เชื่อว่าจากความสำเร็จของ iPad Mini ในรุ่นที่ผ่านมา ทำให้ปัจจุบันถ้าใครกำลังมองหาแท็บเล็ตขนาดหน้าจอ 7-8 นิ้ว ตัวเลือกแรกๆที่แว้บขึ้นมาคงหนีไม่พ้น iPad Mini ที่พิสูจน์แล้วในแง่ของการใช้งานที่พกพาได้สะดวกมากที่สุด
พอถึงเวลาอัปเกรด iPad Mini ในคราวนี้ Apple เลือกที่จะยกเครื่องสเปกภายในเป็นหลัก ทำให้ประสิทธิภาพของ iPad Mini รวถมึง iPad Air รุ่นปี 2019 แรงขึ้นเทียบเท่ากับ iPhone XS และยังเพิ่มความสามารถในการใช้งานคู่กับ Apple Pencil ได้ด้วย
ดังนั้น จุดหลักๆ ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาใน iPad Mini และ iPad Air ปี 2019 ก็คือเรื่องของ จอภาพ ชิปหน่วยประมวลผลที่ใช้ รองรับ Apple Pencil รองรับคีย์บอร์ด (iPad Air) กล้องที่ให้ประสิทธิภาพดีขึ้น และถ้าเป็นรุ่นเซลลูล่า ก็จะรองรับการใช้งาน eSIM ด้วย
เลือก iPad รุ่นไหนดี
คำถามที่ตามมาเมื่อ Apple มีการอัปเดตไลน์สินค้าในตระกูล iPad ครบถ้วนแล้ว ทีนี้ถ้ามองหาแท็บเล็ตที่มาตอบโจทย์การใช้งานสักเครื่อง ควรเลือกใช้อะไรดีไล่ตั้งแต่ iPad Mini iPad iPad Air และ iPad Pro
อย่างแรกเลยต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่าต้องการ iPad มาใช้ทำอะไร ถ้าต้องการใช้งานทั่วๆไป ต้องการจอขนาดใหญ่ iPad รุ่นจอ 9.7 นิ้ว ในราคาเริ่มต้นที่ 11,500 บาท น่าจะเป็นคำตอบที่ง่ายที่สุด และถือเป็นรุ่นเพื่อการศึกษาของทาง Apple ด้วย
แต่ถ้าต้องการมากกว่านั้น ก็จะเริ่มหันมามอง iPad Mini 7.9 นิ้ว ในราคาเริ่มที่ 13,900 บาท หรือ iPad Air 10.5 นิ้ว ในราคา 17,900 บาท โดยทั้ง 2 รุ่นนี้ เพิ่งเปิดตัวออกมาพร้อมกัน ให้สเปกที่ใกล้เคียงกัน ดังนั้นการเลือกใช้ก็ขึ้นอยู่กับว่าต้องการแท็บเล็ตจอใหญ่ หรือจอเล็กที่พกพาง่าย
ข้ามขึ้นไปอีกขึ้นก็คือ iPad Pro 11 นิ้ว และ 12.9 นิ้ว ในราคาเริ่มต้นที่ 28,900 บาท ก็จะเหมาะกับผู้ใช้อีกกลุ่ม ที่ต้องการแท็บเล็ตประสิทธิภาพสูงที่มาตอบโจทย์ในการใช้งานเฉพาะทางมากขึ้น ทั้งการทำรูป ไปจนถึงใช้ตัดต่อได้
จะเห็นได้ว่า iPad ทั้ง 4 รุ่น ต่างมีกลุ่มเป้าหมาย และจุดเด่นที่แตกต่างกันไป ดังนั้นก็ควรดูที่รูปแบบการใช้งาน และงบประมาณที่มี เพื่อเลือก iPad ให้เหมาะสมกันต่อไป
iPad Mini เน้นพกพาง่าย
มาถึงรายละเอียดหลักๆของ iPad Mini ที่นำมารีวิวกันในวันนี้ ภาพลักษณ์ภายนอก ไม่ได้มีจุดที่เปลี่ยนแปลงไปจากรุ่นเดิมมากนัก ด้วยขนาดตัวเครื่อง 203.2 x 134.2 x 6.1 นิ้ว น้ำหนักรุ่น Wi-Fi 300.5 กรัม Cellular 308.2 กรัม มีให้เลือก 3 สีเช่นเดิมคือ เงิน เทาสเปซเกรย์ และทอง
ตัวเครื่องมากับหน้าจอ Multi Touch ขนาด 7.9 นิ้ว ที่เป็นจอแบบ IPS ความละเอียด 2048 x 1536 พิกเซล 326 ppi ที่ทางแอปเปิลระบุว่า สามารถแสดงสีได้ระดับ P3 รองรับการแสดงผลแบบ True Tone ถัดจากหน้าจอลงมาเป็นปุ่มโฮม และเซ็นเซอร์ Touch ID เช่นเดิม ส่วนขอบบนเป็นกล้องสำหรับ FaceTime ที่ความละเอียด 7 ล้านพิกเซล
ด้านหลังมีกล้องความละเอียด 8 ล้านพิกเซล f/2.4 ที่ได้รับการพัฒนาขึ้น ให้รองรับการถ่ายภาพแบบ Live Photos รองรับการบันทึกวิดีโอระดับ Full HD รอบตัวเครื่องก็จะมีปุ่มปรับระดับเสียง (ด้านขวา) ปุ่มเปิด-ปิดเครื่อง (ด้านบน) พอร์ต Lightning (ด้านล่าง) อยู่เช่นเดิม
สำหรับอุปกรณ์ที่ให้มาภายในกล่อง นอกจากตัวเครื่อง iPad Mini ก็จะมีอะเดปเตอร์ชาร์จ และสาย USB to Lighting พร้อมกับคู่มือการใช้งานตัวเครื่อง ตามปกติ ส่วน Apple Pencil ถ้าต้องการมาใช้งานคู่กันจะจำหน่ายแยกในราคา 3,100 บาท
อ่านอีบุ๊ก-เล่นเกม-ท่องเว็บ-AR
ด้วยขนาดของตัวเครื่องที่ไม่ใหญ่จนเกินไป พอๆกับหนังสือเล่มหนึ่ง ทำให้ iPad Mini กลายเป็น หนึ่งในดีไวซ์ที่เหมาะกับการนำมาใช้เพื่ออ่านอีบุ๊กเป็นอย่างมาก เพราะสามารถถือใช้งานได้ด้วยมือข้างเดียว ประกอบกับน้ำหนักที่ถือว่าค่อนข้างเบา ทำให้เวลาใช้งานนานๆก็ไม่เมื่อย
เช่นเดียวกับการเล่นเกมมือถือ เพราะเมื่อต้องการดีไวซ์ที่มีหน้าจอขนาดใหญ่ขึ้น iPad Mini ที่จอ 7.9 นิ้ว จะช่วยทำให้การเล่นเกมบนมือถือได้ประสบการณ์ที่ดีขึ้น เพราะมีจอใหญ่กว่าสมาร์ทโฟนทั่วๆไป ในขนาดตัวเครื่องที่ยังจับถนัดมืออยู่เวลาใช้งาน
นอกจากนี้ ด้วยการที่มากับชิปเซ็ต Apple Bionic A12 ยังทำให้ iPad Mini มีประสิทธิภาพในการประมวลผลไม่แตกต่างจาก iPhone XS ที่ถือเป็นระดับท็อปๆ ในเวลานี้รองรับ iPad Pro ทำให้การเล่นเกม โดยเฉพาะเกม AR ที่ต้องการประมวลผลสูงๆ ก็ไม่มีปัญหาใดๆ
ส่วนการใช้งานเว็บไซต์ เล่นโซเชียลมีเดีย หรือตรวจงานเอกสารต่างๆ iPad ทุกรุ่นสามารถตอบโจทย์ได้อยู่แล้ว เพราะเป็นดีไวซ์ที่เน้นการอ่านเป็นหลัก ดังนั้น ประสบการณ์ใช้งานเพื่อความบันเทิงต่างๆ ก็ได้ครบถ้วน
เสริมด้วย Apple Pencil
ก่อนหน้านี้ เราเพิ่งเห็น Apple ออก iPad ที่รองรับการใช้งาน Apple Pencil ออกมา พร้อมทำราคาให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ในระดับหมื่นต้นๆ จากเดิมอุปกรณ์ที่สามารถใช้ Apple Pencil ได้คือต้องเป็นระดับ iPad Pro เท่านั้น การขยายไลน์ออกมายัง iPad ธรรมดาก็ถือเป็นก้าวที่น่าสนใจ
พอมีการอัปเกรด iPad Mini และ iPad Air ก็เลยเพิ่มความสามารถให้ใช้งาน Apple Pencil ได้เช่นกัน ในขณะที่ iPad Pro ก็ได้รับการอัปเกรดก่อนหน้านี้ให้สามารถใช้งานคู่กับ Apple Pencil 2 ที่เพิ่มเรื่องการชาร์จไร้สายเข้ามา
ถ้าถามว่า Apple Pencil รุ่นแรก เพียงพอกับการใช้งานในเวลานี้ไหม ก็ต้องบอกว่า Apple Pencil ทุกรุ่นในเวลานี้ ถือเป็นปากกาที่นำมาใช้งานคู่กับแท็บเล็ตได้แม่นยำที่สุด ทั้งเรื่องการตอบสนองแรงกด และความง่ายในการจดบันทึก ที่ทำให้การใช้งาน iPad ทำได้หลากหลายมากขึ้น
การเชื่อมต่อ Apple Pencil คู่กับ iPad Mini ยังใช้วิธีการเดิมคือ ถอดปลอกที่ปลาย Apple Pencil ออกมาจะพบกับหัวต่อ Lightning ก็นำไปเสียบเข้ากับพอร์ต Lightning เพื่อเชื่อมต่อได้ทันที ผ่านการเชื่อมต่อบลูทูธ เฉพาะครั้งแรกเท่านั้น ส่วนการชาร์จแบตของ Pencil ก็จะมีข้อต่อมาให้ในกล่องใช้ชาร์จกับที่ชาร์จได้ตามปกติ
สรุป
หลังจากที่ Apple ไม่ได้ออก iPad Mini มาหลายปี เชื่อว่าแฟนๆ ที่ใช้งาน Mini เครื่องรุ่นแรก จะเป็นกลุ่มแรกๆ ที่เปลี่ยนมาเป็นรุ่นใหม่นี้ เพราะรู้ถึงประสิทธิภาพ และความสามารถอยู่แล้ว ส่วนถ้าเป็นกลุ่มผู้ใช้ใหม่ ก็ลองเลือกดูว่าต้องการแท็บเล็ตขนาดเล็กพกพาง่าย ก็เลือก Mini ถ้าต้องการจอใหญ่ขึ้นก็มีตัวเลือกอื่นๆในตระกูล iPad ให้ใช้
ทั้งนี้ iPad Mini วางจำหน่ายในราคาเริ่มต้นที่ 13,900 บาท สำหรับรุ่น WiFi 64 GB และ 18,900 บาท สำหรับ WiFi+Cellular 64 GB