนมากๆ คือเป็นกลุ่มผู้ใช้ที่ชื่นชอบเทคโนโลยี ต้องการสมาร์ทโฟนรูปแบบใหม่ๆ ที่มาช่วยตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริหาร และผู้สูงอายุที่ต้องการสมาร์ทโฟนจอใหญ่ และมีกำลังซื้อสูง

ดังนั้น Z Fold2 5G จึงทำให้ซัมซุง สามารถครองตำแหน่งผู้นำในตลาดสมาร์ทโฟนจอพับเวลานี้ได้อย่างไม่ยาก โดยนอกจาก Galaxy Z Fold2 5G แล้วก่อนหน้านี้สมาร์ทโฟนจอพับอย่าง Galaxy Z Filp ก็เป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมเช่นเดียวกัน

ข้อดี

  • สมาร์ทโฟนจอพับที่พัฒนารูปแบบการใช้งานได้หลากหลายขึ้น
  • จอภายนอกขนาดใหญ่ 6.2 นิ้ว กางหน้าจอออกมาเป็น 7.6 นิ้ว
  • ประสิทธิภาพสูง ตามความคาดหวังของสมาร์ทโฟนไฮเอนด์
  • โหมดถ่ายภาพใช้ความสามารถของจอพับได้น่าสนใจ

ข้อสังเกต

  • ระดับราคาค่อนข้างสูง (69,900 บาท)
  • จอภายนอกอัตราการแสดงผล 60 Hz
  • การใช้งานจอพับยังมีข้อจำกัดอย่างการที่ต้องระวังการขูดขีดหน้าจอภายใน

สมาร์ทโฟนจอพับรุ่นสมบูรณ์

ในปีที่แล้วตอนที่ Samsung เปิดตัว และเริ่มทำตลาด Galaxy Fold รุ่นแรกนั้น มีคำถามที่ตามมาหลายๆ เรื่องถึงรูปแบบการใช้งาน ความคงทนแข็งแรงต่างๆ จนทำให้รู้สึกเหมือนว่าเป็นรุ่นทดลอง หรือ โปรโตไทป์ ที่นำเสนอออกมาสู่ตลาด นำมาซึ่งเสียงตอบรับของผู้บริโภคให้ซัมซุง นำข้อมูลกลับไปปรับปรุงออกมาเป็นรุ่นถัดมา

ต่อด้วยในรุ่นอย่าง Z Flip ที่เปลี่ยนรูปแบบมาเป็นลักษณะของฝาพับ มีการเพิ่มฟีเจอร์การใช้งานแบบกางจอเพียงครึ่งเดียว เพื่อใช้ประโยชน์ของฝาพับด้านล่างให้กลายเป็นฐานในการใช้งาน ซึ่งรูปแบบการใช้งานนี้ยังไม่เกิดขึ้นกับ Galaxy Fold รุ่นแรก เพราะในรุ่นแรกจะไม่สามารถกางแบบไม่สุดได้

พอมาเป็นรุ่นที่พัฒนาล่าสุดอย่าง Galaxy Z Fold2 5G ต้องยอมรับว่า ปรับการใช้งานออกมาได้หลากหลาย น่าสนใจ ทั้งการกางจอเพียงครึ่งเดียว แล้วใช้ครึ่งล่างเป็นฐานในการวางใช้งานเหมือนใน Z Flip หรือจะเลือกกางเต็มจอแล้วใช้งานได้ทั้งแนวตั้ง และแนวนอน

อีกอย่างที่ปรับปรุงขึ้นคือการทำงานร่วมกับระหว่างจอภายนอก และภายใน ในการทำงานอย่างต่อเนื่อง หรือ App Continuity ที่เมื่อเปิดใช้งานแอปในหน้าจอนอกแล้ว เมื่อกางจอออกมาใช้งานจะสามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง ไม่เจออาการแอปหลุด แอปเด้ง ไม่รองรับเหมือนในรุ่นแรก

นอกจากนี้ยังมาพร้อบกับการใช้งานแบบ Multi-Windows ที่ผู้ใช้สามารถเลือกเปิดแอปใช้งานได้สูงสุด 4 แอปพร้อมกัน โดยแบ่งหน้าจอออกเป็น 3 ส่วน คือครึ่งหนึ่งใช้งาน 1 แอปหลัก ตามด้วยแบ่งอีกครึ่งหน้าจอเป็น 2 แอปเพื่อใช้ดูข้อมูลต่างๆ และแอปสุดท้ายที่มีข้อจำกัดเฉพาะแอปที่รองรับการแสดงผลแบบ Pop Up ออกมา

นั่นหมายถึง ผู้ใช้งานสามารถเลือกเปิดหน้าไมโครซอฟท์ออฟฟิศ เพื่อทำงานคู่กับ การเว็บไซต์เพื่อหาข้อมูล และเปิดแอปความบันเทิงอย่างยูทูป หรือ Spotify เพื่อสั่งเล่นเพลงไปพร้อมๆ กันได้เลย และสามารถประยุกต์ใช้งานได้หลากหลายมากๆ

ขณะเดียวกัน ด้วยการที่ซัมซุง ทำงานร่วมกับไมโครซอฟท์อย่างใกล้ชิด ดังนั้น Galaxy Z Fold2 5G จึงทำงานร่วมกับ Microsoft Office ทั้ง Word Excel Powerpoint ที่ทำงานร่วมกันได้อย่างน่าสนใจ ยิ่งเมื่อใช้งานในลักษณะของจอใหญ่เต็มจอ จะช่วยให้ทำงานได้อย่างเต็มที่มากขึ้นด้วย

ถัดมาในแง่ของความบันเทิง ต้องยอมรับว่า เมื่อมีจอขนาดใหญ่ถึง 7.6 นิ้ว แถมยังรองรับการแสดงผลแบบ 120 Hz นั่นทำให้ทั้งการเล่นเกมได้การแสดงผลที่ลื่นไหล การใช้งานโซเชียลมีเดียทำได้อย่างเต็มตา และที่สำคัญคือการดูหนัง ที่สามารถรับชมได้ไม่ต่างจากแท็บเล็ต ในขณะที่พกพาเครื่องเท่าสมาร์ทโฟนทั่วไปเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม Galaxy Z Fold2 5G อาจจะไม่ได้ถูกออกแบบมาสำหรับการเล่นเกมอย่างหนักหน่วง เพราะด้วยหน้าจอที่เป็นจอพับ ซึ่งต้องระมัดระวังในการใช้งานพอสมควร เพราะเป็นจอแบบยืดหยุ่น ไม่ใช่จอกระจก ดังนั้นถ้าใช้เล่นเกมอาจจะมีจังหวะที่เล็บขูดหน้าจอได้

กล้องคุณภาพ ใช้ได้หลายรูปแบบ

กล้องกลายเป็นอีกหนึ่งจุดที่พัฒนาขึ้นมาได้อย่างน่าสนใจใน Galaxy Z Fold2 5G โดยในรุ่นนี้มีกล้องทั้งหมด 3 จุดด้วยกัน เริ่มจากกล้องหลัก 3 ชุดเลนส์ด้านหลังเครื่อง ที่มากับเลนส์ UltraWide Wide และ Telephoto 12 ล้านพิกเซล

ถัดมาคือกล้องบริเวณจอนอกความละเอียด 10 ล้านพิกเซล และ กล้องที่อยู่ในจอพับด้านในความละเอียด 10 ล้านพิกเซล เช่นเดียวกัน โดยจะมาในลักษณะของจอเจาะรูแบบ Infinity-O

รวมๆ แล้วอาจจะมองว่าชุดกล้องนั้นไม่สุดเหมือนใน Galaxy Note20 Ultra แต่ด้วยลักษณะการใช้งานของ Fold ที่เป็นสมาร์ทโฟนสำหรับใช้งานด้านอื่นๆ มากกว่า จึงมองว่ากล้องที่ให้มานั้นเพียงพอกับการใช้งานอยู่แล้ว

โดยกล้องใน Z Fold2 5G กลับมีความน่าสนใจอยู่ที่รูปแบบการใช้งาน เพราะซัมซุง ได้พัฒนาอินเตอร์เฟสการใช้งานมาให้ใช้บนสมาร์ทโฟนจอพับได้น่าสนใจ เริ่มกันจากตัวกล้องหลัก ที่นอกจากผู้ใช้จะสามารถถ่ายได้ทั้งเวลาที่กางจอ หรือพับจอก็ได้แล้ว

เวลาที่กางจอออกมา ยังสามารถเปิดจอนอกเพื่อให้ตัวแบบสามารถเห็นภาพที่กำลังถ่ายได้ ในลักษณะของการแสดงผล 2 จอ พร้อมกัน ซึ่งในจุดนี้ ก็สามารถประยุกมาใช้เป็นการถ่ายเซลฟี่ด้วยกล้องหลังได้เช่นเดียวกัน ซึ่งจะได้ภาพที่มีคุณภาพมากขึ้น เมื่อเทียบกับกล้องหน้า

ถัดมาคือการใช้งานกล้องเมื่อกางหน้าจอเพียงครึ่งเดียว ตัวเครื่องจะทำการแบ่งครึ่งการแสดงผล ให้ภาพจากกล้องแสดงผลอยู่ครึ่งบน และครึ่งล่างเป็นปุ่มควบคุมอย่างปุ่มชัตเตอร์ เปลี่ยนโหมดใช้งาน และแสดงตัวอย่างภาพก่อนหน้า

นั่นทำให้เราสามารถวาง Galaxy Z Fold2 5G กับพื้นราบ เพื่อใช้แทนขาตั้งกล้องได้ทันที หรือจะเปลี่ยนมาใช้งานคู่กับกล้องหน้า เพื่อใช้งานวิดีโอคอลล์ หรือถ่ายวิดีโอเซลฟี่จากกล้องหน้าก็ได้เช่นเดียวกัน

การออกแบบตัวเครื่อง

ด้วยการที่ Samsung Galaxy Z Fold2 5G เป็นสมาร์ทโฟนจอพับ ทำให้มีหน้าจอแสดงผลอยู่ 2 ส่วนด้วยกัน โดยจอนอกจะเป็น Super AMOLED ขนาด 6.2 นิ้ว ความละเอียด 2260 x 816 พิกเซล โดยมีกล้องหน้าแบบเจาะรูอยู่ด้านบน

การที่ซัมซุง เพิ่มขนาดหน้าจอนอกทำให้สามารถใช้งานตัวเครื่องได้ โดยไม่จำเป็นต้องกางจอใช้งาน เวลาที่ไม่สะดวกใช้งาน 2 มือ จากรุ่นก่อนหน้าที่ให้มาเป็นจอ 4.6 นิ้วเท่านั้น ตัวเครื่องมีให้เลือกด้วยกัน 2 สี คือ Mystic Black และ Mystic Bronze ที่เป็นสีพิเศษของปีนี้

ส่วนจอภายในเป็น Dynamic AMOLED 2X ความละเอียด QXGA+ (2208 x 1768 พิกเซล) ที่รองรับการแสดงผลแบบ Adaptive Dynamic Display 120 Hz โดยตัวเครื่องจะปรับ Refresh Rate หน้าจอตามลักษณะของคอนเทนต์ที่ใช้งาน ซึ่งช่วยยืดระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรีด้วย

ขนาดของ Galaxy Z Fold2 5G จะอยู่ที่ 159.2 x 68 x 13.8 – 16.8 มิลลิเมตร และเมื่อกางหน้าจอออกมาจะอยู่ที่ 159.2 x 128.2 x 6 – 6.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 282 กรัม ซึ่งต้องถือว่าตัวเครื่องเวลาพับแล้วจะค่อนข้างหนา แต่เมื่อกางออกมาใช้งานก็ถือเป็นรุ่นที่มีขนาดบางที่สุดรุ่นหนึ่งก็ว่าได้

หน้าจอของ Galaxy Z Fold2 5G สามารถปรับองศาในการกางได้ตั้งแต่ 75 – 115 องศา เพื่อใช้งานในลักษณะของการวางตัวเครื่องไว้กับพื้นราบ และสามารถกางสุดที่ 180 องศา เพื่อใช้งานเป็นจอใหญ่ได้ตามปกติ

ข้างเครื่องทางฝั่งขวาจะเป็นที่อยู่ของปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิดเครื่อง ที่ฝั่งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือมาให้ด้วย เพื่อให้สามารถสแกนนิ้วมือเพื่อใช้จอภาพนอกได้ทันที หรือถ้ากางจอออกมาก็สามารถใช้ปุ่มด้านข้างเครื่องเพื่อปลดล็อกได้

ขณะที่ถาดใส่ซิมการ์ดจะอยู่ที่ฝั่งซ้าย (เวลากางหน้าจอ) ซึ่งในส่วนครึ่งซ้ายทั้งบน และล่าง จะมีช่องลำโพงอยู่ด้วย ทำให้เวลาถือเครื่องใช้งานในแนวนอน อาจจะต้องระวังไม่ให้มือไปปิดลำโพง

ส่วนด้านล่างเครื่องจะมีพอร์ต USB-C สารพัดประโยชน์ ที่รองรับการชาร์จเร็ว 25W เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ และหน้าจอเพื่อใช้งาน Samsung DeX หรือจะเชื่อมต่อแบบไร้สายก็ได้

สำหรับด้านหลัง นอกจากชุดเลนส์กล้องแล้ว ยังมากับระบบชาร์จไร้สาย ที่สามารถเป็นแท่นชาร์จให้อุปกรณ์อื่นได้ด้วยผ่านฟีเจอร์อย่าง Wireless PowerShare อย่างการใช้งานคู่กับ Galaxy Buds Live ภายในมีแบตเตอรีขนาด 4,500 mAh

สเปก

สำหรับสเปกภายในของ Samsung Galaxy Z Fold2 5G ทำงานบนหน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon 865 RAM 12 GB พื้นที่เก็บข้อมูล 256 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 10 ที่ครอบด้วย One UI

ด้านการเชื่อมต่อรองรับถึง 5G ซึ่งสามารถใช้งานในประเทศไทยได้แล้วบนเครือข่าย AIS และ Truemove H พร้อม WiFi 6 บลูทูธ 5.0 มี GPS NFC ครบถ้วนตามสไตล์ของเครื่องระดับไฮเอนด์

ทดสอบประสิทธิภาพ

ต้องยอมรับว่าการที่ซัมซุง เลือกนำหน่วยประมวลผลรุ่นท็อปอย่าง Qualcomm Snapdragon 865 มาใช้งานกับรุ่นนี้เพื่อทำตลาดทั่วโลกนั้น ทำให้ Galaxy Z Fold2 5G มีประสิทธิภาพในการประมวลผลที่ครอบคลุมการใช้งานทุกรูปแบบอยู่แล้ว โดยเฉพาะการทำงานแบบมัลติทาสกิ้งที่เป็นจุดเด่นของเครื่องรุ่นนี้

ขณะเดียวกัน แบตเตอรีที่ให้มา 4,500 mAh ก็ถือว่าเพียงพอกับการใช้งาน โดยถ้าใช้งานเฉพาะจอนอกอย่างเดียวจะสามารถใช้ได้ต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 13 ชั่วโมง ส่วนจอใหญ่นั้น ถ้าเปิดใช้งานในโหมด Adaptive Display 120 Hz จะสามารถใช้งานได้ราว 7 ชั่วโมง และเพิ่มเป็น 8 ชั่วโมงครึ่ง ถ้าปรับการแสดงผลลงมาเป็น 60 Hz

สรุป

Samsung Galaxy Z Fold2 5G ได้กลายเป็นตัวเลือกแรกสำหรับผู้ที่ต้องการสมาร์ทโฟนจอพับ ที่สามารถกางออกมาเป็นหน้าจอขนาดใหญ่เพื่อใช้งานได้ทันที ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในรูปแบบการใช้งานของผู้ที่ไม่อยากพกทั้งสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตใช้งาน

อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่ระดับราคาของเครื่องค่อนข้างสูงทำให้กลุ่มผู้ใช้งานจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มผู้บริโภคทั่วไป แต่เป็นผู้ที่มีกำลังซื้อ ซึ่งตามปกติแล้วก็จะมีสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตอย่างละเครื่องใช้งานอยู่แล้ว การเลือกใช้งาน Z Fold2 5G ก็จะทำให้ไม่ต้องลงทุนซื้อแท็บเล็ตเครื่องใหม่ได้ด้วย

สำหรับใครที่อยากลองประสบการณ์ใช้งานสมาร์ทโฟนจอพับ เชื่อว่า Samsung Galaxy Z Fold2 5G นั้นตอบโจทย์อย่างแน่นอน และสามารถใช้งานได้ยาวๆ เพราะตัวเครื่องรองรับการเชื่อมต่อ 5G ที่เป็นเทคโนโลยีการเชื่อมต่อยุคใหม่อยู่แล้ว

Gallery

]]>
Review : Sony Xperia 1 II แฟลกชิปครบเครื่องจอ 21:9 กล้องระดับโปร https://cyberbiz.mgronline.com/review-sony-xperia-1-ii/ Tue, 06 Oct 2020 04:18:05 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=33819

การนำสมาร์ทโฟนเรือธง Sony Xperia 1 II (1 mark 2) เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยครั้งนี้ ถือเป็นการตอบรับข้อเรียกร้องของบรรดาสาวกอารยะธรรมโซนี่ในประเทศไทยได้เป็นอย่างไร

เพราะใน Xperia 1 II มีการนำเทคโนโลยีที่น่าสนใจของ Sony เข้ามารวบรวมไว้ให้ได้ใช้งานกัน ทั้งเรื่องของจอแสดงผล กล้อง จนถึงเสียง ที่โซนี่มีความเชียวชาญเป็นพิเศษ เรียกได้ว่าให้มาสุดครบ พร้อมประสิทธิภาพในการประมวลผลจากซีพียูอย่าง Snapdragon 865

จุดเด่นหลักของรุ่นนี้เลยคือหน้าจอความละเอียด 4K โหมดถ่ายภาพระดับโปร พร้อมปุ่มชัตเตอร์แยก ทั้งภาพนิ่ง และภาพวิดีโอ ที่ให้ความละเอียดสูงสุด 4K เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. มาให้ใช้งานด้วย และยังรวมไปถึงโหมดเกมให้ใช้งานด้วย

ข้อดี

  • จอแสดงผล OLED ขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียด 4K
  • กล้องหลัก 12 ล้านพิกเซล เลนส์ ZEISS รองรับการถ่ายภาพ RAW
  • ถ่ายภาพต่อเนื่อง 20 รูปต่อวินาที
  • ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม.
  • กันน้ำ กันฝุ่น IP68

ข้อสังเกต

  • ตัวเครื่องค่อนข้างยาว ทำให้เวลาใส่กระเป๋ากางเกงจะเลยออกมา
  • ฝาหลังเป็นกระจกเงา ทำให้เป็นรอยนิ้วมือง่าย
  • รองรับ 5G บนคลื่น 700 MHz (ยังไม่เปิดให้บริการในไทย)

รวมเทคโนโลยีของ Sony

ด้วยการที่โซนี่ ถือเป็นบริษัทพัฒนาสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง มานำเสนอให้แก่ผู้บริโภคเสมอมา ทั้งในกลุ่มผลิตภัณฑ์โทรทัศน์ กล้องถ่ายภาพ และอุปกรณ์หูฟัง ที่ในแต่ละตลาดถือว่าได้รับความนิยมเป็นลำดับต้นๆ อยู่แล้ว ทั้งโทรทัศน์ในตระกูล Bravia กล้องมิลเลอร์เลส Alpha และหูฟังบลูทูธคุณภาพสูง

ดังนั้นจึงไม่แปลกที่โซนี่ จะนำเทคโนโลยีเหล่านั้น มารวมกันบนสมาร์ทโฟน เพื่อนำเสนอแฟลกชิปสมาร์ทโฟนที่ดึงจุดเด่นในทุกๆ ด้านของโซนี่ มาให้กลุ่มผู้ที่ชื่นชอบโซนี่ ได้เลือกหาใช้งาน และที่สำคัญคือการทำงานร่วมกันระหว่างอุปกรณ์เหล่านี้ ภายในอีโคซิสเตมส์ก็น่าสนใจ

เริ่มกันที่หน้าจอแสดงผล Sony Xperia 1 II มากับหน้าจอขนาด 6.5 นิ้ว ที่เป็น HDR OLED ในสัดส่วน 21:9 CinemaWide ด้วยการนำเทคโนโลยี Bravia HDR มาช่วยเพิ่มคุณภาพสี และความคมชัดของภาพ รวมถึงการนำซอฟต์แวร์มาช่วยลดการเบลอของภาพในระดับ 90Hz

ตามด้วยเทคโนโลยีด้านเสียงอย่าง Dolby Atmos ที่ทำงานร่วมกับ Sony Picture Entertainment ให้เสียงแบบรอบด้าน และที่สำคัญรุ่นนี้ยังเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่จำลองเสียงแบบ 360 Reality Audio ได้ด้วย ส่วนสายฟังเพลงได้มีการนำ AI มาช่วยเพิ่มคุณภาพเสียงแบบเรีบลไทม์ ทำให้ได้เสียงที่ดีขึ้นทั้งการเชื่อมต่อแบบมีสาย และไร้สาย

ต่อเนื่องกันที่กล้องถ่ายภาพ Xperia 1 II มากับเลนส์กล้องหลัก 3 เลนส์ด้วยกัน ประกอบด้วยเลนส์ 16 มม. ที่ใช้ทำหน้าที่เลนส์มุมกว้าง เลนส์ 24 มม. สำหรับมุมถ่ายภาพปกติ และเลนส์ 70 มม. สำหรับเลนส์เทเลโฟโต้ โดยทั้ง 3 ระยะนี้ ถือเป็นช่วงเลนส์ที่ช่างภาพมืออาชีพนิยมใช้งานกัน

ความพิเศษที่เพิ่มเติมมาคือการร่วมมือกันระหว่างโซนี่ และ ZEISS ผู้ผลิตเลนส์ชั้นนำของโลก นำ ZEISS T มาเคลือบเพื่อลดการสะท้อนของแสง และช่วยให้ภาพคมชัดมากขึ้น ภายในยังมีการใส่เทคโนโลยีการถ่ายภาพอย่าง Real-Time Eye AF หรือการตรวจจับโฟกัสที่ดวงตาอัตโนมัติมาให้

นอกจากนี้ Xperia 1 II ยังเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่สามารถโฟกัสได้ต่อเนื่องถึง 60 เฟรมต่อวินาที ช่วยให้สามารถถ่ายภาพแบบออโตโฟกัสได้มากที่สุด 20 ภาพต่อวินาที (เฉพาะในโหมดโปรเลนส์ 24 มม.) ด้วยเช่นเดียวกัน ด้วยการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยี และเซ็นเซอร์ 3D iToF มาช่วย

โดยในการใช้งานกล้องถ่ายภาพบน Xperia 1 II จะมีแอปพลิเคชันมาให้เลือกใช้งาน 2 รูปแบบคือ แอปกล้องถ่ายภาพปกติ ที่ผู้ใช้งานทั่วไปชื่นชอบ ด้วยความง่ายในการแตะถ่ายภาพได้แบบง่ายๆ หรือใช้ร่วมกับปุ่มชัตเตอร์ข้างตัวเครื่องก็ได้เช่นกัน

ส่วนผู้ที่ชื่นชอบการปรับแต่งเพิ่มขึ้นมาในลักษณะของมืออาชีพ โซนี่ มีการเพิ่มแอปอย่าง Photography Pro เข้ามา ที่เปิดให้ผู้ใช้เลือกโหมดถ่ายภาพอย่าง Auto P (ปรับ ISO) หรือ M (ปรับความเร็วชัตเตอร์) มาให้เลือก พร้อมเลือกปรับการโฟกัส วัดค่าแสง เลือกเลนส์ที่ใช้งาน และที่สำคัญคือรองรับการถ่ายภาพแบบไฟล์ RAW ให้นำไปปรับแต่งต่อได้

ขณะเดียวกัน โซนี่ ให้ความสำคัญกับการบันทึกวิดีโอมากยิ่งขึ้นด้วย Cinematography Pro ที่เปิดให้ผู้ใช้งานสามารถสร้างโปรเจกต์ในการถ่ายภาพแบบ Cinematic โดยสามารถเลือกความละเอียดของภาพได้สูงสุดที่ 4K60fps เลือกปรับแต่งความเร็วชัตเตอร์ แสดงแถบวัดค่าแสงให้เห็นทันที และรองรับการแตะเพื่อโฟกัส ทำให้การถ่ายวิดีโอทำได้สะดวกขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในการถ่ายภาพด้วย Cinematography Pro นั้น จะมีข้อจำกัดอย่างหนึ่งคือ เมื่อไหร่ที่สร้างโปรเจกต์ขึ้นมา แล้วเลือกความละเอียดของวิดีโอที่ถ่ายไปแล้วนั้น ทั้งโปรเจกต์นั้นจะต้องใช้ความละเอียดเท่ากันทั้งหมด ทำให้ถ้าต้องการสลับไปถ่ายภาพที่ความละเอียดอื่นจะต้องสร้างโปรเจกต์ใหม่ขึ้นมาแทน

เมื่อเห็นถึงเทคโนโลยีภาพ และเสียงที่น่าสนใจแล้ว ก็มาถึงเรื่องของการประมวลผล ด้วยการที่โซนี่ เป็นผู้ผลิตเครื่องเกมคอนโซลอย่าง PlayStation ทำให้ Xperia 1 II รองรับการเชื่อมต่อกับจอยเกม Dualshock 4 เพื่อใช้เล่นเกมได้อย่างสมบูรณ์แบบ

รวมถึงการเพิ่มโหมด Game Booster มาให้ผู้ที่ชื่นชอบเล่นเกมผ่านสมาร์ทโฟนใช้งาน โดยจะมีการเคลียแรม เพื่อรีดประสิทธิภาพของตัวเครื่องออกมาให้มากที่สุด พร้อมเปิดโหมดป้องกันการรบกวน ทำให้เล่นเกมได้อย่างสบายใจ

ส่วนเรื่องของแบตเตอรีนั้นก็ไม่ต้องเป็นห่วงเพราะที่ให้แบตมา 4,000 mAh นั้น ถือว่าเพียงพอกับการใช้งานได้ตลอดวันสบายๆ ยกเว้นถ้ามีการถ่ายภาพ หรือวิดีโอหนักๆ อาจจะอยู่ไม่ถึง แต่ตัวเครื่องก็มีระบบชาร์จเร็วมาให้ สามารถชาร์จแบตได้ 50% ภายในเวลา 30 นาที และรองรับการชาร์จไร้สายด้วย

ที่น่าสนใจคือ โซนี่ มีระบบที่จะมาช่วยยืดระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี ในชื่อ Battery Care ที่จะปรับการชาร์จไฟให้เข้ากับพฤติกรรมการใช้งาน เช่นในช่วงเวลานอนจะบรรจุแบตเตอรีขึ้นไปสูงสุดที่ 90% และจะเริ่มชาร์จต่อให้เต็ม 100% ในช่วงที่เราใกล้ตื่นนอนเป็นต้น

ทั้งนี้ เพื่อให้ตัวเครื่องนี้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น โซนี่ เลือกนำระบบกันน้ำกันฝุ่น IP58/68 มาให้ใช้งาน เพียงแต่ต้องแน่ใจว่าปิดพอร์ตของช่องใส่ซิมให้แน่น เพื่อป้องกันน้ำเข้าเครื่อง ส่วนกระจกทั้งหน้า และหลังเลือกใช้ Gorilla Glass 6 ที่ให้ทั้งความแข็งแรง และสวยงาม

โหมดใช้งานที่น่าสนใจ

เมื่อตัวจอแสดงผลของ Xperia 1 II เป็นแบบจอยาว ทำให้ในการใช้งานโซนี่ ได้นำเสนอ Multi Mode มาให้ใช้งานแอปแบบ 2 หน้าจอ พร้อมกัน โดยผู้ใช้สามารถเลือกจับคู่แอปที่ต้องการใช้งาน และเซฟเก็บไว้เป็นคู่ที่ใช้งานบ่อยๆ ได้

โดยเมื่อแบ่งหน้าจอแล้ว ก็สามารถเลือกใช้งานได้ทั้งแนวตั้ง และแนวนอน หรือถ้าต้องการเลื่อนปิดก็สามารถกดที่แถบกลางระหว่างหน้าจอเพื่อเลื่อนปรับขนาด จนถึงสุดขอบจอเพื่อปิดได้ทันที

นอกจากนี้ เพื่อให้สั่งงานตัวเครื่องมือเดียวได้สะดวกขึ้น โซนี่ มีการเพิ่มฟีเจอร์อย่าง SideSense ขึ้นมา ให้ผู้ใช้แตะ หรือปัด บริเวณขอบจอเพื่อสั่งงานได้ อย่างการแตะขอบจอเพื่อเปิด MultiMode ชึ้นมาให้เลือกแอปที่ต้องการใช้งานได้ทันที

การออกแบบตัวเครื่อง

Sony Xperia 1 II ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนในรูปทรงยาว จากสัดส่วนจอแบบ 21:9 และยังมีการเว้นระยะขอบบนสำหรับกล้องหน้าด้วย ทำให้ขนาดตัวเครื่องโดยรวมอยู่ที่ 166 x 72 x 7.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 181 กรัม วางจำหน่ายด้วยกัน 2 สี คือดำ และม่วง

ด้านหน้านอกจากตัวจอขนาด 6.5 นิ้ว จะมีกล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล 4f/2.0 ให้มุมมองภาพ 82 องศา อยู่ที่ขอบด้านบน ซึ่งยังไม่ได้ใช้กล้องหน้าแบบเจาะรู หรือรอยแหว่งแต่อย่างใด

ส่วนด้านหลัง จากกที่เลือกใช้กระจกทำให้ตัวเครื่องสวยงาม แต่ก็แลกมากับการที่เก็บรอยนิ้วมือได้ง่าย ทำให้เวลาใช้งานจะต้องเช็ดบ่อยๆ หรือเลือกใส่เคสใช้งานแทน โดยจะมีชุดเลนส์กล้องอยู่ที่ด้านบน ประกอบด้วยเลนส์ 12 ล้านพิกเซล ทั้ง 3 ระยะ โดยเลนส์หลัก 24 มม. มากับ f/1.7 70 มม. เป็น f.24 และ 16 มม. f/2.2 ซึ่งจะทำงานแยกจากกันอย่างชัดเจน

รอบๆ ตัวเครื่องทางฝั่งขวา นอกจากปุ่มปรับระดับเสียงแล้ว ยังมีปุ่มเปิด-ปิดเครื่อง ที่มาพร้อมกับเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือมาให้ใช้ ซึ่งโซนี่ ทำออกมาได้เป็นอย่างดี เพราะอยู่ในระยะที่จับถือตัวเครื่องอยู่แล้ว และยังมีปุ่มชัตเตอร์กล้องให้ใช้ด้วย

ทางฝั่งซ้ายจะมีช่องสำหรับใส่ซิมการ์ดแบบไฮบริด เลือกได้ว่าจะใส่ 2 นาโนซิม หรือใส่ซิมคู่กับไมโครเอสดีการ์ดได้สูงสุด 1 TB เพื่อให้สามารถเก็บภาพวิดีโอ 4K ได้อย่างเต็มที่

ด้านบนจะมีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. มาให้ใช้งาน สำหรับผู้ที่ชื่นชอบคุณภาพเสียงจากหูฟังแบบมีสาย ส่วนด้านล่างเป็นพอร์ต USB-C ใช้สำหรับชาร์จ เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ และใช้งานเป็น DisplayPort ร่วมกับอะเดปเตอร์ให้ความละเอียดสูงสุดที่ 4K 60fps

อุปกรณ์ที่ให้มาในกล่อง ประกอบไปด้วยตัวเครื่อง หูฟังแบบ In-Ears อะเดปเตอร์ชาร์จ และสาย USB-C ในกล่องไม่มีเข็มจิ้มซิมมาให้ เพราะเป็นพอร์ตแบบฝาปิดทำให้แกะได้เลย ส่วนที่เหลือก็จะเป็นคู่มือการใช้งาน

สเปก

ตัวเครื่อง Xperia 1 II ใช้งานหน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon 865 5G ให้ RAM 8 GB พื้นที่เก็บข้อมูล 256 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 10 ที่เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีการปรับแต่งเพิ่มเติม

ด้านการเชื่อมต่อตัวเครื่องรองรับถึง 5G แต่เป็นคลื่นความถี่มาตรฐานอย่าง 3500 MHz ที่ยังไม่เปิดประมูลในไทย และคลื่น 700 MHz ที่คาดว่าจะเริ่มให้บริการในไทยได้ช่วงต้นปี 2564 ที่เหลือทั้ง WiFi 6 บลูทูธ 5.1 ระบบระบุพิกัดอย่าง A-GNSS NFC ถือว่าให้มาครบถ้วน

ทดสอบประสิทธิภาพ

ในส่วนของการใช้งาน Xperia 1 II เรียกได้ว่า Snapdragon 865 ไม่ทำให้ผิดหวังอยู่แล้ว การเป็นเรือธงที่มากับซีพียูนี้ ทำให้มั่นใจในแง่ของการใช้งานได้อย่างแน่นอน

ในขณะที่การใช้งานแบตเตอรี ถือว่าทำออกมาได้ประทับใจ ด้วยการใช้งานต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 11 ชั่วโมง ที่สำคัญโซนี่ มากับโหมดประหยัดพลังงานอย่าง Stamina Mode ที่จะช่วยยืดระยะเวลาการใช้งานบนแบตเตอรีออกไปอีกในกรณีฉุกเฉินที่สามารถเปิดใช้ได้

สรุป

Sony Xperia 1 II ได้กลายมาเป็นแฟลกชิปสมาร์ทโฟนอีกรุ่นที่น่าสนใจในช่วงระดับราคา 35,990 บาท โดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบในการถ่ายภาพ และบันทึกวิดีโอแบบโปร รุ่นนี้ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน

รวมถึงผู้ที่ต้องการเครื่องประสิทธิภาพสูง ตัวเครื่องจับถือได้ถนัดมือ เพราะตัวเครื่องจะเล็ก ค่อนไปทางสูงแทน จากจอ 21:9 ที่ให้อรรถรสในเพื่อความบันเทิงได้อย่างเต็มที่รุ่นหนึ่งเลยก็ว่าได้

Gallery

]]>
Review : Samsung Galaxy Note 20 Ultra 5G จับคู่ S Pen เพิ่มความสมบูรณ์แบบมากขึ้น https://cyberbiz.mgronline.com/review-samsung-galaxy-note-20-ultra/ Tue, 01 Sep 2020 08:20:27 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=33498

จะเห็นได้ว่าการออกสมาร์ทโฟนในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาของ Samsung Galaxy S และ Galaxy Note นั้น จะไม่ได้เน้นการนำนวัตกรรมที่มีความหวือหวา หรือแปลกใหม่แบบไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน มาให้ใช้งาน แต่จะเป็นการพัฒนา และปรับปรุงความสามารถเดิมที่ได้รับความนิยม ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และตอบโจทย์การนำไปใช้งานเพื่อสร้างมูลค่าให้แก่ผู้ใช้

เมื่อซัมซุง นำแนวทางในการฟังเสียงจากผู้ใช้ และนำไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ออกมา จึงทำให้สมาร์ทโฟนในยุคหลังของ ซัมซุง กลายเป็นตอบโจทย์การใช้งานในทุกมิติ ทั้งเรื่องความบันเทิง การทำงาน ที่รวมถึงการพัฒนาทางด้านความปลอดภัย จนเรียกได้ว่า ถ้ามองหาแอนดรอยด์โฟนสักเครื่องในตลาดเวลานี้ ชื่อของ Samsung Galaxy นั้นมีความน่าเชื่อมากที่สุด

ดังนั้น พอมาถึง Samsung Galaxy Note 20 ซีรีส์ ที่มีการคิดนิยามใหม่ของเครื่องรุ่นนี้ว่าเป็น Power Phone ที่เป็นมากกว่าสมาร์ทโฟนทั่วไป ด้วยเหตุผลที่ว่า Note 20 ซีรีส์ นั้น รองรับทั้งการใช้งานทั่วไปในมุมของสมาร์ทโฟน เสริมด้วยความสามารถของ Samsung DeX ที่พัฒนาให้ใช้งานได้สะดวกขึ้น เหมือนพกคอมพิวเตอร์ติดตัวไปทุกที่

ขณะที่ในส่วนของฟีเจอร์หลักอย่างหน้าจอแสดงผลที่ให้ Refresh Rate 120 Hz กล้องถ่ายภาพคุณภาพสูง การรองรับ 5G ลูกเล่นใหม่ๆ ที่ใช้งาน Note 20 Ultra คู่กับปากกา S Pen ที่ควบคุมใช้งานได้หลากหลายขึ้น จึงทำให้ Note 20 ซีรีส์ นั้นมีความสมบูรณ์แบบรอบด้านมากยิ่งขึ้น และกลายเป็นสมาร์ทโฟนที่สามารถชื่อใช้ไปได้ยาวๆ อีกหลายปี

ข้อดี

  • หน้าจอแสดงผลขนาด 6.9 นิ้ว 120 Hz
  • S Pen พร้อมฟีเจอร์ใช้งานที่หลากหลายขึ้น
  • กล้องซูม 50 เท่า พร้อมเลเซอร์โฟกัส
  • รองรับการเชื่อมต่อ 5G

ข้อสังเกต

  • ราคาค่อนข้างสูง 4G 38,900 บาท / 5G 42,900 บาท
  • โมดูลกล้องยื่นจากตัวเครื่อง ทำให้ต้องระวังเวลาวางเครื่อง

ทำไม Note 20 Ultra ถึงน่าใช้

หลังจาก Samsung เปิดตัว Galaxy Note 20 ซีรีส์ ออกมา หนึ่งในคำถามที่เกิดขึ้นบ่อยๆ เลยคือ Note 20 น่าซื้อมากน้อยแค่ไหน การที่จะตอบคำถามนี้ได้ สิ่งแรกเลยคือการย้อนคำถามกลับไปว่าปัจจุบันใช้งานสมาร์ทโฟนรุ่นอะไรอยู่ โดยเฉพาะถ้าเป็นผู้ที่เดิมใช้งาน Samsung Galaxy อยู่แล้ว ในรุ่นสัก 2-3 ปีที่ผ่านมา ทั้ง S9 Note 9 หรือก่อนหน้านั้น Note 20 ซีรีส์ ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ

กลับกัน ถ้าใช้งาน S10 Note 10 อยู่ การที่จะเลือกอัปเดตมาเป็น Note 20 ในเวลานี้ ก็อาจจะเร็วเกินไปในแง่ของการใช้งานสมาร์ทโฟน เพราะปัจจุบัน Samsung ได้ทยอยอัปเดตสมาร์ทโฟนรุ่นเก่าให้เข้าถึงฟีเจอร์ใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ซึ่งล่าสุดภายในงานเปิดตัว Note 20 ซัมซุง ก็ออกมาประกาศแล้วว่าจะได้รับการอัปเดต Android OS ให้ใช้งานอย่างต่ำ 3 ปี นั่นแปลว่าเครื่องรุ่นเดิมที่ใช้งาน ถ้าทำการอัปเดตได้ฟีเจอร์ใหม่ๆ มาใช้ก็ยังตอบโจทย์การใช้งานได้อยู่แล้ว

ยกเว้นในกรณีที่มองว่า ฟีเจอร์ใหม่ที่มีใน Note 20 นั้นตอบโจทย์การใช้งานมากกว่า อย่างเรื่องของกล้องที่ถ่ายภาพได้ดีขึ้น วิดีโอรองรับความละเอียด 8K โดยเฉพาะการใช้งาน S Pen ที่มีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น และพัฒนาให้ใช้งานได้หลากหลายรูปแบบมากขึ้น จนถึงการใช้งานฟีเจอร์อย่าง Wireless DeX ที่จะเปลี่ยนโทรทัศน์ที่รองรับระบบ Miracast ให้กลายเป็นคอมพิวเตอร์ใช้งานร่วมกับคีย์บอร์ด และเมาส์บลูทูธได้ทันที

อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ไม่ได้มองว่า S Pen นั้นมีความสำคัญมาก การหันไปมองตัวเลือกอย่าง Galaxy S20 Ultra 5G ที่แม้จะเปิดตัวไปในช่วงต้นปี แต่หลายๆ ฟีเจอร์ในการใช้งานโดยรวมนั้น ได้รับการอัปเดตให้ดีขึ้นกว่าสมัยที่เปิดตัวมา ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ

ต่อมาคือการเลือกว่า Note 20 หรือ Note 20 Ultra ดีกว่ากัน ในจุดนี้ ถ้ามองในแง่ของสเปก ต้องยอมรับว่า Note 20 Ultra นั้นเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากกว่าหลายๆ ประเด็น ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอที่ Note 20 Ultra ให้เป็นจอโค้งที่มีขนาดใหญ่กว่า รองรับการแสดงผล Refresh Rate 120 Hz ที่กลายเป็นมาตรฐานของแฟลกชิปสมาร์ทโฟนในตลาดแล้ว ขณะที่ Note 20 มากับหน้าจอปกติ ให้ Refresh Rate ที่ 90 Hz

ตามมาด้วยความแตกต่างในแง่ของการตอบสนองของ S Pen ที่ Note 20 Ultra ให้การตอบสนองที่เร็วกว่าเพียง 9ms ในขณะที่ Note 20 อยู่ที่ 24ms ส่วนของกล้องหลักเป็นอีกจุดที่แตกต่างกันค่อนข้างเยอะ คือใน Note 20 Ultra จะมากับกล้องความละเอียด 108 ล้านพิกเซล พร้อมความสามารถในการซูม 50x ส่วน Note 20 ใช้เลนส์ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล ซูมได้ 30x และไม่มีเลเซอร์โฟกัส มาช่วยในการโฟกัสวัตถุด้วย

ดังนั้น ถ้าต้องเลือกระหว่าง Note 20 และ Note 20 Ultra รุ่นที่แนะนำให้ใช้ยาวๆ คงหนีไม่พ้น Note 20 Ultra ที่ดูแล้วมีความคุ้มค่ามากกว่า แต่ก็ไม่ใช่ว่า Note 20 รุ่นธรรมดานั้นไม่ดี เพราะในมุมของการใช้งาน ถ้าไม่ได้มองว่าจุดที่แตกต่างกันนั้นเป็นประเด็น หรือไม่ได้โฟกัสการใช้งานในจุดเหล่านั้น Note 20 ก็จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้พอสมควร

จุดหนึ่งที่ไม่เข้าใจ ซัมซุง ในการทำตลาดระหว่าง Note 20 และ Note 20 Ultra เลยคือการเลือกนำสเปกของ 2 รุ่นที่แตกต่างกันออกมา เพราะในความเป็นจริงแล้ว ย่อมมีกลุ่มผู้ใช้งานที่อยากได้เครื่องที่ครบ ในขนาดหน้าจอที่เล็กลงมาให้ถือพกพาง่าย ลดขนาดแบตเตอรีลงมานิดหน่อยตามขนาดหน้าจอ แล้วนำมาวางจำหน่ายในราคาที่ต่างกันเล็กน้อย เชื่อว่าจะได้ใจผู้บริโภคมากกว่านี้

ฟีเจอร์ใหม่ S Pen ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

การพัฒนาของ S Pen บน Galaxy Note นั้น ถือเป็นจุดหนึ่งที่ซัมซุงพัฒนาขึ้นมาต่อเนื่อง โดยในตอน Note9 ซัมซุงพัฒนาให้ S Pen ให้สามารถควบคุมสั่งงานแบบไร้สายด้วยการกดปุ่ม เพื่อเรียกใช้งานแอปฯ หรือให้ใช้งานเบื้องต้นภายในแอป

พอมาเป็นใน Note10 ได้เพิ่มฟีเจอร์อย่าง Air Action เข้ามาให้ตวัด S Pen เพื่อสั่งงานเครื่องอย่างการสลับกล้องหน้าหลัง เลื่อนรูปในอัลบั้ม เพิ่มลดเสียง ด้วยการกดปุ่มที่ S Pen แล้วตวัดปากกาไปมา พร้อมกับฟีเจอร์อย่างการแปลงลายมือเป็นตัวอักษร

เมื่อมาถึง Note 20 ได้เพิ่มความพิเศษของ S Pen ที่ใช้งานร่วมกับ Samsung Notes อย่างการปรับลายมือที่เขียนเอียงๆ ให้ตรงบรรทัดให้อ่านง่ายเป็นระเบียบ โดยยังคงความสามารถในการแปลงลายมือเป็นตัวอักษรเช่นเดิม

ถัดมาคือฟีเจอร์ในการอัดเสียง และจดโน้ตไปพร้อมกัน จากฟังก์ชัน Audio Bookmark ที่เมื่ออัดเสียง และจดข้อวามไปพร้อมกัน เมื่อกดฟังเสียงที่บันทึกไว้ตัวหนังสือที่เขียนก็จะถูกไฮไลท์ขึ้นมาตามช่วงเวลา เพื่อใช้อ้างอิงเวลาย้อนกลับมาฟัง เพิ่มเติมด้วย Air Action ที่สั่งงานได้หลากหลายรูปแบบมากขึ้น

อีกหนึ่งฟังก์ชันที่ตามมาคือการพัฒนาระบบการซิงค์ข้อมูลระหว่าง Samsung Account โดยเฉพาะ Samsung Notes ทำให้ผู้ใช้สามารถเรียกดูข้อมูลที่จดบันทึกบนสมาร์ทโฟน ไปเปิดใช้งานบนแท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์ต่อได้ทันที

ขณะเดียวกัน การที่ซัมซุง ทำงานร่วมกับไมโครซอฟท์อย่างใกล้ชิด ทำให้ผู้ใช้สามารถซิงค์ข้อมูลที่บันทึกบน Samsung Notes เข้ากับ OneNote เพื่อใช้งานบนคอมพิวเตอรืได้ด้วย โดยจะเริ่มเปิดให้ใช้งานกันในช่วงปลายปีนี้

ผสมผสานไปกับฟีเจอร์อย่าง Link To Windows ที่จะเชื่อมต่อ Note 20 เข้ากับบัญชีของ Microsoft เพื่อให้สามารถควบคุมสั่งงาน Note 20 ได้จากบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 10 ได้ทันที

ข้อดีอย่างหนึ่งของการที่ซัมซุงเลือกใช้จอแบบ Adaptive Display ที่ให้ Refresh Rate 120 Hz นั้นส่งผลมาถึงการใช้งาน S Pen ด้วยเช่นกัน คือเวลาใช้ปากกาเขียน จะให้ความรู้สึกลื่นไหลมากขึ้น เมื่อเทียบกับจอแบบปกติ

นอกจากนี้ Samsung ยังได้พัฒนาให้ Note 20 Ultra สามารถใช้งาน Samsung DeX ได้แบบไร้สายแล้ว โดยสามารถเชื่อมต่อเข้าใช้งานกับสมาร์ททีวีที่มีระบบ Miracast เพื่อเปลี่ยนโทรทัศน์ให้กลายเป็นคอมพิวเตอร์ใช้งานได้ทันที

จากเดิมที่การใช้งาน Samsung DeX จำเป็นต้องเชื่อมสาย USB-C แปลงเป็น HDMI เชื่อมต่อกับจอภาพ หรือใช้งานร่วมกับคอมพิวเตอร์ ดังนั้น การเปลี่ยนสมาร์ทโฟนเครื่องนี้เพื่อใช้งานแทนคอมพิวเตอร์ในบางจังหวะนั้นสามารถทำได้อย่างไร้รอยต่อ

ปรับปรุงกล้อง รองรับการถ่ายวิดีโอแบบมืออาชีพ

กล้องถือเป็นอีกจุดที่ Note 20 Ultra ปรับปรุงขึ้นมาจาก Note10 พอสมควร ด้วยการนำกล้อง 3 เลนส์มาให้ใช้งาน ทั้งเลนส์มุมกว้าง 12 ล้านพิกเซล ให้มุมกว้าง 120 องศา f/2.2 เลนส์หลักความละเอียด 108 ล้านพิกเซล  มาพร้อมระบบโฟกัส PDAF และกันสั่น OIS มุมมอง 79 องศา f/1.8

ต่อด้วยเลนส์เทเลโฟโต้ 12 ล้านพิกเซล มุมมอง 20 องศา f/3.0 ที่นำเทคโนโลยี Periscope มาใช้งาน ทำให้สามารถซูมภาพแบบออปติคัลได้ 5 เท่า และซูมแบบดิจิทัลได้สูงสุด 50 เท่า

ความพิเศษที่เพิ่มขึ้นมาของ Note 20 Ultra คือมากับเลเซอร์โฟกัส ที่ช่วยให้กล้องสามารถตรวจจับวัตถุเพื่อทำการโฟกัสได้อย่างรวดเร็ว และเพิ่มความสามารถของโหมดถ่ายวิดีโอให้รองรับการใช้ไมค์จากบลูทูธไร้สายได้ด้วย

ส่งผลให้เวลาบันทึกเสียงวิดีโอ จะทำได้จากทั้งตัวเครื่อง และหูฟังไร้สายที่เชื่อมต่อผ่านบลูทูธ ช่วยให้คุณภาพเสียงของวิดีโอที่ได้ดีขึ้น พร้อมกับลดเสียงรบกวนไปในตัว เมื่อรวมกับคุณภาพของวิดีโอระดับ 8K 24fps ทำให้ Note 20 Ultra เป็นรุ่นที่เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบการบันทึกเรื่องราวต่างๆ ทันที

ในส่วนของการถ่ายภาพนิ่ง เชื่อว่า Note 20 Ultra ไม่เป็นรองใครในตลาดสมาร์ทโฟนเวลานี้ ทั้งการถ่ายภาพในสภาพแสงปกติที่ให้มิติชัดเจน การถ่ายภาพในที่แสงน้อยที่มีการเพิ่มโหมดถ่ายภาพกลางคืนนำ AI มาช่วยประมวลผลร่วมกับเลนส์หลักที่รูรับแสงกว้าง

ส่วนของกล้องหน้าจะหันมาใช้เลนส์เดียวเป็น Dual Pixel AF ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล ซึ่งเจาะรูบนหน้าจอ Infinity-O ซึ่งตัวเลนส์มีขนาดเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้เวลาใช้งานนั้นได้ประสบกาณ์ใช้งานที่เต็มจอเช่นเดิม

ความน่าสนใจของกล้องหน้าคือเมื่อเปิดเข้าไปในโหมด Selfie เมื่อกล้องตรวจจับว่าภายในภาพมีหลายใบหน้า กล้องจะปรับมุมมองให้กว้างขึ้นโดยอัตโนมัติ ทำให้สามารถเก็บภาพใบหน้าได้ครบทุกคน และแน่นอนว่าทำงานร่วมกับ S Pen ในการกดชัตเตอร์ได้ด้วย

Gallery

ภาพรวมตัวเครื่องที่สมบูรณ์แบบขึ้น

ในแง่ของดีไซน์ Note 20 Ultra นั้นถือว่าออกแบบมาให้ความรู้สึกที่เป็นพรีเมียมมากขึ้น ด้วยการที่ซัมซุง นำกระจก Gorilla Glass Victus ที่เป็นรุ่นล่าสุดมาใช้งานทั้งด้านหน้า และหลัง ทำให้ตัวเครื่องมีความแข็งแรงต่อแรงตกกระแทก และรอยขีดข่วนมากยิ่งขึ้น

ขณะเดียวกัน ก็ทำให้สัมผัสที่ได้นั้นดีขึ้นด้วย โดย Note 20 Ultra จะมากับหน้าจอแบบขอบจอโค้งเช่นเดิม แต่มีการปรับองศาให้โค้งมากยิ่งขึ้น ทำให้พื้นที่บริเวณขอบลดลงเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนๆ ขนาดรวมๆ ของตัวเครื่องจะอยู่ที่ 164.8 x 77.2 x 8.1 มิลลิเมตร น้ำหนัก 208 กรัม

โดยจอของ Note 20 Ultra จะเป็น edge Quad HD+ Dynamic AMOLED 2X Infinity-O ขนาด 6.9 นิ้ว ความละเอียด 3088 x 1440 พิกเซล ให้ความละเอียดเม็ดสีถึง 496ppi รองรับการแสดงผล HDR10+ ด้วย ใต้หน้าจอมีการฝั่งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือมาให้ใช้งานด้วย ทำให้ไม่เป็นปัญหากับการปลดล็อกตัวเครื่องแม้ใส่หน้ากากอยู่ในช่วงเวลานี้

รอบๆ ตัวเครื่องจะมีส่วนสำคัญที่บริเวณฝั่งขวาเป็นปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิดปิดเครื่อง โดยมีช่องใส่ถาดนาโนซิมการ์ด 2 ซิม หรือสลับไปใส่ไมโครเอสดีการ์ดสูงสุด 1 TB อยู่ด้านบน

ส่วนด้านล่างมีการปรับช่องใส่ S Pen ไปใส่ที่มุมซ้ายล่างแทน เนื่องจากมุมขวาที่เดิมเคยเป็นจุดใช้งานนั้น ถูกแทนที่ด้วยโมดูลกล้องที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ทำให้ไม่สามารถใช้งานจุดเดิมได้ ที่เหลือก็จะเป็นช่องลำโพง พอร์ต USB-C สำหรับเชื่อมต่อ และเสียบสายชาร์จ

ด้านหลังที่บริเวณมุมบนจะมีชุดเลนส์กล้องที่ยื่นจากตัวเครื่องออกมาพอสมควร ทำให้ตัวเครื่องดูค่อนข้างหน้าขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผิวสัมผัสด้านหลังจะให้ลักษณะเป็นผิวด้านเพื่อลดรอยนิ้วมือเวลาจับใช้งานด้วย

แบตเตอรีที่ให้มาใน Note 20 Ultra อยู่ที่ 4,500 mAh ตัวเครื่องรองรับระบบชาร์จเร็ว Super Fast Charge 25W ชาร์จได้ 50% ภายใน 30 นาที ตัวเครื่องรองรับการชาร์จไร้สาย Fast Wireless Charging 2.0 และแปลงด้านหลังเครื่องเป็นแท่นชาร์จให้อุปกรณ์อื่นได้ผ่าน Wireless PowerShare

Samsung Note 20 Ultra 5G มากับหน่วยประมวลผล Samsung Exynos 990 ที่เป็น Octa Core ความเร็ว 2.73 GHz RAM รุ่น 5G จะเป็น 12 GB ROM มีให้เลือกระหว่าง 256 GB และ 512 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 10 ที่ครอบด้วย One UI 2.5

ด้านการเชื่อมต่อ Note 20 Ultra รองรับการเชื่อมต่อ 5G/4G/3G ในไทย สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ รวมกับการเชื่อมต่อ WiFi 6 ให้ความเร็วดาวน์โหลดสูงสุด 1.2 Gbps บลูทูธ 5.0 และตัวเครื่องกันน้ำกันฝุ่นมาตรฐาน IP68 ที่สามารถกันน้ำลึกได้ 1.5 เมตร ไม่เกิน 30 นาที

สรุป

Samsung Note 20 Ultra กลายเป็นสมาร์ทโฟนที่ตอบโจทย์การใช้งานของผู้ที่ชื่นชอบการจดบันทึก และเน้นการทำงานร่วมกับ S Pen ได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกัน ซัมซุง ได้พัฒนาอีโคซิสเตมส์ ในการซิงค์ข้อมูลใช้งานร่วมกับอุปกรณ์อื่นๆ ได้อย่างน่าสนใจ

ทำให้ปัจจุบันการทำงานที่เริ่มบน Note 20 อาจจะไปจบบนแท็บเล็ต หรือพีซี ได้แบบไร้รอยต่อ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้ดีขึ้น นอกจากนี้ด้วยการที่ให้สเปกมาสุดทั้งเรื่องการประมวลผล กล้อง และการเชื่อมต่อ ทำให้ Note 20 Ultra ถือเป็นหนึ่งในสมาร์ทโฟนที่สมบูรณ์แบบที่สุดเวลานี้

]]>