iPad Pro – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Mon, 28 Jun 2021 06:14:49 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : Apple iPad Pro 12.9” M1 เร็วแรง จอสวย ครบเครื่อง https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-ipad-pro-m1/ Mon, 28 Jun 2021 06:14:44 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35440

การนำชิปเซ็ต Apple M1 มาใช้งานบน iPad Pro ทั้ง 11” และ 12.9” ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการเปิดตัว iPad Pro รุ่นของปี 2021 ที่อัปเกรดในเรื่องประสิทธิภาพการประมวลผลภายในชิปเซ็ต ช่วยให้ตัวเครื่องทำงานได้อย่างลื่นไหล

Apple iPad 12.9” ยังมากับหน้าจอแบบใหม่ Liquid Retina XDR ที่รองรับช่วงสีที่กว้างขึ้น และกลายเป็น iPad รุ่นที่จอสวยสุดในเวลานี้ โดยยังคงความสามารถของทั้ง ProMotion True Tone P3 Colour และลดแสงสะท้อนจากหน้าจอด้วย

ทำให้ iPad Pro 12.9” เป็นแท็บเล็ตที่แรง จอสวย รองรับการใช้งานที่หลากหลายทั้ง ใช้งานคู่กับ Apple Pencil 2nd Gen เพื่อสร้างสรรค์ผลงานวาดเขียน จดบันทึก หรือใช้งานควบคู่กับ Magic Keyboard ทำให้มี Productivity ในการทำงานได้มากขึ้น ร่วมกับ iPadOS

ข้อดี

  • iPad ประสิทธิภาพสูง รองรับการใช้งานหลากหลาย
  • จอ Liquid Retina XDR 12.9”
  • ตัวเครื่องรองรับ 5G
  • มีพื้นที่เก็บข้อมูลให้เลือกสูงถึง 2TB

ข้อสังเกต

  • ราคาค่อนข้างสูง
  • ถ้าต้องการใช้งานให้ครบทุกความสามารถต้องซื้ออุปกรณ์เสริมอย่าง Pencil และ Keyboard เพิ่ม
  • Magic Keyboard สีขาวเปื้อนง่ายมาก

Apple M1 เพิ่มประสิทธิภาพ iPad Pro

การเปลี่ยนชิปเซ็ตประมวลผลจาก Apple A12Z Bionic มาใช้งาน Apple M1 ที่มีการผสมผสานทั้งหน่วยประมวลผล กราฟิก ชิปประมวลผลทางด้าน AI อย่าง Apple Neural Engine เข้าไป ทำให้ iPad Pro รองรับการใช้งานได้ครบถ้วนมากขึ้น

ตั้งแต่การใช้งานเพื่อความบันเทิงแบบจัดเต็ม หรือการประมวลผลหนักๆ อย่างการอ่านข้อมูลขนาดใหญ่ ปรับแต่งภาพความละเอียดสูง จนถึงการตัดต่อวิดีโอระดับ 4K ได้อย่างลื่นไหล ทำให้กลายเป็นอุปกรณ์พกพาที่ทรงพลัง

ข้อมูลจากแอปเปิลระบุว่า Appe M1 ที่เป็น CPU 8 Core GPU 8 Core และ Apple Neural Engine 16 Core แรงกว่าซีพียูรุ่นก่อนหน้าถึง 50% และการประมวลผลภาพเร็วขึ้นถึง 40% ส่งผลให้ iPad Pro แรงกว่าโน้ตบุ๊กเกือบทุกรุ่นในตลาดตอนนี้

โดยการประมวลผลที่เร็วขึ้นของ Apple M1 ช่วยให้ผู้ที่ใช้งานทางครีเอทีฟทำงานบน iPad ด้วยระยะเวลาที่น้อยลง ทั้งการใช้งาน Adobe Photoshop Affinity Photo หรือตัดต่อวิดีโอด้วย LumaFusion

ขณะเดียวกัน ถ้าเป็นนักพัฒนาที่กำลังศึกษาเกี่ยวกับ AR VR การที่ M1 มี Neural Engine จะช่วยให้การประมวลผลทางด้านแมชชีนเลิร์นนิ่งต่างๆ ทำได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อรวมกับกล้องที่รองรับ LiDAR ทำให้ iPad Pro รองรับการใช้งาน XR ได้เป็นอย่างดี

จอสวยงาม คมชัด

อีกจุดเด่นที่ปรับปรุงขึ้นของ iPad Pro 12.9 นิ้ว คือหน้าจอที่เลือกใช้แหล่งกำเนิดแสงแบบ mini-LED มาใช้งาน ใน Liquid Retina XDR ความละเอียด 2732 x 2048 พิกเซลนี้ ช่วยให้การแสดงผลของ iPad Pro มี Extreme Dynamic Range ที่สูงขึ้น และยังรองรับ ProMotion ที่ปรับอัตราการแสดงผลระหว่าง 24Hz – 120Hz แบบอัตโนมัติ

นอกจากนี้ เพื่อให้รองรับการใช้งานในสถานที่ต่างๆ รวมถึงในที่แสงจัด ทำให้ iPad Pro 12.9 เพิ่มความสว่างหน้าจอขึ้นมาอยู่ที่ 1000 nits และเร่งได้สูงสุดถึง 1600 nits ซึ่งรองรับการแสดงผลแบบ HDR ทำให้ภาพนิ่ง และวิดีโอที่ได้ชัดเจน และสวยงาม

การเลือกใช้ mini-LCD ยังช่วยให้ทำ Contrast Ratio ได้สูงถึง 1,000,000 : 1 จากจุดกำแนิดแสงที่ละเอียดขึ้นถึง 2596 จุด โดยเมื่อใช้งานกับคอนเทนต์ที่รองรับ Dolby Vision HDR10+ จะสามารถรีดประสิทธิภาพของจอ Liquid Retina XDR ออกมาได้

อย่างไรก็ตาม iPad Pro รุ่นหน้าจอ 11 นิ้ว จะยังใช้จอ Liquid Retina เช่นเดิม ไม่ได้ถูกอัปเกรดมาเป็น Liquid Retina XDR ดังนั้น ถ้าใครใช้งาน iPad Pro 11” อยู่แล้วอยากเปลี่ยนมาใช้รุ่นปี 2021 ก็อาจจะไม่จำเป็นนัก แต่ถ้าข้ามมารุ่นจอใหญ่ 12.9” ก็จะมีความแตกต่างมากขึ้น

มาพร้อม 5G – Thunderbolt 3 – USB 4

การเชื่อมต่อที่ครบจากรุ่น Cellular ที่รองรับทั้ง WiFi 6 และ 5G ทำให้ iPad Pro มีความสมบูรณ์ในการใช้งานมากขึ้น เพราะสามารถรับส่งไฟล์ความละเอียดสูงได้อย่างรวดเร็ว แม้ทำงานอยู่นอกสถานที่ ช่วยปลดล็อกข้อจำกัดหลายๆ อย่างที่ 4G ทำไม่ได้ โดยเฉพาะเวลาที่ต้องดาวน์โหลดไฟล์งานขนาดใหญ่มาใช้

ส่วนผู้ที่มีอุปกรณ์เสริม USB-C อยู่แล้ว ก็สามารถเชื่อมต่อเพื่อโอนถ่ายข้อมูลที่ความเร็วสูงขึ้นถึง 40 Gbps เมื่อใช้งานร่วมกับ Thunderbolt 3 และ USB 4 นอกจากนี้ ยังสามารถใช้เชื่อมต่อกับจอความละเอียดสูงระดับ pro Display XDR ที่ความละเอียด 6K ได้ด้วย

หรือในกรณีที่ต้องการเชื่อมต่อ 10 Gigabit พอร์ต Thunderbolt ที่ให้มาก็รองรับ จึงทำให้ iPad Pro รุ่นปี 2021 มีการเชื่อมต่อที่ครบถ้วนมาก และพื้นที่เก็บข้อมูลภายในยังมีให้เลือกสูงสุดถึง 2TB ด้วย

ดีไซน์เดิมที่คุ้นเคย

ในแง่ของดีไซน์ตัวเครื่อง iPad Pro 12.9 นั้นมีความเปลี่ยนแปลงน้อยมากๆ คือตัวเครื่องหนาขึ้นเล็กน้อย เป็น 280.6 x 214.9 x 6.4 มิลลิเมตร จากรุ่นก่อนหน้าที่ 5.9 มิลลิเมตร ซึ่งความหนา 6.4 มิลลิเมตร ก็ยังถือว่าเป็นแท็บเล็ตที่บางมากๆ อยู่ดี

บริเวณขอบหน้าจอด้านบน (แนวตั้ง) หรือด้านซ้าย (แนวนอน) จะเป็นที่อยู่ของกล้อง TrueDepth 12 ล้านพิกเซล f/2.4 ที่รองรับการปลดล็อกด้วย FaceID สามารถบันทึกวิดีโอที่ความละเอียด 1080p 60fps

รอบตัวเครื่องทางด้านบน (แนวนอน) จะมีปุ่มปรับระดับเสียง แถบแม่เหล็กไว้เชื่อมต่อกับ Apple Pencil 2nd Gen และช่องใส่ซิมการ์ดแบบนาโนซิม ทางขวา จะมีพอร์ต USB-C ทางซ้ายมีปุ่มเปิดเครื่อง

ที่เพิ่มขึ้นมาคือลำโพง 4 จุด ช่วยให้คุณภาพเสียงสเตอริโอของ iPad Pro พัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เช่นเดียวกับไมโครโฟนรับเสียงที่เพิ่มขึ้นเป็น 5 จุด ทำให้ได้เสียงในระดับสตูดิโอเวลาใช้งาน FaceTime หรือ VDO Call

โดยความน่าสนใจของ iPad Pro รุ่นปี 2021 นี้ คือการพัฒนากล้อง TrueDepth ให้มีความสามารถอย่าง Center Stage เพื่อรับกับพฤติกรรมการใช้งานวิดีโอคอลล์ที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19

Center Stage จะนำ AI มาช่วยในการจับภาพ และทำให้ใบหน้าอยู่บริเวณกึ่งกลางของกล้องตลอดเวลา ช่วยให้เวลาใช้งานสามารถขยับ เคลื่อนไหวไปรอบๆ ได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะหลุดออกจากเฟรมเกินไป

ส่วนกล้องหลังยังมาพร้อมกับกล้องเลนส์หลัก 12 ล้านพิกเซล และเลนส์มุมกว้าง 10 ล้านพิกเซล พร้อม LiDAR Scanner ในการตรวจจับวัตถุ และระยะต่างๆ เช่นเดิม ซึ่งช่วยให้สามารถจับโฟกัสในที่แสงน้อยได้ด้วย

ราคาจำหน่าย

Apple iPad Pro 12.9 ที่มาพร้อมชิป Apple M1 วางจำหน่ายในรุ่น RAM 8 GB พื้นที่เก็บข้อมูลให้เลือกตั้งแต่ 128 GB 256 GB และ 512 GB ส่วนพื้นที่เก็บข้อมูล 1 TB และ 2 TB จะมากับ RAM 16 GB

iPad Pro 12.9 นิ้ว ราคา 37,900 บาท – 76,400 บาท ถ้าต้องการรุ่น Cellular ก็เพิ่มเงินอีก 5,000 บาท ในทุกช่วงราคา ส่วน iPad Pro 11 นิ้ว ราคาเริ่มต้น 27,900 บาท – 66,400 บาท

ส่วนราคา Apple Pencil 2nd Gen อยู่ที่ 4,490 บาท Magic Keyboard (3rd Gen) สำหรับรุ่น 11” อยู่ที่ 9,990 บาท ส่วนรุ่น 12.9” อยู่ที่ 11,690 บาท นอกจากนี้ยังมี Smart Keyboard Folio เริ่มต้นที่ 5,990 บาท – 6,590 บาท

สรุป

iPad Pro 12.9 ที่มากับชิปเซ็ต M1 ถือเป็นแท็บเล็ตประสิทธิภาพสูงที่รองรับการใช้งานได้หลากหลายมาก ขึ้นอยู่กับการนำไปใช้งาน ซึ่งถ้าเป็นกลุ่มผู้ใช้ที่เป็นมืออาชีพ ครีเอเตอร์ ช่างภาพ ตัดต่อวิดีโอ นักพัฒนาต่างๆ iPad Pro รุ่นใหม่นี้ตอบโจทย์แน่นอน

แต่ถ้าไม่ได้มองหาการประมวลผลระดับสูง และขนาดหน้าจอ 11 นิ้ว เพียงพอกับการใช้งาน ตัวเลือกอย่าง iPad Air ที่เพิ่งปรับโฉมมาลักษณะเดียวกับ iPad Pro ก็เพียงพอกับการใช้งานทั่วไปอยู่แล้ว ดังนั้นคงต้องดูว่า iPad Pro รุ่นนี้คุ้มค่ากับการใช้งานหรือไม่

]]>
Review : Apple iPad Pro (2018) เมื่อ iPad ทรงพลังกว่าโน้ตบุ๊ก แล้วเปิดโลกกว้างด้วย USB-C https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-ipad-pro-2018/ Sun, 23 Dec 2018 10:11:21 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=29972

Apple วาง iPad Pro ให้กลายเป็นอุปกรณ์ที่ใช้เพื่อสร้างสรรค์ผลงานบนโลกดิจิทัล โดยในช่วงที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่าทั้ง iPad Pro และ Apple Pencil กลายเป็นหนึ่งในอุปกรณ์สำคัญที่ขาดไม่ได้ และในการอัปเดตไลน์ผลิตภัณฑ์ของแอปเปิลในปีนี้ ก็ทำให้ iPad Pro ใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น

จุดเปลี่ยนหลักๆ ของ iPad Pro 2018 คือเรื่องของดีไซน์ตัวเครื่อง ที่ปรับโฉมใหม่ทั้งหมด โดยเฉพาะในรุ่นจอ 12.9 นิ้ว ที่ตัวเครื่องมีขนาดเล็กลง จากการหันมาใช้เทคโนโลยี FaceID แทนระบบ Touch ID ช่วยประหยัดพื้นที่ขอบเครื่องลงไปในตัว

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของการประมวลผลที่ทรงประสิทธิภาพมากขึ้น โดยแอปเปิลเคลมว่า iPad Pro ประมวลผลได้แรงกว่าโน้ตบุ๊ก 92% ในท้องตลาดเวลานี้ ซึ่งช่วยให้การทำงานตัดต่อวิดีโอ สร้างผลงานมัลติมีเดีย วาดรูป แต่งรูป หรือใช้เพื่อการทำงานได้รวดเร็วมากขึ้น

ข้อดี

หน้าจอขนาดเท่าเดิม ในขนาดตัวเครื่องที่เล็กลง (12.9″) และหน้าจอใหญ่ขึ้น ขนาดเครื่องเท่าเดิม (11″)

ประสิทธิภาพในการประมวลผลจาก Apple Bionic A12x

FaceID ช่วยปลดล็อกเครื่อง และทำให้ใช้งาน Animoji / Memoji

พอร์ต USB-C ช่วยให้ใช้งานกับอุปกรณ์ที่หลากหลายมากขึ้น

ข้อสังเกต

การทำงานแบบ Multitask ยังมีข้อจำกัดอยู่

ยังไม่สามารถใช้งานแทน Mac/PC ได้เต็มที่

ระดับราคาค่อนข้างสูง

ดีไซน์ใหม่ เครื่องบางลง

ในส่วนของการออกแบบ iPad Pro (2018) จะมีด้วยกัน 2 รุ่นเช่นเดิมคือรุ่นจอ 11 นิ้ว (จากเดิม 10.5 นิ้ว) ในขนาดตัวเครื่องใกล้เคียงเดิม และรุ่นจอ 12.9 นิ้ว ที่มีขนาดตัวเครื่องเล็กลง โดยมีการนำเทคโนโลยีจอแสดงผล Liquid Retina ที่ใช้งานบน iPhone XR มาใช้งานด้วย

ขนาดของ iPad Pro รุ่น 11 นิ้ว จะอยู่ที่ 247.6 x 178.5 x 5.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 468 กรัม ส่วนรุ่น 12.9 นิ้ว จะอยู่ที่ 280.6 x 214.9 x 5.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 631 กรัม มีวางจำหน่ายด้วยกัน 2 สีคือ สีเงิน และสีเทา

สำหรับดีไซน์โดยรวมของ iPad Pro จะถูกออกแบบมาให้จับถือใช้งานง่ายขึ้น ด้วยการตัดขอบเครื่องลดส่วนโค้งลง และด้วยการออกแบบให้น้ำหนักที่สมมาตร ทำให้สามารถตั้ง iPad บนพื้นผิวเรียบๆ ได้ด้วยทั้งแนวตั้ง และแนวนอน

พื้นที่ด้านหน้าส่วนใหญ่จะถูกใช้ไปกับจอแสดงผล โดยจอ Liquid Retina ถือเป็นจอภาพที่แสดงผลสีบนมาตรฐาน P3 รองรับการแสดงผลแบบ True Tone ที่จะปรับสีให้เหมาะกับแต่ละสภาพแสง นอกจากนี้ เมื่อถูกใช้งานบนแอปพลิเคชันที่รองรับจะสามารถปรับการแสดงผลขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 120Hz เพื่อให้ภาพที่ได้ไหลลื่นมากที่สุด

โดยรอบๆตัวเครื่องเมื่อวางในแนวนอนจะมีเพียงปุ่มเปิดปิดเครื่อง อยู่ทางซ้าย และปุ่มปรับระดับเสียงอยู่ด้านบน (ยึดจากด้านที่สามารถต่อ Apple Pencil ไว้ด้านบน) แต่จริงๆแล้ว iPad Pro ที่ใช้ iOS 12 สามารถหมุนหน้าจอใช้งานได้ทุกด้านอยู่แล้ว ด้านล่างก็จะมีพอร์ต USB-C อยู่

ด้านหลังที่บริเวณมุมจะมีกล้องความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ที่รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K 60fps ติดตั้งมาให้ใช้งานพร้อมกับไฟแฟลช ที่สำคัญรองรับการทำงานร่วมกับ AR ทำให้ iPad Pro กลายเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ AR ที่ประสิทธิภาพสูงระดับต้นๆในท้องตลาดเวลานี้

ที่เหลือก็จะมีสัญลักษณ์ แอปเปิล อยู่ตรงกึ่งกลาง ถัดลงมาด้านล่างจะมีจุดเชื่อมต่อระหว่าง iPad Pro เข้ากับ Smart Keyboard Folio ทำให้สามารถแปะ iPad Pro เข้ากับคีย์บอร์ดเพื่อใช้งานได้ทันที ไม่ต้องทำการเชื่อมต่อผ่านระบบไร้สายใดๆ

Gallery

Face ID ช่วยให้สะดวกขึ้น

การที่ iPad Pro เปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยี Face ID ร่วมกับกล้อง TrueDepth เหมือนบน iPhone X XS XS Max และ XR ที่นอกจากช่วยให้มีพื้นที่สำหรับขอแสดงผลขนาดใหญ่มากขึ้นแล้ว ก็ยังช่วยให้ iPad Pro สามารถถ่ายภาพ Portrait หลังละหลายได้จากกล้องหน้า รวมถึงการใช้งาน Animoji  Memoji ต่างๆได้

ในส่วนของการปลดล็อกตัวเครื่อง Face ID บน iPad Pro ถูกพัฒนาให้ฉลาดขึ้น ด้วยการที่รองรับการปลดล็อกด้วยใบหน้าได้จากทุกมุมมอง ไม่ว่าจะเป็นแนวตั้ง หรือแนวนอน เพียงแต่ในการปลดล็อกต้องระวังไม่ให้มือไปบังหน้ากล้องเท่านั้นเอง (จะมีแจ้งเตือนถ้ามือบังหน้ากล้องอยู่)

ส่วนวิธีการในการควบคุมเพื่อใช้งาน iPad Pro เมื่อไม่มีปุ่มโฮม การสั่งงานต่างๆ ก็จะใช้วิธีการปาดจากขอบหน้าจอเหมือนบน iPhone X ซึ่งถ้าเป็นผู้ที่คุ้นเคยกับการใช้ iPad รุ่นเก่าบน iOS 12 อยู่แล้ว ก็จะเรียนรู้และใช้งานได้ไม่ยาก

USB-C พอร์ตใหม่เชื่อม iPad สู่โลกกว้าง

ประเด็นสำคัญของการมีพอร์ต USB-C ให้ใช้งานบน iPad Pro (2018) ถือเป็นหนึ่งในจุดสำคัญที่ช่วยให้ iOS 12 สามารถสื่อสารกับอุปกรณ์อื่นๆ ที่เชื่อมต่อกันบนมาตรฐานของพอร์ต USB ได้แล้ว จากที่ก่อนหน้านี้แอปเปิลเลือกใช้งานพอร์ต Lighting มาตลอดในช่วงหลังๆ

แน่นอนว่าจุดสำคัญที่สุดของ USB-C คือเรื่องของการรับส่งข้อมูลที่รวดเร็วขึ้นกว่าเดิม (สูงสุด 10 Gbps) ประกอบกับหลังๆ อุปกรณ์ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ MacBook ก็หันมาใช้พอร์ต Thunderbolt 3 (USB-C) ทั้งหมดอยู่แล้ว อุปกรณ์เสริมที่ไว้เชื่อมต่อก็มีรองรับมากขึ้นด้วย

การที่มี USB-C มาให้ทำให้นอกจากผู้ใช้จะใช้อะเดปเตอร์ และสายชาร์จ MacBook ในการชาร์จ iPad Pro ได้แล้ว ตัว iPad Pro ยังสามารถใช้เป็นอุปกรณ์ชาร์จไฟให้กับ iPhone ได้ด้วย (ต้องมีสาย USB-C to Lightning) หรือจะใช้ต่อกับจอภาพความละเอียดสูงระดับ 5K ก็ได้ด้วย

นอกจากนี้ USB-C ยังเปิดให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อกล้อง ไอโฟน แอนดรอยด์โฟน รุ่นอื่นๆ เข้ากับ iPad เพื่อถ่ายโอนไฟล์รูป และวิดีโอจากในอุปกรณ์เหล่านั้นมาแต่งรูปขั้นสูงบน iPad Pro ได้ หรือถ้าเชื่อมต่อกับอะเดปเตอร์การ์ดรีดเดอร์ต่างๆ ก็ทำได้เช่นเดียวกัน

Apple Pencil รุ่นใหม่ มาพร้อมปุ่มสัมผัส

อีกหนึ่งอุปกรณ์คู่กับ iPad Pro ที่ขาดไม่ได้เลยคือ Apple Pencil (วางจำหน่ายแยกในราคา 4,490 บาท) โดยถือเป็นรุ่นที่ 2 ที่น่าเสียดายคือ iPad Pro รุ่นแรกไม่สามารถใช้งานคู่กับ Pencil รุ่นใหม่ได้ เช่นเดียวกับ iPad Pro รุ่นใหม่ ก็ไม่สามารถใช้งานกับ Pencil รุ่นเดิมได้

ความสามารถที่พัฒนาขึ้นของ Pencil 2 คือเรื่องของความสะดวกในการใช้งาน ทั้งการเชื่อมต่อกับ iPad Pro ที่ทำได้ด้วยการนำ Pencil มาแปะไว้ที่ข้างเครื่อง ตัวเครื่องจะขึ้นคำสั่งให้กดเชื่อมต่อโดยอัตโนมัติ และเมื่อแปะไว้ก็จะเป็นการชาร์จแบต Pencil 2 ไปในตัวด้วย

นอกจากนี้ อีกฟีเจอร์ที่พัฒนาขึ้นมา จากเสียงตอบรับของผู้บริโภคคือ การเพิ่มปุ่มสัมผัสให้แตะสั่งงานบน Pencil ได้เลย โดยค่ามาตรฐานในการใช้งานผู้ใช้สามารถแตะ 2 ครั้งบน Pencil เพื่อสลับโหมดปากกา / ยางลบ และสามารถเข้าไปตั้งค่าเพิ่มเติมให้แตะเพื่อเรียกใช้แพลตสี เป็นต้น

ส่วนในอนาคต ทางแอปเปิลให้ข้อมูลว่า ได้ใช้มาตรฐานเปิดในการพัฒนาเพื่อให้นักพัฒนาสามารถ นำคำสั่งในการแตะบน Pencil ไปใช้งานในแอปอื่นๆได้ด้วย ซึ่งในช่วงแรกที่เปิดตัวแอปพลิเคชันที่รองรับหลักๆ จะเป็นของทางแอปเปิลมากกว่า

Smart Keyboard Folio พิมพ์สนุก เสริมประสบการณ์ใช้งาน

iPad Pro คู่กับคีย์บอร์ดเป็นอีกหนึ่งคู่อุปกรณ์ที่ออกมาช่วยให้ผู้ที่ชื่นชอบการพิมพ์ สามารถหันมาใช้งาน iPad Pro แทนโน้ตบุ๊กได้ โดย Smart Keyboard Folio จะวางขายแยกเช่นกันในราคา 6,490 บาท และ 7,290 บาท

จุดเด่นของคีย์บอร์ดเฉพาะตัวนี้คือ สามารถแปะ iPad Pro เข้าไปด้วยการเชื่อมต่อกับแม่เหล็กที่ iPad Pro จะมีแม่เหล้กกระจายอยู่รอบหลังเครื่อง เมื่อแปะเข้าไปแล้วก็สามารถใช้งานคีย์บอร์ดได้ทันที ผู้ใช้สามารถปรับระดับหน้าจอได้ 2 มุม

ส่วนขนาดของปุ่มคีย์บอร์ดก็จะใกล้เคียงกับคีย์บอร์ดบนโน้ตบุ๊ก ขณะเดียวกันผู้ใช้ยังสามารถใช้คีย์ลัดต่างๆได้เหมือนใช้งานบนแมคบุ๊ก เพื่อให้ประสบการณ์ใช้งานในจุดนี้ดีขึ้น ขณะเดียวกันตัวเคสก็จะช่วยปกป้อง iPad Pro ไปในตัว

สรุป

แน่นอนว่า การที่ iPad Pro สามารถพิมพ์งานได้ มี Pencil ช่วยในการวาดเขียน การมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ก็ช่วยเพิ่มความสามารถให้หลากหลายขึ้น แต่ไม่ใช่ว่าสุดท้ายแล้ว iPad Pro จะเข้ามาแทนที่โน้ตบุ๊กได้ เพราะในการใช้งานโน้ตบุ๊กก็จะได้การใช้งานที่หลากหลายขึ้นไปอีก ส่วน iPad Pro ก็จะได้ในแง่ของความสะดวกในการพกพา

จุดที่พัฒนาขึ้นมาอย่าง USB-C ก็ช่วยเจาะกลุ่มช่างภาพเพิ่มเติม เนื่องจากช่างภาพสามารถต่อ iPad เข้ากับกล้องรุ่นใหม่ที่เชื่อมต่อผ่าน USB-C เพื่อดูรูป และในกรณีที่ต้องปรับแต่งสี ก็สามารถแต่งภาพเบื้องต้นบน iPad Pro ได้ทันที และสะดวกกว่าด้วย

ไม่นับรวมกับกลุ่มเป้าหมายเดิมอย่าง ผู้ที่ชื่นชอบการวาดภาพ ใช้ Apple Pencil ในการสร้างสรรค์ผลงาน ที่เชื่อว่าเมื่อมีรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมออกมา ก็พร้อมที่จะเปลี่ยนเครื่องรุ่นใหม่เพื่อใช้งานอยู่แล้วด้วย

]]>