Western Digital – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Wed, 16 Aug 2017 08:20:58 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : WD My Passport SSD เอสเอสดีพกพา ตัวเล็กแรงดีเพื่อขาฮาร์ดคอร์ https://cyberbiz.mgronline.com/review-wd-mypassport-ssd/ Tue, 15 Aug 2017 10:20:14 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=26879

My Passport ถือเป็นกลุ่มสื่อบันทึกข้อมูลเน้นพกพาจาก WD (Western Digital) ที่ได้รับความนิยมสูงและมีรุ่นย่อยออกมาวางจำหน่ายมากมายหลากหลายรูปแบบ มาวันนี้ทาง WD ก็ได้ฤกษ์เปิดรุ่นย่อยใหม่ในกลุ่ม My Passport กับสื่อบันทึกข้อมูลระดับบนในรูปแบบ SSD กับชื่อรุ่น “WD My Passport SSD” ที่มีความจุให้เลือกตั้งแต่ 256GB ถึง 1TB

การออกแบบและสเปก

WD My Passport SSD ถูกออกแบบบนดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ของกลุ่ม My Passport ที่วางขายในปี 2017 โดยวัสดุพื้นฐานจะเป็นพลาสติกน้ำหนักเบาทั้งหมด โดยในรุ่น SSD ด้านบนจะเป็นสีดำด้านส่วนด้านล่างเป็นสีเงินพร้อมการเล่นลวดลายให้ดูหรูหรา โดยขนาด My Passport SSD จะกว้างเพียง 45 มิลลิเมตร ยาว 90 มิลลิเมตร หนา 10 มิลลิเมตร น้ำหนักเบา และที่สำคัญรองรับการตกกระแทกที่ความสูงถึง 1.98 เมตรได้อย่างสบายๆ

ด้านการเชื่อมต่อเป็น USB-C (มีสายมาให้พร้อมหัวแปลง USB-A) รองรับมาตรฐานเชื่อมต่อตั้งแต่ USB 2.0 (480Mb/s) USB 3.0 (5Gb/s) และ USB 3.1 Gen1/2 (สูงสุด 10 Gb/s) โดยความเร็วของ SSD ที่ติดตั้งไว้ภายในจะรองรับความเร็วในการอ่านเขียนสูงสุดที่ 515 MB/s

และจุดเด่นของ WD ที่มีมาให้ทุกรุ่นก็คือรองรับระบบ “Hardware Encryption” สามารถเข้ารหัสป้องกันข้อมูลใน My Passport SSD แบบ 256-bit AES ผ่านซอฟต์แวร์ที่แถมมาให้ได้

ในส่วนฟอร์แมตของ My Passport SSD หลังจากเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ครั้งแรก ทางโรงงานจะตั้งค่าเริ่มต้นเป็น exFat เพื่อให้สามารถใช้กับ Windows, Mac และเชื่อมต่อเครื่องเล่นเกมคอนโซล PS4, XBOX One ได้ทันที พร้อมพื้นที่ใช้งานสำหรับรุ่นที่ทีมงานได้รับมาทดสอบ 512GB จะอยู่ที่ 476GB

ทดลองเชื่อมต่อกับ PS4 Pro ผ่านพอร์ต USB 3.1 จะมองเห็น 470.2GB ส่วนคนใช้ Mac แล้วต้องการใช้งานให้เต็มประสิทธิภาพแนะนำให้ฟอร์แมต My Passport SSD ใหม่ตามรูปแบบที่ต้องการ

ทดสอบประสิทธิภาพและสรุป

เริ่มจากการทดสอบเชื่อมต่อกับพีซี (Windows 10) เสียดายที่คอมพิวเตอร์ที่ทีมงานนำมาใช้ทดสอบรองรับมาตรฐาน USB แค่เวอร์ชัน 3.0 เท่านั้น แต่ผลทดสอบถือว่า My Passport SSD (512GB) ทำได้สูงและแรงมาก จากภาพจะเห็นว่าการทดสอบ Seq สามารถทำคะแนนอ่านได้สูงถึง 262.2MB/s ส่วนการเขียนข้อมูลอยู่ที่ 166.3MB/s นี่ขนาดแค่ทดสอบกับ USB3.0 รุ่นเก่า ถ้าเป็น USB 3.1 Gen 2 หรือเชื่อมต่อกับแมคใหม่ที่เป็นพอร์ต Thunderbolt 3 จะแรงเต็มสูบขนาดไหน (มีคนบอกว่าวิ่งประมาณ 400MB/s เลย ถือเป็นเป็นความเร็วที่เพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันแล้ว)

ด้านการทดสอบคัดลอกไฟล์ ทีมงานเลือกคัดลอกไฟล์ขนาด 60GB จาก SSD Samsung 840 EVO (SATA 6Gb/s) ความเร็วในการคัดลอกไฟล์อยู่ที่ 168MB/s ตลอดการคัดลอกไฟล์เรียกได้ว่ากราฟประสิทธิภาพนั้นนิ่งไม่มีความเร็วแกว่งให้เห็นเลย

สุดท้ายเพิ่มความฮาร์ดคอร์นำ My Passport SSD 512GB ไปเชื่อมต่อกับเครื่องเกม PS4 Pro ผ่านพอร์ต USB 3.1 Gen 1 โดยเกมที่ใช้ทดสอบจะเป็น Horizon Zero Dawn จากโซนี่ ผลลัพท์ที่ได้ ทีมงานลองทดสอบเทียบกับฮาร์ดดิสก์จานหมุนที่ติดตั้งมากับ PS4 Pro พบว่า My Passport SSD ทำเวลาโหลดฉากได้รวดเร็วกว่าเป็นเท่าตัวเลยทีเดียว (ลองรับชมคลิปวิดีโอด้านบนได้) และตลอดการทดสอบเล่นกว่า 1 วันเต็ม (ประมาณ 10 ชั่วโมง) ไม่พบอาการผิดปกติแต่อย่างใด ทุกอย่างทำงานได้รวดเร็วลื่นไหลดี

ด้านความร้อน ถ้าทำงานเต็มประสิทธิภาพถือว่าค่อนข้างความร้อนสูงอยู่ (น่าจะประมาณ 50 องศาเซลเซียสขึ้นไป) แต่เมื่อการโหลดข้อมูลเสร็จสิ้นความร้อนลดลงค่อนข้างเร็วเช่นเดียวกัน

สำหรับราคา WD My Passport SSD เริ่มต้น 256GB อยู่ที่ 3,990 บาท 512GB (รุ่นที่ทีมงานได้รับมาทดสอบ) อยู่ที่ 7,990 บาท และ 1TB อยู่ที่ 15,990 บาท ถือว่าด้านราคาก็ไฮเอนด์สมกับประสิทธิภาพที่ได้เช่นกัน

ใครมีงบและกำลังมองหาสื่อเก็บข้อมูลพกพาประสิทธิภาพสูง ทั้งคนที่กำลังคิดขยายพื้นที่เครื่องเล่นเกม PS4 XBOX One ไปถึงคนทำงานที่จำเป็นต้องใช้สื่อเก็บข้อมูลพกพาประสิทธิภาพสูง หรือผู้ใช้แอนดรอยด์รุ่นใหม่ที่เป็นพอร์ต USB-C และกำลังมองหาสื่อเก็บข้อมูล External Storage ให้สมาร์ทโฟนอยู่ ลองมอง My Passport SSD เป็นอีกหนึ่งทางเลือกครับ เพราะนอกจากประสิทธิภาพที่สูงแล้ว ด้านการพกพาและความทนทานยังถือว่าทำได้ดีมากอีกด้วย

ข้อดี

– ขนาดเล็ก น้ำหนักเบามาก ทนทาน
– รองรับ USB หลากหลายตั้งแต่ Type-C Type-A Thunderbolt 3 ใน Mac ใหม่
– สามารถเชื่อมต่อกับแอนดรอยด์ที่ใช้พอร์ต USB-C ได้โดยตรงเหมือนแฟลชไดร์ฟ
– ประสิทธิภาพสูงทั้งใช้งานแบบสตรีมไปถึงใช้เก็บข้อมูลหลักในการเล่นเกม
– ประกัน 3 ปี

ข้อสังเกต

– ราคาสูง (แต่จริงๆราคาก็ประมาณเราซื้อ SSD แบบ 2.5″ อยู่แล้ว) คนเน้นซื้อมาเก็บข้อมูลไว้เฉยๆไม่แนะนำ และการเชื่อมต่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดแนะนำให้เชื่อมต่อกับ USB 3.0 ขึ้นไป

]]>
Review : WD Blue PC SSD 1TB โซลิดสเตตไดรฟ์เพื่อทุกการใช้งาน https://cyberbiz.mgronline.com/review-wdblue-pcssd-1tb/ Tue, 14 Mar 2017 04:29:35 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=25605

เป็นปีที่หน่วยเก็บข้อมูลประเภท “โซลิดสเตตไดรฟ์ (Solid State Drive)” หรือ “SSD” เติบโตสูงขึ้นมาก ทำให้ค่ายผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์เจ้าใหญ่อย่าง WD (Western Digital) ต้องหันมาเสริมทัพตลาดหน่วยเก็บข้อมูลแบบ SSD เป็นครั้งแรก แต่ถึงแม้จะเพิ่งลงมาตลาดโซลิดสเตตไดรฟ์ได้ไม่นาน แต่ WD ก็มีไม้ตายดัน SSD ให้สามารถจับกลุ่มผู้ใช้ทุกรูปแบบตั้งแต่คนทำงานไปถึงเกมเมอร์ พร้อมความจุให้เลือกหลากหลายรวมถึงราคาเทียบประสิทธิภาพแล้วถือว่าน่าสนใจทีเดียว

โดย WD PC SSD จะถูกแบ่งหมวดหมู่เป็น 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่

1.WD Green PC SSD เน้นจับกลุ่มผู้ใช้ระดับเริ่มต้น คนทำงานทั่วไป มาพร้อมความจุให้เลือก 120-240GB มี Form Factor ให้เลือกทั้งขนาด 2.5 นิ้วปกติและ M.2 2280 (SSD แบบเป็นการ์ดเพื่อเชื่อมต่อกับเมนบอร์ดหรือโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่) พอร์ตเชื่อมต่อเป็น SATA

2.WD Blue PC SSD เป็นรุ่นกลาง เด่นที่ความจุมีให้เลือกหลากหลาย อีกทั้งยังรองรับการทำงานตั้งแต่งานทั่วไป ตัดต่อวิดีโอไปถึงเล่นเกม มีความจุให้เลือกตั้งแต่ 250GB 500GB และ 1TB พร้อม Form Factor ให้เลือกทั้งขนาด 2.5 นิ้วปกติและ M.2 2280 พอร์ตเชื่อมต่อเป็น SATA

3.WD Black PCIE SSD เน้นจับกลุ่มไฮเอนด์ที่ต้องการ SSD ประสิทธิภาพสูงสุด เพราะฉะนั้นจะมี Form Factor ให้เลือกแบบเดียวคือ เป็นการ์ด M.2 2280 เพราะต้องรองรับความเร็วในการอ่านข้อมูลสูงถึง 2,050 MB/s

สำหรับรุ่นที่ทีมงานไซเบอร์บิซได้รับมารีวิวในวันนี้ได้แก่รุ่น WD Blue PC SSD ความจุ 1TB

การออกแบบ สเปกและฟีเจอร์เด่น

เริ่มจากการออกแบบ ภายนอกของ WD Blue PC SSD จะเหมือนกับ SSD 2.5 นิ้วทั่วไป น้ำหนักประมาณ 60 กรัม ส่วนสเปกภายในทาง WD ระบุไว้ในเอกสารสเปกว่า WD Blue จะมีความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลสูงสุดที่ 545 MB/s เมื่อเชื่อมต่อผ่านพอร์ต SATA 3 6Gb/s พร้อมค่าความทนทานอยู่ที่ 400 Terabytes Written (TBW) หรือประมาณ 1.75 ล้านชั่วโมง ตามสเปกของ SSD ยุคใหม่ที่มีความทนทานมากขึ้น

ในส่วนซอฟต์แวร์ตรวจวัดการทำงาน WD มี “WD SSD Dashboard” ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถตรวจสุขภาพของ SSD ได้ตลอดเวลา

ทดสอบประสิทธิภาพและสรุป

เริ่มจาก CrystalDiskMark ทีมงานวัดเฉพาะ Seq Q32T1 ความเร็วในการอ่านอยู่ที่ 557.9MB/s เขียน 516.3MB/s เป็นไปตามที่ WD เครมไว้ในเอกสารสเปก

มาถึง PC Mark 8 ความเร็วที่ได้เฉลี่ยอยู่ที่ 217.62 MB/s คิดเป็นคะแนนอยู่ที่ 4,933 คะแนน

ส่วนการใช้งานจริง เริ่มตั้งแต่ทดลองคัดลอกเกมจากสตรีม (Steam) ขนาด 50.6GB จาก SSD ที่มีความเร็วอ่านเขียนระดับ 2,000MB/s ไปสู่ WD Blue PC SSD 1TB ความเร็วที่ได้เฉลี่ยประมาณ 316-400MB/s เรียกได้ว่าเร็วใช้ได้เลยทีเดียว (เชื่อมต่อผ่านพอร์ต SATA 3 6Gb/s ถ้าเชื่อมต่อกับ SATA รุ่นที่ต่ำกว่าความเร็วอ่านเขียนจะช้าลง)

อีกทั้งเมื่อนำไปใช้งานกับการตัดต่อวิดีโอทั้ง 1080p และ 4K WD Blue PC SSD 1TB ใช้งานได้ลื่นไหลดี ประสิทธิภาพจัดอยู่ในระดับกลางค่อนสูง ไม่ได้เร็วเวอร์หรือช้าจนเกินไป ถือเป็นรุ่นที่เหมาะกับการใช้งานปกติในชีวิตประจำวันทุกรูปแบบ

สุดท้ายทดสอบเล่นเกม “Tom Clancy’s Ghost Recon Wildlands” ประมาณ 6 ขั่วโมง WD Blue PC SSD สามารถใช้งานได้ลื่นไหล การโหลดฉากทำได้รวดเร็วดีและไม่มีอาการสะดุดให้พบเห็นตลอดการทดสอบ

ถือว่าเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่กำลังมองหา SSD ความจุสูง โดยเฉพาะราคาถือว่า WD เปิดตัวมาได้ค่อนข้างดี โดยเฉพาะความจุสูงๆอย่างรุ่นที่ทีมงานได้รับมาทดสอบ ราคาขายหน้าร้านอยู่ที่ 10,700 บาท เทียบกับคู่แข่งที่สเปกใกล้เคียงกันแล้ว WD จะถูกกว่าประมาณ 1-2 พันบาทเลยทีเดียว

ข้อดี

– มีความจุและ Form Factor ให้เลือกใช้งานหลากหลาย ครอบคลุมทุกกลุ่ม
– WD SSD Dashboard ตรวจสุขภาพ SSD ได้ตลอดเวลา

ข้อสังเกต

– รุ่นบนสุด WD Black มีแต่แบบเป็นการ์ด ซึ่งต้องใช้กับเมนบอร์ดหรือโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่เท่านั้น ไม่มีรุ่นย่อย SSD 2.5 นิ้ว

]]>
Review : WD My Cloud Mirror Gen 2 คลาวด์สตอเรจส่วนตัว ไซส์ยักษ์ https://cyberbiz.mgronline.com/review-wd-mycloud-mirrorgen2/ Thu, 09 Jun 2016 07:42:42 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=25022

IMG_0559

WD My Cloud Mirror จัดอยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ตระกูล NAS ขนาดเล็กที่ทาง WD หรือ Western Digital ตั้งใจออกแบบให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ง่ายทั้งเรื่องการติดตั้งและใช้งาน โดยจุดเด่นของ WD My Cloud จะอยู่ในเรื่องการเป็นฮาร์ดดิสก์เก็บข้อมูลความจุสูงที่ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ทุกเวลาทั้งจากสมาร์ทโฟนหรือคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล โดยใช้วิธีคิดทั้งแบบดั้งเดิมคือ เป็น NAS หรือทำตัวเป็น Server เก็บข้อมูลภายในบ้าน และแนวคิดแบบใหม่คือเป็นสามารถเป็นคลาวด์สตอเรจให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้จากทุกที่ผ่านบริการ Web Access

สำหรับ My Cloud Mirror รุ่นที่ทีมงานได้รับมาทดสอบจะเป็นรุ่นที่ 2 โดยภายในเลือกใช้ฮาร์ดดิสก์ 2 ตัวเชื่อมต่อผ่าน RAID มีความจุเริ่มต้น 4TB – 16TB

IMG_0547

IMG_0553

ในส่วนของสเปก My Cloud Mirror รุ่นที่ 2 เปลี่ยนไปใช้ซีพียู Marvell ARMADA 385 Dual Core ความเร็ว 1.33GHz แรม 512MB พอร์ตเชื่อมต่อฮาร์ดดิสก์เป็น SATA 3 รองรับการเชื่อมต่อฮาร์ดดิสก์ขนาด 3.5 นิ้วได้พร้อมกันถึง 2 ตัว (สามารถถอดเปลี่ยนฮาร์ดดิสก์ได้ โดยฮาร์ดดิสก์ที่ติดมาในชุดจะเป็น WD RED) พร้อม RAID Mode ให้เลือกใช้งานได้ทั้ง RAID 0,1, Spanning หรือ JBOD

ด้านพอร์ตเชื่อมต่อด้านหลัง ด้วยความเป็น NAS ไม่ใช้ฮาร์ดดิสก์พกพา การเชื่อมต่อจะต้องทำผ่านพอร์ตแลน Gigabit Ethernet ร่วมกับเราท์เตอร์เน็ตเวิร์คที่บ้านเพียงอย่างเดียว โดย WD เครมว่าการเชื่อมต่อง่ายมากเพียงแค่นำสายแลนไปเสียบกับเราท์เตอร์จากนั้นเข้าบราวเซอร์และพิมพ์ wdmycloudmirror/ เพียงเท่านี้ระบบจะค้นหาและเริ่มติดตั้งระบบทันที

ส่วนพอร์ต USB 3.0 2 พอร์ตด้านหลังจะใช้เชื่อมต่อกับฮาร์ดดิสก์พกพาหรือแฟลชไดร์ฟเพื่อคัดลอกข้อมูลหระหว่างกันเท่านั้น

mycloud-home

wdapps

มาถึงส่วนซอฟต์แวร์ควบคุม ระบบปฏิบัติการภายใน Mirror จะใช้ My Cloud OS3 โดยผู้ใช้สามารถตรวจสอบสถานะการทำงานของตัวเครื่อง มีระบบแจ้งข้อผิดพลาดและสามารถตั้งโฟลเดอร์หรือเปิดใช้บริการ Cloud Access ผ่านตัวระบบปฏิบัติการได้ รวมถึงมีแอปฯให้เลือกใช้งานและติดตั้งเพิ่มเติมได้ เช่น P2P Download, FTP Download

wd-comp

macwdmycloudmirror

นอกจากนั้น Cloud Mirror ยังรองรับการจัดการผ่านส่วน Network ของ Windows และ Mac ได้ด้วย โดยผู้ใช้สามารถเข้าไปจัดการโฟลเดอร์ คัดลอกหรือลบไฟล์ได้

smartphone-apps-wd

ส่วนการใช้งานผ่านสมาร์ทดีไวซ์จะทำผ่านแอปฯ WD My Cloud รองรับทั้ง iOS และ Android นอกจากนั้นตัว Mirror ยังรองรับการเชื่อมต่อ DLNA ด้วย

bench-wdmyc

เชื่อมต่อกับแลน 1 Gbps ทดสอบคัดลอกข้อมูลได้ความเร็วประมาณ 90-110MB/s

ด้านการทดสอบใช้งาน ทีมงานเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ 10 ตัวผ่านเราท์เตอร์ D-Link AC1750 และดึงข้อมูลพร้อมกันทั้งคัดลอกไฟล์ รับชมสตรีมมิ่งวิดีโอ พบว่าสามารถทำงานได้ลื่นไหลดี ระบบจัดการภายในทำได้ดี อีกทั้งดวยการที่ WD เลือกใช้ฮาร์ดดิสก์เก็บข้อมูลภายในเป็น WD RED ซึ่งออกแบบมาเพื่อใช้งาน NAS ทำให้ผู้ใช้มั่นใจได้เลยว่า WD My Cloud Mirror สามารถเปิดทำงานตลอด 24 ชั่วโมงได้โดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด

สำหรับราคา WD My Cloud Mirror ความจุ 4TB ราคา 11,500 บาท 6TB ราคา 14,500 บาทและ 8TB ราคา 18,500 บาท

]]>
Review : WD My Book Pro ท็อปสุดของ External Harddisk https://cyberbiz.mgronline.com/review-wd-mybook-pro/ Thu, 14 Jan 2016 00:00:26 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=21042

WDBDTB0120JSL

สำหรับผู้ใช้แมคที่ต้องการเอ็กซ์เทอร์นัลฮาร์ดดิสก์ประสิทธิภาพสูงเพื่อใช้ในงานตัดต่อวิดีโอ ตกแต่งภาพหรือทำงานกราฟิกที่ต้องใช้อัตรารับส่งข้อมูลความเร็วสูงตลอดเวลา WD “My Book Pro” ถือเป็นตัวเลือกใหม่ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะเรื่องการออกแบบไดร์ฟแบบ Hot-swap ให้ผู้ใช้สามารถถอดเปลี่ยนฮาร์ดดิสก์ด้วยตัวเองได้ในรูปแบบเดียวกับ NAS Storage

การออกแบบและสเปก

IMG_3595

หน้าตาของ WD My Book Pro มองเผินๆจะคล้าย NAS Storage แต่จริงๆแล้ว My Book Pro ถูกเรียกว่าเป็น “Professional RAID Storage” หรือเรียกภาษาง่ายๆก็คือ “ฮาร์ดดิสก์พกพาประสิทธิภาพสูง” ที่ออกแบบมาเพื่อคนทำงานสายศิลป์ โดยเฉพาะงานตัดต่อภาพยนตร์ที่ต้องการความรวดเร็วในการรับส่งข้อมูลตลอดเวลา

IMG_3608

โดยหัวใจหลักของ My Book Pro ก็คือ ฮาร์ดดิสก์ WD Black แบบองค์กร มาพร้อมรอบหมุน 7,200 รอบต่อนาที จำนวน 2 ลูก และถูกผูกการทำงานด้วย Hardware RAID Controller ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการอ่านเขียนข้อมูลให้แรงกว่าการใช้ฮาร์ดดิสก์ลูกเดียวทั่วไป (ค่าเริ่มต้นเมื่อเปิดใช้งานครั้งแรกระบบจะตั้งเป็น RAID 0 ไว้)

IMG_3611IMG_3638

นอกจากนั้นบริเวณด้านหน้า ทาง WD ยังได้ติดตั้งพอร์ต USB 3.0 เพื่อเป็นฮับ (HUB) ขยายพอร์ต USB จากคอมพิวเตอร์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้สามารถนำฮาร์ดดิสก์พกพาตัวเล็ก กล้องดิจิตอลและอื่นๆมาเชื่อมต่อได้ทันที (ไม่ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์ใดๆเพิ่มเติม)

wdfMB_Pro-1

มาดูเรื่องการเชื่อมต่อข้อมูล เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาคอขวด WD My Book Pro จึงถูกออกแบบให้มาพร้อมช่องเชื่อมต่อ Thunderbolt 2 (20 Gb/s) จำนวน 2 พอร์ต และ USB 3.0 จำนวน 1 พอร์ต โดย  Thunderbolt รองรับการต่อพ่วง (daisy chain) พร้อมกันสูงสุด 6 เครื่อง โดยระบบจะจัดการแบนด์วิธให้อัตโนมัติ

IMG_3612

ในส่วนแหล่งพลังงาน จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับอะแดปเตอร์ 12V 5.42A (ขนาดประมาณอะแดปเตอร์จ่ายไฟโน้ตบุ๊ก) ซึ่งเมื่อรวมกับน้ำหนักของฮาร์ดดิสก์ 2 ลูกและเคสอลูมิเนียมแล้ว WD My Book Pro มีน้ำหนักค่อนข้างมาก ไม่เหมาะแก่การเคลื่อนย้ายไปใช้งานนอกสถานที่

การใช้งาน ทดสอบประสิทธิภาพและสรุป

raidsetup-wdmybook-pro

สำหรับการเริ่มต้นใช้งานครั้งแรก เมื่อเชื่อมต่อฮาร์ดดิสก์กับสาย Thunderbolt เข้ากับเครื่องแมค ฮาร์ดดิสก์จะพร้อมใช้งานทันที (ฟอร์แมตเริ่มต้นคือ HFS+J) โดย RAID ที่ WD ตั้งไว้เป็นค่าเริ่มต้นคือ RAID 0

แต่ทั้งนี้ถ้าผู้ใช้ต้องการตั้งค่า RAID ใหม่ สามารถทำได้ด้วยการถอดสาย Thunderbolt ออกแล้วเชื่อมต่อสาย USB 3.0 แทน จากนั้นติดตั้งซอฟต์แวร์ WD Drive Utilities ระบบจะอนุญาตให้ปรับแต่งส่วนของ RAID ได้ดังนี้ (การปรับแต่งทุกครั้ง ระบบจำเป็นต้องฟอร์แมตฮาร์ดดิสก์ทั้ง 2 ลูก)

Stripe (RAID 0) – ระบบจะมัดรวมฮาร์ดดิสก์รวมถึงความจุของทั้ง 2 ลูกรวมเป็นลูกเดียวกัน ประสิทธิภาพจะเพิ่มขึ้นจากการช่วยกันทำงานของฮาร์ดดิสก์ทั้ง 2 ลูก แต่ข้อเสียคือ ถ้าฮาร์ดดิสก์ลูกใดลูกหนึ่งเสียหาย ข้อมูลทั้งหมดจะหายไป

Mirror (RAID 1) – เน้นความปลอดภัย โดยฮาร์ดดิสก์ตัวที่หนึ่งจะทำงานเป็นหลัก ในขณะที่ฮาร์ดดิสก์ตัวที่สองจะใช้สำรองข้อมูล ถ้าฮาร์ดดิสก์ตัวใหตัวหนึ่งเสียหาย ผู้ใช้สามารถเรียกคืนข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์อีกลูกหนึ่งได้ แต่ข้อเสียคือ พื้นที่เก็บข้อมูลจะน้อยลง เช่น ใส่ฮาร์ดดิสก์ความจุ 6TB + 6TB ถ้าอยู่ใน RAID 0 จะได้พื้นที่ 12TB แต่ถ้าเปิดใช้ RAID 1 จะเหลือพื้นที่ใช้งานแค่ 6TB เท่านั้น

Individual Drives (JBOD) – มัดรวมฮาร์ดดิสก์ 2 ลูกเป็นลูกเดียว แต่การทำงานจะต่างคนต่างแยกกันทำงาน ทำให้ประสิทธิภาพการอ่านเขียนข้อมูลจะเท่ากับใช้งานฮาร์ดดิสก์ลูกเดียว และถ้าฮาร์ดดิสก์ตัวใดตัวหนึ่งเสีย ข้อมูลจะหายเฉพาะในฮาร์ดดิสก์ตัวที่เสียเท่านั้น

benchmark-wdmybookprowdmybook-benchmark2

มาถึงเรื่องทดสอบใช้งาน โดยทีมงานเลือกเชื่อมต่อกับ MacBook Pro 13” Late 2011 ด้วยพอร์ต Thunderbolt รุ่นแรก ผลคะแนนด้านประสิทธิภาพทำได้น่าพอใจ ความเร็วในการอ่านเขียนข้อมูลทำได้รวดเร็วและเมื่อทดลองใช้งานเป็นฮาร์ดดิสก์เก็บไฟล์ตัดต่อวิดีโอความละเอียดสูง 1080p 100Mbps พร้อมตัดต่อสดๆผ่านซอฟต์แวร์ Final Cut Pro X ถือว่าสามารถทำงานได้ลื่นไหลมาก

wdfMB_Pro

ส่วนเมื่อนำไปใช้งานตัดต่อไฟล์วิดีโอ 4K ร่วมกับ iMac และพอร์ต Thunderbolt 2 ประสิทธิภาพที่ได้จะยิ่งเพิ่มสูงมากขึ้น อีกทั้งเมื่อนำ My Book Pro หนึ่งตัวไปต่อพ่วงกับอุปกรณ์ที่รองรับ Thunderbolt จำนวน 3 เครื่อง พบว่าเอ็กซ์เทอร์นัลฮาร์ดดิสก์รุ่นนี้สามารถจัดการแบนด์วิธในตัวเองได้ค่อนข้างดี ถึงแม้ความเร็วอ่านเขียนในแต่ละดีไวซ์จะตกลงไปบ้าง แต่ความเสถียรที่ได้ยังคงยอดเยี่ยม ไม่พบอาการฮาร์ดดิสก์ค้างแต่อย่างใด

ถือเป็นเอ็กซ์เทอร์นัลฮาร์ดดิสก์ประสิทธิภาพสูงที่ถูกออกแบบมาได้เหมาะสมกับผู้ใช้งานเฉพาะทางที่ต้องการความรวดเร็วในการรับส่งข้อมูลที่สูงตลอดเวลา พร้อมความสามารถ Hot-swap ถอดเปลี่ยนฮาร์ดดิสก์ได้ตามต้องการอย่างสะดวกสบาย

สำหรับราคาเปิดตัว WD My Book Pro เริ่มต้นที่ 24,900 บาท สำหรับความจุ 6TB / 31,900 บาท สำหรับความจุ 8TB / 37,900 บาท สำหรับความจุ 10TB และ 42,900 บาท สำหรับความจุ 12TB

ข้อดี

– ฮาร์ดดิสก์ทำงานแบบ RAID ประสิทธิภาพสูง สามารถเลือกการใช้งาน RAID ได้ตามต้องการ
– ประสิทธิภาพสูง รองรับการตัดต่อวิดีโอ 4K จนถึง 6K
– รองรับการเชื่อมต่อทั้ง Thunderbolt 1/2 และ USB 3.0
– ด้านหน้ามี USB Hub 3.0 รองรับการชาร์จไฟให้สมาร์ทดีไวซ์และเชื่อมต่อกล้องดิจิตอลเพื่อโอนถ่ายข้อมูลได้
– ฮาร์ดดิสก์ทั้งสองลูกสามารถถอดเปลี่ยนได้
– WD ให้ฮาร์ดดิสก์ภายในเป็นรุ่น Black ทุกความจุ ทุกราคา

ข้อสังเกต

– พัดลมระบายความร้อนเสียงดัง เคสไม่เก็บเสียงเวลาฮาร์ดดิสก์ทำงาน
– น้ำหนักมาก ไม่เหมาะแก่การเคลื่อนย้ายบ่อยๆ
– ค่าเริ่มต้น ฟอร์แมตมาเพื่อ Mac เพียงอย่างเดียว

Gallery

]]>
Review : WD My Passport for Mac โฉม 2015 พร้อมพอร์ต USB 3.0 https://cyberbiz.mgronline.com/review-wd-mypassport-2015-mac/ Wed, 09 Dec 2015 08:21:49 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=18024

IMG_3472IMG_3480

สินค้าในกลุ่ม My Passport จาก WD (Western Digital – เวสเทิร์น ดิจิตอล) เป็นกลุ่มสินค้า Portable Drives หรือภาษาบ้านเราเรียกว่า “ฮาร์ดดิสก์หรือฮาร์ดไดร์ฟพกพา” ที่ได้รับความนิยมสูงมากและมีสินค้าหลากหลายรูปแบบตั้งแต่รุ่นหรูหราสุดแบบอะลูมิเนียม ไปถึงรุ่นไร้สายที่สามารถรองรับสมาร์ทดีไวซ์และสุดท้ายกับกลุ่ม Mac ที่เราจะนำมารีวิวกันในวันนี้กับ My Passport for Mac สุดฮิต ซึ่งได้รับการปรับโฉมใหม่ในปีนี้ให้บางลงพร้อมอินเตอร์เฟสเชื่อมต่อ USB 3.0

การออก สเปกและฟีเจอร์เด่น

IMG_3484

WD My Passport for Mac ใหม่นี้ เชื่อมต่อผ่านพอร์ต USB 3.0 (รองรับ USB 2.0 ด้วย) ด้านดีไซน์ได้รับการออกแบบใหม่ให้มีความบางด้วยขนาดกว้าง x ยาว ที่ 81.5 x 110 มิลลิเมตร หนา 15.8-20.9 มิลลิเมตร (ตามความจุ) พร้อมความจุให้เลือกตั้งแต่ 1TB, 2TB และ 3TB

โดย WD มองว่ารูปทรง WD My Passport for Mac โฉม 2015 จะเข้ากันได้ดีกับ MacBook, MacBook Air และ MacBook Pro รุ่นใหม่ได้อย่างดี โดยเฉพาะน้ำหนักที่เบาลง พกพาสะดวกสบายมากขึ้น

ส่วนการรองรับ ด้วยการที่ My Passport รุ่นนี้ออกแบบมาเพื่อสินค้าตระกูล Mac ฟอร์แมตที่ WD ให้มาตั้งแต่โรงงานจึงเป็น “HFS + Journaled” ถ้าผู้ใดต้องการนำไปใช้กับวินโดวส์ต้องหาวิธีฟอร์แมตเป็น NTFS หรือ FAT ด้วยตัวเอง

wd-passport-mac-backupmactime

มาถึงการใช้งาน เมื่อผู้ใช้เสียบ My Passport เข้ากับแมคระบบจะถามว่าต้องการใช้ฮาร์ดไดร์ฟตัวนี้เป็น Time Machine (ระบบสำรองข้อมูลของแมค) หรือไม่ ถ้าไม่ต้องการก็กดปุ่ม “Don’t Use” เท่านั้น

wdpassmac-setup-startuppage

ในส่วนซอฟต์แวร์จัดการฮาร์ดไดร์ฟที่แถมมากับ My Passport จะมี “WD Security” ไว้ใช้ล็อคฮาร์ดไดร์ฟด้วย Hardware Encryption 256 บิต และ “WD Drive Utilities” หรือตัวช่วยตรวจเช็คและจัดการระบบทำงานของ My Passport

ทดสอบประสิทธิภาพและสรุป

ด้านการทดสอบประสิทธิภาพความเร็วอ่านเขียนเป็นไปได้รวดเร็วตามมาตรฐานฮาร์ดไดร์ฟ์พกพาตัวเล็ก โดยการทดสอบผ่านซอฟต์แวร์ Blackmagic Disk Speed Test ความเร็วในการเขียนอยู่ที่ประมาณ 102 MB ต่อวินาที ส่วนความเร็วอ่านอยู่ที่ 104 MB ต่อวินาที

สำหรับราคาค่าตัว เริ่มต้นที่ความจุ 1TB อยู่ที่ 2,490 บาท 2TB อยู่ที่ 3,790 บาท และความจุสูงสุด 3TB อยู่ที่ 6,390 บาท พร้อมรับประกัน 3 ปี

ก็ถือเป็นอีกหนึ่งฮาร์ดไดร์ฟพกพาขนาดเล็กที่เหมาะแก่เป็นพื้นที่เก็บข้อมูลเสริมสำหรับผู้ใช้ MacBook ที่มาพร้อมจุดเด่นในเรื่องซอฟต์แวร์ป้องกันการเข้าถึงข้อมูลด้วยฮาใร์ดแวร์ 256 บิต พร้อม Auto Unlock (จดจำ MacBook ของเจ้าของไว้ ถ้าเชื่อมต่อกับแมคของเจ้าของ ไม่ต้องใส่รหัส แต่ถ้านำไปเชื่อมต่อกับแมคเครื่องอื่น ระบบจะถามหารหัสผ่านทันที)

ข้อดี

– ขนาดเล็ก พกพาสะดวก
– งานประกอบดีขึ้น ฝาหน้าพลาสติกด้านเป็นรอยยากขึ้น ส่วนกรอบและฝาหลังเป็นอะลูมิเนียม
– ซอฟต์แวร์จัดการใช้งานดี โดยเฉพาะ WD Security มี Auto Unlock

ข้อสังเกต

– ย้ำชัดอีกครั้งว่ารุ่นนี้เน้นรองรับเฉพาะผู้ใช้แมคเท่านั้น เพราะโรงงานฟอร์แมตมาในรูปแบบ HFS + Journaled ถ้าต้องการใช้ร่วมกับวินโดวส์ต้องเลือกเป็นรุ่น My Passport Ultra

]]>