Samsung – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Mon, 08 Feb 2021 09:42:15 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : Samsung Galaxy S21 Ultra เรือธงสมบูรณ์แบบรอบด้าน https://cyberbiz.mgronline.com/review-samsung-galaxy-s21-ultra/ Mon, 08 Feb 2021 09:34:37 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34771

การที่ ซัมซุง (Samsung) เร่งวางจำหน่าย Galaxy S21 ซีรีส์ให้เร็วขึ้นกว่าปกติ จากเดิมที่อยู่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์มีนาคม มาเป็นช่วงมกราคา ถือว่าเป็นเตรียมความพร้อมล่วงหน้าในการทำตลาดของซัมซุงได้อย่างน่าสนใจ

ในปีที่ผ่านมา Galaxy S20 ซีรีส์ ถือเป็นช่วงรอยต่อระหว่างสมาร์ทโฟนระหว่างยุคของ 4G และ 5G ทำให้หลายๆ ฟีเจอร์การใช้งานยังมีข้อจำกัดอยู่ และทุกอย่างได้ถูกแก้ไขให้สมบูรณ์แบบมากขึ้นใน Galaxy S21 ซีรีส์ของปีนี้

โดย Samsung Galaxy S21 ซีรีส์ ทั้ง 3 รุ่น รองรับการเชื่อมต่อ 5G ทั้งหมด ซึ่งรุ่นใหญ่อย่าง Galaxy S21 Ultra จะมีความสามารถพิเศษเพิ่มขึ้นมาในเรื่องของกล้อง Space Zoom รวมถึงหน้าจอที่ดีที่สุดในตลาดสมาร์ทโฟนเวลานี้ ที่สำคัญคือรองรับการทำงานร่วมกับ S Pen ด้วย

ข้อดี

  • ดีไซน์ใหม่ กล้องใหม่ เครื่องสีดำเรียบหรู
  • จอ Dynamic AMOLED 2X 120 Hz
  • รองรับ 5G / WiFi 6E / UWB
  • กล้องทุกเลนส์ รองรับถ่าย 4K 60fps

ข้อสังเกต

  • ไม่สามารถใส่ MicroSD เพิ่มได้
  • ราคาค่อนข้างสูง
  • ในกล่องไม่แถมอะเดปเตอร์มาให้

Phantom Black เรียบหรู ดูแพง

ใน Samsung Galaxy S21 Ultra ซัมซุง วางจำหน่ายด้วยกัน 2 สีคือ Phantom Silver และ Phantom Black โดยกลายเป็นว่าสีที่เข้ากับยุคสมัยนี้มากที่สุดกลับเป็นสีคลาสสิกอย่างสีดำ เนื่องจากซัมซุง เลือกใช้เป็นสีดำแบบด้าน ที่ให้ทั้งสัมผัส และสีที่ให้ความหรูหรา เมื่อเทียบกับสีเงิน Phantom Silver จะออกแนวเฉดสีที่สะท้อนออกมามากกว่า

ขนาดของ Samsung Galaxy S21 Ultra จะอยู่ที่ 75.6 x 165.1 x 8.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 227 กรัม ซึ่งยังมากับหน้าจอโค้ง Edge Quad HD+ ขนาด 6.8 นิ้ว เมื่อเทียบกับ S21+ 6.7 นิ้ว และ S21 6.2 นิ้ว จะเป็นแบบจอแบน และความละเอียดหน้าจอเหลือ Full HD+ เท่านั้น

ความเปลี่ยนแปลงหลักๆ ของดีไซน์ตัวเครื่อง S21 Ultra คือลักษณะของวัสดุที่ใช้ และการจัดวางกล้อง โดยทางซัมซุง เลือกใช้กระจก Gorilla Glass Victus ทั้งหน้า และหลัง ประกอบเข้ากับโครงเครื่องที่เป็นโลหะ หล่อขึ้นรูปมาครอบคลุมในส่วนของแผงกล้องด้วย ทำให้บริเวณชุดกล้องจะไม่มีรอยต่อระหว่างตัวเครื่อง

บริเวณขอบเครื่องทั้ง 4 ด้านจะเป็นโลหะขัดเงา โดยมีปุ่มเปิดเครื่อง และปรับระดับเสียงอยู่ทางขวา พอร์ต USB-C ช่องใส่ซิมการ์ดคู่ ไม่รองรับไมโครเอสดีการ์ด ลำโพง ไมโครโฟนสนทนาอยู่ด้านล่าง ด้านบนเป็นช่องไมโครโฟนตัดเสียง และลำโพงอีกจุดทำให้ได้เสียงแบบสเตอริโอเวลาถือเครื่องใช้งานในแนวนอน

เมื่อพลิกมาหลังเครื่องจะเห็นชุดกล้อง 4 เลนส์ ประกอบไปด้วยเลนส์หลัก 108 ล้านพิกเซล อยู่ตรงกลาง เลนส์มุมกว้าง 12 ล้านพิกเซลอยู่ด้านบน และเลนส์ซูมแบบ Periscope 10 ล้านพิกเซล ระยะซูม 10 เท่า อยู่เลนส์ล่าง และมีเลเซอร์โฟกัส ไฟแฟลช และเลนส์ซูม 10 ล้านพิกเซล ระยะซูม 3 เท่าอีกเลนส์

สำหรับแบตเตอรีที่อยู่ภายในของ S21 Ultra จะอยู่ที่ 5,000 mAh รองรับการชาร์จไร้สาย 15W และชาร์จแบบมีสายที่ 25W โดยภายในกล่องที่ให้มาจะมีแค่เเข็มจิ้มซิม และสาย USB-C เท่านั้น ไม่ได้แถมอะเดปเตอร์มาให้ด้วย

จอสวยที่สุดในเวลานี้

อีกจุดที่ Samsung Galaxy S21 Ultra สร้างความประทับในการใช้งานคือการเลือกใช้หน้าจอ Dynamic AMOLED 2X ขนาด 6.8 นิ้ว ที่เป็นจอ OLED แบบพิเศษ ความละเอียดหน้าจอ WQHD+ (3200 x 1440 พิกเซล) รองรับอัตราแสดงผล (Refresh Rate) ที่ 120 Hz ด้วย และกลายเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่แสดงผล 120 Hz บนจอระดับ 2K

ขอบจอของ Note20 Ultra เทียบกับ S21 Ultra

ความพิเศษของจอ Dynamic AMOLED คือมากับ Adaptive Display ที่จะปรับอัตราการแสดงผลได้ตั้งแต่ 10 Hz – 120 Hz ขึ้นอยู่กับคอนเทนต์ที่แสดงผลบนหน้าจอ อย่างถ้าเปิดหน้าเว็บอ่านข้อมูลตัวอักษร เครื่องก็จะปรับลดการแสดงผลลง ถ้าดูหนัง หรือเล่นเกม ก็จะเพิ่มอัตราการแสดงผลขึ้นมาให้เนียนที่สุด

ด้วยเหตุนี้ ซัมซุง จึงสามารถรักษาระยะเวลาการใช้งานบนแบตเตอรีใน S21 Ultra ได้อย่างน่าประทับใ แม้ว่าจะเปิดใช้งานจอแบบ Adaptive 120 Hz บนความละเอียด 2K แต่ระยะเวลาการใช้งานบนแบตเตอรีเมื่อเทียบกับจอความละเอียด Full HD+ แล้วแทบไม่แตกต่างกัน

ไม่เหมือนกับตอน S20 Ultra 5G ในช่วงที่เปิดตัว เมื่อเปิดความละเอียดสูงสุด 2K หรือเลือกใช้ Refresh Rate 120 Hz แบตเตอรีจะหมดเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถือว่าเป็นจุดที่ซัมซุง พัฒนามาได้อย่างสมบูรณ์แบบ จนทำให้เมื่อใช้งาน S21 Ultra แล้วกลับไปใช้เครื่องอื่นจะรู้สึกว่าจอแสดงผลต่างกันชัดเจน

อีกหนึ่งความสามารถของ S21 Ultra ก็คือหน้าจอรองรับการทำงานร่วมกับ S Pen แล้ว ภายใต้เทคโนโลยีของ Wacom ดังนั้นผู้ที่มีปากกา Wacom อยู่ก็สามารถนำมาใช้จดบันทึก ขีดเขียนได้ทันที หรือถ้ามีปากกา S Pen รุ่นอื่นๆ ก็สามารถนำมาใช้งานได้ เพียงแต่จะไม่มีฟีเจอร์บางอย่างเหมือนใน Note20 อย่างลูกเล่นการตวัดปากกากลางอากาศ

ส่วนในอนาคตเมื่อซัมซุง วางจำหน่าย S Pen+ ที่สามารถเชื่อมต่อบลูทูธได้ ก็จะทำให้ S21 Ultra สามารถใช้งานได้ไม่แตกต่างจากบน Note20 เพียงแต่ก็ต้องแลกกับการพกปากกาแยกจากตัวเครื่อง และขนาดของปากกาก็จะใหญ่ขึ้น และไม่รองรับการชาร์จปากกาจากตัวเครื่องเหมือนในซีรีส์ของ Galaxy Note

กล้องพัฒนาทั้งภาพนิ่ง และวิดีโอ

ต่อเนื่องจากจอแสดงผล กล้องเป็นอีกจุดที่ซัมซุง พัฒนาขึ้นบน S21 Ultra อย่างชัดเจน เรียกได้ว่าเมื่อเทียบกับ Note20 Ultra ที่ออกมาก่อนหน้าไม่กี่เดือนก็เทียบกับรุ่นนี้ได้ยากแล้ว เนื่องจากมีการพัฒนาทั้งในส่วนของเลนส์ที่ใช้ เซ็นเซอร์รับภาพ และการทำงานร่วมกันของเลนส์ซูมคู่ ก่อนนำมาประมวลผลร่วมกับ AI

โดยหลักๆ แล้ว กล้องของ S21 Ultra 5G จะทำงานบนเลนส์ 108 ล้านพิกเซล f/1.8 0.8 µm ในการเก็บภาพรายละเอียดสูง และมีการพัฒนาให้ถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดีขึ้น เมื่อทำงานร่วมกับ Laser Focus ทำให้การโฟกัสภาพทำได้เร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ส่วนเลนส์ Ultra Wide 12 ล้านพิกเซล f/2.2 1.4 µm ก็จะช่วยเก็บภาพในมุมกว้าง 120 องศา

ในขณะที่เลนส์ซูมคู่ จะเข้ามารับหน้าที่ในระยะ 3x จากเลนส์ Telephoto 10 ล้านพิกเซล f/2.4 1.22 µm และขยับเป็น 10x ด้วยเลนส์ Telephoto 10 ล้านพิกเซล f/4.9 1.22 µm ซึ่งทุกเลนส์จะสามารถบันทึกวิดีโอความละเอียด 4K 60 fps ได้ด้วย ในขณะที่การถ่ายภาพ 8K จะใช้เลนส์หลัก 108 ล้านพิกเซลเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของกล้องหน้า 40 ล้านพิกเซล f/2.2 0.7 µm ที่ให้มาใช้งาน ยังเป็นความละเอียดเท่าเดิม พร้อมปรับให้ถ่ายวิดีโอความละเอียด 4K 60 fps ได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นทุกกล้องของ S21 Ultra จึงรองรับครีเอเตอร์ที่ชื่นชอบทั้งการถ่ายภาพนิ่ง และภาพวิดีโอ

โหมดถ่ายภาพสำหรับครีเอเตอร์

ในการที่จะเรียกประสิทธิภาพของชุดเลนส์บน S21 Ultra ออกมาให้ดีที่สุด ซัมซุง ได้มีการพัฒนาโหมดถ่ายภาพในหลายๆ รูปแบบ ไล่ตั้งแต่โหมดอัตโนมัติอย่าง Single Take 2.0 ที่ใช้การถ่ายคลิปสั้น แล้วประมวลผลออกมาเป็นภาพนิ่งในช็อตที่ดีที่สุด พร้อมใส่เอฟเฟกต์วิดีโอในบางจังหวะแบบอัตโนมัติ ช่วยให้ไม่พลาดจังหวะสำคัญ

ถัดมาคือการถ่ายภาพนิ่ง ที่รองรับทั้งแบบอัตโนมัติ และแบบมืออาชีพ โดยผู้ใช้สามารถเข้าไปเลือกปรับตั้งค่าได้ตามต้องการ โดยในส่วนของระยะซูม ก็จะมีให้เลือกตั้งแต่ มุมกว้าง ปกติ 3 เท่า และ 10 เท่า ซึ่ง S21 Ultra จะทำการสลับเลนส์อัตโนมัติ ตามระยะที่เลือก โดยคำนวนจากความคมชัดสูงที่สุด ทำให้บางจังหวะเวลาถ่ายภาพซูม ไม่เกิน 5 เท่า จะเป็นการครอบภาพจากเลนส์หลัก 108 ล้านพิกเซลแทน

ระยะซูมที่หวังผลได้ของ S21 Ultra จะอยู่ที่ราว 30x ที่ยังได้ภาพคมชัด สามารถนำไปใช้งานได้ แต่ถ้าเป็นระยะที่เกินขึ้นไปจนถึง 100x รายละเอียดของภาพจะเริ่มหายไป เริ่มมีวุ้นๆ เข้ามาในภาพ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าการถ่ายภาพ 100x บนสมาร์ทโฟนนั้นเพื่อใช้ในการซูมดูรายละเอียดบางอย่างเท่านั้น อาจจะไม่ได้เน้นนำไปใช้งานจริง

ต่อมาในส่วนของการถ่ายวิดีโอ แม้ว่าจะรองรับการถ่ายวิดีโอ 4K 60fps ทุกเลนส์ แต่ก็มีข้อจำกัดบางอย่างเช่นเวลาบันทึกวิดีโออยู่ จะไม่สามารถสลับเลนส์เพื่อเปลี่ยนมุมมองได้ในโหมดปกติ และโหมดมืออาชีพ ทำให้ต้องกดหยุดบันทึกก่อน แล้วทำการเปลี่ยนช็อตใหม่ก่อนถ่ายต่อ

ซัมซุง จึงได้เพิ่มโหมดถ่ายวิดีโออย่าง Director View ขึ้นมาเปิดให้ผู้ใช้สามารถเลือกสลับมุมกล้องระหว่าง 3 ช่วงเลนส์ คือมุมกว้าง มุมปกติ และระยะซูม 3 เท่าได้ พร้อมเปิดให้สามารถบันทึกภาพจากกล้องหน้า และหลังซ้อนกันได้ เหมาะกับครีเอเตอร์ที่ชื่นชอบการทำ Vlog ให้สามารถถ่ายวิดีโอเห็นหน้า และบรรยากาศไปพร้อมกัน

ในภาพรวมแล้วกล้องของ S21 Ultra ถือว่าทำได้ดีขึ้น แก้ไขปัญหาประมวลผลช้าที่เกิดขึ้นใน S20 Ultra 5G ได้อย่างดี จนทำให้ปัจจุบัน S21 Ultra กลายเป็นสมาร์ทโฟนที่ถ่ายทั้งภาพนิ่ง และวิดีโอ ได้ดีที่สุดของซัมซุงในเวลานี้อย่างแน่นอน

ฟีเจอร์ระดับไฮเอนด์

S21 เทียบกับ S21 Ultra

ในส่วนของการใช้งานทั่วไป S21 Ultra ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่ครบเครื่องที่สุดในเวลานี้ก็ไม่แปลก เพราะใส่ฟีเจอร์ในการใช้งานระดับไฮเอนด์มาครบ ทั้งเรื่องของการกันน้ำ กันฝุ่น IP68 มีระบบรักษาความปลอดภัย Samsung Knox มาให้ใช้งาน เชื่อมต่อกับจอภาพใช้งาน Samsung DeX แทนคอมพิวเตอร์ได้ทั้งแบบมีสาย และไร้สาย

ไม่นับรวมการเชื่อมต่อระดับไฮเอนด์เช่นกัน ทั้งการที่เป็นสมาร์ทโฟนเครื่องแรกที่รองรับ WiFi 6E ที่เป็นมาตรฐานใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้ใช้งานกันในไทยปลายปีนี้ หรือแม้แต่ 5G ที่สามารถใช้งานได้แล้วในประเทศไทยอย่างเต็มประสิทธิภาพ และยังมีการใส่ UltraWide Band เข้ามาช่วยเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมอื่นๆ เพิ่มเติมด้วย

ในแง่ของความปลอดภัย รุ่นนี้ยังคงใช้เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอแบบ Ultra Sonic เหมือนใน S20 และ Note20 แต่มีการพัฒนาให้เซ็นเซอร์มีขนาดใหญ่ขึ้น ช่วยให้ปลดล็อกได้แม่นยำมากขึ้น และรองรับการปลดล็อกด้วยใบหน้าจอกล้องหน้าด้วยเช่นเดียวกัน

นอกจากนี้ ซัมซุง ยังได้พัฒนา SmartThings ให้น่าสนใจขึ้น ในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ IoT ต่างๆ รวมถึง SmartTag ที่ใช้บลูทูธพลังงานต่ำ ในการค้นหาแท็ก โดยสามารถนำ SmartTag ไปติดไว้กับกุญแจรถ กุญแจบ้าน หรือสิ่งของต่างๆ ที่มีโอกาสลืมวางทิ้งไว้ได้

โดยเมื่อติดตั้ง และเชื่อมต่อ SmartTag เรียบร้อยแล้ว จะสามารถเข้าไปในแอป เพื่อทำการค้นหาสิ่งของนั้นๆ ได้ทันที บนหน้าจอสมาร์ทโฟนจะแสดงผลระดับความแรงของสัญญาณ เพื่อทำให้เห็นว่าเข้าใกล้ SmartTag แล้ว นอกจากนี้ ยังสามารถตั้งค่า SmartTag ให้กลายเป็นปุ่มอัจฉริยะในการสั่งงานอุปกรณ์ IoT ก็ได้ด้วย

สเปก

Samsung Galaxy S21 Ultra รุ่นที่วางจำหน่ายในประเทศไทย มากับชิปเซ็ตประมวลผล Exynos 2100 บนสถาปัตยกรรมแบบ 5 นาโนเมตร มีการผสมผสานทั้ง CPU GPU NPU หน่วยความจำ และโมเด็ม เข้าไปภายในชิป ทำให้สามารถประมวลผลได้รวดเร็ว และประหยัดแบตเตอรีได้มากขึ้น

โดยในประเทศไทยจะวางจำหน่ายด้วยกัน 3 รุ่นย่อยคือ RAM 12 GB ROM 128 GB ราคา 39,900 บาท RAM 12 ROM 256 GB ราคา 41,900 บาท และ RAM 16 GB ROM 512 GB ราคา 45,900 บาท ตอนที่เลือกซื้ออย่าลืมว่ารุ่นนี้ไม่สามารถเพิ่มไมโครเอสดีการ์ดได้แล้ว ดังนั้นควรเลือกซื้อเป็นรุ่น 256/512 GB เพื่อให้เพียงพอกับการเก็บข้อมูลในระยะยาว

ตัวเครื่องยังรองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth 5.2 NFC มีระบบ Wireless PowerShare ในการเป็นแท่นชาร์จไร้สายให้อุปกรณ์อื่นด้วย ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 11 ครอบด้วย Samsung One UI 3.1 ที่พัฒนาให้การใช้งานรวดเร็ว และใช้งานได้สะดวกขึ้นในทุกๆ ส่วน

ทดสอบประสิทธิภาพ

ด้วยการที่ตัวเครื่อง S21 Ultra ถือเป็นสมาร์ทโฟนในระดับท็อปเวลานี้ ทำให้การใช้งานต่างๆ ทั้งเล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลง จนถึงการใช้งานทั่วๆไป รองรับการทำงานทั้งหมดอยู่แล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ S21 Ultra ทำได้น่าประทับใจมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คือเรื่องของแบตเตอรี ที่สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องทั้งวันสบายๆ

อย่างไรก็ตาม ในการทดสอบใช้งานยังพบว่าเวลาที่ใช้ถ่ายวิดีโอกลางแจ้งติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน มีโอกาสที่เครื่องจะร้อนเกิน จนไม่สามารถบันทึกวิดีโอต่อได้ ดังนั้นในการใช้งาน ถ้าต้องถ่ายวิดีโอต่อเนื่อง ให้เว้นช่วงให้เครื่องระบายความร้อนเพิ่มเติมด้วย ส่วนในการใช้เล่นเกม ความร้อนสะสมถือว่าลดลงค่อนข้างเยอะเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า

เลือกรุ่นไหนระหว่าง S21 / S21+ / S21 Ultra

ด้วยการที่ซีรีส์ของ Galaxy S21 ออกมาพร้อมกันทั้งหมด 3 รุ่น โดยมีระดับราคาตั้งแต่ 27,900 – 45,900 บาท แล้วรุ่นไหนจะเหมาะกับการใช้งาน ต้องย้อนกลับไปมองว่า ต้องการสมาร์ทโฟนระดับท็อปที่เน้นการถ่ายภาพนิ่ง หรือวิดีโอระดับ S21 Ultra หรือไม่ ถ้าไม่ได้เน้นถ่ายภาพ ต้องการนำมาใช้งานทั่วไป S21 และ S21+ ก็ตอบโจทย์การใช้งานแล้วในราคาที่ต่ำกว่า เนื่องจากทุกรุ่นตอนนี้รองรับ 5G อยู่แล้วในการซื้อใช้งาน สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องไป 3-5 ปีข้างหน้าสบายๆ

โดยความต่างของ S21 และ S21+ ก็จะขึ้นอยู่กับขนาดหน้าจอ แบตเตอรี เป็นหลัก ส่วนจุดอื่นๆ จะมีเพิ่มเติมอย่าง S21+ จะมี UltraWide Band มาให้เชื่อมต่อกับ IoT อื่นๆ ในอนาคต ซึ่งก็ถือว่าไม่ใช่อุปกรณ์จำเป็นในเวลานี้ ทำให้เลือกได้จากขนาดตัวเครื่องเป็นหลัก ว่าถือแล้วรุ่นไหนถนัดมือใช้งานได้มากกว่ากัน

ส่วนถ้าต้องการสมาร์ทโฟนที่ให้ความเป็นที่สุดในทุกด้านก็จะไปจบที่ S21 Ultra ได้อย่างไม่ต้องสงสัย โดยเฉพาะเรื่องของการแสดงผลที่เป็นหน้าจอ Dynamic AMOLED 2X ที่ให้สีสันสดใสสวยงามจริงๆ ตามด้วยเรื่องของกล้องที่รองรับการซูม 100x แต่ก็แลกกับน้ำหนักตัวเครื่อง และราคาที่สูงขึ้นด้วย

สรุป

Samsung Galaxy S21 Ultra ถือว่าออกมาแสดงนวัตกรรมในการพัฒนาสมาร์ทโฟนของซัมซุงได้อย่างน่าสนใจ และจะเรียกความเชื่อมั่นจากผู้ใช้กลับมาได้อย่างแน่นอน ด้วยการที่ให้ทั้งหน้าจอ กล้อง ชิปเซ็ตประมวลผลที่แรงขึ้น และรองรับ 5G ด้วย ทำให้สามารถใช้งานได้ทุกรูปแบบ

โดยเฉพาะในกลุ่มของครีเอเตอร์ที่ต้องการสมาร์ทโฟนคู่ใจที่สามารถบันทึกเรื่องราวได้ทุกที่ทุกเวลา รวมถึงผู้ใช้งานทั่วๆ ไปที่ต้องการใช้สมาร์ทโฟนจดบันทึกต่างๆ จากเดิมที่ต้องใช้งาน Galaxy Note ซีรีส์ ก็สามารถเลือกมาใช้งาน S21 Ultra คู่กับ S Pen แทนได้แล้วด้วย

Gallery

]]>
Review : Samsung Galaxy Z Fold2 5G ประสบการณ์ 1 เดือนกับสมาร์ทโฟนจอพับ https://cyberbiz.mgronline.com/review-samsung-galaxy-z-fold2/ Mon, 26 Oct 2020 07:39:57 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34027

หลังจากออกสมาร์ทโฟนจอพับมาต่อเนื่องเป็นรุ่นที่ 3 ทำให้ ซัมซุง (Samsung) เห็นแล้วว่าความต้องการของผู้ใช้งานคืออะไร และต้องเพิ่มฟีเจอร์อะไรมาช่วยเพิ่มประสบการณ์ใช้งานให้ผู้ใช้ได้มากที่สุด และต้องยอมรับว่ารุ่นนี้ทำออกมาได้สมบูรณ์แบบแล้ว

ความน่าสนใจของ Samsung Galaxy Z Fold2 5G คือการเป็นสมาร์ทโฟนจอพับประสิทธิภาพสูง ที่สามารถกางหน้าจอออกมาเป็นหน้าจอใหญ่สำหรับใช้งานได้เต็มตา และที่สำคัญคือรองรับการแสดงผลแบบ 120Hz ด้วย พร้อมกับพัฒนาให้สามารถใช้งานได้หลากหลายรูปแบบมากขึ้น

ประกอบกับการที่กลุ่มผู้ใช้งานของ Galaxy Z Fold2 5G นั้นชัดเจนมากๆ คือเป็นกลุ่มผู้ใช้ที่ชื่นชอบเทคโนโลยี ต้องการสมาร์ทโฟนรูปแบบใหม่ๆ ที่มาช่วยตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริหาร และผู้สูงอายุที่ต้องการสมาร์ทโฟนจอใหญ่ และมีกำลังซื้อสูง

ดังนั้น Z Fold2 5G จึงทำให้ซัมซุง สามารถครองตำแหน่งผู้นำในตลาดสมาร์ทโฟนจอพับเวลานี้ได้อย่างไม่ยาก โดยนอกจาก Galaxy Z Fold2 5G แล้วก่อนหน้านี้สมาร์ทโฟนจอพับอย่าง Galaxy Z Filp ก็เป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมเช่นเดียวกัน

ข้อดี

  • สมาร์ทโฟนจอพับที่พัฒนารูปแบบการใช้งานได้หลากหลายขึ้น
  • จอภายนอกขนาดใหญ่ 6.2 นิ้ว กางหน้าจอออกมาเป็น 7.6 นิ้ว
  • ประสิทธิภาพสูง ตามความคาดหวังของสมาร์ทโฟนไฮเอนด์
  • โหมดถ่ายภาพใช้ความสามารถของจอพับได้น่าสนใจ

ข้อสังเกต

  • ระดับราคาค่อนข้างสูง (69,900 บาท)
  • จอภายนอกอัตราการแสดงผล 60 Hz
  • การใช้งานจอพับยังมีข้อจำกัดอย่างการที่ต้องระวังการขูดขีดหน้าจอภายใน

สมาร์ทโฟนจอพับรุ่นสมบูรณ์

ในปีที่แล้วตอนที่ Samsung เปิดตัว และเริ่มทำตลาด Galaxy Fold รุ่นแรกนั้น มีคำถามที่ตามมาหลายๆ เรื่องถึงรูปแบบการใช้งาน ความคงทนแข็งแรงต่างๆ จนทำให้รู้สึกเหมือนว่าเป็นรุ่นทดลอง หรือ โปรโตไทป์ ที่นำเสนอออกมาสู่ตลาด นำมาซึ่งเสียงตอบรับของผู้บริโภคให้ซัมซุง นำข้อมูลกลับไปปรับปรุงออกมาเป็นรุ่นถัดมา

ต่อด้วยในรุ่นอย่าง Z Flip ที่เปลี่ยนรูปแบบมาเป็นลักษณะของฝาพับ มีการเพิ่มฟีเจอร์การใช้งานแบบกางจอเพียงครึ่งเดียว เพื่อใช้ประโยชน์ของฝาพับด้านล่างให้กลายเป็นฐานในการใช้งาน ซึ่งรูปแบบการใช้งานนี้ยังไม่เกิดขึ้นกับ Galaxy Fold รุ่นแรก เพราะในรุ่นแรกจะไม่สามารถกางแบบไม่สุดได้

พอมาเป็นรุ่นที่พัฒนาล่าสุดอย่าง Galaxy Z Fold2 5G ต้องยอมรับว่า ปรับการใช้งานออกมาได้หลากหลาย น่าสนใจ ทั้งการกางจอเพียงครึ่งเดียว แล้วใช้ครึ่งล่างเป็นฐานในการวางใช้งานเหมือนใน Z Flip หรือจะเลือกกางเต็มจอแล้วใช้งานได้ทั้งแนวตั้ง และแนวนอน

อีกอย่างที่ปรับปรุงขึ้นคือการทำงานร่วมกับระหว่างจอภายนอก และภายใน ในการทำงานอย่างต่อเนื่อง หรือ App Continuity ที่เมื่อเปิดใช้งานแอปในหน้าจอนอกแล้ว เมื่อกางจอออกมาใช้งานจะสามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง ไม่เจออาการแอปหลุด แอปเด้ง ไม่รองรับเหมือนในรุ่นแรก

นอกจากนี้ยังมาพร้อบกับการใช้งานแบบ Multi-Windows ที่ผู้ใช้สามารถเลือกเปิดแอปใช้งานได้สูงสุด 4 แอปพร้อมกัน โดยแบ่งหน้าจอออกเป็น 3 ส่วน คือครึ่งหนึ่งใช้งาน 1 แอปหลัก ตามด้วยแบ่งอีกครึ่งหน้าจอเป็น 2 แอปเพื่อใช้ดูข้อมูลต่างๆ และแอปสุดท้ายที่มีข้อจำกัดเฉพาะแอปที่รองรับการแสดงผลแบบ Pop Up ออกมา

นั่นหมายถึง ผู้ใช้งานสามารถเลือกเปิดหน้าไมโครซอฟท์ออฟฟิศ เพื่อทำงานคู่กับ การเว็บไซต์เพื่อหาข้อมูล และเปิดแอปความบันเทิงอย่างยูทูป หรือ Spotify เพื่อสั่งเล่นเพลงไปพร้อมๆ กันได้เลย และสามารถประยุกต์ใช้งานได้หลากหลายมากๆ

ขณะเดียวกัน ด้วยการที่ซัมซุง ทำงานร่วมกับไมโครซอฟท์อย่างใกล้ชิด ดังนั้น Galaxy Z Fold2 5G จึงทำงานร่วมกับ Microsoft Office ทั้ง Word Excel Powerpoint ที่ทำงานร่วมกันได้อย่างน่าสนใจ ยิ่งเมื่อใช้งานในลักษณะของจอใหญ่เต็มจอ จะช่วยให้ทำงานได้อย่างเต็มที่มากขึ้นด้วย

ถัดมาในแง่ของความบันเทิง ต้องยอมรับว่า เมื่อมีจอขนาดใหญ่ถึง 7.6 นิ้ว แถมยังรองรับการแสดงผลแบบ 120 Hz นั่นทำให้ทั้งการเล่นเกมได้การแสดงผลที่ลื่นไหล การใช้งานโซเชียลมีเดียทำได้อย่างเต็มตา และที่สำคัญคือการดูหนัง ที่สามารถรับชมได้ไม่ต่างจากแท็บเล็ต ในขณะที่พกพาเครื่องเท่าสมาร์ทโฟนทั่วไปเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม Galaxy Z Fold2 5G อาจจะไม่ได้ถูกออกแบบมาสำหรับการเล่นเกมอย่างหนักหน่วง เพราะด้วยหน้าจอที่เป็นจอพับ ซึ่งต้องระมัดระวังในการใช้งานพอสมควร เพราะเป็นจอแบบยืดหยุ่น ไม่ใช่จอกระจก ดังนั้นถ้าใช้เล่นเกมอาจจะมีจังหวะที่เล็บขูดหน้าจอได้

กล้องคุณภาพ ใช้ได้หลายรูปแบบ

กล้องกลายเป็นอีกหนึ่งจุดที่พัฒนาขึ้นมาได้อย่างน่าสนใจใน Galaxy Z Fold2 5G โดยในรุ่นนี้มีกล้องทั้งหมด 3 จุดด้วยกัน เริ่มจากกล้องหลัก 3 ชุดเลนส์ด้านหลังเครื่อง ที่มากับเลนส์ UltraWide Wide และ Telephoto 12 ล้านพิกเซล

ถัดมาคือกล้องบริเวณจอนอกความละเอียด 10 ล้านพิกเซล และ กล้องที่อยู่ในจอพับด้านในความละเอียด 10 ล้านพิกเซล เช่นเดียวกัน โดยจะมาในลักษณะของจอเจาะรูแบบ Infinity-O

รวมๆ แล้วอาจจะมองว่าชุดกล้องนั้นไม่สุดเหมือนใน Galaxy Note20 Ultra แต่ด้วยลักษณะการใช้งานของ Fold ที่เป็นสมาร์ทโฟนสำหรับใช้งานด้านอื่นๆ มากกว่า จึงมองว่ากล้องที่ให้มานั้นเพียงพอกับการใช้งานอยู่แล้ว

โดยกล้องใน Z Fold2 5G กลับมีความน่าสนใจอยู่ที่รูปแบบการใช้งาน เพราะซัมซุง ได้พัฒนาอินเตอร์เฟสการใช้งานมาให้ใช้บนสมาร์ทโฟนจอพับได้น่าสนใจ เริ่มกันจากตัวกล้องหลัก ที่นอกจากผู้ใช้จะสามารถถ่ายได้ทั้งเวลาที่กางจอ หรือพับจอก็ได้แล้ว

เวลาที่กางจอออกมา ยังสามารถเปิดจอนอกเพื่อให้ตัวแบบสามารถเห็นภาพที่กำลังถ่ายได้ ในลักษณะของการแสดงผล 2 จอ พร้อมกัน ซึ่งในจุดนี้ ก็สามารถประยุกมาใช้เป็นการถ่ายเซลฟี่ด้วยกล้องหลังได้เช่นเดียวกัน ซึ่งจะได้ภาพที่มีคุณภาพมากขึ้น เมื่อเทียบกับกล้องหน้า

ถัดมาคือการใช้งานกล้องเมื่อกางหน้าจอเพียงครึ่งเดียว ตัวเครื่องจะทำการแบ่งครึ่งการแสดงผล ให้ภาพจากกล้องแสดงผลอยู่ครึ่งบน และครึ่งล่างเป็นปุ่มควบคุมอย่างปุ่มชัตเตอร์ เปลี่ยนโหมดใช้งาน และแสดงตัวอย่างภาพก่อนหน้า

นั่นทำให้เราสามารถวาง Galaxy Z Fold2 5G กับพื้นราบ เพื่อใช้แทนขาตั้งกล้องได้ทันที หรือจะเปลี่ยนมาใช้งานคู่กับกล้องหน้า เพื่อใช้งานวิดีโอคอลล์ หรือถ่ายวิดีโอเซลฟี่จากกล้องหน้าก็ได้เช่นเดียวกัน

การออกแบบตัวเครื่อง

ด้วยการที่ Samsung Galaxy Z Fold2 5G เป็นสมาร์ทโฟนจอพับ ทำให้มีหน้าจอแสดงผลอยู่ 2 ส่วนด้วยกัน โดยจอนอกจะเป็น Super AMOLED ขนาด 6.2 นิ้ว ความละเอียด 2260 x 816 พิกเซล โดยมีกล้องหน้าแบบเจาะรูอยู่ด้านบน

การที่ซัมซุง เพิ่มขนาดหน้าจอนอกทำให้สามารถใช้งานตัวเครื่องได้ โดยไม่จำเป็นต้องกางจอใช้งาน เวลาที่ไม่สะดวกใช้งาน 2 มือ จากรุ่นก่อนหน้าที่ให้มาเป็นจอ 4.6 นิ้วเท่านั้น ตัวเครื่องมีให้เลือกด้วยกัน 2 สี คือ Mystic Black และ Mystic Bronze ที่เป็นสีพิเศษของปีนี้

ส่วนจอภายในเป็น Dynamic AMOLED 2X ความละเอียด QXGA+ (2208 x 1768 พิกเซล) ที่รองรับการแสดงผลแบบ Adaptive Dynamic Display 120 Hz โดยตัวเครื่องจะปรับ Refresh Rate หน้าจอตามลักษณะของคอนเทนต์ที่ใช้งาน ซึ่งช่วยยืดระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรีด้วย

ขนาดของ Galaxy Z Fold2 5G จะอยู่ที่ 159.2 x 68 x 13.8 – 16.8 มิลลิเมตร และเมื่อกางหน้าจอออกมาจะอยู่ที่ 159.2 x 128.2 x 6 – 6.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 282 กรัม ซึ่งต้องถือว่าตัวเครื่องเวลาพับแล้วจะค่อนข้างหนา แต่เมื่อกางออกมาใช้งานก็ถือเป็นรุ่นที่มีขนาดบางที่สุดรุ่นหนึ่งก็ว่าได้

หน้าจอของ Galaxy Z Fold2 5G สามารถปรับองศาในการกางได้ตั้งแต่ 75 – 115 องศา เพื่อใช้งานในลักษณะของการวางตัวเครื่องไว้กับพื้นราบ และสามารถกางสุดที่ 180 องศา เพื่อใช้งานเป็นจอใหญ่ได้ตามปกติ

ข้างเครื่องทางฝั่งขวาจะเป็นที่อยู่ของปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิดเครื่อง ที่ฝั่งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือมาให้ด้วย เพื่อให้สามารถสแกนนิ้วมือเพื่อใช้จอภาพนอกได้ทันที หรือถ้ากางจอออกมาก็สามารถใช้ปุ่มด้านข้างเครื่องเพื่อปลดล็อกได้

ขณะที่ถาดใส่ซิมการ์ดจะอยู่ที่ฝั่งซ้าย (เวลากางหน้าจอ) ซึ่งในส่วนครึ่งซ้ายทั้งบน และล่าง จะมีช่องลำโพงอยู่ด้วย ทำให้เวลาถือเครื่องใช้งานในแนวนอน อาจจะต้องระวังไม่ให้มือไปปิดลำโพง

ส่วนด้านล่างเครื่องจะมีพอร์ต USB-C สารพัดประโยชน์ ที่รองรับการชาร์จเร็ว 25W เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ และหน้าจอเพื่อใช้งาน Samsung DeX หรือจะเชื่อมต่อแบบไร้สายก็ได้

สำหรับด้านหลัง นอกจากชุดเลนส์กล้องแล้ว ยังมากับระบบชาร์จไร้สาย ที่สามารถเป็นแท่นชาร์จให้อุปกรณ์อื่นได้ด้วยผ่านฟีเจอร์อย่าง Wireless PowerShare อย่างการใช้งานคู่กับ Galaxy Buds Live ภายในมีแบตเตอรีขนาด 4,500 mAh

สเปก

สำหรับสเปกภายในของ Samsung Galaxy Z Fold2 5G ทำงานบนหน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon 865 RAM 12 GB พื้นที่เก็บข้อมูล 256 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 10 ที่ครอบด้วย One UI

ด้านการเชื่อมต่อรองรับถึง 5G ซึ่งสามารถใช้งานในประเทศไทยได้แล้วบนเครือข่าย AIS และ Truemove H พร้อม WiFi 6 บลูทูธ 5.0 มี GPS NFC ครบถ้วนตามสไตล์ของเครื่องระดับไฮเอนด์

ทดสอบประสิทธิภาพ

ต้องยอมรับว่าการที่ซัมซุง เลือกนำหน่วยประมวลผลรุ่นท็อปอย่าง Qualcomm Snapdragon 865 มาใช้งานกับรุ่นนี้เพื่อทำตลาดทั่วโลกนั้น ทำให้ Galaxy Z Fold2 5G มีประสิทธิภาพในการประมวลผลที่ครอบคลุมการใช้งานทุกรูปแบบอยู่แล้ว โดยเฉพาะการทำงานแบบมัลติทาสกิ้งที่เป็นจุดเด่นของเครื่องรุ่นนี้

ขณะเดียวกัน แบตเตอรีที่ให้มา 4,500 mAh ก็ถือว่าเพียงพอกับการใช้งาน โดยถ้าใช้งานเฉพาะจอนอกอย่างเดียวจะสามารถใช้ได้ต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 13 ชั่วโมง ส่วนจอใหญ่นั้น ถ้าเปิดใช้งานในโหมด Adaptive Display 120 Hz จะสามารถใช้งานได้ราว 7 ชั่วโมง และเพิ่มเป็น 8 ชั่วโมงครึ่ง ถ้าปรับการแสดงผลลงมาเป็น 60 Hz

สรุป

Samsung Galaxy Z Fold2 5G ได้กลายเป็นตัวเลือกแรกสำหรับผู้ที่ต้องการสมาร์ทโฟนจอพับ ที่สามารถกางออกมาเป็นหน้าจอขนาดใหญ่เพื่อใช้งานได้ทันที ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในรูปแบบการใช้งานของผู้ที่ไม่อยากพกทั้งสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตใช้งาน

อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่ระดับราคาของเครื่องค่อนข้างสูงทำให้กลุ่มผู้ใช้งานจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มผู้บริโภคทั่วไป แต่เป็นผู้ที่มีกำลังซื้อ ซึ่งตามปกติแล้วก็จะมีสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตอย่างละเครื่องใช้งานอยู่แล้ว การเลือกใช้งาน Z Fold2 5G ก็จะทำให้ไม่ต้องลงทุนซื้อแท็บเล็ตเครื่องใหม่ได้ด้วย

สำหรับใครที่อยากลองประสบการณ์ใช้งานสมาร์ทโฟนจอพับ เชื่อว่า Samsung Galaxy Z Fold2 5G นั้นตอบโจทย์อย่างแน่นอน และสามารถใช้งานได้ยาวๆ เพราะตัวเครื่องรองรับการเชื่อมต่อ 5G ที่เป็นเทคโนโลยีการเชื่อมต่อยุคใหม่อยู่แล้ว

Gallery

]]>
Review : Samsung Galaxy Note 20 Ultra 5G จับคู่ S Pen เพิ่มความสมบูรณ์แบบมากขึ้น https://cyberbiz.mgronline.com/review-samsung-galaxy-note-20-ultra/ Tue, 01 Sep 2020 08:20:27 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=33498

จะเห็นได้ว่าการออกสมาร์ทโฟนในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาของ Samsung Galaxy S และ Galaxy Note นั้น จะไม่ได้เน้นการนำนวัตกรรมที่มีความหวือหวา หรือแปลกใหม่แบบไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน มาให้ใช้งาน แต่จะเป็นการพัฒนา และปรับปรุงความสามารถเดิมที่ได้รับความนิยม ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และตอบโจทย์การนำไปใช้งานเพื่อสร้างมูลค่าให้แก่ผู้ใช้

เมื่อซัมซุง นำแนวทางในการฟังเสียงจากผู้ใช้ และนำไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ออกมา จึงทำให้สมาร์ทโฟนในยุคหลังของ ซัมซุง กลายเป็นตอบโจทย์การใช้งานในทุกมิติ ทั้งเรื่องความบันเทิง การทำงาน ที่รวมถึงการพัฒนาทางด้านความปลอดภัย จนเรียกได้ว่า ถ้ามองหาแอนดรอยด์โฟนสักเครื่องในตลาดเวลานี้ ชื่อของ Samsung Galaxy นั้นมีความน่าเชื่อมากที่สุด

ดังนั้น พอมาถึง Samsung Galaxy Note 20 ซีรีส์ ที่มีการคิดนิยามใหม่ของเครื่องรุ่นนี้ว่าเป็น Power Phone ที่เป็นมากกว่าสมาร์ทโฟนทั่วไป ด้วยเหตุผลที่ว่า Note 20 ซีรีส์ นั้น รองรับทั้งการใช้งานทั่วไปในมุมของสมาร์ทโฟน เสริมด้วยความสามารถของ Samsung DeX ที่พัฒนาให้ใช้งานได้สะดวกขึ้น เหมือนพกคอมพิวเตอร์ติดตัวไปทุกที่

ขณะที่ในส่วนของฟีเจอร์หลักอย่างหน้าจอแสดงผลที่ให้ Refresh Rate 120 Hz กล้องถ่ายภาพคุณภาพสูง การรองรับ 5G ลูกเล่นใหม่ๆ ที่ใช้งาน Note 20 Ultra คู่กับปากกา S Pen ที่ควบคุมใช้งานได้หลากหลายขึ้น จึงทำให้ Note 20 ซีรีส์ นั้นมีความสมบูรณ์แบบรอบด้านมากยิ่งขึ้น และกลายเป็นสมาร์ทโฟนที่สามารถชื่อใช้ไปได้ยาวๆ อีกหลายปี

ข้อดี

  • หน้าจอแสดงผลขนาด 6.9 นิ้ว 120 Hz
  • S Pen พร้อมฟีเจอร์ใช้งานที่หลากหลายขึ้น
  • กล้องซูม 50 เท่า พร้อมเลเซอร์โฟกัส
  • รองรับการเชื่อมต่อ 5G

ข้อสังเกต

  • ราคาค่อนข้างสูง 4G 38,900 บาท / 5G 42,900 บาท
  • โมดูลกล้องยื่นจากตัวเครื่อง ทำให้ต้องระวังเวลาวางเครื่อง

ทำไม Note 20 Ultra ถึงน่าใช้

หลังจาก Samsung เปิดตัว Galaxy Note 20 ซีรีส์ ออกมา หนึ่งในคำถามที่เกิดขึ้นบ่อยๆ เลยคือ Note 20 น่าซื้อมากน้อยแค่ไหน การที่จะตอบคำถามนี้ได้ สิ่งแรกเลยคือการย้อนคำถามกลับไปว่าปัจจุบันใช้งานสมาร์ทโฟนรุ่นอะไรอยู่ โดยเฉพาะถ้าเป็นผู้ที่เดิมใช้งาน Samsung Galaxy อยู่แล้ว ในรุ่นสัก 2-3 ปีที่ผ่านมา ทั้ง S9 Note 9 หรือก่อนหน้านั้น Note 20 ซีรีส์ ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ

กลับกัน ถ้าใช้งาน S10 Note 10 อยู่ การที่จะเลือกอัปเดตมาเป็น Note 20 ในเวลานี้ ก็อาจจะเร็วเกินไปในแง่ของการใช้งานสมาร์ทโฟน เพราะปัจจุบัน Samsung ได้ทยอยอัปเดตสมาร์ทโฟนรุ่นเก่าให้เข้าถึงฟีเจอร์ใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ซึ่งล่าสุดภายในงานเปิดตัว Note 20 ซัมซุง ก็ออกมาประกาศแล้วว่าจะได้รับการอัปเดต Android OS ให้ใช้งานอย่างต่ำ 3 ปี นั่นแปลว่าเครื่องรุ่นเดิมที่ใช้งาน ถ้าทำการอัปเดตได้ฟีเจอร์ใหม่ๆ มาใช้ก็ยังตอบโจทย์การใช้งานได้อยู่แล้ว

ยกเว้นในกรณีที่มองว่า ฟีเจอร์ใหม่ที่มีใน Note 20 นั้นตอบโจทย์การใช้งานมากกว่า อย่างเรื่องของกล้องที่ถ่ายภาพได้ดีขึ้น วิดีโอรองรับความละเอียด 8K โดยเฉพาะการใช้งาน S Pen ที่มีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น และพัฒนาให้ใช้งานได้หลากหลายรูปแบบมากขึ้น จนถึงการใช้งานฟีเจอร์อย่าง Wireless DeX ที่จะเปลี่ยนโทรทัศน์ที่รองรับระบบ Miracast ให้กลายเป็นคอมพิวเตอร์ใช้งานร่วมกับคีย์บอร์ด และเมาส์บลูทูธได้ทันที

อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ไม่ได้มองว่า S Pen นั้นมีความสำคัญมาก การหันไปมองตัวเลือกอย่าง Galaxy S20 Ultra 5G ที่แม้จะเปิดตัวไปในช่วงต้นปี แต่หลายๆ ฟีเจอร์ในการใช้งานโดยรวมนั้น ได้รับการอัปเดตให้ดีขึ้นกว่าสมัยที่เปิดตัวมา ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ

ต่อมาคือการเลือกว่า Note 20 หรือ Note 20 Ultra ดีกว่ากัน ในจุดนี้ ถ้ามองในแง่ของสเปก ต้องยอมรับว่า Note 20 Ultra นั้นเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากกว่าหลายๆ ประเด็น ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอที่ Note 20 Ultra ให้เป็นจอโค้งที่มีขนาดใหญ่กว่า รองรับการแสดงผล Refresh Rate 120 Hz ที่กลายเป็นมาตรฐานของแฟลกชิปสมาร์ทโฟนในตลาดแล้ว ขณะที่ Note 20 มากับหน้าจอปกติ ให้ Refresh Rate ที่ 90 Hz

ตามมาด้วยความแตกต่างในแง่ของการตอบสนองของ S Pen ที่ Note 20 Ultra ให้การตอบสนองที่เร็วกว่าเพียง 9ms ในขณะที่ Note 20 อยู่ที่ 24ms ส่วนของกล้องหลักเป็นอีกจุดที่แตกต่างกันค่อนข้างเยอะ คือใน Note 20 Ultra จะมากับกล้องความละเอียด 108 ล้านพิกเซล พร้อมความสามารถในการซูม 50x ส่วน Note 20 ใช้เลนส์ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล ซูมได้ 30x และไม่มีเลเซอร์โฟกัส มาช่วยในการโฟกัสวัตถุด้วย

ดังนั้น ถ้าต้องเลือกระหว่าง Note 20 และ Note 20 Ultra รุ่นที่แนะนำให้ใช้ยาวๆ คงหนีไม่พ้น Note 20 Ultra ที่ดูแล้วมีความคุ้มค่ามากกว่า แต่ก็ไม่ใช่ว่า Note 20 รุ่นธรรมดานั้นไม่ดี เพราะในมุมของการใช้งาน ถ้าไม่ได้มองว่าจุดที่แตกต่างกันนั้นเป็นประเด็น หรือไม่ได้โฟกัสการใช้งานในจุดเหล่านั้น Note 20 ก็จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้พอสมควร

จุดหนึ่งที่ไม่เข้าใจ ซัมซุง ในการทำตลาดระหว่าง Note 20 และ Note 20 Ultra เลยคือการเลือกนำสเปกของ 2 รุ่นที่แตกต่างกันออกมา เพราะในความเป็นจริงแล้ว ย่อมมีกลุ่มผู้ใช้งานที่อยากได้เครื่องที่ครบ ในขนาดหน้าจอที่เล็กลงมาให้ถือพกพาง่าย ลดขนาดแบตเตอรีลงมานิดหน่อยตามขนาดหน้าจอ แล้วนำมาวางจำหน่ายในราคาที่ต่างกันเล็กน้อย เชื่อว่าจะได้ใจผู้บริโภคมากกว่านี้

ฟีเจอร์ใหม่ S Pen ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

การพัฒนาของ S Pen บน Galaxy Note นั้น ถือเป็นจุดหนึ่งที่ซัมซุงพัฒนาขึ้นมาต่อเนื่อง โดยในตอน Note9 ซัมซุงพัฒนาให้ S Pen ให้สามารถควบคุมสั่งงานแบบไร้สายด้วยการกดปุ่ม เพื่อเรียกใช้งานแอปฯ หรือให้ใช้งานเบื้องต้นภายในแอป

พอมาเป็นใน Note10 ได้เพิ่มฟีเจอร์อย่าง Air Action เข้ามาให้ตวัด S Pen เพื่อสั่งงานเครื่องอย่างการสลับกล้องหน้าหลัง เลื่อนรูปในอัลบั้ม เพิ่มลดเสียง ด้วยการกดปุ่มที่ S Pen แล้วตวัดปากกาไปมา พร้อมกับฟีเจอร์อย่างการแปลงลายมือเป็นตัวอักษร

เมื่อมาถึง Note 20 ได้เพิ่มความพิเศษของ S Pen ที่ใช้งานร่วมกับ Samsung Notes อย่างการปรับลายมือที่เขียนเอียงๆ ให้ตรงบรรทัดให้อ่านง่ายเป็นระเบียบ โดยยังคงความสามารถในการแปลงลายมือเป็นตัวอักษรเช่นเดิม

ถัดมาคือฟีเจอร์ในการอัดเสียง และจดโน้ตไปพร้อมกัน จากฟังก์ชัน Audio Bookmark ที่เมื่ออัดเสียง และจดข้อวามไปพร้อมกัน เมื่อกดฟังเสียงที่บันทึกไว้ตัวหนังสือที่เขียนก็จะถูกไฮไลท์ขึ้นมาตามช่วงเวลา เพื่อใช้อ้างอิงเวลาย้อนกลับมาฟัง เพิ่มเติมด้วย Air Action ที่สั่งงานได้หลากหลายรูปแบบมากขึ้น

อีกหนึ่งฟังก์ชันที่ตามมาคือการพัฒนาระบบการซิงค์ข้อมูลระหว่าง Samsung Account โดยเฉพาะ Samsung Notes ทำให้ผู้ใช้สามารถเรียกดูข้อมูลที่จดบันทึกบนสมาร์ทโฟน ไปเปิดใช้งานบนแท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์ต่อได้ทันที

ขณะเดียวกัน การที่ซัมซุง ทำงานร่วมกับไมโครซอฟท์อย่างใกล้ชิด ทำให้ผู้ใช้สามารถซิงค์ข้อมูลที่บันทึกบน Samsung Notes เข้ากับ OneNote เพื่อใช้งานบนคอมพิวเตอรืได้ด้วย โดยจะเริ่มเปิดให้ใช้งานกันในช่วงปลายปีนี้

ผสมผสานไปกับฟีเจอร์อย่าง Link To Windows ที่จะเชื่อมต่อ Note 20 เข้ากับบัญชีของ Microsoft เพื่อให้สามารถควบคุมสั่งงาน Note 20 ได้จากบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 10 ได้ทันที

ข้อดีอย่างหนึ่งของการที่ซัมซุงเลือกใช้จอแบบ Adaptive Display ที่ให้ Refresh Rate 120 Hz นั้นส่งผลมาถึงการใช้งาน S Pen ด้วยเช่นกัน คือเวลาใช้ปากกาเขียน จะให้ความรู้สึกลื่นไหลมากขึ้น เมื่อเทียบกับจอแบบปกติ

นอกจากนี้ Samsung ยังได้พัฒนาให้ Note 20 Ultra สามารถใช้งาน Samsung DeX ได้แบบไร้สายแล้ว โดยสามารถเชื่อมต่อเข้าใช้งานกับสมาร์ททีวีที่มีระบบ Miracast เพื่อเปลี่ยนโทรทัศน์ให้กลายเป็นคอมพิวเตอร์ใช้งานได้ทันที

จากเดิมที่การใช้งาน Samsung DeX จำเป็นต้องเชื่อมสาย USB-C แปลงเป็น HDMI เชื่อมต่อกับจอภาพ หรือใช้งานร่วมกับคอมพิวเตอร์ ดังนั้น การเปลี่ยนสมาร์ทโฟนเครื่องนี้เพื่อใช้งานแทนคอมพิวเตอร์ในบางจังหวะนั้นสามารถทำได้อย่างไร้รอยต่อ

ปรับปรุงกล้อง รองรับการถ่ายวิดีโอแบบมืออาชีพ

กล้องถือเป็นอีกจุดที่ Note 20 Ultra ปรับปรุงขึ้นมาจาก Note10 พอสมควร ด้วยการนำกล้อง 3 เลนส์มาให้ใช้งาน ทั้งเลนส์มุมกว้าง 12 ล้านพิกเซล ให้มุมกว้าง 120 องศา f/2.2 เลนส์หลักความละเอียด 108 ล้านพิกเซล  มาพร้อมระบบโฟกัส PDAF และกันสั่น OIS มุมมอง 79 องศา f/1.8

ต่อด้วยเลนส์เทเลโฟโต้ 12 ล้านพิกเซล มุมมอง 20 องศา f/3.0 ที่นำเทคโนโลยี Periscope มาใช้งาน ทำให้สามารถซูมภาพแบบออปติคัลได้ 5 เท่า และซูมแบบดิจิทัลได้สูงสุด 50 เท่า

ความพิเศษที่เพิ่มขึ้นมาของ Note 20 Ultra คือมากับเลเซอร์โฟกัส ที่ช่วยให้กล้องสามารถตรวจจับวัตถุเพื่อทำการโฟกัสได้อย่างรวดเร็ว และเพิ่มความสามารถของโหมดถ่ายวิดีโอให้รองรับการใช้ไมค์จากบลูทูธไร้สายได้ด้วย

ส่งผลให้เวลาบันทึกเสียงวิดีโอ จะทำได้จากทั้งตัวเครื่อง และหูฟังไร้สายที่เชื่อมต่อผ่านบลูทูธ ช่วยให้คุณภาพเสียงของวิดีโอที่ได้ดีขึ้น พร้อมกับลดเสียงรบกวนไปในตัว เมื่อรวมกับคุณภาพของวิดีโอระดับ 8K 24fps ทำให้ Note 20 Ultra เป็นรุ่นที่เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบการบันทึกเรื่องราวต่างๆ ทันที

ในส่วนของการถ่ายภาพนิ่ง เชื่อว่า Note 20 Ultra ไม่เป็นรองใครในตลาดสมาร์ทโฟนเวลานี้ ทั้งการถ่ายภาพในสภาพแสงปกติที่ให้มิติชัดเจน การถ่ายภาพในที่แสงน้อยที่มีการเพิ่มโหมดถ่ายภาพกลางคืนนำ AI มาช่วยประมวลผลร่วมกับเลนส์หลักที่รูรับแสงกว้าง

ส่วนของกล้องหน้าจะหันมาใช้เลนส์เดียวเป็น Dual Pixel AF ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล ซึ่งเจาะรูบนหน้าจอ Infinity-O ซึ่งตัวเลนส์มีขนาดเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้เวลาใช้งานนั้นได้ประสบกาณ์ใช้งานที่เต็มจอเช่นเดิม

ความน่าสนใจของกล้องหน้าคือเมื่อเปิดเข้าไปในโหมด Selfie เมื่อกล้องตรวจจับว่าภายในภาพมีหลายใบหน้า กล้องจะปรับมุมมองให้กว้างขึ้นโดยอัตโนมัติ ทำให้สามารถเก็บภาพใบหน้าได้ครบทุกคน และแน่นอนว่าทำงานร่วมกับ S Pen ในการกดชัตเตอร์ได้ด้วย

Gallery

ภาพรวมตัวเครื่องที่สมบูรณ์แบบขึ้น

ในแง่ของดีไซน์ Note 20 Ultra นั้นถือว่าออกแบบมาให้ความรู้สึกที่เป็นพรีเมียมมากขึ้น ด้วยการที่ซัมซุง นำกระจก Gorilla Glass Victus ที่เป็นรุ่นล่าสุดมาใช้งานทั้งด้านหน้า และหลัง ทำให้ตัวเครื่องมีความแข็งแรงต่อแรงตกกระแทก และรอยขีดข่วนมากยิ่งขึ้น

ขณะเดียวกัน ก็ทำให้สัมผัสที่ได้นั้นดีขึ้นด้วย โดย Note 20 Ultra จะมากับหน้าจอแบบขอบจอโค้งเช่นเดิม แต่มีการปรับองศาให้โค้งมากยิ่งขึ้น ทำให้พื้นที่บริเวณขอบลดลงเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนๆ ขนาดรวมๆ ของตัวเครื่องจะอยู่ที่ 164.8 x 77.2 x 8.1 มิลลิเมตร น้ำหนัก 208 กรัม

โดยจอของ Note 20 Ultra จะเป็น edge Quad HD+ Dynamic AMOLED 2X Infinity-O ขนาด 6.9 นิ้ว ความละเอียด 3088 x 1440 พิกเซล ให้ความละเอียดเม็ดสีถึง 496ppi รองรับการแสดงผล HDR10+ ด้วย ใต้หน้าจอมีการฝั่งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือมาให้ใช้งานด้วย ทำให้ไม่เป็นปัญหากับการปลดล็อกตัวเครื่องแม้ใส่หน้ากากอยู่ในช่วงเวลานี้

รอบๆ ตัวเครื่องจะมีส่วนสำคัญที่บริเวณฝั่งขวาเป็นปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิดปิดเครื่อง โดยมีช่องใส่ถาดนาโนซิมการ์ด 2 ซิม หรือสลับไปใส่ไมโครเอสดีการ์ดสูงสุด 1 TB อยู่ด้านบน

ส่วนด้านล่างมีการปรับช่องใส่ S Pen ไปใส่ที่มุมซ้ายล่างแทน เนื่องจากมุมขวาที่เดิมเคยเป็นจุดใช้งานนั้น ถูกแทนที่ด้วยโมดูลกล้องที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ทำให้ไม่สามารถใช้งานจุดเดิมได้ ที่เหลือก็จะเป็นช่องลำโพง พอร์ต USB-C สำหรับเชื่อมต่อ และเสียบสายชาร์จ

ด้านหลังที่บริเวณมุมบนจะมีชุดเลนส์กล้องที่ยื่นจากตัวเครื่องออกมาพอสมควร ทำให้ตัวเครื่องดูค่อนข้างหน้าขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผิวสัมผัสด้านหลังจะให้ลักษณะเป็นผิวด้านเพื่อลดรอยนิ้วมือเวลาจับใช้งานด้วย

แบตเตอรีที่ให้มาใน Note 20 Ultra อยู่ที่ 4,500 mAh ตัวเครื่องรองรับระบบชาร์จเร็ว Super Fast Charge 25W ชาร์จได้ 50% ภายใน 30 นาที ตัวเครื่องรองรับการชาร์จไร้สาย Fast Wireless Charging 2.0 และแปลงด้านหลังเครื่องเป็นแท่นชาร์จให้อุปกรณ์อื่นได้ผ่าน Wireless PowerShare

Samsung Note 20 Ultra 5G มากับหน่วยประมวลผล Samsung Exynos 990 ที่เป็น Octa Core ความเร็ว 2.73 GHz RAM รุ่น 5G จะเป็น 12 GB ROM มีให้เลือกระหว่าง 256 GB และ 512 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 10 ที่ครอบด้วย One UI 2.5

ด้านการเชื่อมต่อ Note 20 Ultra รองรับการเชื่อมต่อ 5G/4G/3G ในไทย สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ รวมกับการเชื่อมต่อ WiFi 6 ให้ความเร็วดาวน์โหลดสูงสุด 1.2 Gbps บลูทูธ 5.0 และตัวเครื่องกันน้ำกันฝุ่นมาตรฐาน IP68 ที่สามารถกันน้ำลึกได้ 1.5 เมตร ไม่เกิน 30 นาที

สรุป

Samsung Note 20 Ultra กลายเป็นสมาร์ทโฟนที่ตอบโจทย์การใช้งานของผู้ที่ชื่นชอบการจดบันทึก และเน้นการทำงานร่วมกับ S Pen ได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกัน ซัมซุง ได้พัฒนาอีโคซิสเตมส์ ในการซิงค์ข้อมูลใช้งานร่วมกับอุปกรณ์อื่นๆ ได้อย่างน่าสนใจ

ทำให้ปัจจุบันการทำงานที่เริ่มบน Note 20 อาจจะไปจบบนแท็บเล็ต หรือพีซี ได้แบบไร้รอยต่อ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้ดีขึ้น นอกจากนี้ด้วยการที่ให้สเปกมาสุดทั้งเรื่องการประมวลผล กล้อง และการเชื่อมต่อ ทำให้ Note 20 Ultra ถือเป็นหนึ่งในสมาร์ทโฟนที่สมบูรณ์แบบที่สุดเวลานี้

]]>
Review : Samsung Galaxy Buds Live หูฟังไร้สายดีไซน์แหวกแนว https://cyberbiz.mgronline.com/review-samsung-galaxy-buds-live/ Wed, 19 Aug 2020 05:45:14 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=33454

ในช่วงที่ผ่านมาตลาดหูฟังไร้สายส่วนใหญ่จะถูกจำกัดอยู่ในลักษณะการออกแบบที่มาในแนวทางเดียวกันคือ ไม่เหมือน AirPods ที่มีก้านยาวลงมา กับลักษณะของหูฟังบลูทูธที่มาพร้อมที่เกี่ยวหู ก็จะเป็นลักษณะของจุกหูฟังทั่วไปที่ใส่เข้ามาในหู

ทำให้การเปิดตัว Galaxy Buds Live ที่ Samsung เปิดตัวมาพร้อมกับ Galaxy Note20 นั้น ได้ออกมาพลิกโฉมรูปแบบของหูฟังไร้สายในตลาด ด้วยรูปทรงแบบใหม่ ภายใต้แนวคิด Ergonomic ที่เข้ากับหูของคนส่วนใหญ่ได้อย่างพอดี

แน่นอนว่า ภาพแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของผู้ที่ได้สัมผัสทุกคนคือ Buds Live จะมีดีไซน์เหมือนถั่ว จนทำให้เรียกผิดเป็น Galaxy Beans และทุกคนก็เข้าใจว่าคือ Buds Live ด้วยการที่มีดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ชัดเจน

จุดเด่นของ Galaxy Buds Live นั้นถือว่าตอบโจทย์การเป็นหูฟังไร้สายได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งเรื่องของการสวมใส่ที่สบาย ระยะเวลาการใช้งานบนแบตเตอรี ฟีเจอร์การสั่งงาน ที่เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน และดีไวซ์อื่นๆ ได้อย่างไร้รอยต่อ จนถึงเรื่องของคุณภาพเสียง แต่ก็มากับราคาที่ค่อนข้างสูงขึ้นมาเล็กน้อย เพราะเปิดตัวมาที่ 6,990 บาท

ข้อดี

  • หูฟังไร้สาย ใส่สบาย
  • คุณภาพเสียงสมกับราคา
  • เคสรองรับการชาร์จไร้สาย

ข้อสังเกต

  • หูฟังค่อนข้างเล็กลื่น ทำให้เวลาจับใส่หูมีโอกาสหลุดมือ
  • มีขนาดเดียว ทำให้อาจไม่เหมาะกับคนที่หูเล็ก
  • ระบบตัดเสียงรบกวน ยังไม่ดีเท่าที่ควร

สวมใส่สบายผิดคาด

ด้วยรูปทรงที่แปลกตาของ Buds Live ทำให้ในครั้งแรกที่หยิบขึ้นมาใส่หูเพื่อลองใช้งานนั้น กลายเป็นว่าต้องทำความเข้าใจก่อนเบื้องต้นว่า จะใส่ Buds Live เข้าไปในหูอย่างไร เพราะไม่ใช่ว่าสามารถจับใส่เข้าไปในรูหูได้เหมือนหูฟังปกติ

ในการใส่ Buds Live ให้พอดีนั้นจำเป็นต้องใส่ด้านที่เป็นลำโพงเข้าไปบริเวณรูหูก่อน แล้วค่อยใส่ส่วนที่เป็นปลายอีกฝั่งตามเข้าไปเพื่อให้ยึดเข้ากับใบหูส่วนใน ซึ่งหลังจากใส่แล้วจะรับรู้ได้ว่า Samsung ทำการบ้านมาได้ค่อนข้างดี ในแง่ของ Ergonomic เพราะสามารถใส่เข้าไปได้พอดิบพอดี

ความน่าสนใจก็คือ Buds Live เข้าไปได้กระชับพอดี ไม่แน่น หรือหลวนจนเกินไป ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าหูฟังจะหลุดออกมาในขณะที่สวมใส่ แม้จะมีการโยกหัวแรงๆ ก็ยังไม่หลุดออกมา แต่ก็มีข้อควรระวังในกรณีที่ใส่ออกกำลังกาย อย่างการวิ่งเมื่อมีเหงื่อออกหูฟังจะไม่กระชับเหมือนเดิมทำให้ต้องคอยจับอยู่เรื่อยๆ

อย่างไรก็ตาม Buds Live มีจุดที่ต้องระวังอยู่ 2 ส่วนหลักๆ ในการหยิบใส่ใช้งาน อย่างแรกคือตัวหูฟังทำมาในลักษณะผิวมัน และมีขนาดเล็ก ทำให้เวลาจับใส่หูจะค่อนข้างลื่น อาจจะลื่นหลุดมือตกพื้นได้ง่ายๆ กับอีกส่วนคือเซ็นเซอร์รับสัมผัสในการสั่งงานทำงานค่อนข้างเร็ว บางทีต้องการจับหูฟังเพื่อให้กระชับขึ้นแต่กลายเป็นไม่แตะโดนเซ็นเซอร์แทน

ทั้งนี้ ดีไซน์ของ Buds Live อย่างที่เห็นกันคือมีการปรับการออกแบบให้ไม่เหมือนใคร ด้วยการนำรูปทรงคล้ายถั่วมาใช้งาน โดยขนาดของหูฟังจะอยู่ที่ 27.3 x 16.5 x 14.9 มม. ส่วนเคสจะอยู่ที่ 50 x 50.2 x 27.8 มม. มีให้เลือกด้วยกัน 3 สี คือ Mystic Bronze Mystic White และ Mystic Black ในราคา 6,990 บาท

ในส่วนของเคสชาร์จ ภายนอกจะมีไฟแอลอีดี แสดงสถานะแบตเตอรี ที่จะติดขึ้นเมื่อชาร์จไฟ และแสดงระดับของแบตเตอรีเมื่อเปิดปิดเคส โดยถ้าเป็นสีแดงแปลว่าแบตต่ำกว่า 30% ตามด้วยสีเหลืองแสดงว่าต่ำกว่า 50% ถ้าสูงกว่านี้จะเป็นสีเขียว ด้านหลังจะมีช่องเสียบสายชาร์จ USB-C โดยที่ตัวเคสรองรับการชาร์จไร้สายด้วย

เชื่อมต่อแอปฯ เริ่มใช้งาน

เมื่อเปิดฝาเคสขึ้นมา จะพบกับหูฟัง Buds Live 2 ข้างชาร์จอยู่กับ Connecter โดยมีแม่เหล็กอ่อนๆ ช่วยยึดไว้ทำให้แม้จะคว่ำเคสลงมาหูฟังก็จะไม่หลุดจากตัวเคส (ยกเว้นเขย่า) โดยตรงบริเวณนี้จะมีไฟแอลอีดี อีกจุดเพื่อแสดงสถานะการเชื่อมต่อ

ครั้งแรกที่เปิดเคสขึ้นมาไฟแอลอีดีสีเขียวจะกระพริบเพื่อให้รับรู้ว่า Buds Live กำลังเข้าสู่โหมดรอการเชื่อมต่อ (Pairing) โดยผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนตระกูล Galaxy สามารถดาวน์โหลดแอป Galxaxy Wearable มาเชื่อมต่อใช้งานได้ทันที เช่นเดียวกับผู้ใช้ Android รุ่นอื่นๆ

ส่วนผู้ใช้งาน iOS สามารถดาวน์โหลดแอป Galaxy Buds มาเพื่อเชื่อมต่อกับ Buds Live ได้เช่นกัน โดยประสบการณ์ในการใช้งานนั้นไม่แตกต่างกัน เรียกได้ว่า Samsung ทำการบ้านในจุดนี้มาค่อนข้างดี

ความน่าสนใจของ Buds Live ในเรื่องของการเชื่อมต่อก็คือ หลังจากเชื่อมต่อเข้ากับดีไวซ์หลักแล้ว ผู้ใช้งานสามารถเชื่อมต่อ Buds Live เข้ากับอุปกรณ์อื่นๆ ได้ด้วย ผ่านการแตะค้างที่หูฟังทั้ง 2 ข้างเพื่อเข้าโหมด Pairing 

หลังจากเชื่อมต่อเรียบร้อยแล้วผู้ใช้สามารถสลับการใช้งานไปมาระหว่างอุปกรณ์ได้อย่างไร้รอยต่อ ไม่ต้องมาคอยยกเลิกการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เก่า แล้วค่อยกดเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ใหม่ เหมือนหูฟังไร้สายทั่วๆ ไปในท้องตลาด

ภายในแอปพลิเคชัน Buds Live จะมีการแสดงผลสถานะของแบตเตอรี ทั้งหูฟังข้างซ้ายขวา และตัวเคส ถัดลงมาเป็นสถานะการเปิดใช้งานระบบตัดเสียงรบกวน ANC ที่สามารถสั่งเปิดปิด ได้จากในแอป หรือแตะสั่งงานที่ตัวหูฟังก็ได้เช่นกัน

ต่อมาเป็นการปรับอีควอไลเซอร์ ซึ่งมีให้เลือกด้วยกัน 6 โหมด ประกอบไปด้วย Normal Bass Boost Soft Dynamic Clear และ Treble boost ซึ่งถือว่าครอบคลุมการใช้งานในระดับหนึ่ง

ที่เหลือก็จะเป็นการตั้งค่าการสัมผัส อย่างการกดค้างให้เปิดใช้โหมด ANC หรือจะเปลี่ยนการสั่งงานเฉพาะข้างให้กดค้างแล้วเรียกใช้งานแอปพลิเคชันก็ได้ ส่วนการแตะสัมผัส 1 ครั้ง จะถูกตั้งให้เป็นการเล่นเพลง หยุดเพลง ตามด้วยแตะ 2 ครั้ง ในการเปลี่ยนเพลง และแตะ 3 ครั้งเพื่อเล่นเพลงก่อนหน้าเป็นต้น

จุดที่น่าสนใจคือผู้ใช้สามารถสั่งปิดโหมดสัมผัสที่หูฟังได้ด้วย ซึ่งแปลว่าจะเปลี่ยนการควบคุมเป็นผ่านแอปพลิเคชันแทน ทำให้เห็นว่า Samsung เองก็ทราบว่าการรับสัมผัสที่หูฟังไวเกิดไป จนทำให้เวลาจับหูฟังกลายเป็นแตะสั่งงานแทน

คุณภาพเสียง และระบบตัดเสียงรบกวน

Samsung

อีกหนึ่งจุดที่ Galaxy Buds Live ทำได้ประทับใจคือเรื่องของเสียงที่ได้จากหูฟังไร้สายในราคาระดับนี้ ถือที่ว่าสมกับคุณภาพที่ได้อย่างแน่นอน โดยลำโพงของ Buds Live มีขนาด 12 มม. มาพร้อมกับไดรฟ์เวอร์ขนาดใหญ่ ช่วยเพิ่มเบส และมีช่องลมที่ช่วยเพิ่มเบสให้ลุ่มลึกยิ่งกว่าเดิม

Samsung

ในขณะที่ไมโครโฟนของ Buds Live นั้นให้มาถึง 3 ตัวด้วยกัน แบ่งเป็น 2 ตัวที่จะจับเสียงภายนอก และอีกหนึ่งตัวด้านในที่ทำงานร่วมกับเซ็นเซอร์ที่จะคอยตรวจจับการสั่นสะเทือนของขากรรไกรให้กลายเป็นสัญญาณเสียง แม้จะอยู่ในสภาพที่มีเสียงรบกวนต่างๆ

แม้ว่า Buds Live จะใส่ไมโครโฟนมาให้ถึง 3 ตัว แต่กลายเป็นว่าเวลาใช้งานโทรศัพท์นั้นจะต้องพูดในระดับเสียงที่ดังกล่าวปกติเล็กน้อย ดังนั้นถ้าใครที่ปกติเป็นคนพูดเสียงดังอาจจะไม่มีปัญหากับการใช้งานด้านบันทึกเสียง แต่ถ้าเป็นคนพูดเบาอาจจะต้องปรับตัวเล็กน้อยเพื่อให้ปลายสายได้ยินเสียงชัดเจนขึ้น

สิ่งที่น่าเสียดายอย่างหนึ่งคือระบบตัดเสียงรบกวน แบบ Active Noise Cancellation : ANC ที่กลายเป็นว่าด้วยรูปแบบของหูฟังที่ไม่ใช่ In-Ears เหมือน Galaxy Buds ทำให้ถึงแม้เปิดใช้งานโหมด ANC แล้วก็ยังได้ยินเสียงรบกวนเข้ามาอยู่ ไม่ได้ตัดให้เงียบสนิทเหมือนอย่างที่หวังไว้

แม้ซัมซุงจะระบุว่า ระบบตัดเสียงรบกวนแบบ ANC จะสามารถลดเสียงรบกวนจากภายนอกได้ถึง 97% ในช่วงคลื่นความถี่ต่ำอย่างเสียงรถไฟ หรือเครื่องบิน ทำให้สามารถได้ยินเสียงพูด และเสียงประกาศต่างๆ ได้ตามปกติ แต่กลายเป็นว่าแทบไม่รู้สึกถึงความต่างเลย

สำหรับแบตเตอรีของ Buds Live นั้น สามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง 6 ชั่วโมง และเมื่อรวมกับเคสชาร์จจะทำให้ใช้งานได้ต่อเนื่องถึง 21 ชั่วโมง และยังมีโหมดชาร์จไฟเร็วที่ใส่เคสชาร์จ 5 นาทีจะสามารถใช้งานได้ราว 30 นาที

สรุป

Samsung Galaxy Buds Live ถือว่าเป็นหูฟังไร้สายที่ทำดีไซน์ออกมาได้เป็นเอกลักษณ์มากๆ ขณะเดียวกันด้วยการออกแบบใหม่นี้ทำให้สวมใส่แล้วสบาย ถูกหลักสรีระมากขึ้น จึงทำให้กลายเป็นอีกหนึ่งหูฟังไร้สายที่สวมใส่สบายรุ่นหนึ่งในเวลานี้ก็ว่าได้

แต่ในแง่ของการใส่ใช้งานอาจจะต้องระมัดระวังกันสักหน่อยเพราะหูฟังมีขนาดเล็ก กับเรื่องของระบบสัมผัสที่ค่อนข้างไวทำให้กดสั่งงานโดยไม่ตั้งใจได้ง่ายน สำหรับคุณภาพของเสียงที่ได้ถือว่าสมราคาดี จากการปรับแต่งร่วมกับทาง AKG ติดอยู่ตรงระบบตัดเสียงรบกวน ANC ที่มีปัจจัยจากดีไซน์มาทำให้สู้แบบ In-Ears ไม่ได้

Gallery

]]>
Review : Samsung Galaxy S20 Ultra 5G ตัวเลือกสมบูรณ์ที่สุดของสมาร์ทโฟน 5G https://cyberbiz.mgronline.com/review-samsung-galaxy-s20-ultra-5g/ Tue, 16 Jun 2020 06:02:25 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=33012

แม้ว่าในช่วงที่เริ่มวางจำหน่ายในประเทศไทย Galaxy S20 Ultra 5G จะมีปัญหาเกี่ยวกับการใช้งาน 5G ในประเทศไทย จนทำให้ต้องรอถึงช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ถึงจะรองรับการใช้งาน 5G ในไทยได้ แต่ด้วยความสมบูรณ์โดยรวมของ S20 Ultra 5G จึงทำให้กลายเป็นรุ่นที่มีความโดดเด่นน่าสนใจ

จุดเด่นของ Samsung Galaxy S20 5G คือการนำกล้องความละเอียด 108 ล้านพิกเซลมาใช้งานคู่กับทั้งเลนส์ UltraWide และเลนส์ Telephoto ที่เป็น SpaceZoom 100x รองรับการถ่ายภาพวิดีโอความละเอียดสูงระดับ 8K

ตามด้วยการแสดงผลของจอภาพที่ Refresh Rate 120Hz ที่ให้ความเนียนตา และลื่นไหลในการใช้งาน รวมถึงการที่รองรับการเชื่อมต่อระดับสูงทั้ง 5G และ WiFi 6 และที่สำคัญคือทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 10 แบบสมบูรณ์ เพียงแต่ราคาจะค่อนข้างสูงอยู่ที่ 39,900 บาท

ข้อดี

  • จอแสดงผลขนาด 6.9 นิ้ว 120 Hz
  • รองรับ 5G
  • กล้อง 108 ล้านพิกเซล ถ่ายวิดีโอ 8K
  • มีทุกอย่างที่ไฮเอนด์สมาร์ทโฟนควรมี

ข้อสังเกต

  • ราคาค่อนข้างสูง
  • การถ่ายวิดีโอ 8K ยังมีข้อจำกัดอยู่
  • กล้องเวลาถ่ายซูมดิจิทัล 100x ยังไม่คมชัดเท่าคู่แข่ง
  • ไม่มีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม.

รองรับ 5G ในไทย

Samsung Galaxy S20 Ultra 5G ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของซุมซุง ที่นำเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย และรองรับการใช้งาน 5G ก็ว่าได้ แม้ว่าในช่วงแรกที่วางจำหน่ายจะเจอปัญหายังไม่ได้อัปเฟิร์มแวร์ให้รองรับการใช้งาน แต่หลังจากเดือนพฤษภาคมมา S20 Ultra 5G ก็สามารถใช้งาน 5G ในไทยได้แล้ว

เมื่อตัวเครื่องรองรับการใช้งาน 5G เมื่อเข้าไปใช้งานในพื้นที่ที่รองรับ และมีสัญญาณ 5G ตัวเครื่องก็จะจับสัญญาณแบบอัตโนมัติ ความเร็วในการเชื่อมต่อที่ได้ก็จะเพิ่มขึ้น โดยปกติแล้วสามารถทำความเร็วได้เกิน 400 Mbps ขึ้นไป ซึ่งถือว่าเร็วกว่า 4G ที่ให้บริการในปัจจุบันอยู่แล้ว

แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ไม่ได้ใช้งานแพ็กเกจเน็ตแบบไม่จำกัด ต้องระมัดระวังในการใช้งานพอสมควร เนื่องจากเมื่อเชื่อมต่อกับ 5G แล้วไม่ได้มีแพ็กเกจรองรับ ปริมาณการใช้เน็ตจะเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นถ้าต้องการใช้งาน 5G แนะนำให้เปลี่ยนแพ็กเกจเน็ตที่ใช้งานด้วย

กล้อง SpaceZoom 100x

ฟีเจอร์อย่าง SpaceZoom 100x ดูดสี Filter และ SingleTake

ในช่วงแรกที่ S20 Ultra 5G วางจำหน่าย เชื่อว่าทุกคนคงผิดหวังกับความสามารถของกล้องที่ได้เมื่อทำการซูมระยะไกล แต่หลังจากมีการอัปเดตเฟิร์มแวร์มาพัฒนาการทำงานของกล้องแล้ว คุณภาพของภาพที่ได้ถือว่าดีขึ้นเยอะ เมื่อเทียบกับช่วงแรกๆ เรียกได้ว่าสามารถนำไปใช้งานได้อย่างเต็มที่

จุดขายที่ 2 ของ S20 Ultra 5G ที่มีเพิ่มขึ้นมาจาก S20+ คือการนำเลนส์ความละเอียด 108 ล้านพิกเซลมาใช้งานเป็นรุ่นแรก ทำให้สามารถถ่ายภาพได้ความละเอียดชัดเจนมากขึ้น และเมื่อนำไปประมวลผลคู่กับเลนส์ซูมที่ใช้หลักการของ Folded lens ที่ใช้กระจกสะท้อนมาใช้งาน ทำให้สามารถซูมดิจิทัลได้ 100 เท่า ซึ่งซัมซุงตั้งชื่อว่า SpaceZoom

ตัวกล้องหลังของ S20 Ultra 5G มีมาด้วยกัน 4 เลนส์ ประกอบด้วยเลนส์หลัก 108 ล้านพิกเซล f/1.8 ตามด้วยเลนส์มุมกว้าง 12 ล้านพิกเซล f/1.2 ให้มุมกว้างที่ 120 องศา ตามด้วยเลนส์ซูม 48 ล้านพิกเซล f/3.5 รองรับการซูมแบบออปติคัล 10x พร้อมกับเลนส์ DepthVision ที่ใช้ในการวัดระยะลึกตื้นเพิ่มเข้ามา

โดยเวลาใช้งานตัวสมาร์ทโฟนจะมีการคำนวนระยะที่เหมาะสมในการใช้งานแต่ละเลนส์ เช่นการถ่ายภาพในมุมกว้างสุด 0.5 – 0.9x จะใช้เลนส์มุมกว้าง 12 ล้านพิกเซล เมื่อเข้ามาในระยะปกติ 1x – 9.9x จะใช้เลนส์ 108 ล้านพิกเซล และเมื่อเข้าระยะ 10x – 100x จะปรับไปใช้เลนส์ซูม 48 ล้านพิกเซล

สำหรับระยะหวังผลในการใช้งานเลนส์ซูมที่ได้ภาพคมชัดมากที่สุดจะอยู่ในช่วงประมาณ 30x ที่ภาพหลังจากประมวลผลออกมาแล้วแทบจะไม่สูญเสียรายละเอียดของภาพให้ใช้งาน ในขณะที่เมื่อถ่ายภาพในระยะไกลกว่านั้น ความคมชัดก็จะลดน้อยลงตามลักษณะของ Hybrid Digital Zoom

คุณภาพของกล้องหน้าก็ไม่ใช่เล่นๆ เพราะด้วยการใส่เลนส์ความละเอียด 40 ล้านพิกเซล f/2.2 มาให้ ทำให้รองรับทั้งการถ่ายภาพนิ่งหน้าชัดหลังเบลอ จนถึงรองรับการถ่ายวิดีโอกล้องหน้าความละเอียด 4K60fps ด้วย

ซื้อตอนนี้ใช้ได้ยาวๆ

เมื่อจุดขายหลักของเครื่องรุ่นนี้คือรองรับการใช้งาน 5G ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นจุดสำคัญที่ทำให้ Galaxy S20 Ultra 5G กลายเป็นสมาร์ทโฟน Android ที่สมบูรณ์ที่สุดในตอนนี้ เพราะนอกจากรองรับ 5G แล้วยังมากับ Google Mobile Service ที่คู่แข่งอย่าง Huawei ไม่มีอยู่ในเวลานี้

เช่นเดียวกับเรื่องกล้องที่กลายเป็น 1 ในมือถือที่มากับกล้องที่ครอบเครื่องที่สุดทั้งการถ่ายภาพนิ่ง และภาพวิดีโอที่รองรับความละเอียดถึง 8K แม้ว่าจะไม่สามารถถ่ายต่อเนื่องยาวๆ ได้จากข้อจำกัดเรื่องของพื้นที่เก็บข้อมูลในตัวเครื่อง แต่ก็ถือว่านำมาใช้งานในเวลาจำเป็นได้เป็นอย่างดี

ประกอบกับในช่วงหลังๆ ประสิทธิภาพของสมาร์ทโฟนในระดับไฮเอนด์ เมื่อมากับหน่วยประมวลผลรุ่นใหม่ๆ ที่มีความแรงทำให้สามารถใช้งานระยะยาวได้ 3 ปีขึ้นไปสบายๆ ยิ่งเมื่อ Samsung รองรับการอัปเดตระบบปฏิบัติการ Android ต่อเนื่อง ทำให้ S20 Ultra 5G สามารถใช้งานได้ยาวๆ

การออกแบบตัวเครื่อง

กลับมาที่ดีไซน์ของตัวเครื่อง Samsung Galaxy S20 Ultra 5G ซึ่งถือว่าไม่ได้แตกต่างจากรุ่นอื่นในซีรีส์ S20 มากนัก เพียงแต่ด้วยการที่ S20 Ultra มีขนาดหน้าจอใหญ่ขึ้นมาเป็น 6.9 นิ้ว ทำให้ขนาดตัวเครื่องใหญ่ และหนักตามไปด้วย โดยขนาดของเครื่องจะอยู่ที่ 166.9 x 76 x 8.8 มิลลิเมตร นำ้หนัก 220 กรัม ตัวเครื่องมีให้เลือกด้วยกัน 2 สี คือเทา Cosmic Gray และ ดำ Cosmic Black

หน้าจอของ S20 Ultra จะใช้จอแบบ Dynamic AMOLED 2X ความละเอียด Quad HD+ (3200 x 1440 พิกเซล) ที่เป็นจอ Infiniti-O หรือจอที่มีการเจาะรูเพื่อฝังกล้องหน้าความละเอียด 40 ล้านพิกเซลไว้ ที่ตรงกึ่งกลางบนของหน้าจอ โดยตัวจอยังรองรับการแสดงผลที่ 120 Hz ด้วยเช่นเดียวกัน

ใต้หน้าจอของ S20 Ultra 5G ยังมากับเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบ Ultra Sonic ทำให้สะดวกในการปลดล็อกสมาร์ทโฟน แม้อยู่ในช่วงเวลาที่ต้องใส่หน้ากากผ้า หรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลาก็สามารถปลดล็อกได้ หรือจะเลือกผสมผสานการใช้งานกับกล้องหน้าในการตรวจจับใบหน้าเพื่อปลดล็อกก็ได้เช่นกัน

ทางฝั่งขวาของ S20 Ultra 5G จะมีปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิดปิดเครื่องอยู่ ส่วนด้านบน จะมีถาดใส่ซิมการ์ดที่เป็นแบบนาโนซิมการ์ด 2 ซิม หรือเลือกใช้งานเป็นช่องเพิ่มพื้นที่เก็บข้อมูลไมโครเอสดีการ์ดได้เช่นกัน ที่พิเศษก็คือรุ่นนี้รองรับการใช้งาน eSIM ด้วยดังนั้นก็สามารถใช้งาน 2 เลขหมาย พร้อมใส่การ์ดเพิ่มได้

ด้านล่างจะมีพอร์ต USB-C สำหรับเสียบสายชาร์จโดยตัวเครื่องรองรับระบบชาร์จเร็วสูงสุด 45W (แต่ในกล่องให้หัวชาร์จ 25W มาให้) นอกจากนี้ ยังรองรับการเชื่อมต่อกับจอภาพ หรือคอมพิวเตอร์เพื่อใช้งาน Samsung DeX ได้ตามปกติของแฟลกชิปสมาร์ทโฟน ข้างๆพอร์ต USB-C เป็นช่องลำโพง และไมโครโฟนสนทนา

หลังเครื่องจุดหลักๆ เลยคือชุดเลนส์กล้องที่นูนขึ้นมาจากตัวเครื่องพอสมควร ทำให้ในกรณีที่ไม่ได้ใส่เคสใช้งาน แนะนำให้ระมัดระวังเวลาวางตัวเครื่องเล็กน้อย นอกจากชุดเลนส์สี่เหลี่ยมแล้ว ก็จะมีสัญลักษณ์ของ Samsung อยู่ อีกความพิเศษก็คือรองรับการชาร์จไร้สายที่ 15W

ภายในของ S20 Ultra 5G ที่ใช้หน่วยประมวลผล Exynos 990 5G ที่เป็น Octa Core 2.73 GHz 2.5 GHz และ 2 GHz RAM 12 GB พื้นที่เก็บข้อมูล 128 GB สามารถเพิ่มไมโครเอสดีการ์ดได้สูงสุด 1 TB แบตเตอรีภายใน 5,000 mAh

ด้านการเชื่อมต่อรองรับทั้ง 3G/4G/5G รวมถึง WiFi 6 ทำให้สามารถใช้เน็ตบ้านระดับ 1 Gbps ได้สบายๆ ที่เหลือบลูทูธเป็นเวอร์ชัน 5.0 NFC GPS ระดับท็อป ส่วนระบบปฏิบัติการที่ใช้ก็เป็น Android 10 ที่ครอบด้วย One UI 2.0

ทดสอบประสิทธิภาพ

ในช่วงแรกที่เริ่มใช้งาน Samsung Galaxy S20 Ultra 5G สิ่งที่เกิดขึ้นเลยคืออาการแบตไหล หรือแบตเตอรีหมดเร็วมาก ทั้งๆที่ปรับการแสดงผลหน้าจอเป็นแบบ 60 Hz แต่พอใช้งานต่อเนื่องไปสักพัก เมื่อตัวเครื่องเริ่มเรียนรู้การใช้งานของผู้ใช้มากขึ้น อาการแบตฯ ไหลก็เริ่มหายไป และใช้งานได้นานขึ้น

ขณะที่ในแง่ของการใช้งานทั่วไป S20 Ultra 5G ตอบโจทย์การใช้งานแทบทุกรูปแบบอยู่แล้ว ทั้งเพื่อความบันเทิงอย่างดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม ที่จอใหญ่เต็มตา จนถึงใช้ในการทำงาน และใช้เพื่อสร้างคอนเทนต์อย่างการถ่ายภาพ หรือถ่ายวิดีโอ ซึ่งสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมาก

สำหรับผลการทดสอบประสิทธิภาพตัวเครื่องจากแอปพลิเคชันต่างๆ สามารถดูผลได้จากภาพด้านล่าง

เทียบแบตเตอรี เมื่อเปิดใช้ 120 Hz จะหมดเร็วกว่า 60 Hz

สรุป

ในช่วงครึ่งปีแรกนี้ ถ้ามองหาสมาร์ทโฟนที่รองรับการใช้งานเผื่อไปในอนาคต และราคาไม่ใช่ปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อ เชื่อว่า Samsung Galaxy S20 Ultra 5G กลายเป็นคำตอบเดียวสำหรับผู้ที่ต้องการ Android ประสิทธิภาพสูงรองรับทุกรูปแบบการใช้งานมากที่สุด

Gallery

]]>
Review : Samsung Galaxy Tab S6 Lite แท็บเล็ตหมื่นต้นๆ พร้อมปากกา S Pen https://cyberbiz.mgronline.com/review-samsung-galaxy-tab-s6-lite/ Wed, 27 May 2020 14:51:17 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=32875

การขยายไลน์สินค้าของซัมซุง มาจับกลุ่มผู้ที่ต้องการใช้งานแท็บเล็ตในช่วงระดับราคาหมื่นต้นๆ ด้วย Samsung Galaxy Tab S6 Lite ในครั้งนี้ ถือว่าเป็นจุดที่มาอุดช่องว่างสำคัญในตลาดแท็บเล็ตได้อย่างเหมาะสม

เนื่องจากที่ผ่านมา Samsung มีแต่แท็บเล็ตในระดับพรีเมียมอย่าง Tab S6 ที่ระดับราคาอยู่ในช่วง 2 หมื่นบาท ในขณะที่คู่แข่งอย่าง Apple มี iPad รุ่นเริ่มต้น ส่วน Huawei ก็มี MediaPad ที่จับกลุ่มระดับราคาหมื่นต้นๆ อยู่ทั้งหมด

Samsung Galaxy Tab S6 Lite จึงเข้ามากลายเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจในช่วงราคา 11,900 บาทได้ทันที ที่สำคัญคือมาพร้อมกับปากกา S Pen พร้อมให้ใช้งานทันที ไม่ต้องซื้อเพิ่มแบบ Apple Pencil และมีให้เลือกรุ่น 4G LTE ด้วยในราคา 14,900 บาท

ข้อดี

  • แท็บเล็ตขนาดหน้าจอ 10.4 นิ้ว น้ำหนักเบา 465 กรัม
  • ทำงานร่วมกับ S Pen
  • แบตเตอรีขนาด 7,040 MHz ใช้งานต่อเนื่องยาวๆ

ข้อสังเกต

  • ไม่รองรับการใช้งาน Samsung DeX
  • รองรับแค่ WiFi 5 ยังไม่เป็น WiFi 6
  • ไม่มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ

แท็บเล็ต เพื่อความบันเทิงเต็มรูปแบบ

ถ้ามองในแง่ของการใช้งานทั่วไป Samsung Galaxy S6 Lite เฉพาะตัวเครื่อง ถือว่าเข้ามาตอบโจทย์ในแง่ของการเป็นแท็บเล็ตเพื่อความบันเทิงในขนาดหน้าจอ 10.4 นิ้ว ได้อย่างลงตัว

ทั้งในแง่ของการออกแบบให้ตัวเครื่องบาง น้ำหนักเบา ถือใช้งานได้ง่ายทั้งแนวตั้ง และแนวนอน โดยขนาดตัวเครื่องของ Tab S6 Lite อยู่ที่ 244.5 x 154.3 x 7 มิลลิเมตร น้ำหนัก 465-467 กรัม (รุ่น WiFi / รุ่น LTE) และมีให้เลือก 3 สี คือ เงิน (Oxford Gray) น้ำเงิน (Angola Blue) และชมพู (Shiffon Pink)

รายละเอียดของจอขนาด 10.4 นิ้ว ที่ใช้งานคือเป็นจอความละเอียด WUXGA+ (2000 x 1200 พิกเซล) 16 ล้านสี โดยมีกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซลอยู่ด้านบน สามารถใช้เพื่อสแกนปลดล็อกใบหน้าได้ด้วย

รอบตัวเครื่อง ทางฝั่งขวา จะมีปุ่มเปิดปิด เเครื่อง และปุ่มปรับระดับเสียง โดยในรุ่น LTE จะมีช่องใส่ถาดซิมอยู่ทางขวาล่างด้วย ส่วนทางซ้ายจะปล่อยว่างไว้ เพื่อให้สามารถใส่เคสตั้งใช้งานในแนวนอนได้

ด้านบน จะมีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ด้านล่าง เป็นพอร์ต USB-C โดยทั้ง 2 ด้าน จะมีลำโพงอยู่ด้วย เพื่อให้เวลาใช้งานเครื่องในแนวนอนจะได้เสียงแบบสเตอรีโอทั้งซ้าย และขวา ที่ปรับแต่งเสียงจาก AKG

ด้านหลังเครื่องจะมีกล้องความละเอียด 8 ล้านพิกเซลอยู่ที่มุมบนเท่านั้น ส่วนที่เหลือจะมีโลโก้ Samsung พาดอยู่ตรงกึ่งกลาง และสำหรับรุ่น LTE จะมีเส้นที่เป็นตัวรับสัญญาณเพิ่มเติมเข้ามา เพื่อใช้รับทั้งสัญญาณ 4G และ WiFi

ภายในของ Tab S6 Lite จะมากับหน่วยประมวลผล Exynos 9611 ความเร็ว 2.3 GHz, 1.7 GHz RAM 4 GB ROM 64 GB แบตเตอรีขนาด 7040 mAh รองรับการเชื่อมต่อ WiFi 5 (802.11ac) บลูทูธ 5.0 4G LTE สามารถใส่ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มเติมได้สูงสุด 1 TB

จุดเด่นอยู่ที่ S Pen

ความพิเศษที่ทำให้ Tab S6 Lite มีความน่าสนใจขึ้นมาจากแท็บเล็ตทั่วไปในระดับราคาดังกล่าวคือ มี S Pen มาให้ใช้งานด้วย ดังนั้นจากการที่เป็นแท็บเล็ตที่ใช้งานเพื่อความบันเทิงเป็นหลัก ก็จะสามารถใช้งานในรูปแบบอื่นได้มากขึ้น

โดยตัว S Pen มีการปรับปรุงดีไซน์ใหม่ให้จับถนัดมือมากยิ่งขึ้น เมื่อเทียบกับที่อยู่ใน Galaxy Note จะมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น ตัว S Pen จะมีแม่เหล็กในตัว ทำให้สามารถแปะติดกับ S6 Lite ได้ทันทีที่ไม่ต้องใช้งาน หัวปากกามีขนาด 0.7 รองรับแรงกด 4,096 ระดับ

อย่างไรก็ตาม การวาดรูปที่อาจจะเป็นงานอดิเรกของใครบางคน แต่ก็สามารถนำมาใช้ทำให้เกิดการสร้างรายได้เพิ่มขึ้นได้เช่นกัน หรือแม้แต่ในกรณีที่ต้องใช้ทำงาน S Pen ก็จะมาช่วยให้คอมเมนต์งานต่างๆ ได้สะดวกขึ้น

หรือในกรณีที่นำมาใช้กับภาคการศึกษา Tab S6 Lite ที่จับคู่กับ S Pen จะช่วยให้สามารถจดบันทึก พร้อมกับเรียนออนไลน์ไปพร้อมๆ กันได้ในตัว จากการที่ตัวเครื่องมีระบบ MultiTasking

จนถึงการเแปลงแท็บเล็ตเป็นสมุดระบายสีให้เด็กๆ ได้ใช้งานในช่วงที่โรงเรียนยังไม่เปิดเทอม ซึ่งจะช่วยเพิ่มสมาธิให้กับเด็กๆ ได้ด้วย หรือถ้าโตขึ้นมาหน่อยใช้เพื่อเรียนรู้ หรือจะเล่นเกมเพื่อความบันเทิงก็รองรับได้เป็นอย่างดี

ข้อดีอีกอย่างคือผู้ที่ใช้งาน Samsung Galaxy Tab S6 Lite จะได้รับสิทธิในการสมัครใช้งาน YouTube Premium ฟรี 4 เดือน จากการเป็นพันธมิตรในการให้บริการระหว่างกูเกิล และซัมซุง

One UI 2 ที่ใช้งานได้ง่ายขึ้น

อีกจุดที่มีการอัปเกรดเพิ่มเติมมาบน Tab S6 Lite คือ User Interface One UI 2 ที่มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 10 เป็นรุ่นแรกของแท็บเล็ตซัมซุง ที่ได้ใช้งาน ทั้งการเพิ่ม Dark Mode ให้ใช้งานได้สบายตามากขึ้นในเวลากลางคืน

พร้อมกับการเชื่อมต่อแท็บเล็ตเข้ากับอีโคซิสเตมส์ของซัมซุง เมื่อใช้งานแท็บเล็ต Tab S6 Lite คู่กับสมาร์ทโฟน Galaxy ที่ลงทะเบียนด้วย Samsung Account เดียวกัน จะสามารถใช้รับโทรศัพท์ได้จากแท็บเล็ตได้ด้วย

รวมถึงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้การใช้งานสะดวกขึ้น อย่างการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่าน Personal Hotspot เมื่อตัวเครื่องตรวจพบว่ามีสมาร์ทโฟนที่ใช้บัญชีเดียวกันอยู่ใกล้เคียง จะแสดงตัวเลือกขึ้นมาให้เลือกเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจากสมาร์ทโฟนใช้งานได้ด้วย

นอกจากนี้ ในกรณีที่เป็นผู้ใช้งาน Spotify แบบ Premium เมื่อล็อกอินเข้าใช้งานแล้ว ยังสามารถค้นหาเพลงต่างๆ ได้จากระบบค้นหาของ Tab S6 Lite ได้ทันที โดยไ่ต้องกดเข้าไปค้นหาจากในแอป Spotify

ทดสอบประสิทธิภาพ

ถ้ามองในแง่ของการใช้งานทั่วไปประสิทธิภาพของ S6 Lite ถือว่าเพียงพอกับการใช้งานอยู่แล้ว โดยเฉพาะเรื่องของแบตเตอรีที่ใช้งานต่อเนื่องได้ยาวนานกว่า 12 ชั่วโมง ดังนั้น เมื่อถอดจากสายชาร์จแล้วใช้งานตลอดวันแบตฯ ก็ยังไม่หมดแน่นอน

สรุป

จะเห็นได้ว่าจากความสามารถของ Samsung Galaxy Tab S6 Lite ที่มาคู่กับปากกา S Pen ให้ใช้งาน ในราคาเริ่มต้นที่ 11,900 บาท ได้กลายมาเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจทันที ในช่วงระดับราคาดังกล่าว

เพราะที่ผ่านมาตลาดนี้แทบจะถูกครองโดย iPad เป็นหลัก ซึ่งทำให้มีตัวเลือกค่อนข้างน้อย การนำ Tab S6 Lite เข้ามาจึงช่วยให้มีตัวเลือกแก่ผู้บริโภคมากขึ้น กับประสิทธิภาพในการใช้งานที่ครอบคลุม และหลากหลายมากกว่า

Gallery

]]>
Review : Samsung Galaxy XCover Pro / Galaxy Tab Active Pro คู่หูดีไวซ์จับกลุ่มองค์กร https://cyberbiz.mgronline.com/review-samsung-xcover-tab-active-pro/ Thu, 30 Apr 2020 09:58:04 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=32709

การทำงานในองค์กรธุรกิจช่วงที่ผ่านมาอาจจะมีกระแสชองการนำ BYOD (Bring your own device) หรือการนำดีไวซ์ส่วนตัวมาใช้ในการทำงาน เพื่อให้ไม่ต้องพกพาอุปกรณ์หลายชนิดให้เป็นภาระ

จนทำให้แบรนด์มือถือ และไอที ทั้งหลายไม่ค่อยให้ความสำคัญกับกลุ่มผู้ใช้งานที่มีความจำเป็นต้องการอุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานภายในองค์กรเท่านั้น ที่ต้องการเรื่องของความทนทาน และประสิทธิภาพในการใช้งาน

ในปีนี้ Samsung เริ่มเห็นถึงโอกาสในการเข้าไปอุดช่องว่างดังกล่าว เลยปัดฝุ่นสินค้าในกลุ่มสมาร์ทโฟน XCover และแท็บเล็ต Galaxy Tab ออกมาพัฒนาเป็นดีไวซ์สำหรับองค์กรธุรกิจโดยเฉพาะ

เพื่อเข้าไปตอบโจทย์การใช้งานทั้งในสำนักงาน รวมถึงการนำออกไปใช้งานในสถานที่ต่างๆ สำหรับพนักงานที่ต้องออกไปสำรวจพื้นที่ หรือเข้าไปเช็กสต็อกภายในโรงงาน

ข้อดี

  • ตัวเครื่องถูกออกแบบมาให้ทนทาน ทั้งกันกระแทก และกันน้ำ กันฝุ่น
  • ประสิทธิภาพตัวเครื่องในระดับท็อป ทำงานได้หลากหลาย
  • มีการเพิ่มปุ่มลัดมาให้เรียกใช้งานแอปฯ ที่ต้องใช้เป็นประจำ
  • รองรับการถอดเปลี่ยนแบตเตอรี

ข้อสังเกต

  • ดีไซน์ตัวเครื่องจะไม่ได้เน้นความสวยงามมากนัก
  • การออกแบบของ Active Pro เน้นใช้งานแนวนอนเป็นหลัก

Galaxy XCover Pro พกง่าย สมบุกสมบัน

เริ่มกันที่สมาร์ทโฟน Samsung Galaxy XCover Pro ที่ถูกออกแบบมาให้มีความทันสมัยมากขึ้น แม้ว่าจะไม่เพรียวบาง และหรูหราเหมือนสมาร์ทโฟนในตระกูล Galaxy S หรือ Note แต่ถ้ามองในเรื่องของความแข็งแรงแล้ว XCover Pro ถือว่าทำออกมาได้น่าสนใจ

ด้วยการที่ให้ตัวหน้าจอขนาด 6.3 นิ้ว ความละเอียด FullHD+ พร้อมกับกล้องหน้าความละเอียด 13 ล้านพิกเซล ที่เจาะรูแบบ Infinity-O เหมือนใน Galaxy S10 ซึ่งยังคงรักษามาตรฐานในการแสดงผลสีได้อย่างสดใสตามสไตล์ของซัมซุง

บริเวณรอบตัวเครื่องจะใช้วัสดุที่มีความยืดหยุ่นสามารถป้องกันแรงกระแทกได้ ขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 159.9 x 76.7 x 9.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 218 กรัม โดยทางซัมซุง เคลมว่าสามารถป้องกันการตกจากที่สูงได้ถึง 1.5 เมตร พร้อมกันน้ำกันฝุ่นมาตรฐาน IP68 ที่ 1.5 เมตร ไม่เกิน 30 นาที นอกจากนี้ ยังผ่านมาตรฐาน US Military Standards MIL-STD-810G มาช่วยยืนยันความแข็งแรงของตัวเครื่อง

ฝาหลังของ XCover Pro จะสามารถแกะออกมาเพื่อปล่อยแบตเตอรีได้ในกรณีที่ต้องการใช้งานต่อเนื่อง และเป็นที่อยู่ของช่องใส่ซิมการ์ด และไมโครเอสดีการ์ด เหมือนสมาร์ทโฟนสมัยก่อนด้วย

บริเวณฝาหลังด้านในจะมียางคอยซีลเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำเข้าไปในตัวเครื่อง และเวลาหลังจากที่มีการถอดฝาหลังออก ตัวเครื่องจะมีการเตือนให้ตรวจสอบการปิดฝาหลังให้สนิททุกครั้งด้วยเช่นกัน

ความพิเศษอีกอย่างของ XCover Pro คือนอกจากปุ่มใช้งานทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นปุ่มเปิดปิด ปุ่มปรับระดับเสียงทางขวาแล้วซัมซุงได้เพิ่มปุ่มสั่งานเข้ามาให้ใช้งานอีก 2 ปุ่มคือ Top Key ที่ด้านบน และ XCover Key ทางด้านซ้าย

ส่วนบริเวณล่างเครื่อง นอกจากใส่พอร์ต USB-C มาให้เสียบสายชาร์จรองรับชาร์จเร็ว 15W แล้ว ยังมี POGO Pin หรือแถบแม่เหล็กมาให้ใช้คู่กับแท่นวางเพื่อชาร์จสมาร์ทโฟนได้ทันที ช่วยให้มีความสะดวกเพิ่มมากขึ้น

เพื่อช่วยให้เวลาที่ต้องการเรียกใช้งานแอปพลิเคชัน สามารถกดปุ่มเพื่อเปิดใช้งานได้ทันที พร้อมมีการเพิ่มความสามารถอย่าง PTT (Push to Talk) ไว้ใช้สื่อสารกันภายในองค์กรมาให้ด้วย

เมื่อเป็นการใช้งานในองค์กรอีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือเรื่องของความปลอดภัย XCover Pro มากับระบบ Biometric Authentication ให้เลือกใช้งานร่วมกับ Samsung Knox ไม่ว่าจะเป็นการสแกนใบหน้า และเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอให้ใช้งานด้วย

สเปกตัวเครื่องของ Samsung XCover Pro จะมากับหน่วยประมวลผล Exynos 9611 RAM 4 GB พื้นที่เก็บข้อมูล 64 GB สามารถใส่ไมโครเอสดีการ์ดได้สูงสุด 512 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 10 รองรับการเชื่อมต่อทั้ง 3G/4G WiFi 5 บลูทูธ จีพีเอส และ NFC

ซึ่งจะช่วยให้สามารถนำไปใช้งานได้ในทุกสถานที่ และทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการนำไปใช้ในธุรกิจค้าปลีกอย่างเป็นอุปกรณ์ไว้ตรวจสอบข้อมูล โรงงานอุตสาหกรรม สำหรับการเช็กสต็อกสินค้า หรือแม้แต่ธุรกิจการบินที่นำไปใช้เพื่อสแกนตั๋วเครื่องบินก็ได้

Galaxy Tab Active Pro ครบเครื่องด้วย S-Pen

การนำแท็บเล็ตไปใช้ในงานภาคธุรกิจ น่าจะกลายเป็นรูปแบบการทำงานยุคใหม่ที่หลายองค์กรเริ่มปรับตัว และนำมาใช้งาน เพราะช่วยทั้งเรื่องของค่าใช้จ่าย ความสะดวก และความรวดเร็วในการทำงาน

Galaxy Tab Active Pro จึงได้ถูกปรับการดีไซน์มาให้เหมาะกับการใช้งานในภาคธุรกิจ ที่อาจจะไม่ได้บางเหมือนในกลุ่มคอนซูเมอร์ แต่ก็ไม่ได้หนาเท่ากับแท็บเล็ต Rugged สมัยก่อน

สำหรับตัวเครื่อง Galaxy Tab Active Pro จะมากับหน้าจอ 10.1 นิ้ว ความละเอียด WUXGA ที่ให้ความสว่างหน้าจอสูงสุดที่ 550 nit เพื่อช่วยให้สามารถใช้งานในที่กลางแจ้งได้

โดยมีกล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซลมาให้ใช้งาน ส่วนขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 170.2 x 243.5 x 9.9 มิลลิเมตร นำ้หนัก 653 กรัม กันน้ำ กันฝุ่นมาตรฐาน IP68 และ MIL-STD-810G

ในส่วนของการใช้งาน ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่า จะใช้งานเฉพาะตัวเครื่องแท็บเล็ต ที่สามารถนำไปเชื่อมต่อกับคีย์บอร์ด หรือใช้เป็นหน้าจอแสดงผลร่วมกับอุปกรณ์อื่นๆ อย่างล่าสุด ซัมซุง นำแท็บเล็ตรุ่นนี้ไปใช้กับหุ่นยนต์การแพทย์เพื่อช่วยให้สื่อสารได้สะดวกขึ้นในสถานการณ์โควิด-19 ด้วย

กรณีที่ต้องการความแข็งแรงของตัวเครื่องมากขึ้น จะมีสามารถใส่เคสเพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยให้มีช่องเก็บปากกา S-Pen เพิ่มเข้ามาด้วย ดังนั้นก็จะขึ้นอยู่กับรูปแบบในการใช้งานที่หลากหลาย ส่วนเครื่องความปลอดภัย Tab Active Pro มีการใส่เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือมาให้บริเวณปุ่มโฮมด้วย

รอบตัวเครื่องของ Galaxy Tab Active Pro ทางขวาจะเป็นช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. พร้อมกับ USB-C และลำโพง ส่วนด้านบน จะมีปุ่มเปิดปิดเครื่อง ปรับระดับเสียง และปุ่มลัดไว้ตั้งเรียกใช้งานแอปฯ เหมือนใน XCover Pro

ด้านล่างจะเป็น POGO Pins ไว้เชื่อมต่อกับแท่นชาร์จ และอุปกรณ์เสริมต่างๆ โดย Galaxy Tab Active Pro ยังรองรับการเชื่อมต่อกับหน้าจอ เพื่อใช้งาน Samsung DeX ที่เป็นโหมดเดสก์ท็อปเพื่อให้ใช้งานคู่กับเมาส์ และคีย์บอร์ดได้ด้วย

ด้านหลังเครื่องเมื่อถอดเคสออกมา จะสามารถเปิดฝาหลังเพื่อเปลี่ยนแบตเตอรีขนาด 7,600 mAh ได้ พร้อมกับมีช่องใส่ซิมการ์ด และไมโครเอสดีการ์ดเหมือนกับใน XCover Pro ซึ่งช่วยให้เกิดความยืดหยุ่นในการใช้งาน กรณีที่ไปในที่ๆ หาที่ชาร์จไม่ได้กรณีแบตหมดก็สามารถเปลี่ยนก้อนใหม่ได้ทันที

สำหรับสเปกของ Galaxy Tab Active Pro จะมากับหน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon 710 ที่เป็น Octa Core 2+1.7 GHz RAM 4 GB พื้นที่เก็บข้อมูลในตัวเครื่อง 64 GB ใส่ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มได้สูงสุด 512 GB ด้านการเชื่อมต่อรองรับ 3G/4G WiFi 5 บลูทูธ 5.0 GPS NFC ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 10

ปุ่มพิเศษไว้เรียกใช้แอปฯ ด่วน

ทั้ง Galaxy XCover Pro และ Galaxy Tab Active Pro จะมีความพิเศษที่เพิ่มขึ้นมาให้ลูกค้าองค์กรธุรกิจใช้งานกันคือการเพิ่มปุ่ม XCover และ ปุ่ม Top ที่ผู้ใช้สามารถเข้าไปตั้งได้ว่าจะใช้การกด 1 ครั้งเพื่อเข้าแอปพลิเคชัน หรือสั่งงานตัวเครื่อง ทำให้กรณีที่มีแอปฯ ขององค์กรที่ต้องใช้งานก็สามารถเปิดใช้ได้ทันที

ส่วนการใช้งานด้านอื่นๆ XCover Pro ก็จะเหมือนสมาร์ทโฟน Galaxy ที่รองรับการใช้งานทั่วๆ ไปได้ทั้งหมด ส่วน Galaxy Tab Active Pro ก็จะมีโหมด DeX ให้ใช้งานบนแท็บเล็ตเพิ่มมา หรือจะเลือกใช้งานร่วมกับปากกา S-Pen ก็ได้เช่นกัน

ทดสอบประสิทธิภาพ

ด้วยสเปกที่ให้มาของตัวเครื่องทั้ง 2 รุ่น ถือว่ารองรับการทำงานได้ทุกรูปแบบอยู่แล้ว โดยเฉพาะเรื่องของระยะเวลาใช้งานบนแบตเตอรีที่ยาวนานต่อเนื่อง และการประมวลผลต่างๆ โดยสามารถดูรายละเอียดคะแนนจากโปรแกรมทดสอบต่างๆได้

สรุป

Samsung Galaxy XCover Pro และ Galaxy Tab Active Pro ถือว่าเข้ามาเป็นตัวเลือกให้แก่องค์กรธุรกิจที่ต้องการสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตไปใช้งาน โดยมีจุดเด่นอยู่หลายๆ เรื่องทั้งความทนทาน ความยืดหยุ่นในการใช้งาน และแบตเตอรีที่สามารถถอดเปลี่ยนได้

ดังนั้นก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละองค์กรธุรกิจที่จะนำไปประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในยุค Digital Tranformation โดยมีพื้นฐานของระบบรักษาความปลอดภัยอย่าง Samsung Knox มาช่วยการันตีให้ข้อมูลของบริษัทมีความปลอดภัยด้วย

Gallery

]]>
Review : Samsung Galaxy A71 / A51 คู่หูสมาร์ทโฟนระดับหมื่นต้น https://cyberbiz.mgronline.com/review-samsung-galaxy-a71-a51/ Mon, 10 Feb 2020 07:43:12 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=32167

เรียกได้ว่าซัมซุง กลับมาแล้วในตลาดสมาร์ทโฟนระดับกลาง หลังเริ่มทยอยวางจำหน่าย Samsung Galaxy A51 และ A71 ในช่วงระดับราคาหมื่นบาท เพื่อเป็นตัวเลือกให้แก่ผู้บริโภค ที่ต้องการเครื่องสเปกดี ราคาไม่สูงจนเกินไป และถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีมากๆ

จุดเด่นของทั้ง Galaxy A71 และ A51 คือเป็นรุ่นที่ซัมซุงมีการปรับดีไซน์ใหม่ หันมาใช้งานจอแบบ Infinity-O กล้องหลังจัดเรียงในลักษณะ 4 เหลี่ยมที่จะเป็นแนวทางของซัมซุงในปีนี้ มีการใส่เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้จอมาให้ใช้งาน

โดยจุดที่แตกต่างกันหลักๆ คือเรื่องของขนาดหน้าจอ สเปก ความละเอียดกล้อง ซึ่งถ้าให้แนะนำแบบเร็วๆ คือถ้างบถึง A71 การเพิ่มเงิน 3,500 บาทขึ้นมาคุ้มค่าแน่นอน แต่ถ้าต้องการเครื่องระดับราคาหมื่นต้นๆ A51 ก็ตอบโจทย์เพียงพอกับการใช้งานแล้ว

ข้อดี

  • หน้าจอ Infinity-O ความละเอียด FullHD+
  • เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้จอ
  • กล้องหลักความละเอียด (A71) 64 / (A51) 48 ล้านพิกเซล

ข้อสังเกต

  • A71 มากับชาร์จเร็ว 25W แต่ A51 มากับชาร์จเร็ว 15W
  • การถ่ายภาพในที่แสงน้อยยังไม่ดีเท่าที่ควร
  • สเปกของ A51 ถ้าเทียบกับคู่แข่งในระดับเดียวกันยังด้อยกว่าอยู่

เทียบ Galaxy A71 และ Galaxy A51

Samsung Galaxy A71 มากับหน้าจอ Infinity-O ที่ใช้เป็นจอ Super AMOLED Plus ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอีบด Full HD+ (2400 x 1080 พิกเซล) ส่วน A51 จะลดขนาดหน้าจอลงมาเล็กน้อยอยู่ที่ 6.5 นิ้ว แต่ใช้เป็นจอ Super AMOLED ธรรมดา ความละเอียด Full HD+ เช่นเดียวกัน

ส่วนกล้องหน้าที่ใช้การฝั่งลงไปใต้จอตรงกลางบนนั้น ให้มาความละเอียด 32 ล้านพิกเซล f/2.2 ทั้ง 2 รุ่น แต่เซ็นเซอร์ของ A71 นั้นดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ภาพที่ได้ออกมาคมชัดกว่า นอกจากนี้ กล้องหน้ายังถูกใช้สำหรับการสแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อกได้ด้วย

ใต้จอของทั้ง A51 และ A71 ยังมีการฝั่งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือมาให้ใช้งานกัน โดยผู้ใช้สามารถวางนิ้วที่สแกนเพื่อปลุกเครื่องขึ้นมาได้ โดยไม่ต้องกดเปิดเครื่องก่อน แต่ในช่วงแรกที่ไม่ชินอาจจะวางผิดจุด และเครื่องไม่สแกนลายนิ้วมือได้ อาจจะต้องใช้เวลาสักเล็กน้อยเพื่อวางให้ตรงจุด

ขนาดตัวเครื่อง A71 จะอยู่ที่ 163.6 x 76 x 7.7 มิลลิเมตร น้ำหนัก 179 กรัม มีให้เลือก 3 สีคือ ดำ น้ำเงิน และเงิน ส่วน A51 ขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 158.5 x 73.6 x 7.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 172 กรัม มีสีชมพู ดำ และน้ำเงินให้เลือก

สำหรับรอบเครื่องต่างๆ จะเหมือนกันคือทางฝั่งขวาเป็นปุ่มเปิดปิดเครื่อง (กดค้างเรียก Bixby แต่สามารถตั้งเปลี่ยนได้) กับปุ่มปรับระดับเสียง ทางขวาเป็นช่องใส่ 2 นาโนซิมการ์ด และไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มเติม

ด้านล่างจะมีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ให้พร้อมกับพอร์ต USB-C ไมโครโฟน และลำโพง ส่วนด้านบน จะมีช่องไมโครโฟนตัวที่ 2 ที่ไว้ช่วยตัดเสียงรบกวน และใช้เป็นไมค์เวลาเปิดลำโพงสนทนาด้วย

มาต่อกันที่กล้องหลัง A51 มากับเลน์หลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซล f/2.0 เสริมด้วยเลนส์มุมกว้าง 12 ล้านพิกเซล f/2.2 และวัดระยะชัดลึก 5 ล้านพิกเซล f/2.2 และเลนส์ถ่ายระยะใกล้ 5 ล้านพิกเซล f/2.4 ทำให้สามารถถ่ายได้ทั้งมุมกว้าง และระยะใกล้

ส่วน A71 จะมากับเลนส์หลักความละเอียด 64 ล้านพิกเซล f/1.8 ตามด้วยเลนส์มุมกว้าง เลนส์วัดระยะชัดลึก และเลนส์มาโครชุดเดียวกัน ซึ่งด้วยเลนส์หลักที่ละเอียดขึ้นทำให้ภาพที่ได้จาก A71 มีความคมชัดมากกว่า และใช้งานในที่แสงน้อยได้ดีกว่าด้วย

จุดที่ทำให้ A71 น่าจนใจมากขึ้นคือเรื่องของระบบ Fast Charge 25W ที่ทำให้แบตเตอรีขนาด 4,500 mAh ชาร์จได้เร็วขึ้นมาก ในขณะที่ A51 มากับ Fast Charge 15W เท่านั้น จากขนาดแบตที่ 4,000 mAh

สำหรับสเปกภายในของ A71 จะใช้หน่วยประมวลผล Snapdragon 730 ที่เป็น Octa-Core ให้ความเร็ว 2.2 GHz / 1.8 GHz RAM 8 GB ROM 128 GB ส่วน A51 จะใช้ Exynos 9611 Octa-Core 2.3 GHz / 1.7 GHz RAM 6 GB ROM 128 GB ทั้ง 2 รุ่นสามารถใส่ไมโครเอสดีการ์ดได้สูงสุด 512 GB

ในแง่ของการเชื่อมต่อทั้งคู่รองรับ 3G/4G แบบ 2 ซิม พร้อม WiFi 5 หรือ 802.11ac บลูทูธ 5.0 มี NFC ให้ใช้งาน ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 10 ที่ครอบด้วยอินเตอร์เฟส One UI 2.0

Gallery

การใช้งาน

ในแง่ของการใช้งานด้วยการที่ A71 ถือว่าให้สเปกที่ดีกว่า รองรับการเล่นเกมในระดับที่น่าพอใจ ในขณะที่ A51 การนำมาเพื่อใช้เล่นเกมอาจจะไม่ใช่จุดประสงค์หลักของรุ่นนี้ ทำให้เหมาะกับการใช้งานทั่วๆ ไปมากกว่า

ด้วยการที่ขนาดหน้าจอต่างกันไม่มาก ระหว่าง 6.5 นิ้ว และ 6.7 นิ้ว ทำให้ระยะเวลาใช้งานแบตเตอรีต่อเนื่อง ไม่แตกต่างกันมาก โดยระหว่างการทดสอบ A51 สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องราว 12 ชั่วโมง ในขณะที่ A71 ใช้งานได้ประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง แต่อย่าลืมว่าถ้าวางชาร์จพร้อมกัน A71 จะเต็มเร็วกว่า

ฟีเจอร์ที่น่าสนใจ

ด้วยการที่มากับ Android 10 ทำให้การตั้งค่าของทั้ง 2 รุ่น ไม่แตกต่างกันมากนัก ทำให้ผู้ที่เคยใช้งานซัมซุงมาก่อน ปรับตัวไม่ยากเมื่อเปลี่ยนมาใช้งานเครื่องรุ่นใหม่ และแม้ว่าจะขยับเเปลี่ยนไปใช้งานรุ่นที่แพงขึ้น ก็จะมีดีไซน์ของอินเตอร์เฟสที่ใกล้เคียงเดิม

สำหรับฟีเจอร์พิเศษที่ใส่เข้ามาให้ใช้งานกันบน A71 และ A51 คือการนำเซ็นเซอร์จับการเคลื่อนไหวมาช่วยให้สั่งงานตัวเครื่องบางอย่างได้ รวมถึงการตั้งปุ่มข้างเครื่องที่จากเดิมผู้ใช้สามารถกดค้างเพื่อเรียก Bixby ได้ แต่ถ้าไม่ต้องการให้เรียกใช้งานก็สลับกลับมาใช้กดปิดเครื่องได้เช่นเดียวกัน

อีกความพิเศษคือเรื่องของความปลอดภัย เพราะทั้ง 2 รุ่นสามารถใช้งาน Samsung Knox ได้ ดังนั้นจึงสามารถนำข้อมูลชีวภาพ อย่างการแสกนใบหน้า และการปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือมาช่วยให้เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้เพิ่มเติม

สุดท้ายคือโหมดการถ่ายภาพที่ A71 ทำได้ดีกว่า จากเซ็นเซอร์ของกล้องที่มีความละเอียดมากกว่า ส่วนอินเตอร์เฟสใช้งานจริงๆ ไม่แตกต่างกันมากนัก สามารถเลือกสลับโหมดใช้งาน หรือเข้าโหมดที่ต้องการเพื่อถ่ายภาพในลักษณะต่างๆ ได้ทันที

ทดสอบประสิทธิภาพ

สำหรับการทดสอบประสิทธิภาพต่างๆ ของตัวเครื่องสามารถดูได้จากอัลบั้มภาพด้านล่าง เพื่อให้เห็นความแตกต่างของทั้ง 2 รุ่น

Samsung Galaxy A71

Samsung Galaxy A51

สรุป

สำหรับภาพรวมในการใช้งานถ้าใช้เพื่อโซเขียลเน็ตเวิร์ก รับชมยูทูป หรือใช้งานทั่วๆ ไปทั้งหลาย ทั้ง 2 รุ่นทำงานได้ไม่แตกต่างกัน ดังนั้น ถ้าไม่ได้ต้องการเล่นเกม และต้องการประหยัดงบประมาณในการเลือกซื้อสมาร์ทโฟน A51 ก็เพียงพอแล้ว

แต่ถ้าต้องการเครื่องที่สเปกแรงขึ้นมา รองรับการใช้งานที่หลากหลายขึ้น โดยเฉพาะการเล่นเกม การเพิ่มเงินอีก 3,500 บาท ขึ้นมาเป็น A71 ถือว่าค่อนข้างคุ้มค่า และทำให้ตอนนี้ A71 กลายเป็นรุ่นที่ขายดีรุ่นหนึ่งของซัมซุงเลย

สำหรับราคาจำหน่ายของ Samsung Galaxy A51 อยู่ที่ 10,490 บาท ส่วน A71 อยู่ที่ 13,990 บาท

]]>
Review : Samsung Blue Sky AX5500 เครื่องฟอกอากาศควบคุมได้ผ่านมือถือ https://cyberbiz.mgronline.com/review-samsung-blue-sky-ax5500/ Mon, 30 Dec 2019 03:53:22 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=31924

สภาพอากาศภายในเมือง และบริเวณภาคเหนือที่ปกคลุมด้วยฝุ่น PM2.5 ทำให้ผู้บริโภคชาวไทย เริ่มให้ความสนใจกับการจัดการปัญหาเรื่องฝุ่นมากขึ้น ทั้งมีความรู้ในการป้องกัน จนถึงการหาอุปกรณ์มาช่วยป้องกันฝุ่น และมลพิษภายในบ้าน

ด้วยเหตุนี้จึงได้เห็นผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องปรับอากาศหลายแบรนด์ ต่างเริ่มทยอยนำผลิตภัณฑ์เครื่องฟอกอากาศเข้ามาทำตลาดในไทย Samsung เป็น 1 ในแบรนด์ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยทำตลาดเครื่องฟอกอากาศมาก่อน แต่เป็นผู้นำในกลุ่มแอร์ภายในบ้าน จึงตัดสินใจเพิ่มไลน์สินค้านี้เข้ามาทำตลาด

ประเดิมด้วยไลน์อัปของ Blue Sky ที่มีให้เลือกใช้งานตามขนาดของพื้นที่ ไล่ตั้งแต่พื้นที่ 40 ตารางเมตร จนถึง 90 ตารางเมตร ในรุ่น AX3300 AX5500 และ AX7500 โดยรุ่นที่ได้รับมาทดสอบคือรุ่น AX5500 ที่สามารถใช้ฟอกอากาศได้ครอบคลุมพื้นที่ 60 ตารางเมตร

ข้อดี

  • รองรับการสั่งงานด้วยเสียง
  • ควบคุมได้ผ่านสมาร์ทโฟน
  • มีโหมดเงียบฟอกอากาศเวลานอน

ข้อสังเกต

  • ราคาแผ่นกรองอากาศ ยังค่อนข้างสูง (2,290 บาท)
  • เซ็นเซอร์ตรวจจับฝุ่นอยู่ทางฝั่งขวา ทำให้ไม่สามารถวางชิดผนังได้

ตัวเครื่อง Samsung AX5500

เครื่องฟอกอากาศ Samsung AX5500 มีขนาดอยู่ที่ 36 x 78.3 x 29.3 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 11.2 กิโลกรัม โดยตัวเครื่องมีให้เลือกเฉพาะสีขาวเท่านั้น วัสดุหลักที่ใช้งานเป็นพลาสติก ที่รองรับการยืดหยุ่นได้ดี

สำหรับทิศทางที่ฟอกอากาศออกมา จะเป็น 3 ทิศทางคือด้านบน ด้านซ้าย และด้านขวา ซึ่งทั้งทางซ้าย และขวา จะพัดลมในทิศที่เยื้องมาข้างหน้า เพื่อให้สามารถวางเครื่องฟอกอากาศด้านหลังชิดกับผนังได้ ไม่ต้องกังวลว่าจะฟอกอากาศไม่ครอบคลุมทั่วห้อง

บริเวณแฝงด้านหน้าจะใช้เป็นส่วนในการดูดอากาศเข้าไป โดยสามารถอดฝาส่วนนี้ออกได้ แล้วภายในจะเป็นฟิลเตอร์กรองอากาศอยู่ภายใน ซึ่งถ้าใช้งานจนสกปรกสามารถซื้อมาเปลี่ยนใหม่ได้เอง

การควบคุม

การควบคุมใช้งานเครื่องฟอกอากาศ สามารถทำได้ผ่านแผงควบคุมระบบสัมผัสที่อยู่ส่วนบนของตัวเครื่อง ใกล้ๆ กับบริเวณที่ฟอกอากาศออกมา โดยจะใช้การแสดงผลแบบดิจิทัลทั้งหมด และมีไฟบอกคุณภาพอากาศให้เห็นในระยะไกลด้วย

แถบไฟแสดงสถานะ Air Quality Indicator จะมีการปรับเปลี่ยนตามฝุ่นที่ตรวจพบภายในห้อง โดยการนำสีมาใช้เป็นตัวบอกคุณภาพอากาศ ไล่จากสีแดง สีเหลือง สีเขียว และสีฟ้า ซึ่งถ้าเป็นสีฟ้าแปลว่าอากาศบริสุทธิ์มากที่สุด

ส่วนปุ่มควบคุม จะมีตั้งแต่เปิดปิดเครื่อง ปรับความเร็วลม เข้าโหมดเงียบ (Sleep Mode) ตั้งเวลา เปิดปิดไฟแสดงข้อมูล และเลือกดูหน่วยของ PM ที่มีตั้งแต่ PM10 PM2.5 และ PM1.0

ส่วนของจอแสดงผลก็จะมีแสดงคุณภาพอากาศ พร้อมใข้ต้นไม้มาคอยบอกคุณภาพ ตามด้วยตัวเลขบอกคุณภาพของอากาศ ที่ดูได้ตั้งแต่ PM10 PM2.5 และ PM 1.0 ในระดับ ug/m3 ตามด้วยแก๊ส ความแรงลม และสัญลักษณ์การเชื่อมต่อไวไฟ

ในการเชื่อมต่อไวไฟ จะต้องกดเปิดใช้งานก่อน โดยสามารถกดปุ่ม Sleep Mode ค้างไว้ 3 วินาที เพื่อเปิดการเชื่อมต่อไวไฟ เพื่อให้สมาร์ทโฟนสามารถเชื่อมต่อกับเครื่องฟอกอากาศนี้ได้

ใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟน

จุดเด่นที่ Samsung ชูขึ้นมาสำหรับเครื่องฟอกอากาศรุ่นนี้ คือรองรับการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน เพื่อควบคุมใช้งานได้ทุกที่ทุกเวลา โดยผู้ใช้ต้องควบคุมผ่านแอปพลิเคชัน SmartThing ด้วยการเพิ่มเครื่องฟอกอากาศเข้าไปก่อน

หลังจากนั้น ผู้ใช้สามารถเข้าไปดูสถานะการทำงานของเครื่อง สั่เปิดปิดเครื่องได้ผ่านแอปทันที (ในกรณีที่เสียบปลั้ก และเชื่อมต่อไวไฟอยู่) ทำให้กรณีที่กำลังกลับเข้าบ้าน หรือห้องคอนโด สามารถสั่งเปิดเครื่องล่วงหน้า ให้ฟอกอากาศก่อนถึงห้องได้ด้วย

นอกจากนี้ ก็สามารถกดเพื่อปรับความแรง เปลี่ยนโหมดใช้งาน หรือดูคุณภาพอากาศได้ด้วย รวมถึงการแจ้งเตือนเพื่อบำรุงรักษา ในกรณีที่ต้องเปลี่ยนฟิลเตอร์ ก็จะมีการแจ้งเตือนขึ้นมาให้สั่งฟิลเตอร์มาเปลี่ยน

เมื่อเชื่อมต่อกับ SmartThings แล้ว ก็จะช่วยให้สามารถเชื่อมต่อเครื่องฟอกอากาศเข้ากับผู้ช่วยส่วนตัวอย่าง Bixby ได้ ทำให้ผู้ใช้สามารถสั่งเปิด ปิด เครื่องด้วยคำสั่งเสียงเพิ่มเติมขึ้นมาด้วย

ประสิทธิภาพในการฟอกอากาศ

ด้วยการที่มีตัวเลข และไฟแสดงคุณภาพอากาศชัดเจน ทำให้ผู้ใช้เห็นได้เลยว่าตัวเครื่องฟอกอากาศได้เร็วแค่ไหน ซึ่งถ้าซื้อเครื่องฟอกอากาศที่เหมาะกับขนาดของห้องที่นำมาใช้งาน ก็จะช่วยลดระยะเวลาในการฟอกอากาศได้เร็วขึ้นด้วย

อย่างที่ทดสอบเครื่อง AX5500 ในห้องขนาดประมาณ 50 ตารางเมตร หลังจากเปิดใช้งานที่ขึ้นไฟสถานะสีส้มๆ (ใช้ในห้องปิด ไม่ได้เปิดรับฝุ่น) ไม่กี่นาทีต่อมาไฟสถานะก็เปลี่ยนเป็นสีเขียว และฟ้าตามลำดับ

อีกจุดที่ทำได้ดีคือโหมดเงียบ ที่ช่วยให้ฟอกอากาศในเวลานอน โดยไม่มีเสียงรบกวน ซึ่งทำได้เงียบสนิทดี จนบางทีลืมไปว่าเปิดเครื่องฟอกอากาศทิ้งไว้ ประกอบกับสามารถกดปิดไฟหน้าจอได้ด้วย ทำให้ไม่มีแสงรบกวนออกมา

สรุป

Samsung AX5500 น่าจะกลายเป็นอีกตัวเลือกของเครื่องฟอกอากาศในเวลานี้ เพียงแต่ด้วยระดับราคาที่ค่อนข้างสูง อาจทำให้ตัดสินใจยากหน่อย (20,900 บาท) แต่ก็แลกมากับความสะดวกที่สามารถสั่งงานผ่านสมาร์ทโฟนได้ทันที

อย่างไรก็ตาม ถ้าใช้งานในห้องขนาดเล็ก Samsung มีตัวเลือกอย่าง AX3300 ที่ครอบคลุมพื้นที่ 40 ตารางเมตร ในราคา 11,900 บาท และ AX75000 สำหรับพื้นที่ห้องขนาดใหญ่ 90 ตารางเมตร จำหน่ายในราคา 29,900 บาท

Gallery

]]>
Review : Samsung Galaxy A50s อัปเกรดให้ดีขึ้น ในราคาที่เข้าถึงง่ายขึ้น https://cyberbiz.mgronline.com/review-samsung-galaxy-a50s/ Tue, 05 Nov 2019 23:35:45 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=31583

เชื่อว่าผู้บริโภคทุกคนไม่ได้ต้องการสมาร์ทโฟนราคาแพงเพื่อมาใช้งาน แต่ต้องการเครื่องระดับราคาที่สมเหตุสมผล มาเป็นทางเลือกในการใช้งาน ทำให้ที่ผ่านมา Galaxy A Series ของซัมซุงจึงได้รับความนิยมอยู่เรื่อยมา

จนมาถึงรุ่นล่าสุดในช่วงปลายปีนี้กับ Samsung Galaxy A50s ที่มาพร้อมรุ่นน้องอย่าง A10s A20s A30s ครอบคลุมช่วงระดับราคา 4,490 – 10,990 บาท มาเป็นตัวเลือกให้ใช้งาน กับความสามารถของเครื่องตามสไตล์ซัมซุง

โดยรุ่นที่นำมารีวิวกันในวันนี้คือ A50s ที่เป็นรุ่นพี่ใหญ่ กับหน้าจอ 6.4 นิ้ว ฝาหลังมีการเล่นลายโฮโลแกรม กล้องหลัง 3 เลนส์ และแบตเตอรีอึด 4,000 mAh มาเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในเวลานี้

ข้อดี

จอขนาดใหญ่ 6.4 นิ้ว

แบตเตอรี 4,000 mAh

2 ซิม ใส่ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มได้

เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้จอ

ข้อสังเกต

วัสดุตัวเครื่องยังเป็นพลาสติก

ประสิทธิภาพตัวเครื่อง เมื่อเทียบกับราคาของคู่แข่งยังเป็นรองอยู่

ครบเครื่อง เพียงพอใช้งาน

จุดเด่นสำคัญของ Samsung Galaxy A50s คงหนีไม่พ้นเรื่องของการนำเสนอประสบการณ์ใช้งานผ่านอินเตอร์เฟส ONE UI ที่ทำให้ผู้ใช้งานคุ้นชินกับลักษณะการทำงานของสมาร์ทโฟนซัมซุงกันอยู่แล้ว ประกอบกับประสิทธิภาพของตัวเครื่องที่พัฒนาขึ้น

ทำให้ A50s กลายเป็นหนึ่งในตัวเลือกสมาร์ทโฟนในช่วงระดับราคา 10,000 บาท ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะถ้าซื้อเครื่องมาเพื่อใช้สำหรับความบันเทิงเป็นหลัก ไม่ว่าจใช้ดูยูทูป ฟังเพลง เล่นเกม

เพราะด้วยขนาดจอ Super AMOLED ที่ใหญ่ 6.4 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD+ (2340 x 1080 พิกเซล) ถือว่าเพียงพอกับการใช้งานแล้ว แถมยังใช้จอแสดงผลแบบ Infinity-U ที่ซ่อนกล้องไว้บริเวณหยดน้ำของขอบเครื่อง ทำให้จอเต็มตามากขึ้น

ส่วนสเปกภายในของ A50s ที่ให้ RAM 6 GB พื้นที่เก็บข้อมูล 128 GB ถือว่าทำการบ้านมาได้ดี ช่วยให้ใช้งานเครื่องได้ลื่นไหล และเก็บข้อมูลได้มากกว่าเดิม จึงทำให้ A50s เป็นรุ่นที่เหมาะกับการใช้งานหลากหลายรูปแบบ

กล้องกลายเป็นอีกส่วนสำคัญของ A50s เพราะได้เพิ่มเลนส์มุมกว้างเข้ามา ทำให้การถ่ายภาพได้มุมมองที่แปลกตาขึ้น ขณะเดียวกัน ยังคงความสามารถในการถ่ายหน้าชัดหลังเบลออยู่เช่นเดิมด้วย

ส่วนในการเล่นเกมแม้ว่าสเปกของ A50s จะไม่ได้แรงมาก จนปรับความละเอียดสูงสุดได้ แต่ก็เพียงพอกับการเล่นเกมทั่วๆไปอยู่แล้ว การรับสัมผัสของหน้าจอก็รวดเร็วดี ประกอบกับการมี Game Booster เข้ามาช่วยทำให้การเล่นเกมได้สเถียรมากขึ้น

Gallery

การออกแบบตัวเครื่อง

ในส่วนของการออกแบบตัวเครื่องของ A50s จะมีจุดเด่นอยู่ที่ลวดลายของฝาหลังแบบโฮโลแกรม ที่มีการเคลือบผิวให้มันวาวในรูปทรงเลขาคณิต ทำให้ตัวเครื่องดูทันสมัยมากขึ้น โดยเฉพาะการตกกระทบของแสงในมุมต่างๆ

โดยขนาดตัวเครื่องจะอยู่ที่ 158.5. x 74.5 x 7.7 มิลลิเมตร น้ำหนัก 166 กรัม มีให้เลือกด้วยกัน 2 สีคือ ดำ และขาว ซึ่งด้วยการที่ใช้วัสดุเป็นพลาสติก ผสมกับอะลูมิเนียมที่บริเวณโครงเครื่อง ทำให้ตัวเครื่องดูแข็งแรง และน้ำหนักเบา ถือใช้งานได้สะดวกขึ้นด้วย

ในส่วนของหน้าจอที่ให้มา 6.4 นิ้ว มีการฝังกล้องหน้าแบบหยดน้ำไว้ โดยมีความละเอียดกล้องหน้าอยู่ที่ 32 ล้านพิกเซล และใต้หน้าจอจะมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจออยู่ด้วย ทำให้ปลดล็อกใช้งานได้ง่ายขึ้น หรือจะเลือกใช้ปลดล็อกด้วยใบหน้าก็ได้

บริเวณข้างเครื่อง ซัมซุง รวมปุ่มมาไว้ทางด้านขวาของเครื่องทั้งหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิดปิดหน้าจอ ซึ่งสามารถตั้งค่ากดค้างเพื่อเรียกใช้งาน Bixby ได้ด้วย

พอร์ตการเชื่อมต่อของ A50s จะเป็น USB-C ที่เป็นมาตรฐานใหม่ของสมาร์ทโฟนในเวลานี้ และยังมีพอร์ตหูฟัง 3.5 มม. มาให้ใช้งานด้วยอยู่ด้านล่างเครื่อง ส่วนมุมอื่นๆ จะถูกปล่อยไว้เรียบๆ

สำหรับถาดใส่ซิมการ์ดจะอยู่ด้านบนเครื่อง เมื่อใช้เข็มจิ้มซิมออกมาจะพบกับถาดแบบ 2 นาโนซิมการ์ด และแยกช่องกับไมโครเอสดีการ์ดด้วย ซึ่งทำให้ใช้งาน 2 ซิม พร้อมกับเพิ่มหน่วยความจำได้

ส่วนฝาหลังนอกจากการเล่นลวดลายแล้ว การที่ให้กล้องมา 3 เลนส์ ประกอบไปด้วยเลนส์หลัก 48 ล้านพิกเซล เลนส์มุมกว้าง 8 ล้านพิกเซล และเลนส์วัดระยะ 5 ล้านพิกเซล มาช่วยทำให้การถ่ายภาพได้สนุกขึ้น

ภายในตัวเครื่องจะให้แบตเตอรีมา 4,000 mAh ซึ่งถือว่าเพียงพอกับการใช้งานสบายๆ แม้ว่าจะใช้งานนหนักๆ แบบเล่นเกม หรือเปิดวิดีโอดูตลอดเวลา ซึ่งตรงตามกลุ่มเป้าหมายของผู้ที่ใช้งานเครื่องรุ่นนี้ ว่าจะเน้นการเข้าถึงคอนเทนต์เป็นหลัก

สเปกภายในของ A50s จะมากับหน่วยประมวลผล Exynos 9611 ที่เป็น Octa-Core 2.3 GHz ภายในให้ RAM 6 GB พื้นที่เก็บข้อมูล 128 GB ที่สามารถใส่ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มเติมได้ ตัวเครื่องทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 9.0 และรองรับการอัปเดตเป็น แอนดรอยด์ 10

ส่วนการเชื่อมต่อ A50s รองรับ Wi-Fi 802.11ac บลูทูธ 5.0 มี GPS ให้ในตัวพร้อมกับ NFC ด้วย จากเดิมที่ในตระกูล A Series ซัมซุงจะไม่ค่อยใส่ NFC มาให้ใช้งานกัน

นอกจากนี้ ตัวเครื่องยังรองรับระบบชาร์จเร็ว 15W ซึ่งน่าดีใจที่ซัมซุง แถมอะเดปเตอร์ชาร์จเร็วมาให้ด้วย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ในช่วงต้นปีตอนทำตลาด Galaxy S10 ยังไม่แถมอะเดปเตอร์ชาร์จเร็วมาให้

ทดสอบประสิทธิภาพ

สรุป

Samsung Galaxy A50s น่าจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับสมาร์ทโฟนในช่วงราคา 10,990 บาท และชื่นชอบการใช้งานอินเตอร์เฟสของซัมซุง ที่เน้นความง่ายในการใช้งาน และความเชื่อมั่นในตัวแบรนด์

เพราะช่วงระดับราคาเดียวกันนี้ แบรนด์จีนทั้งหลายมีการแข่งขันกันสูงมาก ทำให้ถ้าหันไปเลือกสินค้าจากแบรนด์เหล่านั้น อาจจะได้สเปกที่ดีกว่าในราคาใกล้เคียงกัน แต่ก็แลกกับอินเตอร์เฟสการใช้งานที่เปลี่ยนแปลงไป

รวมๆ แล้วถ้าไม่ได้เน้นเรื่องประสิทธิภาพมากนัก A50s ถือว่าเพียงพอกับการใช้งานทั่วไปอยู่แล้ว แถมยังให้จอ Super AMOLED ขนาดใหญ่ 6.4 นิ้ว ทำให้ประสบการณ์ใช้งานบนหน้าจอขนาดใหญ่ทำได้เต็มตาขึ้นด้วย

]]>