iPad – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Mon, 13 Jan 2020 06:14:26 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : Apple iPad (7th Gen) เมื่อจัดครบชุดมาลองใช้งาน https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-ipad-7th-gen/ Mon, 13 Jan 2020 06:14:26 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=32043

คำถามคาใจของหลายๆ คนคือต้องการอุปกรณ์พกพาที่มาใช้ทำงานแทนโน้ตบุ๊กได้ ประกอบกับการที่ iPad รุ่นเริ่มต้นทำราคาออกมาอยู่ในระดับที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น แล้วในการใช้งานจริง iPad เอามาใช้ทำงานแทนได้หรือไม่ ลองดูแนวทางการนำไปใช้จากรีวิวนี้ได้

Apple iPad 7th Generation ถือเป็น iPad รุ่นเริ่มต้นที่จริงๆ แล้วทำออกมาจับกลุ่มผู้ใช้ที่เป็นนักศึกษา ที่ไม่ต้องการสเปกในการประมวลผลสูงมากนัก เน้นใช้งานทั่วๆไป ท่องเน็ต เข้าถึงโซเชียลมีเดีย และเข้าถึงความบันเทิงต่างๆ

ทำให้รุ่นนี้ ไม่ได้ใช้ซีพียูรุ่นใหม่อย่าง Apple A13 Bionic แต่มากับหน่วยประมวลผลอย่าง Apple A10 Fusion ขณะเดียวกันยังมากับหน้าจอ Retina ขนาด 10.2 นิ้ว มาให้ใช้งานคู่กับ Apple Pencil และเพิ่มการรองรับ Smart Keyboard มาด้วย

ข้อดี

  • ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 10,900 บาท
  • รองรับการใช้งานคู่กับ Apple Pencil
  • iPad OS ช่วยให้ใช้งานได้หลากหลายขึ้น

ข้อสังเกต

  • ใช้หน่วยประมวลผลรุ่นเก่า เพื่อให้ราคาเข้าถึงได้มากขึ้น
  • ยังใช้พอร์ต Lightning ในการเชื่อมต่ออยู่

เน้นพกพาง่าย

จุดเริ่มต้นของการนำ iPad มาใช้งานคือต้องการความสะดวกในการพกพา ซึ่งกลายเป็นว่าปัจจุบันนี้โน้ตบุ๊กทั่วไป ไม่ตอบโจทย์การพกพาไปใช้งานนอกสถานที่แล้ว แต่การพกพา iPad ทั้งเครื่องออกมากลับสะดวกกว่า iPad 7 มีให้เลือกทั้งหมด 3 สี คือ สีเงิน สีเทาสเปซเกรย์ และสีทอง

ด้วยขนาดตัวเครื่องของ iPad 7 ซึ่งอยู่ที่ 250.6 x 174.1 x 7.5 มิลลิเมตร น้ำหนัก 483 กรัม เมื่อประกอบเข้ากับเคสแบบ Smart Keyboard แล้วก็ยังมีน้ำหนักไม่ถึง 600 กรัม จึงกลายเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้พกพาได้ง่าย

จุดเด่นของ iPad 7 คือการที่มากับหน้าจอ Retina ชนาด 10.2 นิ้ว ความละเอียด 2160 x 1620 พิกเซล ซึ่งรองรับการสัมผัสได้ลื่นไหลตามมาตรฐานของแอปเปิล หรือในกรณีที่ต้องการใช้งานคู่กับปากกา Apple Pencil ก็สามารถใช้งานได้ เพราะตัวเครื่องรองรับแล้ว

สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาใน iPad รุ่นนี้คือส่วนของ Smart Connector บริเวณทางซ้ายของตัวเครื่อง เพื่อให้ iPad สามารถเชื่อมต่อกับ Smart Keyboard ได้ เหมือนกับบน iPad Pro ที่เคยทำออกมาก่อนหน้านี้แล้ว

ส่วนพอร์ตการเชื่อมต่ออื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Lightning ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ก็ยังมีมาให้ใช้งานเหมือนเดิม โดยรอบๆ ตัวเครื่องยังมีปุ่มเปิดเครื่องอยู่ที่มุมขวาบน ปุ่มปรับระดับเสียงอยู่ทางขวา และในรุ่น Cellular จะมีช่องใส่ถาดซิมอยู่ทางขวาด้วย

iPad 7  ยังมากับ Touch ID อยู่เช่นเดิม ทำให้ผู้ใช้งานยังสามารถปลดล็อกเครื่องด้วยลายนิ้วมือ แทนที่การใช้งาน Face ID บน iPad Pro หรือถ้าไม่ต้องการใช้สแกนลายนิ้วมือก็ใช้การกรอกรหัส หรือวาดรูปแบบบนหน้าจอได้ตามปกติ

เมื่อเชื่อมต่อกับเคสแบบ Smart Keyboard แล้ว iPad 7 ก็จะสามารถใช้งานคีย์บอร์ดเพื่อพิมพ์งาน หรือป้อนข้อมูลต่างๆ ได้ทันที ในจุดนี้ถือว่ามาตอบโจทย์สำหรับอาชีพที่เน้นการพิมพ์งาน หรือกรอกข้อมูลต่างๆ ได้มากขึ้น

ครบชุดราคาเท่าไหร่?

iPad 7 ราคาเริ่มต้นสำหรับรุ่น Wi-Fi พื้นที่เก็บข้อมูล 32 GB จะอยู่ที่ 10,900 บาท ตามมาด้วยรุ่น 128 GB 13,900 บาท แต่ถ้าเป็นรุ่น Cellular จะเพิ่มขึ้นมาเริ่มต้นที่ 15,400 บาท และ 18,400 บาท สำหรับ 32 GB และ 128 GB ตามลำดับ

ตามมาด้วยอุปกรณ์เสริมอย่าง Apple Pencil 3,400 บาท และ Smart Keyboard 5,900 บาท ทำให้ถ้าต้องการซื้อครบชุด อย่างน้อยต้องมี 20,200 บาท แต่ถ้าใครที่ไม่ได้ใช้ Apple Pecil ต้องการแค่คีย์บอร์ดมาใช้งานคู่กัน ก็จะเริ่มที่ 16,800 บาท

เหมาะกับใครบ้าง?

ถามว่ากลุ่มเป้าหมายของ iPad Gen 7 จริงๆ แล้วคือใคร ต้องบอกว่าเป็นแท็บเล็ตที่ครอบคลุมตั้งแต่นักเรียน นักศึกษา จนถึงวัยทำงาน และผู้สูงอายุก็ว่าได้ เพียงแต่ว่าในแต่ละช่วงอายุ ก็จะมีรูปแบบการใช้งานที่แตกต่างกัน

นักเรียน นักศึกษา จะเหมาะกับนำไปใช้งานในการเรียนการสอน เหมาะกับการนำไปจดบันทึก ซึ่งในส่วนนี้แค่จับคู่ iPad กับ Apple Pencil ก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าเป็นกลุ่มเริ่มทำงาน โดยเฉพาะงานเขียน งานพิมพ์ กรอกข้อมูลต่างๆ การมีคีย์บอร์ดเข้ามาก็จะช่วยให้ใช้ได้สะดวกขึ้น

ส่วนผู้สูงอายุ ก็จะเหมาะไปกับการใช้เพื่อเข้าถึงความบันเทิง เข้าถึงข้อมูลต่างๆ จากขนาดหน้าจอที่ใหญ่ และน้ำหนักไม่มากเกินไป ทำให้สะดวกในการพกพาด้วย ดังนั้นกลุ่มผู้ใช้งานของ iPad จึงเป็นกลุ่มที่กว้างมาก

ยกเว้นกลุ่มมืออาชีพผู้ใช้เพื่อนำไปทำงานหนักๆ หรือกลุ่ม Power User ทั้งหลาย เพราะมีตัวเลือกอย่าง iPad Pro ที่จับกลุ่มนี้โดยเฉพาะอยู่แล้ว ด้วยตัวเครื่องที่ประสิทธิภาพสูงกว่า และมีพอร์ตอย่าง USB-C มาช่วยให้ใช้งานกับอุปกรณ์อื่นได้ง่ายขึ้น

ถ้าใช้งานทั่วๆ ไป ครบชุดสบาย

ในสายอาชีพการเป็นนักข่าว เริ่มเห็นทิศทางของการนำ iPad มาใช้งานมากขึ้น เพราะการมี Apple Pencil ช่วยให้การจดบันทึกข้อมูล ทำได้สะดวกขึ้น ไม่ต้องคอยถือกระดาษ ปากกา ไปใช้งาน ส่วนช่วงอื่นๆ ที่ต้องใช้เข้าถึงข้อมูลก็สามารถใช้งานผ่านหน้าเว็บเบราว์เซอร์ได้หมดแล้ว

ขณะเดียวกันถ้าต้องการพิมพ์งาน การมีคีย์บอร์ดมาช่วยก็ทำให้สะดวกขึ้น แต่เสียอย่างเดียวตรงที่พอเป็นแบบ Smart Cover เวลาตั้งใช้งานต้องมีพื้นที่เรียบๆ ในระดับที่พอเหมาะให้ใช้ เพราะถ้าวางบนหน้าขาเหมือนโน้ตบุ๊กปกติ ระดับความเอียงของหน้าจอจะไม่เหมาะกับการใช้งานเท่าไหร่

นอกเหนือจากนี้ ก็คือการปรับแต่ง ครอบ ทำสีรูปเล็กๆ น้อยๆ iPad สามารถตอบโจทย์เหล่านี้ได้อยู่แล้ว ดังนั้นในการทำงานจึงแทบไม่มีความต้องใช้งานโน้ตบุ๊กอีกเลย ซึ่งก็ถือว่าเข้ามาแทนที่ได้ 80-90% แล้ว แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบในการใช้งานด้วย

อะไรที่ iPad ยังไม่ตอบโจทย์

ถ้ามองในมุมของการทำงาน การจัดการไฟล์เอกสาร หรือโปรแกรมเฉพาะที่ยังไม่ได้ทำงานผ่านคลาวด์ หรือโมบายเว็บไซต์ น่าจะเป็นปัญหาเดียวที่ iPad ยังไม่สามารถจัดการได้ ซึ่งปัจจุบันหลายๆ บริษัท ก็พัฒนาระบบหลังบ้านให้ทำงานผ่านหน้าเว็บไซต์ได้แล้ว

ปัญหาหลักๆ ของการทำงานบน iPad ตอนนี้คือเรื่องของการทำหลายๆ งานพร้อมกัน (Multitasking) ที่ปัจจุบัน แม้ว่า iPad OS จะรองรับการใช้งาน 2 แอป แบ่งครึ่งหน้าจอใช้งานแล้ว แต่การรันโพรเซสการทำงานเบื้องหลัง ยังไม่ต่อเนื่องเท่าที่ควร

สรุป

iPad Gen 7 น่าจะกลายเป็นรุ่นยอดฮิตอีกรุ่นต่อเนื่องจากรุ่นก่อนหน้า เพราะด้วยระดับราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น บางทีการนำมาใช้เพื่อเข้าถึงคอนเทนต์ต่างๆ ก็ไม่ต้องการเครื่องราคาที่สูงเกินไป ขณะเดียวกันการปรัปรุง iPad OS ก็ช่วยให้ทุกอย่างชัดเจนขึ้น ใช้ทำงานได้แล้ว

ทั้งนี้ ถ้างบประมาณไม่ใช่ข้อจำกัด และต้องการพกพา iPad ไปใช้งานนอกสถานที่จริงๆ การเลือกรุ่น Cellular 128 GB น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะไม่ต้องกังวลเรื่องการหา Wi-Fi ในการเชื่อมต่อใช้งาน และเรื่องของการบันทึกข้อมูลที่ช่วยให้ใช้งานได้ยาวๆ ไป

Gallery

]]>
Cyber Apps 19/08/19 : 4 แอปใช้ iPad คู่กับ Apple Pencil https://cyberbiz.mgronline.com/cyber-apps-190819/ Mon, 19 Aug 2019 05:14:40 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=31081 ช่วงนี้หลายๆ โรงเรียนและมหาวิทยาลัยเริ่มเปิดเทอมกันแล้ว หลังจากที่ทดลองเรียน ลงทะเบียน เพิ่มถอนรายวิชาที่ต้องการเรียนในเทอมนี้จนเสร็จสิ้น ก็ถึงเวลาตั้งใจเรียน ทบทวนหนังสือ เพื่อการสอบกลางภาคและปลายภาค

การเตรียมตัวที่ดีเริ่มที่การวางแผนการเรียนอย่างตั้งใจ และคุณทราบหรือไม่ว่า iPad และ Apple Pencil ทำอะไรได้มากกว่าที่คุณคิด App Store ขอแนะนำแอปดีๆ เพื่อเพิ่ม productivity ในการเรียนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ให้การจดเลกเชอร์ การแชร์ และ การติว สะดวกไปอีกระดับ

Planny 2 วางแผนดีมีชัยไปกว่าครึ่ง

ไม่ว่าวันนี้ พรุ่งนี้ หรือวันไหนๆ จะมีการบ้านกี่ล้านสิ่งที่ต้องทำ และถึงโลกนี้จะมีแอปมากมายที่ให้คุณสร้างรายการที่ต้องทำอยู่แล้วก็ตาม แต่ Planny 2 – Smart To Do List เป็นแอปที่มาพร้อมกับพื้นฐานง่ายๆ ในรูปแบบที่ทันสมัย ฟีเจอร์ต่างๆ ที่เป็นมิตรกับผู้ใช้ และหน้าตาที่สะอาดสบายตาที่ทำให้ไม่เหมือนใครด้วย

แอปนี้จะเป็นเหมือนผู้ช่วยขนาดจิ๋วที่ติดตัวคุณไปตลอด โดยสามารถช่วยเตือนคุณได้ว่ามีอะไรที่ยังทำไม่เสร็จบ้างในระหว่างวัน พร้อมกับแนะนำให้คุณจัดเรียงสิ่งที่ต้องทำตามโปรเจกต์และนำเข้ามาจากแอปเตือนความจำ’ (Reminders) ใน iPhone และ iPad คุณด้วยเช่นกัน โดยการปัดเพียงทีเดียวก็ถือว่าเราทำสิ่งนั้นเสร็จแล้ว

Planny 2 ทำให้การทำงานแต่ละอย่างเป็นเรื่องสนุกด้วยการมอบคะแนนให้คุณทุกครั้งที่ทำอะไรเสร็จ ถ้าหากเสร็จช้ากว่าที่ตั้งใจไว้ล่ะก็ คุณจะเสียคะแนน แล้วคุณก็จะเห็นได้ว่าคุณทำอะไรได้มากน้อยแค่ไหนในแต่ละวันและสามารถเพิ่มเพื่อนเข้ามาและเปรียบเทียบคะแนนของกันและกันได้ด้วยนะ

นอกจากนี้คุณยังสามารถเปลี่ยนการทำงานเดิมๆ ให้เป็นเกมที่เราเล่นสนุกได้ด้วย และโหมด Teamwork จะให้คุณแชร์ผลงานของคุณและมอบหมายงานให้กับเพื่อนร่วมงาน ทำให้การทำงานกลุ่มเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น ไม่ว่าโปรเจกต์จะยักษ์ใหญ่หรือยากเย็นแค่ไหนก็ตาม 

Planny 2 ใช้ได้ทั้งบน iPad และ iPhone ดาวน์โหลดได้ฟรีที่ https://apps.apple.com/th/app/planny-2-smart-to-do-list/id1289070327?l=th

GoodNotes 5 จดทุกสิ่ง รู้สึกดีจริงเหมือนเขียนบนสมุด

ปัจจุบันหลายคนรณรงค์ให้ใช้กระดาษให้น้อยลง แล้วหันไปลองใช้แอปจดโน้ตแทนดู แต่ถ้าคุณยังไม่แน่ใจว่าแอปจดโน้ตที่มีอยู่ในตลาดกับเทคโนโลยีปัจจุบันจะมาแทนที่กระดาษกับปากกาในมือคุณได้อย่างไร หรือคิดไปว่าแอปไหนจะมาสู้การจดด้วยปากกาลงบนกระดาษจริงๆ

GoodNotes 5 จะเปลี่ยนใจคุณได้แน่นอน สิ่งที่จะเปลี่ยนใจคุณก็คือวิธีการเขียนที่เสมือนจริงของแอปนี้ ไม่ว่าคุณจะใช้นิ้วหรือ Apple Pencil ระบบหมึกของแอปก็จะทำให้ทุกลายเส้นออกมาดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด รวมถึงฟีเจอร์หน้าต่างซูม ที่ให้อิสระในการเขียนกับคุณมากขึ้นด้วย เพียงเขียนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงขอบแล้วหน้าต่างก็จะย้อนกลับมาที่ในกรอบทันที คุณจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเลื่อนมือเพื่อขึ้นบรรทัดต่อไปแล้วอาจจะทำให้ลืมสิ่งที่กำลังจะเขียนไปได้

และคุณสมบัติ Split View บน iPad จะช่วยให้คุณได้เขียนในหน้าต่างด้านล่าง และคอยดูความก้าวหน้าแบบภาพรวมในด้านบนไปพร้อมกัน แต่ถ้าคุณยังชอบเสน่ห์ของสมุดแบบเก่าอยู่ แอปก็สามารถมอบประสบการณ์นั้นให้ได้เช่นกัน ด้วยการปรับแต่งสมุดของคุณให้มีหน้าปกที่สวยงามตามสไตล์ที่คุณชอบ พร้อมกับรูปแบบกระดาษมากมาย

หรือจะนำหน้าปกและหน้ากระดาษที่คุณเคยออกแบบมาใช้เพื่อความพิเศษขั้นสุดก็ได้เช่นกัน ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือสมุดโน้ตหนึ่งเดียวในโลกนี้ที่ทุกอย่างเป็นไปตามที่คุณคิดและไม่เหมือนใครเลย เมื่อเขียนจบจนพอใจ ก็ส่งต่อในรูปแบบไฟล์ PDF ให้เพื่อนในชั้นเรียนก็ได้เหมือนกัน

GoodNotes 5 ราคา 279 บาท ใช้ได้ทั้งบน iPad และ iPhone https://apps.apple.com/th/app/goodnotes-5/id1444383602?l=th

Explain Everything Whiteboard กระดานดำยุคไฮเทค

หลังจากมีข้อมูลมากมายที่พร้อมจะใช้ทั้งเตรียมสอบและพรีเซ็นต์รายงาน กิจกรรมอีกอย่างที่วัยเรียนจะขาดไม่ได้คือ การทำงานกลุ่ม ซึ่งยิ่งทำ ก็ยิ่งได้ฝึกฝนความเข้าใจ เรียนรู้การทำงานเป็นทีม ดังนั้นเราจึงอยากนำเสนอแอปเด่นอย่าง Explain Everything Whiteboard  ที่ทำหน้าที่เป็นกระดานดำยุคไฮเทค ใช้สื่อสารไอเดียของเราให้เพื่อนในทีมเข้าใจได้ง่ายๆ

แอปนี้ถือเป็นผู้ช่วยแสนไฮเทค ที่ไม่ว่าเรื่องที่อยากพรีเซนต์จะเป็นเรื่องที่ยากและซับซ้อนแค่ไหน แอปนี้จะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น ไม่ว่าคุณจะวาดอะไรลงไปก็ได้ ใส่เสียง รูป วิดีโอ หรือแม้กระทั่งสมการคณิตศาสตร์ก็ยังได้เลย แถมยังนำไฟล์ Keynote เข้ามาไว้ในแอปก็ง่าย เปิดเว็บไซต์ผ่านลิงก์บนงานนำเสนอของคุณก็ไม่มีปัญหา ทุกอย่างง่ายแค่ปลายนิ้วจริงๆ อยากจะขยับขยายเคลื่อนย้ายอะไรก็สะดวกด้วย Explain Everything จะใส่คำอธิบายเพิ่มเติมตรงไหนก็ทำได้ทุกที่บนหน้ากระดาษเลย

ส่วนที่เจ๋งที่สุดก็คือการซูมเข้าแบบอิสระที่จะทำให้เราสามารถซ่อนคำใบ้หรือคำตอบเอาไว้ในจุดเล็กๆ ที่หลายๆ คนคาดไม่ถึงได้ เรียบง่ายแต่ซ่อนลูกเล่นไว้เต็มตัว ร่วมด้วยช่วยกันทำงานก็ง่ายๆ เพราะทุกคนสามารถทำงานแบบ Live ไปพร้อมๆ กันได้ตั้งแต่ต้นจนจบ หรือจะอัดวิดีโอการทำงานทั้งหมดเก็บไว้ดูย้อนหลัง

เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นสมบูรณ์สวยงามแล้วก็แชร์ให้กับทุกคนได้ทันที ไม่ต้องรอ ยิ่งถ้าคุณจะใช้แอปนี้เพื่อสอนหนังสือก็เยี่ยมไปเลย เพราะนักเรียนทุกคนจะได้ค่อยๆ ติดตามบทเรียนไปทีละขั้นตอน แถมถ้าไม่เข้าใจอะไรก็สามารถย้อนกลับมาดูทีหลังได้ด้วยนะ ลูกเล่นของเค้านี่เหนือชั้นจริงๆ

Explain Everything Whiteboard ดาวน์โหลดได้ฟรีทั้งบน iPhone และ iPad https://apps.apple.com/th/app/explain-everything-whiteboard/id1020339980

Oilist เสกภาพถ่ายให้กลายเป็นงานศิลป์ชั้นครู

เรียนหนักมาทั้งวันแล้ว แวะมาผ่อนคลายกับการจับวิวใกล้ๆ ตัวให้กลายเป็นภาพศิลปะสื่ออารมณ์ด้วยแอปอย่าง Oilist ซึ่งทำหน้าที่แปลงภาพถ่ายให้กลายเป็นภาพวาดสไตล์ Abstract ที่ไม่เน้นที่ความสมจริง แต่กลับเน้นภาพที่แสดงถึงความคิดและอารมณ์โดยใช้องค์ประกอบต่างๆเช่นสีและเส้นแทน

โดยทีมงานได้นำสไตล์การวาดและการใช้ฝีแปรงของศิลปินระดับโลกในตำนานอย่างแวนโก๊ะ (Van Goh) โมเน่ต์ (Monet) ปิกัสโซ่ (Picasso) มาให้เราปรับใช้กับภาพถ่ายของเราเอง วิธีการเสกงานศิลปด้วยแอป Oilist ทำได้ง่ายมากๆ เพียงแค่ถ่ายรูป ระบบก็จะค่อยๆ แปลงภาพถ่ายให้เป็นภาพวาด โดยเราจะเห็นภาพวาดปรากฎขึ้นมาบนจอทีละนิดๆ เหมือนมีศิลปินคนดังมาวาดให้ดูตรงหน้า รอไม่ถึงนาทีภาพวาดระดับก็จะเสร็จสมบูรณ์

หน้าที่ของเราก็เพียงแค่ปรับส่วนต่างๆ ของภาพ เช่น พ่นสเปรย์ ทำให้บางจุดเบลอ ปรับแสง ปรับสี ฯลฯ ซึ่งจุดนี้หากใช้งานกับ Apple Pencil ก็จะยิ่งสะดวกมากยิ่งขึ้น แอปอย่าง Oilist ช่วยให้คนที่หลงใหลงานศิลป์ แต่รู้ว่าตัวเองไม่มีหัวทางนี้ สามารถสร้างงานศิลป์จากภาพถ่ายของตัวเองได้ รวมถึงสำหรับเหล่านักเรียนสามารถใช้ภาพเหล่านี้เป็นภาพประกอบรายงาน การใช้เป็นภาพสุดท้ายเพื่อพรีเซ็นต์รูปทีมงานก็จบสไลด์ ก็สามารถเรียกความสนใจและเสียงปรบมือจากเพื่อนๆ และคุณครูได้อย่างแน่นอน

Oilist ดาวน์โหลดได้ทั้งบน iPhone และ iPad ในราคา 99 บาทเท่านั้น https://apps.apple.com/th/app/oilist/id985497767

]]>
Review : Apple iPad Pro (2018) เมื่อ iPad ทรงพลังกว่าโน้ตบุ๊ก แล้วเปิดโลกกว้างด้วย USB-C https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-ipad-pro-2018/ Sun, 23 Dec 2018 10:11:21 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=29972

Apple วาง iPad Pro ให้กลายเป็นอุปกรณ์ที่ใช้เพื่อสร้างสรรค์ผลงานบนโลกดิจิทัล โดยในช่วงที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่าทั้ง iPad Pro และ Apple Pencil กลายเป็นหนึ่งในอุปกรณ์สำคัญที่ขาดไม่ได้ และในการอัปเดตไลน์ผลิตภัณฑ์ของแอปเปิลในปีนี้ ก็ทำให้ iPad Pro ใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น

จุดเปลี่ยนหลักๆ ของ iPad Pro 2018 คือเรื่องของดีไซน์ตัวเครื่อง ที่ปรับโฉมใหม่ทั้งหมด โดยเฉพาะในรุ่นจอ 12.9 นิ้ว ที่ตัวเครื่องมีขนาดเล็กลง จากการหันมาใช้เทคโนโลยี FaceID แทนระบบ Touch ID ช่วยประหยัดพื้นที่ขอบเครื่องลงไปในตัว

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของการประมวลผลที่ทรงประสิทธิภาพมากขึ้น โดยแอปเปิลเคลมว่า iPad Pro ประมวลผลได้แรงกว่าโน้ตบุ๊ก 92% ในท้องตลาดเวลานี้ ซึ่งช่วยให้การทำงานตัดต่อวิดีโอ สร้างผลงานมัลติมีเดีย วาดรูป แต่งรูป หรือใช้เพื่อการทำงานได้รวดเร็วมากขึ้น

ข้อดี

หน้าจอขนาดเท่าเดิม ในขนาดตัวเครื่องที่เล็กลง (12.9″) และหน้าจอใหญ่ขึ้น ขนาดเครื่องเท่าเดิม (11″)

ประสิทธิภาพในการประมวลผลจาก Apple Bionic A12x

FaceID ช่วยปลดล็อกเครื่อง และทำให้ใช้งาน Animoji / Memoji

พอร์ต USB-C ช่วยให้ใช้งานกับอุปกรณ์ที่หลากหลายมากขึ้น

ข้อสังเกต

การทำงานแบบ Multitask ยังมีข้อจำกัดอยู่

ยังไม่สามารถใช้งานแทน Mac/PC ได้เต็มที่

ระดับราคาค่อนข้างสูง

ดีไซน์ใหม่ เครื่องบางลง

ในส่วนของการออกแบบ iPad Pro (2018) จะมีด้วยกัน 2 รุ่นเช่นเดิมคือรุ่นจอ 11 นิ้ว (จากเดิม 10.5 นิ้ว) ในขนาดตัวเครื่องใกล้เคียงเดิม และรุ่นจอ 12.9 นิ้ว ที่มีขนาดตัวเครื่องเล็กลง โดยมีการนำเทคโนโลยีจอแสดงผล Liquid Retina ที่ใช้งานบน iPhone XR มาใช้งานด้วย

ขนาดของ iPad Pro รุ่น 11 นิ้ว จะอยู่ที่ 247.6 x 178.5 x 5.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 468 กรัม ส่วนรุ่น 12.9 นิ้ว จะอยู่ที่ 280.6 x 214.9 x 5.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 631 กรัม มีวางจำหน่ายด้วยกัน 2 สีคือ สีเงิน และสีเทา

สำหรับดีไซน์โดยรวมของ iPad Pro จะถูกออกแบบมาให้จับถือใช้งานง่ายขึ้น ด้วยการตัดขอบเครื่องลดส่วนโค้งลง และด้วยการออกแบบให้น้ำหนักที่สมมาตร ทำให้สามารถตั้ง iPad บนพื้นผิวเรียบๆ ได้ด้วยทั้งแนวตั้ง และแนวนอน

พื้นที่ด้านหน้าส่วนใหญ่จะถูกใช้ไปกับจอแสดงผล โดยจอ Liquid Retina ถือเป็นจอภาพที่แสดงผลสีบนมาตรฐาน P3 รองรับการแสดงผลแบบ True Tone ที่จะปรับสีให้เหมาะกับแต่ละสภาพแสง นอกจากนี้ เมื่อถูกใช้งานบนแอปพลิเคชันที่รองรับจะสามารถปรับการแสดงผลขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 120Hz เพื่อให้ภาพที่ได้ไหลลื่นมากที่สุด

โดยรอบๆตัวเครื่องเมื่อวางในแนวนอนจะมีเพียงปุ่มเปิดปิดเครื่อง อยู่ทางซ้าย และปุ่มปรับระดับเสียงอยู่ด้านบน (ยึดจากด้านที่สามารถต่อ Apple Pencil ไว้ด้านบน) แต่จริงๆแล้ว iPad Pro ที่ใช้ iOS 12 สามารถหมุนหน้าจอใช้งานได้ทุกด้านอยู่แล้ว ด้านล่างก็จะมีพอร์ต USB-C อยู่

ด้านหลังที่บริเวณมุมจะมีกล้องความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ที่รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K 60fps ติดตั้งมาให้ใช้งานพร้อมกับไฟแฟลช ที่สำคัญรองรับการทำงานร่วมกับ AR ทำให้ iPad Pro กลายเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ AR ที่ประสิทธิภาพสูงระดับต้นๆในท้องตลาดเวลานี้

ที่เหลือก็จะมีสัญลักษณ์ แอปเปิล อยู่ตรงกึ่งกลาง ถัดลงมาด้านล่างจะมีจุดเชื่อมต่อระหว่าง iPad Pro เข้ากับ Smart Keyboard Folio ทำให้สามารถแปะ iPad Pro เข้ากับคีย์บอร์ดเพื่อใช้งานได้ทันที ไม่ต้องทำการเชื่อมต่อผ่านระบบไร้สายใดๆ

Gallery

Face ID ช่วยให้สะดวกขึ้น

การที่ iPad Pro เปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยี Face ID ร่วมกับกล้อง TrueDepth เหมือนบน iPhone X XS XS Max และ XR ที่นอกจากช่วยให้มีพื้นที่สำหรับขอแสดงผลขนาดใหญ่มากขึ้นแล้ว ก็ยังช่วยให้ iPad Pro สามารถถ่ายภาพ Portrait หลังละหลายได้จากกล้องหน้า รวมถึงการใช้งาน Animoji  Memoji ต่างๆได้

ในส่วนของการปลดล็อกตัวเครื่อง Face ID บน iPad Pro ถูกพัฒนาให้ฉลาดขึ้น ด้วยการที่รองรับการปลดล็อกด้วยใบหน้าได้จากทุกมุมมอง ไม่ว่าจะเป็นแนวตั้ง หรือแนวนอน เพียงแต่ในการปลดล็อกต้องระวังไม่ให้มือไปบังหน้ากล้องเท่านั้นเอง (จะมีแจ้งเตือนถ้ามือบังหน้ากล้องอยู่)

ส่วนวิธีการในการควบคุมเพื่อใช้งาน iPad Pro เมื่อไม่มีปุ่มโฮม การสั่งงานต่างๆ ก็จะใช้วิธีการปาดจากขอบหน้าจอเหมือนบน iPhone X ซึ่งถ้าเป็นผู้ที่คุ้นเคยกับการใช้ iPad รุ่นเก่าบน iOS 12 อยู่แล้ว ก็จะเรียนรู้และใช้งานได้ไม่ยาก

USB-C พอร์ตใหม่เชื่อม iPad สู่โลกกว้าง

ประเด็นสำคัญของการมีพอร์ต USB-C ให้ใช้งานบน iPad Pro (2018) ถือเป็นหนึ่งในจุดสำคัญที่ช่วยให้ iOS 12 สามารถสื่อสารกับอุปกรณ์อื่นๆ ที่เชื่อมต่อกันบนมาตรฐานของพอร์ต USB ได้แล้ว จากที่ก่อนหน้านี้แอปเปิลเลือกใช้งานพอร์ต Lighting มาตลอดในช่วงหลังๆ

แน่นอนว่าจุดสำคัญที่สุดของ USB-C คือเรื่องของการรับส่งข้อมูลที่รวดเร็วขึ้นกว่าเดิม (สูงสุด 10 Gbps) ประกอบกับหลังๆ อุปกรณ์ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ MacBook ก็หันมาใช้พอร์ต Thunderbolt 3 (USB-C) ทั้งหมดอยู่แล้ว อุปกรณ์เสริมที่ไว้เชื่อมต่อก็มีรองรับมากขึ้นด้วย

การที่มี USB-C มาให้ทำให้นอกจากผู้ใช้จะใช้อะเดปเตอร์ และสายชาร์จ MacBook ในการชาร์จ iPad Pro ได้แล้ว ตัว iPad Pro ยังสามารถใช้เป็นอุปกรณ์ชาร์จไฟให้กับ iPhone ได้ด้วย (ต้องมีสาย USB-C to Lightning) หรือจะใช้ต่อกับจอภาพความละเอียดสูงระดับ 5K ก็ได้ด้วย

นอกจากนี้ USB-C ยังเปิดให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อกล้อง ไอโฟน แอนดรอยด์โฟน รุ่นอื่นๆ เข้ากับ iPad เพื่อถ่ายโอนไฟล์รูป และวิดีโอจากในอุปกรณ์เหล่านั้นมาแต่งรูปขั้นสูงบน iPad Pro ได้ หรือถ้าเชื่อมต่อกับอะเดปเตอร์การ์ดรีดเดอร์ต่างๆ ก็ทำได้เช่นเดียวกัน

Apple Pencil รุ่นใหม่ มาพร้อมปุ่มสัมผัส

อีกหนึ่งอุปกรณ์คู่กับ iPad Pro ที่ขาดไม่ได้เลยคือ Apple Pencil (วางจำหน่ายแยกในราคา 4,490 บาท) โดยถือเป็นรุ่นที่ 2 ที่น่าเสียดายคือ iPad Pro รุ่นแรกไม่สามารถใช้งานคู่กับ Pencil รุ่นใหม่ได้ เช่นเดียวกับ iPad Pro รุ่นใหม่ ก็ไม่สามารถใช้งานกับ Pencil รุ่นเดิมได้

ความสามารถที่พัฒนาขึ้นของ Pencil 2 คือเรื่องของความสะดวกในการใช้งาน ทั้งการเชื่อมต่อกับ iPad Pro ที่ทำได้ด้วยการนำ Pencil มาแปะไว้ที่ข้างเครื่อง ตัวเครื่องจะขึ้นคำสั่งให้กดเชื่อมต่อโดยอัตโนมัติ และเมื่อแปะไว้ก็จะเป็นการชาร์จแบต Pencil 2 ไปในตัวด้วย

นอกจากนี้ อีกฟีเจอร์ที่พัฒนาขึ้นมา จากเสียงตอบรับของผู้บริโภคคือ การเพิ่มปุ่มสัมผัสให้แตะสั่งงานบน Pencil ได้เลย โดยค่ามาตรฐานในการใช้งานผู้ใช้สามารถแตะ 2 ครั้งบน Pencil เพื่อสลับโหมดปากกา / ยางลบ และสามารถเข้าไปตั้งค่าเพิ่มเติมให้แตะเพื่อเรียกใช้แพลตสี เป็นต้น

ส่วนในอนาคต ทางแอปเปิลให้ข้อมูลว่า ได้ใช้มาตรฐานเปิดในการพัฒนาเพื่อให้นักพัฒนาสามารถ นำคำสั่งในการแตะบน Pencil ไปใช้งานในแอปอื่นๆได้ด้วย ซึ่งในช่วงแรกที่เปิดตัวแอปพลิเคชันที่รองรับหลักๆ จะเป็นของทางแอปเปิลมากกว่า

Smart Keyboard Folio พิมพ์สนุก เสริมประสบการณ์ใช้งาน

iPad Pro คู่กับคีย์บอร์ดเป็นอีกหนึ่งคู่อุปกรณ์ที่ออกมาช่วยให้ผู้ที่ชื่นชอบการพิมพ์ สามารถหันมาใช้งาน iPad Pro แทนโน้ตบุ๊กได้ โดย Smart Keyboard Folio จะวางขายแยกเช่นกันในราคา 6,490 บาท และ 7,290 บาท

จุดเด่นของคีย์บอร์ดเฉพาะตัวนี้คือ สามารถแปะ iPad Pro เข้าไปด้วยการเชื่อมต่อกับแม่เหล็กที่ iPad Pro จะมีแม่เหล้กกระจายอยู่รอบหลังเครื่อง เมื่อแปะเข้าไปแล้วก็สามารถใช้งานคีย์บอร์ดได้ทันที ผู้ใช้สามารถปรับระดับหน้าจอได้ 2 มุม

ส่วนขนาดของปุ่มคีย์บอร์ดก็จะใกล้เคียงกับคีย์บอร์ดบนโน้ตบุ๊ก ขณะเดียวกันผู้ใช้ยังสามารถใช้คีย์ลัดต่างๆได้เหมือนใช้งานบนแมคบุ๊ก เพื่อให้ประสบการณ์ใช้งานในจุดนี้ดีขึ้น ขณะเดียวกันตัวเคสก็จะช่วยปกป้อง iPad Pro ไปในตัว

สรุป

แน่นอนว่า การที่ iPad Pro สามารถพิมพ์งานได้ มี Pencil ช่วยในการวาดเขียน การมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ก็ช่วยเพิ่มความสามารถให้หลากหลายขึ้น แต่ไม่ใช่ว่าสุดท้ายแล้ว iPad Pro จะเข้ามาแทนที่โน้ตบุ๊กได้ เพราะในการใช้งานโน้ตบุ๊กก็จะได้การใช้งานที่หลากหลายขึ้นไปอีก ส่วน iPad Pro ก็จะได้ในแง่ของความสะดวกในการพกพา

จุดที่พัฒนาขึ้นมาอย่าง USB-C ก็ช่วยเจาะกลุ่มช่างภาพเพิ่มเติม เนื่องจากช่างภาพสามารถต่อ iPad เข้ากับกล้องรุ่นใหม่ที่เชื่อมต่อผ่าน USB-C เพื่อดูรูป และในกรณีที่ต้องปรับแต่งสี ก็สามารถแต่งภาพเบื้องต้นบน iPad Pro ได้ทันที และสะดวกกว่าด้วย

ไม่นับรวมกับกลุ่มเป้าหมายเดิมอย่าง ผู้ที่ชื่นชอบการวาดภาพ ใช้ Apple Pencil ในการสร้างสรรค์ผลงาน ที่เชื่อว่าเมื่อมีรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมออกมา ก็พร้อมที่จะเปลี่ยนเครื่องรุ่นใหม่เพื่อใช้งานอยู่แล้วด้วย

]]>