Review : iPhone SE ตัวเล็ก สเปกไฮเอนด์

40361

head000111

ระหว่างที่ผู้อ่านหลายท่านกำลังรอการมาของ iPhone ใหม่อยู่นั้น แอปเปิลขอกลับมาเขย่าตลาดสมาร์ทโฟนราคาประหยัดอีกครั้งด้วย “iPhone SE” ขนาดหน้าจอ 4 นิ้ว ที่ในครั้งนี้ แอปเปิลตั้งใจให้เข้ามาทำตลาดแทนที่ iPhone 5s (รุ่นยอดนิยมทั้งในบ้านเราและต่างประเทศ) มากกว่า iPhone 5c ที่ประสบความล้มเหลวและเป็นไอโฟนที่แอปเปิลอยากจะลืมมากที่สุด

IMG_4745

โดยจุดเด่นของ iPhone SE จะอยู่ที่สเปกเครื่อง ซึ่งแอปเปิลเซอร์ไพรส์ด้วยสเปกระดับเดียวกับ iPhone 6s ตั้งแต่ซีพียูไปถึงกล้องหลัง iSight ในราคาเริ่มต้นไม่ถึง 17,000 บาท

การออกแบบ

IMG_4720one-hand-opera-se

แอปเปิลเลือกกลับไปใช้การออกแบบลักษณะเดียวกับ iPhone 5s (อลูมิเนียม Bead Blasting) พร้อมหน้าจอ Retina ขนาด 4 นิ้ว (ความละเอียด 1,136 x 640 พิกเซล) ซึ่งแอปเปิลเครมว่าเป็นขนาดที่ได้รับความนิยม เหมาะสมกับการใช้มือเดียวมากที่สุด

size-2-sesize-1-se

ตัวอย่างพื้นที่แสดงผลเว็บไซต์ในหน้าจอขนาด 4 นิ้วบน iPhone SE ทั้งแนวตั้งและแนวนอน

มาถึงสเปกหน้าจอส่วนที่แตกต่างจาก iPhone 6s เริ่มจากหน้าจอ SE จะไม่รองรับ 3D Touch (Taptic Engine) และไม่มี Dual-domain pixel ทำให้การแสดงผลเม็ดสีและความกว้างของสีสันที่แสดงผ่านหน้าจอ iPhone SE จะแคบกว่าหน้าจอของ 6s รวมถึงคอนทราสต์ที่น้อยกว่าด้วย

ส่วนกล้องหน้ามีความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f2.4 เท่ากับ iPhone 5s แต่เพิ่มฟีเจอร์ Retina Flash เข้ามาแบบเดียวกับ iPhone 6s

6svsse

ด้านขนาดตัวเครื่อง ความกว้างอยู่ที่ 58.6 มิลลิเมตร สูง 123.8 มิลลิเมตร หนา 7.6 มิลลิเมตร และน้ำหนัก 113 กรัม เมื่อเทียบกับ iPhone 6s แล้ว iPhone SE จะหนากว่าเล็กน้อย แต่ในส่วนน้ำหนักจะเบากว่า 6s แถมการจับถือโดยไม่ใส่เคสจะทำได้ถนัดกว่า iPhone 6 และ 6s ค่อนข้างมาก

IMG_4742

ปุ่มโฮม – จะมาพร้อมตัวอ่านลายนิ้วมือ Touch ID รุ่นแรก (ทำงานไม่เร็วเท่าตัวอ่านลายนิ้วมือใน iPhone 6s ที่เป็นรุ่นสอง)

IMG_4722IMG_4776

ด้านหลัง – เหมือน iPhone 5s แบ่งหัวและท้ายเป็นกระจกสี ขาว สำหรับรุ่นที่ตัวเครื่องสี เงิน เทาและโรสโกลด์ ส่วนกระจกบนล่างสีดำจะเป็นของรุ่นตัวเครื่องสีเทาสเปซเกรย์

ตรงกลางเป็นอลูมิเนียม Bead Blasting

กล้องถ่ายภาพ – iSight ที่แอปเปิลดึงสเปกกล้องจาก iPhone 6s มาอย่างครบถ้วน (แถมเลนส์ไม่นูนออกมาเหมือน 6s) ตั้งแต่ความละเอียดภาพ 12 ล้านพิกเซล (1.22 ไมครอน), รูรับแสง f2.2, แฟลช True Tone, เซ็นเซอร์รับภาพ BSI, Focus Pixel, พาโนรามาความละเอียดสูง 63 ล้านพิกเซล และไมโครโฟนรับเสียงสำหรับงานถ่ายวิดีโอ

ถัดลงมาจะเป็นโลโก้แอปเปิลขัดเงา ด้านล่างเป็นชื่อรุ่น iPhone SE และรายละเอียด โมเดลตัวเครื่องต่างๆ

IMG_4735IMG_4733

ขอบเครื่อง – เริ่มจากด้านขวามือ จะเป็นที่อยู่ของช่องใส่ซิมการ์ดโทรศัพท์แบบ Nano Sim ซ้ายมือ เป็นที่อยู่ของสวิตซ์เปิดปิดเสียงและปุ่มเพิ่มลดระดับเสียง

IMG_4738

IMG_4736

ด้านบนและล่าง – เริ่มจากด้านบนเป็นที่อยู่ของปุ่มเปิดปิดเครื่อง ส่วนด้านล่างจะเป็นที่อยู่ของช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร, ไมโครโฟนสนทนาโทรศัพท์, Lightning Port และลำโพง

สเปก

IMG_4747

สเปกเป็นส่วนที่ทำให้ iPhone SE น่าสนใจเพราะในครั้งนี้แอปเปิลเลือกนำสเปกไฮเอนด์ของ iPhone 6s มาใส่ใน SE เกือบทั้งหมดตั้งแต่ ซีพียูใช้ Apple A9 + M9 Dual Core ความเร็ว 1.84GHz ประกบกราฟิกชิป PowerVR GT7600 พร้อมแรม 2GB ระบบปฏิบัติการ iOS 9.3 แบตเตอรีขนาด 1,624mAh (แอปเปิลเครมว่าใช้งานได้ยาวนานกว่า 6s ถึง 2-3 ชั่วโมงเลยทีเดียว)

และส่วนของเซ็นเซอร์ตรวจจับภายในจะมีมาให้เหมือน iPhone 6s ทั้งหมด ได้แก่ ไจโร 3 แกน อุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหว ระบบตรวจจับระยะ ระบบปรับความสว่างหน้าจออัตโนมัติ ยกเว้นบารอมิเตอร์ ที่ใน SE จะไม่ได้ใส่มาให้ใช้งาน

setup-se

ด้านสเปกเชื่อมต่อเครือข่ายต่างๆ เริ่มจาก 3G/4G รองรับทุกเครือข่ายในประเทศไทย โดย 4G จะรองรับความเร็วสูงสุด 150Mbps (ไม่รองรับ 4G LTE Advanced เหมือนพี่ใหญ่ iPhone 6s) พร้อมรองรับฟีเจอร์ VoLTE (Voice over LTE), มี NFC (Apple Pay), GPS/GLONASS ส่วน WiFi รองรับมาตรฐาน 802.11 a/b/g/n/ac พร้อม MIMO ความเร็วสูงสุด 433Mbps และรองรับฟีเจอร์ Always On (Hey Siri) เหมือน 6s ด้วย

ฟีเจอร์เด่นส่วนซอฟต์แวร์

home-se

ภาพรวมของระบบปฏิบัติการ ฟีเจอร์เด่น รวมถึงแอปฯต่างๆถ้าใช้งานบน iPhone 6s ได้ ก็สามารถใช้งานบน iPhone SE ได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น AirDrop, ตัดต่อวิดีโอผ่าน iMovie แบบ 4K หรือแม้แต่ทำผลงานเพลงผ่าน Garage Band ทั้งหมดทำได้บน iPhone SE เช่นกัน

camera-se

อีกส่วนที่ถือเป็นฟีเจอร์เด่นไม่แพ้สเปกเครื่องก็คือสเปกกล้องถ่ายภาพกลัง iSight ที่นอกจากรองรับความละเอียดภาพ 12 ล้านพิกเซลแล้ว โหมดถ่ายภาพนิ่งยังรองรับการบันทึก Live Photos แบบเดียวกับ iPhone 6s

นอกจากนั้นโหมดบันทึกวิดีโอยังรองรับการบันทึกในระบบ 4K ที่ความเร็ว 30 เฟรมต่อวินาที หรือ 1080p ที่ความเร็ว 30/60 เฟรมต่อวินาทีพร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว อีกทั้งขณะบันทึกวิดีโอ 4K ผู้ใช้ยังสามารถกดถ่ายภาพนิ่งที่ความละเอียด 8 ล้านพิกเซลได้เหมือนกับ iPhone 6s และ 6s Plus

ทดสอบประสิทธิภาพ

benchmark-se

iPhone SE โมเดลที่ทีมงานได้รับมามีความจุ 64GB โดยผลการทดสอบเริ่มจาก AnTuTu Benchmark ทำคะแนนรวมได้ 131,496 คะแนน, 3D Mark : Sling Shot Extreme ทำคะแนนได้ 1,434 คะแนน, Geekbench ทำคะแนนในส่วน Single core อยู่ที่ 2,546 คะแนน และ Multi core อยู่ที่ 4,435 คะแนน

game2-se

iPhone SE สามารถเล่นเกม 3 มิติได้ลื่นไหลไม่ต่างจาก iPhone 6s

ส่วนเมื่อเทียบคะแนน AnTuTu Benchmark ระหว่าง iPhone SE กับ iPhone 6s จะพบว่า iPhone SE จะมีคะแนนที่มากกว่า ซึ่งไม่ถือเป็นเรื่องผิดปกติ เพราะ SE มีสเปกประมวลผลเท่ากับ 6s ในขณะที่หน้าจอมีขนาดเล็กและความละเอียดน้อยกว่า จึงทำให้การประมวลผล SE ทำได้ลื่นไหลกว่า 6s เป็นเรื่องปกติ ยกเว้นการแสดงผลกราฟิก 3 มิติที่ SE จะทำคะแนนได้น้อยกว่า 6s เล็กน้อย

musicmaker-se

หรือแม้กระทั่งการทำเพลงผ่านฟีเจอร์ Live Loops ในแอปฯ GarageBand ที่ทีมงานนำไฟล์ที่สร้างจาก iPad Pro 9.7” มาเปิดใช้งานต่อใน iPhone SE ก็สามารถทำได้ลื่นไหลมาก แต่เสียดายที่หน้าจอเล็กและพื้นที่ใช้งานค่อนข้างแคบทำให้การบังคับ ควบคุมแทร็คเพลงจำนวนมากทำได้ลำบากกว่า iPhone 6s และ 6s Plus

batt-test

นอกจากนั้น ด้วยสเปก SE ที่ไหลลื่นกว่า 6s แล้ว ในส่วนแบตเตอรียังทำเวลาใช้งานได้ดีเทียบ iPhone 6s Plus ด้วย โดยการใช้งานทั่วไป (ดูยูทูป เล่นเกม แชท เฟสบุ๊ก เปิดเว็บบราวเซอร์) บนการเชื่อมต่อ 4G LTE และ WiFi สลับทั้งวัน iPhone SE สามารถทำเวลาใช้งานต่อเนื่องได้ประมาณ 11-13 ชั่วโมง (ส่วนถ้าเปิดหน้าจอใช้งานต่อเนื่องจะทำเวลาได้ประมาณ 7 ชั่วโมง 51 นาที) และถ้าในหนึ่งวันผู้ใช้เน้นสแตนบายแค่โทรออกรับสายมากกว่าเล่นอินเตอร์เน็ต แบตเตอรีจะสามารถอยู่ได้นานข้ามวันเลยทีเดียว

ทดสอบกล้องถ่ายภาพ

อย่างที่ทราบกันแล้วว่าทั้ง iPhone SE และ iPhone 6s ใช้โมดูลกล้องตัวเดียวกัน ยกเว้นกล้องหน้าที่ SE จะเลือกใช้กล้องหน้าของ iPhone 5s บวกฟีเจอร์ Retina Flash ซึ่งให้ผลลัพท์ภาพดังตัวอย่างต่อไปนี้

Photo-5-5-2559-BE,-17-27-22

ภาพจากกล้องหน้า 1.2 ล้านพิกเซล (1,280×960 พิกเซล) พร้อมเปิด Retina Flash และใช้แหล่งกำเนิดแสงเพิ่มเติมจากไฟฉาย ภาพที่ได้ถือว่าคมชัดดี แต่จะมีนอยซ์มากกว่ากล้องหน้า 5 ล้านพิกเซลใน iPhone 6s และ 6s Plus เล็กน้อย

IMG_0096Photo-5-5-2559-BE,-17-19-08Photo-5-5-16,-22-35-44Photo-5-5-2559-BE,-09-57-49IMG_0092Photo-5-5-2559-BE,-17-30-02Photo-5-6-2559-BE,-13-25-53

ส่วนภาพชุดที่สองทั้งหมดนี้เป็นผลผลิตจากกล้องหลัง iSight 12 ล้านพิกเซล ตัวเดียวกับที่อยู่ใน iPhone 6s จะเห็นว่าทั้งโทนภาพ สีสัน ไดนามิกและคุณภาพไฟล์ที่ได้ไม่ต่างจาก iPhone 6s แต่อย่างใด การถ่ายในที่แสงน้อย ออโต้โฟกัสทำได้ดี

ชมภาพทั้งหมดแบบความละเอียดสูง >คลิกที่นี่<

ตัวอย่างวิดีโอ 4K โดย iPhone SE

โดยเฉพาะการถ่ายวิดีโอที่เป็นจุดแข็งหลักของแอปเปิลมาตลอด ใน iPhone SE แอปเปิลยังทำได้ดีเหนือกว่าทุกแบรนด์ในปัจจุบันเช่นเดิม ตั้งแต่เรื่องออโต้โฟกัสที่ถึงแม้จะช้าแต่มีความนุ่มนวลและแม่นยำ รวมถึงระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบซอฟต์แวร์และความชัดเจนในการบันทึกเสียงที่ทำได้ดี ไว้ใจได้พร้อมผลลัพท์ที่น่าพอใจอย่างมาก

สรุป

IMG_4729

สำหรับราคาเปิดตัว iPhone SE (ยึดราคาตามแอปเปิล สโตร์) ความจุ 16GB อยู่ที่ 16,800 บาท 64GB อยู่ที่ 20,800 บาท มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีเงิน เทาสเปซเกรย์ ทอง และโรสโกลด์ ส่วนโปรโมชันร่วมกับโอเปอร์เรเตอร์ในไทย dtac >คลิกที่นี่< AIS >คลิกที่นี่< และ TrueMove H >คลิกที่นี่< 

สรุปภาพรวม iPhone SE ก็คือ iPhone 6s ลดสเปก ในร่าง iPhone 5s ที่ในครั้งนี้แอปเปิลตั้งใจผลิตเพื่อเอาใจทั้งคนชอบสมาร์ทโฟนจอเล็กและคนที่กำลังมองหาไอโฟนประสิทธิภาพสูงในราคาไม่แพงมากนัก iPhone SE คือคำตอบที่ดีที่สุดตอนนี้

“หรือมองให้ง่ายและเห็นภาพชัดเจน ก็คือ iPhone SE หน้าจอ 4 นิ้วคือน้องเล็กสุดในครอบครัว iPhone 6s ซึ่งถ้าไล่ตามลำดับสเปกจะเป็นไปตามนี้

iPhone SE หน้าจอ 4 นิ้ว ราคา 16,800 – 20,800 บาท > iPhone 6s หน้าจอ 4.7 นิ้ว ราคา 26,500 – 34,500 บาท > iPhone 6s Plus หน้าจอ 5.5 นิ้ว ราคา 30,500 – 38,500 บาท”

อีกทั้งเมื่อ iPhone SE ถูกจัดอยู่ในตลาดสมาร์ทโฟนระดับกลางที่ตอนนี้มีคู่แข่ง (แบ่งตามราคา) เช่น Samsung Galaxy A7 A8, ASUS Zenfone Zoom, Huawei P8, Sony Xperia Z5 Compact, OPPO R7 Plus ที่ถึงแม้หน้าจอ iPhone SE จะเล็กกว่า แต่ประสิทธิภาพถือว่าอยู่อันดับต้นๆของตลาด โดยเฉพาะสเปกหน่วยประมวลผลที่น่าจะโดนใจคนอยากใช้ iPhone 6s แต่งบไม่ถึง SE น้องเล็ก น่าจะเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะในส่วนประสิทธิภาพโดยรวมก็ถือว่าอยู่ในระดับท็อปของไอโอเอสดีไวซ์ตอนนี้ ถ้า iPhone 6s เล่นอะไรได้ iPhone SE ก็สามารถใช้งานได้เหมือนกัน อีกทั้งถ้าในอนาคต iPhone รุ่นท็อปตัวใหม่มาถึง วันนั้น iPhone SE ก็ยังถือว่ามีประสิทธิภาพที่ดีพร้อมอัปเกรด iOS ใช้งานต่อไปได้อีกหลายปี

ข้อดี

– สเปกส่วนใหญ่เหมือน iPhone 6s
– ตัวเครื่องจับถนัดมือ แม้ไม่ใส่เคสใดๆ
– แบตเตอรีให้อายุการใช้งานน่าพอใจ

ข้อสังเกต

– กล้องหน้า 1.2 ล้านพิกเซลเท่านั้น
– ลำโพงให้เสียงที่เบาและขาดมิติ

Gallery

แสดงความคิดเห็น

ความคิดเห็น

REVIEW OVERVIEW
การออกแบบ
8
สเปก/ฟีเจอร์เด่น
9
ความสามารถโดยรวม
10
ความคุ้มค่า
9
SHARE