Network – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Mon, 23 Jul 2018 02:25:37 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : Synology DiskStation DS718+ NAS ประสิทธิภาพสูงใช้ได้ทั้งในบ้านจนถึง SMEs https://cyberbiz.mgronline.com/review-synology-diskstation-ds718plus/ Mon, 23 Jul 2018 02:25:37 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=28811

ในยุคที่การใช้งานสมาร์ทโฟนกลายมาเป็นอุปกรณ์หลักในการจัดเก็บข้อมูลส่วนตัว เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะไม่ได้ทำการสำรองข้อมูลจากอุปกรณ์เหล่านี้ ไปเก็บไว้บนคอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่จะเลือกในการอัปโหลดขึ้นคลาวด์ไปเก็บไว้

ทำให้เมื่อสมาร์ทโฟนเกิดปัญหา หาย ต้องทำการเปลี่ยนเครื่อง ข้อมูลสำคัญอย่างรูปภาพหลายหมื่นรูปที่บันทึกไว้ก็จะหายไป รวมถึงไฟล์วิดีโอที่ถ่ายเก็บไว้ด้วย หรือในบางกรณีการเก็บไฟล์ไว้ในโน้ตบุ๊ก ก็มีโอกาสที่จะเกิดการสูญหายได้เช่นเดียวกัน

ทีมงาน Cyberbiz ที่ได้รับอุปกรณ์ NAS จาก Synology มาทดสอบ เลยลองนำมาใช้งานแบบง่ายๆ เพื่อใช้เป็นพื้นที่เก็บข้อมูลโดยเฉพาะ ที่ไม่จำเป็นต้องไปพึ่งพาบริการคลาวด์ในการฝากไฟล์ แค่ที่บ้านมีการต่อใช้งานอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ก็สามารถนำ DiskStation DS718+ มาใช้เป็นสตอเรจในการเก็บข้อมูลได้ทันที

ข้อดี

  • ติดตั้งใช้งานง่าย
  • มีแอปพลิเคชันให้เลือกใช้งานหลากหลาย
  • ใช้งานได้ทั้งเก็บไฟล์ภายในบ้าน ไปจนถึงเก็บข้อมูลธุรกิจ SMEs
  • รองรับการสตรีมวิดีโอระดับ 4K ภายในเครือข่าย

ข้อสังเกต

  • ราคาจำหน่ายค่อนข้างสูง
  • ต้องซื้อฮาร์ดดิสก์มาใส่เพิ่ม

ทำความรู้จัก Synology

ข้อมูลเบื้องต้นของ Synology  ถือเป็นแบรนด์ที่มีความเชียวชาญในการทำ NAS (Network-Attached Storage) หรือเรียกง่ายๆก็คือการใช้อุปกรณ์ตัวนี้เป็นพื้นที่ในการเก็บข้อมูลผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

โดยทาง Synology จะแบ่ง NAS ออกมาเป็นชื่อเฉพาะในกลุ่มสินค้า DiskStation ซึ่งก็จะมีรุ่นย่อยแบ่งออกไปทั้ง J ซีรีส์ ที่เหมาะกับการใช้เป็นพื้นที่เก็บข้อมูลส่วนบุคคล Value ซีรีส์ ที่เหมาะกับวิศวกรที่ต้องการประสิทธิภาพในการประมวยผลเพิ่มเติม มีการเข้ารหัสไฟล์ต่างๆ

ตามมาด้วยรุ่น Plus ที่เพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลเพิ่มเข้าไปอีก และรองรับการเพิ่มจำนวนฮาร์ดดิสก์ในการเก็บข้อมูล ไปจนถึงซีรีส์ FS & XS ที่เหมาะกับการนำไปใช้งานคู่กับเซิร์ฟเวอร์ในการทำเวอร์ชวลไลเซชันระดับสูง

เพียงแต่จุดเด่นหลักของ Synology ไม่ใช่แค่การซื้ออุปกรณ์มาทำเป็นแค่พื้นที่เก็บข้อมูลเท่านั้น แต่ยังมีชุดโปรแกรม (Package) ให้ผู้ใช้เลือกติดตั้งไว้ภายในอุปกรณ์ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งานได้หลากหลายตั้งแต่การใช้งานภายในบ้านไปจนถึงธุรกิจ SMEs

พอร์ต และการเชื่อมต่อต่างๆ

ตัวกล่อง DS718+ ด้านหน้าจะมีช่องใส่ฮาร์ดดิสก์ มาให้ 2 ถาด พร้อมกุญแจล็อก โดยข้างๆจะมีไฟแสดงสถานะการทำงานอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานตัวเครื่อง การเชื่อมต่อสาย LAN ถัดลงมาเป็นปุ่มรีสตาร์ทเครื่อง พอร์ต USB 3.0 และปุ่มเปิดเครื่อง

ด้านหลัง พื้นที่หลักๆเลยจะเป็นพัดลมขนาดใหญ่ไว้ใช้ระบายอากาศ ตามมาด้วยพอร์ต LAN 1 Gbps 2 พอร์ต ช่องเสียบอะเดปเตอร์ไฟ และยังมีพอร์ต USB 3.0 สำหรับเชื่อมต่อ External HD อีก 2 พอร์ต และ eSATA ไว้เชื่อมต่อกับฮาร์ดดิสก์ เพิ่มเติม

ภายในจะมีแผงวงจร และเป็นที่อยู่ของหน่วยประมวลผลทางด้านขวา ลึกเข้าไปจะเห้นพัดลม และพอร์ตต่อฮาร์ดดิสก์อยู่ โดยตัวเครื่องจะมากับหน่วยประมวลผล Intel Celeron J3455 Quad Core 1.5 ที่เร่งความเร็วได้ถึง 2.3 GHz RAM 2 GB

ขนาดโดยรวมอยู่ที่ 157 x 103.5 x 232 มิลลิเมตร นำ้หนัก 1.74 กิโลกรัม

เปิดเครื่องติดตั้งใช้งาน

ในการนำมาใช้งานเบื้องต้น ถ้าเป็นผู้ที่ไม่มีความรู้พื้นฐานทางด้านไอทีอาจจะต้องอาศัยการอ่านคู่มือประกอบ ในการทำตามขั้นตอนต่างๆเล็กน้อย อย่างตัว DiskStation DS718+ ที่ได้มาทดสอบ ทีมงานเริ่มจากการแกะกล่องออกมา

นำฮาร์ดดิสก์ขนาด 3.5” ติดตั้งเข้าไปในช่องใส่ (สามารถเลือกใส่ได้ทั้งขนาด 2.5” และ 3.5”) โดยในรุ่นนี้จะรองรับการใส่ฮาร์ดดิสก์ได้ 2 ลูกพร้อมกัน และยังสามารถเลือกได้ว่าจะใช้ทั้ง 2 ลูกเป็นพื้นที่เก็บข้อมูลทั้งหมด หรือจะใช้เป็นฮาร์ดดิสก์สำรองในการเก็บข้อมูลไปพร้อมๆกัน

หลังจากนั้น นำ DiskStation DS718+ เชื่อมต่อเข้ากับอะเดปเตอร์เสียบสาย Lan เข้าที่หลังเครื่อง (รองรับ Gigabit Lan) กดปุ่มเปิดเครื่อง ในคอมพิวเตอร์ หรือจะใช้ผ่านสมาร์ทโฟนก็ได้ เข้าไปตั้งค่าตัวเครื่องผ่าน URL find.synology.com หรือ diskstation:5000

เมื่อใส่ URL เข้าไปเรียบร้อยที่หน้าเว็บก็จะขึ้นหน้าแสดงรายละเอียดชื่อโมเดลที่ใช้งาน ไอพีที่ใช้ Mac Address และสถานะการทำงาน ที่ตอนนี้จะขึ้นว่ายังไม่ได้ติดตั้งอยู่ขึ้นมา เมื่อกดเชื่อมต่อ (Connect) ก็จะเข้าสู่หน้าจอการติดตั้ง เริ่มจากการลง Disk Station Manager (DSM) ที่เป็นเหมือนระบบพื้นฐานในการทำงานของ DiskStation รุ่นนี้

ถัดมาก็จะขึ้นหน้าจอมาให้ตั้งชื่อเซิร์ฟเวอร์ ไอดี พาสเวิร์ดไว้เข้าไปตั้งค่าต่างๆ โดยความพิเศษของ Synology ก็คือชื่อเซิร์ฟเวอร์ดังกล่าวจะถูกนำไปใช้งาน ในการเชื่อมต่อระยะไกล (Remote Server) ผ่านอินเทอร์เน็ตได้แม้อยู่นอกบ้านด้วย ผ่าน url อย่าง xxxxx.quickconnect.to ในกรณีที่ไม่ซ้ำกับชื่อที่คนอื่นตั้ง

เมื่อติดตั้งแล้วเสร็จก็จะเข้าสู่หน้าควบคุมการทำงานของ DiskStation ที่ผู้ใช้สามารถเข้าไปตั้งค่าต่างๆผ่าน Control Panel เข้าไปติดตั้งโปรแกรมเพิ่มเติมผ่าน Package Center หรือต้องการใช้งานเป็นพื้นที่เก็บข้อมูลเพียงอย่างเดียวก็เปิด File Station ขึ้นมาสร้างโฟลเดอร์ กำหนดสิทธิ์ในการใช้งานได้เลย

ใช้งานหลากหลาย ตั้งแต่เก็บไฟล์ จนถึงใช้ทำงานร่วมกันในออฟฟิศ

ด้วยความที่ Synology เน้นการทำงานในส่วนขององค์กรธุรกิจด้วย ทำให้ภายใน Package Center จะมีแอปที่รองรับการใช้งานให้เลือกใช้หลากหลายประเภท ตั้งแต่การตั้งให้ตัวฮาร์ดดิสก์เป็นเฉพาะพื้นที่เก็บข้อมูล

โดยสามารถเลือกว่าจะใช้การเข้าถึงไฟล์ และโฟลเดอร์ต่างๆผ่าน File Station ไปจนถึงการลงแอปสำหรับสำรองรูปภาพ ที่สามารถติดตั้งแอปคู่ขนานบนสมาร์ทโฟน เพื่อทำการล็อกอินและให้ตัวเครื่องทำการอัปโหลดรูปมาเก็บไว้อัตโนมัติ

อีกส่วนที่น่าสนใจคือ โปรแกรมที่ใช้ในการตรวจ และแก้ไขไฟล์เอกสารต่างๆ ที่อยู่บนพื้นฐานของ Open Office ดังนั้น ถ้าติดตั้งใช้งานใน SMEs ก็ช่วยให้สามารถทำงานร่วมกันได้หลายๆคนใน 1 ไฟล์ เพื่อให้เกิดการ Collaborate ในการทำงานมากที่สุด

นอกจากนี้ ถ้าเป็นผู้ที่เชียวชาญในแง่ของการติดตั้งระบบ ก็จะมี App Package ให้เลือกติดตั้งอีกหลากหลาย ตั้งแต่ระดับพื้นฐานไปจนถึงระดับมืออาชีพ ซึ่งในจุดนี้แนะนำให้ลองศึกษาจากวิดีโอคู่มือเพิ่มเติมได้

ราคาสูง แต่คุ้มในระยะยาว

ประเด็นสำคัญของผลิตภัณฑ์จาก Synology ที่ต้องคำนึงถึงคือในเรื่องของระดับราคา เนื่องจากถ้าเป็นธุรกิจ SMEs ถือว่าเป็นการลงทุนในการสร้างสตอเรจเก็บข้อมูลภายในเครือข่าย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเมื่อทำก็ต้องใช้ในการปกป้องข้อมูลได้ด้วย ซึ่งในจุดนี้ Synology ก็จะมีโซลูชันต่างๆที่รองรับ

ถัดมาถ้ามองในแง่ของการใช้งานในบ้านทั่วๆไป ระดับราคาของ Synology จะสูงกว่าแบรนด์อื่นๆ สักหน่อยแต่ก้แลกมากับระบบการใช้งานที่หลากหลาย มีอินเตอร์เฟสที่ใช้งานง่าย ช่วยให้ผู้ที่ไม่มีความรู้พื้นฐานก็สามารถใช้งานได้

เบื้องต้น ราคาจำหน่ายของ Synology DiskStation DS718+ แบบไม่รวมฮาร์ดดิสก์จะอยู่ที่ 16,900 บาท ซึ่งถ้ามองว่าราคาสูงเกินไปสำหรับนำมาใช้ภายในบ้าน ก็จะมีรุ่นที่เล็กลงมาอย่าง DS218+ ในราคาเริ่มต้น 12,900 ที่ปรับสเปกภายในลงมานิดหน่อย

Gallery

]]>
Review : WD My Cloud Home สตอเรจใช้ในบ้าน จับคนยุคใหม่ที่เน้นอุปกรณ์พกพา https://cyberbiz.mgronline.com/review-wd-my-cloud-home/ Tue, 06 Mar 2018 08:28:06 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=28141

เมื่ออุปกรณ์พกพาอย่างสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต รวมถึงโน้ตบุ๊ก เข้ามาเป็นอุปกรณ์หลักที่ใช้งานในชีวิตประจำวัน ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้มีโอกาสที่จะเสีย หาย หรือถูกขโมยได้ ดังนั้นผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์อย่าง WD จึงมองถึงความจำเป็นในการสำรองข้อมูลสำหรับผู้บริโภคทั่วไป

ทำให้ WD เริ่มมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ในตระกู NAS ขนาดเล็ก หรือสตอเรจขนาดที่ใช้งานภายในบ้านออกมาให้ผู้บริโภคได้ใช้ พร้อมชูจุดเด่นในเรื่องของความง่ายในการใช้งาน จาก WD My Cloud และ WD My Cloud Mirror ล่าสุด WD ได้อัปเดตไลน์สินค้านี้ด้วย My Cloud Home เพื่อมาใช้งานในบ้านได้สะดวกขึ้น

การออกแบบ

สิ่งหนึ่งทีพัฒนาขึ้นมาเลยคือเรื่องของการออกแบบ My Cloud Home ให้มีดีไซน์ที่ทันสมัยมากขึ้น เมื่อดูเผินๆก็จะเหมือนเครื่องประดับชิ้นหนึ่ง โดยมีขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 53 x 140 x 175.5 มิลลิเมตร น้ำหนักราว 960 กรัม

โดยจะมาในรูปแบบของสีทูโทน ที่ส่วนบนจะเป็นพลาสติกเคลือบเงาสีขาวใส ซึ่งมีการสกรีนสัญลักษณ์ WD อยู่ตรงกึ่งกลาง ส่วนล่างเป็นพลาสติกที่มีลวดลายเฉพาะสีเทา ที่จะมีไฟ LED สีขาว เพื่อแสดงสถานะการใช้งานต่างๆอยู่ตรงกลางระหว่าง 2 ชั้น

ด้านหลังเครื่องจะเป็นที่อยู่ของพอร์ตต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ช่องเสียบสาย USB 3.0 พอร์ต LAN แบบ Gigabit Ethernet  และช่องเสียบอะเดปเตอร์ ซึ่งจะมีปุ่มรีเซ็ต (Reset) เครื่องซ่อนอยู่ในจุดเล็กๆ บริเวณส่วนบนของพอร์ต USB ด้วย

ที่เหลือก็จะมีการสกรีนชื่อรุ่น และเว็บไซต์ในการเข้าใช้งานไว้ตรงส่วนขาวๆด้านบน ส่วนล่างเครื่องก็จะมีรูระบายอากาศ ที่เมื่อส่องเข้าไปภายในก็จะเห็นฮาร์ดดิสก์ขนาด 3.5 นิ้วอยู่ภายใน พร้อมแผนวงจรต่างๆด้วย

สเปก

สำหรับสเปกของ My Cloud Home จะมีให้เลือกตั้งแต่ ขนาด 2 TB ไปจนถึง 8 TB และยังมีอีกรุ่นคือ My Cloud Duo ที่เริ่มตั้งแต่ 4 TB ไปจนถึง 20 TB ซึ่งจะเป็นการเก็บข้อมูลแบบ Raid เพื่อสำรองข้อมูลลคู่กันไป ทั้งนี้ ในการใช้งานต้องเชื่อมต่อกับเราเตอร์ผ่านสาย LAN และเปิดใช้งานทิ้งไว้ เพื่อให้เชื่อมต่อจากอินเทอร์เน็ตได้ทันที

ในแง่ของการทำงานรองรับการเชื่อมต่อกับระบบปฏิบัติการวินโดวส์ ตั้งแต่ 7 8.1 และ 10 ส่วน Mac OS X ตั้งแต่ Yosemite El Capitan และ Sierra ส่วนอุปกรณ์พกพา จะรองรับ iOS 9 ขึ้นไป และ Android 4.4 ขึ้นไป

ฟีเจอร์เด่น

หนึ่งในจุดสำคัญของ My Cloud Home คือความง่ายในการใช้งาน โดยผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องนำคอมพิวเตอร์มาเชื่อมต่อในการตั้งค่า แต่ใช้การตั้งค่าผ่านสมาร์ทโฟนได้ทันที โดยเริ่มจากเข้าไปในเว็บไซต์ https://home.mycloud.com เพื่อสร้างบัญชีผู้ใช้ขึ้นมา ตัวระบบจะตรวจจับ My Cloud Home ที่อยู่ภายในเครือข่ายเดียวกันแบบอัตโนมัติ เพื่อเลือกเชื่อมต่อ

หลังจากนั้น เข้าไปดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน My Cloud Home ทั้งจากใน iOS หรือ Android มาล็อกอินเพื่อเข้าไปใช้งานได้ทันที หรือในกรณีที่ต้องการใช้งานผ่านคอมพิวเตอร์ ก็สามารถติดตั้ง WD Discovery เพื่อเชื่อมต่อใช้งานได้เหมือนกัน

เมื่อตั้งค่าครั้งแรกเสร็จเรียบร้อย ผู้ใช้ก็สามารถเข้าถึง ไฟล์ ผ่านแอปบนสมาร์ทโฟน เพื่อจัดเก็บข้อมูลต่างๆได้ทันที หรือถ้าใช้งานในคอมพิวเตอร์ก็จะเหมือนมีฮาร์ดดิสก์ที่เชื่อมต่อระบบเพิ่มเข้ามาอีกลูกหนึ่ง ดังนั้นการใช้งานจึงค่อนข้างสะดวก และไม่ซับซ้อน

ที่สำคัญแม้ว่าเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต จากนอกบ้าน ก็สามารถเข้าถึงไฟล์ที่เก็บไว้ได้ โดยไม่มีข้อจำกัด ดังนั้นถ้าเป็นไฟล์เอกสาร รูปภาพ หรือวิดีโอ สำคัญๆ ถ้าต้องการใช้งานด่วนก็สามารถเลือกเก็บไฟล์ไว้ใน My Cloud Home และล็อกอินเข้ามาดาวน์โหลดได้ทันที

อีกฟีเจอร์ที่น่าสนใจคือระบบการสำรองข้อมูลอัตโนมัติจากมือถือ โดยเฉพาะการเก็บไฟล์ภาพ และวิดีดอจากเครื่องอัตโนมัติเมื่อเชื่อมต่อกับ WiFi ซึ่งเมื่อตั้งค่าเสร็จแล้ว ระบบจะทำการสร้างโฟลเดอร์ขึ้นมาเก็บรูปภาพสำรองสำหรับมือถือเครื่องนั้นๆแบบอัตโนมัติทันที

ประโยชน์อื่นๆของ My Cloud Home ก็จะมีอย่างการที่สามารถติดตั้งส่วนเสริม Extention ในการแปลง My Cloud Home เป็นมีเดีย เซิร์ฟเวอร์ใช้งานภายในบ้าน ของ Plex การดาวน์โหดลข้อมูลจาก Cloud หรือ Social Account มาเก็บสำรองไว้แบบอัตโนมัติ รวมถึงการสำรองข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ก็ทำได้เช่นเดียวกัน

สรุป

รวมๆแล้ว My Cloud Home จะเข้ามาตอบโจทย์ผู้ที่ชื่นชอบความสะดวกในการสำรองข้อมูล โดยเฉพาะพวกไฟล์ รูปภาพ และวิดีโอ จากอุปกรณ์พกพาต่างๆ เพราะจากไลฟ์สไตล์ในปัจจุบันที่ใช้งานสมาร์ทโฟนในการบันทึกภาพเหตุการณ์ต่างๆไว้ อย่างน้อยก็อุ่นใจได้ว่ามีการเก็บไฟล์สำรองอยู่ที่บ้านตลอดเวลา

ขณะเดียวกันยังเหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการทำมีเดียสตรีมมิ่งภายในบ้าน อย่างการนำไฟล์วิดีโอความละเอียดสูงมาสตรีม ออกไปยังสมาร์ททีวี หรือเครื่องเล่นยุคใหม่ๆอย่างพวกกล่องแอนดรอยด์ หรือ Apple TV ก็สามารถทำได้ เพียงแต่ด้วยราคาที่ค่อนข้างสูง ก็อาจะทำให้ตั้งคำถามด้วยว่าซื้อมาแล้วจะใช้งานได้คุ้มค่าหรือไม่

นอกจากการใช้งานในครอบครัว กลุ่มองค์กรธุรกิจขนาดเล็ก ก็สามารถประยุกต์ใช้ My Cloud Home เข้ามาช่วยในการเก็บข้อมูลของบริษัท เพื่อให้พนักงานสามารถเข้าถึงข้อมูลได้สะดวก เมื่อทำงานจากนอกออฟฟิศ ซึ่งก็ถือว่าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ธุรกิจได้

ทั้งนี้รุ่น และราคาที่วางจำหน่าย My Cloud Home และ My Cloud Home Duo พร้อมรับประกันเป็นระยะเวลา 2 ปี ประกอบด้วย

My Cloud Home
– ขนาด 2 เทราไบต์ ราคา 5,190 บาท
– ขนาด 3 เทราไบต์ ราคา 5,990 บาท
– ขนาด 4 เทราไบต์ ราคา6,990 บาท
– ขนาด 6 เทราไบต์ ราคา 9,590 บาท
 ขนาด 8 เทราไบต์ ราคา 11,900 บาท

My Cloud Home Duo
– ขนาด 4 เทราไบต์ ราคา 10,500 บาท
– ขนาด 6 เทราไบต์ ราคา 12,900 บาท
– ขนาดเทราไบต์ ราคา 15,500 บาท
– ขนาด 12 เทราไบต์ ราคา20,500 บาท
– ขนาด 16 เทราไบต์ ราคา 25,900 บาท
– ขนาด 20 เทราไบต์ ราคา 29,900 บาท

Gallery

]]>
Review : D-Link DIR-895L อัลตร้าเราเตอร์ มาตรฐาน AC5300 https://cyberbiz.mgronline.com/review-dlink-dir-895l/ Sat, 10 Dec 2016 08:16:00 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=24616

001

เราเตอร์กลายเป็นสิ่งที่จำเป็นมากขึ้น เมื่ออุปกรณ์ไอทีในบ้านเริ่มต้องการเครือข่ายที่ใช้งานได้จริง เพราะนอกจากจะต้องมีความเร็วและระยะการกระจายสัญญาณที่รับได้กับกิจกรรมที่เกิดขึ้นของคนทั้งบ้านแล้ว ยังต้องรองรับจำนวนของอุปกรณ์ที่ถูกใช้งานพร้อมกันในบ้านได้อย่างไม่มีสะดุด แน่นอนว่าคำตอบของเราเตอร์ที่รองรับได้เช่นนั้น ไม่เกิดขึ้นกับเราเตอร์ที่แถมมากับสัญญาณอินเทอร์เน็ตจากผู้ให้บริการอย่างแน่นอน เราลองมาดูเราเตอร์ขนาดใหญ่ที่สามารถลองรับการใช้งานได้ครอบคลุมความต้องการแบบทั่วพื้นที่กับ D-Link DIR-895L ซึ่งทำงานบนมาตรฐาน AC 5300 กัน

D-Link DIR-895L ถูกแบบมาให้ใช้งานภายในบ้านเป็นหลัก แม้ว่าตัวเครื่องจะมาพร้อมเทคโนโลยีชั้นสูงและขนาดที่ใหญ่ พร้อมการออกแบบที่สุดอลังการด้วยเสา 8 ต้น นั่นเพราะทางดีลิงค์มองว่า อุปกรณ์ภายในบ้านจะต้องการประสิทธิภาพการเชื่อมต่อที่ดีไต่างจากองค์กร เพราะท้ายที่สุดแล้วการเชื่อมต่อเน็ตเวิร์กเพื่อให้อุปกรณ์ที่มีทั้งหมดภายในบ้านทำงานได้อย่างเต็มความสามารถ ย่อมหมายถึงความสุขที่ไม่ติดขัดของผู้อยู่อาศัยด้วยเช่นกัน

การออกแบบ

002

D-Link DIR-895L มาพร้อมรูปลักษณ์สุดอลังการของสีแดงสด รูปร่างสามเหลี่ยมที่ทำให้นึกถึงยานบิน โดยขนาดของเครื่องถือว่าใหญ่พอตัว แถมยังมีเสาทั้ง 8 ตำแหน่งที่จำกัดให้การวางเครื่องที่เหมาะสมมีอยู่ด้านเดียวเท่านั้นนั่น ซึ่งทำให้การหาตำแหน่งวางเครื่องอาจจะดูลำบากสำหรับบ้านไปสักหน่อย ซึ่งโดยเทคนิคแล้วตำแหน่งการวางเครื่องมีผลต่อประสิทธิภาพของการจ่ายสัญญาณด้วยเช่นกัน

003

ด้านหน้า – จะเห็นเหลี่ยมของเครื่องสีแดงสดสโลปลงด้านข้างซ้ายและขวา มีแถบไปแสดงสถานะตรงกลาง บนพื้นสีบรอนซ์ที่เป็นเส้นแนวยาวตรงขึ้นด้านบน ขณะที่เยื้องไปทางด้านหลังจะเห็นช่องระบายความร้อนแบบรวงผื้งสีแดงแบบเดียวกัน พร้อมตราสัญลักษณ์ D-Link อยู่ตรงกลางโดดเด่น

004

ด้านหลัง – เป็นแถบช่องต่อสัญญาณต่าง โดยมีพอร์ตยูเอสบี2.0 และ 3.0 ให้อย่างละช่อง ถัดมาเป็นปุ่มรีเซ็ตที่จะต้องใช้เหล็กปลายแหลมจิ้มลงไปไป และปุ่ม WPS ที่ช่วยให้การเชื่อมต่อง่ายขึ้นอยู่ด้านข้าง ถัดไปเป็บแถบช่องต่อแลนทั้งหมด 4 ช่องเรียงจากขวามาซ้าย และช่องอินเทอร์เน็ต สำหรับการต่อสัญญาณเข้าโดยจะเห็นความแตกต่างของช่องนี้ว่าเป็นสีเหลือง ถัดมาเป็นปุ่มพาวเวอร์เปิดปิด และช่องต่อไฟ DC และสุดท้ายเป็นสวิตซ์สำหรับสลับการใช้งานของเครื่องระหว่างเราเตอร์และเอ็กซ์เทนเดอร์นั่นเอง

005

ด้านล่าง – มีช่องระบายอากาศเป็นร่องตลอดทั้งผืน ทำด้วยวัสดุพลาสติกเป็นสีดำด้าน โดยมีช่องสำหรับแขวนผนังอยู่สองตำแหน่ง พร้อมสติ๊กเกอร์บอกรายละเอียดรุ่นและสเปกเครื่องโดยประมาณ

006

ด้านซ้ายและขวา – จะมีช่องต่อเสาสัญญาณแบบถอดได้ขนาดใหญ่อยู่ด้านละ 4 เสา ซึ่งเสาที่สี่จะอ้อมไปทางด้านหลังอย่างละข้าง โดยลักษณะของเสาเป็นแบบพับงอได้บริเวณขั้วเสา ตัวเสามีลักษณะแบนเล็กน้อยเป็นสีเทาและปลายเสามีสีดำ ทุกเสามีตราสัญลักษณ์ D-Link สีดำอยู่ 1 ด้าน

สเปก

007

ประมวลผลด้วยชิปเซ็ต Broadcom BCM47094 1.4 GHz พร้อมเสาอากาศ 8 เสา สามารถปล่อยสัญญาณได้พร้อมกันถึง 3 ความถี่ โดยแบ่งเป็น 2 ย่านความถี่ 5 GHz ด้วยความเร็วของการส่งตามทฤษฎีอยู่ที่ย่านละ 2,165 Mbps และย่านความถี่ 2.4 GHz ได้อีก 1 ย่านด้วยความเร็ว 1,000 Mbps ทำให้ได้ความเร็วทั้ง 3 ย่านรวม 5,300 Mbps สามารถกระจายสัญญาณตามทฤษฏีได้ครอบคลุม 500 ตารางเมตร มาพร้อมเทคโนโลยี MU-MIMO (Multiple Users-Multiple Input/Multiple Output) ช่วยให้การรับส่งข้อมูลของอุปกรณ์หลายๆอย่างทำงานได้พร้อมกันอย่างไม่มีสะดุด รองรับ VPN Server แบบ L2TP over IPSec มีขนาดกว้าง 387 มม. ยาว 247.3 มม.และสูง 119.5 มม. น้ำหนักโดยรวม 1 กก.

ฟีเจอร์เด่น

008

Smart Connect ช่วยให้การเชื่อมต่อง่ายขึ้น โดยระบบจะเลือกย่านความถี่ที่เหมาะสมให้แบบอัตโนมัติ ช่วยให้การทำงานของทุกอุปกรณ์รับส่งข้อมูลได้อย่างลื่นไหล ทั้งนี้ตัวเครื่อง D-Link DIR-895L นั้นรองรับการปล่อยสัญญาณ 3 ย่านความถี่พร้อมกัน ดังรายละเอียดที่กล่าวไปแล้วก่อนหน้า ดังนั้นเทคโนโลยีในการเลือกย่านความถี่ที่เหมาะสมอย่าง Smart Connect จึงเข้ามาช่วยจัดสรรการทำงานของแต่ละอุปกรณ์นั่นเอง

009

ระบบ D-Link Cloud ช่วยให้สามารถเชื่อมต่อเราเตอร์ในบ้านเพื่อจัดการได้ทุกที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตามผ่านอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อระบบ โดยสามารถปรับตั้งค่าการเชื่อมต่อ ตรวจสอบการเชื่อมต่อของเราเตอร์ หรือปิดกั้นการใช้งานจากบุคคลไม่พึงประสงค์ และแม้กระทั่งการควบคุมเนื้อหาการใช้งานของอุปกรณ์ผ่านเราเตอร์ได้อย่างไม่สะดวก

010

Mydlink Shareport ช่วยให้การเชื่อมอุปกรณ์จัดเก็บข้อมผ่านช่อง USB 3.0 และ USB 2.0 ทำให้การแชร์ภาพยนตร์ เอกสาร รูปภาพและเพลง ไปยังทุกอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออยู่ภายในเราเตอร์นี้ได้อย่างรวดเร็ว

011

QRS (Quick Router Setup) ช่วยให้การติดตั้งผ่านสมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ต ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที เพราะเพียงแค่เสียบเราเตอร์ แล้วเปิดแอปพลิเคชั่นและทำตามเพียงไม่กี่ขั้นตอนก็สามารถเชื่อมต่อเน็ตเวิร์คเข้ากับเราเตอร์ D-Link DIR-895L โดยที่ไม่ต้องแตะต้องคอมพิวเตอร์เลย แถมยังสามารถตั้งค่าความปลอดภัยผ่านปุ่ม Wifi- Protected ภายในแอปได้อีกด้วย

012

MU-MIMO (Multiple Users-Multiple Input/Multiple Output) รองรับการทำงานได้ถึง 4 อุปกรณ์พร้อมกันได้อย่างดีเยี่ยม โดยระบบจะทำการปล่อยสัญญาณแยกระหว่างอุปกรณ์แต่ละตัว ทำให้ความเร็วของการใช้งานไม่ลดค่าความเร็วเฉลี่ยลง

013

Guest zone ช่วยเพิ่มลูกเล่นของการจัดการเครือข่ายให้แขกผู้มาเยือนได้แยกใช้ได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น โดยสามารถเลือกช่องทางการตอบรับในกรณีที่ใช้งานในร้านอาหาร ให้กดถูกใจแฟนเพจก่อนเข้าใช้งานก็ได้ โดยสามาถกำหนดรูปแบบและจำกัดความเร็วของการเข้าใช้งานได้ตามที่ต้องการ

ทดสอบประสิทธิภาพ

014

การทดลองติดตั้งทำได้ง่ายดาย โดยหลังจากต่อสายเรียบร้อย สามารถติดตั้งได้ผ่าน Wizard ภายใน 3 ขั้นตอนเท่านั้น นับว่าสะดวกกับมือใหม่เป็นอย่างมาก แต่ก็ต้องบอกก่อนว่านี่เป็นการตั้งค่าพื้นฐาน หากต้องการเลือกแบ่งโซนการทำงาน หรือการตั้งค่าขั้นสูง อาจจะต้องยุ่งยากในการติดตั้งเพิ่มขึ้น แต่โดยรวมมีทางลัดเพื่อการตั้งค่าใช้งานปกติครับ

015

การทดสอบสัญญาณเป็นที่น่าพอใจ โดยในระยะทำการไม่เกิน 3 เมตรสามารถทำความเร็วในการดาวน์โหลดได้สูงสุด 92.15 Mbps และอัปโหลดเร็วสูงสุด 42.74 Mbps สามารถเปิดไฟล์วิดีโอ 4K ได้ลื่นไหลไม่สะดุด ขณะที่การเชื่อมต่อจากชั้นล่างนอกอาคาร โดยเราเตอร์ตั้งอยู่ในห้องชั้น 2 สามารถรับส่งสัญญาณได้ เปิดวิดีโอยูทูปได้ปกติ แต่สังเกตความเร็วน้อยลงตามระยะทาง ซึ่งน่าจะเกิดจากความสามารถที่จำกัดของตัวอุปกรณ์แท็บเล็ตที่ใช้ นอกจากนี้ประสิทธิภาพของการเชื่อมต่อยังถือว่าต่อเนื่อง

016

ขณะที่การทดสอบด้วยโปรแกรม Wifi-Test ได้ผลทดสอบอยู่ในระดับ Great มีความเร็วประมาณการอยู่ที่ 544 Mbps ของการส่งสัญญาณไวไฟ

สรุป

D-Link DIR-895L นับว่าเป็นเราเตอร์ประสิทธิภาพสูง ซึ่งแม้ว่าอาจจะดูดีเกินกว่าจะใช้ในบ้านสักหน่อย แถมราคาที่เปิดตัวก็อยู่ที่ราว 9,500 บาท แต่กระนั้น เมื่อเทียบกับประสิทธิภาพที่จะได้รับแล้วนับว่าคุ้มค่าคุ้มค่าราคาจริงๆ หากไม่กังวลเรื่องงบประมาณแล้วจะรู้ว่า ไวไฟที่ดีใช้แล้วไม่สะดุดเป็นอย่างไร แถมมีประสิทธิภาพของสัญญาณที่ดีครอบคลุมทั้งบ้าน หากติดตั้งในตำแหน่งที่ดีและเหมาะสม งานนี้จึงนับว่าโดยรวมของการใช้งานอยู่ในเกณฑ์ดีมากครับ

ข้อดี

  • ประสิทธิภาพของการทำงานลื่นไหล
  • แบ่งสัญญาณ 3 ย่านความถี่พร้อมกันได้ บนมาตรฐาน AC5300
  • รองรับการสร้างกดถูกใจแฟนเพจ สำหรับร้านค้า
  • รัศมีสัญญาณครอบคลุมที่มากขึ้น

ข้อสังเกต

ตัวเครื่องมีขนาดใหญ่ โดดเด่นจนเกินไปทำให้อาจจะหาที่วางลำบาก ไม่หลบสายตา

Gallery

]]>