AMD – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Thu, 13 May 2021 01:43:52 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : ROG Flow X13 เกมมิ่งโน้ตบุ๊กตัวแรงด้วย AMD Ryzen 9 https://cyberbiz.mgronline.com/review-rog-flow-x13/ Thu, 13 May 2021 01:41:21 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35055

ที่ผ่านมา ภาพของโน้ตบุ๊กเกมมิ่งส่วนใหญ่แล้วจะอยู่กับเครื่องที่มีขนาดหน้าจอใหญ่ ตัวเครื่องหนาๆ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการประมวลผลเกมที่แรงๆ แต่ภาพนั้นเริ่มถูกทดแทนเข้ามาด้วยไลน์อัปผลิตภัณฑ์โน้ตุบุ๊กเกมมิ่งที่ทยอยเข้ามาทำตลาดในปีนี้

ROG Flow X13 ถือเป็นหนึ่งในเกมมิ่งโน้ตบุ๊กที่มีความน่าสนใจหลายๆ อย่าง ไล่ตั้งแต่การเลือกนำ AMD Ryzen 9 มาใช้เป็นหน่วยประมวลผลหลัก พร้อมใส่การ์ดจอ NVIDIA GT1650 มาให้ใช้งาน ในขนาดตัวเครื่องที่มีความบางมากๆ และยังสามารถพับหน้าจอเพื่อใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ

ROG Flow X13 จึงไม่ใช่แค่โน้ตบุ๊กเกมมิ่งเท่านั้น แต่ยังใช้เป็นแท็บเล็ต ใช้งานเพื่อความบันเทิง ไปจนถึงใช้ในการนำเสนองาน เพิ่มเติมจากความสามารถหลักคือการเป็นโน้ตบุ๊กเกมมิ่งประสิทธิภาพสูงที่พกพาได้ ในราคาเริ่มต้น 49,990 บาท

ข้อดี

  • โน้ตบุ๊กตัวเครื่องเล็กพกพาง่าย
  • ประสิทธิภาพแรงระดับท็อป
  • เพิ่มประสิทธิภาพได้ด้วย eGPU ROG XG Mobile

ข้อสังเกต

  • ถ้าใช้งานประมวลผลหนักๆ แบตเตอรีจะหมดเร็วมาก
  • รุ่นที่วางจำหน่ายในไทยเลือกใช้จอแบบ WUXGA ไม่ใช่ UHD
  • กรณีที่ต้องการใช้งาน eGPU ไม่มีวางจำหน่ายแยก ต้องเลือกซื้อตั้งแต่แรก

โน้ตบุ๊กเกมมิ่ง 2-1

หนึ่งในความน่าสนใจของ ROG Flow X13 คือเรื่องของการออกแบบตัวเครื่องให้มีขนาดเล็ก พกพาง่าย ในขนาดหน้าจอ 13.4 นิ้ว และยังเป็นแบบ 2-1 ที่สามารถใช้งานได้ 4 รูปแบบด้วยกัน

นอกจากนี้ ดีไซน์ตัวเครื่องยังสื่อถึงความแรง ทั้งจากลายเส้นที่ฝาหลัง สัญลักษณ์ ROG ที่เป็นแบรนด์เกมเมอร์ที่ได้รับการยอมรับอยู่แล้ว ในสีแบบดำด้าน วัสดุตัวเครื่องทำจากอะลูมิเนียมคุณภาพสูง ที่ให้สัมผัสตัวเครื่องแข็งแรง

ตัวเครื่อง ROG Flow X13 มีขนาดอยู่ที่ 299.4 x 222.9 x 15.75 มิลลิเมตร น้ำหนักประมาณ 1.3 กิโลกรัม ซึ่งถือว่ามีขนาดที่ค่อนข้างเล็ก เมื่อเทียบกับโน้ตบุ๊กเกมเมอร์ทั่วไปในท้องตลาด

สำหรับรูปแบบการใช้งาน ROG Flow X13 ด้วยการที่เป็นตัวเครื่องแบบ 2-1 ทำให้สามารถตั้งใช้งานได้ 4 แบบ ไล่ตั้งแต่การใช้งานเป็นโน้ตบุ๊กปกติ พับหน้าจอเพื่อใช้งานเป็นแท็บเล็ต เพราะหน้าจอรองรับการทัชสกรีนอยู่แล้ว

หรือจะตั้งเครื่องในลักษณะของ Tent เพื่อใช้รับชมคอนเทนต์ต่างๆ หรือใช้เวลาเล่นเกม ที่ควบคุมผ่านจอยคอนโทรล การวางเครื่องในลักษณะนี้จะช่วยระบายความร้อนให้ดีขึ้นด้วย และสุดท้ายคือโหมดสำหรับพรีเซ็นต์ ที่วางตัวคีย์บอร์ดแนบไปกับพื้นราบ เพื่อนำเสนอหน้าจอในลักษณะของการพรีเซ็นต์งาน

เมื่อเปิดหน้าจอเครื่องขึ้นมาจะพบกับหน้าจอขนาด 13.4 นิ้ว โดยรุ่นที่วางจำหน่ายในไทยจะมากับความละเอียด WUXGA (1900 x 1200 พิกเซล) 120 Hz 100% sRGB ในอัตราส่วน 16:10 ส่วนเครื่องที่ทีมงานได้มาทดสอบจะเป็นรุ่นจอ UDH 60 Hz 116% sRGB ทื่ให้จอแสดงผลได้คมชัดอย่างน่าสนใจ

ในส่วนของแป้นคีย์บอร์ด จะมีการแยกปุ่มลัดที่สำคัญๆ อย่างการปรับเพิ่มลดเสียง ปิดไมค์ และเรียกใช้งาน Armory Crate ที่เป็นโปรแกรมไว้ควบคุมประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องขึ้นมา ตัวไฟคีย์บอร์ดยังเลือกปรับการแสดงผลได้ ว่าจะให้ติดค้างไว้ หรือกระพริบเป็นจังหวะต่างๆ

นอกจากนี้ ในส่วนของคีย์บอร์ดที่ให้มายังเป็นไซส์มาตรฐานเทียบเท่าโน้ตบุ๊กขนาดจอ 15 นิ้ว และมีปุ่มลัดให้เรียกใช้งานคีย์ Fn ในการควบคุมพัดลมระบายอากาศเพิ่มขึ้นมา อย่างไรก็ตาม จุดที่น่าเสียดายคือส่วนของปุ่มลูกศรที่มีขนาดค่อนข้างเล็ก และทัชแพดที่เล็กตามขนาดของตัวเครื่อง

พอร์ตเชื่อมต่อครบ

อีกความน่าสนใจของ ROG Flow X13 คือเรื่องของพอร์ตเชื่อมต่อ ที่ให้มาอย่างน่าสนใจ ไไล่จากทางฝั่งซ้ายตัวเครื่อง ที่มียางซึ่งมีสัญลักษณ์ของ ROG ปิดพอร์ตอยู่ คือตำแหน่งของพอร์ตเชื่อมต่อ eGPU คู่กับ USB-C เพื่อใช้ในการจ่ายไฟ (สามารถใช้เป็นพอร์ต USB-C ปกติได้ 1 พอร์ต) พอร์ต HDMI และช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม.

ทางฝั่งขวา จะมีช่องเสียบ USB-C ให้อีก 1 พอร์ต และ USB 3.2 Type A อีก 1 พอร์ต รวมถึงปุ่มเปิดเครื่อง ที่มีการฝั่งเซ็นเซฮร์สแกนลายนิ้วมือเข้าไปด้วย ทำให้สามารถปลดล็อกตัวเครื่องด้วยการสแกนลายนิ้วมือของ Windows Hello ได้

ในส่วนของการเชื่อมต่อไร้สาย ตัวเครื่องมากับ WiFi 6 บลูทูธ 5.1 เรียกได้ว่าให้มาครบถ้วนสำหรับโน้ตบุ๊กระดับไฮเอนด์รุ่นนี้

ในกรณีที่เลือกซื้อ ROG Flow X13 Supernova Edition ROG XG Mobile ที่มาพร้อมตัว eGPU จะเพิ่มพอร์ตเชื่อมต่อทั้ง USB 3.2 Type A อีก 4 พอร์ต ช่องอ่านการ์ด พอร์ต HDMI พอร์ต Display 1.4 และ Gigabit Ethernet เพิ่มเข้ามา พร้อมกับอะเดปเตอร์ไฟขนาด 280W เพื่อให้รองรับการประมวลผลระดับสูงได้อย่างเต็มที่

ขุมพลัง AMD Ryzen 9

สำหรับจุดเด่นที่สำคัญที่สุดของเครื่องรุ่นนี้ คงหนีไม่พ้นการเลือกนำ AMD Ryzen 9 มาใช้งานกับโน้ตบุ๊กขนาดจอ 13.4 นิ้ว รุ่นนี้ เพราะถือเป็นรุ่นแรกๆ ที่นำซีพียูรุ่นนี้มาใช้งาน

โดยความสามารถในการประมวลผลของ Ryzen 9 ร่วมกับการ์ดจอออนบอร์ด Vega 8 ที่ให้มาก็ถือว่าแรงเทียบเท่ากับการ์ดจอแยกหลายๆ รุ่นแล้ว การเลือกใส่ NVIDIA GT1650 มาให้ในเครื่อง ก็ยิ่งทำให้โน้ตบุ๊กรุ่นนี้ รองรับการเล่นเกมได้ครอบคลุมมากที่สุด

ในแง่ของการประมวลผล ต้องยอมรับว่า AMD Ryzen 9 ถือว่าเป็นซีพียูระดับท็อปที่สุดในเวลานี้ แต่ก็แลกมากับเรื่องของการใช้พลังงานที่ค่อนข้างสูง ทำให้เมื่อเปิดโหมดประสิทธิภาพสูง (Performance) ใช้งานแบตเตอรีจะหมดภายในเวลาชั่วโมงกว่าๆ

แต่ถ้าใช้งานในโหมดประหยัดพลังงาน ก็จะยืดระยะเวลาใช้งานออกไปได้ สำหรับการใช้ท่องเว็บ พิมพ์งานเอกสาร หรือดูภาพยนต์ ระดับ 6-7 ชั่วโมง ที่น่าสนใจก็คือตัวเครื่องมากับอะเดปเตอร์ 100W ที่มีขนาดเล็ก รองรับการชาร์จเร็ว 50% ภายในเวลา 30 นาทีด้วย

ส่วนถ้าต้องการเรียกใช้ประสิทธิภาพสูงสุดของตัวเครื่อง ในโหมด Turbo จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับอะเดปเตอร์ถึงจะเลือกใช้งานโหมดนี้ได้ ซึ่งจะทำให้การประมวลผลแรงขึ้นไปอีก จนรองรับการเล่นเกมได้ทุกเกมในเวลานี้

ในแง่ของการระบายความร้อน ต้องยอมรับว่าระบบพัดลมคู่ที่ให้มาช่วยให้ตัวเครื่องระบายความร้อนได้ค่อนข้างดี ผู้ใช้สามารถเลือกระดับความแรงของพัดลมได้ ในกรณีที่ต้องการใช้งานในโหมดเงียบก็สามารถทำได้

แต่ถ้าใช้งานเครื่องพนักๆ พัดลมระบายความร้อนก็จะมีเสียงดังขึ้นอย่างชัดเจน แลกมากับการระบายความร้อนของตัวเครื่อง ทำให้สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพนั่นเอง

Armoury Crate ปรับแต่งเครื่อง

ในส่วนของซอฟต์แวร์การจัดการเครื่องที่ให้มาอย่าง Armoury Crate ถือว่าใช้งานง่ายมากๆ เหมาะกับสายฮาร์ดคอร์ที่ต้องการข้อมูลการใช้งานทรัพยากรของเครื่องต่างๆ

โดยภายในจะมีให้เลือกทั้งการปรับโหมดใช้งาน แสดงผลสัญญาณนาฬิกาในการประมวลผลของซีพียู การ์ดจอ หน่วยความจำ ที่สามารถดูอุณหภูมิ และพลังงานที่ใช้ได้ จนถึงการเข้าไปตั้งค่าปรับแต่งให้เหมาะกับการใช้งานแต่ละโปรแกรมที่เรียกใช้ด้วย

ทดสอบประสิทธิภาพ

ด้วยการที่ตัวเครื่องมากับ AMD Ryzen 9 พร้อม NVIDIA GeForce GT1650 ทำให้รองรับการเล่นเกมส่วนใหญ่ในท้องตลาเวลานี้ได้อยู่แล้ว ซึ่งในกรณีที่ใช้งานปกติ ไม่ได้ประมวลผลหนักๆ ตัวเครื่องจะเลือกใช้การ์ดจอออนบอร์ดที่เป็น Radeon Vega 8 ที่ประหยัดพลังงานมากกว่าการ์ดจอแยก ซึ่งก็รองรับการใช้งานทั่วไปได้สบาย จนถึงการรับชมภาพยนต์ระดับ 4K ได้ลื่นไหล

ในกรณีที่เล่นเกม แล้วต้องการประสิทธิภาพสูงอย่างโหมด Turbo ที่ต้องเสียบใช้งานคู่กับอะเดปเตอร์ ก็จะช่วยให้ตัวเครื่องแรงขึ้นไปอีก ทำให้ ROG Flow X13 มาตอบโจทย์การเล่นเกม และพกพาได้อย่างน่าสนใจ หรือถ้าพกไปใช้ทำงานก็จะใช้งานได้ราว 6-7 ชั่วโมง ก็เพียงพอแล้ว

รุ่นที่วางจำหน่ายในไทย

สำหรับ ROG Flow X13 รุ่นที่วางจำหน่ายในประเทศไทย จะมีเฉพาะรุ่นที่ใช้หน้าจอ 13.4 นิ้ว แบบ WUXGA 120 Hz ซีพียู AMD Ryzen 9 5980HS การ์ดจอ NVIDIA GeForce GTX 1650 4 GB RAM 16 GB พื้นที่เก็บข้อมูล SSD 1 TB ในราคา 49,990 บาท และมีรุ่น Supernova ที่มาพร้อม ROG XG Mobile เพิ่มการ์ดจอเป็น NVIDIA RTX 3080 ในราคา 99,990 บาท

สรุป

ใครที่กำลังมองหาเกมเมอร์โน้ตบุ๊กประสิทธิภาพสูง หรือโน้ตบุ๊กขนาดพกพาง่าย ที่รองรับการใช้งานได้อย่างเต็มที่ ROG Flow X13 ในรุ่น 49,990 ถือว่าทำราคามาได้น่าสนใจ เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีที่ให้มา

ส่วนถ้าใครงบเหลือๆ แล้วต้องการโน้ตบุ๊กที่สุดจริงๆ สามารถนำไปต่อกับจอภายนอกเพื่อเล่นเกมได้สบายๆ Supernova Edition ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะตัว ROG XG Mobile ที่มากับ RTX 3080 ถือว่าสุดมากๆ สำหรับเกมมิ่งโน้ตบุ๊กในเวลานี้

Gallery

]]>
Review : HP ProBook 635 Aero G7 โน้ตบุ๊กองค์กรขุมพลัง AMD https://cyberbiz.mgronline.com/review-hp-probook-635-aero-g7/ Wed, 24 Mar 2021 03:44:22 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34954

เอชพี (HP) เป็นอีกแบรนด์ที่หันมานำซีพียูตัวแรงจาก AMD มาใช้ในกลุ่มโน้ตบุ๊กองค์กรธุรกิจ โดยเฉพาะในซีรีส์ ProBook ที่เน้นเรื่องของดีไซน์ที่ให้ความทนทาน น้ำหนักเบา สามารถพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ได้ และมาพร้อมการเชื่อมต่อที่ครบถ้วน

HP ProBook 635 Aero จึงกลายมาเป็นรุ่นเด่นของเอชพี ที่ถูกนำเสนอแก่องค์กรธุรกิจที่ต้องการเปลี่ยนผ่านการทำงานของพนักงานในองค์กร ที่เริ่มปรับเปลี่ยนรูปแบบจากทำงานในสำนักงาน มาเป็น Work from Home หรือ Work from Anywhere ที่ให้ทั้งประสิทธิภาพในการใช้งาน ระยะเวลาการใช้งานที่ต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน เมื่อรูปแบบของการทำงานจากที่บ้านได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น เอชพี เลยมีการนำเสนอหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่จะมาเชื่อมต่อให้สามารถใช้งาน HP ProBook ร่วมกับจอขนาด 27 นิ้ว ได้ง่ายๆ ผ่านพอร์ตเชื่อมต่อเดียวคือ USB-C ช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้เพิ่มเติมด้วย

ข้อดี

  • ตัวเครื่องใช้วัสดุโลหะ อะลูมิเนียม ผสมแมกนีเซียมอัลลอยด์ให้ความแข็งแรง
  • น้ำหนักเบา เริ่มต้นไม่ถึง 1 กิโลกรัม
  • รองรับการเชื่อมต่อครบถ้วน
  • ทำงานบน AMD Ryzen ที่ประมวลผลแรง และประหยัดพลังงาน

ข้อสังเกต

  • ดีไซน์ตัวเครื่องจะเป็นเหลี่ยมๆ สีเงินคลาสสิกทั่วๆ ไป
  • ขนาดเครื่องค่อนข้างหนา เนื่องจากต้องการให้พอร์ตครบที่สุด

โน้ตบุ๊กสู่การเปลี่ยนการทำงานยุคใหม่

ที่ผ่านมา เอชพี พยามนำเสนอผลิตภัณฑ์ในกลุ่มโน้ตบุ๊กสำหรับองค์กรธุรกิจ และได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่จุดที่น่าสนใจสำหรับ HP ProBook 635 Aero คือการที่เอชพี สามารถลดน้ำหนักของตัวเครื่องโน้ตบุ๊กหน้าจอ 13.3 นิ้ว ลงมาให้เหลือต่ำกว่า 1 กิโลกรัมได้

แม้ว่าจะใช้งานดีไซน์ตัวเครื่องแบบเดิมของ ProBook แต่ด้วยน้ำหนักที่เบาขึ้น จึงทำให้รุ่นนี้กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับพนักงานองค์กรธุรกิจยุคใหม่ ที่สามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ จึงทำให้การมีโน้ตบุ๊กที่พกพาได้ง่าย น้ำหนักเบา จะเข้ามาตอบโจทย์การใช้งานมากที่สุด

HP ProBook 635 Aero มีขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 307.6 x 204.5 x 17.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 0.99 กิโลกรัม ที่ชูจุดเด่นในเรื่องของพอร์ตเชื่อมต่อใช้งานที่ครบถ้วน ทำให้ขนาดตัวเครื่องจะหนากว่าโน้ตบุ๊กที่มีเฉพาะพอร์ต USB-C เพียงอย่างเดียว

หน้าจอของ HP ProBook 635 Aero จะมีขนาด 13.3 นิ้ว ความละเอียด Full HD (1920 x 1080 พิกเซล โดยเป็นจอแบบ IPS ที่ป้องกันแสงสะท้อน โดยมีกล้องเว็บแคมความละเอียด HD 720p อยู่ขอบจอด้านบน ซึ่งในจุดนี้จะมี HP Privacy Camera ที่เป็นม่านปิดกล้องมาให้เลื่อนปิดเวลาที่ไม่ได้ใช้งานด้วย

ถัดลงมาในส่วนของคีย์บอร์ด ที่เอชพีเรียกว่าเป็น HP Premium Keyboard นั้น จะมาพร้อมกับไฟ backlit ทำให้สามารถใช้งานในที่แสงน้อยได้ รวมถึงขนาดของแป้นพิมพ์ และการรับสัมผัสต่างๆ ทำได้อย่างน่าสนใจ พิมพ์สนุก เหมาะกับการทำงานได้อย่างเต็มที่

อีกความใส่ใจในเรื่องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน ทำให้ HP เพิ่มปุ่มปิดไมโครโฟนมาไว้ที่ปุ่มคำสั่งลัดบริเวณแถบบนของคีย์บอร์ดด้วย เมื่อปิดไมค์จะมีไฟแสดงสถานะสีส้มโชว์ขึ้นมา และยังมีปุ่มลัดให้ผู้ใช้สามารถเลือกตั้งสำหรับเรียกใช้งานโปรแกรมที่ใช้งานประจำได้ด้วย

ถัดลงมาในส่วนของ Clickpad รองรับการใช้งานแบบมัลติทัชแล้ว ทำให้การสั่งงานต่างๆ ทำได้ง่ายขึ้น และเพิ่มเติมในเรื่องของความปลอดภัยด้วยการใส่เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือมาเป็นตัวเลือกให้องค์กรธุรกิจสามารถเลือกใส่เพิ่มเติมได้

สำหรับพอร์ตเชื่อมต่อต่างๆ ทางฝั่งซ้ายจะมีพอร์ตล็อกเครื่อง Kensington ตามด้วยพอร์ต USB-A 2 พอร์ต และช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ทางฝั่งขวาจะมีช่องเสียบสายชาร์จมาตรฐาน ตามด้วยพอร์ต HDMI พอร์ต USB-C ที่รองรับทั้งการเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริมต่างๆ และใช้เป็นพอร์ตชาร์จไฟได้ด้วย

ภายในให้แบตเตอรีขนาด 53Wh แบบ 3 เซลล์ มาพร้อมอะเดปเตอร์ชาร์จไฟขนาด 65W ทำให้สามารถชาร์จได้เต็มภายในระยะเวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง ในขณะที่การใช้งานบนแบตเตอรีสามารถทำงานได้ต่อเนื่องมากกว่า 11 ชั่วโมง

เชื่อมต่อจอ ทำงานใช้งานในบ้าน

นอกเหนือจากการนำเสนอ HP ProBook 635 Aero G7 แล้ว อีกหนึ่งอุปกรณ์ที่เปิดตัวมาพร้อมกันก็คือหน้าจอ HP E27u USB-C จุดเด่นของหน้าจอรุ่นนี้ ก็คือเป็นหน้าจอขนาด 27 นิ้ว ที่สามารถเชื่อมต่อกับพอร์ต USB-C กับโน้ตบุ๊กเพื่อใช้เสียบชาร์จ และเป็น Display Port ไปในตัว เรียกได้ว่า เพียงแค่เชื่อมต่อโน้ตบุ๊กกับ จอด้วยสาย USB-C เส้นเดียวก็พร้อมใช้งานแล้ว

ความพิเศษของจอตัวนี้อีกอย่างคือ สามารถปรับหมุนจอภาพให้ใช้งานในแนวตั้งได้ จึงเหมาะกับรูปแบบการใช้งานที่หลากหลาย ช่วยเสริมการทำงานให้สะดวกขึ้น อีกอย่างคือเรื่องของพอร์ตเชื่อมต่อที่ให้มาครบ ทั้งพอร์ต USB Type A 4 พอร์ต สำหรับเชื่อมต่อเมาส์ คีย์บอร์ด จนถึง Display Port อีก 2 ช่อง และ HDMI ให้เชื่อมต่อใช้งาน

ตัวเครื่องยังมาพร้อมความละเอียดหน้าจอระดับ QHD สามารถสลับใช้งานระหว่างดีไวซ์ต่างๆ ได้อย่างลื่นไหล มีระบบจ่ายไฟ Power Delivery ให้แก่โน้ตบุ๊ก ทำให้ไม่ต้องเสียบสายชาร์จโน้ตบุ๊ก ก็ใช้งานร่วมกับหน้าจอได้ ถือเป็นอุปกรณ์ที่มาช่วยให้เกิดเวิร์กสเตชันของการทำงานในบ้าน

สเปก

ด้วยการที่เป็นโน้ตบุ๊กสำหรับองค์กรธุรกิจ ทางเอชพี จึงเปิดให้สามารถปรับแต่งสเปกต่างๆ เพื่อให้นำไปใช้งานในองค์กรได้อย่างเหมาะสม โดย HP ProBook 635 Aero G7 จะมีตัวเลือกทั้ง AMD Ryzen 5 4500U และ Ryzen 7 4700U มาให้ใช้งาน พร้อมกับเลือกปรับ RAM ได้ตั้งแต่ 8 – 32 GB พื้นที่เก็บข้อมูลเริ่มต้นเป็น SSD 512 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows 10 Pro

อีกจุดแข็งของ HP ProBook 635 Aero คือเรื่องของการเชื่อมต่อที่มีทั้งพอร์ต USB-C รองรับการส่งข้อมูลระดับ 10 Gbps ส่วนการเชื่อมต่อไร้สายจะเป็น WiFi 6 บนชิปเซ็ต Intel AX200 มีบลูทูธ 5.0 มาให้ใช้งานเพิ่มเติม เรียกได้ว่าให้มาครบเพียงพอกับการใช้งานโน้ตบุ๊กยุคใหม่เรียบร้อย

ทดสอบประสิทธิภาพ

ด้วยการที่เป็นโน้ตบุ๊กสำหรับใช้งานในองค์กร ประสิทธิภาพของการประมวลผล และแบตเตอรี ที่สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนาน จะเป็น 2 ปัจจัยหลักที่ควรคำนึงถึง โดยใน HP ProBook 635 Aero G7 นี้ สามารถทำได้อย่างน่าประทับใจ โดยเฉพาะแบตเตอรีที่ใช้ได้ยาวต่อเนื่องมากกว่า 11 ชั่วโมง

ในขณะที่การใช้งานรองรับการทำงานในสำนักงานแทบทั้งหมด รวมถึงใช้ในการคำนวนข้อมูลจาก Excel ทำ PowerPoint เพื่อพรีเซ็นต์งานได้สบายๆ ไปจนถึงในกรณีที่มีงานครอบคลุมไปยังการทำรูปภาพต่างๆ ตัวเครื่องก็สามารถรองรับการใช้งานได้

สรุป

HP ProBook 635 Aero G7 น่าจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกโน้ตบุ๊กสำหรับองค์กร ที่มองหาโน้ตบุ๊กประสิทธิภาพสูง น้ำหนักเบา ไปใช้พนักงานใช้งาน โดยเฉพาะในยุคที่การ Work From Anywhere กลายเป็นลักษณะการทำงานที่เกิดขึ้นได้ทั่วไปแล้ว

ด้วยการที่ตัวเครื่องให้พอร์ตมาครบ รองรับการทำงานที่หลากหลาย แบตเตอรีใช้งานได้ต่อเนื่องมากกว่า 11 ชั่วโมง จึงเหมาะกับการพกพาไปใช้งานได้อย่างสบายใจ สำหรับราคาจำหน่ายของ HP ProBook 635 Aero G7 เริ่มต้นที่ 31,890 บาท – 37,990 บาท ส่วนหน้าจอ HP E27u USB-C ราคา 10,900 บาท

Gallery

]]>
Review : HP Envy x360 ขุมพลัง AMD ที่มายกระดับมาตรฐานโน้ตบุ๊กสมัยใหม่ https://cyberbiz.mgronline.com/review-hp-envy-x360-2020/ Mon, 12 Oct 2020 12:11:32 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=33881

ด้วยรูปแบบการใช้งานที่หลากหลายของ HP Envy x360 ทำให้ปัจจุบัน โน้ตบุ๊กรุ่นนี้ ถือเป็นหนึ่งในรุ่นเด่นของ เอชพี ที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ใช้งาน โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงาน นักธุรกิจ จนถึงผู้บริหาร ที่ต้องการความคล่องตัว และประสิทธภาพในการใช้งาน

จุดเด่นของ HP Envy x360 คือการที่มากับหน้าจอขนาด 13.3 นิ้ว ตัวเครื่องสามารถหมุนหน้าจอเพื่อใช้งานแทนแท็บเล็ตได้ น้ำหนักเบา พกพาง่าย และที่สำคัญเมื่อจับคู่กับซีพียูจาก AMD Ryzen 7 ทำให้ได้โน้ตบุ๊กที่มีประสิทธิภาพสูง และใช้งานได้ยาวนานด้วย

ขณะเดียวกันในเรื่องของความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัว HP ได้มีการนำเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือมาให้ใช้งานร่วมกับ Windows Hello และยังมีม่านชัตเตอร์ปิดกล้องเว็บแคม และฟีเจอร์ที่ลดการมองเห็นจากด้านข้าง เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ด้วย

ข้อดี

  • ตัวเครื่องเล็ก พกพาง่าย
  • ปรับโหมดใช้งานได้ทั้งเป็นโน้ตบุ๊ก แท็บเล็ต
  • ประสิทธิภาพสูงจาก AMD Ryzen 7

ข้อสังเกต

  • ไม่มีพอร์ต HDMI / LAN ต้องใช้งานร่วมกับอะเดปเตอร์แทน
  • ด้วยการที่ตัวเครื่องบาง ทำให้บริเวณจอยวบๆ เวลาจับถือตัวเครื่อง

ยกระดับคอนซูเมอร์โน้ตบุ๊ก

ตั้งแต่ HP Envy x360 ออกมาสู่ตลาดในระดับราคาเริ่มต้นที่ไม่ถึง 3 หมื่นบาท จากการนำหน่วยประมวลผลของ AMD Ryzen มาใช้งาน ทำให้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรมโน้ตบุ๊ก ในช่วงระดับราคาใกล้เคียงกันให้โดดเด่นมากขึ้น

โดยปัจจุบัน ถ้าเป็นกลุ่มนักเรียน นักศึกษา อาจจะเริ่มต้นมองหาโน้ตบุ๊กในระดับราคาประมาณ 2 หมื่นบาท เพื่อให้รองรับการใช้งานระหว่างเรียน และในช่วงเริ่มต้นทำงาน ทำให้อาจจะได้เครื่องที่มีขนาดค่อนข้างหนา เน้นเรื่องประมวลผลเป็นหลัก

แต่จริงๆ แล้วช่วงระดับราคาที่เหมาะสมสำหรับการเลือกซื้อโน้ตบุ๊กประสิทธิภาพสูง ดีไซน์สวย นั้นจะขยับขึ้นมาอยู่ในช่วงราคา 3 หมื่นบาท ที่จะได้ทั้งโน้ตบุ๊กที่รองรับการทำงานในระยะยาว และมีดีไซน์ท่ีเหมาะสม พกพาง่าย เพิ่มเติมด้วยรูปแบบการใช้งานที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น

อย่าง HP Envy x360 ที่ถูกออกแบบมาให้หมุนหน้าจอได้ 360 องศา หน้าจอสัมผัส ทำให้นอกจากใช้งานในลักษณะของโน้ตบุ๊กทั่วไปแล้ว ยังสามารถหมุนพับหน้าจอกลับมาเป็นแท็บเล็ต หรือกางหน้าจอเพื่อใช้พรีเซ็นต์งาน หรือไว้ใช้เพื่อความบันเทิงก็ได้ด้วย

ด้วยเหตุผลนี้ จึงทำให้ HP Envy x360 ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในระดับราคานี้ โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มนักธุรกิจ หรือผู้ที่ต้องพกพาโน้ตบุ๊กติดตัวไปใช้งานได้ตลอดเวลา สอดคล้องกับการทำงานยุคใหม่ที่เกิดขึ้น คือพนักงานสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ เพียงแค่มีวิดีโอคอลล์รองรับ

หรือในกรณีที่ต้องการแปลงโน้ตบุ๊กให้กลายเป็นแท็บเล็ตเพื่อจดบันทึก HP Envy x360 ก็มาพร้อมกับปากกา HP Rechargeable MPP 2.0 Tilt Pen ที่ให้ความแม่นยำในการสัมผัสถึง 4096 ระดับ มีปุ่มคำสั่งให้เลือกตั้งค่าเพิ่มเติมได้ และที่สำคัญคือสามารถชาร์จแบตเตอรีเพื่อใช้งานได้ต่อเนื่อง 30 วัน

เสริมฟีเจอร์ปกป้องความเป็นส่วนตัว

เมื่อรูปแบบการทำงานจากนอกสถานที่ กลายเป็นพฤติกรรมใหม่ของผู้ใช้ ทำให้ทาง HP มีการเสริมฟีเจอร์ที่เข้ามาช่วยปกป้องการใช้งานของผู้ใช้ที่น่าสนใจในเครื่องรุ่นีนี้ ตั้งแต่เรื่องการล็อกอินใช้งาน จนถึงการปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้

โดยในเครื่อง HP Envy x360 มีการนำเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือมาใช้งานร่วมกับ Windows Hello ทำให้สามารถใช้การสแกนนิ้วเพื่อล็อกอินใช้งานเครื่องได้ทันที หรือจะเลือกใช้การปลดล็อกด้วยการตรวจจับใบหน้าก็ได้เช่นเดียวกัน

ถัดมาคือการเพิ่มปุ่มลัดสำหรับตัดการทำงานของไมโครโฟน และกล้องเว็บแคม โดยเมื่อปิดการทำงานแล้วจะมีไฟสถานะสีส้มขึ้นแจ้งไว้ ที่ตัวกล้องจะมีม่านชัตเตอร์มาบังไว้ทันที ทำให้ไม่ต้องกังวล หรือหาสติกเกอร์มาปิดกล้องอีกต่อไป

อีกฟีเจอร์ที่น่าสนใจคือ HP Sure View ที่จะปรับการแสดงผลของหน้าจอให้มองเนื้่อหาบนหน้าจอจากด้านข้างได้ยากขึ้น เพื่อป้องกันผู้ที่นั่งอยู่ใกล้เคียงเห็นหน้าจอ ทำให้สามารถทำงานสำคัญๆ ในพื้นที่สาธารณะได้อย่างปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดอย่างหนึ่งของ HP Sure View ก็คือเมื่อเปิดใช้งานความสว่างของหน้าจอจดลดลงเล็กน้อย ทำให้ถ้าใช้งานในที่แสงจ้า อาจจะต้องปรับมุมมองของหน้าจอให้เข้ากับใบหน้าตรงๆ ถึงจะเห็นหน้าจอชัดเจน 

นอกจากนี้ HP ยังได้มีการใส่ปุ่มลัด HP Command Center มาให้กดใช้งานเพื่อปรับโหมดการทำงานของตัวเครื่องด้วย อย่างการเร่งประสิทธิภาพสูงที่สุด เพิ่มการทำงานของพัดลมระบายอากาศเพื่อให้เครื่องเย็นที่สุด และปรับความแรงของพัดลมให้เครื่องเงียบที่สุดเป็นต้น

ความพิเศษของเครื่องรุ่นนี้คือมากับ Microsoft Office Home & Student ทำให้ผู้ซื้อเครื่องสามารถใช้งาน Microsoft Office ได้ฟรีๆ โดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม ซึ่งช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมด้วย

สเปก

สำหรับ HP Envy x360 มากับหน่วยประมวลผล AMD Ryzen 7 4700U ที่เป็นซีพียู 8 คอร์ให้ความเร็ว 2 GHz และสามารถเร่งความเร็วขึ้นไปถึง 4.1 GHz RAM 8 GB SSD 512 GB ทำงานร่วมกับระบบปฏิบัติการ Windows 10 Home

ทดสอบประสิทธิภาพ

ในส่วนของการใช้งานด้วยการที่ HP Envy x360 ที่มีรูปแบบการใช้งานหลากหลายนั้น ถือว่า Ryzen 7 นั้นถือว่าเอาอยู่ โดยเฉพาะลักษณะการทำงานแบบออฟฟิศ ที่เน้นการใช้งานนอกสถานที่ ใช้จดบันทึก แก้ไขข้อมูลต่างๆ ได้

โดยจุดเด่นของ Ryzen 7 ช่วยให้การใช้งาน HP Envy X360 สามารถใช้งานได้ตลอดวัน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งานอย่างถ้าเปิดความสว่างหน้าจอสูงสุดใช้งานจะใช้ได้ราว 6 ชั่วโมง ถ้าปรับความสว่างหน้าจอลงเหลือ 50% ก็จะใช้งานได้มากกว่า 10 ชั่วโมง

ส่วนผลการทดสอบจากทั้ง Geekbench PCMark 10 และ 3D Mark ได้จากภาพด้านล่าง

สรุป

ถ้าใครกำลังมองหาโน้ตบุ๊กสเปกดี รองรับการใช้งานหลากหลายรูปแบบ ในระดับราคา 3 หมื่นบาท เชื่อว่า HP Envy x360 จะกลายเป็นตัวเลือกแรกๆ ในช่วงระดับราคานี้ทันที เพราะนอกจากประสิทธิภาพการใช้งานที่ครอบถ้วนรอบด้านแล้ว ยังมากับ Windows 10 และ Microsoft Office ให้ใช้งานกันด้วย

นอกจากนี้ ในกล่องยังมีอุปกรณ์อย่างอะเดปเตอร์แปลงพอร์ต USB-C เพื่อต่อกับจอ HDMI และพอร์ต USB Type-A มาให้ กับปากกา ทำให้ตัวเครื่องบางๆ นี้ ยังมีพอร์ตให้ใช้ครบครัน ในราคา 32,990 บาท

Gallery

]]>
Review : Asus VivoBook 14 โน้ตบุ๊กราคาดีขุมพลัง AMD https://cyberbiz.mgronline.com/review-asus-vivobook-14/ Wed, 15 Jul 2020 07:22:56 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=33278

เมื่อตลาดซีพียูมีการแข่งขันกันรุนแรงมากขึ้นในแง่ของประสิทธิภาพในการทำงาน ทำให้บรรดาผู้ผลิตพีซี ก็ได้รับประโยชน์จากการแข่งขันนี้ด้วย เพราะสามารถผลิตโน้ตบุ๊กประสิทธิภาพสูง ราคาดีออกมาทำตลาดได้หลากหลายมากขึ้น เมื่อเทียบกับตอนที่ตลาดซีพียูมีการผูกขาด

ในช่วงนี้จะเห็นได้ว่า เริ่มมีโน้ตบุ๊กที่ใช้หน่วยประมวลผล AMD Ryzen 4000 ซีรีส์ ออกสู่ตลาดค่อนข้างเยอะ และแต่ละรุ่นก็สามารถทำระดับราคาได้น่าสนใจ หนึ่งในนั้นคือ Asus Vivobook 14 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในรุ่นยอดนิยมของ Asus ที่เจาะตลาดในกลุ่มคอนซูเมอร์ได้อย่างน่าสนใจ

Asus Vivobook 14 เป็นโน้ตบุ๊กขนาดหน้าจอ 14 นิ้ว ที่นำนวัตกรรมหลายๆ อย่างที่น่าสนใจมาให้ใช้งาน ทั้งเรื่องของการออกแบบให้ขอบจอบางลง มีสีสันให้เลือกหลากหลายตามความต้องการ และที่สำคัญคือมากับหน่วยประมวลผล AMD Ryzen 4000 ซึ่งมีจุดเด่นที่การประมวลผลแบบมัลติทาสก์ที่ดีขึ้น ในราคา เริ่มต้น 19,990 บาท

ข้อดี

  • โน้ตบุ๊กสำหรับการใช้งานทั่วไป
  • ราคาเริ่มต้น 19,990 บาท
  • มีให้เลือกทั้งรุ่น 14 นิ้ว และ 15 นิ้ว

ข้อสังเกต

  • รุ่นนี้ไม่มี ErgoLift มาข่วยยกแป้นพิมพ์ให้รับกับการพิมพ์งาน
  • น้ำหนักเริ่มต้น 1.4 กิโลกรัม
  • USB-C ใช้ได้แค่เชื่อมต่อข้อมูล ไม่สามารถต่อจอ หรือชาร์จไฟได้

ตัวเครื่องหลากสีสัน พกพาพร้อมใช้งาน

เดิมที Asus VivoBook จะเน้นนำเสนอในเรื่องของการมีสีตัวเครื่องให้เลือกหลากหลาย เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายของเครื่องรุ่นนี้ คือกลุ่มนักเรียน นักศึกษา และวัยเริ่มทำงาน ที่ต้องการโน้ตบุ๊กประสิทธิภาพสูง ในระดับราคาที่สามารถเข้าถึงได้

ด้วยเหตุนี้ เพื่อให้มีความโดดเด่น และจับกลุ่มวัยรุ่น VivoBook 14 ถึงมีให้เลือก 6 สี โดยแบ่งเป็น VivoBook 14 3 สี คือ ทอง Hearty Gold เงิน Transparent Silver และดำ Indie Black ตามเ่วย VivoBook S14/S15 อีก 3 สี คือ ขาว Dreamy White แดง Resolute Red และเขียว Gaia Green

อย่างรุ่นที่นำมารีวิวจะเป็นสี Resolute Red ที่ให้สีสันสดใส ชัดเจน และที่น่าสนใจคือการนำดีไซน์แบบ Diamond Cut มาใช้ ทำให้บริเวณขอบมุมสะท้อนแสงเพิ่มความหรูหราให้กับตัวเครื่อง สำหรับขนาดของตัวเครื่องจะอยู่ที่ 324 x 213 x 15.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 1.4 กิโลกรัม

บริเวณฝาเครื่องนอกจากโลโก้ Asus VivoBook ที่เป็นสีเงินสะท้อนแสงอยู่ที่หน้าจอแล้ว ยังมีการเล่นลายเส้นที่ขอบบนของเครื่อง ภายในกล่องยังมีสติกเกอร์ลวดลายต่างๆ มาให้แปะเพิ่มเติมเพื่อแสดงของถึงตัวตนของผู้ใช้

เมื่อเปิดหน้าจอขึ้นมา จะพบกับหน้าจอขนาด 14 นิ้ว ความละเอียด Full HD โดยมีสัดส่วนระหว่างหน้าจอแสดงผล และตัวเครื่องอยู่ที่ 84% ซึ่งถือว่าเป็นรุ่นที่ขอบจอบางเมื่อเทียบกับแบรนด์อื่นๆ ในช่วงระดับราคาใกล้เคียงกัน ซึ่งที่ขอบบนจะมีกล้องเว็บแคมความละเอียด HD ติดตั้งอยู่ ส่วนล่างหน้าจอก็จะมีสัญลักษณ์ Asus VivoBook อีกจุด

ถัดลงมาที่แป้นคีย์บอร์ดของรุ่นนี้จะมีเอกลักษณ์อยู่ตรงปุ่ม Enter ที่จะมีขอบสีเขียวสะท้อนแสงอยู่ ทำให้คีย์บอร์ดดูสดใสมากขึ้น และมีปุ่มตัวเลขมาให้ใช้งานด้วย โดยปุ่มคีย์บอร์ดจะมาในลักษณะของ Chiclet พร้อมไฟ LED ช่วยให้สามารถใช้งานในที่มืดได้

ทั้งนี้ คีย์บอร์ดของ Asus VivoBook 14 ในส่วนของปุ่มตัวอักษรต่างๆ ถือว่าออกแบบมาได้ดี พิมพ์ได้สนุก แต่จะมีในส่วนของปุ่มแถบควบคุมแถวบนที่มีขนาดเล็กกว่าปกติ เช่นเดียวกับปุ่มลูกศร ที่มีขนาดเล็กเพียงครึ่งเดียวของปุ่มปกติ เช่นเดียวกับการผสมปุ่มคำสั่งเข้าไปกับ NumPad ทำให้ต้องใช้ความเคยชินพอสมควร ถัดลงมาก็จะเป็นแทร็กแพดขนาดมาตรฐาน

อีกจุดที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือเรื่องของลำโพงที่ติดตั้งมาใน VivoBook 14 นั้นจะใช้ลำโพงที่ผ่านการรับรองของ Harman Kardon ทำให้เสียงที่ได้ดัง และมีคุณภาพ เหมาะกับการใช้เพื่อความบันเทิงได้อย่างเต็มที่ด้วย

ในส่วนของพอร์ตการเชื่อมต่อต่างๆ นั้น VivoBook 14 ถือว่าให้มาครบ ไล่จากทางฝั่งซ้าย นอกเหนือจากช่องเสียบสายชาร์จ แล้วก็จะมี HDMI ขนาดปกติ USB 3.2 Gen 1, USB C 3.2 และช่องเสียบหูฟัง อีกฝั่งจะมีพอร์ต USB 2.0 ให้อีก 2 พอร์ต พร้อมกับช่องอ่านไมโครเอสดีการ์ด

จุดที่น่าเสียดายคือ USB-C ที่ให้มานั้นไม่สามารถใช้งานเป็น Display Port หรือใช้ในการเสียบชาร์จเครื่องได้ ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรมไปแล้ว ดังนั้นก็อาจจะต้องพกอะเดปเตอร์ของตัวเครื่องไปด้วย ซึ่งยังดีที่อะเดปเตอร์มีขนาดเล็ก ทำให้พกพาได้ง่าย

สเปกเครื่องทดสอบประสิทธิภาพ

Asus VivoBook 14 รุ่นเริ่มต้น D433 จะมากับหน่วยประมวลผล AMD Ryzen 5 4500U ที่ทำงานบนสถาปัตยกรรมแบบ 7 นาโนเมตร ความเร็ว 2.4 GHz ที่สามารถเร่งขึ้นไปได้ถึง 3.8 GHz มาพร้อมกับ AMD Radeon แบบออนบอร์ด RAM 8 GB พื้นที่เก็บข้อมูลเป็น SSD 512 GB

ด้านการเชื่อมต่อมากับ WiFi 6 (802.11ax) พร้อมบลูทูธ 5.0 แบตเตอรี 50Wh รองรับการชาร์จเร็ว 60% ใน 49 นาที ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows 10 Home และแถม MS Office Home and Student 2019 มาให้ใช้งานด้วย ในราคา 19,990 บาท

กรณีที่ต้องการประสิทธิภาพที่แรงขึ้น จะมีตัวเลือกอย่างการปรับซีพียูเป็น Ryzen 7 4700U ความเร็วประมวลผลจะขึ้นไปอยู่ที่ 3.6 GHz เร่งขึ้นไปสูงสุดได้ที่ 4 GHz ซึ่งจะเหมาะกับผู้ที่ต้องใช้งานหนักๆ อย่างการตัดต่อวิดีโอ หรือเล่นเกมที่ต้องใช้การประมวลผลสูงๆ ราคาจะขยับขึ้นไปที่ 22,990 บาท

ในส่วนของการทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานนั้น ต้องยอมรับว่า Asus VivoBook 14 นั้นทำได้น่าสนใจ โดยเฉพาะเรื่องการประมวลผลที่ให้ประสิทธิภาพเหนือกว่าซีพียูคู่แข่งในระดับราคาใกล้เคียงกัน ส่วนปัญหาเรื่องความร้อนนั้นแทบไม่พบเจอจากการใช้งาน

อีกจุดที่น่าสนใจคือเรื่องการประหยัดพลังงาน เนื่องจากพอปรับมาใช้สถาปัตยกรรมแบบ 7 นาโนเมตร ทำให้ใช้พลังงานลดลง ทำให้สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ตลอดวัน โดยไม่ต้องกังวลว่าแบตเตอรีจะหมด

เน้นความคุ้มค่าในราคา 19,990 บาท

รวมๆ แล้วความโดดเด่นหลักของ Asus Vivobook 14 กลายเป็นอยู่ที่สเปกเครื่องที่ให้มาเมื่อเทียบกับราคาที่ต้องจ่ายไป ซึ่งในรุ่นเริ่มต้นนั้น ถือว่าเพียงพอกับการใช้สำหรับการเรียน และทำงานแล้ว ดังนั้นถ้ามองหาโน้ตบุ๊กประสิทธิภาพดี ราคาคุ้มค่าซีรีส์นี่ ทำออกมาได้น่าสนใจเลยทีเดียว

นอกจากเรื่องของหน่วยประมวลผลที่ใช้ Ryzen 4000 ซีรีส์ อย่างในรุ่นเริ่มต้นเป็น Ryzen 5 นั้น จะมีการผสมผสานหน่วยประมวลผลภาพ AMD Radeon มาให้ด้วย ทำให้สามารถประมวลผลกราฟิกได้ในตัว แถมยังประหยัดแบตเตอรีอีกด้วย

]]>
Review : AMD Radeon RX 470 อีกหนึ่งความคุ้มค่ากับราคาที่ทุกคนเอื้อมถึง https://cyberbiz.mgronline.com/review-amd-radeon-rx470/ Sat, 17 Dec 2016 07:24:31 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=24765

IMG_0371

ครั้งที่แล้วทีมงานไซเบอร์บิซพาทุกท่านไปรีวิวกราฟิกการ์ดพี่ใหญ่ AMD Radeon RX 480 พร้อมแรม 8GB ไปแล้ว มาวันนี้ถึงคิวน้องคนกลางกับ “Radeon RX 470” ที่เอเอ็มดียังคงประสิทธิภาพ เน้นความคุ้มค่าคุ้มราคาเงินไม่ถึงหมื่นบาทอีกเช่นเดิม

การออกแบบ

IMG_0378

IMG_0366

สำหรับตัวกราฟิกการ์ด AMD Radeon RX 470 รุ่นที่ทีมงานได้รับมาทดสอบจะเป็น Reference Card ส่งตรงจากโรงงานของเอเอ็มดี เพราะฉะนั้นหน้าตาและขนาดจะเหมือนกับ RX 480 ทุกสัดส่วน (กินพื้นที่ติดตั้ง PCIE 2 ช่องตามมาตรฐาน)

IMG_0368

ในส่วนสเปกการ์ดยังคงใช้สถาปัตยกรรมรุ่นที่ 4 (GCN 4.0) “Polaris” เช่นเดียวกับการ์ดทุกรุ่นในตระกูล RX ด้านพอร์ตเชื่อมต่อการ์ดใช้ PCI Express 3.0 x16 และช่องไฟเลี้ยงใช้แบบ 6 พิน (บริโภคไฟสูงสุดไม่เกิน 120 วัตต์)

IMG_0373

มาดูพอร์ตเชื่อมต่อ เอเอ็มดีให้ Display Port (รองรับ HDR) มาจุใจถึง 3 พอร์ต รองรับ MST ฮับเพื่อเชื่อมต่อจอภาพได้สูงสุด 6 จอ (AMD Eyefinity Technology)

ส่วนพอร์ต HDMI ให้เป็นเวอร์ชัน 2.0 จำนวน 1 พอร์ต

สเปก

gpuz-rx470

AMD Radeon RX 470 มาพร้อมชิปประมวลผลกราฟิก (GPU) โค้ดเนม “Ellesmere” ขนาด 14 นาโนเมตร พร้อมแรม GDDR5 256-bit ขนาด 4GB ความเร็วสัญญาณนาฬิกาสูงสุด 1,206MHz รองรับ Compute Units 32 ยูนิต

ในส่วนฟีเจอร์ชุดคำสั่งกราฟิกที่รองรับ ได้แก่ DirectX 12, HDR Game, Vulkan, OpenCL 2.0, OpenGL 4.5 รวมถึงรองรับ Virtual Reality ในชื่อ “AMD LiquidVR”

ด้านซอฟต์แวร์ควบคุมใช้ “Crimson” รองรับฟีเจอร์ AMD FreeSync, Frame Rate Target Control, Virtual Super Resolution, WattMan และล่าสุดมาพร้อมฟีเจอร์ ReLive ที่เปิดให้ผู้ใช้สามารถบันทึกหน้าจอเกมในรูปแบบวิดีโอหรือแคสเกมผ่านบริการ Twitch ได้ทันที

ส่วนอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าสนใจและเพิ่งเปิดให้ใช้งานผ่านซอฟต์แวร์ Crimson รุ่นล่าสุดก็คือ “Radeon Chill” ที่ออกแบบมาเพื่อกราฟิกการ์ดตะกูล RX โดยเฉพาะ โดยฟีเจอร์ดังกล่าวจะทำให้การจัดสรรพลังงานทำได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้การ์ดบริโภคพลังงานน้อยลง ประหยัดไฟและความร้อนลดลง

ทดสอบประสิทธิภาพ

อย่างที่ทราบว่าตัวการ์ด RX 470 จะใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพต้องรันบนอินเตอร์เฟส PCI Express 3.0 แต่เพราะเมนบอร์ดของทีมงานรองรับแค่ PCI Express 2.0 เท่านั้น คะแนนที่ได้อาจคาดเคลื่อนไม่เป็นตามมาตรฐาน

amdsetrx470

ชุดคอมพิวเตอร์ที่ทีมงานใช้ร่วมกับการทดสอบกราฟิกการ์ด AMD Radeon RX 470 – 4GB GDDR 5 เป็นเช็ทระดับกลางที่ทีมงานหวังว่าด้วยสเปกที่ไม่สูงมาก ผู้อ่านสามารถจับต้องได้ทุกคน น่าจะช่วยให้การทดสอบทำได้น่าตื่นเต้น มองแล้วไม่ไกลตัวเกินไป เหมาะกับสภาพเศรษฐกิจในยุคนี้

3dmark-rx470

เริ่มการทดสอบกับ 3DMark เรื่องคะแนนผมขอไม่ยกเป็นประเด็นสำคัญ เพราะผลคะแนนเป็นไปตามราคาการ์ดระดับกลาง แต่ผมจะขอเน้นการใช้งานจริงร่วมกับการเล่นเกมตามคลิปวิดีโอด้านล่าง (ทดสอบที่ความละเอียด 1080p ทุกเกม)

iw7_ship-2016-11-30-19-46-04-70

จากคลิปวิดีโอทดสอบเล่นเกม Call of Duty Infinite Warfare (DirectX 11) เกมนี้สามารถปรับค่ากราฟิกสูงสุดทั้งหมดได้ ยกเว้นส่วน Texture ต้องปรับประมาณ High และลบรอยหยักที่เปิดได้ไม่สูงสุด เฟรมเรตที่ได้จะอยู่ประมาณ 30-50 เฟรมต่อวินาที เล่นได้ลื่นไหลสบายๆ

GTA5-2016-12-03-16-38-29-38

GTA V (DirectX 11) สามรถปรับสุดและเล่นได้ลื่นไหลระดับ 40-60 เฟรมต่อวินาที แต่ต้องปิดลบรอยหยัก MSAA และปิดออปชันส่วน Advanced Graphics ทั้งหมด

catzilla-rx470

Catzilla 720p (DirectX 11) ทำคะแนนได้ 15,606 คะแนน น้อยกว่า RX 480 ประมาณ 2 พันคะแนน โดยการทดสอบทำได้ลื่นไหลไม่มีปัญหาใดๆให้พบเจอ

ffxiv-rx470

Final Fantasy XIV HEAVENSWARD (DirectX 11) ทำคะแนนทดสอบได้ 8,133 คะแนน ปรับค่ากราฟิกสูงสุดทั้งหมด ความลื่นไหลไม่พบอาการสะดุดระหว่างทดสอบ

Rise-of-the-Tomb-Raider-v1.0-build-668.1_64-3_12_2559-14_35_46

Rise of the Tomb Raider (DirectX 12) ปรับสุดทั้งหมด ยกเว้น Texture จะปรับได้แค่ High เนื่องจากการปรับสูงสุดต้องใช้แรมกราฟิกการ์ดประมาณ 6GB และลบรอยหยักภาพต้องปรับให้ต่ำสุดถึงจะเล่นได้ลื่นไหล (เฟรมเรตประมาณ 47-50 เฟรมต่อวินาที) แต่ถ้าเปิดลบรอยหยักสูงสุด เฟรมเรตจะตกลงเหลือประมาณ 27-38 เฟรมต่อวินาทีเท่านั้น (มีอาการภาพหน่วงๆให้เห็นเป็นระยะ)

อาจเพราะการปรับภาพสูงสุด เกมบริโภคแรมกราฟิกการ์ดจำนวนมากจึงทำให้เห็นความแตกต่างจากการรันบนการ์ด RX 480 ที่มีแรมมากถึง 8GB ชัดเจนอย่างมาก (RX 480 ปรับค่ากราฟิกสูงสุดได้ทั้งหมดโดยไม่พบอาการกระตุกหรือภาพหน่วงแต่อย่างใด)

สุดท้ายขยับมาทดสอบเกมที่อยู่คู่เอเอ็มดีมานานกับ Battlefield ทั้งภาค 4 (DirectX 11 และ Mantle) และภาค 1 (DirectX 12) เริ่มจากภาคเก่า Battlefield 4 ใช้ชุดคำสั่งกราฟิก AMD Mantle ปรับสูงสุดทั้งหมด ลื่นไหลไม่มีปัญหา ส่วนถ้าเปิดใช้ชุดคำสั่ง DirectX 11 เวลาเจอเอฟเฟ็กต์จำนวนมาก จะมีอาการภาพหน่วงให้เห็นเล็กน้อย

ส่วน Battlefield 1 โหมด DirectX 12 ที่หลายคนลงความเห็นว่าเข้ากันดีกับ RX 480 มากที่สุด ลองมาทดสอบกับ RX 470 พบว่า สามารถเล่นได้ลื่นไหลแบบปรับสุดได้เช่นกัน แต่เฟรมเรตจะมีอาการสวิงตั้งแต่ 30-50 เฟรมต่อวินาที ไม่นิ่งเหมือน RX 480 และอาจพบอาการภาพหน่วงเวลาเจอระเบิดจำนวนมาก

wattman-temp-rx470

ด้านการทดสอบอุณหภูมิระหว่างทำงานแบบ Full Load จะอยู่ที่ประมาณ 78 องศาเซลเซียส

สรุป

IMG_0385

สำหรับราคาขาย AMD Radeon RX 470 – 4GB จะอยู่ในช่วงตั้งแต่ 7 พันถึง 8 พันบาทปลายๆ โดยภาพรวมตัวการ์ดยังเน้นความคุ้มค่าคุ้มราคา แรมให้มา 4GB เพียงพอกับความต้องการของเกมในปัจจุบัน ส่วนประสิทธิภาพโดยรวมแล้วใกล้เคียงกับพี่ใหญ่ RX 480 เหมาะแก่เกมเมอร์ฮาร์ดคอร์ที่ใช้จอภาพความละเอียด 1080p ส่วนคนที่ใช้หน้าจอ 2-4K ทีมงานยังแนะนำให้เลือกใช้ RX 480 จะดีที่สุด

ข้อดี

– ราคาเทียบประสิทธิภาพจัดอยู่ในเกณฑ์คุ้มค่าคุ้มราคา
– AMD Radeon สถาปัตยกรรมใหม่ ประหยัดไฟมากขึ้น ความร้อนต่ำลงมาก

ข้อสังเกต

– ไม่มีพอร์ต DVI มาให้
– การอัปเดตไดร์วเวอร์ บางครั้งแสดงชื่อการ์ดผิดรุ่น (เป็น RX 480)

]]>
Review : Acer Aspire E5-553G-T03K โน้ตบุ๊กสุดคุ้ม พลัง AMD ควอดคอร์ ในราคาไม่ถึงสองหมื่นบาท https://cyberbiz.mgronline.com/review-acer-aspire-e-amd/ Tue, 22 Nov 2016 10:14:53 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=24564

IMG_0084

วันนี้ทีมงานไซเบอร์บิซได้รับโน้ตบุ๊กฝั่ง AMD (เอเอ็มดี) มาทดสอบกับแบรนด์ Acer ตระกูล Aspire E Series ที่เน้นการใช้งานในชีวิตประจำวันที่หลากหลาย โดยรุ่นที่ทีมงานได้รับมาเป็นรหัส E5-553G-T03K ใช้ซีพียู AMD A-Series เจนเนอเรชันที่ 7 พร้อมกราฟิกการ์ดแยกและไม้ตายเด็ดคือราคาไม่ถึงสองหมื่นบาท

การออกแบบ

IMG_0080

IMG_0124

เริ่มจากการออกแบบ Aspire E Series ถูกจัดอยู่ในกลุ่มโน้ตบุ๊กเน้นใช้งานหลากหลายในราคาที่คุ้มค่า เพราะฉะนั้นเอเซอร์จึงจัดสเปกฮาร์ดแวร์มาให้เพียงพอต่อการใช้งานทุกรูปแบบ ตั้งแต่หน้าจอแบบด้าน ที่ให้ขนาดมาใหญ่โตถึง 15.6 นิ้ว แต่ด้านพาเนลจะลดสเปกไปใช้ Active Matrix TFT Color LCD ที่ความละเอียด HD 1,366×768 พิกเซล พร้อมกล้องเว็บแคมรองรับ HDR และไมโครโฟน

IMG_0108

ด้านวัสดุ ฝาเปิดปิดเป็นพลาสติกขัดลายให้เหมือนโลหะดูหรูหรา

ในส่วนขนาดตัวเครื่องค่อนข้างใหญ่โตตามขนาดหน้าจอ โดยตัวเครื่องมีความหนา 23.90 (ด้านหน้า)ถึง 30.20 มิลลิเมตร (ด้านหลัง) พร้อมน้ำหนัก 2.23 กิโลกรัม

IMG_0094

แน่นอนว่าด้วยตัวเครื่องขนาดใหญ่ ทำให้แป้นคีย์บอร์ดสามารถติดตั้ง Num Pad (แผงปุ่มตัวเลข) เพิ่มได้ โดยแป้นคีย์บอร์ดจะไม่มีไฟส่องสว่างด้านหลังเวลาใช้งานกลางคืน ส่วน Touch Pad เป็นมัลติทัชรุ่นใหม่แบบมีระบบป้องกันการตอบสนองต่ออุ้งมือจากการสัมผัสโดยไม่ตั้งใจ

IMG_0131

ด้านล่างตัวเครื่อง ในรุ่นใหม่นี้จะมาพร้อมแบตเตอรี 4 เซลล์ขนาด 2,800mAh ไม่สามารถถอดเปลี่ยนได้ด้วยตัวเอง ลงมาด้านล่างจะเป็นฝาปิดช่องใส่แรมและฮาร์ดดิกส์ (สามารถอัปเกรดได้ภายหลัง แต่ระหว่างอยู่ในประกันเมื่อแกะฝาปิดนี้ออกด้วยตัวเอง ประกันจะขาดทันที) 

IMG_0139

ส่วนช่องซ้ายขวาด้านล่างจะเป็นลำโพงสเตอริโอ 2 ตัวบนเทคโนโลยี Acer TrueHarmony เน้นให้เสียงมีมิติมากขึ้น

IMG_0120

มาดูพอร์ตเชื่อมต่อรอบตัวเครื่อง เริ่มจากขวามือเป็นไดร์ฟ DVD อ่านเขียนได้ ถัดมาเป็นช่องเสียบอะแดปเตอร์ไฟบ้าน พอร์ต USB 2.0 และช่องหูฟัง/Headset 3.5 มิลลิเมตร

IMG_0119

ซ้ายมือ เริ่มจากบนสุดเป็นช่องใส่สายล็อคกันขโมย ถัดลงมาเป็นช่องระบายความร้อน พอร์ต USB-C 3.1, พอร์ต LAN RJ-45, VGA D-sub, HDMI และ USB 3.0 อีก 2 พอร์ต (เรียกได้ว่าครบครันทุกพอร์ตเชื่อมต่อที่ใช้ในปัจจุบันเลย)

IMG_0133

ด้านหน้า เป็นช่องอ่านการ์ด SD Card Reader และไฟแสดงสถานะการทำงานของตัวเครื่องและไฟฮาร์ดดิสก์

สเปก

cpu-a10

มาถึงสเปก เริ่มจากซีพียูใช้เจนใหม่ระดับกลาง เน้นประหยัดพลังงาน (7th Gen) AMD A10 9600P Quad Core ความเร็ว 2.40GHz 10 Compute Cores (GPU+CPU) รองรับ AMD Turbo Core Technology เพิ่มความเร็วได้สูงสุด 3.30GHz แรมเป็น DDR4 Dual Channel ขนาด 8GB

gpuz-a10

amdset1

ในส่วนกราฟิกการ์ดจะมี 2 ตัว (Dual Graphics) คือหนึ่งตัวมากับซีพียูเป็น Accelerated Processor (APU) “Radeon R5” พร้อมแรม 512MB แชร์มาจากแรมตัวเครื่อง DDR4 ส่วนอีกตัวเป็น “AMD Radeon R8 M445DX” (ในรูปจะแสดงชื่อรุ่นผิด ต้องรออัปเดตซอฟต์แวร์) พร้อมแรม DDR3 ขนาด 2GB โดยการทำงาน ระบบจะจัดการพลังงานและประสิทธิภาพแปรผันตามการใช้งานผ่านซอฟต์แวร์ควบคุมอัตโนมัติ

specaceramdddddd22

ด้านสเปกฮาร์ดแวร์ส่วนอื่น Acer Aspire E5-553G-T03K มาพร้อมฮาร์ดดิสก์เก็บข้อมูลความจุ 1TB จากโตชิบ้า ชิป WiFi จาก Qualcomm รองรับมาตรฐานเชื่อมต่อสูงสุด IEEE 802.11ac พร้อมบลูทูธ

สำหรับระบบปฏิบัติการที่ติดตั้งมากับเครื่องจะเป็น Linpus Linux เท่านั้น ใครอยากได้ Windows 10 ต้องซื้อแยกมาติดตั้งเอง

ทดสอบประสิทธิภาพและสรุป

pcmark-amdacer1

pcmark-amdacer4pcmark-amdacer2pcmark-amdacer3

ขอเริ่มจาก PCMark 8 กันก่อน จะเห็นว่าผลคะแนนที่ออกมาถ้าเทียบกับโน้ตบุ๊กรุ่นที่ใช้ซีพียูคู่แข่งจะอยู่ประมาณ Intel Core i5 ได้ประสิทธิภาพคุ้มราคาดีเหมือนกันโดยเฉพาะเมื่อใช้งานแอปพลิเคชันเป็นจำนวนมากพร้อมกัน 4 แกนสมองของเอเอ็มดีช่วยเหลือได้ดีมาก

3dmark13dmark2

โดยเฉพาะส่วนกราฟิกแม้เมื่อรวมกันทำงานจะให้ประสิทธิภาพเพียงแค่ระดับเริ่มต้น (3DMark ทดสอบได้แค่ชุด Sky Diver กับ Cloud Gate สูงกว่านั้นสเปกกราฟิกไม่พอ) แต่สำหรับการนำไปใช้ทำงาน เช่น ตกแต่งภาพ เรนเดอร์วิดีโอถือว่าทำได้ลื่นไหลพอตัว โดยทีมงานได้ทดลองตัดต่อวิดีโอ 4K ก็พบว่าสามารถทำได้ในระดับกลางๆ น่าพอใจ อาจไม่รวดเร็วแต่ก็ไม่มีอาการติดขัดใดๆระหว่างใช้งานเลย

geekaceramd

คะแนน Geekbench 4 สำหรับ Single Core อยู่ที่ 1,951 คะแนน Multi-core อยู่ที่ 4,159 คะแนน

ffxiv_dx11-2016-11-19-13-06-17-36

ffxivaceramd

Rise-of-the-Tomb-Raider-v1.0-build-668.1_64-19_11_2559-12_38_39

มาถึงการทดสอบเล่นเกม ตามสเปกและราคา Aspire E5-553G-T03K อาจไม่รองรับกับเกม 3 มิติทุกเกมที่วางขายในท้องตลาดตอนนี้ เนื่องจากสเปกฮาร์ดแวร์ค่อนข้างจำกัดอย่างมาก ยกตัวอย่างเกม Rise of the Tomb Raider สามารถเล่นบน DirectX 12 ที่ค่ากราฟิกต่ำสุดได้เฟรมเรตประมาณ 15-20 เฟรมต่อวินาทีเท่านั้น ถือว่าพอเล่นได้ กราฟิกไม่มีแสดงผลผิดเพี้ยน ถ้าเป็นเกมที่กราฟิกไม่สูงมาก เช่น Overwatch สามารถปรับค่ากราฟิกกลางๆก็สามารถเล่นได้ลื่นไหลสบายๆ หรือ GTA V ถ้าปรับออปชันกราฟิกกลาง-ต่ำ ก็สามารถเล่นได้ลื่นไหลเช่นกัน (เทียบกับคู่แข่งก็ประมาณ NVIDIA GeForce 940M)

aceramda10-batterytest

สุดท้ายกับการทดสอบแบตเตอรี ถือเป็นจุดอ่อนสุดของโน้ตบุ๊กรุ่นนี้เพราะทำเวลาใช้งานต่อเนื่องได้แค่ 2 ชั่วโมง 33 นาทีเท่านั้น ถ้านับเป็นเวลาใช้งานทั่วไปไม่น่าจะถึง 6 ชั่วโมง

สรุปสำหรับค่าตัว Acer Aspire E5-553G-T03K ราคาเต็มอยู่ที่ 17,990 บาท (ตอนนี้มีการปรับราคาลงเหลือ 14,990 บาท) เรียกว่าเป็นราคาเปิดตัวที่คุ้มค่าอย่างมากเมื่อเทียบกับประสิทธิภาพที่ได้ ยิ่งเมื่อเทียบกับคู่แข่งแล้ว โน้ตบุ๊กรุ่นนี้ที่มาพร้อมซีพียูเจนเนอเรชันที่ 7 จาก AMD สามารถฟัดชนะคู่แข่งได้ไม่ยากเลย (ประสิทธิภาพสูสีกันแล้ว) ยิ่งราคาเปิดตัวมาไม่เกินสองหมื่นบาทด้วยแล้ว ใครมีงบประมาณจำกัด ทีมงานแนะนำให้มองรุ่นนี้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกได้เลย

แต่ทั้งนี้ทีมงานก็อยากให้ทางเอเซอร์ปรับความสมบูรณ์ของไดร์ฟเวอร์กราฟิกการ์ดและเฟริมแวร์ตัวเครื่องอีกเล็กน้อย เนื่องจากระบบมองชื่อรุ่นกราฟิกการ์ดผิดรุ่นและบางครั้งระบบมองไม่เห็นกราฟิกการ์ดตัวที่สองทำให้ประสิทธิภาพลดลงไปถึงการจัดการพลังงานภายในที่ต้องได้รับการแก้ไขอีกเล็กน้อย Aspire E5-553G-T03K ก็น่าจะสมบูรณ์แบบและน่าใช้ยิ่งขึ้นไปอีก

ข้อดี

– สเปกเทียบราคาคุ้มค่ามาก
– ซีพียูควอดคอร์
– จอ 15.6 นิ้ว คีย์บอร์ดมีแป้นตัวเลข
– พอร์ตเชื่อมต่อครบครัน มี USB-C ด้วย
– อัปเกรดแรมและฮาร์ดดิสก์ได้ภายหลัง

ข้อสังเกต

– ตัวเครื่องมีขนาดใหญ่
– แบตเตอรีหมดเร็ว
– ซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ระบบยังไม่ค่อยเสถียรนัก
– ฮาร์ดดิสก์ 1TB ที่ิติดตั้งมากับเครื่องอ่านเขียนค่อนข้างช้า

Gallery

]]>
Review : AMD Radeon RX 480 กราฟิกการ์ดสุดคุ้ม แรม 8GB ในราคาเริ่มต้นไม่ถึงหมื่นบาท https://cyberbiz.mgronline.com/review-amd-radeon-rx480/ Sat, 22 Oct 2016 01:57:41 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=24267

DSC_2723

นานทีปีหนทีมงานไซเบอร์บิซจะได้รับกราฟิกการ์ดสำหรับพีซีเกมเมอร์มารีวิวสักครั้งหนึ่ง วันนี้ทีมงานได้รับกราฟิกการ์ดรุ่นใหม่ล่าสุดจาก AMD (เอเอ็มดี) มารีวิวให้ชมกันในชื่อ “AMD Radeon RX 480”

AMD Radeon RX Series เป็นกราฟิกการ์ดตระกูลใหม่จาก AMD โดยปัจจุบันจะมีให้เลิอก 3 รุ่น ได้แก่รุ่นท็อปสุด RX 480 เน้นฮาร์ดคอร์เกมเมอร์และใช้งาน VR ได้ลื่นไหลสุด รุ่นกลาง RX 470 เน้น HD เกม และสุดท้ายรุ่นราคาประหยัด RX 460 เน้นตลาดเกมออนไลน์

การออกแบบ

DSC_2728

DSC_2726

AMD Radeon RX 480 เป็นกราฟิกการ์ดซีรีย์ใหม่บนสถาปัตยกรรมรุ่นที่ 4 (GCN 4.0)  “Polaris” จาก AMD ที่ได้รับออกแบบทุกส่วนใหม่หมดตั้งแต่บอร์ดไปถึงชิปประมวลผล โดยในรุ่นที่ทีมงานไซเบอร์บิซได้รับมารีวิวจะผลิตจาก AMD โดยตรง

DSC_2736

DSC_2731

สำหรับการออกแบบ ตัวการ์ด RX 480 จะเชื่อมต่อกับสลอต PCI Express รองรับเวอร์ชัน 3.0 กินพื้นที่ใส่การ์ด PCIE 2 ช่องตามมาตรฐาน ตัวการ์ดมีขนาดสั้นและน้ำหนักไม่มาก

ด้านหน้าของตัวการ์ดจะเป็นพลาสติกสีดำครอบทับฮีทซิงค์ระบายความร้อนพร้อมพัดลมระบายความร้อน 1 ตัว ด้านหลังเป็นบอร์ดสีดำเปลือย ซึ่งถ้าสังเกตที่บริเวณชิปกราฟิก จะพบว่ามีขนาดเล็กลงจากเดิม

DSC_2719

ด้านไฟเลี้ยงใช้เพียงแค่ 6 พินเท่านั้น (ตามสเปกตัวการ์ดใช้ไฟประมาณ 110 วัตต์) พร้อมโลโก้ RADEON (ไม่มีไฟส่องสว่างเหมือนรุ่นใหญ่)

DSC_2724

ส่วนพอร์ตเชื่อมต่อจอภาพจะแบ่งเป็น Display Port 3 ช่อง (รองรับเวอร์ชัน 1.4 HDR Ready) HDMI 2.0 1 ช่อง

โดย Display Port ทั้ง 3 ช่อง รองรับการต่อเชื่อมกับ Multi Stream Transport (MST) Hub เพื่อต่อจอเพิ่มอีก 3 จอ รวม Display Port รองรับการแสดงผลภาพพร้อมกันทั้งหมดได้สูงถึง 6 จอ เพื่อทำ AMD Eyefinity ได้

สเปก

rx480-specdetails

AMD Radeon RX 480 มาพร้อมชิปประมวลผลกราฟิก (GPU) แบบ 14 นาโนเมตร ความเร็ว 1,266 MHz ในส่วน Stream Processors อยู่ที่ 2,304 Compute Units อยู่ที่ 36 ยูนิต ที่นอกจากความแรงจะมากกว่าสถาปัตยกรรมเก่าถึง 1-2 เท่า ตัวกราฟิกการ์ดยังมาพร้อมการรองรับฟีเจอร์ในอนาคต ได้แก่

– HDR Game
– รองรับ DirectX 12 ใน Windows 10 เต็มรูปแบบ
– รองรับ Vulkan, OpenCL 2.0, OpenGL 4.5
– รองรับเกมที่รันบนความละเอียด 4K 60 เฟรมต่อวินาที และ RX 480 จะรองรับความละเอียด 5K ด้วย
– รองรับการถอดรหัส HEVC H.265 ที่ใช้ในวิดีโอความละเอียดสูง
– รองรับ Virtual Reality ในชื่อ “AMD LiquidVR”

และนอกจากนั้นตัวการ์ดยังบริโภคพลังงานต่ำลง อย่างรุ่น RX 480 ที่เรานำมารีวิวในวันนี้ มีผู้ใช้หลายท่านทดลองใช้งานร่วมกับ Power Supply 300 วัตต์ สามารถใช้ได้อย่างไม่มีปัญหา

มาดูสเปกส่วนอื่นของการ์ดกันบ้าง เริ่มจากแรม AMD เลือกใช้ GDDR5 ขนาด 8GB (มีรุ่น 4GB ให้เลือก) ความเร็ว 2GHz (ปริมาณการรับส่งข้อมูลอยู่ที่ 224GB/s) รองรับ AMD CrossFire แบบ Bridgeless

ในส่วนชุดซอฟต์แวร์ควบคุมใช้ Crimson รองรับฟีเจอร์ AMD FreeSync, Frame Rate Target Control, Virtual Super Resolution และรองรับการโอเวอร์คล็อกผ่านฟีเจอร์ WattMan

ทดสอบประสิทธิภาพ

อย่างที่ทราบว่าตัวการ์ด RX 480 จะใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพต้องรันบนอินเตอร์เฟส PCI Express 3.0 แต่เพราะเมนบอร์ดของทีมงานรองรับแค่ PCI Express 2.0 เท่านั้น คะแนนที่ได้อาจคาดเคลื่อนไปบ้างเล็กน้อย

amdset-rx480

ชุดคอมพิวเตอร์ที่ทีมงานใช้ร่วมกับการทดสอบกราฟิกการ์ด AMD Radeon RX 480 – 8GB GDDR 5 เป็นเช็ทระดับกลางที่ทีมงานหวังว่าด้วยสเปกที่ไม่สูงมาก ผู้อ่านสามารถจับต้องได้ทุกคน น่าจะช่วยให้การทดสอบทำได้น่าตื่นเต้น มองแล้วไม่ไกลตัวเกินไป เหมาะกับสภาพเศรษฐกิจในยุคนี้

คลิปวิดีโอเสริมบทความรีวิวเพื่อความชัดเจนในการทดสอบ AMD Radeon RX 480 – 8GB GDDR 5 ด้วยเกม GTA 5 (ปรับค่ากราฟิกสูงสุดทั้งหมด ยกเว้น MSAA ปิดไว้) และทดลองรันบน DirectX 12 ดูความลื่นไหล

3drx480

เริ่มจากการทดสอบแรก 3D Mark ที่เพิ่งปล่อยให้อัปเดตเพิ่มชุดทดสอบ DirectX 12 ในชื่อ “Time Spy” (ดูวิดีโอเดโมได้จากคลิปด้านบน ช่วงที่ 3) จากการทดสอบจะเห็นว่าด้านคะแนน Time Spy จะอยู่ที่ 3,602 คะแนน ส่วนชุดทดสอบบน DirectX 11 “Fire Strike/Ultra” จะได้คะแนนอยู่ที่ 2,719 และ 5,010 คะแนน

โดยถ้ามองถึงความลื่นไหลและเฟรมเรตที่ได้ RX 480 ถือว่าทำคะแนนได้กลางๆ แต่จะโดดเด่นอย่างมากเมื่อรันบน DirectX 12 ตามที่ AMD คุยไว้ในเรื่องความรวดเร็วและลื่นไหลที่ถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว

Rise-of-the-Tomb-Raider-v1.0-build-668

2Rise-of-the-Tomb-Raider-v1.0-build-668

เปลี่ยนมาทดสอบเกมอย่าง Rise of the Tomb Raider ในโหมด DirectX 12 ปรับค่ากราฟิกสูงสุด และเปิดลบรอยหนักภาพ SSAA ทั้งหมดจะพบอาการหน่วงให้เห็นบ้าง ยิ่งเวลาเจอฉากหิมะถล่มเฟรมเรตจะตกมาอยู่ระดับ 20-26 เฟรมต่อวินาทีได้เลย แต่ก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการปรับลบรอยหยักเป็น SMAA ระดับแรก เกมจะลื่นขึ้นพร้อมเฟรมเรตที่สามารถพุ่งไปแตะเลข 50-56 เฟรมต่อวินาทีได้ตลอดทั้งเกม คนที่ชอบเปิด VSync สามารถเลือกใช้งานได้สบายๆไม่หน่วงแน่นอน

ทดสอบกับอีกหนึ่งเกมสเปกสูง Quantum Break (DirectX 12) เวอร์ชันแรกก่อนอัปเดตล่าสุดที่หลายคนบ่นว่ากินแรมกราฟิกการ์ดสูงมาก สำหรับการ์ดจอ RX 480 แรม 8GB บนชุดทดสอบของทีมงาน ปรับทุกอย่างสูงสุดทั้งหมดรวมถึงเปิดลบรอยหยัก ไม่พบอาการกระตุก หน่วง หรือการแสดงผลกราฟิกผิดพลาดให้เห็นแต่อย่างใด เกมเล่นได้ลื่นไหล อาจมีสะดุดเล็กๆเท่านั้น

แต่โดยภาพรวมถือว่า AMD Radeon RX 480 กับเกม Quantum Break เล่นได้ลื่นไหลและดูเหมือนว่า DirectX 12 จะเข้ากันได้ดีกับกราฟิกการ์ดตัวนี้เสียจริงๆ พิสูจน์ได้ด้วยตาตัวเองจากคลิปวิดีโอด้านบน

GTA5-2016-10-17-10-33-09-81

ขยับมาทดสอบเกมมหาโหดด้านการบริโภคแรมกราฟิกการ์ดอย่าง GTA V (DirectX 11) แน่นอนด้วยจำนวนแรม 8GB GDDR5 เพียงพอต่อการปรับเรนเดอร์ฉากได้เต็มที่ ยิ่งถ้านำ RX 480 ไปใส่กับคอมพิวเตอร์พีซีที่มีสเปกสูงและใช้บัช PCI Express ที่สูงกว่าเครื่องทดสอบของทีมงาน คุณจะสามารถเล่น GTA V ที่ความละเอียด 4K ได้โดยที่เฟรมเรตจะอยู่ที่ประมาณ 25-30 เฟรมต่อวินาที (ปิด MSAA)

ส่วนเครื่องทดสอบของทีมงาน สเปกกลางๆ สามารถปรับค่ากราฟิก Ultra/High ได้ แต่ต้องปิดลบรอยหยักภาพ MSAA ถึงจะลื่นไหล โดยที่ความละเอียด 1080p เฟรมเรตจะวิ่งอยู่ที่ประมาณ 25-35 เฟรมต่อวินาที ส่วนฉากฝนตกจะวิ่งได้สูงถึง 50-60 เฟรมต่อวินาที และระหว่างการเล่นอาจมีอาการภาพหน่วงเล็กน้อยแต่ไม่ถึงกับกระตุกจนเล่นไม่ได้

ภาพรวมสำหรับ GTA V ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี ถ้าใช้สเปกเครื่อง เมนบอร์ดสูงกว่าของทีมงานอีกนิด ที่ค่ากราฟิก Ultra คงทำเฟรมเรตได้สูงระดับ 40-50 เฟรมต่อวินาที แต่ทั้งนี้ถ้าเป็นคนไม่จริงจังเรืองกราฟิกนัก สามารถปรับตั้งค่าเป็น High/Very High ได้ เพราะเกมจะลื่นไหลระดับ 60 เฟรมต่อวินาทีตลอดเวลาเลย

deadrising3-2016-10-17-10-42-58-42

ในส่วนเกม Dead Rising 3 Apocalypse Edition เกมนี้ไม่มีปัญหาอะไรกับ RX 480 และชุดทดสอบของทีมงานเลย สามารถปรับค่ากราฟิกสูงสุดทั้งหมด (1080p) รวมถึงเปิดใช้ระบบลบรอยหยักภาพสูงสุด เปิด VSync ร่วมด้วยได้ โดยเฟรมเรตภาพ ส่วนใหญ่จะคงที่ 30 เฟรมต่อวินาทีตลอดการเล่น อาจมีตกลงมา 25-27 เฟรมต่อวินาทีบ้างในฉากที่มีฝูงซอมบี้จำนวนมาก

ffxiv_dx11-2016-10-17-12-45-59-90

มาดูการทดสอบด้วยชุดทดสอบกราฟิกจากเกม Final Fantasy XIV HEAVENSWARD ที่ความละเอียด 1080p DirectX 11 ปรับสูงสุดทั้งหมดทำคะแนนได้ 9,320 คะแนน ลื่นไหล ไม่มีปัญหาใดๆ

catzilla-rx480

อีกหนึ่งชุดทดสอบ Catzilla 720p DirectX 11 ทำคะแนนได้ 17,853 คะแนน

wattman-rx480

สำหรับการทดสอบสุดท้ายเกี่ยวกับอุณหภูมิระหว่างใช้งาน (ทดสอบที่อุณหภูมิห้องประมาณ 26-28 องศาเซลเซียส) ทีมงานเลือกใช้ฟีเจอร์ WattMan ใน AMD Catalyst เป็นตัววัดผลหลัก จะเห็นว่าเมื่อ RX 480 ทำงานเต็มประสิทธิภาพ 100% อุณหภูมิจะอยู่คงที่ประมาณ 87 องศาเซลเซียสเท่านั้น ส่วนเมื่อไม่ใช้งานกราฟิกการ์ด อุณหภูมิจะอยู่ประมาณ 38-42 องศาเซลเซียส ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี

สรุป

สำหรับราคา AMD Radeon RX 480 เริ่มต้น 9,900 บาท โดยในช่วงแรกจะเป็น Reference Card จาก AMD และแบรนด์เช่น ASUS, XFX, Power Color, Sapphire ก่อน และหลังจากนั้นจะเป็นรุ่น Non-Ref ที่อาจมีการปรับเพิ่มแรม เพิ่มพัดลมระบายความร้อนหรือโอเวอร์คล็อกความเร็วการ์ดขึ้นและราคาอาจสูงขึ้นเล็กน้อย

โดยในส่วนประสิทธิภาพโดยรวมของ Radeon RX 480 จัดเป็นกราฟิกการ์ดระดับกลางค่อนสูง สามารถปรับกราฟิกในเกมระดับสูงถึงสูงสุดและเล่นได้ลื่นไหลที่ความละเอียดจอเริ่มต้น 1080p เป็นต้นไป (บางเกมอาจต้องปิดลบรอยหยักเกมถึงลื่นไม่หน่วง) จุดเด่นคงอยู่ในเรื่องราคา แรม 8GB อยากได้กราฟิกการ์ดระดับบนแต่มีงบประมาณจำกัด ส่วนเรื่องความแรงอาจตามคู่แข่งอยู่บ้าง แต่สุดท้ายแล้วทั้งหมดก็พอเพียงสำหรับเกมพีซีทุกเกมในปัจจุบันรวมถึงอนาคต ยิ่งถ้าเกมพีซีออกมารองรับ DirectX 12 หรือ Vulkan ให้สมบูรณ์แบบมากขึ้น การ์ด RX 480 น่าจะแสดงประสิทธิภาพได้เต็มที่กว่านี้

ส่วนคำถามสำหรับผู้ใช้จอ 4K แล้วอยากได้กราฟิกการ์ดรุ่นนี้มาใช้เล่นเกมแบบ 4K ทีมงานต้องเรียนตามตรงว่า ด้วยขนาดแรมกราฟิกการ์ดถึง 8GB สามารถเปิดใช้ความละเอียด 4K ได้ แต่ทั้งนี้ในส่วนคุณภาพกราฟิกอาจต้องปรับลดลงมาเล็กน้อย เพราะต้องไม่ลืมว่าตัวการ์ดมีสเปกแค่ระดับกลางค่อนสูงเท่านั้น

ข้อดี

– ราคาเทียบประสิทธิภาพจัดอยู่ในเกณฑ์คุ้มค่าคุ้มราคา
– แรม 8GB GDDR5
– AMD Radeon สถาปัตยกรรมใหม่ ประหยัดไฟมากขึ้น ความร้อนต่ำลงมาก

ข้อสังเกต

– ไม่มีพอร์ต DVI มาให้
– ใช้ช่วยประมวลผลร่วมกับแอปพลิเคชันที่รองรับ เช่น Adobe Premiere, Photoshop ยังให้ผลลัพท์ธรรมดาเมื่อเทียบกับคู่แข่ง

]]>