Sennheiser – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Fri, 18 Sep 2020 04:37:25 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : Sennheiser CX 400BT True Wireless หูฟังไร้สายคุณภาพเสียงดี สวมใส่สบาย https://cyberbiz.mgronline.com/review-sennheiser-cx-400bt-true-wireless/ Sun, 13 Sep 2020 08:37:06 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=33567

จากความสำเร็จของหูฟังไร้สายอย่าง Sennheiser Momentum True Wireless 2 ที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากเรื่องคุณภาพเสียง และการตัดเสียงรบกวน จนทำให้กลายเป็นหนึ่งในหูฟังไร้สายรุ่นที่น่าสนใจในตลาด เพียงแต่ว่าด้วยระดับราคาที่ค่อนข้างสูงเกินหมื่นบาท ทำให้หลายคนอาจจะตัดสินใจได้ยาก

ด้วยเหตุนี้ Sennheiser จึงออกหูฟังไร้สายที่มีราคาเข้าถึงง่ายขึ้นอย่าง Sennheiser CX 400BT True Wireless ออกมา ด้วยการดึงจุดเด่นเรื่องไดรเวอร์เสียงรุ่นเดียวกับ MTW2 มาใช้งาน ทำให้ได้คุณภาพเสียงที่ไม่แตกต่างกัน แต่ก็มีการตัดฟีเจอร์บางอย่างออกไป เพื่อให้ทำราคาได้ดีขึ้น

นอกจากเรื่องคุณภาพเสียงแล้ว CX 400BT True Wireless ยังมากับรูปแบบการควบคุมที่ใช้งานง่าย สวมใส่สบาย และสามารถใช้งานต่อได้เนื่องถึง 7 ชั่วโมง ไม่นับเคสชาร์จที่รวมแล้วใช้ได้ถึง 20 ชั่วโมง โดยเปิดราคามาที่ 7,990 บาท ปรับราคาลงเหลือ 6,990 บาท

ข้อดี

  • หูไร้ฟังสายคุณภาพเสียงดี
  • สวมใส่สบาย
  • แบตเตอรีใช้ได้ต่อเนื่อง 7 ชั่วโมง

ข้อสังเกต

  • ไม่มีระบบตัดเสียงรบกวน (ANC)
  • ใส่ใช้งานข้างเดียวได้เฉพาะด้านขวา
  • ไม่สามารถสลับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ แบบอัตโนมัติ

เสียงดี ราคาเข้าถึงง่ายขึ้น

ในตลาดหูฟังไร้สายแบบ True Wireless นั้นถือว่ามีการแข่งขันกันสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมาหลังจากที่สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่หลายๆ รุ่นมีการตัดพอร์ตการเชื่อมต่อหูฟัง 3.5 มม. ออกไป ทำให้ผู้ที่ต้องการใช้งานหูฟังต้องหาอุปกรณ์เสริมมาใช้งาน

ประกอบกับการที่เทคโนโลยีสมัยใหม่ช่วยให้ผู้ผลิตสามารถพัฒนาหูฟังไร้สายมาใช้งานกันในแบบที่มีคุณภาพเสียงดีขึ้น โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลักคือระดับเริ่มต้นที่เน้นราคาถูกเข้าถึงได้ง่ายในระดับราคาไม่กี่พันบาท ตามมาด้วยกลุ่มหลักที่ได้รับความนิยมคือ AirPods ในระดับราคาต่ำกว่าหมื่นบาท จนถึงรุ่นที่เน้นเรื่องคุณภาพเสียงในราคาเกิน 10,000 บาท

โดยที่ผ่านมา Sennheiser มี MTW2 มาจับผู้ใช้งานในกลุ่มที่ต้องการคุณภาพเสียงดี พร้อมระบบตัดเสียงรบกวนแล้วในกลุ่มราคาสูงกว่า 10,000 บาท และยังมีช่องว่างให้สามารถสอดแทรกเข้ามาในตลาดที่ต้องการคุณภาพเสียงที่ดีในระดับราคาที่เข้าถึงได้มากยิ่งขึ้น

จนทำให้เกิดเป็นรุ่น CX 400BT ออกมาเพื่อแข่งขันกับหลายๆ รุ่นที่ได้รับความนิยมในตลาดตอนนี้ ด้วยการนำไดรเวอร์ไดนามิก 7 มม. รุ่นเดียวกับที่ใช้งานใน Momentum True Wireless 2 มาใช้ ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ถึงเสียงที่ได้ทั้งทุ้มลึก กลางธรรมชาติ และให้รายละเอียดเสียงแหลมที่ชัดเจน

ความน่าสนใจของ CX 400BT ยังมีในเรื่องของการนำ Audio Codec ซึ่งรองรับทั้ง SBC, AAC และ aptX ทำให้สามารถใช้งานได้กับทั้งสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ และ iPhone ทำให้สามารถดึงประสิทธิภาพของหูฟังออกมาได้หมดไม่ว่าจะใช้กับสมาร์ทโฟนใดก็ตาม

ถัดมา ยังมีเรื่องของแบตเตอรี ที่ CX 400BT สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องสูงถึง 7 ชั่วโมง ต่อการใช้งาน 1 ครั้ง และถ้ารวมกับแบตเตอรีที่อยู่เคสก็จะใช้งานได้นานถึง 20 ชั่วโมง โดยใช้เวลาชาร์จ 10 นาที สำหรับการใช้งานต่อเนื่อง 1 ชั่วโมง และใช้เวลา 1.5 ชั่วโมงเพื่อชาร์จจนเต็มทั้งหูฟัง และเคสชาร์จ

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นรุ่นที่รองลงมาจาก MTW2 ทำให้มีการตัดฟีเจอร์บางส่วนออกไป อย่างการตัดเสียงรบกวนของหูฟัง หรือ Active Noise Cancelling (ANC) ทำให้รุ่นนี้ ไม่ได้โดดเด่นในเรื่องของการตัดเสียงรบกวน แต่ด้วยการที่ปกติแล้วหูฟังแบบ In-Ears จะช่วยตัดเสียงภายนอกอยู่แล้ว ก็ถือว่าชดเชยไปบางส่วนได้

กับอีกส่วนคือคือเรื่องของไมโครโฟนสนทนา แม้ว่าทาง Sennheiser จะมีการใส่ไมโครโฟนที่ตัดเสียงรบกวนมา แต่ด้วยข้อจำกัดของรูปทรงทำให้ยังรับเสียงพูดได้ไม่ดีเท่าที่ควร เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมเปิดที่มีเสียงจากภายนอกอย่างนั่งรถไฟฟ้า ปลายสายยังได้ยินเสียงบอกสถานีปลายทางชัดเจน

ดีไซน์ และการใช้งาน

สำหรับ Sennheiser CX 400BT True Wireless นั้น ตัวเคสชาร์จจะอยู่ที่ 59 x 33.8 x 42.3 มิลลิเมตร น้ำหนักรวม 49 กรัม ซึ่งจะเห็นว่าตัวเคสนั้นค่อนข้างหนา แต่ก็ยังอยู่ในขนาดที่สามารถใส่กระเป๋าพกพาไปได้

ที่ตัวเคสด้านบนจะมีสัญลักษณ์ของ Sennheiser อยู่ ส่วนด้านหลังจะมีช่องเสียบสายชาร์จ USB-C และปุ่มสำหรับกดเพื่อเช็กสถานะแบตเตอรี โดยถ้ามีไปสีเขียวขึ้นแปลว่าชาร์จเต็มแล้ว ถ้าสีเหลืองแปลว่ามีแบตเตอรีอยู่ราว 50% และถ้าสีส้มคือแบตใกล้หมดแล้ว

เมื่อเปิดฝาขึ้นมาจะเห็นหูฟัง CX 400BT เสียบชาร์จกับขั้วชาร์จที่เป็นแม่เหล็กอยู่ ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าจะหลุดเวลาหยิบออกมาใช้งาน เพราะแม่เหล็กที่ใช้งานพลังดูดสูงมาก

ในส่วนของหูฟัง CX 400BT นั้นถูกออกแบบมาในลักษณะของ Minimalist และให้ความสำคัญกับการสวมใส่สบาย ตามหลัก Ergonomic ดังนั้นเวลาหยิบขึ้นมา วิธีใส่ที่ถูกต้องคือเมื่อใส่จุก In Ears เข้าไปในรูหูแล้วให้บิดหูฟังมาข้างหน้าเล็กน้อย จะทำให้รู้สึกฟิตพอดีกับหู

นอกจากนี้ เนื่องจากขนาดรูหูของแต่ละคนไม่เท่ากัน Sennheiser จึงได้เพิ่มจุกยางมาให้เลือกรวมแล้ว 4 ขนาด ไล่ตั้งแต่ XS S M และ โดยขนาดที่ใส่มากับหูฟังจะเป็น M ถ้าลองใส่แล้วแน่นเกินไปก็สามารถเปลี่ยนขนาดได้ทันที ส่วนอุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องเพิ่มเติมก็จะมีคู่มือการใช้งาน และสายชาร์จแบบ USB-C 

ตามคำแนะนำของ Sennheiser คือเมื่อใช้งานครั้งแรก แนะนำให้เชื่อมต่อเข้ากับแอปพลิเคชัน Smart Control ด้วยการใส่หูฟังทั้ง 2 ข้างเข้าไป แตะทั้ง 2 ข้างค้างไว้เพื่อเข้าสู่โหมดเชื่อมต่อ (Pairing) หลังจากนั้นเลือก CX 400BT TW ในลิสต์ของอุปกรณ์บลูทูธ ก็จะพร้อมใช้งานได้ทันที

โดยภายในแอป Smart Control ผู้ใช้สามารถเข้าไปตั้งค่าหูฟังเพิ่มเติม อย่างการตั้งปุ่มลัด แยกทั้งซ้ายขวา อย่างการเล่นเพลง หยุดเพลง เรียกใช้งานผู้ช่วยส่วนตัว แตะ 2 ครั้ง – 3 ครั้งเพื่อเปลี่ยนเพลง และแตะค้างเพื่อเพิ่ม หรือลดเสียง หรือถ้าไม่ต้องการใช้งานระบบควบคุมก็สามารถกดปิดการสัมผัสได้

สำหรับผู้ที่ชื่นชอบในการปรับแต่ง Equalizer ก็สามารถเข้าไปปรับแต่งใน Smart Control ได้เช่นกัน โดยสามารถเลือกปรับเพิ่มลดเสียงเบส เสียงกลาง และความใสของเสียงสูง ได้ทั้งหลักของคลื่นเสียง และปุ่มปรับตามปกติ

ทั้งนี้ ในการใส่ Sennheiser CX 400BT True Wireless ใช้งาน ในกรณีที่ต้องการใช้หูฟังเพียงข้างเดียว จะใช้ได้เฉพาะข้างขวาเท่านั้น เพราะเป็นหูฟังข้างหลักที่ Sennheiser มีการเพิ่มตัวรับสัญญาณเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน ในขณะที่ข้างซ้ายจะมีเฉพาะตัวส่งสัญญาณไปยังข้างขวาเท่านั้น

ทาง Sennheiser ให้เหตุผลว่า เนื่องมาจากการออกแบบที่ต้องการให้หูฟังเชื่อมต่อได้สเถียรมากที่สุด ลดสัญญาณรบกวนต่างๆ ทำให้เลือกใช้การเชื่อมต่อระหว่างหูฟังซ้ายขวา แล้วค่อยส่งสัญญาณมาที่สมาร์ทโฟน หรืออุปกรณ์ที่เชื่อมต่อแทน

กับอีกจุดที่ Sennheiser ยังไม่ได้ปรับปรุงขึ้นมาจากรุ่นก่อนหน้าอย่าง MTW2 คือเรื่องของการสลับอุปกรณ์ที่ใช้งาน ผู้ใช้จำเป็นต้องยกเลิกการเชื่อมต่อ (Disconnect) จากอุปกรณ์เดิมก่อน ถึงจะสลับไปอุปกรณ์ใหม่ได้ แม้จะเคยเชื่อมต่ออุปกรณ์มาก่อนแล้วก็ตาม

ทำให้ผู้ที่ต้องสลับใช้งานระหว่างสมาร์ทโฟน 2 เครื่อง หรือบางทีต้องการใช้งานร่วมกับโน้ตบุ๊ก ก็ต้องยกเลิกการเชื่อมต่อที่สมาร์ทโฟนก่อน ในขณะที่คู่แข่งรายหลักอย่าง Apple AirPods นั้นไม่มีปัญหาดังกล่าวแต่อย่างใด

สรุป

Sennheiser CX 400BT True Wireless ออกมาเป็นตัวเลือกให้ผู้ที่ชื่นชอบหูฟัง True Wireless คุณภาพเสียงดี ของทาง Sennheiser เข้าถึงได้ง่ายขึ้น เมื่อดูในส่วนของระดับราคาเปิดตัวที่ 7,990 6,990 บาท มีให้เลือกทั้งสีขาว และสีดำ

แต่ในขณะเดียวกันก็ตัดบางฟีเจอร์ออกไปจากรุ่นพี่อย่าง Momentum True Wireless 2 ทั้งระบบตัดเสียงรบกวน ANC ฟีเจอร์รับฟังเสียงจากรอบข้าง ระบบหยุดเล่นอัตโนมัติ และมาตรฐานกันน้ำอย่าง IP4 ซึ่งถ้าใครมองว่าฟีเจอร์เหล่านี้ไม่ได้ใช้งาน การเลือกเป็น CX 400BT ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ

Gallery

]]>
Review : Sennheiser Momentum True Wireless 2 หูฟังเสียงคุณภาพ เพิ่มตัดเสียงรบกวน https://cyberbiz.mgronline.com/review-sennheiser-momentum-true-wireless-2/ Thu, 14 May 2020 05:30:33 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=32836

ในยุคที่สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ไม่รองรับการใช้งานร่วมกับสายหูฟัง 3.5 มม. จนทำให้ตลาดหูฟังไร้สายมีการเติบโตขึ้นเป็นอย่างมากในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา หนึ่งในหูฟังรุ่นที่ได้รับความนิยมจากตลาดที่เน้นคุณภาพของเสียงคงหนีไม่พ้น Sennheiser Momentum

แน่นอนว่า ใครที่ประทับใจกับหูฟังไร้สายแบบ True Wireless ของ Sennheiser Momentum รุ่นแรกไปแล้ว เตรียมเสียเงินได้เลยกับ Momentum True Wireless 2 รุ่นใหม่ที่ออกมาอัปเดตทั้งคุณภาพเสียง แบตเตอรีให้ใช้งานได้ยาวนานขึ้น และที่สำคัญคือระบบตัดเสียงรบกวนแบบ Active Noise Cancellation

ทำให้ Momentum True Wireless 2 (MTW2) กลายเป็นหูฟังไร้สายที่สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น แม้ว่าราคาจำหน่ายจะถือว่าค่อนข้างสูงเพราะเปิดราคามาที่ 11,999 บาท แต่เชื่อว่าใครที่กำลังมองหูฟังไร้สายคุณภาพดี หูฟังรุ่นนี้เป็นหนึ่งในรุ่นที่ตอบโจทย์ได้อย่างแน่นอน

ข้อดี

  • หูฟัง In-Ear ไร้สายคุณภาพเสียงดี น้ำหนักเบา
  • ระบบตัดเสียงรบกวนแบบ Active-Noise
  • ใช้งานได้ต่อเนื่อง 7 ชั่วโมง + เคสชาร์จอีก 21 ชั่วโมง

ข้อสังเกต

  • ไม่รองรับการเชื่อมต่อหลายอุปกรณ์พร้อมกัน
  • เคสยังไม่รองรับการชาร์จไร้สาย
  • ราคาค่อนข้างสูง

เด่นที่คุณภาพเสียง เสริมด้วยตัดเสียงรบกวน

ด้วยการที่หูฟังไร้สายรุ่นแรกของ Sennheiser Momentum True Wireless ทำมาตรฐานของคุณภาพเสียงไว้สูงมาก จนเป็นหนึ่งในรุ่นยอดนิยมของหูฟังไร้สายในลักษณะของ True Wireless ก็ว่าได้ เพียงแต่ว่าด้วยการที่ออกมาตั้งแต่ช่วงแรกๆ ของตลาดหูฟังไร้สาย ทำให้ยังไม่ได้มีการพัฒนาเรื่องของการตัดเสียงรบกวนเข้าไปด้วย

พอมาเป็นรุ่นที่ 2 Sennheiser ก็ไม่พลาดที่จะใส่ความสามารถอย่าง Active Noise Cancellation มาให้ใช้งานกัน ซึ่งในกลุ่มนี้จะมีเจ้าตลาดอย่าง Sony WF-1000XM3 และ Apple AirPods Pro ครองตลาดอยู่ทำให้หูฟังรุ่นนี้เข้ามาชนกันตลาดนี้เต็มๆ ในระดับราคาค่าตัวที่สูงกว่าด้วย

ประเด็นสำคัญก็คือ กลุ่มผู้ใช้งานหูฟังไร้สายในระดับราคาหมื่นบาท จะถือเป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับเสียงมาเป็นลำดับแรกๆ เรียกได้ว่าถึงฟีเจอร์ในการใช้งานจะดีแค่ไหน แต่ถ้าคุณภาพเสียงไม่ดีก็ไม่มีทางเลือกซื้อกันอยู่แล้ว ซึ่ง MTW2 กลับสามารถมาตอบโจทย์ตรงนี้ได้

การที่มีคุณภาพเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ทำให้ MTW2 เป็นหูฟังไร้สายที่ให้เสียงได้ครบที่สุดรุ่นหนึ่งก็ว่าได้ ทั้งเสียงใสที่เป็นเอกลักษณ์ เก็บรายละเอียดได้ทุกโทนเสียง ส่วนเบสจะออกแนวนุ่มๆ ซึ่งอาจจะไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการเบสหนักแบบตึบๆ

ภายในของ MTW2 จะมากับเทคโนโลยีเสียงที่ใส่ Dynamic Driver ขนาด 7 มม. ซึ่งตอบสนองความถี่ 5 – 21,000 Hz ส่วนไมโครโฟนจะตอบสนองที่ 100 Hz – 10 kHz ซึ่งจะมีไมโครโฟนแยกสำหรับการตัดเสียงรบกวนมาด้วย

ส่วนภายนอก MTW2 จะมากับเคสที่ใช้วัสดุเป็นผ้าบุอยู่ภายนอก โดยมีสัญลักษณ์ของ Sennheiser อยู่ด้านบน ด้านหลังเป็นพอร์ต USB-C สำหรับเสียบชาร์จเคสหูฟัง และปุ่มกด เพื่อดูสถานะของแบตเตอรี ขนาดของเคสจะอยู่ที่ 76.8 x 43.8 x 34.8 มิลลิเมตร น้ำหนัก 70 กรัม

เมื่อเปิดฝาขึ้นมาจะพบกับหูฟัง MTW2 ที่เชื่อมต่อชาร์จกับเคสด้วยแม่เหล็กที่มีแรงดูดค่อนข้างสูง ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าหูฟังจะหลุดออกจากเคสได้เอง เพราะต้องใช้นิ้วคีบออกมาด้วยแรงพอสมควร ทั้งนี้บริเวณฝาจะมีแถบแม่เหล็กที่ใช้ปิดฝาเคสอยู่ และตัวอักษร Sennheiser ซ่อนอยู่ภายใน

ตัวหูฟังจะแยกซ้ายขวา อิสระจากกัน เชื่อมต่อกันด้วยเทคโนโลยีบลูทูธ โดยที่หูบริเวณที่เป็นสัญลักษณ์ Sennheiser จะใช้เป็นปุ่มสัมผัสในการสั่งงานด้วย ถัดมาข้างๆ จะเป็นไมโครโฟนเพื่อรับเสียงจากภายนอก ถัดเข้ามาบริเวณด้านในจะมีเซ็นเซอร์ตรวจจับการใช้งาน และไฟแสดงสถานะการเชื่อมต่ออยู่

สำหรับตัวจุกหูฟังแบบ In-Ears จะมีมาให้เลือก 4 ขนาด คือ XS S M L ที่ผู้ใช้สามารถเลือกเปลี่ยนได้ตามขนาดที่ต้องการ อีกจุดที่พัฒนาจากรุ่นแรกคือ การปรับขนาดของหูฟังให้เล็กลง โดยแต่ละข้างจะมีน้ำหนักเพียง 6 กรัมเท่านั้น

เรียนรู้การสัมผัสเพื่อสั่งงาน

ในการใช้งาน MTW2 สิ่งแรกที่ต้องทำเลยคือการดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Smart Control มาติดตั้งบนสมาร์ทโฟน หลังจากนั้น หยิบหูฟังขึ้นมาใส่ แตะค้างที่หูฟังทั้ง 2 ข้าง 3 วินาที เพื่อเข้าสู่โหมดเชื่อมต่อบลูทูธ (Pairing) หลังจากนั้นทำการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน

หลังจากเชื่อมต่อครั้งแรก ตัวแอปพลิเคชันจะขึ้นแจ้งเตือนให้ทำการอัปเดตเฟิร์มแวร์ครั้งแรก ที่จะใช้ระยะเวลาประมาณ 50 นาที โดยหลังจากกดอัปเดตให้ปล่อยหูฟังทิ้งไว้โดยไม่ต้องเก็บเข้าเคสชาร์จ เมื่ออัปเดตเสร็จแล้วค่อยหยิบมาใช้งาน

ทั้งนี้ ในการใช้งาน MTW2 จะใช้การสั่งงานผ่านระบบสัมผัสที่หูฟัง โดยค่ามาตรฐานที่ตั้งมา เมื่อสัมผัสหูฟังทางซ้าย 1 ครั้ง จะใช้เล่น/หยุดเพลง 2 ครั้ง เลื่อนไปเพลงถัดไป 3 ครั้งเพื่อเล่นเพลงก่อนหน้า แตะค้างเพื่อลดเสียง

ส่วนหูฟังขวา แตะ 1 ครั้งจะเรียกใช้งานผู้ช่วยส่วนตัว 2 ครั้งเปิดโหดมรับเสียงจากภายนอก และตัดสาย 3 ครั้ง เพื่อเปิดโหมดตัดเสียงรบกวน และแตะค้างเพื่อเพิ่มเสียง ทั้งนี้ ผู้ใช้สามารถเข้าไปตั้งการสั่งงานตามที่ต้องการได้ภายในส่วนตั้งค่าของแอปฯ บนสมาร์ทโฟน

สำหรับโหมดที่น่าสนใจบน MTW2 มีด้วยกัน 2 โหมดคือ โหมด Transparent Hearing ที่ช่วยให้ได้ยินเสียงรอบข้าง เนื่องจากหู MTW2 เป็นแบบ In-Ears ทำให้เวลาใส่ใช้งานจะไม่ได้ยินเสียงรอบตัวอยู่แล้ว ทำให้เวลาใส่ใช้งานในที่สาธารณะอาจจะเป็นอันตรายได้

นอกจากนี้ เพื่อให้การตัดเสียงทำได้ดีขึ้น MTW2 จึงได้เพิ่มฟีเจอร์ตัดเสียงรบกวนแบบ Active Noise Cancellation มาด้วย ด้วยการนำไมโครโฟน 2 ตัว รับเสียงภายนอกเพื่อนำมาตัดเสียง

ภายในหูฟัง และยังนำเทคโนโลยี Beamforming มาช่วยในการใช้ไมโครโฟนสนทนาให้คู่สายได้ยินชัดเจนขึ้น

MTW2 ยังเปิดให้ผู้ใช้สามารถตั้ง Equalizer ได้ด้วยตัวเองด้วย ในรูปแบบของกราฟให้เลือกว่าจะเพิ่มลด เสียง Bass และ Treble โดยหลังจากปรับแล้วสามารถบันทึกเก็บไว้ได้สูงสุด 9 รูปแบบ เรียกได้ว่าชอบเสียงรูปแบบไหนก็สามารถเซฟเก็บไว้แล้วมากดเปลี่ยนให้เหมาะกับเพลงที่ฟังได้เลย

ความฉลาดของ MTW2 ยังไม่หมด เพราะด้วยการที่ตัวหูฟังมีเซ็นเซอร์ตรวจจับการใส่ใช้งานมาด้วย ทำให้มีการเพิ่มฟีเจอร์อย่าง Smart Pause ที่จะหยุดเพลงทันทีที่ถอดหูฟังออก และกลับมาเล่นอัตจโนมัติเมื่อใส่กลับเข้ามา

ส่วนระยะเวลาในการใช้งาน MTW2 สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องสูงสุด 7 ชั่วโมง และสามารถชาร์จกับเคสเพื่อฟังได้สูงสุด 28 ชั่วโมง ส่วนการชาร์จจะใช้ระยะเวลา 1.5 ชั่วโมงเพื่อชาร์จจนเต็ม และกรณีที่ชาร์จ 10 นาที จะฟังได้ราว 1.5 ชั่วโมง

สรุป

เชื่อว่า Sennheiser Momentum True Wireless 2 จะกลายเป็นอีกรุ่นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะเข้ามาตอบโจทย์การใช้งานหูฟังแบบ True Wireless ที่มาพร้อมการตัดเสียงรบกวน ทำให้สามารถโฟกัสกับเสียงเพลง จนถึงการทำงานได้ไม่ยาก

ใครที่กำลังมองหาหูฟัง True Wireless คุณภาพสูงอยู่ และงบประมาณไม่ได้จำกัดมากนัก เมื่อได้ลองรุ่นนี้จะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน

Gallery

]]>
เปิดประสบการณ์ Sennheiser HE1 หูฟังราคา 2.4 ล้านบาท มีอะไรดี https://cyberbiz.mgronline.com/preview-sennheiser-he1/ Sun, 16 Apr 2017 08:17:33 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=25768

ตั้งแต่มีข้อมูลออกมาถึงหูฟังที่แพงที่สุดในโลก กับราคาเกือบ 2 ล้านบาท ของ Sennheiser HE1 เชื่อว่าในกลุ่มนักเล่นเครื่องเสียง หรือผู้ที่ติดตามความเคลื่อนไหวต่างมีความอยากลอง หรือขอให้ได้สัมผัสสักครั้งหนึ่งในชีวิต

เมื่อ Sennheiser เตรียมนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย ราคาที่จำหน่ายเมื่อรวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วจะพุ่งไปอยู่ที่ราว 2.4 ล้านบาท แน่นอนว่า เครื่องเสียงในระดับนี้ส่วนใหญ่จะเป็นแบบผลิตตามสั่ง (Made to Order) อยู่แล้ว ดังนั้นโอกาสที่จะได้ลองใช้จึงแทบไม่มี

ความเคลื่อนไหวในระดับภูมิภาคเอเชีย หลังจาก Sennheiser เริ่มนำหูฟังรุ่นดังกล่าว เดินสายให้สื่อ และผู้เชี่ยวชาญได้ทดสอบกัน ก็เริ่มมีออเดอร์เข้ามาจากในสิงคโปร์ ส่วนในประเทศไทยคงยังต้องรอดูกันต่อไปว่าจะมีใครสั่งเข้ามาใช้งานกันหรือไม่

ถ้าเป็นผู้ใช้ในกลุ่มที่ติดตามเครื่องเสียง หรือหูฟังอยู่แล้ว เชื่อว่าจะรู้จักกับ หูฟังออร์เฟียส ที่ถือเป็นหูฟังระดับตำนาน และถูกยกย่องว่าเป็นหูฟังที่เสียงดีที่สุดในโลก และแน่นอนว่าระดับราคาของหูฟังก็สูงมากเช่นเดียวกัน

สำรวจจุดเด่น

การมาของ Sennheiser HE1 เหมือนเป็นการต่อยอดของหูฟังระดับออร์เฟียส ในการสร้างประสบการณ์ด้านเสียงที่ดีที่สุดแก่ผู้ฟัง โดยผสมรวมเทคโนโลยีที่ดีที่สุดในปัจจุบัน เข้ากับวัสดุคุณภาพสูงที่นำมาใช้ เป็นงานคราฟจากช่างฝีมือระดับไฮเอนด์

โดยจุดเด่นที่สุดของ Sennheiser HE1 คือเป็นหูฟังที่ตอบสนองความถี่ที่ขยายขอบเขตการได้ยินของมนุษย์ให้กว้างที่สุด และลดค่าความเพี้ยนของสัญญาณเสียงโดยรวมให้น้อยที่สุด เพื่อให้สามารถเข้าถึงอรรถรสในการฟังเพลงได้อย่างเต็มที่

ส่วนประกอบของ Sennheiser HE1 ในส่วนของฐานจะประกอบด้วยอะลูมิเนียมที่ถูกเจาะช่องมาให้กลายเป็นที่วางหูฟัง ภายในมีระบบแมคคานิคควบคุมฐานวางหูฟัง ข้างๆจะมีแอมพลิไฟร์เออร์ 8 หลอด ที่เป็นหลอดสูญญากาศคลุมด้วยแก้วควอท์ซ บนกล่องหินอ่อนคาร์รารา ที่จะถูกเคลื่อนขึ้นมาเมื่อเปิดใช้งาน

โดยทาง Sennheiser ให้เหตุผลที่เลือกหินอ่อนมาจากเมืองคาร์รารา (Carrara) มาใช้เพราะถือเป็นวัสดุที่ช่วยส่งผ่านเสียงได้แบบไม่เก็บกักเสียง และเป็นหินชนิดเดียวกับที่ ไมเคิลแองเจโลนำมาใช้ในงานแกะสลัก

ถัดลงมาจากหลอดแอมป์ เป็นส่วนของตัวกระตุ้นเสียงขั้นสูงจากแอมป์ ที่ส่งตรงไปยังส่วนครอบหูฟัง ที่สำคัญคือมีการย่นระยะการเดินทางของเสียงจากแอมป์สู่ไดอะแฟรมให้สั้นที่สุด นั้นคือ น้อยกว่า 1 เซนติเมตร ผลที่ได้คือใช้พลังงานน้อย ทำให้ประหยัดและไม่ต้องชาร์ตไฟบ่อยครั้ง

นอกจากนี้ บริเวณขั้วไฟฟ้าเซรามิกจะถูกเคลือบด้วยทอง และไดอะแฟรมเคลือบด้วยทองคำขาว โดยความหนาของไดอะแฟรมทั้งหมด มีขนาด 2.4 ไมโครมิเตอร์ในการช่วยควบคุมการสั่นสะเทือนที่เหมาะสมที่สุด ส่วนสายเคเบิลทั้งแปดเส้น ทำขึ้นจากทองแดงที่ปราศจากออกซิเจนเพื่อให้ได้ค่าการนำไฟฟ้าสูงซึ่งเคลือบด้วยแร่เงิน

ในส่วนของระบบแปลงสัญญาณสามารถตอบสนองความถี่ได้จาก 8 Hz ถึงกว่า 100 kHz ซึ่งเป็นช่วงความถี่ที่สามารถได้ยิน ช่วยให้เสียงไม่เพี้ยนอย่างแน่นอน และยังเป็นการทำให้ผู้ฟังได้ยินเสียงเครื่องดนตรีที่อาจจะไม่เคยได้ยินมาก่อนในการฟังเพลงจากหูฟังรุ่นอื่นๆ

อีกจุดที่ทำให้ HE 1 น่าสนใจคือการแปลงสัญญาณดิจิตอล ที่ถูกเชื่อมต่อผ่าน S/PDIF (optical and coaxial) หรือผ่าน USB HE 1 ไปยังสัญญาณแอนาล็อกโดยใช้ชิป ESS SABRE ES9018 ผ่านตัวแปลงจากระบบดิจิตอลสู่อะนาล็อก (DAC) ภายในทั้ง 8 มีความละเอียด 32 บิต และอัตราตัวอย่างที่มากถึง 384 kHz หรือสัญญาณไฟล์ดิจิตอล (DSD) 2.8 MHz และ 5.6 MHz จะถูกทำให้สมดุลเพื่อแปลงเป็นสัญญาณแอนาล็อก

เริ่มต้นใช้งาน

ในการใช้งานเมื่อกดปุ่มเปิด/ปิดเสียง แผงควบคุมที่ด้านหน้าจะค่อยๆยื่นออกมาจากตัวเครื่องขยายเสียง ก่อนที่หลอดสูญญากาศที่บรรจุอยู่ในแก้วควอทซ์จะยื่นออกมาจากตัวเครื่อง และจะเรืองแสงออกมาเป็นสีส้ม

กล่องหูฟังที่อยู่ด้านบนตัวเครื่องที่เป็นฝากระจกจะถูกเปิดออก ทำให้เห็นหูฟังอย่างชัดเจน โดยตัวสวิทช์แบบหมุนและส่วนประกอบต่างๆ ของแผงควบคุมนั้นทำมาจากทองเหลืองชุบด้วยโครเมี่ยม ตำแหน่งของสวิทช์ทั้งสี่จะถูกควบคุมด้วยไมโครโปรเซสเซอร์และเปิดใช้งานด้วยรีเลย์ที่มีคุณภาพสูง

นอกจากนี้ อุปกรณแต่ละส่วนสามารถควบคุมได้ด้วยรีโมทจากระยะไกลและสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามผู้ฟัง โดยจะมีการจำค่าล่าสุดที่ใช้งานไว้ในแต่ละประเภทของการเชื่อมต่อ เพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง

ในส่วนของหูฟัง ที่ครอบหูจะทำมาจากหนังแท้ที่ผลิตในเยอรมัน ภายในบุด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์ ช่วยที่ระบายอากาศ เพื่อให้ได้คุณภาพของการดูดซับเสียงที่ดีที่สุด โดยเมื่อใส่แล้วจะครอบไปทั้งใบหู น้ำหนักอยู่ในระดับที่รับได้ ไม่หนักจนเกินไป ช่วยให้ใส่ใช้งานเป็นเวลานานได้

แต่ทั้งนี้ เนื่องจากบริเวณหูฟังจะตัวขยายสัญญาณซ่อนอยู่เพื่อลดการสูญเสียสัญญาณที่ถูกส่งผ่านสายมา ทำให้เวลาใช้งานจะรู้สึกอุ่นๆหูเล็กน้อย แต่ถ้าใช้งานในสภาพห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ ก็แทบไม่ส่งผลกระทบต่อการรับฟังแต่อย่างใด

สำหรับราคาจำหน่ายของ Sennheiser HE 1 สามารถสั่งซื้อล่วงหน้าผ่านตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยได้แล้ว ในราคาประมาณ 50,000 ยูโร (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) หรือราว 2.4 ล้านบาท เมื่อรวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว โดยใช้เวลาในการสั่งผลิตประมาณ 90-120 วัน

ขณะเดียวกันเนื่องจากเป็นสินค้าแบบผลิตตามสั่ง กรณีที่ต้องการหูฟังเพิ่มจากปกติที่ให้มา 1 ชุด ก็สามารถสั่งทำเพิ่มเป็น 2 ชุด เพื่อให้นำมาฟังพร้อมกัน 2 คนได้ โดยที่ตัวเครื่องด้านหลังจะมีช่องให้ต่อหูฟังเพิ่มอยู่ ได้คุณภาพเสียงที่ใกล้เคียงกัน

ลองฟัง

ด้วยความที่ปกติไม่ได้เป็นคนที่เล่นเครื่องเสียงมากนัก เข้าไปฟังด้วยความรู้ระดับงูๆปลาๆ โดยในช่วงก่อนเข้าไปทดลอง ทีมงานได้มีการจัดให้ทดสอบหูฟังรุ่นอื่นๆของ Sennheiser ที่วางจำหน่ายอยู่ในปัจจุบันไปด้วยระหว่างรอคิว

พอถึงเวลาที่ได้เข้าไปลองฟัง จะมีผู้เชี่ยวชาญคอยแนะนำ และเลือกเพลงให้เบื้องต้น ซึ่งก็จะเป็นเพลงที่ถูกใช้ในการทดสอบหูฟัง หรือเครื่องเสียงต่างๆ เพื่อฟังเสียงเครื่องดนตรีต่างๆในทุกช่วงคลื่น ความประทับใจแรกเลยคือ จากคนที่ไม่ค่อยสนใจแยกเครื่องดนตรีในเพลง กลับฟังออกมาได้ชัดเจนว่ามีเครื่องดนตรีอะไรบ้างในเพลง และให้ความรู้สึกเหมือนเครื่องมาเล่นอยู่ใกล้ๆในมุมต่างๆรอบตัว

ถัดมา ทาง Sennheiser ได้เปิดให้เลือกเพลงฟังเอง เลยอยากลองเลือกเพลงที่เป็นเสียงสังเคราะห์คุณภาพเสียงทั่วๆไป 128 kbps – 192 kbps แต่เสียงที่ได้ก็ออกมาในระดับที่ไม่เคยฟังมาก่อนจากหูฟังปกติ แต่ด้วยการที่เป็นหูฟังที่ไม่ได้เน้นเบสมากนัก และคงไม่มีคนเอามาใช้ฟังพวกเครื่องดนตรีสังเคราะห์ ก็เลยจบไป

ปิดท้ายกับเพลงในท้องตลาดๆที่ขึ้นท็อปชาร์ตอยู่ในขณะนี้อย่าง Shape of you ของ Ed Sheeran โดยคุณภาพเสียงของเพลงเป็นไฟล์ FLAC ที่ทีมงานเตรียมมา ยิ่งตอกย้ำความประทับใจในการฟังมากขึ้น จากเสียงเครื่องดนตรีบางชนิดที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนจากหูฟังปกติ ช่วยให้ฟังเพลงสนุกขึ้นอย่างมาก

รวมๆแล้วถือเป็นการเปิดประสบการณ์ในการฟังเพลงจากหูฟังราคากว่า 2 ล้านบาท ที่เชื่อว่าสร้างความประทับใจให้แก่สื่อหลายสำนัก และผู้ฟังที่ได้รับเลือกจากตัวแทนจำหน่ายเข้าไปทดลอง ส่วนใครที่มีกำลังซื้อในระดับดังกล่าว และอยากได้หูฟังที่ซื้อแล้วจบ HE 1 จะกลายเป็นตัวเลือกหลักโดยปริยาย

แน่นอนว่า คำถามที่หลายๆคนสนใจคือ ถ้านำเงินกว่า 2 ล้านบาทไปลงทุนทำห้องฟังเพลง พร้อมซื้ออุปกรณ์แยกมาใช้ฟังไปเลยไม่ดีกว่าหรือ คำตอบจากผู้เชี่ยวชาญของเซนไฮเซอร์ก็ตอบกลับมาง่ายๆว่า โจทย์ของ HE 1 คือการนำคุณภาพเสียงระดับสูงมาให้คนที่ชื่นชอบฟังแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก แค่หยิบหูฟังขึ้นมาสวมหูก็อินไปกับเพลงได้ทันที จึงเน้นที่ความสะดวกมาก และไม่ต้องใช้พื้นที่ในการฟังเพลงมากกว่า

Gallery

]]>
Review : Sennheiser HD 231 หูฟังออนเอียร์น้ำหนักเบา เพื่อสมาร์ทโฟน https://cyberbiz.mgronline.com/review-sennheiser-hd231/ Wed, 29 Jun 2016 13:15:53 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=23147

IMG_5258

Sennheiser (เซนไฮเซอร์) ถือเป็นแบรนด์หูฟังจากเยอรมันที่จับกลุ่มผู้ใช้หลากหลายและครอบคลุมทุกระดับ ตั้งแต่รุ่นราคาประหยัด รุ่นสำหรับเกมเมอร์ G4ME ONE ไปถึงรุ่นไฮเอนด์ Full size ราคาหลักหมื่นบาท

โดยในวันนี้ทีมงานไซเบอร์บิซได้รับหูฟังออนเอียร์ (On Ear) ที่เซนไฮเซอร์ออกแบบมาเพื่อสมาร์ทโฟนโดยเฉพาะกับรุ่น HD231 (รหัส G ตัวหลังคือรุ่นที่รองรับสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ ส่วนถ้าลงท้ายด้วย I จะรองรับ iPhone, iPad)

การออกแบบ

IMG_5267

Sennheiser HD 231G ชื่อรุ่นบอกอยู่แล้วว่าจับกลุ่มระดับเริ่มต้นราคาไม่เกิน 5 พันบาท เพราะฉะนั้นงานประกอบและวัสดุที่ใช้จะเน้นไปทางพลาสติกยืดหยุ่นสูงเพื่อน้ำหนักที่เบาและสามารถพกพาใส่กระเป๋า แตกหักยาก

IMG_5270

IMG_5275

ในส่วนของลำโพงและบริเวณครอบหูจะเป็นแบบ On Ear คือเมื่อสวมใส่แล้วบริเวณ earcup จะวางอยู่บนหู (ไม่ครอบทั้งใบหูเหมือน Over ear) โดยวัสดุที่ใช้บริเวณนี้จะเป็นฟองน้ำบุด้วยหนัง (รวมถึงส่วนรองศรีษะด้วย)

ด้านก้านปรับระดับเป็นพลาสติก สามารถปรับระดับสูงต่ำรองรับขนาดศรีษะหลากหลาย

IMG_5279

IMG_5281

มาถึงส่วนควบคุมและไมโครโฟนที่ออกแบบมาเพื่อสมาร์ทโฟนโดยเฉพาะ โดยส่วนควบคุมจะให้ปุ่มคำสั่งหลักมา 3 ปุ่ม 6 รูปแบบการใช้งาน ได้แก่

ปุ่ม +/- ใช้เพิ่มลดระดับเสียง
ปุ่มวงกลมตรงกลาง ถ้ามีสายเข้ากด 1 ครั้งเพื่อรับสาย และกดอีกครั้งเพื่อวางสาย, ส่วนถ้าไม่มีสายเข้ากดปุ่มตรงกลางจะกลายเป็นคำสั่งเล่นเพลง กดอีกครั้งเพื่อหยุดเล่นและถ้าระหว่างเล่นเพลงกด 2 ครั้งติดกันจะเป็นคำสั่งข้ามไปเล่นถัดไป

IMG_5297

สุดท้ายในส่วนของแจ็ค 3.5 มิลลิเมตร เซนไฮเซอร์ออกแบบเป็นรูปตัว L ทำให้เวลาเสียบกับช่องหูฟังในสมาร์ทโฟนหัวแจ็คจะไม่ยื่นออกมาให้เกะกะเลย

ทดสอบประสิทธิภาพและสรุป

IMG_5293

Sennheiser HD 231 รุ่นที่ทีมงานได้รับมาทดสอบเป็นรุ่นรองรับแอนดรอยด์ (ลงท้ายด้วย G) หลังจากทดสอบฟังเพลงหลากหลายแนวพบว่าหูฟังรุ่นนี้จะเด่นที่โทนเสียงแหลมออกกว้างๆเล็กน้อย ส่วนเสียงเบสจะออกแนวนุ่มนวล ไม่หนักแน่นและไม่ลึกตามแบบฉบับหูฟัง Headphone ที่ไดร์ฟเวอร์ขับเสียงมีขนาดเล็ก

สรุปภาพรวมด้านคุณภาพถือว่ากลางๆ สามารถนำไปใช้งานได้ทุกรูปแบบตั้งแต่ฟังเพลง เล่นเกม ดูหนังบนสมาร์ทโฟน ฟังเพลินๆไม่เน้นรายละเอียดเสียงมากมายถือว่าใช้ได้ ส่วนการเก็บเสียงสภาพแวดล้อมก็ถือว่าพอใช้ เมื่อต้องเจอสภาพแวดล้อมเสียงดังก็มีเข้ามาในหูให้ได้ยินบ้างตามแบบของ On Ear Headphone

สำหรับราคาขาย Sennheiser HD 231 อยู่ที่ 3,290 บาท

ข้อดี

– ฟองน้ำบุหนังบริวเวณรองศรีษะและรองหูมีความนุ่ม ใส่แล้วสบาย
– พลาสติกยืดหยุ่นสูง แข็งแรง
– น้ำหนักเบา

ข้อสังเกต

*อย่าลืม! ก่อนซื้อต้องเลือกรุ่นหูฟังให้ถูกต้องด้วยนะครับ ไม่อย่างนั้นถ้าซื้อผิดรุ่น ปุ่มคำสั่งตรงกลางจะไม่ทำงาน*

Gallery

]]>