Nokia – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Tue, 23 Apr 2019 11:53:33 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : Nokia 8.1 กล้อง Zeiss ไม่ทำให้ผิดหวัง https://cyberbiz.mgronline.com/review-nokia-8-1/ Tue, 23 Apr 2019 11:50:45 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=30580 Nokia 8.1 คือสมาร์ทโฟนเรือธงที่ดีที่สุดนับตั้งแต่เอชเอ็มดี โกลบอลซื้อแบรนด์ Nokia กลับมาสู่อ้อมอกบ้านเกิด จุดขายหลักของ Nokia 8.1 คือสมรรถนะการทำงานที่รวดเร็ว, กล้องคู่เลนส์ ZEISS ที่ทำงานผสานกับระบบ AI, ระบบปฏิบัติการ Android 9 Pie ที่อัปเดตความปลอดภัยทุกเดือนเป็นเวลา 3 ปี และรับประกันการอัปเดต Android เวอร์ชั่นใหม่อย่างน้อย 2 เวอร์ชั่น ทั้ง 4 จุดขายนี้ถูกนำมารวมกันในเครื่องที่มองแล้วหน้าตาคล้ายรุ่นฮิต Nokia 6.1 Plus

ข้อดี

– ดีไซน์หรู วัสดุดูดี
– ระบบ Android One ลื่นไหล
– แบตเตอรี่อึดทนนาน เหลือ 3% ยังใช้ต่อได้เกิน 1 ชั่วโมง
– กล้องคู่เลนส์ ZEISS ถ่ายภาพแสงน้อยได้ดี

ข้อสังเกต

– ไม่มีฟีเจอร์ซอฟต์แวร์พิเศษ
– หากไม่ได้ชาร์จกับ adapter ที่ให้มา จะชาร์จได้ช้ามาก

สวยขึ้นนิดเดียว?

ความรู้สึกแรกที่ได้จับ Nokia 8.1 คือหน้าตาที่มองคล้ายกับรุ่นพี่ทั้ง Nokia 6.1 Plus และ Nokia 7 Plus แต่จุดต่างคือความเล็กกว่าของหน้าจอขนาด 6.18 นิ้ว รอบตัวเครื่องเป็นอะลูมิเนียม ตัดขอบด้วยสีทองแดงหรือ Copper จนเป็นลูกเล่นที่ดึงดูดสายตาคนชอบความแวววาวได้อยู่หมัด

Nokia 8.1 มีกล้องหน้าความละเอียดสูงติดไว้ด้านบน หน้าจอความละเอียด Full HD+ ฝั่งซ้ายของเครื่องเป็นช่องใส่ซิม และ Micro SD, ฝั่งขวามีปุ่มกดปรับระดับเสียงและเปิดปิดเครื่อง

Nokia 8.1 มาพร้อมพอร์ต USB-C ติดไว้ด้านล่างของเครื่อง วางไว้กึ่งกลางระหว่างลำโพงและไมโครโฟน สำหรับช่องเสียบหูฟังถูกติดไว้ด้านบนแทน ด้านหลังของ Nokia 8.1 มีกระจกเคลือบ ช่วยลดรอยนิ้วมือกวนใจได้ดีมาก กล้องถ่ายภาพเลนส์ Zeiss คู่วางไว้เหนือระบบสแกนลายนิ้วมือ ตามมาด้วยโลโก้ Nokia ที่วางแนวนอน

AI ช่วยให้ฉลาดขึ้น

การเพิ่มระบบ AI ที่ทำให้ Nokia 8.1 ดูฉลาดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อรวมกับระบบปฏิบัติการ Android Pie พ่วงด้วยฐานะมือถือ Android One ทำให้สิ่งที่สัมผัสได้ชัดบน Nokia 8.1 คือความลื่นไหล ที่สำคัญคือกล้องหลังของ Nokia 8.1 ที่เป็นเลนส์ Zeiss คู่ 13 และ 12 ล้านพิกเซลและทำงานร่วมกับระบบ AI ประมวลผลภาพนั้นช่วยยกระดับการถ่ายภาพบน Nokia 8.1 ได้แบบไม่ต้องอธิบายกันมาก

UI กล้องแบบใหม่บน Nokia 8.1 ถือว่าใช้ง่าย มีระบบ Auto Focus ถ่ายภาพไม่ผิดหวังเพราะมีแฟลช LED Flash Two Tone ภาพเหล่านี้จะยิ่งชัดใสเมื่อแสดงบนหน้าจอ Nokia 8.1 ที่มีฟีเจอร์ Pure Display ผ่านหน้าจอ LTPS LCD ขนาด 6.18 นิ้ว ความละเอียด 2280×1080 พิกเซล

Nokia 8.1 ไม่เพียงถูกใจคอวิดีโอเพราะสามารถถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุดที่ 4K 30 FPS แต่ยังถูกใจคอเซลฟี่เพราะกล้องหน้าของ Nokia 8.1 ใช้เลนส์ Zeiss ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล ซึ่งยังคงมีลูกเล่นเฉพาะของ Nokia อย่าง Bothie เหมือนเดิม

Nokia 8.1 ตอบโจทย์คอเกมได้ด้วยซีพียู Qualcomm Snapdragon 710 หน่วยความจำ RAM ขนาด 4GB พื้นที่เก็บข้อมูล ROM ขนาด 64GB รองรับ MicroSD สูงสุด 512GB รองรับการเชื่อมต่อ 4G LTE (Dual SIM), WiFi 802.11AC, Bluetooth 5.0, GPS และ A-GPS

ผลการทดสอบของ Nokia 8.1 พบว่าพอเชิดหน้าชูตาได้ เช่นเดียวกับการแสดงผลกราฟฟิก


แบตเตอรี่ของ Nokia 8.1 ใหญ่ 3500 mAh ใช้งานทั่วไปได้ตลอดวันแบบไม่ต้องชาร์จ การชาร์จแบตเตอรี่จาก 0% เป็น 100% ใช้เวลาราว 2 ชั่วโมง ผลงานของที่ชาร์จใหญ่ขนาด 18W ซึ่งแปลว่า HMD Global ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีชาร์จไว

ปิดรอยบากไม่ได้

Nokia 8.1 ไม่มีซอฟต์แวร์ซ่อนรอยบากหรือ Notch มากับเครื่อง ผู้ใช้ที่รำคาญตาอาจต้องไปดาวน์โหลดโปรแกรมเพื่อซ่อนรอยบากด้วยตัวเอง ถือเป็นจุดต่างของสมาร์ทโฟนแบรนด์ Nokia เทียบกับแอนดรอยด์โฟนค่ายอื่นอย่างเช่น Huawei หรือ Oppo ที่มีซอฟต์แวร์ซ่อนทั้งรอยบากและรอยหยดน้ำบนหน้าจอไร้ขอบของตัวเอง

นอกจากการไม่มีซอฟต์แวร์เสริม อีกจุดที่สัมผัสได้จากการทดสอบ Nokia 8.1 เครื่องนี้คือระบบสแกนลายนิ้วมือที่ทำงานไม่ต่อเนื่อง นอกจากนี้ การหยิบจับเครื่องเมื่อวางลงยังทำได้ยาก เกิดจากตัว body ของเครื่องที่ลื่น ไม่ถนัดมือ

สรุป

ตัวเครื่องและจอแสดงผลสวยงามทำให้ราคาโปรโมชัน 9,900 บาท จากราคาเต็ม 13,900 บาทถูกมองว่าดีงามมาก โดยเฉพาะการถ่ายรูปในที่แสงน้อยที่ทำได้ดีเหลือเชื่อ

แบตเตอรี่ 3,500 mAh ไม่ทำให้ผิดหวังเพราะสามารถใช้งานต่อได้แม้ไม่ชาร์จทุกวัน ระบบจะตัดคุณสมบัติบางส่วนออกเพื่อประหยัดแบตเตอรี่ ทำให้ยังสามารถใช้งานต่อได้อีกหลายชั่วโมง

]]>
Review : Nokia Wi-Fi Beacon 3 ระบบ Mesh Wi-Fi เน้นใช้ง่ายสำหรับลูกค้า AIS Fibre https://cyberbiz.mgronline.com/review-nokia-wi-fi-beacon-3/ Tue, 29 Jan 2019 14:55:06 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=30140

คอนเซปต์ของ Mesh Wi-Fi เริ่มเป็นที่พูดถึงมากขึ้น เมื่ออุปกรณ์พกพามีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงการมาของยุค IoT ที่ใกล้ตัวขึ้น ทำให้วันนี้ผู้ผลิตเราเตอร์ และผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตไฟเบอร์เริ่มออกมาให้ข้อมูลส่วนนี้กันมากขึ้น

อีกเรื่องก็คือมีการสำรวจพบว่าปัญหาหลักของผู้ใช้งานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตในบ้าน เวลามีการร้องเรียนว่าอินเทอร์เน็ตช้า ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากอยู่ไกลจากตัวเราเตอร์ที่ปล่อยสัญญาณทำให้สัญญาณไวไฟอ่อน และเน็ตวิ่งได้ไม่เต็มความเร็ว

เมื่อมี Painpoint เหล่านี้ การนำระบบ Mesh Wi-Fi เข้ามาจึงกลายเป็นอุปกรณ์ที่จะช่วยเหลือให้ผู้ใช้ได้ประสบการณ์ใช้งานอินเทอร์เน็ตไฟเบอร์ได้เต็มความเร็ว แม้ว่าจะอยู่ในจุดไหนของบ้านก็ตาม

จุดเด่นของ Nokia Wi-Fi Beacon 3 คือเรื่องของความฉลาดในการบริหารจัดการ และความสามารถในการเพิ่มเราเตอร์จุดที่ 2-3 ภายในบ้าน เพื่อรองรับปริมาณอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตภายในบ้าน และขณะเดียวกันก็ช่วยให้ได้สัญญาณที่ดีที่สุดด้วยเช่นเดียวกัน

ข้อดี

ติดตั้งใช้งาน เพิ่มจุดง่าย แค่สแกน QR Code

สลับ 2.4 GHz และ 5 GHz แบบอัตโนมัติ

แอปพลิเคชันแสดงอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ

ข้อสังเกต

อุปกรณ์เก่าๆ บางรุ่นจะมีปัญหาในการเชื่อมต่อเน็ต ถ้าเครื่องไม่รองรับ 5 GHz

ราคาปกติค่อนข้างสูง 2 ตัว (14,900 บาท) ลูกค้า AIS เหลือ 9,990 บาท

ติดตั้งง่ายเสียบปลั๊กโทรแจ้ง

เนื่องจากการนำ Nokia Wi-Fi Beacon 3 มาต่อใช้งานภายในบ้าน จะไม่ได้มีพนักงานเข้ามาช่วยติดตั้งให้ เพราะมีขั้นตอนง่ายๆ ไม่กี่ขั้นตอน ก็สามารถติดตั้งใช้งานได้ด้วยตัวเอง เพียงแต่จะมีขั้นตอนสำคัญคือต้องแจ้งให้ทาง Call Center ช่วยปรับระบบจากโมเด็มเราเตอร์เดิมที่ใช้มาเป็นแบบ PPPoE

ขั้นตอนเหล่านี้ ผู้บริโภคที่ซื้อ Nokia Wi-Fi Beacon 3 มาติดตั้งใช้งานกับ AIS Fibre สามารถโทรเข้าไปสอบถามกับทาง Call Center เมื่อพร้อมติดตั้งได้เลย อย่างตอนที่ทีมงานนำมาทดสอบ เมื่อต่อ Nokia Wi-Fi Beacon 3

เข้ากับโมเด็มไฟเบอร์ เรียบร้อย ก็โทรแจ้งทาง Call Center ให้เปลี่ยนการเชื่อมต่อสัญญาณ หลังจากนั้นไม่นานก็สามารถใช้เน็ตได้ทันที

หรือในกรณีที่ไม่ต้องการยกเลิกระบบไวเลสเดิมที่ใช้อยู่ แต่นำ Nokia Wi-Fi Beacon 3 มาเสริมเป็นไวเลสอีกวงหนึ่ง ผู้ใช้สามารถเสียบสายแลน (Lan) จากเราเเตอร์เครื่องเดิม มาต่อกับ Nokia Wi-Fi Beacon 3 แล้วเริ่มปล่อยสัญญาณไวไฟใช้งานได้ทันที

โดยในการติดตั้งใช้งาน Nokia Wi-Fi Beacon 3 ผู้ใช้จำเป็นต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Nokia WiFi เมื่อเปิดแอปพลิเคชันขึ้นมาจะเข้าสู่หน้าการตั้งค่า หลังจากนั้นทำตามขั้นตอน อย่างการเสียบปลั้ก Nokia Wi-Fi Beacon 3 เพื่อให้แอปทำการค้นหาตัวเครื่อง ในกรณีที่ต่อตรงกับโมเด็ม ทาง AIS จะแจ้งยูสเซอร์เนมให้กรอกใน WAN Setting ส่วนของ PPPoE เมื่อกรอกเสร็จ ระบบจะทำการตั้งค่าอัตโนมัติให้ใช้งานทันที

ถัดมาในการเพิ่มตัวขยายสัญญาณจุดที่ 2 หรือการเพิ่ม Beacon เมื่อกดเลือกเพิ่มแล้ว แอปจะให้ทำการสแกน QR Code ที่อยู่ใต้ตัวเครื่อง เพื่อระบุว่า Nokia Wi-Fi Beacon 3 ชิ้นนี้ จะเป็นจุดกระจายสัญญาณ หลังจากนั้นก็ให้เลือกว่าจุดนี้ ตั้งอยู่บริเวณใดภายในบ้าน

หลังจากนั้น Nokia Wi-Fi Beacon 3 จุดแรกที่เชื่อมต่อกับเราเตอร์ และ Nokia Wi-Fi Beacon 3 จุดที่ 2 จะเชื่อมต่อกันผ่านสัญญาณไวเลสโดยอัตโนมัติ ทำช่วยลดจุดอัปสัญญาณไวไฟภายในบ้านได้ และในกรณีที่ 2 จุดไม่เพียงพอ ผู้ใช้สามารถซื้อเครื่องมาเพิ่มจุดต่อไปได้อีกเรื่อยๆ

เบื้องต้น การจับสัญญาณไวเลส ที่ Nokia Wi-Fi Beacon 3 เลือกใช้จะตั้งค่าแบบอัตโนมัติ 2.4 GHz และ 5 GHz เป็นมาตรฐาน ภายใต้ชื่อเดียวกัน ในจุดนี้ ถ้าภายในบ้านยังมีอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับไวเลสบนคลื่น 2.4 GHz อยู่ แนะนำให้เข้าไปตั้งค่าเพิ่มเติม เพื่อแยกเน็ตเวิร์กออกจากกัน

เพราะเท่าที่ลองใช้แบบอัตโนมัติแล้วเครื่องที่จับ 2.4 GHz จะเจอปัญหาเน็ตหลุดบ่อย แต่เมื่อแยกเครือข่ายออกจากกันแล้วปัญหาดังกล่าวก็หายไป ส่วนกรณีที่ภายในบ้านอุปกรณ์ทั้งหมดรองรับ 5 GHz อยู่แล้วก็สามารถใช้งานได้เลย

นอกจากนี้ ภายในแอปพลิเคชัน ยังสามารถใช้ตรวจสอบ และกำหนดค่าการเชื่อมต่อเบื้องต้นได้ โดยจะมีหน้าจอให้ดูว่าปัจจุบันเครื่องใดเชื่อมต่ออยู่กับ Nokia Wi-Fi Beacon 3 จุดไหนบ้าง ผ่านการเชื่อมต่อไวเลส หรือสายแลน ได้ความเร็วสูงสุดในการเชื่อมต่อเท่านั้น

รวมถึงสามารถตั้งได้ว่า จะให้เครื่องนั้นๆ เข้าถึงอินเทอร์เน็ตด้วยหรือไม่ หรือใช้เฉพาะเชื่อมต่อภายในเครือข่ายเท่านั้น นอกจากนี้ ยังสามารถตั้งให้แจ้งเตือนได้ด้วยว่าอุปกรณ์ดังกล่าว หลุดจากการเชื่อมต่อหรือไม่ ถ้าหลุดจะมีการแจ้งเตือนขึ้นมา

คำสั่งพวกนี้จะเหมาะกับอุปกรณ์อย่างกล้องวงจรปิด หรือ IoT ภายในบ้าน เพื่อทำให้เจ้าของได้รับรู้ว่า มีอุปกรณ์ชิ้นใดที่หลุดออกจากการเชื่อมต่อ จะได้เข้าไปตรวจสอบแก้ไขให้กลับมาใช้งานได้เหมือนเดิม

ดีไซน์ โมเดิร์น วางเป็นเฟอร์นิเจอร์ในบ้าน

อีกสิ่งที่น่าสนใจของ Nokia Wi-Fi Beacon 3 คือเรื่องของการออกแบบ ที่ถูกออกแบบมาให้เป็นเหมือนเฟอร์นิเจอร์ 1 ชิ้นภายในบ้าน ไม่ได้มีเสาๆ เหมือนเราเตอร์ทั่วๆไป ทำให้สามารถนำไปวางเป็นส่วนหนึ่งของบ้านได้สบายๆ

ตัว Nokia Wi-Fi Beacon 3 จะมีลักษณะเป็นทรงกระบอกขนาด 94 x 160 มิลลิเมตร น้ำหนัก 650 กรัม มีไฟแจ้งเตือนอยู่ส่วนบนของเครื่อง ด้านหน้ามีโลโก้ Nokia อยู่ ข้างใต้จะมีรายละเอียดอธิบายมาตรฐานต่างๆ และสัญลักษณ์ QR Code ไว้ใช้ในการติดตั้ง

ส่วนด้านหลังก็จะเป็นพอร์ตเชื่อมต่อต่างๆ ทั้งช่องเสียบไฟกับอะเดปเตอร์ที่ให้มาในกล่อง ช่องเสียบสาย WAN (ต่ออินเทอร์เน็ตจากโมเด็ม) พอร์ตแลน 3 พอร์ต ให้สามารถนำไปเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ ปุ่ม WPS สำหรับการล็อกอินใช้งานแบบง่ายๆ และปุ่มเปิดปิดเครื่อง

ข้อดีของการที่มีพอร์ต LAN มาให้ด้วยก็คือ ผู้ใช้สามารถนำ Nokia Wi-Fi Beacon 3 ไปวางไว้บริเวณสมาร์ททีวี กล่อง Playbox Apple TV หรือเครื่องเกมคอนโซลอย่าง PS4 แล้วใช้สาย LAN เชื่อมต่อเข้าไป ก็จะทำให้การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของอุปกรณ์เหล่านี้สเถียรมากขึ้น

สรุป

Nokia Wi-Fi Beacon 3 จะเหมาะกับผู้ใช้งาน AIS Fibre ที่ต้องการขยายพื้นที่ใช้งานภายในบ้านให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะบ้านขนาดใหญ่ที่มีหลายชั้น หรือบริเวณกว้าง แล้วเราเตอร์จุดเดียวที่ติดตั้งให้มาไม่เพียงพอ เพราะข้อดีหลักๆ ของ Mesh-WiFi คือเมื่อติดตั้งครั้งเรียบร้อย จะเดินไปตรงจุดไหนในบ้านก็สามารถเล่นเน็ตได้

อีกเรื่องก็คือความสามารถในการบริหารจัดการข้อมูลของ Nokia Wi-Fi Beacon 3 ที่จะทำให้การเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ต่างๆไร้รอยต่อ ด้วยการผสมผสานคลื่น 2.4 GHz และ 5 GHz ร่วมกัน ทำให้เวลาอุปกรณ์สลับการต่อจากจุดหนึ่ง ไปอีกจุดหนึ่งจะไม่เกิดอาการสะดุด หรือเน็ตหลุดให้เห็น

อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดของ Nokia Wi-Fi Beacon 3 คือในช่วงนี้จะเป็นการทำตลาดร่วมกับทาง AIS แบบเอ็กซ์คลูซีฟอยู่ ดังนั้นถ้าใช้เน็ตค่ายอื่นแล้วต้องการซื้อไปติดตั้งใช้งาน เป็นเราเตอร์ตัวหลักอาจจะใช้งานได้ไม่สมบูรณ์แบบ กับอีกเรื่องคือราคาค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับรุ่นอื่นๆในท้องตลาด

Gallery

]]>
Review : Nokia 6.1 Plus จอไร้ขอบขนาดเหมาะมือ https://cyberbiz.mgronline.com/review-nokia-6-1-plus/ Tue, 13 Nov 2018 09:05:56 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=29671 Nokia 6.1 Plus เหมาะกับผู้ที่ต้องการสมาร์ทโฟนที่มองไม่เหมือนสมาร์ทโฟนจีน รวมถึงทุกคนที่ต้องการประสบการณ์ใหม่ในการใช้งานสมาร์ทโฟน โดยเฉพาะ Android One ที่จะรับประกันว่าเครื่องจะได้อัปเดทระบบแน่นอนภายใน 2 ปีหลังจากซื้อ บนราคาที่ถือว่าเป็นระดับเริ่มต้นของสมาร์ทโฟนระดับกลาง

ข้อดี

– รูปลักษณ์พรีเมี่ยม ดูหรูแวววาว
– ขนาดกะทัดรัดกำลังดี
– จอแสดงผลยอดเยี่ยม
– ระบบ Android One เร็วและไม่รก

ข้อสังเกต

– การถ่ายภาพในที่แสงน้อยยังไม่น่าพอใจ
– ระบบสแกนนิ้วผิดพลาดบ่อย

*** กระจกเงาให้ความหรู

ไม่ถึง 2 ปีดีหลังจากที่ HMD Global ชุบชีวิต Nokia ขึ้นมา วันนี้สมาร์ทโฟนแบรนด์ Nokia ถูกมองว่าสามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้แล้ว บนจุดยืนเรื่องความจงรักภักดีกับโครงการ Android One ของ Google อย่างเหนียวแน่น ซึ่งกรณีของ Nokia 6.1 Plus ที่รับไม้ต่อจาก Nokia 6 และ Nokia 6.1 ถือว่าเป็นอีกจุดขายที่เสริมให้ Nokia 6.1 Plus น่าเชื่อถือมากขึ้น

สิ่งที่มีใน Nokia 6.1 Plus คือการอัปเดทฮาร์ดแวร์ที่ดีขึ้น บนรูปลักษณ์ใหม่ซึ่งหลายคนบอกว่าต่างจาก Xiaomi และ Honor ซึ่งเป็นคู่แข่งในตลาดระดับราคาเดียวกัน ด้านหน้าของ Nokia 6.1 Plus คือจอใหญ่ไร้ขอบดูธรรมดาทั่วไป แต่บอดี้ด้านข้างที่ใช้อะลูมิเนียม คู่กับฝาหลังที่ทำจากกระจกนั้นทำให้เครื่องมีความโดดเด่นสวยงามดี ทำให้ดูราคาแพงกว่าที่เป็นจริง

เครื่องสีขาวที่ทดลองใช้งานนั้นไม่เห็นลายนิ้วมือหรือรอยเปื้อนเลย จุดนี้ผู้สนใจควรสังเกตให้ดีหากต้องการซื้อสีดำ จุดนี้ข้อมูลระบุว่าหน้าจอ IPS ของ Nokia 6.1 Plus มีขนาด 5.86 นิ้ว ความละเอียด FHD (1080 x 2280 พิกเซล) ความละเอียดเม็ดสี 432 ppi อัตราส่วนภาพ 19:9 โดย Nokia 6.1 Plus เป็นรุ่นแรกสำหรับโทรศัพท์โนเกียที่มีรอยบาก ตัวหน้าจอใช้ Corning Gorilla Glass 3 เพื่อป้องกันรอยขีดข่วน

กล้อง 2 ตัวด้านหลังเรียงกันในแนวตั้งอยู่บนแฟลช ทั้งหมดยื่นออกมาเล็กน้อยเพื่อให้โทรศัพท์ไม่ราบเรียบบนผิวเครื่อง จุดนี้ต้องปรบมือให้เพราะโมดูลกล้องและเซ็นเซอร์ลายนิ้วมือด้านล่างมีโครเมี่ยมเงาล้อมอยู่รอบตัว ดูแวววาวน่าสนใจมากขึ้นเหมือนปุ่มเพาเวอร์และปุ่มปรับระดับเสียง

Nokia 6.1 Plus ถือเป็น 1 ในโทรศัพท์สมาร์ทโฟนขนาดกะทัดรัดที่สุดในตลาดในขณะนี้ขนาดไล่เลี่ยกับ Pixel 2 ความหนาเครื่องคือ 8 มม. น้ำหนัก 151 กรัม แทบทุกคนตกใจกับราคาเครื่องที่บอกว่าอยู่ระดับ 8,990 บาท เนื่องจากคิดว่าราคาเครื่องจะสูงกว่านี้

***ชิปวางใจได้

Nokia 6.1 Plus แตกต่างจากโทรศัพท์โนเกียรุ่นก่อนที่การใช้ชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 636 พร้อมชิปเซ็ต Kryo 260 ซึ่งเป็นชิปเดียวกับสมาร์ทโฟนคู่แข่งรายอื่นเช่น Asus Zenfone Max Pro M1 และ Xiaomi Redmi Note 5 Pro จุดนี้ Nokia 6.1 Plus ทำคะแนนทดสอบประสิทธิภาพเครื่องได้ไม่เป็นรองใคร ด้วยแรม 4GB และพื้นที่จัดเก็บข้อมูลภายในขนาด 64GB ซึ่งสามารถขยายได้ด้วยการ์ด microSD

Nokia 6.1 Plus ถือว่าใช้งานได้ดีในชีวิตประจำวัน แม้ว่าจะมีอาการกระตุกเล็กน้อยหากสแกนลายนิ้วมือติดกันบ่อยมากเกินไป ตัวเครื่องรองรับการเล่นเกมส่วนใหญ่ แต่เกมแบบกราฟิกที่เข้มข้นเช่น PUBG Mobile จะทำงานโดยใช้ค่ากราฟิกต่ำที่สุด

การทดสอบบน AuTuTu Benchmark v7.1.0 พบว่า Nokia 6.1 Plus เครื่องที่ทีมงานได้รับมาทดสอบนั้นทำคะแนน 117,260 แต้ม โดยการทดสอบแบตเตอรี่ที่ HMD เคลมว่าสนทนาต่อเนื่องได้ 20.5 ชั่วโมง พบว่าหากเครื่องมีแบตเตอรี่เหลือ 40% ทำให้ยังใช้งานต่อได้มากกว่า 4 ชั่วโมง

 

นอกจากนี้ Nokia 6.1 Plus ยังรองรับ QuickCharge 3.0 ซึ่งช่วยให้ชาร์จแบตเตอรี่ได้ตั้งแต่ 0 ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ในเวลาประมาณ 80 นาทีเร็วทันใจ ใช้ USB Type-C สำหรับชาร์จ ไม่สามารถถอดแบตเตอรี่เปลี่ยนได้ ขนาดความจุ 3,060 mAh

Nokia 6.1 Plus มาพร้อมกับถาดไฮบริดเพื่อให้สามารถใช้ซิมการ์ด 4G แบบนาโนซิม 2 ชิ้น หรือจะยอมเสียช่องหนึ่งสำหรับใส่การ์ด microSD แทน

กล้องหลัง 2 ตัวของ Nokia 6.1 Plus ใช้เซ็นเซอร์หลัก 16 MP f/2.0 พร้อม PDAF และเซ็นเซอร์วัดความลึก 5MP f/2.4 หากอยู่ในสภาพแสงกลางวัน รูปภาพจะสวยบนสีสมบูรณ์แบบ เรียกว่าภาพมีความคมชัดและมีรายละเอียดที่ดี สามารถโฟกัสได้อย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับการถ่ายภาพบุคคล ซึ่งตรวจจับได้ดีบนโทนสีผิวที่สวยสมบูรณ์แบบ

แต่ในสภาพแสงน้อย Nokia 6.1 Plus มีอาการภาพเบลอ โดยเฉพาะการถ่ายวัตถุที่เคลื่อนไหวในสภาพแสงน้อย

โดยรวมแล้ว Nokia 6.1 Plus ทำให้เรารู้สึกประทับใจกับกล้องทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เพราะเมื่อใช้ถ่ายภาพในเวลากลางวัน การทำ bokeh เกิดขึ้นได้ง่ายดายและมีการจัดการเพื่อเบลอพื้นหลังโดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดเลย

กล้องด้านหน้าของ Nokia 6.1 Plus ละเอียด 16MP f / 2.0 สามารถจับภาพ selfies หน้าเนียนได้แม้จะใช้งานในอาคาร ถึงจะเป็นเลนส์เดี่ยวก็ไม่มีปัญหาในการถ่ายภาพโหมด bokeh เช่นเดียวกับโหมดที่ Nokia พยายามขายอย่าง Dual-Sight Bothie การถ่ายภาพนิ่งและวิดีโอด้วยกล้องหน้าและหลังพร้อมกันในโหมดนี้เป็นประโยชน์มากสำหรับการถ่ายวิดีโอเด็กหรือสัตว์เลี้ยง ซึ่งสามารถทำ LIVE สดไปยัง Facebook และ YouTube ได้ด้วยคลิกเดียว

ใครชอบลูกเล่น 3D AR สติกเกอร์ไม่ผิดหวัง เช่นเดียวกับโหมดถ่ายภาพบุคคลที่ทำงานได้ไม่เลวเลย การซูมเข้าหรือออกในระหว่างการบันทึกวิดีโอพบอาการสะดุดเล็กน้อย

บทสรุปคือกล้องใน Nokia 6.1 Plus อยู่ในระดับใช้ได้ แต่หากเทียบกับสมาร์ทโฟนระดับกลางรุ่นอื่น Nokia 6.1 Plus ถือว่ายังไม่ดีพอสำหรับความคาดหวังที่หลายคนตั้งไว้

*** ซอฟต์แวร์ไม่รก

เช่นเดียวกับโทรศัพท์รุ่นอื่นของ HMD Global สมาร์ทโฟน Nokia 6.1 Plus เป็นสมาร์ทโฟน Android One ที่จะจัดส่งด้วยระบบปฏิบัติการ Android 8.1 Oreo ที่สามารถอัปเดทเป็น Android 9 Pie ได้แล้ว และคาดว่าจะได้เป็น Android Q เร็วกว่าสมาร์ทโฟนแบรนด์อื่น

ความเป็น Android One จะทำให้ Nokia 6.1 Plus ได้รับการอัปเกรดแน่นอนในระยะเวลา 2 ปีหลังจากซื้อเครื่อง ขณะเดียวกันก็ได้อัปเดทระบบรักษาความปลอดภัยรายเดือนต่อเนื่อง 3 ปี

แอปที่น่าสนใจใน Nokia 6.1 Plus คือ Nokia Camera ที่ถือว่ามีประโยชน์ สามารถตั้งค่าท่าทางเพื่อเปิดใช้งานกล้องได้รวดเร็วขึ้น ที่สำคัญคือชาว Nokia 6.1 Plus ควรอัปเกรด Android Pie จึงจะสามารถใช้งานระบบสั่งการด้วยท่าทางได้ดีขึ้น

*** ราคาเปิดตัว 8,990 บาท

Nokia 6.1 Plus มีราคา 8,990 บาท เหมาะสำหรับคนที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนระดับกลางที่ต้องการเน้นเซลฟี่ ซีพียูไว้วางใจได้ บนหน้าจอใหญ่ไร้ขอบที่ขนาดเครื่องไม่ใหญ่โตเกินงาม

แม้ในเครื่องที่ทีมงานทดสอบจะพบข้อผิดพลาดที่ระบบอ่านลายนิ้วมือบ่อยครั้ง แต่ต้องยอมรับว่า Nokia 6.1 Plus ทำงานด้านอื่นได้เสถียรดี กลายเป็นอีกสมาร์ทโฟนไร้ขอบที่น่าสนใจในตลาดขณะนี้

สรุปคุณสมบัติเด่น Nokia 6.1 Plus:

หน่วยประมวลผล (CPU / GPU) Qualcomm SnapdragonTM 636 Octa-core 1.8 GHz Kryo 260 / Adreno 509
หน้าจอขนาด 5.86 นิ้ว ความละเอียด FHD+ (1080 x 2280 พิกเซล, 19:9) ประมาณ 432 ppi
ระบบปฎิบัติการ Android 8.1 Oreo อัปเดทเป็น Android 9 Pie
หน่วยความจำในตัว 64 GB eMMC 5.1 พร้อมรองรับ MicroSD Card สูงสุด 400 GB
รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด, USB Type-C
รองรับเครือข่าย 2G/3G/4G
RAM 4GB
กล้องหลังคู่ความละเอียด 16MP + 5MP
กล้องหน้าความละเอียด 16MP
รองรับระบบสแกนลายนิ้วมือ Fingerprint Scan
มีฟีเจอร์สแกนใบหน้าปลดล็อคเครื่อง
แบตเตอรี่ 3,060 mAh ชาร์จแบบ 5V/2A 10 W
ราคา 8,990 บาท.

]]>