Huawei – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Thu, 15 Jul 2021 11:20:20 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : Huawei Watch 3 – FreeBuds 4 คู่หาสมาร์ทวอทช์สุขภาพ และหูฟังไร้สายตัดเสียงรบกวน https://cyberbiz.mgronline.com/review-huawei-watch-3-freebuds-4/ Thu, 15 Jul 2021 11:14:35 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35577

กลุ่มผลิตภัณฑ์สมาร์ทวอทช์ และหูฟังไร้สายของหัวเว่ย ถือเป็น 2 IoT ดีไวซ์ที่ หัวเว่ย (Huawei) เปิดตัวมาเป็นกลุ่มแรกๆ ในช่วงที่สมาร์ทโฟนของหัวเว่ย ได้รับความนิยม จนมีผู้บริโภคใช้งานต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

ในปีนี้ หัวเว่ย ได้มีการเพิ่มความสามารถให้กับทั้งสมาร์ทวอทช์ และหูฟังไร้สาย ได้อย่างน่าสนใจ เพราะไม่ได้จำกัดการใช้งานเฉพาะบนอีโคซิสเตมส์ของ HUAWEI เท่านั้น แต่ยังสามารถใช้งานกับทั้ง Android และ iOS ได้เป็นอย่างดี

Huawei Watch 3 มีจุดเด่นที่น่าสนใจคือรองรับการเชื่อมต่อแบบ eSIM พร้อมการวัดค่าสุขภาพที่ครบถ้วนทั้งการวัดอัตราการเต้นของหัวใจ อุณหภูมิ จนถึงค่าออกซิเจนในเลือด ในขณะที่ FreeBuds 4 มากับคุณภาพเสียงที่ดีขึ้น และตัดเสียงรบกวนได้น่าประทับใจ

สำหรับราคาจำหน่าของ Huawei Watch 3 เริ่มต้นที่ 12,990 บาท ส่วน Huawei FreeBuds 4 ราคาเปิดตัว 5,999 บาท มีโปรโมชันพิเศษเหลือ 4,499 บาท ถึงวันที่ 22 .. นี้

ข้อดี

Huawei Watch 3

  • มีฟีเจอร์ตรวจจับเกี่ยวกับสุขภาพครบถ้วน
  • รองรับการใช้งาน eSIM สามารถใช้สื่อสารแทนสมาร์ทโฟนได้
  • มีโหมดประหยัดแบตเตอรี ใช้งานได้ 14 วัน

HUAWEI FreeBuds 4

  • หูฟังไร้สาย ตัดเสียงรบกวน สวมใส่สบาย
  • รองรับการเชื่อมต่อ 2 อุปกรณ์สลับใช้งานไปมาได้

ข้อสังเกต

  • Huawei Watch 3 ยังมีแอปพลิเคชันที่รองรับค่อนข้างน้อย จาก App Gallery
  • เวลาชาร์จแบตเตอรี ถ้าเครื่องร้อนจะตัดการชาร์จอัตโนมัติ (แนะนำให้ชาร์จในห้องแอร์)
  • HUAWEI FreeBuds 4 อาจจะไม่เหมาะกับรูปทรงหูของทุกคน เพราะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ถ้าใส่ไม่พอดีอาจะหลุดได้

HUAWEI Watch 3 นาฬิกาอัจฉริยะวัดอุณหภูมิได้

การพัฒนาสมาร์ทวอทช์ของ หัวเว่ย ในปีนี้ ค่อนข้างน่าสนใจตรงการเพิ่มฟีเจอร์ที่มีความสำคัญ และได้ใช้งานแน่ๆ ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 แบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นการวัดค่าออกซิเจนในเลือด (spO2) รวมถึงวัดอุณหภูมิบริเวณผิวหนัง ที่เพิ่มเข้ามา

เนื่องจากทั้ง 2 ค่านี้ สามารถใช้บ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ในการเป็นไข้ หรือมีปัญหาในการหายใจ ซึ่งได้กลายเป็นอาการเบื้องต้นของโควิด-19 แต่แน่นอนว่าเมื่อสมาร์ทวอทช์ไม่ใช่เครื่องมือทางการแพทย์ ดังนั้นจึงสามารถใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น ไม่สามารถนำไปใช้ในการวินิจฉัยโรคได้

ความน่าสนใจของ Watch 3 ไม่ได้จบแค่ 2 ฟีเจอร์นั้น แต่ภายในยังอัดแน่นมาด้วยความอัจฉริยะที่น่าสนใจหลายๆ เรื่อง ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของผู้ใช้งาน โดยฟีเจอร์พื้นฐานอย่างวัดก้าวเดิน วัดอัตราการเต้นของหัวใจ Huawei Watch รุ่นต่างๆ ทำได้ดีอยู่แล้ว

ที่เพิ่มขึ้นมาในรุ่นนี้ คือรองรับรูปแบบการออกกำลังกายมากขึ้น พร้อมกับเพิ่มโหมดแนะนำในการออกกำลังกาย เพื่อช่วยให้การใช้ชีวิตในช่วงนี้ของผู้คนยังสามารถรักษาสุขภาพให้แข็งแรงไปได้ด้วย

นอกจากนี้ Huawei Watch 3 ยังรองรับการเชื่อมต่อ eSIM (AIS และ TrueMove H มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม) ทำให้สามารถใช้รับสายโทรศัพท์จากนาฬิกาได้ทันที เวลาไปออกกำลังกายก็จะไม่พลาดการสื่อสารต่างๆ

เมื่อสมาร์ทวอทช์สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ ก็จะช่วยปลดล็อกความสามารถอื่นๆ อย่างการฟังเพลง นำทาง โดยที่ไม่ต้องซิงค์กับสมาร์ทโฟนตลอดเวลาก็ได้ ทำให้กลายเป็นนาฬิกาอัจฉริยะที่มีความสามารถรอบด้าน

เบื้องหลังในการทำงานของ Huawei Watch 3 ก็คือการนำระบบปฏิบัติการ HarmonyOS มาใช้งาน ทำให้สามารถเชื่อมต่อเข้ากับ Huawei App Gallery เพื่อติดตั้งแอปพลิเคชันใช้งานได้ทันที แม้ว่าจะใช้งานร่วมกับ iOS หรือ Android ที่ไม่ใช่ Huawei ก็ตาม

ในแง่ของการออกแบบ Huawei Watch 3 ยังคงเอกลักษณ์ในแง่ของหน้าปัดทรงกลมเช่นเดิม ความรู้สึกที่ได้จะออกแมนๆ เหมาะกับผู้ชายมากกว่า จากขนาดตัวเครื่อง 46.2 x 46.2 x 12.15 มิลลิเมตร น้ำหนักไม่รวมสายจะอยู่ที่ 54 กรัม

ตัวหน้าจอที่ให้สีสันสดใส และสามารถเลือกเปลี่ยนหน้าปัดได้นั้น เลือกใช้จอแบบ AMOLED ขนาด 1.43 นิ้ว ความละเอียด 466 x 466 พิกเซล ให้ความละเอียดเม็ดสีที่ 326ppi วัสดุตัวเรือนทำจากสแตนเลสเป็นหลัก

การควบคุมทำได้ทั้งจากหน้าจอแบบสัมผัส เม็ดมะยมที่สามารถกด และหมุนได้ พร้อมกับปุ่มกดด้านข้าง เพิ่มเติม เพื่อให้เข้าถึงการใช้งานต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว นาฬิกายังกันน้ำที่ระดับ 5 ATM ทำให้สามารถใส่ว่ายน้ำที่ไม่ลึกเกิน 50 เมตรได้ด้วย

สำหรับการเชื่อมต่อ นอกจากใส่ eSIM เพื่อใช้งาน 4G LTE แล้ว ยังสามารถเชื่อมต่อ WiFi 4 (รองรับเฉพาะ 2.4 GHz) มี GPS ในตัว รวมถึง NFC และบลูทูธ 5.2 ทำให้สามารถเชื่อมต่อหูฟังไร้สาย เข้ากับ Watch 3 เพื่อใช้ฟังเพลงจากนาฬิกาโดยตรงได้ด้วย

ในส่วนของระยะเวลาการใช้งาน Huawei Watch 3 เคลมว่าในโหมดอัจฉริยะสามารถใช้งานได้นาน 3 วัน และโหมดประหยัดพลังงานจะอยู่ได้ 14 วัน ซึ่งในโหมดนี้จะยังคงวัดอัตราการเต้นของหัวใจ เชื่อมต่อบลูทูธกับสมาร์ทโฟนรับการแจ้งเตือน ได้ด้วย

อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่เชื่อมต่อกับ iOS ผ่านแอป Huawei Health ระยะเวลาการใช้งานจะสั้นลงเหลือ 1.5 วันเท่านั้น เนื่องจากใช้การเชื่อมต่อคนละแบบกับสมาร์ทโฟนที่มีพื้นฐานของ Android ทำให้ใช้พลังงานในการรับส่งข้อมูลมากกว่าเดิม

HUAWEI FreeBuds 4 คุณภาพเสียงตัดเสียงรบกวนเด็ดขึ้น

มาถึง HUAWEI FreeBuds 4 ที่เป็นหูฟังไร้สายชูความโดดเด่นเรื่องการตัดเสียงรบกวน ก่อนหน้านี้ หัวเว่ย เคยออก FreeBuds 4i ที่เป็นหูฟังไร้สายแบบ In-Ears ออกมารองรับการตัดเสียงรบกวนเหมือนกัน FreeBuds 4 รุ่นนี้จึงเหมือนเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ใช้เพิ่มเติม

โดยการออกแบบของ FreeBuds 4 จะเปลี่ยนดีไซน์ใหม่อย่างเคสที่เป็นทรงกลม ขนาด 58 x 21.2 มิลลิเมตร น้ำหนักรวม 38 กรัม ทำให้พกพาได้ง่าย ใส่ในกระเป๋ากางเกงได้สบายๆ มีให้เลือกด้วยกัน 2 สีคือ เงิน Silver Frost และ ขาว Ceramic White มีพอร์ตชาร์จ USB-C อยู่ด้านล่าง และปุ่มกดสำหรับเชื่อมต่อทางขวา

ในส่วนของหูฟัง FreeBuds 4 มาในลักษณะของหูฟังปกติ ที่ไม่ได้ต้องยัดจุกยางเข้าไปในรูหู โดยทางหัวเว่ย ระบุว่า มีการออกแบบให้เหมาะกับสรีระของใบหู ทำให้เมื่อสวมใส่แล้วจะกระชับ พอดี และมีน้ำหนักเบาข้างละ 4.1 กรัมเท่านั้น

นวัตกรรมที่ใส่มาให้ใช้งานใน FreeBuds 4 มีที่น่าสนใจมากมาย ทั้งระบบตัดเสียงรบกวน ANC 2.0 ที่แม้ว่าจะเป็นหูฟังแบบ Open Fit แต่มีการปรับปรุงเทคตัดเสียงรบกวน ที่จะคอยปรับแรงดันอากาศในหูทั้ง 2 ข้างให้สมดุล และทำให้มั่นใจว่าจะได้ยินเสียงจากรอบข้าง

ทำให้ FreeBuds 4 กลายเป็นหูฟังไร้สายตัดเสียงรบกวนที่ใส่สบาย สามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง ในแง่ของคุณภาพเสียงให้ไดรเวอร์ขนาด 14.3 มม. มาช่วยขับเสียงให้เสียงที่กว้าง และเติมด้วยเบสได้อย่างน่าสนใจ

ตัวหูฟังยังมากับระบบตรวจจับการสวมใส่ ทำให้เมื่อใช้งานอยู่ ถ้าเปิดเพลงฟัง พอถอดหูฟังเพลงก็จะหยุดโดยอัตโนมัติ เมื่อสวมกลับเข้าไปก็จะเล่นเพลงต่อได้ทันที รวมถึงรองรับการสลับใช้งานระหว่าง 2 อุปกรณ์ไปมาได้ จากการที่ใช้บลูทูธ 5.2 ช่วยให้สะดวกมากขึ้น

ส่วนการควบคุมจะใช้การสัมผัสในการสั่งงานบริเวณก้านหูฟัง โดยแบ่งเป็นการแตะสองครั้งเพื่อเล่น หยุด รับสาย วางสาย เลื่อนขึ้นลงเพื่อเพิ่มลดเสียง และแตะค้างเพื่อเปิดปิดโหมดตัดเสียงรบกวน ซึ่งการควบคุมเหล่านี้สามารถตั้งค่าผ่านแอป Huawei AI Life ได้ทั้งหมด

สำหรับระยะเวลาการใช้งาน FreeBuds 4 ให้แบตเตอรีมาข้างละ 30 mAh เคสชาร์จ 410 mAh เมื่อชาร์จ 1 ครั้ง สามารถเล่นเพลงต่อเนื่องในโหมดตัดเสียงรบกวนอยู่ที่ 2.5 ชั่วโมง และเมื่อปิดจะใช้งานได้ 4 ชั่วโฒง

เมื่อรวมกับแบตเตอรีในเคสชาร์จ จะใช้งานได้ต่อเนื่อง 14-22 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับการเปิดหรือปิดระบบตัดเสียงรบกวน และใช้เวลาในการชาร์จประมาณ 1 ชั่วโมง ซึ่งถือว่าแบตเตอรีหมดค่อนข้างเร็ว เมื่อเทียบกับหูฟังไร้สายหลายๆ รุ่นในท้องตลาด

สรุป

Huawei Watch 3 และ HUAWEI FreeBuds 4 น่าจะเหมาะกับผู้ที่ใช้งานอีโคซิสเตมส์ของ Huawei อยู่แล้ว เพราะจะสามารถเรียกใช้ประสิทธิภาพของดีไวซ์ได้สูงที่สุด ในขณะเดียวกันถ้าเป็นผู้ใช้งาน iOS ก็สามารถใช้งานได้ แต่มีข้อจำกัดพอสมควร

ดังนั้น อาจจะเป็นทางเลือกสำหรับผู้ใช้ iOS มากกว่าว่า ถ้าต้องการนาฬิกาอัจฉริยะที่ไม่ใช่ Apple Watch หรือหูฟังไร้สายที่ไม่ใช่ AirPods มาใช้งาน Huawei ทั้ง 2 รุ่นนี้ ก็น่าสนใจไม่น้อยจากฟีเจอร์ที่ให้มา

]]>
Review : Huawei Band 6 สมาร์ทแบนด์วัดออกซิเจนในเลือด ราคา 1,499 บาท https://cyberbiz.mgronline.com/review-huawei-band-6/ Mon, 26 Apr 2021 05:05:35 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35094

เมื่อการวัดค่าออกซิเจนในเลือดกลายเป็นฟีเจอร์สำคัญที่ผู้บริโภคมองหา ทำให้บรรดาผู้ผลิตอุปกรณ์สวมใส่เพื่อสุขภาพหลายๆ แบรนด์เร่งพัฒนาความสามารถนี้ ให้กลายเป็นฟีเจอร์พื้นฐานในการใช้งาน ที่แม้ว่าจะไม่ใช่อุปกรณ์ทางการแพทย์ แต่ก็สามารถวัดค่าออกซิเจนในเลือดได้ มาเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภค

Huawei Band 6 ถือเป็นหนึ่งในสมาร์ทแบนด์ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ดังกล่าว ในระดับราคาที่เข้าถึงได้ง่าย ด้วยโปรโมชันเปิดตัวที่ 1,499 บาท ที่นอกจากได้ Wearable ที่มาวัดค่า SpO2 หรือออกซิเจนในเลือดแล้ว ยังได้กึ่งๆ สมาร์ทวอทช์หน้าจอ 1.47 นิ้ว ที่รองรับการแจ้งเตือน และตรวจจับการออกกำลังกายได้ด้วย

ข้อดี

  • สมาร์ทแบนด์ฟีเจอร์ครบราคาเข้าถึงได้ 1,499 บาท (จากราคาปกติ 1,899 บาท)
  • หน้าจอ AMOLED 1.47 นิ้ว เหมาะกับทุกคน
  • ตรวจวัด HR / SpO2 / ความเคลียด / มีโหมดกีฬา 96 โหมด

ข้อสังเกต

  • สายเป็นซิลิโคนทำให้ดูไม่พรีเมียม แต่สามารถเปลี่ยนสีได้
  • ต้องใช้งานคู่กับสมาร์ทโฟน Huawei ถึงใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพมากที่สุด

เน้นฟีเจอร์เพื่อสุขภาพ

การเป็นสมาร์ทแบนด์ ที่เน้นเรื่องสุขภาพเป็นหลัก ทำให้ Huawei Band 6 มากับความสามารถที่น่าสนใจหลากหลายอย่างเกี่ยวกับสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นฟีเจอร์พื้นฐานอย่างการวัดจำนวนก้าวเดิน การทำกิจกรรมต่างๆ จนถึงการนอน ที่สมาร์ทแบนด์ส่วนใหญ่ในท้องตลาดทำได้อยู่แล้ว

แต่ความพิเศษที่เพิ่มขึ้นมาของ Huawei Band 6 คือการเพิ่มความสามารถในการวัดค่าออกซิเจนในเลือดขณะออกกำลังกาย (SpO2) ทำให้ผู้ใช้งาน สามารถรับรู้ถึงปริมาณออกซิเจนในเลือดได้ว่าอยู่ที่เท่าไหร่ (ตามปกติต้องสูงกว่า 95%)

โดยปัจจุบันค่าออกซิเจนในเลือดได้กลายมาเป็นหนึ่งในการวัดค่าสุขภาพที่ผู้บริโภคสนใจ เกี่ยวเนื่องมาจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เมื่อเกิดการติดเชื้อแล้วเริ่มลามไปที่ปอด ออกซิเจนในร่างกายของผู้ที่ติดเชื้อจะลดลง การที่มีอุปกรณ์วัดออกซิเจนมาติดตัวจะช่วยให้สามารถเฝ้าระวังความผิดปกติของร่างกายได้ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่ Huawei Band 6 ไม่ได้เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีความแม่นยำในการวัดค่า SpO2 รวมถึงการเปิดให้ใช้งานฟีเจอร์วัดออกซิเจนในเลือดตลอดเวลา ดังนั้นในการใช้งาน Huawei Band 6 ต้องระลึกไว้เสมอว่าเป็นค่าที่อาจเกิดความคลาดเคลื่อนได้ ต้องมีการตรวจสอบร่วมกับอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อความมั่นใจอีกครั้ง และข้อมูลที่ได้ถือเป็นข้อมูลอ้างอิงเฉพาะบุคคลเท่านั้น

นอกเหนือจากการวัด SpO2 แล้ว Huawei Band 6 ยังได้พัฒนาระบบตรวจจับการออกกำลังกายเพิ่มเติม ที่จะคอยแทร็กพฤติกรรมการใช้งานของผู้ใช้โดยอัตโนมัติ เมื่อพบว่ามีการออกกำลังกายโดยที่ยังไม่ได้เริ่มเก็บข้อมูล ก็จะคอยบันทึกข้อมูลไว้ เพื่อให้ผู้ใช้งานเลือกประเภทของกีฬาในการบันทึกข้อมูลภายหลังได้

ปัจจุบัน Huawei Band 6 มีชนิดกีฬาให้เลือกใช้งานทั้งหมด 96 โหมด ที่มีกีฬาประเภทใหม่ที่ได้รับความนิยมอย่างสเก็ตบอร์ด หรือกระโดดเชือก เพิ่มเข้าไปด้วย ทำให้ตอบโจทย์การใช้งานของผู้ที่ชื่นชอบการออกกำลังกายได้อย่างน่าสนใจ นอกจากนี้ ยังมีโหมดที่จะคอยเก็บข้อมูลรอบประจำเดือนของผู้หญิง ทำให้เหมาะกับการใช้งานทั้งผู้ชาย และผู้หญิงไปพร้อมๆ กัน

Huawei Band 6 ยังรองรับการตรวจวัดทางด้านสุขภาพเพิ่มเติม ทั้ง Huawei TruSleep ที่เมื่อเปิดใช้งานจะวัดการนอนในระดับที่ลึกมากขึ้น การตรวจจับอัตราการเต้นของหัวใจตลอดเวลา และทำการแจ้งเตือนเมื่อเกินค่าที่กำหนด รวมถึงวัดระดับความเครียดของผู้สวมใส่ได้

จอใหญ่ ใช้งานง่าย

ในส่วนของการออกแบบ Huawei Band 6 ถือว่าทำมาได้น่าสนใจ กับสมาร์ทแบนด์ที่ให้หน้าจอขนาด 1.47 นิ้ว ความละเอียด 194 x 368 พิกเซล โดยหน้าจอมีสัดส่วนเมื่อเทียบกับตัวเครื่องถึง 64% วางจำหน่ายด้วยกัน 3 สีคือ ดำ Graphite Black เขียว Forest Green และ ชมพู Sakura Pink

น้ำหนักเฉพาะตัวเรือนประมาณ 18 กรัม โดยมีขนาดตัวเรือนที่ 43 x 25.4 x 10.99 มิลลิเมตร ในส่วนของสายซิลิโคนที่ให้มาจะมีขนาด 13-21 เซนติเมตร ถือว่ารองรับการใช้งานทั้งผู้ชาย และผู้หญิง ให้สามารถสวมใส่ใช้งานได้

หน้าจอที่ให้มาเป็น AMOLED ที่รองรับการสัมผัสในการสั่งงาน และมีปุ่มเรียกเมนูเพิ่มทางด้านขวาของตัวเครื่อง ด้านหลังเป็นเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ภายในให้แบตเตอรี 180 mAh สามารถใช้งานต่อเนื่องได้สูงสุด 14 วัน และมีระบบชาร์จเร็ว 5 นาที ใช้งานได้ต่อเนื่อง 2 วัน ชาร์จเต็มในเวลาประมาณ 65 นาที

ความน่าสนใจของ Huawei Band 6 อีกอย่างคือผู้ใช้สามารถปรับเปลี่ยนหน้าปัดนาฬิกาได้เพิ่มเติม เพียงแต่ต้องเชื่อมต่อกับ Huawei Health บนสมาร์ทโฟน ถึงจะสามารถดาวน์โหลด และเปลี่ยนหน้าปัดนาฬิกาได้ (iOS โหลดได้เฉพาะหน้าปัดฟรี)

จะได้เห็นว่าในการใช้งาน Huawei Band 6 ร่วมกับ iOS บนแอปพลิเคชัน Huawei Health จะมีฟังก์ชันในการใช้งานได้น้อยกว่าใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ หรือ มือถือของหัวเว่ย เอง อย่างฟีเจอร์ในการใช้เป็นเครื่องมือควบคุมการเล่นเพลง หรือเป็นชัตเตอร์กล้องจะหายไป ไม่สามารถใช้งานร่วมกับ iOS ได้

สรุป

ถ้าใครเป็นผู้ที่ใช้งาน Android แล้วกำลังมองหาสมาร์ทแบนด์ในระดับราคาที่เข้าถึงได้ง่ายๆ สามารถตรวจวัดเกี่ยวกับสุขภาพ อย่างอัตราการเต้นของหัวใจ วัดค่าออกซิเจนในเลือด และตรวจจับการออกกำลังกายได้ Huawei Band 6 ถือเป็นหนึ่งในรุ่นที่น่าสนใจเวลานี้

เนื่องจากในช่วงเปิดตัวมีการทำโปรโมชันให้สั่งจองล่วงหน้าในราคา 1,499 บาท จะได้รับสายซิลิโคนเพิ่ม 1 เส้น ระหว่างวันที่ 26 เมษายน – 5 พฤษภาคม ก่อนที่จะวางจำหน่ายในราคาปกติ 1,899 บาท ผ่านช่องทางออนไลน์ และหน้าร้าน Huawei High-End Experience Store ที่สยามพารากอน เท่านั้น

Gallery

]]>
Review : Huawei FreeLace Pro หูฟังคล้องคอพร้อมระบบตัดเสียงรบกวน https://cyberbiz.mgronline.com/review-huawei-freelace-pro/ Thu, 29 Oct 2020 05:44:04 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34078

หัวเว่ย (Huawei) หันมาให้ความสำคัญกับอุปกรณ์ในกลุ่มหูฟังบลูทูธมากยิ่งขึ้น หลังจากเริ่มประสบความสำเร็จในการออกหูฟัง True Wireless ตัดเสียงรบกวนอย่าง FreeBuds 3 ในช่วงปีที่ผ่านมา

มาในปีนี้ Huawei อัปเดตไลน์ผลิตภัณฑ์หูฟังเพิ่มเติม อย่าง FreeBuds Pro และอีกรุ่นที่น่าสนใจคือ Huawei FreeLace Pro รุ่นนี้ เนื่องจากเป็นหูฟังไร้สายแบบคล้องคอ  ไว้ใส่ใช้งานในชีวิตประจำวัน แบบไม่ต้องกลัวหลุดหายเหมือนหูฟัง True Wireless

จุดเด่นของ FreeLace Pro คือมากับระบบตัดเสียงรบกวน Active Noise Cancellation แบบแยกไมโครโฟน 2 ตัว พร้อมนำอัลกอริธึมมาช่วยลดเสียงรบกวนขณะคุยโทรศัพท์ สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องสูงสุด 24 ชั่วโมง ในราคา 2,990 บาท

ข้อดี

  • หูฟังบลูทูธตัดเสียงรบกวนแบบ ANC
  • In-Ears สวมใส่สบาย
  • กันน้ำ ใส่ออกกำลังได้
  • ใช้งานต่อเนื่องสูงสุด 24 ชั่วโมง

ข้อสังเกต

  • ไม่รองรับการเชื่อมต่อหลายอุปกรณ์พร้อมกัน
  • พอร์ต USB-C ต้องถอดปลอกก่อนชาร์จ
  • หูฟังจะปิดอัตโนมัติ เมื่อปลายหูฟังติดกันผ่านแม่เหล็ก

หูฟังคล้องคอ ตัดเสียงรบกวนได้

ความโดดเด่นของ Huawei FreeLace Pro นอกจากเรื่องของสีสันที่มีให้เลือกทั้งสีเขียว สีดำ และสีขาว (อมชมพู) แล้ว ที่ขาดไม่ได้เลยคือเรื่องของการสวมใส่สบาย แม้ว่าจะเป็นหูฟังแบบ In-Ears ก็ตาม แต่ด้วยการที่เวลาสวมใส่ไม่ต้องระมัดระวังเหมือนตอนสวมหูฟัง True Wireless เพราะมีสายคล้องคอมาช่วยป้องกันการหล่นหายได้ด้วย

อีกความสามารถที่ขาดไม่ได้เลยคือ เรื่องของการตัดเสียงรบกวนที่ FreeLace Pro ทำออกมาได้อย่างน่าสนใจ ด้วยการที่ Huawei มีประสบการณ์ในการผลิตหูฟังตัดเสียงรบกวนแบบ Active Noise Cancelling มาก่อนหน้านี้ ยิ่งทำให้การตัดเสียงรบกวนในรุ่นนี้ทำได้ดียิ่งขึ้น

หลักการทำงานของระบบตัดเสียงรบกวนของ FreeLacnce Pro คือการนำไมโครโฟนคู่มาใช้งาน โดยเมื่อสวมใส่แล้วจะมีไมโครโฟนตัวหนึ่งที่อยู่นอกหู คอยตรวจจับเสียงรบกวนต่างๆ มาหักลบกับเสียงจากไมโครโฟนภายในรูหู จึงทำให้การตัดเสียงรบกวนของ FreeLace Pro ทำได้อย่างน่าสนใจ

ขณะเดียวกัน FreeLace Pro ยังมากับไดรเวอร์ของหูฟังขนาด 14 มิลลิเมตร ที่ใหญ่กว่าหูฟังแบบ True Wireless ทั่วไปในท้องตลาด จึงทำให้สามารถขับเสียงได้ดีกว่า โดยเฉพาะเสียงเบส ดังนั้นใครที่ชื่นชอบเสียงเบสหนักๆ หน่อยน่าจะชื่นชอบหูฟังรุ่นนี้เป็นพิเศษ

ทั้งนี้ ในการใช้งาน FreeLace Pro ให้ได้ประสิทธิภาพมากที่สุด ควรใช้งานคู่กับแอปพลิเคชัน AI Life ที่ผู้ใช้งาน Android สามารถดาวน์โหลดมาติดตั้งใช้งานได้จาก PlayStore หรือถ้าใช้งานสมาร์ทโฟนหัวเว่ย ก็สามารถดาวน์โหลดมาติดตั้งจาก Huawei App Gallery ได้เช่นเดียวกัน

ภายในแอปพลิเคชัน AI Life หลังจากทำการเชื่อมต่อหูฟังเข้ากับสมาร์ทโฟนแล้ว ผู้ใช้สามารถเลือกปรับโหมดการใช้งานระหว่างเปิดระบบตัดเสียงรบกวน ANC หรือเล่นเปิดใช้งานโหมด Awareness เพื่อรับฟังเสียงจากรอบข้างได้ ซึ่งถ้าใช้งานหูฟังอยู่ ก็สามารถแตะที่หูฟังเพื่อรับฟังเสียงจากภายนอกได้ทันทีเช่นเดียวกัน

วิธีการเชื่อมต่อกลายเป็นอีกจุดที่ผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนหัวเว่ย คู่กับ FreeLace Pro จะได้เปรียบมากกว่า เพราะหูฟังรุ่นนี้ มากับฟีเจอร์อย่าง HiPair ที่ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อพอร์ต USB-C ที่หูฟังเข้ากับสมาร์ทโฟนของหัวเว่ย เพื่อทำการเชื่อมต่อได้ง่ายๆ ภายในคลิกเดียว

แต่ถ้าใช้งานสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ รวมถึงการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ จะต้องเปิดโหมด Paring ที่ตัวหูฟังด้วยการกดปุ่มเปิดเครื่องค้างไว้ให้เข้าสู่โหมด Pairing ก่อนทำการจับคู่กับอุปกรณ์อื่นๆ ได้ตามปกติ เหมือนการเชื่อมต่อบลูทูธทั่วๆ ไป

ควบคุมได้ครบ โดยไม่ต้องสั่งผ่านสมาร์ทโฟน

ด้วยการที่ Huawei FreeLace Pro เป็นหูฟังบลูทูธแบบคล้องคอ ทำให้หัวเว่ย มีพื้นที่ในการเพิ่มปุ่มควบคุมการสั่งงานต่างๆ มาให้ด้วย โดยจะแบ่งเป็น 2 จุดหลักๆ ด้วยกันคือ บริเวณสายหูฟังด้านขวา จะมีแถบควบคุมอยู่ ผู้ใช้สามารถกดปุ่มด้านข้าง เพื่อเปิดปิดเครื่อง / กดค้าง 4 วินาที เพื่อเข้าโหมดจับคู่ (Pairing) และที่เพิ่มขึ้นมาคือ กดปุ่มนี้ 2 ครั้ง เพื่อสลับการเชื่อมต่อไปยังอุปกรณ์ก่อนหน้า

การที่มีฟีเจอร์ให้สามารถกดปุ่มเพื่อสลับการเชื่อมต่อได้นั้น ช่วยให้ผู้ที่มีอุปกรณ์พกพาหลายเครื่อง สามารถสลับการเชื่อมต่อหูฟังระหว่างอุปกรณ์ได้สะดวกขึ้น ยกตัวอย่างเช่นผู้ที่ใช้งานทั้งสมาร์ทโฟน ร่วมกับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก หรือแท็บเล็ต ในเวลาที่ใช้งานกับหน้าจอใหญ่ๆ แล้วมีการฟังเพลง หรือดูหนังอยู่ ถ้ามีสายเข้าที่โทรศัพท์ ก็สามารถกดสลับมาสนทนาผ่านหูฟังได้ทันที

ฟีเจอร์นี้ จึงเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาในเรื่องของการที่ FreeLace Pro รองรับการเชื่อมต่อทีละ 1 อุปกรณ์ไปได้ เพราะตามปกติแล้วเวลาต้องการเปลี่ยนอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ ผู้ใช้จำเป็นต้องไปยกเลิกการเชื่อมต่อบนสมาร์ทโฟนก่อนกดเชื่อมต่อในอุปกรณ์ใหม่ ปุ่มสลับเครื่องนี้จึงมาช่วยให้ผู้ใช้งานสะดวกขึ้น

ต่อมาคือปุ่มควบคุมพื้นฐาน อย่างปุ่มเพิ่มลดเสียง และปุ่มฟังก์ชัน ที่สามารถกดค้างเพื่อเรียกใช้งานผู้ช่วยส่วนตัว หรือปฏิเสธสาย กด 1 ครั้งเพื่อ เล่นเพลง หยุดเพลง รับสาย วางสาย กด 2 ครั้ง เพื่อเล่นเพลงถัดไป และกด 3 ครั้ง เพื่อเล่นเพลงก่อนหน้า

อีกจุดหนึ่งก็คือบริเวณหูฟังด้านซ้ายที่สามารถแตะค้างเพื่อสลับโหมดการใช้งานระหว่างเปิด ANC โหมด Awareness และ ปิดการตัดเสียงรบกวนได้ จะเห็นได้ว่าในการควบคุมหูฟังนั้น สามารถทำได้ครบจากหูฟังทั้งหมด ไม่จำเป็นต้องควบคุมผ่านสมาร์ทโฟน หรืออุปกรณ์อื่นๆ เลย

ออกแบบมาเหมาะกับการออกกำลังกาย

ถ้าถามว่า FreeLace Pro เหมาะกับใครมากที่สุด คงหนีไม่พ้นผู้ที่ต้องการหูฟังบลูทูธ สำหรับใช้ใส่ออกกำลังกาย ที่ไม่ต้องมาคอยกังวลว่าหูฟัง True Wireless ที่ใส่อยู่จะหลุดหล่นหายระหว่างออกกำลังหรือไม่ และอีกกลุ่มก็คือผู้ใช้งานที่มีไลฟ์สไตล์แบบแอคทีฟ ชอบเดินทาง พกพาหูฟังรุ่นนี้ไปใช้งานระหว่างวันได้ตลอดทุกที่ ทุกเวลา เพราะกันน้ำกันฝุ่นในมาตรฐาน IP55

โดยหูฟัง FreeLace Pro นั้น จะมีลักษณะเป็นหูฟังบลูทูธที่เส้นเดียว มีความยาว 862.4 มิลลิเมตร น้ำหนักประมาณ 34 กรัม มีให้เลือกด้วยกัน 3 สีคือ ดำ Graphite Black เขียว Spruce Green และ ขาว Dawn White ที่มีความพิเศษคือหูฟังจะไม่พันกันเด็ดขาด เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่วางทิ้งไว้หูฟังจะคลายตัวออกมาเป็นทรงพร้อมคล้องคอโดดอัตโนมัติ

นอกจากนี้ บริเวณปลายหูฟังทั้ง 2 ฝั่ง จะมีแม่เหล็กอยู่ ทำให้เวลาเราถอดหูฟังออกจากหู และปล่อยลงมาคล้องคอ บริเวณปลายหูฟังก็จะเชื่อมต่อติดกันด้วยแม่เหล็ก (Magnetic Snap) ซึ่งเมื่อติดกันแล้วจะเข้าสู่โหมดพักการใช้งานเครื่องโดยอัตโนมัติเพื่อประหยัดแบตเตอรีด้วย

Huawei FreeLace Pro รองรับการเชื่อมต่อแบบบลูทูธ 5.0 และมีพอร์ตชาร์จแบบ USB-C ที่จะซ่อนอยู่บริเวณสายหูฟังทางฝั่งซ้าย ทำให้เวลาต้องการเสียบชาร์จ หรือเชื่อมต่อแบบ HiPair ต้องถอดบริเวณขั้วชาร์จออกมา ซึ่งแน่นอนว่าต้องดูในเรื่องของความคงทนของยางที่ซีลบริเวณขอบของส่วนนี้ด้วย เพราะเวลาใช้ไปนานๆ ถ้ามีการถอดเข้าถอดออกบ่อยๆ ซีลยางอาจจะเสื่อมได้

แบตเตอรี ภายในของหูฟังรุ่นนี้จะอยู่ที่ 150 mAh โดยทางหัวเว่ย ระบุว่า สามารถเปิดใช้งานในโหมดปิดการตัดเสียงรบกวนได้สูงสุด 24 ชั่วโมง และถ้าเปิดใช้งานโหมด ANC จะอยู่ที่ราว 16 ชั่วโมง ส่วนระยะเวลาในการชาร์จจะอยู่ที่ราว 60 นาที แต่ทั้งนี้ เมื่อเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนหัวเว่ย ในโหมด HiPair จะสามารถชาร์จแบตเตอรีใช้งานได้ต่อเนื่อง 5 ชั่วโมง ในเวลา 5 นาที

สำหรับอุปกรณ์ที่ให้มาภายในกล่องของ FreeLace Pro นั้น ประกอบไปด้วย Ear Tips หรือจุกหูฟังให้เลือกเพิ่มอีก 2 ขนาด รวมเป็นทั้งหมด 3 ขนาด มีสายแปลงพอร์ต USB-C ไปเป็น USB-A เพื่อใช้งานร่วมกับอะเดปเตอร์ชาร์จมือถือ และคู่มือการใช้งานต่างๆ

สรุป

Huawei FreeLace Pro นับว่าเป็นหูฟังแบบบลูทูธคล้องคอที่มีฟีเจอร์ในการใช้งานที่น่าสนใจ ทั้งระบบการตัดเสียงรบกวน และฟีเจอร์สลับการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ เพียงแต่ว่าด้วยการที่ปัจจุบันหูฟังแบบ True Wireless ได้รับความนิยมมาก เพราะพกพาใช้งานได้สะดวกกว่า ทำให้อาจจะต้องเลือกตัดสินใจว่า ต้องการหูฟังรูปแบบไหนมาใช้งาน 

ขณะเดียวกัน ด้วยระดับราคา 2,990 บาท คุณภาพเสียงที่ได้ก็จะอยู่ในระดับที่เรียกได้ว่าคุ้มค่ากับราคา แต่ถ้าใครที่ต้องการหูฟังที่ให้รายละเอียดเสียงได้ครบ หรือคุณภาพเสียงดีจริงๆ ก็อาจจะต้องมองข้ามรุ่นนี้ไปหาหูฟังระดับไฮเอนด์แทน ซึ่งถ้าไม่ได้ซีเรียสเรื่องเสียงขนาดนั้น และต้องการหูฟังที่ตัดเสียงรบกวนได้ดี FreeLace Pro ตอบโจทย์อย่างแน่นอน

Gallery

]]>
Review : Huawei P40 Pro กล้องยังสุด พร้อมใช้ 5G https://cyberbiz.mgronline.com/review-huawei-p40-pro/ Mon, 20 Apr 2020 08:15:09 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=32598

ต้องยอมรับ Huawei P40 Pro กลายเป็นหนึ่งในสมาร์ทโฟนที่น่าใช้ที่สุดในเวลานี้ ทั้งเรื่องของประสิทธิภาพในการประมวลผลที่ใช้เล่นเกม หรือทำงานหนักๆ ได้สบาย การเชื่อมต่อ 5G – WiFi 6 ที่เร็วที่สุดในกลุ่มสมาร์ทโฟนด้วยกัน

รวมถึงจุดเด่นในเรื่องของกล้องจากการทำงานร่วมกับทาง ไลก้า (Leica) ที่แม้ P40 Pro จะยังไม่ใช่รุ่นท็อปสุด เพราะในอนาคต หัวเว่ย มีโอกาสนำ P40 Pro+ เข้ามาทำตลาดด้วย และคุณภาพของกล้องก็จะสูงขึ้นไปอีก

แต่กลายเป็นว่าด้วยการที่รุ่นนี้ไม่มี Google Play Store ทำให้การใช้งานสำหรับผู้บริโภคทั่วไปอาจจะยากลำบากสักหน่อย แม้ว่าทางหัวเว่ย จะมีการพัฒนา Huawei App Gallery และมีทางเลือกให้ติดตั้งแอปพลิเคชันจากช่องทางอื่นเพิ่มเติมแล้วก็ตาม

เพราะสุดท้ายการที่มีแอปฯ มาให้ใช้งานได้ไม่ครบ ก็ถือว่าเป็นการสร้างความลำบากให้ผู้ใช้งานอยู่ดี ทำให้อาจจะต้องรอหัวเว่ย พัฒนา Huawei Mobile Service ให้มีจำนวนแอปพลิเคชันให้ใช้งานมากกว่านี้ และครบถ้วนไม่ต่างจาก Google ถึงจะเป็นสมาร์ทโฟนที่เหมาะกับทุกคน

ข้อดี

  • หน้าจอ 6.58 นิ้ว 90 Hz โค้ง 4 ด้าน และมีขอบจอบางที่สุดในท้องตลาด
  • วัสดุ  และงานประกอบยกระดับให้กลายเป็นเครื่องที่มีความหรูหรา
  • กันน้ำ กันฝุ่น มาตรฐาน IP68
  • คุณภาพของกล้องที่รองรับทุกสภาพแสง
  • รองรับการเชื่อมต่อทั้ง 5G และ WiFi 6

ข้อสังเกต

  • บางคนอาจจะไม่ชอบใช้งานสมาร์ทโฟนจอโค้ง เพราะมีโอกาสแตกง่าย และเวลาถือใช้งานจะต้องระวังมากกว่าปกติ
  • ไม่มี Google Mobile Service ให้ใช้งาน

คุณภาพกล้องยังสุดเหมือนเดิม

หัวเว่ย ยังยึดมั่นใจการนำกล้องถ่ายภาพ และดีไซน์ตัวเครื่อง ที่ดีที่สุดมาไว้กับสมาร์ทโฟนในตระกูล P ซีรีส์ เหมือนเดิม ตั้งแต่เริ่มสร้างชื่อเสียงในยุคของ P9 ต่อเนื่องถึง P10 P20 P30 และล่าสุดคือ P40 ที่มีการทำงานร่วมกับ Leica อย่างใกล้ชิด

ทำให้ที่ผ่านมา P ซีรีส์ กลายเป็นตัวเลือกแรกๆ ของผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพ เพราะให้โทนสีที่แตกต่างจากสมาร์ทโฟนรุ่นอื่น มีความคลาสสิคของ Leica อยู่เล็กๆ และขณะเดียวกันก็มีการพัฒนาเรื่องการถ่ายภาพในเวลากลางคืน และการซูมภาพมานำเสนอ

ใน P40 Pro นี้ก็เช่นเดียวกัน นอกจากยกคุณภาพกล้องที่เป็นที่สุดทั้งการถ่ายภาพในมุมกว้าง มุมมองปกติ ภาพระยะไกล และช่วงเวลากลางคืน ด้วยการหันมาใช้เลนส์กล้องที่ดีขึ้น ประกอบด้วยกล้องหลักความละเอียด 50 ล้านพิกเซล ที่เป็น Ultra Vision ขนาดเซ็นเซอร์ 1/1.28 นิ้ว ซึ่งยังคงใช้เทคโนโลยีสีแบบ RYYB เพื่อให้เก็บรายละเอียดแสงได้ดีขึ้น

ตามด้วยเลนส์ Telephoto 12 ล้านพิกเซล ที่เป็น SuperZoom Periscope ทำหน้าที่ซูมถ่ายภาพมีทั้งแบบ Optical 5x Hybrid 10x และซูมได้สูงสุด 50x (รุ่น Pro+ จะซูมได้ 100x) โดยเลนส์นี้จะมาช่วยเก็บรายละเอียดภายในระยะไกล นำมาประมวลผลคู่กับเลนส์อื่นด้วย

นอกจากนี้ ยังมีเลนส์มุมกว้าง 40 ล้านพิกเซล ซึ่งเป็นเลนส์ที่ทำหน้านี้ถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงด้วยในตัว จากการเป็น Cinematic Video Camera ที่มีขนาดเซ็นเซอร์ถึง 1/1.54 นิ้ว สุดท้ายคือเลนส์วัดระยะ 3D Depth Sensing เพื่อนำมาช่วย AI ประมวลผลการละลายพื้นหลังเพื่อทำเอฟเฟกต์โบเก้ต่างๆ

อีกจุดที่ P40 Pro พัฒนาขึ้นมาจากรุ่นก่อนหน้าคือ การหันมาใช้กล้องหน้าคู่ 32 ล้านพิกเซล คู่กับ DepthCamera ที่รองรับการสแกนใบหน้าแบบอินฟาเรดด้วยทำให้นอกจากมีความแม่นยำในการปลดล็อกด้วยใบหน้ามากขึ้น และทำให้เวลาถ่ายเซลฟี่สามารถเบลอฉากหลังได้ด้วย

ส่วนเรื่องการถ่ายภาพวิดีโอ P40 Pro ยังจำกัดการถ่ายภาพอยู่ที่ 4K60fps ซึ่งเมื่อใช้งานคู่กับเลนส์กันสั่นแบบ OIS ทำให้ได้ภาพที่นิ่ง และเก็บรายละเอียดได้เพิ่มขึ้นจากคุณภาพของเลนส์เช่นเดียวกัน โดยโหมดพิเศษที่เพิ่มขึ้นมาคือสามารถถ่ายวิดีโอ 4K แบบ Time Lapse ด้วยตัวอย่างการซูมเพื่อถ่ายภาพดวงจันทร์

Gallery

หน้าจอแสดงผลแบบใหม่

ถัดจากเรื่องการถ่ายภาพ ก็คือเรื่องของการแสดงผลที่คราวนี้ P40 Pro หันมาใช้จอแบบ Quad-Curve Overflow Display ที่เป็นจอโค้งทั้ง 4 ด้าน ทำให้กลายเป็นสมาร์ทโฟนที่ขอบจอบางที่สุดในตลาดเวลานี้ก็ว่าได้ โดยตัวจอยังคงใช้เทคโนโลยี OLED อยู่เช่นเดิม

สำหรับความละเอียดของหน้าจออยู่ที่ระดับ 2K (2640 x 1200 พิกเซล) ที่ปรับค่าการแสดงผลหน้าจอขึ้นมาเป็น 90 Hz ซึ่งทางหัวเว่ย ระบุว่า เป็นค่าการแสดงผลที่เหมาะสมที่สุดเพราะช่วยให้แสดงผลได้ลื่นไหล และประหยัดแบตด้วย แม้ว่าคู่แข่งหลายๆ แบรนด์หันไปใช้หน้าจอแบบ 120 Hz แล้วก็ตาม

อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของการเจาะรูกล้องหน้าคู่ที่มาวางไว้ทางมุมซ้าย ซึ่งทางหัวเว่ย เน้นว่าเป็นจุดที่เหมาะสมที่สุด เพราะเวลาปรับเครื่องมาใช้งานในแนวนอนอย่างการเล่นเกม ตัวกล้องคู่จะอยู่บริเวณอุ้งมือที่จับทำให้ไม่รบกวนการแสดงผลก็ตาม

แต่ในความเป็นจริง Samsung เคยนำกล้องหน้าคู่ในลักษณะดังกล่าวมาใช้งานตั้งแต่ Galaxy S10+ ซึ่งเป็นรุ่นของปีที่แล้ว เพียงแต่อยู่ทางมุมขวา และเลิกใช้งานไปแล้วตั้งแต่ Note10 ที่หันมาใช้กล้องหน้าที่มีขนาดเล็กแทน ตามด้วย S20 ซีรีส์ ก็ใช้กล้องหน้าเจาะรูตรงกลางแทนแล้ว

อีกจุดที่ P40 Pro ทำได้ดีคือเรื่องของวัสดุที่ให้ความเป็นพรีเมียมมากขึ้น ตามสไตล์ของ P ซีรีส์ ที่จะเน้นเรื่องของแฟชัน โดยจากสี Deep Sea Blue รุ่นนี้ จะเห็นได้ถึงการสะท้อนของแสง และเงาที่ฝาหลังเครื่อง ส่วนใครที่ชอบสีหรูๆ ก็จะมีตัวเลือกอย่าง Silver Frost ให้เลือกด้วย

ทั้งนี้ ขนาดตัวเครื่องของ P40 Pro จะอยู่ที่ 72.6 x 158.2 x 8.95 มิลลิเมตร นำ้หนัก 209 กรัม มีให้เลือกด้วยกัน 3 สีก่อนในช่วงแรก คือ น้ำเงิน Deep Sea Blue ทอง Blush Gold และ เงิน Silver Frost โดยภาพรายละเอียดตัวเครื่องต่างๆ สามารถย้อนกลับไปดูได้ที่ พรีวิว : Huawei P40 Pro

แบตฯ ยังอึดเหมือนเดิม เพิ่มเติมด้วยชาร์จเร็วขึ้น

อีกหนึ่งจุดแข็งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาของ หัวเว่ย คงหนีไม่พ้นเรื่องของการประหยัดพลังงาน ที่ทำให้สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนาน และแบตเตอรีไม่หมดระหว่างวันแน่นอน ซึ่งความสามารถนี้ ก็ยังตามติดมาใน P40 Pro ด้วยเช่นเดียวกัน

แบตเตอรีที่ให้มาใน P40 Pro อยู่ที่ 4,200 mAh เมื่อทำงานกับหน่วยประมวลผลอย่าง Kirin 990 ที่แม้จะเพิ่มการรองรับการเชื่อมต่อ 5G เข้ามา แต่ก็ไม่ได้ทำให้ใช้พลังงานมากขึ้นแต่อย่างใด

นอกจากนี้ P40 Pro ยังมากับระบบชาร์จเร็ว Huawei SuperCharge 40W และการชาร์จไร้สาย Wireless Huawei SuperCharge 27W ทำให้ใช้เวลาในการชาร์จแบตเตอรีเพียงไม่กี่นาทีก็ใช้งานได้ต่อเนื่องสบายๆ

เช่นเดียวกับฟีเจอร์อย่าง Reverse Charge ก็ยังมีติดตั้งมาให้สามารถแชร์แบตเตอรีของ P40 Pro ให้กับอุปกรณ์อื่นที่รองรับ โดยสามารถแชร์พลังงานได้ทั้งจากสาย USB-C และผ่านระบบชาร์จไร้สายด้วย

ฟีเจอร์ภาพรวม

ที่ผ่านมา หัวเว่ย ได้พัฒนาอินเตอร์เฟสอย่าง EMUI มาให้ใช้งานกันต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันคือ EMUI 10.1 แล้ว ความสามารถในการใช้งานโดยรวมถึอว่าถูกปรับปรุง และออกแบบมาได้อย่างลงตัวแล้ว

โดยเฉพาะการทำงานร่วมกันภายในอีโคซิสเตมส์ของหัวเว่ย อย่างผู้ที่มี MateBook MediaPad หรือ MatePad ใช้งานอยู่ ก็สามารถแชร์หน้าจอใช้งานระหว่างอุปกรณ์ (MeeTime) โยนไฟล์ระหว่างอุปกรณ์ (Huawei Share) ใช้การแตะเครื่องเพื่อเชื่อมต่อ (OneHop) ได้ด้วย

ตามด้วยเรื่องของความปลอดภัย P40 Pro รองรับทั้งการปลดล็อกเครื่องด้วยใบหน้า (อาจจะไม่สะดวกในเวลานี้ที่ต้องใส่หน้ากากกัน) และการสแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอที่ถือว่าปลดล็อกได้อย่างรวดเร็ว

กล้องหน้ายังถูกพัฒนามาให้รองรับการสั่งงานแบบไม่สัมผัสหน้าจอ (Air Gesture) ที่เปิดให้ผู้ใช้สามารถใช้มือควบคุมการเลื่อนของหน้าจอด้วยการปัดขึ้นลง และจับภาพหน้าจอเมื่อกำมือเข้ามาด้วย

ทำให้ในส่วนนี้ ถือว่าไม่ติดอะไร ถือว่าหัวเว่ย ทำออกมาได้สมบูรณ์แบบ และเริ่มสร้างอีโคซิสเตมส์ในการใช้งานหัวเว่ยดีไวซ์ ให้แก่ผู้ใช้ ที่สามารถเชื่อมต่อการใช้งานจากหลายๆ อุปกรณ์เข้าหากันได้อย่างลงตัว

HMS แทนที่ GMS ได้หรือยัง?

มาถึงประเด็นใหญ่ที่สุดในการใช้งาน P40 Pro จากที่ทีมงานทดลองใช้งานแบบไม่ติดตั้ง GMS (Google Mobile Service) เพิ่มเติม ใช้วิธีการหาโหลดแอปพลิเคชันเท่าที่มีใน Huawei App Gallery ภายในอีโคซิสเตมส์ของ Huawei Mobile Service และจากเว็บไซต์นักพัฒนาเท่านั้น โดยเน้นเรื่องของความปลอดภัย

ทำให้พบว่าในภาพรวมแล้วจะขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งานเลยว่า ในแต่ละวันใช้งานแอปพลิเคชันอะไรบ้าง ถ้าให้ดีลองเช็กก่อนว่าแอปฯ หลักๆ ที่จำเป็นต้องใช้งานเป็นประจำมีให้ใช้อยู่ใน App Gallery หรือไม่ ถ้าไม่มีมีแอปตัวไหนทดแทนได้

เพราะกลายเป็นว่า แม้ว่าจำนวนแอปพลิเคชันที่อยู่บน App Gallery จะเพิ่มขึ้นแล้ว โดยเฉพาะแอปที่ใช้งานทั่วไป อย่างที่หัวเว่ย แนะนำมาในหมวดการท่องเที่ยว โซเชียลมีเดีย ความบันเทิง ช้อปปิ้ง เกม และธุรกรรมทางการเงิน ที่แอปฯ หลักๆ มากันเกือบครบแล้ว

แต่ก็จะมีบางอย่างที่ต้องไปหาดาวน์โหลดเอง อย่างในมุมของการใช้โซเชียลมีเดีย ทีมงานลองติดตั้งแอป Facebook จากการโหลดไฟล์ติดตั้งจากเว็บไซต์ของทาง Facebook การใช้งาน Instagra ต้องใช้งานผ่านหน้าเว็บเบราว์เซอร์แทน LINE แม้ว่าจะประกาศเตรียมให้ดาวน์โหลดแต่ในช่วงที่ทดสอบยังไม่มา

เกมดังๆ ก็ยังมีมาน้อยไมเกมที่เล่นประจำอย่าง Call of Duty ก็ยังไม่มีมาให้เล่น ดังนั้นในความรู้สึกส่วนตัว ก็ยังมองว่า App Gallery ยังตอบโจทย์ได้ไม่ทั้งหมด และยังต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ๆ ถึงจะตาม PlayStore ทัน

ไม่นับกับการใช้งานที่แทบจะผูกกับบริการของ GMS ต่างๆ ทั้งการใช้ Gmail (ใช้แอป Mail ในเครื่องพอทดแทนได้) Google Drive ในการเก็บไฟล์ การดึงข้อมูลแผนที่นำทางจาก Google Maps การสั่งงานอุปกรณ์ IoT ใน Google Home ปฏิทินบน Google Calendar พวกนี้ ตัดขาดกันไปได้เลย

ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่ยังถือเป็นจุดอ่อนเดียวของ Huawei P40 Pro ในเวลานี้ ในมุมของผู้ใช้งานทั่วไป ยังคงอยู่ที่การขาด Play Store และไม่รองรับการใช้งาน GMS ต่างๆ ไม่นับกับพาวเวอร์ยูสเซอร์ที่ยังมีช่องทางให้ติดตั้งใช้งานได้ แต่ก็ไม่การันตีความสมบูรณ์ในการใช้งาน 100%

เห็นได้ชัดจากยอดขายของหัวเว่ย ในช่วงปีที่ผ่านมา จากที่เคยมีโอกาสขึ้นไปเบียดเป็นท็อป 3 ในตลาดแอนดรอยด์ด้วยส่วนแบ่ง 15% แต่กลายเป็นว่าปีที่ผ่านมายอดขายของหัวเว่ย หายไปกว่า 28% ทำให้ส่วนแบ่งตลาดลดลงเหลือ 12% จากข้อมูลของทาง IDC

สเปก และการเชื่อมต่อ

ย้อนกลับมาที่สเปกของ Huawei P40 Pro ที่ใช้หน่วยประมวลผลรุ่นท็อปของค่ายในเวลานี้อย่าง Kirin 990 อัด RAM มาให้ใช้งาน 8 GB และพื้นที่เก็บข้อมูลภายในตัวเครื่องอีก 256 GB ซึ่งผู้ใช้สามารถเพิ่มหน่วยความจำ NM SD ได้อีกสูงสุด 256 GB ก็ถือว่าเพียงพอกับการใช้งาน

ในด้านของการเชื่อมต่อ เมื่อแกะกล่อง P40 Pro ออกมา จะสามารถใช้งาน 5G ในประเทศไทยบริเวณพื้นที่ที่รองรับการใช้งานได้ทันที นอกจากนี้ก็ยังรองรับ 4G LTE และ Wi-Fi 6 ที่เมื่อเชื่อมต่อกับเราเตอร์ที่ปล่อยสัญญาณได้ดีๆ จะทำความเร็วระดับ 1 Gbps ได้สบายๆ

นอกจากนี้ ก็จะรองรับการเชื่อมต่อผ่าน บลูทูธ 5.1 ที่รองรับ บลูทูธพลังงานต่ำ พอร์ตการเชื่อมต่อ USB-C 3.1 สามารถเชื่อมต่อกับจอภาพเพื่อใช้งานเป็น Desktop Mode ได้เหมือนเดิม ทำงานบนพื้นฐานของระบบปฏิบัติการ Android 10

สรุป

Huawei P40 Pro ถือเป็นสมาร์ทโฟนที่หัวเว่ย ทำออกมาได้สมบูรณ์แบบทั้งหมดในเรื่องของฮาร์ดแวร์ พร้อมไปกับการได้เห็นพัฒนาการที่ชัดเจนขึ้นของซอฟต์แวร์ ทั้ง EMUI 10.1 ที่พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง กล้องที่ยังรักษามาตรฐานไว้ได้อย่างชัดเจน

สุดท้ายก็จะติดอยู่เรื่องเดียวคือ HMS ยังไม่สามารถมาแทนที่การใช้งาน GMS ได้ทั้งหมด ดังนั้นถ้าตัดสินใจเลือกซื้อแล้วคิดว่าสามารถติดตั้ง GMS ได้เอง กับเครื่องราคา 31,990 บาท P40 Pro จะคุ้มค่ามาก แต่ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญทางด้านนี้อาจจะต้องมองข้ามไปก่อน

]]>
Review : Huawei MateBook D15 โน้ตบุ๊ก 15 นิ้ว ราคาดี แชร์ไฟล์กับมือถือ Huawei สะดวก https://cyberbiz.mgronline.com/review-huawei-matebook-d15/ Wed, 04 Mar 2020 06:49:28 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=32329

นิยามของ Huawei MateBook D15 ที่ หัวเว่ย วางไว้คือการเป็นโน้ตบุ๊กในระดับราคาคุ้มค่า ประสิทธิภาพสูง และมากับฟีเจอร์ที่น่าสนใจ แถมยังเข้ามาตอบโจทย์การใช้งานของผู้ใช้ทั่วๆ ไป ที่กำลังมองหาโน้ตบุ๊กราคาไม่เกิน 2 หมื่นบาทด้วย

จุดเด่นหลักของ MateBook D15 คือการที่มากับหน้าจอ 15.6 นิ้ว ทำงานบนหน่วยประมวลผล AMD Ryzen 5 พร้อมกับใส่ SSD 256 GB มาให้ใช้งานคู่กับฮาร์ดดิสก์ขนาด 1 TB เพื่อใช้เก็บข้อมูล ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows 10 Home

รวมถึงการใส่ฟีเจอร์พิเศษอย่าง Huawei Share ที่ให้ผู้ใช้สมาร์ทโฟนหัวเว่ย สามารถเชื่อมต่อกับ MateBook D15 ได้ง่ายแค่นำมาแตะไว้ที่ตัวเครื่อง และฝังกล้องหน้าไว้ในคีย์บอร์ด ที่ต้องกดปุ่มขึ้นมาเพื่อเรียกใช้งาน ป้องกันการแอปส่องกล้องโดยไม่รู้ตัว

ข้อดี

  • โน้ตบุ๊กจอ 15.6” ประสิทธิภาพดี ราคา 17,990 บาท
  • พื้นที่เก็บข้อมูลแบบ SSD + HDD ทำให้ใช้งานได้เร็ว และมีพื้นที่เก็บข้อมูลเพียงพอ
  • Huawei Share ให้ส่งข้อมูลระหว่างสมาร์ทโฟน และโน้ตบุ๊กสะดวกขึ้น

ข้อสังเกต

  • แบตเตอรีหมดค่อนข้างเร็ว
  • จอไม่ตัดแสง ทำให้ไม่เหมาะกับใช้งานภายนอก
  • ตัวเครื่องหนัก 1.63 กิโลกรัม ตามสไตล์ของโน้ตบุ๊กจอ 15 นิ้ว

ราคาดี เหมาะใช้เป็นเครื่องในบ้าน

ราคาของ Huawei MateBook D15 น่าจะกลายเป็นจุดที่ดึงดูดที่สุดของโน้ตบุ๊กรุ่นนี้ เพราะถ้ามองไปในตลาด โน้ตบุ๊กขนาดหน้าจอ 15.6” ที่มากับหน่วยประมวลผล Ryzen 5 ระดับราคาส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วง 2 หมื่นบาทขึ้นไป

แต่ทาง Huawei กลับทำราคา MateBook D15 ได้น่าสนใจ แถมยังเป็นเครื่องที่มากับพอร์ตการเชื่อมต่อที่ครบถ้วน ทั้ง USB-C USB 3.0 HDMI ทำให้กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่กำลังต้องการเลือกซื้อโน้ตบุ๊กมาใช้งาน ในระดับราคาที่ไม่สูงมากนัก

การออกแบบตัวเครื่อง

ในแง่ของดีไซน์ MateBook D15 มีจุดที่น่าสนใจอยู่ 2-3 จุด ไล่ตั้งหน้าจอที่เลือกใช้งานเป็นแบบ IPS FullView ขนาด 15.6 นิ้ว ความละเอียด FullHD ให้ Contrast Ratio ที่ 800:1 ความสว่างหน้าจอ 250 nits ในสัดส่วนหน้าจอแบบ 16:9 โดยมีขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 357.8 x 229.9 x 16.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 1.62 กิโลกรัม

ความพิเศษอยู่ที่ขนาดหน้าจอเมื่อเทียบกับตัวเครื่องคิดเป็นสัดส่วนถึง 87% โดยมีขอบหน้าจอ 5.3 มิลลิเมตรเท่านั้น ทำให้ตัวเครื่องมีขนาดเล็กกว่าโน้ตบุ๊ก 15 นิ้วทั่วไปในท้องตลาด ประกอบกับการเปลี่ยนตำแหน่งของกล้องหน้าไปไว้ที่คีย์บอร์ดแทน ทำให้ขอบหน้าจอเล็กลงด้วย

ภายนอกของตัวเครื่องจะมีสัญลักษณ์ HUAWEI สีเงินแปะอยู่ตรงกลางเครื่องสีเทา เน้นความเรียบง่ายเป็นหลัก ส่วนหลังเครื่องก็จะมีจุดยางเป็นแถบยาวในส่วนหลัง และอีก 2 จุดตรงส่วนหน้า เพื่อยกเครื่องขึ้นมาจากพื้นผิว เพื่อช่วยระบายความร้อน และมีสติกเกอร์แสดงรายละเอียดต่างๆ ติดอยู่

ถัดลงมาในส่วนของคีย์บอร์ดให้ปุ่มมาในขนาดมาตรฐาน โดยมีเฉพาะแถวบนที่มีขนาดประมาณครึ่งหนึ่งของปุ่มปกติ โดยจะเป็นแถบไว้ใช้ควบคุมการปรับแสงกว่าง เปิดปิดเสียง และการควบคุมด่วนต่างๆ รวมถึงเป็นจุดที่ใช้ซ่อนกล้องหน้าของ MateBook D15 ด้วย

ถ้าสังเกตจะเห็นว่ามีสัญลักษณ์รูปกล้องอยู่ระหว่าง F6 และ F7 เมื่อกดปุ่มดังกล่าว ตัวกล้องหน้าก็จะเด้งขึ้นมา และถ้าต้องการปิดก็สามารถดันลงไป ทาง หัวเว่ย ระบุว่า การออกแบบกล้องไว้จุดนี้เพื่อป้องกันความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ ให้ไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครแอบดูกล้องในโน้ตบุ๊กของเรา

อีกจุดที่มีความพิเศษคือ ปุ่มเปิดเครื่อง ที่อยู่ทางขวาบนของฐานตัวเครื่อง เพรารองรับการปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือ จากเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ฝังไว้ภายใน ช่วยเพิ่มในเรื่องของความปลอดภัยในการเข้าใช้งานตัวเครื่องร่วมกับ Windows Hello

สำหรับพอร์ตการเชื่อมต่อต่างๆ MateBook D15 ถือว่าให้มาครบ ไล่จากทางฝั่งซ้าย จะมีพอร์ต USB-C ที่ไว้เสียบสายชาร์จ และเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมอื่นๆ ได้ ตามด้วยพอร์ต USB 3.0 และ HDMI ส่วนทางฝั่งขวา จะมีพอร์ต USB อีก 2 พอร์ต และช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. ให้ใช้งาน

สเปก

Huawei MateBook D15 มากับหน่วยประมวลผล AMD Ryzen 3500U ที่เป็น Quad Core 2.1 GHz และสามารถทำความเร็วนาฬิกาสูงสุดขึ้นไปที่ 3.7 GHz ที่ถูกออกแบบมาให้ใช้งานกับโน้ตบุ๊ก ทำงานร่วมกับการ์ดจอ Radeon Vega Mobile RAM 8 GB พื้นที่เก็บข้อมูลแบบ SSD 256 GB ร่วมกับฮาร์ดดิสก์อีก 1 TB

ด้านการเชื่อมต่อรองรับ WiFi 5 (802.11ac) บลูทูธ 5.0 แบตเตอรีที่ให้มาขนาด 42 Wh ซึ่งมากับอะเดปเตอร์ USB-C ขนาด 65W รองรับระบบ Fast Charge ทำให้สามารถชาร์จแบต 53% ได้ภายใน 30 นาที ซึ่งสามารถนำไปใช้เพื่อเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนหัวเว่ยได้ด้วย

ถ้าใช้สมาร์ทโฟน Huawei โยนไฟล์ง่ายแค่วาง

ในเมื่อเป็นโน้ตบุ๊กของหัวเว่ย ฟีเจอร์ที่ชูมาเป็นจุดเด่นเพื่อดึงดูดให้ผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนของหัวเว่ยสนใจคงหนีไม่พ้น Huawei Share ที่เปิดให้ผู้ใช้งาน MateBook D15 สามารถเชื่อมต่อเพื่อถ่ายโอนไฟล์จากสมาร์ทโฟน ไปยังโน้ตบุ๊กแบบไร้สายได้ทันที เพียงแค่วางสมาร์ทโฟนแปะลงไปที่ตัวเครื่อง

โดยสมาร์ทโฟนหัวเว่ย รุ่นที่มี NFC สามารถนำมาวางบริเวณสัญลักษณ์ Huawei Share เพื่อทำการเชื่อมต่อผ่านโปรแกรม PC Manager หลังจากผ่านการยืนยันเรียบร้อยแล้ว จะมีหน้าต่างแสดงหน้าจอเสมือนขึ้นมาบนโน้ตบุ๊ก หลังจากนั้นก็สามารถโยนไฟล์ได้ทันที

ถ้าทำการเชื่อมต่อเสร็จแล้วก็สามารถยกสมาร์ทโฟนออกไปวางไว้ข้างๆ และควบคุมผ่านหน้าจอในโน้ตบุ๊กได้เช่นกัน ทำให้เพิ่มความสะดวกในการทำงาน ไม่ต้องเสียเวลาไปจับมือถือกรณีที่ต้องตอบแชท หรือเข้าถึงข้อมูลบางอย่างบนสมาร์ทโฟน หัวเว่ย เรียกฟีเจอร์การทำงานนี้ว่า Huawei OneHop คือเพียงแค่วางแตะ และเชื่อมต่อ หลังจากนั้นก็สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องทันที

นอกจากนี้ PC Manager ยังถูกแปลงมาเป็นโปรแกรมที่ใช้ตรวจสอบสถานะต่างๆ ของเครื่อง แจ้งเตือนให้มีการอัปเดตโปรแกรมให้ใหม่ล่าสุดอยู่เสมอ รวมถึงการสอนใช้งานด้วย เรียกได้ไว่าเป็นโปรแกรมสารพัดประโยชน์ประจำเครื่องก็ว่าได้

ทดสอบประสิทธิภาพ

ด้วยระดับราคาของ MateBook D15 ที่ออกมาในราคา 17,990 บาท ในแง่ของประสิทธิภาพการใช้งาน ต้องเรียกว่าตอบโจทย์การใช้งานทั่วไปได้เป็นอย่างดี ถ้านำมาใช้ทำงานอย่าง Microsoft Office หรือตกแต่งรูปภาพ เข้าเว็บ เล่นวิดีโอ เรียกได้ว่าสอบผ่านทั้งหมด

แต่ก็ยังไปไม่ถึงระดับที่สามารถนำมาใช้ในการเล่นเกมสเปกสูงๆ หรือการนำไปใช้งานด้านโปรดักชันที่ต้องการประมวลผลสูงๆ ได้แบบลื่นไหล ดังนั้น จึงเป็นรุ่นที่เหมาะกับการใช้งานทั่วไป ได้โน้ตบุ๊กจอใหญ่ ในราคาเข้าถึงได้มากกว่า

เช่นเดียวกับเรื่องของแบตเตอรี ที่เท่าที่ลองใช้งานต่อเนื่องจะอยู่ที่ราว 5-6 ชั่วโมงติดต่อกันเท่านั้น จึงไม่เหมาะจะเป็นดีไวซ์ที่พกพาออกไปใช้งานนอกบ้านได้ตลอดวัน

สรุป

Huawei MateBook D15 กลายเป็นตัวเลือกโน้ตบุ๊กที่น่าสนใจในระดับราคาไม่ถึง 2 หมื่นบาท โดยเฉพาะผู้ที่ใช้งานสมาร์ทโฟนหัวเว่ยอยู่แล้ว สามารถนำมาเชื่อมต่อใช้งาน Huawei Share ได้ทันที ส่วนผู้ที่ไม่ได้ใช้หัวเว่ย ก็อาจจะใช้ฟีเจอร์อย่าง Your Phone ของทาง Microsoft ที่พัฒนาขึ้นมาคล้ายๆ กันแทนได้

Gallery

]]>
Review : Huawei Y9s จอใหญ่ กล้องละเอียด 48 ล้านพิกเซล มาพร้อมกูเกิลเซอร์วิส https://cyberbiz.mgronline.com/review-huawei-y9s/ Mon, 27 Jan 2020 06:38:26 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=32070

แม้ว่าช่วงปลายปีที่ผ่านมา หัวเว่ย จะเผชิญปัญหากับการที่สมาร์ทโฟนระดับเรือธงอย่าง Mate 30 Pro ไม่รองรับการใช้งานกูเกิลเซอร์วิส และเริ่มหันมาพัฒนา หัวเว่ย โมบาย เซอร์วิส มาใช้งานแทน แต่ในกลุ่มของเครื่องสมาร์ทโฟนระดับเริ่มต้นยังไม่ได้รับผลกระทบจากตรงนี้

ทำให้กลายเป็นว่า Huawei Y9s มาช่วยให้ในปีที่ผ่านมา หัวเว่ย สามารถประคองตัวท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ ประกอบกับการทำราคาน่าสนใจที่ 7,990 บาท แต่ได้หน้าจอขนาด 6.59 นิ้ว จึงกลายเป็นรุ่นที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการสมาร์ทโฟนจอใหญ่

นอกจากหน้าจอใหญ่แล้ว Y9s ยังมีการเพิ่ม RAM มาเป็น 6 GB พื้นที่เก็บข้อมูลภายในตัวเครื่อง 128 GB พร้อมกับการนำเซ็นเซอร์กล้อง 48 ล้านพิกเซลมาให้ใช้งาน เรียกได้ว่าครบเครื่องในราคาไม่ถึง 8 พันบาท จึงกลายเป็นรุ่นที่น่าสนใจไม่น้อย

ข้อดี

  • หน้าจอ FullView Displayขนาดหน้าจอ 6.59 นิ้ว
  • กล้องหน้าป็อปอัพ กล้องหลัง 48 ล้านพิกเซล
  • RAM 6 GB + RON 128 GB

ข้อสังเกต

  • เชื่อมต่อ Wi-Fi ได้เฉพาะคลื่น 2.4 GHz
  • แบตเตอรี 4000 mAh แต่ไม่รองรับระบบ Fast Charge

สมาร์ทโฟนจอใหญ่ แบตอึด ราคาดี

ที่ผ่านมา จุดเด่นของ Huawei Y ซีรีส์ จะเน้นที่ความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับราคาเป็นหลัก ซึ่ง Y9s ก็ยังคงรักษามาตรฐานนี้ไว้ได้ จากการที่ให้หน้าจอความละเอียดสูง Full HD+ ขนาด 6.59 นิ้ว แบบ FullView มาให้ใช้งาน โดยไม่มีรอยบาก หรือรูกล้องหน้าให้รำคาญใจ

ด้วยการที่ Y9s หันไปใช้กลไกกล้องแบบป็อปอัปแทน โดยให้กล้องหน้ามาที่ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล f/2.2 เรียกได้ว่าค่อนข้างถูกใจสายเซลฟี่กันอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อทำงานร่วมกับการประมวลผล AI เพิ่มเติม

ขนาดของตัวเครื่อง Y9s อยู่ที่ 77.2 x 163.1 x 8.8 มิลลิเมตร น้ำหนัก 206 กรัม มีให้เลือกด้วยกัน 2 สีคือ สีที่นำมารีวิว Breathing Crystal และสีดำ Midnight Black ซึ่งถ้าใครที่ชอบเครื่องสีรุ้งเมื่อตัวเครื่องสะท้อนแสงแล้วก็จะให้มุมมองที่สวยงามขึ้น

การวางตำแหน่งของกล้องหลัง จะเป็นแนวเดียวกับรุ่นพี่อย่าง P30 ที่เป็นแนวตั้ง 3 เลนส์ ประกอบไปด้วย กล้องหลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซล f/1.8 ตามด้วยเลนส์มุมกว้าง 8 ล้านพิกเซล f/2.4 และกล้องวัดระยะ f2.4 ที่ช่วยให้ภาพที่ได้มีมิติมากขึ้น

พอร์ตเชื่อมต่อที่ให้มาจะเป็นพอร์ต USB-C ที่ใช้เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ และเสียบสายชาร์จ และมากับช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ให้ใช้งานกันอยู่ ที่ใต้เครื่อง ส่วนบนเครื่องจะมีถาดใส่ซิมการ์ด และจุดที่ซ่อนกล้องแบบป็อปอัปไว้

ด้านขวาเครื่องนอกจากปุ่มปรับระดับเสียงแล้ว ก็จะมีปุ่มเปิดเครื่อง ที่เป็นจุดสแกนลายนิ้วมือในตัว ซึ่งวางไว้ในจุดที่สามารถหยิบเครื่องขึ้นมาแล้วใช้นิ้วชี้มือซ้าย หรือนิ้วโป้งมือขวาปลดล็อกได้ทันที อย่างไรก็ตามด้วยการที่เป็นกล้องหน้าแบบป็อปอัปทำให้ Y9s ไม่รองรับการปลดล็อกเครื่องด้วยใบหน้า

สำหรับสเปกภายในของ Y9s มากับหน่วยประมวลผล Kirin 710F ที่เป็น Octa-Core 2.2 GHz + 1.7 GHz RAM 6 GB พื้นที่เก็บข้อมูล 128 GB สามารถเพิ่มไมโครเอสดีได้สูงสุด 512 GB ภายในมีแบตเตอรีขนาด 4,000 mAh

ตัวเครื่องทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 9 บน EMUI 9.1 ที่รองรับการอัปเดตเป็น EMUI 10 ในอนาคต ในส่วนของการเชื่อมต่อ ตัวเครื่องรองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด รองรับการใช้งาน 4G Wi-Fi 802.11n และบลูทูธ 4.2

ขณะเดียวกัน ด้วยการที่ราคาเปิดตัวของ Huawei Y9s อยู่ที่ 7,990 บาท ทำให้มีการตัดสเปกบางส่วนออกไป อย่างเรื่องของการรองรับการชาร์จเร็วที่ไม่มีมาด้วย รวมถึงการเชื่อมต่อ Wi-Fi แบบ 5 GHz ที่กลายเป็นมาตรฐานของไฟเบอร์ในปัจจุบันแล้ว

ทำให้เวลาเชื่อมต่อ Wi-Fi ความเร็วจะจำกัดอยู่ที่ราว 50-70 Mbps เท่านั้น แต่ถ้าใช้งานทั่วๆ ไปความเร็วดังกล่าวก็ถือว่าเพียงพออยู่แล้ว ดังนั้นก็รับรู้ไว้ว่ามีข้อจำกัดนี้อยู่ แต่กับราคาที่ไม่ถึง 8 พันบาท ก็ถือเป็นเรื่องที่รับได้

ทดสอบประสิทธิภาพ

ในแง่ของการใช้งาน Kirin 710F ถือว่าตอบโจทย์การใช้งานทั่วๆ ไป รวมถึงเล่นเกมแบบปรับสเปกต่ำๆ ได้ สบายๆ แต่ถ้าต้องการปรับความละเอียดสูงๆ อาจจะต้องหันไปมองรุ่นที่ราคาสูงกว่านี้ หรือเลือกเป็นซีรีส์ nova แทน เพราะ Y9s จะเหมาะกับการใช้งานเริ่มต้นมากกว่า

ดังนั้น ถ้าต้องการนำมาใช้ดูยูทูป เล่นโซเชียลเน็ตเวิร์ก Y9s ถือว่าตอบโจทย์นี้ได้ จากการที่ให้แบตเตอรีมา 4,000 mAh สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ยาวๆ โดยไม่ต้องกังวลว่าแบตจะหมดระหว่างวัน

ผลทดสอบต่างๆ สามารถดูได้จากอัลบัมภาพด้านล่าง

สรุป

Huawei Y9s ถือว่าเป็นรุ่นที่จับกลุ่มผู้ใช้งานได้ชัดเจนอยู่แล้ว ว่าต้องเป็นผู้ที่ต้องการสมาร์ทโฟนราคาคุ้มค่า ได้หน้าจอใหญ่ มีเทคโนโลยีอย่างเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือให้ใช้งาน รวมถึงกล้องความละเอียด 48 ล้านพิกเซล ที่เก็บภาพในที่แสงดีได้สบายๆ

แต่ก็มีข้อจำกัดอย่างที่บอกเรื่องของชาร์จเร็ว และ Wi-Fi 5 GHz ที่ไม่มีมาให้ ซึ่งถ้าไม่ได้ใช้งานตรงจุดนี้ หรือถ้าคิดว่าไม่ได้จำเป็นกับการใช้งาน รุ่นนี้ก็ถือเป็นหนึ่งในรุ่นที่เหมาะกับช่วงราคานี้มากๆ

Gallery

]]>
Review : Huawei Watch GT 2 เด่นเรื่องเก็บข้อมูลสุขภาพ และแบตอึด https://cyberbiz.mgronline.com/review-huawei-watch-gt-2/ Fri, 03 Jan 2020 08:48:41 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=31946

ตลาดนาฬิกาสมาร์ทวอทช์สำหรับผู้ใช้งานแอนดรอยด์โฟน ยังถือว่าเป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูง จากทั้งแบรนด์ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนเอง และแบรนด์ผู้ผลิตอุปกรณ์ตรวจจับการออกกำลังกายต่างๆ แตกต่างจากทางฝั่งของผู้ใช้งานไอโฟนที่ถูกยึดด้วย Apple Watch ไปเรียบร้อยแล้ว

Huawei เป็นอีกแบรนด์ที่มุ่งทำตลาดสมาร์ทวอทช์ และอุปกรณ์ฟิตเนสแทร็กเกอร์ ออกสู่ตลาด เพื่อจับกลุ่มลูกค้าที่ใช้งานสมาร์ทโฟนของ Huawei เอง และยังเปิดกว้างให้ผู้ใช้สมาร์ทโฟนแบรนด์อื่น หรือระบบปฏิบัติการอื่นสามารถใช้งานได้ด้วย

Huawei Watch GT 2 ที่เปิดราคาออกมา 6,490 บาท จึงกลายเป็นสมาร์ทวอทช์รุ่นที่น่าสนใจรุ่นหนึ่งในตลาด เพราะนอกจากจะมีความสามารถในการใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟนแล้ว ยังสามารถใช้ตรวจจับการออกกำลังกาย วัดอัตราการเต้นของหัวใจ และบันทึกข้อมูลสุขภาพต่างๆ ได้ด้วย

ข้อดี

  • สมาร์ทวอทช์ราคาไม่ถึง 8,000 บาท
  • มี 3 รุ่นให้เลือก ตั้งแต่เริ่มต้นสายสแตนเลส
  • แบตเตอรี่ใช้งานต่อเนื่อง 2 สัปดาห์

ข้อสังเกต

  • ไม่สามารถติดตั้งแอปจากนักพัฒนาภายนอกได้
  • การปรับแต่งหน้าปัดต่างๆ ยังมีข้อจำกัดอยู่
  • ต้องเชื่อมต่อกับ Huawei Health เท่านั้น

ดีไซน์หรู เน้นใช้งานง่าย

Huawei Watch GT 2 ออกมาด้วยกันทั้งหมด 2 รุ่นหลักด้วยกันคือรุ่นตัวเรือน 42 มม. แบ่งให้เลือกเป็น 3 เวอร์ชันคือ Sport Classic และ Elegant ส่วนรุ่นตัวเรือน 46 มม. จะมีให้เลือกเป็น Sport Classic และ Elite โดยระดับราคาจะอยู่ที่ 6,490 – 7,990 บาท

ตัวเรือนที่ได้มารีวิวคือรุ่น 46 มม. Elite Edition ที่ภายในนอกจากจะมีสายยางสำหรับใช้ใส่ออกกำลังกายมาให้แล้ว จะมีสายที่เป็นสแตนเลสแถมมาให้ พร้อมกับไขดวงเพื่อให้ผู้ใช้สามารถปรับขนาดสายได้ด้วยตัวเอง ถือว่าหัวเว่ย คิดมาได้ละเอียดมากๆ ในจุดนี้

กลับมาที่ตัวเรือนขนาด 46 มม. วัสดุหลักที่ใช้จะเป็นโลหะ ผสมกับกระจกหน้าจอแบบ 3 มิติ โดยขนาดตัวเรือนจะอยู่ที่ 45.9 x 45.9 x 10.7 มิลลิเมตร น้ำหนักเฉพาะตัวเรือนประมาณ 41 กรัม

หน้าจอที่ใช้จะเป็น AMOLED ขนาด 1.39 นิ้ว ความละเอียด 454 x 454 พิกเซล ซึ่งรองรับการสัมผัสสั่งงาน หรือจะใช้งานผ่านปุ่มควบคุมที่เป็นเม็ดมะยมทางด้านขวาทั้ง 2 ปุ่มก็ได้เช่นเดียวกัน

ภายในตัวเครื่องของ Watch GT 2 นอกจากชิป Kirin A1 ที่ออกแบบมาสำหรับสมาร์ทวอทช์โดยเฉพาะ ก็จะมีทั้งเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว ตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ตรวจจับแสง แรงกดอากาศต่างๆ โดยรองรับการเชื่อมต่อผ่านบลูทูธ 5.1 และมี GPS ภายในตัว

Huawei ระบุว่า Watch GT 2 รุ่น 46 มม. สามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง 2 สัปดาห์ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง และใช้ในการวัดออกกำลังได้ต่อเนื่อง 30 ชั่วโมง ซึ่งเท่าที่ทดสอบใช้งาน ถ้าใช้งานทั่วๆ ไปในชีวิตประจำวันถือว่าอยู่ในระดับเดียวกับที่หัวเว่ยเคลมไว้ แต่ถ้าออกกำลังหนักๆ ต่อเนื่องระยะเวลาใช้งานก็จะลดน้อยลง

ในส่วนของการชาร์จจะมีแท่นชาร์จแม่เหล็กติดมาให้ด้วย ผู้ใช้สามารถนำแท่นชาร์จต่อเข้ากับสายชาร์จ USB-C และวาง Watch GT 2 ลงไปชาร์จไฟได้ทันที นอกจากนี้ ตัวเรือนยังสามารรถกันน้ำได้ระดับ 5 ATM ทำให้สามารถใส่ว่ายน้ำได้ด้วย

เริ่มต้นใช้งานกับ Huawei Health

ในการใช้งาน Watch GT 2 สิ่งแรกที่ต้องทำเลยคือการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่านแอปพลิเคชันอย่าง Huawei Health ที่สามารถดาวน์โหลดได้ทั้งบน Play Store ของแอนดรอดย์ และ App Store ของไอโฟน

เมื่อเชื่อมต่อเรียบร้อย ก็จะขึ้นแสดงผลสถานะการเชื่อมต่อ ปริมาณแบตเตอรี พร้อมกับรายละเอียดจำนวนก้าว ปริมาณแคลอรี่ที่เผาผลาน ระยะทางที่เดินเป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีโหมดให้เลือกเปลี่ยนหน้าปัดนาฬิกาเพิ่มเติมจากในแอปด้วย

นอกจากนี้ ก็สามารถตั้งค่าเพิ่มเติมอย่าง การเปิดวัดการนอน (TruSleep) แจ้งเตือนให้เคลื่อนไหว จับอัตราการเต้นของหัวใจอัตโนมัติ เปิดระบบวัดความเคลียดของผู้สวมใส่ จนถึงการตั้งค่าทั่วๆ ไปอย่างนาฬิกาปลุก เครื่องเล่นเพลง การแจ้งเตือน รายชื่อผู้ติดต่อ รายงานสภาพอากาศ เตือนเมื่อการเชื่อมต่อบลูทูธหลุด ปรับให้หน้าจอสว่างขึ้นเมื่อยกแขนเป็นต้น

ภายในแอป ยังจะแสดงรายละเอียดของกิจกรรมต่างๆ ที่ผู้ใช้ทำเพิ่มเติม อย่างการออกกำลังกาย ก็สามารถย้อนดูเส้นทาง อัตราการเต้นของหัวใจได้ เช่นเดียวกับการนอน และการควบคุมน้ำหนัก กรณีที่ป้อนข้อมูลไว้

สิ่งที่น่าสนใจคือแอปจะมีการนำข้อมูลไปวิเคราะห์เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการออกกำลังกาย จนถึงคำนวนระยะเวลาให้ร่างกายพักฟื้นอย่างเต็มที่ก่อนออกกำลังกายครั้งถัดไป

ในส่วนของการวัดนอนก็เช่นกัน เมื่อใส่นอนก็จะมีการวัดช่วงเวลาหลับตื้น หลับลึก เพื่อนำมาคำนวนเป็นคะแนน พร้อมคำแนะนำให้การนอนหลับมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะเหมาะกับผู้ที่ใส่ใจสุขภาพเป็นพิเศษ

ใช้งานทั่วไป Watch GT 2 เอาอยู่

ด้วยการที่เป็นสมาร์ทวอทช์ ดังนั้นเวลาสั่งงานต่างๆ จึงไม่ได้จำเป็นต้องเข้าไปสั่งผ่านแอปบนสมาร์ทโฟนอย่างเดียว แต่ผู้ใช้สามารถเลือกปรับตั้งค่าต่างๆ ที่ตัวนาฬิกาได้ อย่างการเปลี่ยนรูปหน้าปัดนาฬิกา ตั้งหน้าจอแสดงผลจำนวนก้าว แสดงช่วงเวลาที่เคลื่อนไหว

Watch GT 2 ยังใช้เป็นเครื่องมือในการควบคุมการเล่นเพลงได้ อย่างกรณีที่เปิดเพลงฟังอยู่ สามารถสั่งเล่น หยุด เปลี่ยนเพลง ปรับเสียง ได้ผ่านนาฬิกาทันที ทำให้ในกรณีที่ใส่หูฟัง ฟังเพลงอยู่ก็ไม่จำเป็นต้องหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาเลือกเปลี่ยนเพลงอีกต่อไป

แอปพลิเคชันส่วนใหญ่ที่ติดตั้งมาให้บน Watch GT 2 จะเป็นแอปเกี่ยวกับการใช้งานทั่วไป และสุขภาพเป็นหลัก อย่างการออกกำลังกาย ดูอัตราการเต้นของหัวใจ ดูการนอน วัดความเคลียด แอปที่ช่วยควบคุมการหายใจเเพื่อให้ผ่อนคลาย เพลง รายชื่อผู้ติดต่อ ประวัติการโทร

แสดงความกดอากาศ เข็มทิศ พยากรณ์อากาศ การแจ้งเตือน นาฬิกาจับเวลา นาฬิกาปลุก ไฟฉาย และสั่งให้ค้นหาสมาร์ทโฟน ด้วยการสั่งให้เสียงดังขึ้นมาเพื่อให้ทราบว่าสมาร์ทโฟนอยู่ตรงไหน

ส่วนของการตั้งค่าเพิ่มเติมก็คือ สามารถเลือกจับคู่ Watch GT 2 กับหูฟังบลูทูธ ตั้งค่าหน้าจอแสดงผล เปิดโหมดห้ามรบกวน ตั้งค่าปุ่มควบคุม และตั้งค่าระบบของตัวเครื่องต่างๆ

โดยในโหมดของการออกกำลังกาย ผู้ใช้สามารถกดเข้าไปแล้วเลือกประเภทกีฬาที่ออกกำลังกายได้ ทั้งการเดิน วิ่ง ขี่จักรยาน และกิจกรรมอื่นๆ ซึ่งในการออกกำลังกายไม่จำเป็นต้องพกสมาร์ทโฟนติดตัวไปด้วย เพราะตัว Watch GT 2 มี GPS ภายในตัวอยู่แล้ว สามารถบันทึกข้อมูลการออกกำลังกายได้ตลอดเวลา

อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่ Watch GT 2 ไม่ได้ใช้ระบบปฏิบัติการที่เปิดกว้างอย่าง Wear OS แต่เลือกใช้ระบบปฏิบัติการ Huawei Lite แทน ทำให้ในการใช้งานมีข้อจำกัดอยู่ค่อนข้างเยอะ ยังไม่ได้เหมือนกับสมาร์ทวอทช์ที่ใช้ Wear OS ที่มีความหลากหลายกว่า

ดังนั้น Watch GT 2 จึงไม่สามารถติดตั้งแอปพลิเคชันอื่นๆ เพิ่มเติมได้ นอกจากที่รองรับใน Huawei Health ซึ่งถ้านำไปใช้งานทั่วๆไป เป็นนาฬิกาที่ใส่เพื่อรับการแจ้งเตือน และวัดสุขภาพไปในตัว Watch GT 2 ก็ถือว่าตอบโจทย์ แต่ถ้าต้องการความอัจฉริยะของนาฬิกามากกว่านั้นอาจจะต้องมองข้ามไป

สรุป

Huawei Watch GT 2 เหมาะกับผู้ใช้งานทั่วๆไป ที่ต้องการนาฬิกามาใช้เพื่อรับการแจ้งเตือน และวัดการออกกำลังกายไปในตัว โดยเฉพาะผู้ใช้ Android ทื่ต้องการหาสมาร์ทวอทช์มาใช้งานคู่กันไปด้วย

เพราะความสามารถของฮาร์ดแวร์ถือว่าทำได้ดี ติดก็ตรงซอฟต์แวร์อย่าง Huawei Health ทื่ยังอยู่ในช่วงพัฒนาทำให้ขาดความสามารถหลายๆ อย่างไป ซึ่งถ้ามองแนวโน้มในการพัฒนาจากรุ่นก่อน ก็ถือว่าหัวเว่ยทำได้ค่อนข้างดี ประกอบกับราคานาฬิกาที่ไม่ได้สูงจนเกินไป ทำให้ผู้ใช้ที่กำลังหานาฬิกามาคู่มือตัดสินใจได้ง่ายขึ้นด้วย

Gallery

]]>
Review : Huawei P30 Pro ที่สุดของกล้องถ่ายภาพบนสมาร์ทโฟน https://cyberbiz.mgronline.com/review-huawei-p30-pro/ Tue, 09 Apr 2019 09:30:44 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=30478

เรียกได้ว่า หัวเว่ย (Huawei) ประสบความสำเร็จอย่างมาก ในการปรับแนวคิดการถ่ายภาพบนสมาร์ทโฟน ด้วยการชูจุดเด่นอย่างการซูมภาพได้ไกล 50x บน P30 Pro และการถ่ายภาพในที่แสงน้อย ให้ออกมาสว่างเหมือนกลางวัน จนกลายเป็นจุดขายหลักของเครื่องรุ่นนี้

Huawei P30 Pro ถือว่าทำการบ้านมาเป็นอย่างดี ด้วยการเลือกนำจุดที่ผู้บริโภคต้องการเป็นลำดับต้นๆ ในการเลือกซื้อสมาร์ทโฟนเวลานี้คือเรื่องของกล้อง มาชูเป็นจุดเด่น ต่อยอดจากความร่วมมือกับ ไลก้า (Leica) ที่มัดใจผู้บริโภคมาได้ตั้งแต่ P20 ซีรีส์แล้ว

การมาของ P30 Pro เลยยิ่งเข้าไปตอกย้ำภาพของการเป็นผู้นำสมาร์ทโฟนที่สามารถถ่ายภาพได้ดี ผสมไปกับประสิทธิภาพของตัวเครื่องที่ถูกพูดถึงมาตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมาคือ Mate20 Pro ที่แสดงให้ผู้บริโภคเห็นถึงความสามารถมาแล้ว

ข้อดี

  • สมาร์ทโฟนที่มีกล้องถ่ายภาพดีสุดในเวลานี้
  • แบตเตอรี 4,200 mAh อึดมาก รองรับการชาร์จเร็ว / Reverse Charge ให้อุปกรณ์อื่น
  • สีตัวเครื่องมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
  • เริ่มมีการนำเสนอฟีเจอร์ที่ใช้งานในอีโคซิสเตมส์อย่าง OneHop เข้ามาให้ใช้งาน

ข้อสังเกต

  • ความละเอียดหน้าจอแสดงผลยังเป็น Full HD+
  • กล้องหน้าเป็นแบบ Fix Focus / ไม่รองรับการสแกนใบหน้าแบบ 3D
  • ถ้าจะเพิ่มพื้นที่เก็บข้อมูลต้องใช้ NM Card โดยเฉพาะ
  • ไม่มีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. / ตัวแปลงมาให้

เด่นที่กล้องชัดเจน

จุดสำคัญที่ทำให้ P30 Pro กลายเป็นสมาร์ทโฟนที่มีความโดดเด่นเรื่องของกล้องคือการปรับแนวคิดในการบันทึกภาพ จากเดิมที่เซ็นเซอร์จะรับแสง RGB (แดง เขียว น้ำเงิน) มาเพื่อประมวลผลออกมาเป็นภาพ แต่ Huawei เลือกนำการรับแสงแบบ RYYB (แดง เหลือง เหลือง น้ำเงิน) มาช่วยประมวลผลแทน ทำให้สามารถเก็บแสงได้มากกว่าเดิม 40%

โดยเมื่อดูถึงการจัดเรียงกล้องหลังทั้ง 3 เลนส์ ของ P30 Pro ไล่จากด้านบนลงมาคือเลนส์มุมกว้างสุดที่ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล f/2.2 ในระยะเลนส์ 16 มม. ตรงกลางคือเลนส์หลักระยะ 27 มม. ที่ความละเอียด 40 ล้านพิกเซล f/1.6 และสุดท้ายคือเลนส์ซูมระยะ 125 มม. ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล f/2.4

ที่น่าสนใจคือเลนส์ทุกตัวมาพร้อมกับระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF และระบบกันสั่น OIS ไม่นับรวมกับเลนส์ ToF ที่มาช่วยในการโฟกัสระยะของวัตถุเพิ่มเติม ซึ่งช่วยให้สามารถจับโฟกัสในที่แสงน้อยได้ง่ายขึ้น รวมไปถึงการสร้างโบเก้ของการถ่ายภาพบุคคล (Portrait) ด้วย

การใช้งานแต่ละช่วงเลนส์ก็จะมีการจับคู่ทำหน้าที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งาน เบื้องต้นก็คือถ้าใช้งานถ่ายระยะปกติ 1x กล้องหลัก 40 ล้านพิกเซลจะเป็นเลนส์หลัก เมื่อซูมเข้าไปถึงระยะ 5 เท่า ถึงจะปรับเป็นหน้าที่ของเลนส์ซูม 8 ล้านพิกเซล

ในขณะที่ถ้าถ่ายภาพในระยะ 3x-5x จะเป็นการทำงานคู่กันระหว่างเลนส์หลัก และเลนส์ซูม เพื่อให้ภาพที่ออกมาได้รายละเอียดมากที่สุด นอกจากนี้ ก็ยังมีการทำงานของเลนส์มุมกว้างคู่กับเลนส์หลัก เมื่อถ่ายภาพซูเปอร์มาโคร หรือการนำเลนส์กว้างมาช่วยลดการสั่นไหวของภาพขณะถ่ายวิดีโอด้วย

จะเห็นได้ว่า การทำงานของ AI ที่มากับหน่วยประมวลผล Kirin 980 ที่เข้ามาช่วยควบคุมการทำงานของกล้องตรงนี้ กลายเป็นจุดเด่นหลักที่ทำให้ P30 Pro สามารถถ่ายภาพได้ดีขึ้น พัฒนาขึ้นจาก P20 Pro และ Mate20 Pro เป็นอย่างมาก

P30 Pro ที่ดัน ISO ไปถึง 439,600

โดยภาพการเปรียบเทียบของรูปที่ถ่ายในที่แสงน้อย ระหว่าง iPhone XS Max Galaxy S10+ และ P30 Pro ถือเป็นการแสดงจุดเด่นที่ชัดเจนที่สุดของเครื่องรุ่นนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะในสภาพแสงที่เครื่อง 2 รุ่นแรกไม่สามารถบันทึกภาพได้ แต่ P30 Pro สามารถถ่ายและเก็บรายละเอียดออกมาได้ แม้ใช้งานในโหมดอัตโนมัติ

นอกจากนี้ การซูมภาพในระยะที่ให้ความคมชัดมากที่สุดของรุ่นนี้ เมื่อหันมาใช้เลนส์ซูมแบบ Periscope ทำให้การถ่ายภาพระยะ 10x ที่เป็นไฮบริดจ์ซูมได้ความคมชัดมาก และช่วยให้สามารถทำดิจิทัลซูมไปได้สูงถึง 50 เท่าด้วย

ส่วนกล้องหน้าที่หันมาใช้เลนส์แบบฟิกซ์โฟกัส ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล เมื่อทำงานร่วมกับระบบ AI ก็ช่วยให้สามารถละลายหลังได้เมื่อถ่ายเซลฟี่ รวมไปถึงการใส่เอฟเฟกต์ภาพต่างๆ และเนื่องจากเป็นเลนส์แบบฟิกซ์โฟกัส ทำให้เหมาะกับระยะการถ่ายเซลฟี่เป็นหลัก

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของโหมดการถ่ายวิดีโอ P30 Pro ยังมีจุดที่ยังไม่สามารถแซงคู่แข่งได้อย่างเรื่องระบบกันสั่น การโฟกัสภาพ การตรวจจับวัตถุต่างๆ ที่เชื่อว่ามีโอกาสพัฒนาขึ้นอีกแน่นอนในอนาคต ซึ่งถ้ามองเทียบกับรุ่นก่อนหน้าของหัวเว่ยก็ถือว่าพัฒนาขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดแล้ว

โหมดถ่ายวิดีโอที่น่าสนใจใน P30 Pro คือเรื่องของการถ่ายวิดีโอ 2 กล้องพร้อมกัน ทำให้ได้มุมมองที่แตกต่างกัน คือได้ทั้งแบบมุมกว้าง และมุมแคบ ทำให้ได้ภาพเคลื่อนไหวที่แปลกตาไปอีกแบบ

Photos Gallery

ฟีเจอร์อื่นๆก็ไม่ทิ้ง

ต่อมา หลังจากเรื่องกล้องฟีเจอร์อื่นๆที่ถูกนำเสนอมาใน Mate20 Pro ที่ถือเป็นรุ่นแฟลกชิปที่เน้นประสิทธิภาพ Huawei ก็มีการนำมาให้ใช้งานภายใน P30 Pro นี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นระบบบริหารจัดการพลังงาน ที่ทำให้ P30 Pro สามารถใช้งานบนแบตเตอรีขนาด 4,200 mAh ได้สบายๆ

พร้อมด้วยเทคโนโลยีชาร์จเร็ว Huawei Super Charge ที่รองรับไฟแรง 40W ทำให้สามารถชาร์จได้ 70% ในเวลา 30 นาที รวมกับรองรับการชาร์จไร้สาย และฟีเจอร์อย่าง Reverse Charge ที่จะแชร์แบตเตอรีแบบไร้สายให้อุปกรณ์อื่นด้วย

ส่วนการปลดล็อกด้วยการสแกนลายนิ้วมือก็ทำได้รวดเร็ว แถมตัวเครื่อง P30 Pro ยังมากับการป้องกันน้ำกันฝุ่นระดับ IP68 ที่น้ำลึก 1.5 เมตร ไม่เกิน 30 นาที ทำให้ในการใช้งาน เมื่ออกไปถ่ายภาพก็ไม่ต้องกังวลเมื่อฝนตก

ในส่วนของประสิทธิภาพตัวเครื่อง เนื่องจาก P30 Pro นำชิปเซ็ตอย่าง Kirin 980 มาใช้งาน ซึ่งถือเป็นหน่วยประมวลผลบนสถาปัตยกรรมแบบ 7 นาโนเมตรรุ่นแรกๆของโลกอยู่แล้ว เมื่อนำมาใช้งานคู่กับเครื่อง RAM 8 GB ROM 256 GB จึงถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่อยู่ในกลุ่มประสิทธิภาพสูงในทันที

แต่ถ้ามองในแง่ของการเป็นเครื่องไฮเอนด์แล้ว P30 Pro ก็ยังมีจุดที่น่าเสียดายอยู่เมื่อเทียบกับ Mate20 Pro อย่างเรื่องจอแสดงที่ Mate20 Pro ให้ความละเอียดจอเป็น 2K รวมถึงกล้องหน้าที่รองรับการสแกนใบหน้าแบบ 3D ที่หายไปในรุ่นนี้

ดีไซน์ ยังคงสำคัญ

ดีไซน์ตัวเครื่องของ P30 Pro ถูกพัฒนามาเรื่อยๆ จากรุ่นเดิมที่เป็นจอแบน พอมาในรุ่นนี้ก็พัฒนามาเป็นจอโค้ง เช่นเดียวกับใน Mate20 Pro ที่ทำเป็นรุ่นจอโค้งมาก่อนแล้ว พร้อมกับปรับลดรอยบากบนหน้าจอออกไป เหลืองเพียงกล้องหน้าอยู่ตรงกึ่งกลางจอด้านบนเท่านั้น เพื่อให้ได้หน้าจอแสดงผลที่เต็มพื้นที่มากที่สุด

ด้านหลังเครื่องก็มีการไล่เฉดสีตามสมัยนิยม โดยเฉพาะสีอย่าง Breathing Crystal ที่จะไล่เฉดสีตามแต่ละมุมมอง ทำให้ตัวเครื่องมีความหรูหรามากยิ่งขึ้น ประกอบกับการออกแบบให้เป็นขอบหลังโค้งด้วยเช่นกัน ทำให้เวลาจับถือถนัดมือมากยิ่งขึ้น

ขนาดของ P30 Pro จะอยู่ที่ 73.4 x 158. X 8.41 มิลลิเมตร น้ำหนัก 192 กรัม โดยส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่ของหน้าจอ 6.47 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ (2340 x 1080 พิกเซล) แน่นอนว่าเมื่อหันมาใช้จอโค้งทำจะเสียพื้นที่บริเวณขอบเครื่องไปบางส่วน ซึ่งในจุดนี้ถ้าเป็นผู้ที่ไม่ค่อยชินกับจอโค้งเวลาใช้งานช่วงแรกๆ จะต้องมีอาการสัมผัสบริเวณขอบไม่ค่อยติดอยู่บ่อยๆ

ส่วนรอบๆตัวเครื่องของ P30 Pro ทางด้านซ้ายจะถูกปล่อยว่างไว้ ส่วนทางด้านขวา เป็นปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิดปิดเครื่อง ขณะที่ด้านบนจะมีไมโครโฟนตัดเสียง และพอร์ตอินฟาเรตที่เอาไว้ใช้ควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ

ด้านล่างจะนอกจากเป็นที่อยู่ของพอร์ต USB-C ที่ใช้เป็นทั้งช่องชาร์จแบตเตอรี เชื่อมต่อหูฟัง และอุปกรณ์เชื่อมต่อต่างๆ พร้อมกับรูไมโครโฟน ก็จะมีช่องใส่นาโนซิมการ์ด ที่รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิม หรือ 1 ซิม คู่กับการ์ดนาโนเมมโมรี่ (NM Card) ของหัวเว่ยโดยเฉพาะ

ส่วนลำโพงสนทนา P30 Pro จะใช้เทคโนโลยีใหม่ Acoustic Display ที่ใช้การกระจายตัวของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จากการสั่นสะเทือนในจอภาพ ทำให้เสียงสามารถแนบหน้าจอเข้ากับหูเพื่อใช้งานได้เลย ส่วนเสียงลำโพงของเครื่องรุ่นนี้ที่เป็นแบบโมโน ก็จะไม่ดังออกมาจนกังวาล แต่อยู่ในระดับที่เพียงพอกับการใช้งาน

อุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องของ P30 Pro นอกจากตัวเครื่องก็จะมี อะเดปเตอร์ที่รองรับการชาร์จเร็ว 40w สายชาร์จ USB-C หูฟัง USB-C เคสใส คู่มือ เข็มจิ้มถาดซิมมาให้

Gallery

ทดสอบประสิทธิภาพ

สำหรับการทดสอบประสิทธิภาพของ Huawei P30 Pro ในส่วนของการประมวลผลถือว่าอยู่ในระดับบนๆ อยู่แล้ว แต่ในเรื่องของแบตเตอรี กลับเด่นชัดขึ้นมา โดยสามารถทำเวลาใช้งานต่อเนื่องได้ถึง 16 ชั่วโมง

สรุป

จากประสิทธิภาพของกล้องในหลายๆจุด Huawei P30 Pro ได้พิสูจน์ถึงความเป็นสมาร์ทโฟนที่กล้องถ่ายภาพนิ่งได้ดีที่สุดในตลาดเวลานี้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ก็ยังมีส่วนที่ต้องพัฒนาในการถ่ายวิดีโอให้ดีขึ้น เทียบกับคู่แข่งรายอื่นๆในท้องตลาด

นอกจากนี้ ด้วยการทำราคากับโอเปอเรเตอร์ และโปรโมชันในช่วงเปิดจองทำให้ P30 Pro กลายเป็นสมาร์ทโฟนที่ระดับราคาน่าสนใจ เพราะถ้าเป็นผู้ที่ใช้แพกเกจมือถือรายเดือนแพงๆอยู่แล้ว ก็สามารถซื้อเครื่องได้ในราคาเริ่มต้นที่ 9,990 บาท จากราคาปกติที่ 31,990 บาท ซึ่งถือว่าลดเยอะมาก

]]>
Review : Huawei Y7 Pro 2019 ใหญ่อึดใหม่แต่ราคาเดิม https://cyberbiz.mgronline.com/review-huawei-y7-pro-2019/ Wed, 20 Feb 2019 05:56:42 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=30181 Huawei Y7 Pro 2019 คือภาคต่อจาก Y7 Pro 2018 ซึ่งเรียกเสียงฮือฮาในกลุ่มสมาร์ทโฟนราคาต่ำกว่า 5,000 บาทมาก่อนหน้านี้ สำหรับปีนี้ Y7 Pro 2019 กลายเป็นรุ่นใหม่ที่ถอดสเปกมาแบบไม่เกรงใจใคร โดยเพิ่มความใหม่ที่แบตเตอรี่อึดกว่าเดิม กล้องหน้าละเอียดขึ้น ระบบกล้อง AI หน้าจอที่ขยายขึ้นเล็กน้อย และชิปที่แรงขึ้นนิดเดียว ทั้งหมดนี้จำหน่ายในราคาเดิมแบบไม่ต้องคิดมาก

ข้อดี

– คุณสมบัติเครื่องดีขึ้น แต่จำหน่ายในราคาเท่ารุ่นเก่า
– ระบบลื่นไหลแม้เครื่องทำงานหนักและเปิดหลายแอปพร้อมกัน
– แบตเตอรี่อึดทนนาน เหลือ 10% ยังใช้ได้ 3 ชั่วโมง

ข้อสังเกต

– ไม่มีเซ็นเซอร์อ่านลายนิ้วมือ
– ไม่เหมาะกับการภาพถ่ายแสงน้อย
– หากไม่ได้ชาร์จกับ adapter ที่ให้มา จะชาร์จได้ช้ามาก

ต่างกันนิดเดียว?

สิ่งที่ Huawei ทำกับ Y7 Pro 2019 นั้นต้องบอกว่าถอดแบบมาจาก Y7 รุ่นปี 2018 ชนิด copy แล้ว paste เพราะจุดขายใหม่อย่างกล้องหลังคู่ AI ที่เพิ่มมาให้ในรุ่นปี 2019 ก็ยังมีขนาด 13 ล้านพิกเซลและ 2 ล้านพิกเซลเท่ากับรุ่น 2018 (ภาพด้านล่าง) เพียงแต่จัดเรียงในแนวตั้ง แทนที่จะเป็นแนวนอนแบบเดิม

Y7 Pro 2019 มีขนาดยาว ใหญ่ และหนักกว่ารุ่น 2018 ขนาดตัวเครื่อง 158.9 x 76.9 x 8.1 มม. หนัก 168 กรัม (จากเดิม 158.3 x 76.7 x 7.8 มม. หนัก 155 กรัม) ความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนี้จะเห็นได้ชัดเมื่อนำ 2 เครื่องมาวางทาบกันเท่านั้น

ขนาดที่ใหญ่ขึ้นเป็นเพราะหน้าจอของ Y7 Pro 2019 ถูกเปลี่ยนเป็นดีไซน์ไร้ขอบแบบหยดน้ำขนาด 6.26 นิ้ว (15.21 ซม.) ถือเป็นขนาดที่ใหญ่กว่า 5.99 นิ้วของรุ่น 2018 (15.9 ซม.) เพียงเล็กน้อย รูปแบบหน้าจอคือ IPS LCD ที่มีความหนาแน่นพิกเซล 269 ppi เท่าเดิม บนสัดส่วนที่ต่างกันเพราะรุ่นใหม่มีสัดส่วน 19.5:9 ยาวกว่ารุ่น 2018 ที่มีสัดส่วน 18:9

จาก Y7 รุ่นปี 2018 ที่ Huawei ออกแบบให้ด้านบนเครื่องไร้ร่องรอยใด ปีนี้ Huawei ดึงพอร์ตหูฟังขนาด 3.5 มม. ไปติดไว้ที่ด้านบนของเครื่อง ด้านล่างของตัวเครื่องมีช่อง micro usb ที่คั่นกลางระหว่างไมค์สนทนาและลำโพง

Y7 Pro 2019 ออกแบบให้ปุ่มปรับระดับเสียงและปุ่ม power อยู่ฝั่งขวาของเครื่อง ฝั่งซ้ายเป็นที่อยู่ของถาดใส่ซิมแบบ 3 สล็อตยอดฮิต

สิ่งที่ Huawei ทิ้งไปคือระบบเซ็นเซอร์อ่านลายนิ้วมือ ทำให้ด้านหลังเครื่องของ Y7 Pro 2019 ราบเรียบไร้รอย จุดนี้ Huawei หยิบมาเฉพาะระบบปลดล็อกด้วยใบหน้า (Face Unlock) ซึ่งได้รับความนิยมมากกว่าในผู้ใช้บางกลุ่ม

สำหรับหน้าจอไร้ขอบแบบหยดน้ำ Huawei เปิดช่องให้ลบรอยหยดน้ำออกได้เช่นเคย

ทำงานไหลลื่น

ชิปประมวลผลของ Y7 Pro 2019 คือ Qualcomm Snapdragon 450 แต่ของรุ่น 2018 เป็น Snapdragon 430 ที่ด้อยกว่าเล็กน้อยเท่านั้น ระบบปฏิบัติการยังเป็น Android 8.1 OREO (EMUI 8.2) เช่นเดิม

แบตเตอรี่ Y7 รุ่น 2019 ถูกจัดเต็มความจุมากถึง 4,000 mAh ใช้งานได้ยาวนานมากยิ่งขึ้น จุดนี้ต้องชื่นชมเพราะเมื่อทำงานคู่กับ RAM 3GB เครื่องสามารถทำงานได้ลื่นไหลบนหน่วยความจำภายในเครื่อง 32GB (รองรับเมมโมรี่การ์ดสูงสุด 512GB) ซึ่งทั้งหมดเท่ากันกับรุ่น 2018

สำหรับคอเกม Y7 รุ่น 2019 จะไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะใช้ชิปการ์ดจอ Adreno 506 พัฒนาเล็กน้อยจากเดิม Adreno 505 ส่งให้เล่นเกมส์ได้ดีไม่น่าเกลียด

ผลการทดสอบของ Y7 รุ่น 2019 ถือว่ายังด้อยกว่ารุ่นกลางล่าง สำหรับส่วนของแบตเตอรี่ พบว่าแบตเตอรี่ที่ให้มามากถึง 4,000 mAh (จากเดิม 3,000 mAh) สามารถใช้งานได้ยาวนานเกิน 2 วัน แต่การไม่รองรับระบบชาร์จไว ทำให้การชาร์จจาก 10% เป็น 100% ใช้เวลาเกิน 2 ชั่วโมง

กล้องคู่ AI

การเพิ่มกล้อง AI ให้ Y7 Pro 2019 ทำให้ผู้ใช้เข้าถึงลูกเล่นสำหรับการถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ แต่น่าเสียดายที่ Master AI สามารถช่วยให้ถ่ายภาพได้สวยเฉพาะในช่วงแสงจ้าเท่านั้น เพราะในภาวะแสงน้อย Y7 Pro 2019 ถือว่าสอบไม่ผ่าน


Y7 Pro 2019 คือกล้องที่เหมาะกับคนรักการ Selfie เพราะกล้องหน้ามีการเพิ่มความละเอียดให้เป็น 16 ล้านพิกเซล จากรุ่นปี 2018 ทื่มีกล้องหน้า 8 ล้านพิกเซลเท่านั้น มีโหมด HDR มาให้พร้อมไฟแฟลชกล้องหน้า

ข้อมูลระบุว่า AI Camera พร้อมไฟแฟลช LED ของ Y7 ปี 2019 มีฐานข้อมูลการวิเคราะห์ภาพ AI Scene Recognition กว่า 500 ซีน 22 ประเภท การทดสอบพบว่าระบบจำแนกได้รวดเร็ว แต่ก็มีส่วนที่ผิดพลาดบ้าง นอกจาก AI โหมดการถ่ายรูปหลากหลายยังมีมาให้ครบใน Y7 2019 เช่นเดียวกับโหมดมืออาชีพสำหรับคนชอบตั้งค่า



สรุป

ตัวเครื่องและจอแสดงผลสวยงามทำให้ราคาจำหน่ายที่วางไว้ 4,990 บาทถูกมองว่าดีงามมาก โดยเฉพาะการถ่ายรูปที่ง่ายและรวดเพราะพลังของ AI Scene ยังมีแบตเตอรี่ 4000 mAh ที่ทำให้หมดห่วงไม่ต้องชาร์จทุกวัน (ระบบยังคงจะเตือนว่าแบตเตอรี่ต่ำเมื่อเหลือ 20% และตัดคุณสมบัติบางส่วนออกเพื่อประหยัดแบตเตอรี่แม้จะแสดงผลว่ายังสามารถใช้งานต่อได้กว่า 6 ชั่วโมง)

นอกจากนี้ Y7 Pro 2019 ยังสามารถตอบโจทย์คอเกมได้ระดับหนึ่ง ถือเป็นอีกสมาร์ทโฟนราคาไม่ถึง 5 พันบาทที่น่าสนใจมากทีเดียว.

]]>
Review : Huawei Nova 3 ไม่ได้มีดีแค่กล้อง 4 ตัว!! https://cyberbiz.mgronline.com/review-huawei-nova-3/ Fri, 21 Sep 2018 08:54:05 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=29255 ใครกำลังมองหาสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นเด่นแต่ราคาไม่แรงเกินไป Huawei Nova 3 อาจเป็นคำตอบที่ยอดเยี่ยมเพราะ Nova 3 จัดเต็มหน่วยประมวลผลรวดเร็ว พื้นที่เก็บข้อมูลกว้างขวาง และระบบการจัดการเครื่องที่ครบถ้วน ยังมีระบบกล้องถ่ายภาพ 4 เลนส์ที่แบ่งเป็น 2 ตัวด้านหน้าและ 2 ตัวด้านหลังอย่างเท่าเทียม เรียกว่าไม่ได้มีดีเฉพาะที่จุดขายอย่างกล้อง 4 ตัวเท่านั้น ยังมีอีกหลายจุดเด่นที่ถูกห่อไว้ด้วยดีไซน์สีสดใสแวววาวมีสไตล์

ข้อดี

– สมรรถนะจัดเต็ม ชิปแรง RAM เยอะ
– ระบบกล้องถ่ายรูปไม่อายใคร มีระบบ AI ดันสีให้สดใสถ่ายง่าย
– EMUI ปรับใหม่ใช้ง่าย มีหลายฟีเจอร์ช่วยบริหารเครื่องตั้งค่ารวดเร็ว

ข้อสังเกต

– คุณภาพหน้าจออยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ไม่โดดเด่น

– ตัวกล้องยังแพ้สมาร์ทโฟนระดับเรือธง

– ระบบชาร์จไฟด่วน ไม่ด่วนเท่าที่ควร

*** กระจกคู่กรอบโลหะ

Nova 3 ใช้กระจกคู่กับกรอบโลหะทำให้โทรศัพท์มีรูปลักษณ์ทันสมัย หน้าจอขนาดใหญ่ในตัวเครื่องบาง 7.3 มม. มาพร้อมรอยบากด้านบนหน้าจอที่ซ่อนไว้ได้ ซึ่งแม้จะเป็นโทรศัพท์ขนาดจอใหญ่แต่สามารถจัดการได้ด้วยมือเดียว น้ำหนัก 166 กรัมถือว่าไม่หนักไม่เบาสำหรับโทรศัพท์ในขนาดกลุ่มนี้

Huawei Nova 3 รุ่นที่เราได้มาทดสอบเป็นรุ่นสีม่วง 2 โทนสีสไตล์เดียวกับสีเด่นของ P20 Pro อย่างสี Twilight แสดงว่า Huawei จัดเต็มดีไซน์เรือธงที่เตรียมไว้สำหรับปี 2018 มาให้ใน Nova 3 แบบไม่หวง โดยเฉพาะโปรเซสเซอร์และหน่วยความจำสำรองที่เทียบกับเรือธงได้สบาย นอกจากนี้ยังมีหน้าจอ LCD ขนาดใหญ่ 6.3 นิ้ว ความละเอียด FHD ที่ 1080×2340

ดีไซน์กระจก 3D ไล่เฉดสีของ Nova 3 มีรอยนิ้วมือเกิดขึ้นง่ายมาก แต่ก็อาจไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับใครหลายคน Nova 3 มาพร้อมระบบสแกนลายนิ้วมือด้านหลังกึ่งกลางเครื่องเช่นเดียวกับโทรศัพท์ Huawei รุ่นอื่น ระบบสแกนลายนิ้วมือทำงานได้รวดเร็วและแม่นยำมากในระดับน่าพอใจ

Huawei Nova 3 ยังคงมีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. แสดงว่าเป็นโทรศัพท์ที่มุ่งเป้าหมายไปที่กลุ่มผู้ใช้ทั่วไป มีช่องเสียบ USB Type-C ที่ด้านล่าง โทรศัพท์รองรับเทคโนโลยีชาร์จไวทันใจ ตัว EMUI ออกแบบใหม่เพื่อให้ดูทันสมัยขึ้น มีโปรแกรมจิ๋วหรือวิดเจ็ตใหม่ที่บอกสภาพอากาศและการแจ้งเตือนใหม่ที่ใช้ไอคอนเพื่อการสลับไปมาอย่างรวดเร็ว ทำให้โทรศัพท์ดูสะอาดตามากขึ้น

***กล้อง 4 ตัว – หน้า 2 หลัง 2

หนึ่งในไฮไลท์ของ Huawei Nova 3 คือกล้องคู่ที่มีอยู่ด้านหน้าและหลัง กล้องคู่ด้านหน้าเป็นเซ็นเซอร์ขนาด 24MP ที่มีรูรับแสง f / 2.0 ใช้ร่วมกับเซ็นเซอร์สีกว้าง 2MP ที่จับข้อมูลความลึกของภาพเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ bokeh ที่ชัดเจน กล้องทั้ง 2 ตัวใช้ AI ซึ่ง Huawei ระบุว่าสามารถเข้าใจสภาพแวดล้อมรอบด้านเพื่อสร้างภาพที่น่าตื่นตา

ด้านหลังของ Huawei Nova 3 มีกล้องคู่ 24MP + 16MP สำหรับ AI ที่กล้องหลัง ระบบสามารถแยกสภาพแวดล้อมได้กว่า 200 แบบใน 8 ประเภทไม่ซ้ำกัน ได้แก่ ท้องฟ้าสีฟ้า ชายหาด พืช กลางคืน ดอกไม้ และหิมะ

โดยรวมแล้ว Huawei Nova 3 ทำให้เรารู้สึกประทับใจกับกล้องทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เพราะเมื่อใช้ Huawei Nova 3 ถ่ายภาพในเวลากลางวัน การทำ bokeh เกิดขึ้นได้ง่ายดายและมีการจัดการเพื่อเบลอพื้นหลังโดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดเลย

นอกจากนี้ ชาว Huawei Nova 3 สามารถเปิดปิด AI ได้ง่าย ระบบสามารถระบุว่าเป็นภาพถ่ายพืช ท้องฟ้า และรถได้อย่างถูกต้อง และสามารถปรับแสงให้สดได้ในไม่กี่อึดใจ (ภาพด้านล่างเปรียบเทียบระหว่างเปิดและปิด AI)

การทำงานของกล้องในช่วงที่แสงน้อยทำได้ดี Huawei Nova 3 ไม่เสียชื่อที่มี AI เป็นจุดขาย เพราะสามารถดึงสีขึ้นมาได้ชัดเมื่อเทียบกับภาพถ่ายที่ปิดโหมด, ใช้แฟลช และไม่ใช้แฟลช

กล้องหลังคู่ 16MP + 24MP ของ Nova 3 ทำให้โหมดถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอชัดเจน ขณะเดียวกัน Nova 3 ก็ไม่ลืมจัดโหมดให้ผู้ใช้สามารถตั้งค่ารูรับแสงได้ตามใจต้องการ รวมถึงโหมด HDR อัตโนมัติ ที่เป็นสุดยอดตัวช่วยผู้ทำงานได้ดีในทุกสภาวะ บนการซูมที่ทำได้ดี

ลูกเล่นใน Huawei Nova 3 ถือว่ามาครบ เพราะมี 3D Portrait Lighting ให้เลือกปรับแต่งแสงแบบสตูดิโอได้ 5 ระดับในโหมดถ่ายภาพบุคคล มีโหมด AR Fun, AR Effect ที่รองรับการวิเคราะห์ท่าทาง ทำให้เพียงชี้นิ้วขึ้นฟ้าก็มีภาพสายฟ้าฟาด หรือการไขว้นิ้วชและโป้งก็มีภาพมินิฮาร์ทแสดงขึ้น ยังมี 3D Qmoji ตัวการ์ตูนแสดงอารมณ์ที่เชื่อว่าจะเพิ่มความสนุกให้กับการถ่ายภาพมากยิ่งขึ้น

Nova 3 โดดเด่นมากเรื่องการตั้งค่ากล้องที่ครบและง่าย โดยเฉพาะกล้องหน้าเพื่อการถ่ายภาพตัวเองด้วยเซ็นเซอร์ 24 MP + 2 MP เมื่อเทียบภาพที่เปิดและปิดโหมดความงาม พบว่าแตกต่างกันชัดเจน

*** สุดยอดชิป

Huawei Nova 3 ยังมีจุดเด่นเรื่องการใช้หน่วยประมวลผล 8 คอร์ระดับท็อปของตลาด Hisilicon Kirin 970 ทำให้สามารถเบลอเส้นกั้นระหว่างสมาร์ทโฟนไฮเอนด์ได้มากกว่ารุ่นอื่น ยังมี RAM 6GB และพื้นที่เก็บข้อมูล 128GB ซึ่งโดยทั่วไปจะมีไว้สำหรับรุ่นเรือธง ผลคือ Nova 3 สามารถทำงานได้เร็วลื่นไหล

นอกจากนี้ Nova 3 ยังใช้ GPU Turbo ช่วยให้การเล่นเกมบนสมาร์ทโฟนทำได้ไม่สะดุด กราฟฟิกเต็มตา ยังมีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ใช้งานได้ตลอดวัน

การทดสอบบน AuTuTu Benchmark v7.1.0 พบว่า Nova 3 เครื่องที่ทีมงานได้รับมาทดสอบนั้นทำคะแนน 207355 โดย Nova 3 รองรับเกมแรงอย่าง PUBG mobile หรือ ROV ได้ดี

จากการทดสอบ แบตเตอรี่ที่ Huawei เคลมว่ามีคุณสมบัติ SuperCharge นั้นใช้เวลาราว 2 ชั่วโมงจึงจะชาร์จเต็มจากเกือบ 0% เป็น 100% โดย Nova 3 ที่เราได้ทดสอบจะชาร์จได้ 25% ในครึ่งชั่วโมงแรก และเพิ่มเป็น 55% เมื่อครบชั่วโมงแรก และหลังการใช้งานตลอดวัน เครื่องจะมีแบตเตอรี่เหลือ 30-40% ทำให้ยังใช้งานต่อได้มากกว่า 5 ชั่วโมง

*** สรุป

วันนี้โทรศัพท์มือถือในท้องตลาดกำลังแข่งกันให้มีคุณสมบัติดีขึ้นบนราคาที่ประหยัดกว่า สมาร์ทโฟนหลายรุ่นเป็นตัวอย่างได้ดีในวันที่การแข่งขันรุนแรงขึ้นทุกภูมิภาคทั่วโลก Nova 3 ก็เช่นกัน ราคาที่ Huawei ตั้งไว้สำหรับสมาร์ทโฟน RAM 6GB อย่าง Nova 3 คือ 16,990 บาท ถือเป็นราคาที่สูงในกลุ่มสมาร์ทโฟนระดับกลาง

สเปกระดับไฮเอนด์ทำให้หลายคนสรุปว่า Nova 3 เป็นโทรศัพท์ที่ดีกว่าโทรศัพท์พื้นฐานในตระกูล Huawei แถม Huawei P20 Pro อย่างเรือธงยังมาพร้อมกล้องถ่ายรูป 3 เลนส์ ซึ่ง Huawei Nova 3 จัดมาให้ 4 ตัวแซงหน้าไปแล้ว ดังนั้น Nova 3 ถือว่ามีคุณสมบัติหลากหลายและสมดุล คาดว่าจะเป็นอีกรุ่นที่โดนใจคนไทย และเป็นอีกแรงที่ส่งให้ Huawei ขยายฐานตลาดได้สำเร็จเพราะความคุ้มค่า

แต่หากใครยังไม่รีบ การอดทนรอดูรุ่นอื่นที่จะดาหน้าบุกตลาดไทยช่วงปลายปีนี้ก็ถือว่าน่าสนใจ เพราะจะมีตัวเลือกไว้เปรียบเทียบอีกมากในรุ่นที่เป็น RAM 6GB และอาจจะทำให้ได้รุ่นที่มีหน้าจอละเอียดเหนือชั้นกว่า

สรุปคุณสมบัติเด่น Nova 3:

หน่วยประมวลผล Hisilicon Kirin 970 Octa Core
หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) Mali-G72 MP12 รองรับ GPU Turbo
หน้าจอขนาด 6.3 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ 2340 x 1080 พิกเซล
ระบบปฎิบัติการ Android 8.1 Oreo พร้อม EMUI 8.2
หน่วยความจำในตัว ROM 128GB พร้อมรองรับ MicroSD Card สูงสุด 256 GB
รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด, USB Type-C
รองรับเครือข่าย 2G/3G/4G
RAM 6GB
กล้องหลังคู่ความละเอียด 16MP + 24MP
กล้องหน้าคู่ความละเอียด 24MP + 2MP
รองรับระบบสแกนลายนิ้วมือ Fingerprint Scan
มีฟีเจอร์สแกนใบหน้าปลดล็อคเครื่อง
แบตเตอรี่ 3750 mAh รองรับระบบชาร์จเร็วของ Huawei
ราคา 16,990 บาท.

]]>