Plantronics – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Wed, 02 Oct 2019 09:46:34 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : Plantronics BackBeat Pro 5100 หูฟัง True Wireless ที่ไมค์ดีรุ่นหนึ่งในเวลานี้ https://cyberbiz.mgronline.com/review-plantronics-backbeat-pro-5100/ Wed, 02 Oct 2019 09:46:05 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=31309

การเข้ามารุกตลาดหูฟังบลูทูธไร้สายแบบ True Wireless ในกลุ่มพรีเมียมของ Plantronics ถือว่าเป็นไปตามเทรนด์ของตลาดหูฟังที่เกิดขึ้นในเวลานี้ เพราะสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่หลายๆ รุ่นได้ตัดช่องเสียบหูฟังออกไปแล้ว

BackBeat Pro 5100 มีจุดเด่นที่เรียกได้ว่าเหนือกว่าคู่แข่งแบรนด์อื่นๆ ตรงเรื่องของไมค์สนทนา ที่ Plantronics มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง มาเสริมด้วยเซ็นเซอร์รุ่นใหม่ของ Qualcomm ที่ทำให้การเชื่อมต่อบลูทูธในรุ่นนี้เสถียรมากขึ้น

ข้อดี

หูฟังบลูทูธแบบ TrueWireless ใช้งานได้ต่อเนื่อง 6.5 ชม. + เคสชาร์จรวมเป็น 20 ชม.

ไมค์โครโฟนที่ตัดเสียงรบกวนรอบข้าง

รองรับทั้งการแตะ และกดในการสั่งงาน
รับประกัน 2 ปี

ข้อสังเกต

ไม่มีระบบตัดเสียงระกวน (ANC) ใช้จุกอุดหูแทน

พอร์ตชาร์จยังเป็น MicroUSB

ดีไซน์ และการใช้งาน

ด้วยการที่ต้องการออกแบบมาให้พกพาง่าย BackBeat Pro 5100 จึงถูกออกแบบทั้งเคส และหูฟัง ให้มีขนาดที่ค่อนข้างเล็ก โดยตัวเคสที่เก็บหูฟังจะใช้วัสดุเป็นพลาสติก ที่มีปุ่มกดเพื่อปลดล็อกฝาที่จะเด้งขึ้นมาให้หยิบหูฟังได้สะดวก

ส่วนข้างใต้เคสจะมีช่องเสียบชาร์จที่เป็นพอร์ต Micro-USB มาให้ ซึ่งในจุดนี้ค่อนข้างน่าเสียดายที่ยังใช้สายแบบเก่าอยู่ในขณะที่สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ ในปัจจุบันหันมาใช้งาน USB-C กันหมดแล้ว

เมื่อเปิดฝาเคสขึ้นมาก็จะพบกับหูฟังไร้สาย 2 ข้าง ที่มีแม่เหล็กยึดติดกับตัวกล่อง ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าตัวหูฟังจะหลุดออกจากกล่องโดยไม่ตั้งใจ เพราะด้วยการที่เป็นหูฟังไร้สายขนาดเล็ก ถ้าไม่มีตรงจุดนี้จะหล่นหายได้ง่ายมาก

ในส่วนของตัวหูฟังจะออกแบบมาให้เป็นลักษณะของจุกยางที่ใส่เข้าไปในรูหู ซึ่งนอกจากจะช่วยตัดเสียงรบกวนรอบข้างแล้ว ยังช่วยให้การใส่ใช้งานกระชับด้วย

น้ำหนักของหูฟัง BackBeat Pro 5100 อยู่ที่ข้างละ 5.8 กรัม เมื่อใส่รวมกับเคสชาร์จจะอยู่ที่ 38.6 กรัม โดยที่ตัวหูฟังสามารถถอดจุกยางเพื่อเปลี่ยนขนาดให้เหมาะสมกับการใช้งานได้ด้วย

ภายในกล่องของ BackBeat Pro 5100 นอกจากตัวเคส และหูฟังแล้ว ก็จะมีจุกยางให้เลือกใช้งานด้วยกัน 3 ขนาด แล้วก็จะมีสายไมโครยูเอสบีสำหรับเสียบชาร์จมาให้

การสั่งงาน และเชื่อมต่อใช้งาน

ในการใช้งานครั้งแรก ผู้ใช้จำเป็นต้องเชื่อมต่อ BackBeat Pro 5100 เข้ากับสมาร์ทโฟนก่อน ด้วยการใส่หูฟังทั้ง 2 ข้าง และกดปุ่มที่หูฟังทั้ง 2 ข้างพร้อมกัน เพื่อเข้าสู่โหมดการเชื่อมต่อ หลังจากนั้นก็สามารถเชื่อมต่อจากเมนูบลูทูธบนสมาร์ทโฟนได้ทันที

ถ้าต้องการตั้งค่าหูฟังเพิ่มเติมสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน BackBeat มาเชื่อมต่อเพื่อเข้าไปตั้งค่าต่างๆ เพิ่มเติมได้ ไม่ว่าจะเป็นการแตะสั่งงาน 1 ครั้ง 2 ครั้ง ว่าจะให้หูฟังทำอะไร

รวมถึงการเข้าไปดูสถานะแบตเตอรี อัปเดตเฟิร์มแวร์ของอุปกรณ์ เปิดปิดการใช้งาน HD Voice (เมื่อเปิดใช้คุณภาพเสียงจะดีขึ้น แต่กินแบตฯ มากกว่าเดิม) การเปิดใช้งาน Smart Sensor ที่จะเล่นเพลง / หยุด เพลงทันทีที่เราใส่ หรือถอดหูฟัง หรือสั่งปิดไมค์ทันทีที่ถอดหูฟังออดเป็นต้น

สิ่งที่น่าสนใจใน BackBeat Pro 5100 คือเมื่อเลือกนำบลูทูธ 5.0 มาใช้ ทำให้การเชื่อมต่อหูฟังทั้ง 2 ข้างกับสมาร์ทโฟนแยกออกจากกัน ดังนั้นปัญหาคลื่นรบกวนระหว่างหูฟังทั้ง 2 ข้างเมื่อเจอสัญญาณ Wi-Fi ภายในห้างจึงลดน้อยลง

ส่วนแบตเตอรีเท่าที่ลองใช้งานสามารถใช้ฟังเพลงต่อเนื่องราว 6-7 ชั่วโมง กรณีที่แบตหมด สามารถเก็บเข้าไปในเคสชาร์จเพื่อใช้งานได้เพิ่มอีก 13 ชั่วโมง ตามที่ Plantronics เคลมไว้

ตัดเสียงรบกวนทั้งหูฟัง และไมค์

จุดเด่นหลักของ BackBeat Pro 5100 จะอยู่ที่ไมโครโฟนสนทนา ที่มีไมค์ตัดเสียงรบกวนรอบข้าง ทำให้เวลาใช้งานสนทนา คู่สนทนาจะได้ยินเสียงสนทนาที่ชัดเจน แตกต่างจากหูฟัง True Wireless แบรนด์อื่นๆ ในท้องตลาดที่มักจะมีปัญหาในเรื่องของไมค์สนทนา

ทีมงานได้ลองทดสอบใส่หูฟัง BackBeat Pro 5100 แล้วลองคุยโทรศัพท์บริเวณที่มีเสียงรบกวน อย่างริมถนน หรือนั่งอยู่หน้าพัดลมที่เป่าเข้าหาตัว ก็พบว่าคู่สนทนาไม่ได้ยินเสียงรบกวนแต่อย่างไร

ถัดมาในส่วนของการตัดเสียงรบกวนของหูฟัง BackBeat Pro 5100 ไม่ได้มากับ ANC (Active Noise Cancelling) ที่เป็นการนำไมค์มาประมวลเสียงรอบข้างแล้วส่งคลื่นความถี่ดิจิทัลออกมาตัดเสียงรบกวน

แต่ใช้การออกแบบจุกหูฟังให้ตัดเสียงรบกวนจากภายนอก หรือที่เรียกว่า Noise-isolate Eartip แทน ซึ่งมาช่วยให้แบตเตอรีสามารถใช้งานได้นานกว่าหูฟังที่มีระบบ ANC ด้วย

ในส่วนของการตัดเสียงรบกวน ทีมงานทดลองนำไปใช้บนเครื่องบิน ก็ถือว่าช่วยตัดเสียงรบกวนรอบข้างได้เป็นอย่างดี แต่ก็มีจุดที่น่าเสียดายคือ ไม่ได้มีโหมดรับเสียงจากรอบข้างมาให้ด้วย ทำให้เวลาจะคุยหรือสื่อสารต้องถอดหูฟังออก

สรุป

ถ้ามองไปในตลาดหูฟัง True Wireless เวลานี้ การทำตลาดของ BackBeat Pro 5100 ที่ราคา 6,590 บาท ถือว่าอยู่ในระดับกลางๆ ที่สามารถหาซื้อได้ โดยมีจุดเด่นอยู่ที่เรื่องของเสียงสนทนา กับระยะเวลาการใช้งานต่อเนื่องที่ 6 ชั่วโมง

Gallery

]]>
Review : Plantronics BackBeat Fit 3100 หูฟังไร้สาย เจาะกลุ่มออกกำลังกาย https://cyberbiz.mgronline.com/review-plantronics-backbeat-fit-3100/ Mon, 22 Oct 2018 09:24:36 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=29511

หูฟังไร้สายสำหรับออกกำลังกายอย่างแท้จริง กลายเป็นคำนิยามของ BackBeat Fit 3100 จาก Plantronics ที่ได้รับการยอมรับในแง่ของการผลิตหูฟังบลูทูธคุณภาพสูง ที่ช่วงหลังหันมาจับกลุ่มผู้ใช้งานที่เป็นไลฟ์สไตล์มากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบการฟังเพลงระหว่างออกกำลัง

BackBeat Fit 3100 ถือเป็นหูฟังรุ่นแรกของ Plantronics ที่ทำออกมาในรูปแบบของ True Wireless หรือหูฟังบลูทูธแบบไร้สาย ที่ทั้ง 2 ข้างเชื่อมต่อกันผ่านระบบบลูทูธ ไม่เหมือนหูฟังบลูทูธแบบสเตอริโอสมัยก่อนที่จะมีสายคล้องระหว่างหูซ้ายและขวาด้วย

ในตลาดหูฟังไร้สายปัจจุบัน อาจจะเห็นหูฟังแบบ True Wireless จากผู้ผลิตหลายๆรายไม่ว่าจะเป็น โซนี่ (Sony) จาบร้า (Jabra) โบส (Bose) หรืออีกหลายๆรุ่นออกมา แต่จะเห็นได้ว่าหูฟังเกือบทุกรุ่นในตลาดสำหรับออกกำลังจะเป็นแบบ In-Ear หรือเป็นจุดยัดไปในหูทั้งหมด

ทำให้กลายเป็นว่า เวลาใช้หูฟัง In-Ear ออกกำลังก็จะไม่ได้ยินเสียงรอบข้าง หรือได้ยินเสียงเท้าตัวเองเวลาวิ่งบ้าง จะมีก็เพียง Apple Airpods ที่ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับออกกำลังกายโดยเฉพาะเท่านั้น ที่เป็นหูฟัง True Wireless แบบที่ใส่ให้เกี่ยวกับรูหูเท่านั้น ทำให้กลายเป็นว่ายังมีช่องว่างที่ Plantronics เห็นและหวังเข้ามาจับกลุ่มนี้โดยเฉพาะ

ข้อดี

หูฟังบลูทูธแบบ True Wireless ที่ใช้การเกี่ยวใบหู ทำให้มั่นใจได้ว่าจะไม่หลุดแน่ๆ
หูฟังไม่ได้เป็นแบบ In-Ear ทำให้เหมาะกับการใส่ออกกำลังหายได้ทุกที่ ทุกเวลา
แบตเตอรีสามารถใช้ได้ต่อเนื่อง 5 ชั่วโมง + กล่องที่ชาร์จได้อีก 10 ชั่วโมง
มีการออกแบบปุ่มควบคุมให้ใช้ได้โดยไม่ต้องสั่งงานด้วยเสียง
กันน้ำ มาตรฐาน IP57 น้ำลึกไม่เกิน 1 เมตร 30 นาที

ข้อสังเกต

ภายในกล่องไม่ได้มีจุกหูฟังให้เลือกเปลี่ยนขนาด
ราคา 6,990 บาท อาจจะสูงไปสักหน่อย แต่แลกกับคุณภาพเสียง+ไร้สาย
ไม่มีระบบตัดเสียงรบกวน (noise cancelling) เพื่อให้เหมาะกับการออกกำลังกายเป็นหลัก

ใส่สบาย เบา ไม่หลุด

ต้องนับว่า Plantronics ค่อนข้างมาช้าในตลาดหูฟังแบบ True Wireless เพราะแบรนด์อื่นๆ เริ่มทยอยออกหูฟังในรูปแบบดังกล่าวมาเกือบ 2 ปีแล้ว แต่เมื่อมาช้าแล้ว Plantronics จึงทำการบ้านค่อนข้างเยอะ ในการออกแบบให้เป็นหูฟังบลูทูธที่เหมะากับการใช้งานจริงๆ

ด้วยซีรีส์ของ BackBeat Fit ที่ออกมาจับกลุ่มที่เป็นนักกีฬา สวมใส่เพื่อใช้ออกกำลังอยู่แล้ว ดังนั้นเป้าหมายสำคัญของการออก BackBeat Fit 3100 ออกมาคือ ต้องเป็นหูฟังไร้สายที่เหมาะกับการใส่ออกกำลังกายมากที่สุด

จะเห็นได้จากการออกแบบของ Plantronics ที่ไม่ได้ใส่ใจในเรื่องของดีไซน์ที่ออกมาต้องดูล้ำ และทันสมัย แต่เน้นการออกแแบบมาเพื่อให้ใช้งานจริง ด้วยการคงรูปแบบการเป็นหูฟังบลูทูธที่มากับที่เกี่ยวหู เพียงแต่ใช้วัสดุที่เป็นพลาสติกน้ำหนักเบา เพื่อให้สวมใส่แล้วสบายที่สุด

ขณะเดียวกัน ตัวจุกหูฟังที่เป็นยางถูกออกแบบมาให้เป็นแบบสวมหูปกติ แต่มีการดีไซน์ให้เข้ากับรูหูมากที่สุด เพื่อให้สวมใส่แล้วรู้สึกพอดีๆ เพื่อไม่ให้เวลาที่ออกกำลังกายแล้วจะรู้สึกไม่สบายเวลาสวมใส่ ที่สำคัญเมื่อมีตัวเกี่ยวหูมาให้ ถึงออกกำลังแรงแค่ไหนก็ไม่ต้องกลัวหลุด

BackBeat Fit 3100 น้ำหนักรวมทั้ง 2 ข้างจะอยู่ที่ 22 กรัม หรือข้างละ 11 กรัมเท่านั้น ภายในมีแบตเตอรีขนาด 90 mAh อยู่ โดยเคลมว่าสามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง 5 ชั่วโมง ซึ่งถ้านำไปใช้วิ่งก็อาจจะได้แค่วิ่งแบบฮาล์ฟมาราธอน เท่านั้นถ้าไปวิ่งมาราธอน หรือออกกำลังกายรูปแบบอื่นที่เกิน 5 ชั่วโมงก็จะไม่เหมาะ

ส่วนที่เก็บหูฟัง ที่เป็นแท่นชาร์จไปในตัวจะมีแบตเตอรีขนาด 740 mAh อยู่ด้วย ใช้การชาร์จผ่านสายไมโครยูเอสบี ซึ่งเมื่อเก็บหูฟังเข้าไปตัวเครื่องก็จะปิดเครื่อง และชาร์จไฟโดยอัตโนมัติ วัสดุที่ใช้ก็จะเป็นยาง ผสมกับผ้าตรงที่เป็นส่วนของซิป

Gallery

My Tabs ให้เลือกตั้งการสั่งงาน

อีกจุดที่ Plantronics พัฒนาขึ้นมาคือ มีการใส่ปุ่มสั่งงาน+ปุ่มสัมผัส ไว้ในหูฟังด้วย โดยค่ามาตรฐานที่ตั้งมาหูฟังทางขวาจะใช้การกดเพื่อเล่นหยุดเพลง ส่วนทางซ้ายใช้แตะเพื่อเพิ่มเสียง และแตะค้างเพื่อลดเสียง

ในกรณีที่ต้องการตั้งค่าเพิ่มเติม ผู้ใช้จำเป็นต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน BackBeat มาติดตั้งบนสมาร์ทโฟนก่อน (มีทั้ง iOS และ Android) หลังจากเชื่อมต่อแล้ว จะสามารถเข้าไปตั้งค่า My Tap ได้ว่า จะใช้เพื่อควบคุมเสียง หรือตั้งเป็นปุ่มลัดอื่นๆ

โดยในแอปจะมีให้เลือกว่า แตะ 1 ครั้ง และแตะ 2 ครั้ง สำหรับเรียกใช้งาน ผู้ช่วยส่วนตัว (Siri / Google Assistant) ฟังสถานะแบตเตอรี บอกเวลา ตั้งจับเวลา เปิดเพลง ปิดไมค์ เป็นต้น ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้จะเลือกตั้ง

นอกจากนี้ ยังสามารถเข้าไปเลือกสลับด้านที่ถนัดซ้ายขวาได้ รวมถึงเลือกภาษาของหูฟัง ที่ปัจจุบันรองรับภาษาไทยแล้ว ที่เหลือก็จะมีให้ตั้งการใช้ไมค์แบบ HD Voice เปลี่ยนชื่อ รวมไปถึงอัปเดตเฟิร์มแวร์ต่างๆ

ข้อจำกัดหูฟัง True Wireless

อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดขึ้นกับหูฟังแบบ True Wireless ทุกๆแบรนด์ที่เจอคือ เวลาใช้งานในสถานที่อย่างห้างสรรพสินค้า หรือในบางจุดที่มีคลื่นรบกวนมากๆ จะทำให้การเชื่อมต่อระหว่างหูฟัง กับโทรศัพท์ติดๆ ดับๆ ซึ่งเป็นข้อจำกัดของหูฟังที่เป็นแบบไร้สาย

เนื่องจากในการใช้งานแบบไร้สาย นอกจากที่ตัวหูฟังจะเชื่อมกับสมาร์ทโฟนผ่านบลูทูธแล้ว ระหว่างหูซ้าย-ขวา ที่เชื่อมกับจะใช้เทคโนโลยีบลูทูธด้วยมาช่วยในการส่งสัญญาณ ด้วยซึ่งกลายเป็นว่า เมื่ออยู่ในสถานที่ที่มีสัญญาณ Wi-Fi หนาแน่น อย่างในห้างสรรพสินค้า จะเกิดอาการคลื่นรบกวน ทำให้การเชื่อมต่อไม่ราบลื่น

แต่กลับกันถ้าไปใช้ในบริเวณสถานที่ออกกำลัง หรือใช้งานในชีวิตประจำวันทั่วไป อาการดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้น ดังนั้นถ้าใครใช้แล้วเจออาการดังกล่าวก็ไม่ต้องแปลกใจไป

]]>
Review : Plantronics Voyager 3240 หูฟังบลูทูธ ดีไซน์สวย และเทคโนโลยีฉลาดๆ https://cyberbiz.mgronline.com/review-plantronics-voyager-3240/ Tue, 21 Nov 2017 07:26:03 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=27679

ถ้าต้องการมองหาหูฟังบลูทูธสำหรับการใช้งานในกลุ่มมืออาชีพ หนึ่งในแบรนด์ที่ผุดขึ้นมาทันทีเลยคงหนีไม่พ้น Plantronics เพราะที่ผ่านมาได้รับการยอมรับจากกลุ่มผู้ใช้งานหูฟังบลูทูธ ที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารอย่างต่อเนื่อง

จนล่าสุด ซิสเตมส์ 2000 ผู้นำเข้าและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Plantronics ในไทย ได้นำรุ่นใหม่เข้ามาทำตลาดอย่าง Plantronics Voyager 3240 มาขยายกลุ่มผู้ใช้งานหูฟังสำหรับสื่อสารให้มีตัวเลือกที่มากขึ้น ในช่วงราคาที่หลากหลาย

โดยแต่เดิมซีรีส์ของ Voyager จะเน้นในกลุ่มผู้ใช้งานที่เป็นนักธุรกิจ ต้องการหูฟังบลูทูธที่มาช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ให้แก่ผู้ใช้งาน พร้อมทั้งต้องมีเทคโนโลยีที่มาช่วยให้ไม่พลาดการสื่อสารด้วย ดังนั้นการมาของ Voyager 3240 จึงเข้ามาตอบโจทย์ดังกล่าวทั้งหมด

การออกแบบ

สิ่งที่ Plantronics เน้นมากขึ้นในช่วงหลังๆคือ การออกแบบหูฟังไม่ให้ดูเป็นหูฟังอวกาศมากเกินไป ประกอบกับเทรนด์หูฟังบลูทูธแบบที่ไม่ต้องเกี่ยวหูได้รับความนิยมมากขึ้น พอมาเป็น Plantronics Voyager 3240 จึงถูกออกแบบมาให้เป็นหูฟังที่เน้นความโฉบเฉี่ยว และล้ำสมัยเป็นหลัก เหมือนกับในรุ่น Voyager Edge ที่ออกมาก่อนหน้านี้ โดยน้ำหนักเบาเพียง 9 กรัมเท่านั้น

โดยที่บริเวณตัวเครื่องจะมีปุ่มเปิดปิดเครื่องอยู่ที่ขอบขวา และปุ่มเพิ่มลดเสียงกับช่องเสียบสายชาร์จไมโครยูเอสบีอยู่ทางฝั่งซ้าย ส่วนปุ่มกดหลักจะซ่อนอยู่บริเวณที่เป็นลายๆ ที่สามารถกดลงไปได้ ถัดมาเป็นไมโครโฟนไว้ช่วยในการตัดเสียงรบกวน

ส่วนที่บริเวณก้านไมโครโฟนรับเสียงที่ยื่นออกมาจะมีปุ่มสำหรับสั่งงานด้วยเสียง และบริเวณปลายๆก็จะมีการเล่นลวดลายที่ซ่อนความหรูของหูฟังบลูทูธด้วยขอบสีแดง ส่วนภายในก้านก็จะมีสัญลักษณ์ของแบรนด์ Plantronics และขั้วชาร์จไฟจากกล่องเก็บหูฟัง

ตัวกล่องเก็บหูฟังที่แถมมาให้จะรองรับการชาร์จไฟในตัว โดยผู้ใข้สามารถนำหูฟังวางเข้าไปในกล่อง เมื่อล็อกเรียบร้อยก็จะทำการชาร์จทันที โดยที่ตัวกล่องจะมีไฟสัญลักษณ์บอกปริมาณของแบตเตอรีทั้งตัวกล่อง (ซ้าย) และหูฟัง (ขวา) ว่าเต็มอยู่หรือชาร์จอยู่ด้วย

สำหรับอุปกรณ์ที่ให้มาภายในกล่อง นอกจากตัวหูฟังบลูทูธ Plantronics Voyager 3240 ที่มีจุดยางให้เลือกเปลี่ยน 3 ขนาด และขาพลาสติกไว้เกี่ยวหู ก็จะมีชาร์จเคสที่เป็นทั้งกล่องเก็บหูฟัง และแท่นชาร์จภายในตัว พร้อมสายไมโครยูเอสบี และสายคล้องคอสำหรับผู้ที่ต้องการพกติดตัวเหมือนเครื่องประดับชิ้นหนึ่งแทน

Gallery

ฟีเจอร์เด่น

จุดเด่นหลักของ Plantronics ที่รับรู้กันดีคือการเป็นหูฟังบลูทูธคุณภาพสูง ที่โดดเด่นในเรื่องของการตัดเสียงรบกวนรอบข้าง ด้วยการใส่ไมโครโฟนมาด้วยกัน 3 ตัวทั้งเพื่อการรับเสียง และตัดเสียงรบกวน ทำให้การสื่อสารเวลาที่อยู่ในพื้นที่กลางแจ้งสามารถใช้งานได้สะดวกขึ้น

ถัดมาคือความฉลาดของ Voyager 3240 ที่มีมาตั้งแต่รุ่น Voyager 5200 คือเรื่องของการใส่เซ็นเซอร์ตรวจจับการใส่ใช้งานมาให้ เมื่อนำหูฟังสวมเข้าไปในหู ตัวหูฟังจะรับรู้ว่าขณะนี้กำลังสวมอยู่อยู่ เมื่อถอดออกก็จะรู้ว่าถอดออก

การที่หูฟังสามารถตรวจจับการถอดหรือใส่ได้ ช่วยอะไรผู้ใช้? ก็คือความฉลาดของหูฟังบลูทูธ อย่างกรณีมีสายเรียกเข้า ถ้าผู้ใช้หยิบ Voyager 3240 ใส่เข้าหูก็จะทำการรับสายอัตโนมัติ หรือกรณีที่ไมไ่ด้ใส่อยู่ แม้จะมีการเชื่อมต่อเวลารับโทรศัพท์เสียงก็จะออกจากลำโพงสมาร์ทโฟนตามปกติเป็นต้น

นอกจากนี้ เมื่อสวย Voyager 3240 เข้าไปก็จะมีเสียงแจ้งเตือนการเชื่อมต่อ สถานะแบตเตอรี บอกอยู่ กรณีที่มีสายเรียกเข้าถ้ามีการบันทึกชื่อไว้ก็จะอ่านชื่อให้ฟัง หรือถ้าไม่มีก็จะบอกหมายเลขแทน ทำให้สามารถกดปุ่มรับที่ตัวหูฟังเพื่อรับสายได้ โดยไม่ต้องหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาเลย

หรือจะในแง่ของการสั่งงานด้วยเสียงสามารถ พูดสั่ง Answer เพื่อรับสาย หรือ Ignor เพื่อตัดสายได้ และเมื่อใช้งานร่วมกับแอปพลิเคชัน Plantronic Hub ก็จะสามารถควบคุมหูฟังบลูทูธได้หลากหลายมากขึ้น

ขณะเดียวกัน ด้วยความสามารถในการเชื่อมต่อของบลูทูธ 4.1 ทำให้ระยะในการเชื่อมต่อเพิ่มขึ้น จากในรุ่นก่อนหน้าจะอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 10 เมตร แต่ในรุ่น Voyager 3240 สามารถเชื่อต่อได้เกือบๆ 30 เมตร โดยเมื่อได้ทดลองใช้ก็พบว่าระยะใช้งานไกลขึ้นจริงๆ แม้ว่าจะผ่านผนัง หรือประตูก็สามารถส่งสัญญาณได้ชัดเจน รวมถึงการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่าน NFC ก็ทำได้เช่นกัน

รวมถึงการที่สามารถใช้แอปสั่งงานเพื่อค้นหาหูฟัง โดยตัวหูฟังจะมีการปล่อยเสียงออกมา เพื่อให้หาได้ง่ายขึ้น หรือจะดูจากจุดที่มีการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนล่าสุดได้ด้วย

ทั้งนี้ Voyager 3240 จะมากับเคสใส่หูฟังบลูทูธ ที่เป็นที่ชาร์จแบบพกพาไปในตัว ผู้ใช้สามารถใช้เคสในการเก็บตัวหูฟังพร้อมชาร์จแบตไปได้ โดยที่ตัวเคสจะมีไฟสัญลักษณ์บอกอยู่ตลอดที่มีการเคลื่อนไหว

อย่างไรก็ตามในประเทศไทยจะวางจำหน่าย Voyager ในซีรีส์ 3200 จะแบ่งออกเป็นหลายรุ่นด้วยกัน คือถ้าเป็น 3200 จะมากับตัวหูฟังบลูทูธเพียงอย่างเดียวในราคา 3,990 บาท แต่ถ้าเป็น Voyager 3240 จะมากับเคสใส่พร้อมที่ชาร์จแบตในราคา 4,890 บาท โดยถ้าซื้อในราคาเต็มจะได้รับการขยายเวลารับประกันเป็น 2 ปี

สรุป

Plantronics Voyager 3240 เป็นหูฟังบลูทูธแบบ Mono ที่ออกมาจับกลุ่มนักธุรกิจที่ต้องการใช้งานหูฟังบลูทูธไร้สายเพื่อคุยงาน หรือติดต่อสื่อสารตลอดเวลา โดยชูจุดเด่นอยู่ที่การใช้งานได้ต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมง และสามารถชาร์จกับเคสเพื่อใช้งานได้อีก 10 ชั่วโมง และระยะเวลาสแตนบาย 7 วัน

เมื่อทดลองใช้งาน ระยะเวลาที่ใช้ก็ใกล้เคียงกับที่เคลมไว้ ส่วนเรื่องของคุณภาพเสียง ระยะในการเชื่อมต่อถือว่าคุ้มค่ากับราคาที่เสียไป แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจากเป็นหูฟังแบบ Mono เมื่อนำมาใช้ในการฟังเพลงเพื่อความบันเทิงอาจจะไมไ่ด้อรรถรสเท่าที่ควร แต่ถ้าเพื่อคุยงานด้วยประสิทธิภาพของหูฟังถือว่าตอบโจทย์

ข้อดี

– หูฟังบลูทูธที่มากับระบบตัดเสียงรบกวน

– ดีไซน์ดูทันสมัย สามารถใส่หูได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะหลุด

– ระยะการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์พกพาที่ได้ไกลถึง 30 เมตร

ข้อสังเกต

– ใช้งานต่อเนื่องได้ประมาณ 6 ชั่วโมง และชาร์จกับเคสใช้งานได้ต่ออีกราว 10 ชั่วโมง

– เป็นหูฟังบลูทูธแบบข้างเดียว ทำให้ไม่เหมาะกับใช้เพื่อความบันเทิง

– ราคาค่อนข้างสูง (4,890 บาท) จึงเหมาะกับผู้ที่เน้นการติดต่อสื่อสารสำคัญๆจริงๆ

]]>
Review : Plantronics Backbeat Pro 2 หูฟังบลูทูธตัดเสียงรบกวนราคาต่ำกว่าหมื่นบาท https://cyberbiz.mgronline.com/review-plantronics-backbeat-pro2/ Fri, 03 Mar 2017 07:06:51 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=25402

ตลาดหูฟังบลูทูธเริ่มกลับมาคึกคักอีกรอบในกลุ่มผู้ใช้ระดับบน ที่ต้องการเครื่องมือมาช่วยให้ใช้งานสมาร์ทโฟนได้สะดวกขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทั้งในแง่ของการติดต่อสื่อสารผ่านทั้งพีซี และสมาร์ทโฟน รวมถึงการใช้งานเพื่อความบันเทิงกับคุณภาพเสียงที่ได้

โดยจะเห็นได้จากการที่แบรนด์หูฟังทั้งหลายพยายามปรับตัวเน้นกลุ่มลูกค้าเฉพาะมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักธุรกิจ กลุ่มผู้ที่มีไลฟ์สไตล์ชื่นชอบการออกกำลังกาย และที่ขาดไม่ได้เลยคือกลุ่มผู้ใช้งานที่ต้องการหูฟังบลูทูธแบบตัดเสียงได้

Plantronics Backbeat Pro 2 ถือเป็นหูฟังบลูทูธแบบครอบหูที่มาพร้อมกับระบบตัดเสียงรบกวน (Noise Canceling) และในขณะเดียวกันก็ใช้ประโยชน์ของการเป็นผู้นำในด้านของการเป็นผู้นำในกลุ่มหูฟังบลูทูธนำไมโครโฟนมาใช้ในการรับเสียงรอบข้าง เพื่อให้สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องโดยไม่ต้องปลดหูฟังออกเมื่อต้องการฟังเสียงรอบข้าง

การออกแบบ

ด้วยการที่แต่เดิมสินค้าของแพลนโทรนิคส์จะเน้นจับกลุ่มผู้ใช้งานที่เป็นนักธุรกิจเป็นหลัก ทำให้สไตล์ในการออกแบบจะเน้นไปที่ความเรียบหรู ด้วยสีดำ ตัดกับลายไม้ และสีน้ำตาล ที่ให้ความเคร่งขรึมไปในตัว โดยน้ำหนักของหูฟังจะอยู่ที่ราว 289 กรัม

บริเวณที่ครอบหูด้านในทั้ง 2 ข้าง จะมีการออกแบบให้เข้ากับสรีระของใบหูที่เป็นรูปทรงไข่ พัฒนาขึ้นจากในรุ่น BackBeat Pro ที่เป็นทรงกลม ภายในจะมีการระบุชัดเจนในการใส่ใช้งานว่าเป็นข้างซ้ายหรือข้างขวา เพื่อให้ครอบหูได้พอดี

ส่วนบริเวณฟองน้ำจะมีการหุ้มหนังซึ่งในส่วนนี้เมื่อใช้ไปนานๆ ถ้ามีการลอกตามอายุการใช้งาน ก็สามารถนำหูฟังไปเปลี่ยนฟองน้ำได้ เพราะทางแพลนโทรนิคส์จะมีการเก็บอะไหล่ในส่วนนี้ไว้ให้ผู้ใช้งาน ประกอบกับการที่หูฟังมีระยะเวลารับประกัน 2 ปี (เมื่อซื้อราคาเต็ม) ทำให้ลูกค้ามั่นใจในการใช้งานได้ระดับหนึ่ง

มาดูบริเวณปุ่มควบคุมรอบๆหูฟัง ฝั่งขวาจะมีการสกรีนโลโก้ PLT ในจุดที่เป็นลายไม้ ใช้กดสั่งงานได้ บริเวณรอบๆก็จะมีปุ่มสั่งงานอย่างการเปิดปิดหูฟัง ที่เมื่อดันปุ่มค้างไว้จะเข้าสู่โหมดเชื่อมต่อบลูทูธ (สังเกตไฟกระพริบสีน้ำเงินแดง) และปุ่มปิดไมค์ ไว้ใช้เมื่อมีการสนทนาแบบกลุ่มเป็นต้น

ถัดลงมาจากปุ่มควบคุมต่างๆก็จะเป็นพอร์ตไมโครยูเอสบีสำหรับเสียบชาร์จ และเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ (ต้องลงโปรแกรมเพิ่ม) เพื่อใช้ในการอัปเดตเฟิร์มแวร์ของหูได้ และปรับตั้งค่าบางอย่างได้ และพอร์ต 3.5 มม. ไว้ให้ใช้งานงานกรณีที่หูฟังแบตหมดก็สามารถต่อสายใช้งานได้

ส่วนทางฝั่งซ้ายจะเป็นแผงควบคุมไว้ใช้สั่งเล่น/หยุด รวมถึงเปลี่ยนเพลงได้ ถัดลงมาข้างๆก็จะมีปุ่มสำหรับเลือกโหมดตัดเสียงรบกวนให้ปรับใช้งาน เพื่ออำนวยความสะดวกให้ไม่ต้องเข้าไปตั้งค่าต่างๆผ่านแอปพลิเคชัน

บริเวณข้อต่อจะถูกออกแบบมาให้หมุนได้ราว 90 องศา เพื่อใช้ในกรณีที่เก็บหูฟังลงในซองที่แถมมาให้ หรือการวางลงบนพื้นราบ ถัดขึ้นไปจะเป็นบริเวณที่คาดบนศรีษะจะใช้เป็นผ้าบุฟองน้ำที่ช่วยระบายอากาศได้สีน้ำตาล

สำหรับอุปกรณ์ที่แถมมาให้ในกล่องจะประกอบไปด้วยหูฟัง Backbeat Pro 2 สายชาร์จไมโครยูเอสบี สายต่อแบบ 3.5 มม. คู่มือการใช้งาน และซองผ้าสำหรับเก็บหูฟัง (ถ้าเป็นรุ่น Pro 2 SE จะมากับกล่องใส่หูฟังแบบแข็งแทน + เชื่อมต่อ NFC ในราคา 9,890 บาท)

ฟีเจอร์เด่น

จุดเด่นหลักๆของ Plantronics Backbeat Pro 2 จะมีด้วยกัน 5 ส่วนหลักๆคือ เรื่องของการใช้งานเป็นหูฟังบลูทูธแบบครอบหูที่ให้คุณภาพเสียงที่ดีจากไดรฟเวอร์ลำโพงขนาด 40 มม. ที่ให้เสียงค่อนข้างกว้าง และครอบคลุมในทุกช่วงเสียง ไม่ได้เน้นไปที่เบสแน่นๆ หรือเสียงใสๆ แต่จะอยู่ในช่วงกลางๆ

ประกอบกับการที่มีเทคโนโลยีทางด้านไมโครโฟนของแพลนโทรนิคส์ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในระบบสื่อสาร ด้วยการใส่ไมโครโฟนคู่มาให้ใช้งาน ดังนั้นจึงสามารถใช้ Backbeat Pro 2 ทั้งเพื่อความบันเทิง และใช้ในแง่ของการพูดคุยติดต่อสื่อสารได้ทันที

ถัดมาคือการที่ Backbeat Pro 2 มีการนำเซ็นเซอร์ตรวจจับการสวมใส่มาใช้งาน ทำให้เมื่อผู้ใช้ทำการเชื่อมต่อกับพีซีหรือสมาร์ทโฟน ขณะที่ฟังเพลง หรือดูหนังอยู่ ถ้ามีการถอดหูฟังออกเมื่อไหร่ เซ็นเซอร์ดังกล่าวจะทำงานด้วยการหยุดเล่นเพลง/หนัง และเล่นต่อเนื่องเมื่อมีการสวมหูฟังเข้าไป

เช่นเดียวกับกรณีที่โทรศัพท์มีสายเรียกเข้า หรือมีการโทรผ่านแอปพลิเคชันต่างๆทั้งบนสมาร์ทโฟน และพีซี เมื่อหูฟังทำการเชื่อมต่ออยู่ ผู้ใช้หยิบมาสวมไว้ที่ศรีษะ ก็จะทำการรับสายดังกล่าวจากหูฟังได้ทันที ช่วยอำนวยความสะดวกให้ไม่ต้องควานหาสมาร์ทโฟนกรณีที่มีสายด่วนเข้ามา

อีกจุดที่นำประโยชน์ของบลูทูธ 4.0 แบบใหม่ ที่มาพร้อมการส่งต่อข้อมูลที่รวดเร็วขึ้น ส่งผลให้ผู้ใช้สามารถรับส่ง เสียงคุณภาพสูงผ่านบลูทูธได้โดยไม่ถูกตัดทอนคุณภาพ ขณะเดียวกันจากเดิมระยะใช้งานบลูทูธที่อยู่ราว 10 เมตร ก็ถูกปรับแต่งให้สามารถใช้งานได้ไกลสุดถึง 100 เมตร (ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม)

แน่นอนว่าเมื่อเป็นหูฟังไร้สายก็จะมากับข้อจำกัดในแง่ของระยะเวลาการใช้งาน แต่สิ่งที่ทำให้ Backbeat Pro 2 น่าสนใจก็คือระยะเวลาการใช้งานต่อเนื่องที่สามารถฟังเพลงต่อเนื่องได้ราว 24 ชั่วโมง จากระยะเวลาในการชาร์จประมาณ 3 ชั่วโมง

สุดท้ายคือเรื่องของ ระบบตัดเสียง ที่ถือเป็นจุดขายของรุ่นนี้ โดยผู้ใช้สามารถปรับระดับการใช้งานหูฟังได้ออกเป็น 3 โหมด คือ เปิดใช้โหมดตัดเสียง ปิดโหมดตัดเสียง และเปิดโหมดรับเสียงจากรอบข้าง ส่งผลให้ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องถอดหูฟังออกเวลามีประกาศ หรือฟังเพื่อนๆสนทนาด้วย

สรุป

ถ้ามองไปในตลาดหูฟังบลูทูธแบบครอบหูที่มีโหมดตัดเสียงรบกวนดีๆ ส่วนใหญ่ระดับราคาจะอยู่ในช่วงเกิน 1 หมื่นบาทขึ้นไป แต่ Backbeat Pro 2 วางจำหน่ายอยู่ที่ 7,890 บาท ดังนั้นจึงถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการหูฟังบลูทูธแบบครอบหูที่ค่อนข้างครบเครื่อง

อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่ราคาไม่สูงมาก กับเน้นไปที่การสนทนา และตัดเสียงรบกวนเป็นหลัก คุณภาพเสียงของหูฟังที่ได้จึงอยู่ในระดับกลางๆ ดังนั้นถ้าต้องการประหยัดงบ Backbeat Pro 2 ก็เป็นรุ่นตอบโจทย์ แต่ถ้างบเหลือก็สามารถอัปขึ้นไปดูพวก Bose Beat Sennheiser หรือ Sony ได้เช่นเดียวกัน

ข้อดี

หูฟังครอบหูพร้อมระบบตัดเสียงรบกวนในระดับราคา 8 พันบาท

แบตเตอรีใช้งานได้ต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง

เซ็นเซอร์ตรวจจับการใช้งาน ช่วยอำนวยความสะดวก

ระบบสนทนาจากไมค์ 2 ตัว ช่วยให้เสียงดีขึ้น

ข้อสังเกต

เมื่อใส่ใช้งานนานๆจะเริ่มรู้สึกหนัก

ระบบตัดเสียงรบกวนยังไม่ถึงกับเงียบสนิท

ดีไซน์ค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่

Gallery

]]>
Review : Plantronics Voyager 5200 ยกระดับหูฟังบลูทูธ ด้วยระบบตัดเสียงรบกวน https://cyberbiz.mgronline.com/review-plantronics-voyager-5200/ Wed, 15 Jun 2016 04:20:25 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=22943

Voyager_5200_Photography_Photo6_LS_ENUS_print_CMYK_05FEB16

อุปกรณ์หูฟังบลูทูธถือเป็นอีกอุปกรณ์เสริมที่จะมาคู่กับมือถือในยุคที่สมาร์ทโฟนเน้นความบางมากยิ่งขึ้น รวมถึงคอนเซปต์ใหม่อย่างการยกเลิกพอร์ตหูฟัง 3.5 มม. เปิดโอกาสให้แบรนด์หูฟังมีโอกาสเติบโตมากยิ่งขึ้น พร้อมไปกับการพัฒนาประสิทธิภาพของหูฟังบลูทูธให้สูงมากยิ่งขึ้น และรองรับการทำงานที่หลากหลายมากขึ้น

Plantronics Voyager 5200 จึงเป็นอีกหูฟังบลูทูธในยุคใหม่ ที่มีการเพิ่มประสิทธิภาพนอกเหนือไปจากการพัฒนาด้านคุณภาพการสนทนาให้ชัดเจนมากขึ้น ก็จะมีการเพิ่มฟังก์ชันอย่างการเชื่อมต่อพร้อมกันหลายๆเครื่อง ระยะการเชื่อมต่อที่ใกล้ขึ้นถึง 30 เมตร พร้อมกับการใส่เซ็นเซอร์ตรวจจับการใช้งาน เพื่อระบบรับสายอัตโนมัติ

การออกแบบ

IMG_3580

จุดหนึ่งที่ทำให้ Plantronics ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้งานหูฟังบลูทูธคือเรื่องของการออกแบบที่ทำให้ดูทันสมัย มีการเล่นลายขอบโค้งสีเงินของตัวหูฟังให้ดูทันสมัย ตัดกับสีแดงภายในให้ดูโฉบเฉี่ยว ในส่วนของไมค์ที่ยื่นออกมาช่วยรับเสียงให้ดียิ่งขึ้น ทำให้เวลาใช้งานเห็นชัดเจนว่าใช้หูฟังบลูทูธอยู่ เช่นเดียวกับความแน่นหนาในการใส่ไม่หลุดออกจากหูง่ายๆ โดยขนาดของหูฟังจะอยู่ที่ 30 x 100 x 60 มิลลิเมตร น้ำหนัก 20 กรัม

IMG_3592IMG_3591

Voyager 5200 จะเป็นหูฟังบลูทูธแบบเกี่ยวหลังหู ที่สามารถหมุนแกนได้ 180 องศา ทำให้สามารถใช้งานได้ทั้งหูซ้าย และหูขวา โดยในส่วนของไมค์รับเสียงก็จะปรับได้ในแนว 180 องศาเช่นเดียวกัน โดยที่ตัวเครื่องจะมีการสลักชื่อแบรนด์ Plantronics และอักษรย่อ PLT ไว้ให้เห็นชัดเจน

Light

ขณะที่ปุ่มควบคุมจะมีด้วยกัน 4 จุดหลักๆคือ ปุ่มเปิดปิดหูฟัง ที่มีจะไฟแสดงสัญลักษณ์การเชื่อมต่ออยู่ข้างๆ (สีแดง และน้ำเงิน) อีกจุดคือปุ่มปรับระดับเสียง ที่อยู่บริเวณด้านบนของหูฟังเป็นปุ่มกลมๆ สีเงิน 2 ปุ่ม พร้อมสัญลักษณ์ + และส่วนตรงก้านไมค์จะมีปุ่มรับสายตรงบริเวณขอบท้าย และปุ่มปิดเสียง (Mute) สีแดงอยู่ตรงก้านไมค์

IMG_3578

ส่วนพอร์ตชาร์จจะมีด้วยกัน 2 แบบคือ พอร์ตไมโครยูเอสบี ใช้ชาร์จโดยตรงผ่านสายยูเอสบีคู่กับอะเดปเตอร์ ที่บริเวณด้านล่างหูฟัง ถัดขึ้นมาจะเป็นแถบทองแดง ไว้ใช้ชาร์จคู่กับ Portable Power ซึ่งจะใช้การเชื่อมต่อแม่เหล็กร่วมด้วย โดยจะชาร์จได้ 2 รูปแบบคือวางไว้ด้านบนเพื่อให้สามารถหยิบใช้งานได้ทันที หรือใส่เก็บไว้ในกล่องกรณีที่พกพาติดตัวไปใช้งาน

IMG_3586สำหรับอุปกรณ์ที่ให้มาภายในกล่องจะประกอบไปด้วย ตัวหูฟัง จุกหูฟัง (Ear Bud) ให้เลือกด้วยกัน 3 ขนาด สายชาร์จไมโครยูเอสบี คู่มือการใช้งาน ใบรับประกัน และสายคล้อง ขณะที่ในส่วนของ Portable Power ที่แยกมาอีกกล่องก็จะมีเฉพาะตัวอะเดปเตอร์เท่านั้น

ฟีเจอร์เด่น

Voyager_5200_Photography_Photo8_LS_ENUS_print_CMYK_05FEB16

จุดเด่นหลักๆของ Voyager 5200 จะเน้นไปที่เทคโนโลยีที่นำมาใช้ภายในตัวหูฟังมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นระบบตัดเสียงรบกวนจากไมค์ 4 จุด (Four-mic noise cancelling) เทคโนโลยีในการตัดเสียงลม (WindSmart) ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยเพิ่มคุณภาพของเสียงในการสนทนา ทำให้ทั้งผู้รับ และคู่สายได้เสียงที่ชัดเจนมากที่สุด

IMG_3595

ถัดลงมาคือการนำระบบเซ็นเซอร์ตรวจจับมาช่วยในการใช้งาน ทำให้ช่วยเพิ่มลูกเล่นอย่างกรณีที่ใส่หูฟังอยู่ เมื่อมีสายเรียกเข้าจะบอกชื่อคู่สายทันที ถ้าต้องการรับก็สามารถใช้คำสั่งเสียง (Answer) รับสายได้ทันที หรือกรณีที่ไม่ได้ใส่หูฟังวางไว้ ระบบจะตรวจจับได้ว่าขณะนี้ไม่ได้ใส่หูฟังอยู่ เสียงเรียกเข้าก็จะดังที่สมาร์ทโฟนตามปกติ เมื่อใส่หูฟังระบบจะทำการรับสายอัตโนมัติ

รวมถึงกรณีที่ใส่หูฟังอยู่เมื่อสั่งงานโทรออกจากสมาร์ทโฟนเสียงก็จะดังที่หูฟังทันที แต่กรณีที่ไม่ได้ใส่หูฟังเสียงก็จะดังที่ตัวโทรศัพท์แทน ซึ่งเซ็นเซอร์นี้จะถูกนำมาใช้กับการควบคุมการเล่นเพลงด้วย เมื่อใส่ระบบก็จะเปิดเครื่องเล่นเพลงอัตโนมัติ เมื่อถอดก็จะหยุดการเล่นเพลงเป็นต้น แน่นอนว่าฟังก์ชันต่างๆเหล่านี้สามารถเข้าไปตั้งค่าเพิ่มเติมได้จากในแอปพลิเคชัน

นอกจากนี้ ด้วยรูปแบบของการใช้งานคำสั่งเสียงต่างๆ Voyager 5200 จึงพร้อมทำงานคู่กับ Siri บน iOS Google Now บน Android และ Cortana บน Windows 10 ได้ทันที เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้คำสั่งเสียงผ่านหูฟังบลูทูธได้ทันที ในการจดบันทึกตารางนัดหมาย ค้นหาปฏิทิน ตรวจสอบสภาพอากาศ และอื่นๆตามต้องการ

อีกจุดคือการที่ Voyager 5200 ได้มีการเคลื่อบสาร P2i Nano-coating ทำให้สามารถป้องกันละอองน้ำได้ในระดับหนึ่ง ดังนั้นถ้าอยู่ในสภาพอากาศที่มีฝนตกปรอยๆก็สามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ไม่พลาดการติดต่อในทุกช่วงเวลา

s01

แน่นอนว่าในการใช้งาน Voyager 5200 ให้ได้ประสิทธิภาพสูงที่สุด ผู้ใช้ควรใช้งานควบคู่ไปกับแอปพลิเคชัน Plantronics Hub ที่มีให้ดาวน์โหลดใช้ทั้งในพีซี และสมาร์ทโฟน โดยการเชื่อมต่อบนพีซี จะเหมาะสำหรับการใช้ในการอัปเกรดเฟิร์มแวร์ ควบคู่ไปกับการตั้งค่าต่างๆของหูฟัง นอกจากนี้ ยังใช้ในการตั้งค่า SoftPhone หรือหมายถึงพวกโปรแกรมที่ใช้สนทนาผ่านทางพีซี ไม่ว่าจะเป็น Skype Avaya One-X Cisco Jabber ที่ถูกใช้งานภายในองค์กร

s02s03

ส่วนในมุมของการใช้งานบนสมาร์ทโฟน เมื่อทำการติดตั้ง และเชื่อมต่อเรียบร้อย จะเน้นการแสดงผลการเชื่อมต่อ สถานะแบตเตอรี ระยะเวลาที่สามารถใช้งานได้ พร้อมระบุด้วยว่ากำลังใส่หูฟังอยู่หรือไม่ นอกจากนี้ก็จะมีคู่มีบอกถึงการควบคุมต่างๆ และเมนูการตั้งค่าหูฟังในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมอื่นๆ และฟังก์ชันในการค้นหาหูฟังด้วยการเล่นเสียงคลื่นความถี่สูงออกมาให้ได้ยิน (ไม่ควรเปิดเสียงดังมากเพราะจะทำให้ลำโพงเสียงได้)

ทดสอบประสิทธิภาพ

IMG_3606

ในการทดลองใช้งาน ทีมงานได้ทดลองการเชื่อมต่อ Voyager 5200 กับสมาร์ทโฟนเป็นเครื่องที่ 1 และเชื่อมต่อกับแมคบุ๊กเป็นเครื่องที่ 2 เมื่อมีการเปิดหูฟังใช้งาน ตัวหูฟังจะมีการบอกสถานะการเชื่อมต่อทันทีว่า ขณะที่ได้เชื่อมต่ออยู่กับอุปกรณ์ใดบ้าง ถัดมาจะเป็นการแจ้งสถานีแบตเตอรีการใช้งานว่าสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องกี่ชั่วโมงเป็นต้น

ทั้งนี้ ในการใช้งานเมื่อชาร์จแบตเต็ม 100% จะใช้งานได้ต่อเนื่องประมาณ 6 ชั่วโมง 30 นาที ใช้ระยะเวลาในการชาร์จจนเต็มประมาณ 90 นาที นอกจากนี้ทาง Plantronics ยังระบุว่า สามารถเปิดสแตนบายในการใช้งานได้นาน 1 สัปดาห์ ซึ่งเท่าที่ทดลองใช้มาระยะเวลาที่ขึ้นแสดงผลถือว่าค่อนข้างตรง

ขณะที่ประสิทธิภาพในการสนทนา ก็ถือว่าเป็นหูฟังบลูทูธในระดับพรีเมียม เพราะใช้เสียงที่ชัดเจน ทั้งฝั่งของผู้ใช้ และคู่สาย รวมถึงระบบตัดเสียงลม ที่ทดลองด้วยการใช้สนทนาหน้าพัดลม เมื่ออยู่ในระยะห่างจากพัดลมเกิน 1 เมตร จะไม่มีเสียงลมแทรกเข้ามาเลย ส่วนระยะการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน อาจจะไม่ถึง 30 เมตรตามที่ระบุไว้ ถ้าไม่ได้อยู่ในพื้นที่โล่ง

สรุป

ถ้าเป็นผู้ที่ใช้งานโทรศัพท์เป็นชีวิตจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นด้วยหน้าที่การงาน หรือภารกิจในการติดต่อสื่อสารต่างๆ Plantronics Voyager 5200 เป็นหนึ่งในหูฟังบลูทูธที่น่าสนใจ จากฟังก์ชันที่พัฒนาขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้มั่นใจได้ว่าการสนทนาจะได้เสียงที่คมชัดตลอดเวลาแน่นอน

เพียงแต่ด้วยราคาที่เปิดตัวมาในระดับ 4,590 บาท ไม่รวมกับ Power Case อีก 1,590 บาท อาจทำให้ต้องลงทุนสักหน่อยในการได้หูฟังบลูทูธระดับพรีเมียมแบบนี้มาใช้งาน ที่สำคัญคือการที่ถูกออกแบบมาให้รองรับการใช้งานทั้งบนสมาร์ทโฟน และพีซี ทำให้ในการติดต่อสื่อสารผ่านโปรแกรมต่างๆภายในองค์กรก็สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อดี

คุณภาพเสียงที่ได้จากทั้งระบบตัดเสียงรบกวนเสียงลม

รองรับการใช้งานทั้งสมาร์ทโฟนพีซี ผ่าน Plantronics Hub

ดีไซน์ดูพรีเมียม รองรับการใช้คำสั่งเสียงผ่าน Siri Google Now และ Cortana

ข้อสังเกต

ราคาค่อนข้างสูง เพราะถือเป็นหูฟังระดับพรีเมียม

การเชื่อมต่อกับแอนดรอยด์ บางทีต้องจับคู่ใหม่ เพื่อให้จับสัญญาณได้ชัดเจน

ยังมีการอัปเฟิร์มแวร์ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานอย่างต่อเนื่อง

Gallery

]]>