Notebooks – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Tue, 13 Jul 2021 07:47:59 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : MSI Summit E13 Flip Evo โน้ตบุ๊กธุรกิจ ดีไซน์พรีเมียม https://cyberbiz.mgronline.com/review-msi-summit-e13-flip-evo/ Tue, 06 Jul 2021 03:03:31 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35512

หลังจาก MSI นำเสนอ Summit B15/E15 ไปก่อนหน้านี้ ในกลุ่มของโน้ตบุ๊กองค์กรธุรกิจใช้งานทั่วไป ล่าสุด MSI ได้เพิ่มไลน์สินค้าให้ครอบคลุมกลุ่มธุรกิจ ด้วยการแนะนำ MSI Summit E13 Flip Evo ที่เน้นความเป็นพรีเมียมและใช้งานได้อเนกประสงค์มากขึ้น

จุดเด่นของ MSI Summit E13 Flip Evo คือเป็นโน้ตบุ๊กแบบ 2-1 ที่สามารถพับหน้าจอใช้งานได้ 4 รูปแบบ รองรับการสัมผัส รวมถึงใช้งานควบคู่กับ MSI Pen ในดีไซน์ที่มีรูปแบบเฉพาะตัวจากสีดำ ตัดขอบสีทอง มาพร้อมกับ Windows 10 Pro ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยสูงให้ใช้งาน

สเปกภายในมีให้เลือกทั้งรุ่นที่มากับ 11th Gen Intel Core i5 1135G7 และ Core i7 1185G7 RAM 16/32 GB SSD 512/1 TB ผ่านมาตรฐาน Intel EVO เรียบร้อย วางจำหน่ายในราคา 46,990 – 51,990 บาท

ข้อดี

  • โน้ตบุ๊กองค์กรระดับพรีเมียม ดีไซน์มีเอกลักษณ์ของ MSI
  • ผ่านมาตรฐาน Intel EVO รองรับการอัปเกรดเป็น Windows 11 ในอนาคต
  • ใช้งานได้หลายรูปแบบ จอสัมผัส รองรับ MSI Pen
  • แบตเตอรี ใช้งานต่อเนื่องได้ตลอดวัน

ข้อสังเกต

  • ตัวเครื่องค่อนข้างร้อน เวลาประมวลผลหนักๆ
  • ผิวสัมผัสตัวเครื่องสีดำด้าน แต่เป็นรอยนิ้วมือค่อนข้างง่าย
  • กล้องเว็บแคมยังเป็น 720p

ดีไซน์มีเอกลักษณ์

โน้ตบุ๊กในตระกูล Summit ของ MSI จะถูกออกแบบมาให้มีความเป็นธุรกิจสูง เน้นการใช้สีที่ดูสุขุม แฝงด้วยความกระฉับกระเฉง โดยใน Summit E13 Flip Evo ได้มีการนำสัดส่วนทองคำ หรือ Golden Ratio 1/1.618 มาปรับใช้ในหลายๆ ส่วน

เริ่มตั้งแต่การออกแบบโลโก้ของ MSI แบบใหม่ที่ใช้สัดส่วน Golden Ration อยู่แล้ว ตามด้วยสัดส่วนหน้าจอแบบ 16:10 ที่ใกล้เคียงกับ Golden Ration มากที่สุด พร้อมกระบวนการขึ้นรูปโครงเครื่อง และขัดเงาด้วย CNC ให้ความละเอียดสูงทำให้ตัวเครื่องสมบูรณ์แบบมากที่สุด

สำหรับขนาดตัวเครื่องของ MSI Summit E13 Flip Evo จะอยู่ที่ 300.2 x 222.2 x 14.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 1.35 กิโลกรัม วางจำหน่ายในประเทศไทยเฉพาะสีดำ Ink Black ที่เป็นตัวเครื่องดำ ตัดกับขอบเครื่องสีทองเท่านั้น

หน้าจอเครื่องมากับขนาด 13.4 นิ้ว ความละเอียด FullHD IPS รองรับอัตราการแสดงผลที่ 60 Hz ใช้งานคู่กับ MSI Pen เพื่อจดบันทึก วาดเขียนข้อมูลต่างๆ ได้ที่ระดับความแม่นยำ 4,096 ระดับ

ที่น่าสนใจคือขอบเครื่องที่ที่ค่อนข้างบาง ส่งผลให้พื้นที่หน้าจอทั้งหมดถูกใช้งานได้อย่างน่าสนใจ ด้านบนหน้าจอจะมีทั้งกล้องเว็บแคมความละเอียด 720p มาให้ ซึ่งเป็นกล้องแบบอินฟาเรด ใช้งานร่วมกับ Windows Hello ในการปลดล็อกด้วยใบหน้าได้

ถัดลงมาในส่วนของคีย์บอร์ด MSI Summit E13 Flip Evo มากับคีย์บอร์ดขนาดมาตรฐาน โดยมีระยะปุ่มกดอยู่ที่ 1.5 มิลลิเมตร มีปุ่มลัดสำหรับสั่งงานต่างๆ ให้ครบถ้วน ส่วนแทร็กแพดที่ให้มารับสัมผัสได้เป็นอย่างดี มีขนาดใหญ่เพียงพอให้ใช้งาน

พอร์ตเชื่อมต่อเพียงพอปลอดภัย

อีกความใส่ใจของ MSI ในเครื่องระดับพรีเมียมนี้ คือการใส่พอร์ตมาให้เพียงพอกับการใช้งาน และยังคงประสิทธิภาพการเชื่อมต่อมาให้ครบ ไม่ว่าจะเป็นทางขวาที่มีทั้งพอร์ต USB 3.2 Type-A และ USB-C อีก 2 พอร์ต ที่รองรับทั้ง USB 4.0 / Display Port / Thunderbolt 4 และใช้เสียบชาร์จได้ด้วย

ทางขวามี USB-C เพิ่มให้อีกพอร์ต พร้อมกับช่องใส่ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มเติม ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. และปุ่มสำหรับล็อกการใช้งานเว็บแคม เพิ่มความเป็นส่วนตัวในระดับฮาร์ดแวร์ในการใช้งานกล้อง

ประกอบกับเมื่อเป็นโน้ตบุ๊กในกลุ่มองค์กรธุรกิจ MSI ได้มีการนำมาตรฐานความปลอดภัยทั้งการปกป้องข้อมูลจากการเชื่อมต่อพอร์ต USB ที่สามารถควบคุมได้จาก MSI Center ภายในมีชิปเซ็ต TPM 2.0 มาช่วยเข้ารหัสข้อมูลในระดับฮาร์ดแวร์ด้วย

นอกเหนือจากการใช้ใบหน้าปลดล็อกด้วย Windows Hello แล้ว Summit E13 Flip Evo ยังมากับเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือให้ใช้งานด้วย บริเวณตัวเครื่องด้านล่างปุ่มลูกศรของคีย์บอร์ด เรียกได้ว่าให้มาครบ และปลอดภัยอย่างแน่นอน

ใช้งานได้หลายรูปแบบ

ด้วยการที่ Summit E13 Flip Evo รองรับการพับหน้าจอทำให้ผู้ใช้งานสามารถปรับรูปแบบการใช้ได้ทั้งเป็นโน้ตบุ๊กปกติ พับหน้าจอใช้งานในลักษณะของแท็บเล็ตร่วมกับ MSI Pen เพื่อใช้งานได้สะดวกแล้ว

ยังสามารถกางโน้ตบุ๊กในลักษณะของ Tent เพื่อใช้ในการรับชมคอนเทนต์ ข้อมูลต่างๆ ได้ หรืออีกรูปแบบคือการวางในลักษณะของการพรีเซ็นต์งานให้ลูกค้า ทำให้ Summit E13 Flip Evo รองรับการใช้งานถึง 4 รูปแบบด้วยกัน

สเปก และทดสอบประสิทธิภาพ

ในส่วนของสเปกภายใน MSI Summit E13 Flip Evo วางจำหน่ายด้วยกัน 2 สเปก โดยมีจุดที่แตกต่างกันคือเรื่องของซีพียู RAM และ SSD โดยรุ่นเริ่มต้น จะมากับ 11th Gen Intel Core i5 1135G7 RAM 16 GB SSD 512 GB ส่วนรุ่น Core i7 1185G7 จะให้ RAM 32 GB SSD 1 TB มาใช้งาน และสามารถอัปเกรด SSD ได้สูงสุด 2 TB

ส่วนรุ่นที่ได้รับมาทดสอบนั้น จะมีความแตกต่างจากรุ่นที่วางจำหน่ายอยู่พอสมควร ดังนั้นผลทดสอบที่เกิดขึ้นในบทความนี้ จึงมีโอกาสแตกต่างจากรุ่นที่วางจำหน่าย ซึ่งมีให้เลือก 2 สเปกตามข้อมูลด้านบน

ที่เหลือคือมาพร้อมกับกราฟิกออนบอร์ด Intel IrisXe รองรับการเชื่อมต่อทั้งบลูทูธ 5.2 WiFi 6E ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อ โดยเฉพาะในช่วงที่การทำงานเกิดขึ้นได้จากทุกสถานที่ และมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Windows 10 Pro รองรับการอัปเกรดเป็น Windows 11 ในอนาคต

ด้านแบตเตอรีมากับขนาดใหญ่ถึง 70Whr โดยทาง MSI ทดสอบสามารถใช้งานต่อเนื่องได้ราว 20 ชั่วโมง ในกรณีที่ใช้งานทั่วไป ทีมงานทดสอบใช้ทำงานโดยมีการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตตลอดเวลา ใช้งานได้ต่อเนื่องเกือบ 12 ชั่วโมง

กรณีที่ประมวลผลหนักๆ อย่างการเรนเดอร์ไฟล์วิดีโอ เล่นเกมความละเอียดสูงๆ ใช้งานได้ต่อเนื่องถึง 2 ชั่วโมงครึ่ง เรียกได้ว่านอกจากประสิทธิภาพสูงแล้ว แบตเตอรีที่ให้มาก็เพียงพอกับการใช้งานด้วย และยังมากับระบบชาร์จเร็วจากอะเดปเตอร์ 65W ที่ให้มาด้วย

สรุป

MSI Summit E13 Flip Evo ถือว่าเป็นโน้ตบุ๊กสำหรับองค์กรธุรกิจที่น่าสนใจ เพราะรองรับการทำงานหลากหลายรูปแบบ รวมถึงใช้งานร่วมกับ MSI Pen ในการจดบันทึก หรือคอมเมนต์งาน ช่วยให้ผู้บริหารใช้งานโน้ตบุ๊กได้สะดวกมากขึ้น

ในแง่ของความปลอดภัยนอกจาก TPM 2.0 และตัวเครื่องที่รองรับ Windows Hello ปลดล็อกด้วยใบหน้า และลายนิ้วมือแล้ว ยังมีปุ่มล็อกกล้องเว็บแคมมาให้ใช้งานเพิ่มเติมด้วย ปลอดภัยในทุกๆ ส่วน และ MSI ยังมีการรับประกัน 2 ปี มาให้ด้วย

Gallery

]]>
Review : Microsoft Surface Laptop 4 คีย์บอร์ดพิมพ์สนุก เพิ่มตัวเลือกซีพียู https://cyberbiz.mgronline.com/review-microsoft-surface-laptop-4/ Wed, 30 Jun 2021 08:06:53 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35468

ไมโครซอฟท์ ยังคงรักษามาตรฐานของการออกผลิตภัณฑ์ต้นแบบที่ปรับแต่งให้เหมาะกับลักษณะการใช้งานระบบปฏิบัติการ Windows 10 ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในกลุ่มของผู้ที่ต้องการใช้งานโน้ตบุ๊กเพื่อทำงาน พกพาไปไหนมาไหนได้ง่าย และที่สำคัญคือประสิทธิภาพในการประมวลผลต้องสูงด้วย

Surface Laptop 4 ถือเป็นโน้ตบุ๊กในฟอร์มเฟคเตอร์ปกติรุ่นล่าสุดของ ไมโครซอฟท์ ที่นำเสนอมาในปีนี้ได้อย่างน่าสนใจ ทั้งการเปลี่ยนแปลงคีย์บอร์ดให้พิมพ์ได้สนุกขึ้น เปิดทางเลือกรุ่นซีพียูให้มีทั้ง Intel และ AMD บนขนาดหน้าจอทั้ง 13.5 นิ้ว และ 15 นิ้ว ให้เลือก

แน่นอนว่า ระบบปฏิบัติการ Windows 10 ที่ติดตั้งมาให้บน Surface Laptop 4 นั้น เพียงพอกับการใช้งานในปัจจุบันแล้ว แต่เมื่อ Windows 11 เปิดให้ผู้ใช้งานทั่วไปใช้งาน Surface Laptop 4 จะรองรับการอัปเกรด และเพิ่มประสบการณ์ใช้งานที่ดีขึ้นให้แก่ผู้ใช้ด้วย

ข้อดี

  • จอ PixelSense 13.5 นิ้ว สัดส่วน 3:2 รองรับการสัมผัส และใช้งานปากกาได้
  • ตัวเครื่องบาง 14.5 มม. น้ำหนัก 1.2 กิโลกรัม
  • คีย์บอร์ดที่มาพร้อมที่รองฝ่ามือหุ้ม Alcantara ช่วยให้พิมพ์ได้สนุกขึ้น
  • แบตเตอรี ใช้งานได้ต่อเนื่องทั้งวัน

ข้อสังเกต

  • อะเดปเตอร์ชาร์จยังเป็นพอร์ตเฉพาะของ Surface เช่นเดิม (แม้จะชาร์จจาก USB-C ได้แล้วก็ตาม
  • พอร์ตเชื่อมต่อไม่ครบ มีเพียง USB-C USB Type-A และ 3.5 มม. เท่านั้น
  • กล้องเว็บแคมความละเอียด 720p

ราคาเริ่มต้น เข้าถึงง่ายขึ้น

หนึ่งในความน่าสนใจของ Surface Laptop 4 คือการเพิ่มทางเลือกซีพียูมาให้ผู้ใช้งานอย่าง AMD Ryzen จากเดิมที่จะมีให้เลือกเฉพาะซีพียูจาก Intel เท่านั้น และนั่นทำให้ราคาเริ่มต้นของ Surface Laptop โน้ตบุ๊กที่ดีที่สุดของไมโครซอฟท์ราคาเข้าถึงได้ง่ายขึ้นด้วย

สำหรับรุ่นเริ่มต้นของ Surface Laptop 4 ขนาดจอ 13.5” มากับชิปเซ็ต AMD Ryzen 5 4680U RAM 8 GB SSD 256 GB ในราคา 35,999 บาท หรือจะเพิ่ม RAM เป็น 16 GB SSD 256 GB จะอยู่ที่ 42,999 บาท

ส่วนชิปเซ็ต 11 Gen Intel Core i5 1145G7 RAM 8 GB SSD 512 GB จะเริ่มต้นที่ 44,999 บาท โดยสามารถปรับสเปกไปได้ถึง Intel Core i7 1185G& RAM 16 GB SSD 512 GB ในราคา 57,999 บาท

จะเห็นได้ว่าจากราคาเริ่มต้นของ Surface Laptop 4 ในช่วง 35,999 บาท แต่ได้โน้ตบุ๊กหน้าจอสัมผัส ที่รองรับการพกพาไปใช้งานได้ทุกที่ถือเป็นตัวเริ่มต้นที่น่าสนใจ แต่ถ้าใครที่ต้องการใช้งานยาวๆ อาจจะต้องมองตัวเลือกเป็นรุ่นที่มี SSD 512 GB แทน เพราะ 256 GB อาจจะไม่เพียงพอกับการเก็บข้อมูลในระยะยาว

ดีไซน์เดิม ปรับปรุงภายในให้ดีขึ้น

Surface Laptop 4 ยังคงลักษณะการออกแบบไม่แตกต่างจาก Surface Laptop 3 จนเรียกว่าเป็นไมเนอร์เชนจ์ของรุ่นก็ว่าได้ เพราะตัวเครื่องจะเน้นที่การอัปเดตสเปกภายในเป็นหลัก โดยขนาดของเครื่องจะอยู่ที่ 308 x 223 x 14.5 มิลลิเมตร น้ำหนัก 1.26 กิโลกรัม

ตัวเครื่องมีให้เลือกด้วยกัน 2 สีคือ สีเงินแพลตตินัม ที่จะมากับวัสดุหุ้ม Alcantara และสีดำด้านที่เป็นโลหะตามปกติ ซึ่งในรุ่นสีดำจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็น 1.28 กิโลกรัม ซึ่งจะให้โทนสี และภาพลักษณ์ในการใช้งานที่แตกต่างกันไป

การออกแบบของ Surface Laptop 4 ยังคงเน้นที่ความเป็นมินิมอลเช่นเดิม โดยมีสัญลักษณ์ของ Windows สะท้อนแสงติดอยู่ตรงกึ่งกลางด้านนอกเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

เมื่อเปิดตัวเครื่องขึ้นมาจะพบกับจอสัมผัส PixelSense ขนาด 13.5 นิ้ว ความละเอียด 2256 x 1504 พิกเซล 201 ppi ในสัดส่วน 3:2 ซึ่งช่วยให้แสดงผลคอนเทนต์สำหรับการท่องเว็บ หรือทำงานเอกสารได้ดีขึ้น แต่จะไม่เหมาะกับการรับชมภาพยนต์เท่าไหร่ เนื่องจากจะเหลือขอบสีดำด้านบนและล่างเพิ่มขึ้นด้วย

ที่น่าเสียดายอีกอย่างก็คือเรื่องของขอบจอที่ Surface Laptop 4 ยังมีขอบจอที่ค่อนข้างหนา เมื่อเทียบกับแบรนด์อื่นๆ ในท้องตลาดอย่างเอซุส เดลล์ หรือเอชพี ที่นำเสนอตัวเครื่องขนาด 14 นิ้ว ในฟอร์มเฟคเตอร์ขนาด 13 นิ้ว ได้อย่างน่าสนใจ

บริเวณขอบบนยังคงเป็นที่อยู่ของกล้องเว็บแคมความละเอียด 720p ซึ่งถือว่าน้อยไปหน่อยสำหรับยุคปัจจุบันที่การใช้งานวิดีโอคอลล์มีความจำเป็นมากยิ่งขึ้น ที่ดีก็คือยังมาพร้อมกับเซ็นเซอร์ IR ที่ทำงานร่วมกับ Windows Hello ในการปลดล็อกด้วยใบหน้าได้อยู่

จุดเด่นที่สำคัญที่สุดของ Surface Laptop 4 เท่าที่ทดสอบใช้งานมาคือ ความนิ่มของคีย์บอร์ด ทั้งในแง่ของแป้นคีย์บอร์ดที่รับสัมผัส ทำให้พิมพ์ได้สนุก มีปุ่มลัดสำหรับการสั่งงานต่างๆ ครบถ้วน จะมีจุดที่น่าเสียดายคือย้ายปุ่มลัดอย่าง Home End PageUp PageDown ไปไว้บริเวณแถบบนแทน ทำให้เวลาใช้งานอาจจะต้องปรับตัวเล็กน้อย

ส่วนปุ่มเปิดเครื่องก็ถูกขยับเข้ามาไม่ได้อยู่ที่มุมขวาบน แต่เป็นที่อยู่ของปุ่ม Delete แทน ช่วยให้เวลากดใช้งานทำได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องกังวลว่าจะไปสัมผัสโดนปุ่มปิดเครื่องแทน แทร็กแพดของ Surface Laptop 4 ที่ให้มาใหญ่สะใจ รองรับการใช้งานได้ลื่นไหล

อีกจุดที่นุ่มก็คือการที่ Surface Laptop 4 มีการหุ้มหนังสังเคราะห์อย่าง Alcantara มาให้บริเวณตัวเครื่องด้านใน ทำให้สัมผัสของข้อมือระหว่างการพิมพ์นุ่มสบายกว่าโน้ตบุ๊กที่ใช้โลหะ หรือพลาสติกอื่นๆ แต่ก็แลกมากับการดูแลรักษาที่เพิ่มขึ้น โดยทางไมโครซอฟท์ แนะนำให้สามารถนำผ้าชุบสบู่เหลวอ่อนๆ มาถูกทำความสะอาดได้

ในส่วนของพอร์ตเชื่อมต่อ Surface Laptop 4 ถือว่าให้มาค่อนข้างจำกัด โดยทางฝั่งซ้ายจะมีเพียงช่องเสียบ USB Type A และ USB-C พร้อมกับช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. เท่านั้น ไม่รองรับการเชื่อมต่อ Thunderbolt ด้วย

ส่วนทางขวามีพอร์ต Surface Connect ไว้เสียบชาร์จตัวเครื่อง โดยที่บริเวณอะเดปเตอร์จะมีพอร์ต USB Type A เพิ่มมาให้ใช้งานอีก 1 ช่อง ความจุของแบตเตอรีจะอยู่ที่ 47.4 Whr ที่ไมโครซอฟท์ระบุว่าใช้งานได้ต่อเนื่อง 17-19 ชั่วโมง

สเปก และทดสอบประสิทธิภาพ

ในส่วนของสเปก Surface Laptop ที่ได้รับมาทดสอบจะเป็นรุ่น 11 Gen Intel Core i5 RAM 8 GB SSD 256 GB มาพร้อมกราฟิก Intel IrisXe ส่วนถ้าเป็นรุ่น AMD Ryzen ก็จะมาพร้อมกับ AMD Radeon แบบออนบอร์ดให้ใช้งาน

โดยเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ AMD Ryzen สามารถใช้งานบนแบตเตอรีได้ยาวนานกว่ารุ่นของ Intel คือการที่ปัจจุบัน AMD พัฒนาชิปเซ็ตบนสถาปัตยกรรมแบบ 7 นาโนเมตร ที่ประหยัดพลังงานมากกว่า ในขณะที่ Intel ยังอยู่บนสถาปัตยกรรมแบบ 10 นาโนเมตร

สำหรับการใช้งาน Surface Laptop 4 ต้องยอมรับว่า ถือเป็นแล็ปท็อปเพื่อการทำงาน และความบันเทิงที่ตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการใช้งานทั่วๆ ไป ทำงานเอกสาร ทำรูปภาพบ้าง แต่จะไม่หนักไปจนถึงการตัดต่อวิดีโอ หรือเล่นเกมความละเอียดสูงๆ เนื่องจากไม่มีการ์ดจอแยกมาช่วยประมวลผล

ส่วนในแง่ของความบันเทิง เรียกได้ว่าให้มาครบถ้วนจากหน้าจอขนาดใหญ่ 13.5 นิ้ว ที่ให้ความละเอียดสูง สีสันสมจริง แบตเตอรีที่ใช้งานต่อเนื่องได้ยาวนาน ทีมงานลองใช้งานทั่วๆ ไปอยู่ที่ราว 11 ชั่วโมง แต่ถ้าใช้งานหนักๆ อย่างเล่นเกม จะเหลือประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง

สรุป

Microsoft Surface Laptop 4 ยังคงรักษาการเป็นโน้ตบุ๊กที่ดีที่สุดของไมโครซอฟท์ได้อย่างน่าสนใจ และนำเสนอเทคโนโลยีต่างๆ ของ Windows 10 ได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยของ Windows Hello ควบคู่กับชิปความปลอดภัย TPM2.0 ที่มาช่วยเข้ารหัสข้อมูล

ทำให้ Surface Laptop 4 เหมาะที่จะเป็นทั้งโน้ตบุ๊กสำหรับคอนซูเมอร์ และใช้งานในองค์กรธุรกิจ จะติดก็เรื่องของพอร์ตเชื่อมต่อที่ให้มาค่อนข้างจำกัด อาจจะต้องพกอะเดปเตอร์เพิ่มเติมในการใช้งาน

ที่น่าสนใจคือ Surface Laptop 4 รองรับการอัปเกรดเป็น Windows 11 ใช้งานในอนาคตอย่างแน่นอนอยู่แล้ว เมื่อมีการปรับเปลี่ยนดีไซน์ของ Windows ใหม่ให้ใช้งานสัมผัสจากหน้าจอได้สะดวกขึ้น Surface Laptop 4 จะเพิ่มความน่าใช้งานเข้าไปอีก

Gallery

]]>
Review : ASUS ExperBook B9 อัปเกรดใหม่ปี 2021 เน้นแข็งแรง-ปลอดภัย https://cyberbiz.mgronline.com/review-asus-experbook-b9400/ Tue, 22 Jun 2021 06:09:13 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35401

ในปีที่ผ่านมา ASUS เปิดตลาดโน้ตบุ๊กเบางเบาในกลุ่มองค์กรธุรกิจได้อย่างน่าสนใจ ด้วยซีรีส์ใหม่อย่าง ExpertBook B9 ชูความโดดเด่นของการเป็นแล็ปท็อปองค์กรธุรกิจที่มีน้ำหนักเบาที่สุดในโลก ด้วยน้ำหนักไม่ถึง 1 กิโลกรัม และได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากผู้ใช้งาน

พอมาในปี 2021 เอซุส ได้อัปเกรดความสามารถของ ExpertBook B9 (9400) ให้ตอบโจทย์การใช้งานมากขึ้น ด้วยการเพิ่มความแข็งแรงของหน้าจอ เลือกนำเฉพาะรุ่นประสิทธิภาพสูงอย่าง 11 Gen Intel Core i7 มาทำตลาด โดยเปิดให้เลือกเพิ่มเติมว่าจะใช้งานคู่กับ Windows 10 Home หรือ Windows 10 Pro ในราคาเริ่มต้นที่ 44,990 บาท

จุดเด่นของ ASUS ExpertBook B9 (9400) รุ่นปี 2021 นี้ คือมาพร้อมกับการรับรอง Intel EVO แพลตฟอร์ม ตัวเครื่องน้ำหนักประมาณ 1 กิโลกรัม พอร์ตเชื่อมต่อครบ พร้อมด้วยฟังก์ชันรักษาความปลอดภัยด้วย Windows Hellp ทั้งสแกนใบหน้า และลายนิ้วมือให้ใช้งาน รวมถึงการเลือกใช้ Dual SSD ทำให้สามารถทำ RAID 1 เพื่อสำรองข้อมูลได้ด้วย

ข้อดี

  • โน้ตบุ๊กธุรกิจ ประสิทธิภาพสูง 11 Gen Intel Core i7
  • น้ำหนัก 1 กิโลกรัม
  • แบตเตอรีใช้งานต่อเนื่องเกิน 13 ชั่วโมง
  • กล่องใส่ที่ชาร์จเปลี่ยนเป็นฐานตั้งโน้ตบุ๊กได้

ข้อสังเกต

  • หน้าจอยังเป็น Full HD+
  • กล้องเว็บแคมความละเอียด 720p
  • มีให้เลือกเฉพาะรุ่น Core i7 ต่างจากปีที่ผ่านมามีรุ่น Core i5 ที่ราคาย่อยเยาว์กว่า

บางเบา พอร์ตครบเหมือนเดิม

ความโดดเด่นของ Asus ExpertBook B9 ยังคงเป็นเรื่องของความบางเบาของตัวเครื่อง โดยมีขนาดอยู่ที่ 320 x 203 x 14.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 1,009 กรัม หรือประมาณ 1 กิโลกรัม ซึ่งน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นถ้าเทียบกับรุ่นของปี 2020 คือการเลือกใช้แบตเตอรีขนาด 66 Whr แทนรุ่นเดิมที่ใช้แบตเตอรีขนาด 33 Whr ทำให้สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ยาวนานขึ้นด้วย

ดีไซน์ของ ExpertBook B9 นั้น ยังคงใช้ดีไซน์แบบเดิม เรียกได้ว่าเป็นไมเนอร์เชนจ์ของรุ่นก็ว่าได้ มีวางจำหน่ายสีเดียวคือ Star Black ที่เป็นสีดำแบบผิวด้าน ช่วยให้ตัวเครื่องติดรอยนิ้วมือได้ยาก และให้ความรู้สึกหรูหรา พรีเมียมขึ้นในตัว

ASUS ยังคงเลือกใช้ฟอร์มเฟคเตอร์ของเครื่องขนาด 13 นิ้ว มาใส่หน้าจอ 14 นิ้ว ทำให้เห็นได้ว่ารุ่นนี้ขอบจอค่อนข้างบาง ให้สัดส่วนหน้าจอเทียบกับตัวเครื่องอยู่ที่ 94% ความละเอียดหน้าจอเป็น FullHD 1920 x 1080 พิกเซล มุมมองแบบ IPS ให้ความสว่าง 400 nits และค่าแสงที่ sEGB 100%

บริเวณกล้องเว็บแคมความละเอียด 720p ที่ให้มาจะมีชัตเตอร์เพื่อปิดกรณีที่ไม่ต้องการใช้งาน พร้อมกับเพิ่มเซ็นเซอร์วัดระยะมาด้วย ทำให้เวลาลุกออกจากหน้าเครื่อง ExpertBook B9 จะทำการล็อกหน้าจออัตโนมัติเพื่อความปลอดภัยเพิ่มเติม อย่างไรก็ตามในกรณีที่ปิดขัตเตอร์บังกล้องไว้ ก็จะไม่สามารถใช้งานปลดล็อกด้วยใบหน้าได้

ในส่วนของคีย์บอร์ด ยังคงมาในรูปแบบชิกเล็ตมาตรฐาน ระยะกดของปุ่มอยู่ที่ 1.5 มิลลิเมตร ป้องกันน้ำหกใส่ และมีไฟ Backlit ไว้ใช้งานในเวลากลางคืนด้วย ส่วนบริเวณทัชแพด จะสามารถเปิดฟีเจอร์ใช้งานเป็นปุ่มตัวเลขเพิ่มเติมได้ ช่วยให้สามารถกรอกข้อมูลตัวเลขได้สะดวกขึ้น

สำหรับพอร์ตเชื่อมต่อ ExpertBook B9 ให้พอร์ตมาครบถ้วนสำหรับการเป็นโน้ตบุ๊กบิสสิเนส ไล่ตั้งแต่พอร์ต USB 3.2 Type-A 1 พอร์ต มี Thunderbolt 4 (USB-C) ให้อีก 2 พอร์ต ซึ่งรองรับการต่อจอแยก และชาร์จไฟทั้งสองพอร์ต เพิ่มเติมด้วย HDMI 2.0 ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. และ MicroHDMI ที่ใช้งานคู่กับอะเดปเตอร์แปลงเป็นพอร์ต LAN ที่แถมมาให้ในกล่อง

ในแง่ของความปลอดภัยตัวเครื่องมีช่องล็อก Kensington มาให้ เพื่อรวมกับ Windows Hello ที่รองรับทั้งการปลดล็อกด้วยใบหน้า และเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่บริเวณมุมขวาล่างของคีย์บอร์ด ทำให้เครื่องรุ่นนี้ ผ่านมาตรฐานด้านซิเคียวริตี้สำหรับใช้งานในองค์กรธุรกิจแน่นอน

ส่วนแบตเตอรีที่ให้มา 66 Whr นั้น สามารถใช้งานรับชมวิดีโอได้ต่อเนื่องกว่า 20 ชั่วโมง ส่วนการใช้งานหนักๆ ได้กว่า 13 ชั่วโมง และรองรับการชาร์จเร็วจากอะเดปเตอร์ 65W ที่ให้มาจาก 1% – 60% ได้ในเวลา 49 นาที ซึ่งแปลว่าสามารถชาร์จเพียง 1 ชั่วโมง ใช้งานได้ตลอดวันสบายๆ

จุดที่อัปเกรดขึ้น

ภายใน ExpertBook B9 จุดที่มีการอัปเกรดเพิ่มเติมจากรุ่นปี 2020 จะประกอบด้วยชิปเซ็ตที่ใหม่ขึ้น ด้วยการเลือกใช้ 11 Gen Intel Core i7-1165G7 พร้อม Intel Iris Xe RAM 16 GB SSD 1 TB ให้ใช้งาน

ถัดมาคือการเพิ่มความแข็งแรงของหน้าจอด้วยการเสริมโครงเหล็กเข้าไป แก้ปัญหาหน้าจอยวบในรุ่นของปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้น้ำหนักโดยรวมของตัวเครื่องเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่รองรับการกดทับของหน้าจอได้มากขึ้น

อีกอย่างที่น่าสนใจคือการเปิดให้สามารถเลือกใส่ SSD ได้แบบคู่ ทำให้ ExpertBook B9 สามารถทำ RAID0 เพื่อให้ตัวเครื่องทำงานได้เร็วขึ้น หรือ RAID1 เพื่อสำรองข้อมูลในการใช้งานได้ เหมาะกับการใช้งานในองค์กรธุรกิจขึ้นไปอีก

นอกจากนี้ ก็มีการอัปเกรดในแง่ของระบบตัดเสียงรบกวน เวลาใช้งานวิดีโอคอลล์ ด้วยการนำ ASUS AI Noise-Cancelling Audio มาช่วยทั้งเสียงของคู่สนทนาที่ผู้ใช้ได้ยิน และปรับเสียงจากไมโครโฟนให้ปลายสายด้วย

อีกความน่าสนใจก็คือเรื่องของบรรจุภัณฑ์รักษ์โลก โดยที่ในรุ่น ExpertBook B9400 นี้ ได้มีการนำกล่องบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ใส่อะเดปเตอร์ชาร์จไฟ และอุปกรณ์เสริมอื่นๆ มาใช้เป็นขาตั้งเครื่องได้เพิ่มเติม และยังทำจากกระดาษทั้งหมดอีกด้วย

สรุป

Asus ExpertBook B9 รุ่นปี 2021 ในรหัส B9400 วางจำหน่ายให้เลือกด้วยกัน 2 รุ่น คือเลือกระหว่าง Windows 10 Home ราคา 44,990 บาท กับ Windows 10 Pro ราคา 49,490 บาท ซึ่งถ้าเป็นการใช้งานในองค์กรธุรกิจที่ต้องการความปลอดภัย แนะนำให้เลือกรุ่น Windows 10 Pro จะเหมาะสมกว่า

อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่มีเฉพาะรุ่น Core i7 ทำให้ราคาเริ่มต้นของ ExpertBook B9 ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับรุ่นของปีที่แล้ว Core i5 จะอยู่ที่ 38,990 บาท ซึ่งถ้าไม่ได้ต้องการพลังในการประมวลผลระดับ Core i7 แต่เน้นความบางเบา พกพาง่าย ก็จะไม่มีตัวเลือกเริ่มต้นมาให้

ในภาพรวม ExpertBook B9400 ยังคงรักษามาตรฐานของบิสสิเนสแล็ปท็อปได้เป็นอย่างดี แต่ก็กลายเป็นว่า ไม่ได้เหมาะกับการนำไปใช้งานทั่วไปสำหรับคอนซูเมอร์ เพราะเมื่อระดับราคาสูงขึ้นมาเกือบ 5 หมื่นบาท ยังมีตัวเลือกอีกหลายรุ่นที่น่าสนใจในตลาดนี้

Gallery

]]>
Review : Apple iMac 24” ดีไซน์ สีใหม่ แรงด้วยชิป M1 https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-imac-24inch/ Fri, 21 May 2021 03:52:00 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35221

iMac 24” รุ่นปี 2021 ถือเป็นการปรับโฉมผลิตภัณฑ์ครั้งสำคัญของ Apple และมีการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ส่วน หลังจากที่ Apple เลือกหันมาพัฒนาชิปประมวลผลของตัวเองอย่าง Apple M1 และทยอยนำมาใช้งานกับผลิตภัณฑ์หลายๆ ประเภท เริ่มจาก MacBook Air MacBook Pro Mac mini และคราวนี้ก็ถึงคิวของ iMac และ iPad Pro

ความพิเศษก็คือที่ผ่านมาทั้ง MacBook Air MacBook Pro Mac mini และ iPad Pro ยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่แอปเปิลใช้ดีไซน์เดิมมาเปลี่ยนชิปเซ็ตภายในเป็น Apple M1 เท่านั้น ไม่เหมือนกับ iMac 24” ที่กลายเป็นผลิตภัณฑ์แรกที่แอปเปิล เลือกออกแบบใหม่ทั้งหมด และใช้ประโยชน์ของ Apple M1 ได้อย่างน่าสนใจ

นอกจากนี้ Apple ยังได้แยกรูปแบบการใช้งานของ iMac 24” ให้ชัดเจนมากขึ้น ด้วยการนำเสนอเป็นคอมพิวเตอร์แบบออลอินวันสำหรับทุกคน ที่ไม่ได้เน้นเจาะกลุ่มมืออาชีพที่ต้องการประสิทธิภาพในการทำงาน และจอใหญ่เท่านั้น แต่รวมถึงการนำไปใช้งานในชีวิตประจำวัน ด้วยการเพิ่มตัวเลือกสีสันที่หลากหลาย จนถึงการนำไปใช้ในภาคธุรกิจก็ได้เช่นกัน

ข้อดี

  • ออกแบบใหม่ ตัวเครื่องบาง มีให้เลือกหลายสี
  • จอ 24 นิ้ว ความละเอียด 4.5K
  • ประสิทธิภาพสูง รองรับการใช้งานที่หลากหลายจาก Apple M1
  • กล้อง FaceTime  HD 1080p รองรับการวิดีโอคอล
  • ไมโครโฟน และลำโพง ปรับปรุงให้คุณภาพดีขึ้น

ข้อสังเกต

  • ขนาดจอจริงๆ อยู่ที่ 23.5 นิ้ว
  • ไม่สามารถเลือกสีของอุปกรณ์เสริมได้
  • เมจิกคีย์บอร์ดพร้อม Touch ID มาในรุ่น CPU 8 Core GPU 8 Core ถ้ารุ่นเริ่มต้นต้องซื้อเพิ่ม

ใส่ใจทุกรายละเอียด

ต้องยอมรับว่า Apple ยังคงรักษามาตรฐานในการออกแบบผลิตภัณฑ์ได้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะกับการใส่ใจรายละเอียดของสีใน iMac รุ่นนี้ ซึ่งจะเห็นได้ตั้งแต่รายละเอียดต่างๆ กล่องของผลิตภัณฑ์ ที่ตรงสีกับตัวเครื่องที่เลือก รวมถึงการใส่ใจในสิ่งแวดล้อม โดยบรรจุภัณฑ์ของ iMac ใช้กระดาษเป็นสัดส่วนหลักถึง 90%

เมื่อเป็นคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ ทำให้ Apple ต้องออกแบบกล่องบรรจุภัณฑ์ที่สามารถป้องกันการกระแทกได้ ด้วยการนำกระดาษมาใช้งาน ทำให้เมื่อเปิดฝากล่องขึ้นมา เมื่อเห็นตัวเครื่องแล้วต้องง้างบริเวณขอบข้างกล่องออก ถึงจะสามารถยก iMac ออกจากกล่องได้ ช่วยให้ปลอดภัยระหว่างการขนส่งอย่างแน่นอน

ถัดมาคือรายละเอียดของอุปกรณ์เสริมต่างๆ อย่างใน iMac สีเหลืองเครื่องนี้ สัญลักษณ์อุปกรณ์เสริมก็จะเป็นสีเหลือง เมื่อเปิดออกมาก็จะพบกับอุปกรณ์ที่ถูกห่อด้วยกระดาษเช่นเดียวกัน ทำให้บรรจุภัณฑ์นี้ กลายเป็นบรรจุภัณฑ์รักษ์โลกตามที่แอปเปิลวางแผนไว้

ในส่วนของสีอุปกรณ์เสริม ไม่ว่าจะเป็นคีย์บอร์ด เมาส์ และทัชแพด จะเล่นขอบสีให้เหมือนกับสีหลักของตัวเครื่อง ส่วนสายชาร์จเมาส์ที่เป็น USB-C to Lightning และสายไฟ จะใช้สีโทนอ่อนลง ซึ่งจะเป็นสีเดียวกับขอบล่างของจอ iMac นั่นเอง

น่าเสียดายที่ Apple ยังไม่เปิดเผยว่าจะมีการแยกวางจำหน่ายอุปกรณ์เสริมที่เป็นสีสันเหล่านี้แยกออกมาหรือไม่ เพราะเชื่อว่าต้องมีผู้ที่ใช้งาน iPhone แล้วอยากได้สายชาร์จแบบถักสีๆ ไปใช้งานแน่นอน สิ่งที่ทำได้ในเวลานี้คือการซื้อเครื่อง iMac ถึงจะได้อุปกรณ์เสริมตามสีที่อยากได้

ดีไซน์ใหม่หมด

หลังจากแกะเครื่องออกจากกล่องแล้ว สิ่งที่ได้เห็นคือ iMac ที่มีการออกแบบใหม่ทั้งหมด โดยมีจุดเด่นอยู่ที่ตัวเครื่องหนาเพียง 11.5 มิลลิเมตร พร้อมกับสีสันตัวเครื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสีเหลืองนี้ จะมีความโดดเด่นของตัวเครื่องใกล้เคียงกับสีทอง สำหรับขนาดของพื้นที่ใช้งานโดยรวมจะอยู่ที่ 46.1 x 54.7 x 14.7 เซนติเมตร น้ำหนักของตัวเครื่องอยู่ที่ 4.46 – 4.48 กิโลกรัม ขึ้นอยู่กับรุ่นที่เลือก

นอกจากสีเหลืองแล้ว iMac ยังมีให้เลือกอีก 6 สี เริ่มจากสีเงินที่เป็นสีดั้งเดิม ตามด้วยสีน้ำเงิน ม่วง ชมพู ส้ม และเขียว ซึ่งสีเหล่านี้ถ้าจำกันได้ก็คือมาจากโลโก้ของ Apple ในยุคแรก เรียกได้ว่ามีให้เลือกหลายสีตามสีที่แต่ละคนชื่นชอบ และเลือกนำไปใช้ให้เหมาะกับเฟอร์นิเจอร์ในบ้านก็ได้

ในส่วนของหน้าจอ iMac 24 นิ้ว ความจริงแล้วขนาดหน้าจอจะอยู่ที่ 23.5 นิ้ว เมื่อวัดในแนวทแยงมุม แต่ด้วยการสื่อสารที่ง่ายทำให้ Apple เลือกสื่อสารว่าเป็นรุ่น 24 นิ้วแทน ความละเอียดจอที่ได้จะเป็น 4.5K Retina display 4480 x 2520 พิกเซล รองรับการแสดงผล 1 พันล้านสี ความสว่างสูงสุด 500 nits ขอบเขตสี P3 และมีการปรับความสว่าง และโทนสีหน้าจออัตโนมัติ (True Tone)

บริเวณขอบของจอแสดงผล iMac ทั้ง 7 สี จะเลือกใช้สีขาว แตกต่างจากก่อนหน้านี้ที่ iMac ทั้งรุ่น 21.5 นิ้ว และ 27 นิ้ว จะมากับขอบจอสีดำ ซึ่งอาจจะเป็นเหตุผลที่จะสื่อถึงเหมาะกับการใช้งานทั่วไป ไม่ได้เน้นกลุ่มมืออาชีพเหมือนที่ผ่านมาอีกต่อไปแล้ว

ในส่วนของกล้อง FaceTime HD ใน iMac 24 นิ้ว มีการปรับความละเอียดเพิ่มขึ้นเป็น 1080p เช่นเดียวกับ iMac 27 นิ้ว ที่ออกมาก่อนหน้านี้ เพียงแต่ในรุ่นนี้จะมีคุณภาพที่ดีกว่าจากการนำชิปประมวลผลภาพ Image Signal Processor (ISP) ที่อยู่ในชิป M1 มาช่วยด้วย เนื่องจากช่วงหลังๆ การวิดีโอคอลล์กลายเป็นรูปแบบการใช้งานหลักของผู้ใช้หลายๆ คน

ในส่วนของพื้นที่ว่างใต้หน้าจอที่เรียกกันว่าบริเวณคางของ iMac 24″ นั้น ภายในจะเป็นที่อยู่ของเมนบอร์ด และชิปเซ็ตต่างๆ พร้อมพัดลมระบายอากาศ 2 ตัว ทำให้ในส่วนนี้จะมีหน้าที่หลักสำหรับการระบาดอากาศ และเป็นที่อยู่ของลำโพงด้วยเช่นกัน

พร้อมกับพัฒนาทั้งไมโครโฟน 3 ตัว ให้รับเสียงได้ดีขึ้น และช่วยตัดเสียงรบกวนจากรอบข้าง เช่นเดียวกับลำโพง 6 ตัว ที่ใส่มาให้ ทำให้เป็นเครื่องที่สามารถใช้งานได้ทั้งการประชุม จนถึงใช้เพื่อความบันเทิงอย่างดูหนัง ฟังเพลงได้อย่างเต็มที่ เพราะรองรับระบบเสียงแบบ Dolby Atmos ด้วย

สำหรับพอร์ตเชื่อมต่อต่างๆ จะมีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. มาให้ทางซ้ายของเครื่อง จากในรุ่นก่อนที่อยู่ด้านหลัง เนื่องมาจากเมื่อตัวเครื่อง iMac บางลง ทำให้ไม่สามารถวางตำแหน่งพอร์ตไว้ที่เดิมได้อีกต่อไป ส่วนหลังเครื่องจะมีพอร์ต USB-C / Thunderbolt มาให้ตามรุ่นที่เลือก โดยในรุ่นเริ่มต้นจะให้มา 2 พอร์ต ส่วนรุ่น 8 CPU 8 GPU จะให้ USB 3 เพิ่มมากอีก 2 พอร์ต

จุดเชื่อมต่อสายไฟเข้าเครื่อง เป็นอีกนวัตกรรมที่ Apple พัฒนาขึ้น เพราะนอกจากใช้ในการปล่อยกระแสไฟเข้าตัวเครื่องแล้ว ที่อะเดปเตอร์ Apple ยังมีพอร์ต Gigabit Ethernet มาให้ด้วย เรียกได้ว่าเป็นการประหยัดพื้นที่ของตัวเครื่อง iMac แล้วนำพอร์ตมาไว้ที่อะเดปเตอร์แทน

โดยอะเดปเตอร์ที่ให้มาสามารถส่งไฟได้ 143W ซึ่งในความเป็นจริงชิป M1 ไม่ได้ใช้พลังงานมากขนาดนั้น เพราะ M1 ที่ใช้งานกับ MacBook Air มากับอะเดปเตอร์เพียง 30W เท่านั้น เรียกได้ว่า Apple เตรียมพร้อมไว้สำหรับอนาคตก็ว่าได้ จากอะเดปเตอร์จะมีสายถักไว้เชื่อมต่อกับตัวเครื่องยาว 2 เมตร ไม่นับรวมสายไฟอีกราว 1 เมตร ทำให้ผู้ใช้สามารถจัดวางตัวเครื่องโดยมีเพียงสายไฟเส้นเดียวโผล่ขึ้นมาจากโต๊ะ

ถัดมาในส่วนของ Magic Keyboard กรณีที่เป็นรุ่นเริ่มต้นจะไม่มี Touch ID มาให้ ต้องเป็นรุ่น 8 CPU 8 GPU ถึงจะมีให้เช่นเดียวกัน โดยความละดวกของ Touch ID ก็คือการที่เวลาใช้งานในบ้านที่มีผู้ใช้หลายคน เมื่อแตะ Touch ID ก็จะเป็นการล็อกอินเข้าบัญชีของแต่ละคนได้ทันที ยิ่งเมื่อทำงานร่วมกับคีย์บอร์ดไร้สายจึงยิ่งสะดวกขึ้น

ในขณะที่ Magic Mouse และ Magic Trackpad จะมีการเปลี่ยนแปลงที่สีบริเวณขอบ ซึ่งจะเป็นโทนเดียวกับตัวเครื่อง เรียกได้ว่าใครที่เลือก iMac สีเหลืองมาใช้ จะได้ปลดล็อกสกินสีทองในเมจิกเมาส์ทันที ที่น่าเสียดายก็คือเวลาต้องการชาร์จ Magic Mouse ก็ยังต้องใช้การเสียบสายที่ใต้เมาส์อยู่ดี ทำให้ไม่สามารถชาร์จไปใช้งานไปด้วยได้

แรงด้วย Apple M1

ที่ผ่านมา Apple ได้พิสูจน์ความสามารถของชิป M1 กันไปแล้ว ตั้งแต่ตอนที่เปิดตัว MacBook Pro M1 ซึ่งผลทดสอบประสิทธิภาพนั้น แรงกว่าชิป Intel Core i9 ที่อยู่ใน MacBook Pro 16” เสียอีก ดังนั้น เรื่องความแรงของ iMac 24” จึงไม่ได้เป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงมากนัก

โดยในภาพรวม Apple M1 ที่ให้มานั้น รองรับการใช้งานทั่วๆ ไปของผู้บริโภคทั่วไปอยู่แล้ว จนถึงคอนเทนต์ครีเอเตอร์ระดับมืออาชีพที่ต้องการคอมพิวเตอร์มาเรนเดอร์ภาพยนต์ความละเอียด 4K ชิป M1 ก็สามารถทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม ดังนั้นถ้าเป็นการใช้งานภายในบ้าน สำนักงาน หรือวางไว้ใช้ตามสถานที่ต่างๆ iMac 24” รองรับได้สบาย

ในการเลือกซื้อ Apple จะมีให้เลือกว่าต้องการ Apple M1 รุ่น 8 Core CPU 7 Core GPU และ 8 Core CPU 8 Core GPU ให้เลือก สามารถใส่ RAM ได้สูงสุดที่ 16 GB และพื้นที่เก็บข้อมูลแบบ SSD ได้สูงสุดถึง 2 TB ดังนั้นก็ขึ้นอยู่กับการนำไปใช้งานเป็นหลัก

ส่วนการเชื่อมต่อ iMac 24” รองรับ WiFi 6 และบลูทูธ 5.0 ทำงานบนระบบปฏิบัติการ macOS BigSur ที่สามารถเชื่อมต่อเข้ากับอีโคซิสเตมส์ของ iPhone และ iPad ได้อย่างไร้รอยต่อ ส่วน Thunderbolt / USB 4 ที่ให้มา สามารถส่งต่อข้อมูลได้ที่ความเร็วสูงสุด 40 Gbps ส่วน USB 3 จะอยู่ที่ 10 Gbps โดยสามารถเชื่อมต่อกับจอแสดงผล 6K อย่าง Pro Display XDR ได้ด้วย

รุ่น และสี ที่วางจำหน่าย

iMac รุ่นเริ่มต้นแบบ 8 CPU 7 GPU จะมีให้เลือกเฉพาะสีฟ้า เขียว ชมพู และเงิน เท่านั้น ในราคาเริ่มต้น 42,900 บาท ส่วนถ้าต้องการสีเเหลือง ส้ม และม่วง จะต้องเลือกเป็นรุ่น 8 CPU 8 GPU แทนในราคาเริ่มต้น 49,900 บาท ซึ่งจะได้พื้นที่เก็บข้อมูล 256 GB

โดยในแง่ของการใช้งาน รุ่นที่แนะนำให้เลือกซื้อก็จะเป็น 8 Core CPU 8 Core GPU เป็นหลัก เพราะจะได้เพิ่มมาทั้งเมจิกคีย์บอร์ดที่มีทัชไอดี ตัวอะเดปเตอร์ที่สามารถเชื่อมต่อสายแลนได้ทันที และมีพอร์ต USB-C เพิ่มมาให้อีก 2 พอร์ตสำหรับเชื่อมต่อใช้งานเพิ่มเติม

ส่วนพื้นที่เก็บข้อมูลถ้าเป็นรุ่นเริ่มต้น 256 GB อาจจะเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ได้ต้องการใช้ iMac ในการเก็บข้อมูล เน้นการใช้งานร่วมกับคลาวด์ หรือเปิดใช้งานผ่านอินเทอร์เน็ตเป็นหลัก ตรงนี้อาจจะต้องดูถึงจุดประสงค์ในการใช้งานร่วมด้วย โดยสามารถเลือกความจุได้ตั้งแต่ 256 GB 512 GB 1 TB และ 2 TB

สรุป iMac 24” เหมาะกับใคร

Apple ไม่ได้วางตำแหน่งให้ iMac เป็นคอมพิวเตอร์สำหรับมืออาชีพอีกต่อไป แต่หันมาจับกลุ่มผู้ใช้งานทั่วไปที่ต้องการคอมพิวเตอร์แบบออลอินวันใช้งานในบ้าน ซึ่งตลาดเครื่อง All-in-One ในช่วงที่ผ่านมา ถือว่าเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงที่มีการ Work from Home หลายๆ บ้านเลือกที่จะซื้อคอมพิวเตอร์ให้บุตรหลานใช้ในการเรียนออนไลน์ และใช้งานเพื่อความบันเทิงเพิ่มเติม

นอกจากนี้ iMac 24” ยังสามารถนำไปใช้งานในกลุ่มธุรกิจได้ อย่างโรงแรม ร้านอาหาร ที่ต้องการคอมพิวเตอร์ไปใช้งาน เพิ่มสีสันให้ร้านค้า เพราะมีตัวเลือกมาให้ถึง 7 สี สามารถนำไปตกแต่งร่วมกับบรรยากาศต่างๆ ได้ทันที ซึ่งถือเป็นการขยายตลาดของ iMac เพิ่มเติมได้อย่างน่าสนใจ

Gallery

]]>
Review : ROG Flow X13 เกมมิ่งโน้ตบุ๊กตัวแรงด้วย AMD Ryzen 9 https://cyberbiz.mgronline.com/review-rog-flow-x13/ Thu, 13 May 2021 01:41:21 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35055

ที่ผ่านมา ภาพของโน้ตบุ๊กเกมมิ่งส่วนใหญ่แล้วจะอยู่กับเครื่องที่มีขนาดหน้าจอใหญ่ ตัวเครื่องหนาๆ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการประมวลผลเกมที่แรงๆ แต่ภาพนั้นเริ่มถูกทดแทนเข้ามาด้วยไลน์อัปผลิตภัณฑ์โน้ตุบุ๊กเกมมิ่งที่ทยอยเข้ามาทำตลาดในปีนี้

ROG Flow X13 ถือเป็นหนึ่งในเกมมิ่งโน้ตบุ๊กที่มีความน่าสนใจหลายๆ อย่าง ไล่ตั้งแต่การเลือกนำ AMD Ryzen 9 มาใช้เป็นหน่วยประมวลผลหลัก พร้อมใส่การ์ดจอ NVIDIA GT1650 มาให้ใช้งาน ในขนาดตัวเครื่องที่มีความบางมากๆ และยังสามารถพับหน้าจอเพื่อใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ

ROG Flow X13 จึงไม่ใช่แค่โน้ตบุ๊กเกมมิ่งเท่านั้น แต่ยังใช้เป็นแท็บเล็ต ใช้งานเพื่อความบันเทิง ไปจนถึงใช้ในการนำเสนองาน เพิ่มเติมจากความสามารถหลักคือการเป็นโน้ตบุ๊กเกมมิ่งประสิทธิภาพสูงที่พกพาได้ ในราคาเริ่มต้น 49,990 บาท

ข้อดี

  • โน้ตบุ๊กตัวเครื่องเล็กพกพาง่าย
  • ประสิทธิภาพแรงระดับท็อป
  • เพิ่มประสิทธิภาพได้ด้วย eGPU ROG XG Mobile

ข้อสังเกต

  • ถ้าใช้งานประมวลผลหนักๆ แบตเตอรีจะหมดเร็วมาก
  • รุ่นที่วางจำหน่ายในไทยเลือกใช้จอแบบ WUXGA ไม่ใช่ UHD
  • กรณีที่ต้องการใช้งาน eGPU ไม่มีวางจำหน่ายแยก ต้องเลือกซื้อตั้งแต่แรก

โน้ตบุ๊กเกมมิ่ง 2-1

หนึ่งในความน่าสนใจของ ROG Flow X13 คือเรื่องของการออกแบบตัวเครื่องให้มีขนาดเล็ก พกพาง่าย ในขนาดหน้าจอ 13.4 นิ้ว และยังเป็นแบบ 2-1 ที่สามารถใช้งานได้ 4 รูปแบบด้วยกัน

นอกจากนี้ ดีไซน์ตัวเครื่องยังสื่อถึงความแรง ทั้งจากลายเส้นที่ฝาหลัง สัญลักษณ์ ROG ที่เป็นแบรนด์เกมเมอร์ที่ได้รับการยอมรับอยู่แล้ว ในสีแบบดำด้าน วัสดุตัวเครื่องทำจากอะลูมิเนียมคุณภาพสูง ที่ให้สัมผัสตัวเครื่องแข็งแรง

ตัวเครื่อง ROG Flow X13 มีขนาดอยู่ที่ 299.4 x 222.9 x 15.75 มิลลิเมตร น้ำหนักประมาณ 1.3 กิโลกรัม ซึ่งถือว่ามีขนาดที่ค่อนข้างเล็ก เมื่อเทียบกับโน้ตบุ๊กเกมเมอร์ทั่วไปในท้องตลาด

สำหรับรูปแบบการใช้งาน ROG Flow X13 ด้วยการที่เป็นตัวเครื่องแบบ 2-1 ทำให้สามารถตั้งใช้งานได้ 4 แบบ ไล่ตั้งแต่การใช้งานเป็นโน้ตบุ๊กปกติ พับหน้าจอเพื่อใช้งานเป็นแท็บเล็ต เพราะหน้าจอรองรับการทัชสกรีนอยู่แล้ว

หรือจะตั้งเครื่องในลักษณะของ Tent เพื่อใช้รับชมคอนเทนต์ต่างๆ หรือใช้เวลาเล่นเกม ที่ควบคุมผ่านจอยคอนโทรล การวางเครื่องในลักษณะนี้จะช่วยระบายความร้อนให้ดีขึ้นด้วย และสุดท้ายคือโหมดสำหรับพรีเซ็นต์ ที่วางตัวคีย์บอร์ดแนบไปกับพื้นราบ เพื่อนำเสนอหน้าจอในลักษณะของการพรีเซ็นต์งาน

เมื่อเปิดหน้าจอเครื่องขึ้นมาจะพบกับหน้าจอขนาด 13.4 นิ้ว โดยรุ่นที่วางจำหน่ายในไทยจะมากับความละเอียด WUXGA (1900 x 1200 พิกเซล) 120 Hz 100% sRGB ในอัตราส่วน 16:10 ส่วนเครื่องที่ทีมงานได้มาทดสอบจะเป็นรุ่นจอ UDH 60 Hz 116% sRGB ทื่ให้จอแสดงผลได้คมชัดอย่างน่าสนใจ

ในส่วนของแป้นคีย์บอร์ด จะมีการแยกปุ่มลัดที่สำคัญๆ อย่างการปรับเพิ่มลดเสียง ปิดไมค์ และเรียกใช้งาน Armory Crate ที่เป็นโปรแกรมไว้ควบคุมประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องขึ้นมา ตัวไฟคีย์บอร์ดยังเลือกปรับการแสดงผลได้ ว่าจะให้ติดค้างไว้ หรือกระพริบเป็นจังหวะต่างๆ

นอกจากนี้ ในส่วนของคีย์บอร์ดที่ให้มายังเป็นไซส์มาตรฐานเทียบเท่าโน้ตบุ๊กขนาดจอ 15 นิ้ว และมีปุ่มลัดให้เรียกใช้งานคีย์ Fn ในการควบคุมพัดลมระบายอากาศเพิ่มขึ้นมา อย่างไรก็ตาม จุดที่น่าเสียดายคือส่วนของปุ่มลูกศรที่มีขนาดค่อนข้างเล็ก และทัชแพดที่เล็กตามขนาดของตัวเครื่อง

พอร์ตเชื่อมต่อครบ

อีกความน่าสนใจของ ROG Flow X13 คือเรื่องของพอร์ตเชื่อมต่อ ที่ให้มาอย่างน่าสนใจ ไไล่จากทางฝั่งซ้ายตัวเครื่อง ที่มียางซึ่งมีสัญลักษณ์ของ ROG ปิดพอร์ตอยู่ คือตำแหน่งของพอร์ตเชื่อมต่อ eGPU คู่กับ USB-C เพื่อใช้ในการจ่ายไฟ (สามารถใช้เป็นพอร์ต USB-C ปกติได้ 1 พอร์ต) พอร์ต HDMI และช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม.

ทางฝั่งขวา จะมีช่องเสียบ USB-C ให้อีก 1 พอร์ต และ USB 3.2 Type A อีก 1 พอร์ต รวมถึงปุ่มเปิดเครื่อง ที่มีการฝั่งเซ็นเซฮร์สแกนลายนิ้วมือเข้าไปด้วย ทำให้สามารถปลดล็อกตัวเครื่องด้วยการสแกนลายนิ้วมือของ Windows Hello ได้

ในส่วนของการเชื่อมต่อไร้สาย ตัวเครื่องมากับ WiFi 6 บลูทูธ 5.1 เรียกได้ว่าให้มาครบถ้วนสำหรับโน้ตบุ๊กระดับไฮเอนด์รุ่นนี้

ในกรณีที่เลือกซื้อ ROG Flow X13 Supernova Edition ROG XG Mobile ที่มาพร้อมตัว eGPU จะเพิ่มพอร์ตเชื่อมต่อทั้ง USB 3.2 Type A อีก 4 พอร์ต ช่องอ่านการ์ด พอร์ต HDMI พอร์ต Display 1.4 และ Gigabit Ethernet เพิ่มเข้ามา พร้อมกับอะเดปเตอร์ไฟขนาด 280W เพื่อให้รองรับการประมวลผลระดับสูงได้อย่างเต็มที่

ขุมพลัง AMD Ryzen 9

สำหรับจุดเด่นที่สำคัญที่สุดของเครื่องรุ่นนี้ คงหนีไม่พ้นการเลือกนำ AMD Ryzen 9 มาใช้งานกับโน้ตบุ๊กขนาดจอ 13.4 นิ้ว รุ่นนี้ เพราะถือเป็นรุ่นแรกๆ ที่นำซีพียูรุ่นนี้มาใช้งาน

โดยความสามารถในการประมวลผลของ Ryzen 9 ร่วมกับการ์ดจอออนบอร์ด Vega 8 ที่ให้มาก็ถือว่าแรงเทียบเท่ากับการ์ดจอแยกหลายๆ รุ่นแล้ว การเลือกใส่ NVIDIA GT1650 มาให้ในเครื่อง ก็ยิ่งทำให้โน้ตบุ๊กรุ่นนี้ รองรับการเล่นเกมได้ครอบคลุมมากที่สุด

ในแง่ของการประมวลผล ต้องยอมรับว่า AMD Ryzen 9 ถือว่าเป็นซีพียูระดับท็อปที่สุดในเวลานี้ แต่ก็แลกมากับเรื่องของการใช้พลังงานที่ค่อนข้างสูง ทำให้เมื่อเปิดโหมดประสิทธิภาพสูง (Performance) ใช้งานแบตเตอรีจะหมดภายในเวลาชั่วโมงกว่าๆ

แต่ถ้าใช้งานในโหมดประหยัดพลังงาน ก็จะยืดระยะเวลาใช้งานออกไปได้ สำหรับการใช้ท่องเว็บ พิมพ์งานเอกสาร หรือดูภาพยนต์ ระดับ 6-7 ชั่วโมง ที่น่าสนใจก็คือตัวเครื่องมากับอะเดปเตอร์ 100W ที่มีขนาดเล็ก รองรับการชาร์จเร็ว 50% ภายในเวลา 30 นาทีด้วย

ส่วนถ้าต้องการเรียกใช้ประสิทธิภาพสูงสุดของตัวเครื่อง ในโหมด Turbo จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับอะเดปเตอร์ถึงจะเลือกใช้งานโหมดนี้ได้ ซึ่งจะทำให้การประมวลผลแรงขึ้นไปอีก จนรองรับการเล่นเกมได้ทุกเกมในเวลานี้

ในแง่ของการระบายความร้อน ต้องยอมรับว่าระบบพัดลมคู่ที่ให้มาช่วยให้ตัวเครื่องระบายความร้อนได้ค่อนข้างดี ผู้ใช้สามารถเลือกระดับความแรงของพัดลมได้ ในกรณีที่ต้องการใช้งานในโหมดเงียบก็สามารถทำได้

แต่ถ้าใช้งานเครื่องพนักๆ พัดลมระบายความร้อนก็จะมีเสียงดังขึ้นอย่างชัดเจน แลกมากับการระบายความร้อนของตัวเครื่อง ทำให้สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพนั่นเอง

Armoury Crate ปรับแต่งเครื่อง

ในส่วนของซอฟต์แวร์การจัดการเครื่องที่ให้มาอย่าง Armoury Crate ถือว่าใช้งานง่ายมากๆ เหมาะกับสายฮาร์ดคอร์ที่ต้องการข้อมูลการใช้งานทรัพยากรของเครื่องต่างๆ

โดยภายในจะมีให้เลือกทั้งการปรับโหมดใช้งาน แสดงผลสัญญาณนาฬิกาในการประมวลผลของซีพียู การ์ดจอ หน่วยความจำ ที่สามารถดูอุณหภูมิ และพลังงานที่ใช้ได้ จนถึงการเข้าไปตั้งค่าปรับแต่งให้เหมาะกับการใช้งานแต่ละโปรแกรมที่เรียกใช้ด้วย

ทดสอบประสิทธิภาพ

ด้วยการที่ตัวเครื่องมากับ AMD Ryzen 9 พร้อม NVIDIA GeForce GT1650 ทำให้รองรับการเล่นเกมส่วนใหญ่ในท้องตลาเวลานี้ได้อยู่แล้ว ซึ่งในกรณีที่ใช้งานปกติ ไม่ได้ประมวลผลหนักๆ ตัวเครื่องจะเลือกใช้การ์ดจอออนบอร์ดที่เป็น Radeon Vega 8 ที่ประหยัดพลังงานมากกว่าการ์ดจอแยก ซึ่งก็รองรับการใช้งานทั่วไปได้สบาย จนถึงการรับชมภาพยนต์ระดับ 4K ได้ลื่นไหล

ในกรณีที่เล่นเกม แล้วต้องการประสิทธิภาพสูงอย่างโหมด Turbo ที่ต้องเสียบใช้งานคู่กับอะเดปเตอร์ ก็จะช่วยให้ตัวเครื่องแรงขึ้นไปอีก ทำให้ ROG Flow X13 มาตอบโจทย์การเล่นเกม และพกพาได้อย่างน่าสนใจ หรือถ้าพกไปใช้ทำงานก็จะใช้งานได้ราว 6-7 ชั่วโมง ก็เพียงพอแล้ว

รุ่นที่วางจำหน่ายในไทย

สำหรับ ROG Flow X13 รุ่นที่วางจำหน่ายในประเทศไทย จะมีเฉพาะรุ่นที่ใช้หน้าจอ 13.4 นิ้ว แบบ WUXGA 120 Hz ซีพียู AMD Ryzen 9 5980HS การ์ดจอ NVIDIA GeForce GTX 1650 4 GB RAM 16 GB พื้นที่เก็บข้อมูล SSD 1 TB ในราคา 49,990 บาท และมีรุ่น Supernova ที่มาพร้อม ROG XG Mobile เพิ่มการ์ดจอเป็น NVIDIA RTX 3080 ในราคา 99,990 บาท

สรุป

ใครที่กำลังมองหาเกมเมอร์โน้ตบุ๊กประสิทธิภาพสูง หรือโน้ตบุ๊กขนาดพกพาง่าย ที่รองรับการใช้งานได้อย่างเต็มที่ ROG Flow X13 ในรุ่น 49,990 ถือว่าทำราคามาได้น่าสนใจ เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีที่ให้มา

ส่วนถ้าใครงบเหลือๆ แล้วต้องการโน้ตบุ๊กที่สุดจริงๆ สามารถนำไปต่อกับจอภายนอกเพื่อเล่นเกมได้สบายๆ Supernova Edition ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะตัว ROG XG Mobile ที่มากับ RTX 3080 ถือว่าสุดมากๆ สำหรับเกมมิ่งโน้ตบุ๊กในเวลานี้

Gallery

]]>
Review : HP ProBook 635 Aero G7 โน้ตบุ๊กองค์กรขุมพลัง AMD https://cyberbiz.mgronline.com/review-hp-probook-635-aero-g7/ Wed, 24 Mar 2021 03:44:22 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34954

เอชพี (HP) เป็นอีกแบรนด์ที่หันมานำซีพียูตัวแรงจาก AMD มาใช้ในกลุ่มโน้ตบุ๊กองค์กรธุรกิจ โดยเฉพาะในซีรีส์ ProBook ที่เน้นเรื่องของดีไซน์ที่ให้ความทนทาน น้ำหนักเบา สามารถพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ได้ และมาพร้อมการเชื่อมต่อที่ครบถ้วน

HP ProBook 635 Aero จึงกลายมาเป็นรุ่นเด่นของเอชพี ที่ถูกนำเสนอแก่องค์กรธุรกิจที่ต้องการเปลี่ยนผ่านการทำงานของพนักงานในองค์กร ที่เริ่มปรับเปลี่ยนรูปแบบจากทำงานในสำนักงาน มาเป็น Work from Home หรือ Work from Anywhere ที่ให้ทั้งประสิทธิภาพในการใช้งาน ระยะเวลาการใช้งานที่ต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน เมื่อรูปแบบของการทำงานจากที่บ้านได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น เอชพี เลยมีการนำเสนอหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่จะมาเชื่อมต่อให้สามารถใช้งาน HP ProBook ร่วมกับจอขนาด 27 นิ้ว ได้ง่ายๆ ผ่านพอร์ตเชื่อมต่อเดียวคือ USB-C ช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้เพิ่มเติมด้วย

ข้อดี

  • ตัวเครื่องใช้วัสดุโลหะ อะลูมิเนียม ผสมแมกนีเซียมอัลลอยด์ให้ความแข็งแรง
  • น้ำหนักเบา เริ่มต้นไม่ถึง 1 กิโลกรัม
  • รองรับการเชื่อมต่อครบถ้วน
  • ทำงานบน AMD Ryzen ที่ประมวลผลแรง และประหยัดพลังงาน

ข้อสังเกต

  • ดีไซน์ตัวเครื่องจะเป็นเหลี่ยมๆ สีเงินคลาสสิกทั่วๆ ไป
  • ขนาดเครื่องค่อนข้างหนา เนื่องจากต้องการให้พอร์ตครบที่สุด

โน้ตบุ๊กสู่การเปลี่ยนการทำงานยุคใหม่

ที่ผ่านมา เอชพี พยามนำเสนอผลิตภัณฑ์ในกลุ่มโน้ตบุ๊กสำหรับองค์กรธุรกิจ และได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่จุดที่น่าสนใจสำหรับ HP ProBook 635 Aero คือการที่เอชพี สามารถลดน้ำหนักของตัวเครื่องโน้ตบุ๊กหน้าจอ 13.3 นิ้ว ลงมาให้เหลือต่ำกว่า 1 กิโลกรัมได้

แม้ว่าจะใช้งานดีไซน์ตัวเครื่องแบบเดิมของ ProBook แต่ด้วยน้ำหนักที่เบาขึ้น จึงทำให้รุ่นนี้กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับพนักงานองค์กรธุรกิจยุคใหม่ ที่สามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ จึงทำให้การมีโน้ตบุ๊กที่พกพาได้ง่าย น้ำหนักเบา จะเข้ามาตอบโจทย์การใช้งานมากที่สุด

HP ProBook 635 Aero มีขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 307.6 x 204.5 x 17.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 0.99 กิโลกรัม ที่ชูจุดเด่นในเรื่องของพอร์ตเชื่อมต่อใช้งานที่ครบถ้วน ทำให้ขนาดตัวเครื่องจะหนากว่าโน้ตบุ๊กที่มีเฉพาะพอร์ต USB-C เพียงอย่างเดียว

หน้าจอของ HP ProBook 635 Aero จะมีขนาด 13.3 นิ้ว ความละเอียด Full HD (1920 x 1080 พิกเซล โดยเป็นจอแบบ IPS ที่ป้องกันแสงสะท้อน โดยมีกล้องเว็บแคมความละเอียด HD 720p อยู่ขอบจอด้านบน ซึ่งในจุดนี้จะมี HP Privacy Camera ที่เป็นม่านปิดกล้องมาให้เลื่อนปิดเวลาที่ไม่ได้ใช้งานด้วย

ถัดลงมาในส่วนของคีย์บอร์ด ที่เอชพีเรียกว่าเป็น HP Premium Keyboard นั้น จะมาพร้อมกับไฟ backlit ทำให้สามารถใช้งานในที่แสงน้อยได้ รวมถึงขนาดของแป้นพิมพ์ และการรับสัมผัสต่างๆ ทำได้อย่างน่าสนใจ พิมพ์สนุก เหมาะกับการทำงานได้อย่างเต็มที่

อีกความใส่ใจในเรื่องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน ทำให้ HP เพิ่มปุ่มปิดไมโครโฟนมาไว้ที่ปุ่มคำสั่งลัดบริเวณแถบบนของคีย์บอร์ดด้วย เมื่อปิดไมค์จะมีไฟแสดงสถานะสีส้มโชว์ขึ้นมา และยังมีปุ่มลัดให้ผู้ใช้สามารถเลือกตั้งสำหรับเรียกใช้งานโปรแกรมที่ใช้งานประจำได้ด้วย

ถัดลงมาในส่วนของ Clickpad รองรับการใช้งานแบบมัลติทัชแล้ว ทำให้การสั่งงานต่างๆ ทำได้ง่ายขึ้น และเพิ่มเติมในเรื่องของความปลอดภัยด้วยการใส่เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือมาเป็นตัวเลือกให้องค์กรธุรกิจสามารถเลือกใส่เพิ่มเติมได้

สำหรับพอร์ตเชื่อมต่อต่างๆ ทางฝั่งซ้ายจะมีพอร์ตล็อกเครื่อง Kensington ตามด้วยพอร์ต USB-A 2 พอร์ต และช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ทางฝั่งขวาจะมีช่องเสียบสายชาร์จมาตรฐาน ตามด้วยพอร์ต HDMI พอร์ต USB-C ที่รองรับทั้งการเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริมต่างๆ และใช้เป็นพอร์ตชาร์จไฟได้ด้วย

ภายในให้แบตเตอรีขนาด 53Wh แบบ 3 เซลล์ มาพร้อมอะเดปเตอร์ชาร์จไฟขนาด 65W ทำให้สามารถชาร์จได้เต็มภายในระยะเวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง ในขณะที่การใช้งานบนแบตเตอรีสามารถทำงานได้ต่อเนื่องมากกว่า 11 ชั่วโมง

เชื่อมต่อจอ ทำงานใช้งานในบ้าน

นอกเหนือจากการนำเสนอ HP ProBook 635 Aero G7 แล้ว อีกหนึ่งอุปกรณ์ที่เปิดตัวมาพร้อมกันก็คือหน้าจอ HP E27u USB-C จุดเด่นของหน้าจอรุ่นนี้ ก็คือเป็นหน้าจอขนาด 27 นิ้ว ที่สามารถเชื่อมต่อกับพอร์ต USB-C กับโน้ตบุ๊กเพื่อใช้เสียบชาร์จ และเป็น Display Port ไปในตัว เรียกได้ว่า เพียงแค่เชื่อมต่อโน้ตบุ๊กกับ จอด้วยสาย USB-C เส้นเดียวก็พร้อมใช้งานแล้ว

ความพิเศษของจอตัวนี้อีกอย่างคือ สามารถปรับหมุนจอภาพให้ใช้งานในแนวตั้งได้ จึงเหมาะกับรูปแบบการใช้งานที่หลากหลาย ช่วยเสริมการทำงานให้สะดวกขึ้น อีกอย่างคือเรื่องของพอร์ตเชื่อมต่อที่ให้มาครบ ทั้งพอร์ต USB Type A 4 พอร์ต สำหรับเชื่อมต่อเมาส์ คีย์บอร์ด จนถึง Display Port อีก 2 ช่อง และ HDMI ให้เชื่อมต่อใช้งาน

ตัวเครื่องยังมาพร้อมความละเอียดหน้าจอระดับ QHD สามารถสลับใช้งานระหว่างดีไวซ์ต่างๆ ได้อย่างลื่นไหล มีระบบจ่ายไฟ Power Delivery ให้แก่โน้ตบุ๊ก ทำให้ไม่ต้องเสียบสายชาร์จโน้ตบุ๊ก ก็ใช้งานร่วมกับหน้าจอได้ ถือเป็นอุปกรณ์ที่มาช่วยให้เกิดเวิร์กสเตชันของการทำงานในบ้าน

สเปก

ด้วยการที่เป็นโน้ตบุ๊กสำหรับองค์กรธุรกิจ ทางเอชพี จึงเปิดให้สามารถปรับแต่งสเปกต่างๆ เพื่อให้นำไปใช้งานในองค์กรได้อย่างเหมาะสม โดย HP ProBook 635 Aero G7 จะมีตัวเลือกทั้ง AMD Ryzen 5 4500U และ Ryzen 7 4700U มาให้ใช้งาน พร้อมกับเลือกปรับ RAM ได้ตั้งแต่ 8 – 32 GB พื้นที่เก็บข้อมูลเริ่มต้นเป็น SSD 512 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows 10 Pro

อีกจุดแข็งของ HP ProBook 635 Aero คือเรื่องของการเชื่อมต่อที่มีทั้งพอร์ต USB-C รองรับการส่งข้อมูลระดับ 10 Gbps ส่วนการเชื่อมต่อไร้สายจะเป็น WiFi 6 บนชิปเซ็ต Intel AX200 มีบลูทูธ 5.0 มาให้ใช้งานเพิ่มเติม เรียกได้ว่าให้มาครบเพียงพอกับการใช้งานโน้ตบุ๊กยุคใหม่เรียบร้อย

ทดสอบประสิทธิภาพ

ด้วยการที่เป็นโน้ตบุ๊กสำหรับใช้งานในองค์กร ประสิทธิภาพของการประมวลผล และแบตเตอรี ที่สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนาน จะเป็น 2 ปัจจัยหลักที่ควรคำนึงถึง โดยใน HP ProBook 635 Aero G7 นี้ สามารถทำได้อย่างน่าประทับใจ โดยเฉพาะแบตเตอรีที่ใช้ได้ยาวต่อเนื่องมากกว่า 11 ชั่วโมง

ในขณะที่การใช้งานรองรับการทำงานในสำนักงานแทบทั้งหมด รวมถึงใช้ในการคำนวนข้อมูลจาก Excel ทำ PowerPoint เพื่อพรีเซ็นต์งานได้สบายๆ ไปจนถึงในกรณีที่มีงานครอบคลุมไปยังการทำรูปภาพต่างๆ ตัวเครื่องก็สามารถรองรับการใช้งานได้

สรุป

HP ProBook 635 Aero G7 น่าจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกโน้ตบุ๊กสำหรับองค์กร ที่มองหาโน้ตบุ๊กประสิทธิภาพสูง น้ำหนักเบา ไปใช้พนักงานใช้งาน โดยเฉพาะในยุคที่การ Work From Anywhere กลายเป็นลักษณะการทำงานที่เกิดขึ้นได้ทั่วไปแล้ว

ด้วยการที่ตัวเครื่องให้พอร์ตมาครบ รองรับการทำงานที่หลากหลาย แบตเตอรีใช้งานได้ต่อเนื่องมากกว่า 11 ชั่วโมง จึงเหมาะกับการพกพาไปใช้งานได้อย่างสบายใจ สำหรับราคาจำหน่ายของ HP ProBook 635 Aero G7 เริ่มต้นที่ 31,890 บาท – 37,990 บาท ส่วนหน้าจอ HP E27u USB-C ราคา 10,900 บาท

Gallery

]]>
Review : Asus ExpertCenter D500SA เดสก์ท็อปองค์กรเครื่องเล็ก ประสิทธิภาพสูง https://cyberbiz.mgronline.com/review-asus-expertcenter-d500sa/ Mon, 01 Mar 2021 03:30:29 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34835

ในยุคที่พื้นที่ภายในสำนักงานมีขนาดเล็ก และจำกัดมากขึ้น ทำให้บรรดาผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ต่างหันมาออกแบบคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปประสิทธิภาพสูงให้มีขนาดเล็กลง พร้อมกับเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งานทั้งการวางเครื่องแนวตั้ง แนวนอน การเพิ่มพอร์ตเชื่อมต่อให้ใช้งานได้ครบถ้วน

Asus ExpertCenter D5 ถือเป็นหนึ่งในซีรีส์เดสก์ท็อปของทางเอซุส ที่เปิดตัวมาจับกลุ่มผู้ใช้งานพีซีในองค์กรธุรกิจโดยเฉพาะ ซึ่งนอกเหนือจากเครื่องที่มีขนาดเล็กลงแล้ว ยังสามารถเลือกปรับแต่งประสิทธิภาพตามการใช้งาน มีความทนทาน และรองรับการอัปเกรดได้ง่ายขึ้น และที่สำคัญที่มีบริการเสริมสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก เข้าไปช่วยลดต้นทุนในธุรกิจได้ด้วย

ตัวเลือกของ ExpertCenter D5 จะทำงานร่วมกับหน่วยประมวลผล Intel 10 Gen Core i5 เริ่มต้นในราคาประมาณ 15,000 บาท มีตัวเลือกกราฟิกการ์ดทั้ง NVIDIA GeForce GT1030 / GT710 ใส่ RAM ได้สูงสุด 64 GB เลือกใช้งานร่วมกับพื้นที่เก็บข้อมูลได้ทั้งแบบ HDD และ SSD สูงสุด 3 TB และรองรับการทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows 10 Pro ที่ออกแบบมาสำหรับการใช้งานในธุรกิจโดยเฉพาะ

ข้อดี

  • ขนาดเล็ก ประหยัดพื้นที่
  • วางใช้งานได้ทั้งแนวตั้ง และแนวนอน
  • พอร์ตเชื่อมต่อครบ

ข้อสังเกต

  • ตัวเครื่องค่อนข้างหนัก (ประมาณ 5 กิโลกรัม)
  • การปรับแต่งสเปกต้องสั่งซื้อตามจำนวนที่กำหนด

ยุคของเดสก์ท็อป Small From Factor

ด้วยการที่ปัจจัยหลักในการเลือกซื้อคอมพิวเตอร์เพื่อนำไปใช้งานในองค์กรธุรกิจส่วนใหญ่ในเวลานี้ จะเน้นไปที่ความคุ้มค่า เมื่อเทียบกับประสิทธิภาพที่ได้ รวมถึงข้อจำกัดของงบประมาณต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่าในแต่ละประเภทของธุรกิจก็มีความจำเป็นในการใช้งานที่แตกต่างกัน

เพียงแต่ว่าหนึ่งในข้อได้เปรียบของคอมพิวเตอร์องค์กรยุคใหม่คือ การที่สามารถผลิตตัวเครื่องได้มีขนาดเล็ก กะทัดรัดมากขึ้น ในลักษณะของ Small From Factor หรือ SSF ทำให้สามารถนำไปใช้ในสำนักงานที่พื้นที่มีจำกัด ดังนั้นเมื่อ Asus ที่เป็นผู้นำในตลาดเมนบอร์ดเข้ามาจับตลาดนี้ ก็จะสามารถออกแบบเมนบอร์ดเพื่อนำมาใช้งานกับเดสก์ท็อปในกลุ่มนี้ได้อย่างน่าสนใจ

Asus ExpertCenter D500SA จึงกลายเป็นเดสก์ท็อปขนาดเล็กระดับเริ่มต้นขององค์กรธุรกิจที่น่าสนใจ จากทั้งประสิทธิภาพของตัวเครื่อง และพอร์ตเชื่อมต่อที่ครบ แม้จะมีขนาดตัวเครื่องเล็กลง และยังออกแบบให้เหมาะกับการปรับแต่งใช้งาน และซ่อมบำรุงสำหรับฝ่ายไอทีด้วย

นอกจากนี้ การที่ตัวเครื่องทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows 10 Pro ที่ออกแบบมาสำหรับใช้งานในองค์กรธุรกิจโดยเฉพาะ ทำให้การใช้งานปลอดภัยมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันข้อมูลต่างๆ ภายในองค์กรธุรกิจกลายเป็นสิ่งที่มีมูลค่าไม่แตกต่างจากตัวสิ่งของไปเรียบร้อยแล้ว

ขณะเดียวกันภายใน ExpertCenter D500SA ยังมาพร้อมโซลูชันรักษาความปลอดภัยทั้ง Asus Business Manager ที่ช่วยให้สามารถตั้งค่าความปลอดภัยในการใช้งานทั้งการควบคุมการใช้งานพอร์ต USB ไม่ให้สามารถเขียนไฟล์ได้ เข้ารหัสฮาร์ดดิสก์ให้ข้อมูลที่เก็บไว้ปลอดภัยขึ้น จนถึงการย้อนกลับของระบบเพื่อกู้คืนระบบกลับมาให้ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ

ยังมี My Asus ที่ใช้แสดงรายละเอียดการรับประกัน การแก้ไขปัญหาการใช้งานเบื้องต้น รวมถึงการอัปเดตซอฟร์แวร์ และไดรฟ์เวอร์ ให้ทันสมัยอยู่เสมอ เช่นเดียวกับการอัปเกรดระบบรักษาความปลอดภัยของ Windows 10 Pro ที่จะช่วยปกป้องคอมพิวเตอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

ออกแบบให้สะดวกต่อการใช้งาน

ความน่าสนใจอย่างหนึ่งของ ExpertCenter D500SA คือการที่มีพอร์ตใช้งานให้ครบถ้วน ซึ่งรองรับการเชื่อมต่อทั้งหน้า และหลังตัวเครื่อง ทำให้สะดวกในการใช้งานภายในสำนักงานที่มีพื้นที่จำกัดได้เป็นอย่างดี ประกอบกับตัวเครื่องที่สามารถเลือกวางทั้งในแนวตั้ง และแนวนอนได้ด้วย ทำให้การออกแบบต้องคำนึงถึงการใช้งานทั้ง 2 รูปแบบด้วย

โดยด้านหน้าของตัวเครื่องจะมีตั้งแต่ถาดใส่แผ่นซีดี ที่ซ่อนเนียนเข้าไปกับดีไซน์ของตัวเครื่อง ถัดไปทางขวาเป็นปุ่มเปิดเครื่อง ไฟแสดงสถานะการทำงานของฮาร์ดดิสก์ ช่องเสียบหูฟัง และไมโครโฟ และพอร์ต USB 3.2 ให้ใช้งานถึง 4 พอร์ต พร้อมกับ Card Reader อีก 2 ขนาดให้ใช้งาน

ส่วนหลังเครื่องให้พอร์ตมารองรับการเชื่อมต่อทั้งอุปกรณ์สมัยใหม่ และอุปกรณ์ที่เป็น Legacy เดิม ไล่ตั้งแต่ พอร์ต PS/2 สำหรับเชื่อมต่อเมาส์ และคีย์บอร์ด ช่องต่อจอภายนอกที่มีทั้ง Display Port / HDMI / VGA โดยในกลุ่มนี้จะใช้การแสดงผลจากการ์ดจอออนบอร์ด ตามด้วยพอร์ต USB 2.0 อีก 4 พอร์ต ช่องเชื่อมต่อสาย LAN รวมถึง Serial Port ด้วย

นอกจากนั้นก็จะมีช่องเชื่อมต่อกับลำโพง ไมโครโฟน และ Parallel port มาให้ด้วย ที่เหลือก็จะเป็นออปชันเสริม อย่างการใส่การ์ดจอแยก ก็จะมีพอร์ต HDMI / DVI / D-Sub มาพร้อม และช่องต่ออุปกรณ์รับสัญญาณ Wi-Fi เพิ่มเติม

ในจุดนี้ผู้ใช้สามารถแกะฝาของเครื่องออกมาได้ โดยไม่ต้องใช้ไขควงเพิ่มเติม และเมื่อเปิดฝาออกมายังสามารถถอดเปลี่ยนฮาร์ดไดรฟ์ ได้แบบง่ายๆ ทำให้สามารถบำรุงรักษาเครื่อง รวมถึงอัปเกรดชิ้นส่วนภายในได้อย่างง่ายดาย

จุดเด่นอีกอย่างของ ExpertCenter D500SA คือการที่ Asus เลือกใช้เมนบอร์ดแบบ 100% Solid Capacitor ทำให้เมนบอร์ดมีความทนทานในการใช้งานมากยิ่งขึ้น เพราะคาปาซิเตอร์แบบนี้จะช่วยเก็บประจุ และควบคุมแรงดันไฟฟ้า เพิ่มความเสถียร และช่วยยืดอายุการใช้งานได้ยาวนานขึ้นด้วย

ขณะเดียวกัน ตัวเครื่องยังผ่านการทดสอบความแข็งแรงตามเกณฑ์ของอุตสาหกรรม และการทดสอบมาตรฐานกองทัพสหรัฐฯ MIL-STD-810G ทั้งในเรื่องของความทนทาน ยิ่งทำให้การนำไปใช้งานในองค์กรธุรกิจ ได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้นด้วย

เลือกสเปกตามการใช้งาน

เมื่อเป็นสินค้าในกลุ่ม ExpertCenter ที่เจาะกลุ่มธุรกิจ ทางเอซุส จึงได้เปิดทางเลือกให้องค์กรสามารถเลือกปรับแต่งสเปกในการใช้งานเพิ่มเติมสำหรับการสั่งซื้อสินค้าจำนวนมากได้ โดยในรุ่น ExpertCenter D500SA จะสามารถเลือกปรับแต่งได้ทั้งซีพียู Intel Gen 10 Core i5-10400 2.9 GHz ไปจนถึง Core i7-10700 2.9 GHz พร้อมตัวเลือกกราฟิกการ์ดเป็น NVIDIA GeForce GT1030 และ NVIDIA GeForce GT710

ช่องใส่ RAM มีมาให้ 2 ช่อง เลือกใส่ได้สูงถึ 64 GB (32 GBx2) และมีช่องต่อ PCIe ให้เพิ่มเติม ในส่วนของสตอเรจ สามารถเลือกใส่ได้ทั้ง HDD ขนาด 2.5” หรือ 3.5” สูงสุด 3 TB ไปจนถึง SSD สูงสุดที่ 2 TB เช่นเดียวกับการเชื่อมต่อ WiFi มีให้เลือกทั้ง WiFi 5 / WiFi 6 ดังนั้น องค์กรธุรกิจสามารถเลือกปรับแต่งสเปกเหล่านี้เพิ่มเติมได้

ทดสอบการใช้งาน

สำหรับ Asus ExpertCenter D500SA ที่ได้รับมาทดสอบนั้น จะมาพร้อมกับ Intel Core i5-10500 3.1 GHz พร้อมกราฟิกการ์ด NVIDIA GeForce GT710 อัด RAM 16 GB และฮาร์ดดิสก์ 1 TB ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows 10 Pro รองรับการเชื่อมต่อ WiFi 5 แบบ 2×2

ในแง่ของการใช้งานทั่วไป อย่างการทำงานเอกสาร เข้าใช้งานเว็บไซต์ต่างๆ รวมถึงโปรแกรมเฉพาะทางเกี่ยวกับธุรกิจ ต้องยอมรับว่าสเปกเท่านี้เพียงพอกับการใช้งานอยู่แล้ว และสามารถนำไปใช้ในงานที่ยาก และซับซ้อนขึ้นได้อีก สำหรับการนำไปใช้งานในองค์กรธุรกิจทั่วๆไป

แต่ถ้าต้องการนำไปใช้งานที่ต้องใช้ประสิทธิภาพในการประมวลผลสูงขึ้น หรือการตอบสนองต่อการใช้งานที่ลื่นไหลมากกว่าเดิม การเพิ่มซีพียูเป็น Core i7 เพิ่ม RAM เป็น 32 GB และเลือกใช้ SSD จะทำให้ประสิทธิภาพในการใช้งานโดยรวมดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่แน่นอนว่าขึ้นอยู่กับงบประมาณของแต่ละองค์กรด้วย

สรุป

ในภาพรวมแล้ว Asus ExpertCenter D500SA จะเข้าไปตอบโจทย์องค์กรธุรกิจที่กำลังต้องการอัปเกรดคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปรุ่นเก่าที่มี มาใช้งานเป็นเครื่องที่ใหม่ขึ้น ประสิทธิภาพสูงขึ้น ขนาดกะทัดรัดมากขึ้น และประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญก็คือ Asus มีการรับประกันแบบ Onsite Service 3 ปี และรับประกันอุบัติเหตุ 1 ปีแรกเพิ่มเติมเข้ามาด้วย

องค์กรธุรกิจไหนที่กำลังมองหาเดสก์ท็อปพีซี ขนาดเล็กประสิทธิภาพสูง ExpertCenter D500SA ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ในราคาเริ่มต้นของรุ่น Intel Gen 10 Core i5 ที่ประมาณ 15,000 บาท ขึ้นอยู่กับสเปกที่เลือก และสามารถปรับแต่งสเปกเพิ่มเติม เพื่อนำไปใช้งานให้เหมาะสมกับธุรกิจได้ด้วย

สนใจ Asus ExpertCenter DS500SA สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ https://bit.ly/2NKSiwc

]]>
Review : Asus Chromebook C204MA โน้ตบุ๊กเพื่อการเรียนรู้ในชั้นเรียน https://cyberbiz.mgronline.com/review-asus-chromebook-c204ma/ Tue, 09 Feb 2021 02:02:03 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34735

เมื่อรูปแบบการเรียนการสอนในชั้นเรียนเริ่มเปลี่ยนแปลงไป การที่โรงเรียนต้องเริ่มหาอุปกรณ์มาเป็นตัวช่วยให้นักเรียน สามารถเข้าไปเรียนรู้ข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตได้ กลายเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการเรียนการสอนรูปแบบใหม่

ด้วยเหตุนี้อุปกรณ์อย่าง Asus Chromebook C204MA ที่ถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับการนำไปใช้งานในชั้นเรียน จึงกลายเป็นตัวเลือกที่สนใจสำหรับโรงเรียนที่ต้องการโน้ตบุ๊กไว้ใช้งานภายในชั้นเรียน ในระดับราคาที่ไม่สูงเกินไป พร้อมกับมีโซลูชันในการบริหารจัดการสำหรับอาจารย์ นักเรียน และฝ่ายไอที ในการดูแลอุปกรณ์ด้วย

Asus Chromebook C204MA มากับหน้าจอขนาด 11.6 นิ้ว โดยมีตัวเลือกว่าสามารถใช้เป็นหน้าจอแบบทัชสกรีนได้ พร้อมซีพียูภายในอย่าง Intel Celeron N4020 ทำงานบน ChromeOS ที่สามารถเข้าถึงแอปพลิเคชันใน Google Play เพื่อสร้างการเรียนรู้ให้นักเรียนได้อีกจำนวนมาก วางจำหน่ายในราคาเริ่มต้น 8,500 บาท

ข้อดี

  • โน้ตบุ๊กขนาดเล็ก ทนทานระดับ Military Grade
  • ChromeOS ที่รองรับการเข้าถึงแอปใน Play Store
  • แบตเตอรีใช้งานได้กว่า 12 ชั่วโมง
  • รองรับการเชื่อมต่อทั้ง USB-C / USB Type A 3.1

ข้อสังเกต

  • ChromeOS การใช้งานส่วนใหญ่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
  • ตัวเครื่อง 11.6 นิ้ว แต่เน้นความทนทาน ทำให้มีน้ำหนักถึง 1.2 กิโลกรัม

โน้ตบุ๊กเพื่อการเรียนรู้

Chromebook ได้เริ่มกลายเป็นอุปกรณ์เพื่อการเรียนการสอนมากขึ้น โดยเฉพาะการนำไปใช้งานในโรงเรียนหลายๆ แห่ง ด้วยการนำจุดเด่นของระบบปฏิบัติการที่รองรับการใช้งานที่หลากหลายของ Google ทำให้สามารถเข้าถึงบริการต่างๆ ที่ใช้งานได้ฟรีๆ ของ Google Service ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมเอกสารอย่าง Docs Sheets Slides จนถึงแหล่งข้อมูลในการเรียนรู้อย่าง YouTube และเว็บเบราว์เซอร์อย่าง Chrome

ข้อดีอย่างหนึ่งในการนำ Chromebook ไปใช้งานในชั้นเรียนคือ อาจารย์ และฝ่ายไอที จะเข้ามาบริหารจัดการอุปกรณ์ได้สะดวกภายใต้โซลูชันที่สามารถเลือกติดตั้งแอปพลิเคชันสำหรับการเรียนการสอนโดยเฉพาะ ปิดกั้นไม่ให้เข้าถึงแอปที่ไม่จำเป็น จนถึงการบล็อกไม่ให้เข้าถึงเว็บไซต์ไม่เหมาะสม

ในส่วนนี้จึงช่วยให้อาจารย์ สามารถควบคุมการติดตั้งแอปพลิเคชันเพิ่มเติมของนักเรียนได้ ซึ่งจะช่วยให้ไม่เกิดการนำ Chromebook ไปใช้นอกเหนือจากการเรียนการสอน ทำให้เหมาะกับการนำไปใช้ในชั้นเรียนได้

โดยภายในโซลูชันเพื่อการศึกษาของ Google จะมีทั้ง Google Classroom ในการจัดการชั้นเรียน มีคอนโซลให้ผู้ดูแลระบบสามารถจัดการอุปกรณ์จากส่วนกลางได้ ไม่นับรวมกับ Google Play Store ที่สามารถเข้าไปดาวน์โหลดแอปมาใช้งานเพิ่มเติมได้

นอกจากนี้ ยังช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึง G Suite ให้นักเรียนสามารถเชื่อมต่อ และช่วยให้นักเรียนทำงานร่วมกันบนอุปกรณ์ใดก็ได้จากทุกที่ทั้งแบบออนไลน์ และออฟไลน์ รวมถึงการเข้าถึงระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูง ที่จะได้รับการอัปเดตอัตโนมัติทำให้มั่นใจว่าข้อมูลต่างๆ จะปลอดภัย

ออกแบบเพื่อการศึกษา

ด้วยรูปแบบการใช้งานในห้องเรียนที่มีความหลากหลาย และควบคุมได้ยาก ทำให้การออกแบบโน้ตบุ๊กต้องมีความทนทานเพิ่มเติม Asus Chromebook C204 มีการออกแบบที่ทนทาน เพื่อรับกับรูปแบบการใช้งานจริงในชั้นเรียน 

โดยขนาดของ Asus Chromebook C204 อยู่ที่ 292 x 199 x 19.5 – 20.1 มิลลิเมตร น้ำหนัก 1.2 กิโลกรัม มีวางจำหน่ายในสี Dark Grey ซึ่งวัสดุที่ใช้จะเน้นที่ความทนทานเป็นพิเศษ ทั้งการหุ้มขอบที่เป็นยาง และมีพื้นผิวภายนอกที่เป็นลักษณะของปุ่มขนาดเล็ก (Micro-dimpled) ที่ไม่เกิดรอยขีดข่วน และรอยนิ้วมือ

พร้อมกันนี้ตัวเครื่องยังผ่านมาตรฐานความทนทานทางทหาร MIL-STD810G ที่ครอบคลุมการทดสอบตกจากความสูงระดับ 120 ซม ทดสอบความทนทานของพอร์ตเชื่อมต่อมากกว่า 5,000 ครั้ง ทดสอบความทนทานของบานพับกว่า 50,000 รอบ และทดสอบแรงกดจากน้ำหนัก 30 กิโลกรัม

ในส่วนของหน้าจอที่ให้มามีขนาด 11.6 นิ้ว ความละเอียด 1366 x 768 พิกเซล รองรับการทำงานแบบสัมผัสบนหน้าจอได้ด้วย (มีตัวเลือกแบบจอปกติด้วย ขึ้นอยู่กับรูปแบบของการนำไปใช้) แต่ด้วยรูปแบบของการผลิตที่เน้นความทนทานทำให้สัดส่วนของหน้าจออยู่ที่ 67% เพื่อปกป้องให้หน้าจอมีรองรับการตกกระแทกได้ดีที่สุด

พร้อมกันนี้ เพื่อให้สามารถนำไปใช้ในการเรียน การสอนได้อย่างเต็มที่ ตัวหน้าจอยังสามารถกางได้ 180 องศา เพื่อให้ในการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างนักเรียนได้ด้วย ช่วยเปิดประสบการณ์เรียนรู้ให้แก่เด็กๆ ในอีกรูปแบบหนึ่ง โดยเฉพาะการใช้งานจอสัมผัส ร่วมกับแอปพลิเคชันฝึกทักษะต่างๆ

คีย์บอร์ดของ Chromebook C204 เป็นอีกจุดที่มีการออกแบบเป็นพิเศษ ทั้งการป้องกันน้ำหกใส่ได้ 66 cc และลดช่องว่างระหว่างขอบของปุ่มคีย์บอร์ดลงเพื่อป้องกันการงัดแงะ ซึ่งขนาดของปุ่มคีย์บอร์ดที่ให้มาถือว่าเป็นมาตรฐาน มีปุ่มสั่งงานต่างๆ ครบถ้วน 

ถัดมาคือในเรื่องของการเชื่อมต่อ Asus Chromebook C204 รองรับการเชื่อมต่อที่ครบถ้วน ทั้งการเชื่อมต่อไร้สาย ไม่ว่าจะเป็น WiFi 5 และบลูทูธ 5.0 รวมถึงพอร์ตเชื่อมต่อ USB-C 2 พอร์ต ที่รองรับการชาร์จ และเชื่อมต่อกับจอภาพนอก โดยจะมีตัวแปลง HDMI มาให้ และมีพอร์ต USB Type A 3.1 อีก 1 พอร์ต และไมโครเอสดีการ์ด 

แบตเตอรีที่ให้มาภายในเป็นแบบ 3 เซลล์ 50 WHr ซึ่งช่วยให้รองรับการใช้งานต่อเนื่องกว่า 12 ชั่วโมง การชาร์จทำได้ผ่านอะเดปเตอร์ USB-C 45W ที่ให้มาภายในกล่อง พร้อมกับเมาส์แบบมีสาย เพื่อให้สะดวกในการเชื่อมต่อใช้งานด้วย

สำหรับสเปกตัวเครื่องของ Asus Chromebook C204 ทำงานบนซีพียู Intel Celeron N4020 1.1 GHz ที่สามารถเร่งความเร็วในการประมวลผลสูงสุดเป็น 2.8 GHz ทำงานบนกราฟิกออนบอร์ด Intel UHD RAM 4 GB พื้นที่เก็บข้อมูลในตัวเครื่อง 32 GB ทำงานบน ChromeOS

ทุกอย่างเก็บไว้บนคลาวด์

จุดเด่นหลักอย่างหนึ่งของ Chromebook ที่ใช้งาน ChromeOS คือผู้ใช้ไม่ต้องคอยกังวลว่าข้อมูลต่างๆ ที่เก็บไว้จะหายไป เนื่องจากในการใช้งาน เมื่อมีการซิงค์ข้อมูลร่วมกับ Google Drive ใน G Suite ข้อมูลทุกอย่างที่เกิดขึ้นจะถูกเก็บไว้บนคลาวด์ทั้งหมด

ขณะเดียวกัน จึงทำให้เวลาใช้งานจำเป็นต้องเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต เพื่อเข้าถึงการใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่า บางแอปพลิเคชันก็รองรับการใช้งานแบบออฟไลน์ ที่สามารถเก็บไฟล์เ้บื้องต้นไว้ในตัวเครื่องก่อน แล้วเมื่อมีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตค่อยส่งไฟล์ไปเก็บไว้บนคลาวด์ก็ได้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้ตัวเครื่องจึงเพิ่มช่อง MicroSD มาให้ใส่เพิ่มไว้ใช้ในการเก็บข้อมูลด้วย

อย่างไรก็ตาม ด้วยรูปแบบการนำไปใช้ในการเรียนการสอนอย่าง Google Classroom ที่จะเน้นการทำงานร่วมกันของนักเรียน และครู จึงแนะนำว่าในการใช้งานควรเตรียมเครือข่ายไร้สายให้พร้อมรองรับการเชื่อมต่อกับ Chromebook ด้วย เพื่อดึงประสิทธิภาพในการใช้งานตัวเครื่องออกมาให้ดีที่สุด

อย่างเช่นรูปแบบการสั่งงานด้วยคำสั่งเสียงผ่าน Google Assistant ที่สามารถใช้เสียงในการค้นหาข้อมูล หรือเรียกใช้งานแอปพลิเคชัน ก็จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต เพื่อให้สามารถใช้งานได้ ดังนั้น ถ้าไม่มีอินเทอร์เน็ตการเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ก็จะถูกจำกัดไปด้วยเช่นกัน

พร้อมกันนี้ ASUS Chromebook ยังมาพร้อมการรับประกัน 3 ปีแบบOnsite Service ซ่อมฟรีถึงที่ พร้อมรองรับ Global Warranty 3 ปี และเพิ่มเติมด้วยประกันอุบัติเหตุในช่วง 1 ปีแรกด้วย

สำหรับ Chromebook C204MA รุ่นที่ใช้ Intel Celeron N4020 ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 8,500 บาท ขึ้นอยู่กับสเปกให้เลือกใช้งาน สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/3sKS6gn 

สรุป

ในการเลือกหาโน้ตบุ๊กสำหรับใช้งานในภาคการศึกษา นอกเหนือจากตัวเครื่องที่ต้องมีการออกแบบเป็นพิเศษแล้ว การเลือกใช้งานบนระบบปฏิบัติการที่มีโซลูชันรองรับการใช้งานที่เหมาะสม จะกลายเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้การเรียนการสอนมีความน่าสนใจมากขึ้น

ภาคการศึกษา หรือโรงเรียนที่สนใจเลือกนำ Chromebook ไปใช้งาน  Asus Chrombook C204 ถือเป็นหนึ่งในรุ่นเริ่มต้นที่ออกแบบมาสำหรับการกใช้งานที่ทนทานเป็นพิเศษ ในราคาเริ่มต้น 8,500 บาท รับประกันการใช้งาน 3 ปี ไว้เป็นตัวเลือกได้เลย

]]>
Review : MSI Summit E15 / B15 โน้ตบุ๊กองค์กรเครื่องแรง ปลอดภัยสูง https://cyberbiz.mgronline.com/review-msi-summit-e15-b15/ Mon, 01 Feb 2021 03:00:25 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34591

ตลาดโน้ตบุ๊กในกลุ่มองค์กรธุรกิจ ถือเป็นอีกกลุ่มที่ได้รับผลตอบรับในเชิงบวก จากสถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้เกิดการทำงานจากที่บ้าน หรือการปรับเปลี่ยนองค์กรธุรกิจสู่โมบิลิตี้เพิ่มมากขึ้น

MSI ถือเป็นแบรนด์โน้ตบุ๊กที่สร้างชื่อเสียงจากบรรดาเกมเมอร์ จนได้รับความเชื่อมั่นในแง่ของประสิทธิภาพในการใช้งาน จึงได้ขยายไลน์ผลิตภัณฑ์โน้ตบุ๊กเพิ่มเติม เพื่อมาตอบโจทย์องค์กรธุรกิจที่มีความต้องการโน้ตบุ๊กคุณภาพ บนมาตรฐานความปลอดภัยที่ได้รับการยอมรับ

MSI Summit ถือเป็นซีรีส์ที่มาเจาะกลุ่มนักธุรกิจที่เน้นในแง่ของประสิทธิภาพในการประมวลผลจากตัวเลือกอย่าง 11th Gen Intel Core i5 และ Core i7 บนจอแสดงผลขนาด 15” นิ้ว ในดีไซน์เรียบหรู เหมาะกับระดับผู้บริหาร

โดย MSI Summit แบ่งออกเป็น 2 รุ่นย่อยหลักๆ คือ Summit B15 ที่เป็นโน้ตบุ๊กธุรกิจระดับพรีเมียมรุ่นเริ่มต้น ในราคา 35,990 บาท และ Summit E15 รุ่นท็อปที่มาพร้อมการ์ดจอแยก ในราคาเริ่มต้น 55,990 บาท

ข้อดี

  • โน้ตบุ๊กประสิทธิภาพสูง บนหน่วยประมวลผล Intel รุ่นใหม่ล่าสุด
  • มีระบบรักษาความปลอดภัย รองรับการทำงานขององค์กรธุรกิจ
  • วัสดุตัวเครื่องเป็นอะลูมิเนียมแบบผิวด้าน ให้ความรู้สึกพรีเมียม
  • MSI Center ช่วยบริหารจัดการระบบใช้งานทรัพยากรต่างๆ ของตัวเครื่อง
  • ใช้งานบนแบตเตอรีได้ต่อเนื่อง

ข้อสังเกต

  • ด้วยการที่ให้พอร์ตมาครบ ทำให้ตัวเครื่องหนา 16.9 มม. น้ำหนัก 1.6 – 1.7 กิโลกรัม
  • รุ่นเริ่มต้นไม่รองรับการปลดล็อกด้วยใบหน้าใน มีเฉพาะสแกนลายนิ้วมือ
  • รุ่น Summit E15 ที่ใช้พลังงานสูง ทำให้อะเดปเตอร์มีขนาดใหญ่ พกพาได้ยากขึ้น

รู้จักซีรีส์ MSI Summit

สำหรับโน้ตบุ๊กในกลุ่มใช้งานทั่วไป และใช้สำหรับองค์กรธุรกิจของ MSI ปัจจุบัน จะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือซีรีส์ Modern ที่เน้นเรื่องความบางเบา พกพาง่าย ใช้งานแบตเตอรีได้ยาวนาน ตามมาด้วยซีรีส์ Prestige ที่เน้นความเป็นพรีเมียม และประสิทธิภาพสูงเพิ่มขึ้นมา

ส่วนในซีรีส์ Summit จะเป็นโน้ตบุ๊กสำหรับองค์กรธุรกิจระดับมืออาชีพ ที่ช่วยเพิ่มภาพลักษณ์ในการเลือกใช้งานสินค้า จากแบรนด์ที่ได้รับความมั่นใจในแง่ของความแรง และประสิทธิภาพตัวเครื่องที่พร้อมช่วยให้การทำงานราบรื่น

ภายในซีรีส์ Summit จะมีโน้ตบุ๊กให้เลือกใน 2 รุ่น ในขนาดหน้าจอ 15 นิ้ว โดยมีตัวเลือกอย่าง Summit B15 ที่เป็นรุ่นเริ่มต้น และ Summit E15 ซึ่งเป็นรุ่นจบของซีรีส์นี้

ความแตกต่างหลักๆ ของ Summit B15 และ E15 จะอยู่ที่สเปกตัวเครื่อง ที่ควรเลือกให้เหมาะสมกับลักษณะการทำงานมากกว่า ในรุ่นเริ่มต้นของ B15 จะมากับซีพียู Intel Core i5 และมีตัวเลือกให้เป็น Core i7 เพิ่มเติม แต่ในรุ่นนี้จะใช้เป็นกราฟิกการ์ด Intel Iris Xe

ในขณะที่ Summit E15 จะได้ความแรงในการใช้งานมากขึ้นด้วย Intel Core i7 ในซีรีส์ 1185G7 ที่ให้การประมวลผลแรงกว่า และยังมาพร้อมกับการ์ดจอแยก GeForce GTX 1650Ti with Max-Q Design ทำให้รองรับทั้งการทำงานทุกประเภท จนถึงนำมาเล่นเกมเพื่อคลายเครียดก็ได้

อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่เป็นโน้ตบุ๊กที่สามารถปรับแต่งเพิ่มเติมได้ ทำให้ลูกค้าในกลุ่มองค์กรธุรกิจ สามารถเลือกปรับสเปกบางส่วนอย่างการเลือกความละเอียดหน้าจอ เพิ่มฟีเจอร์การสัมผัสหน้าจอ รวมถึงการเพิ่มกล้องอินฟาเรด เพื่อใช้งานการปลดล็อกด้วยใบหน้าเพิ่มเติมได้ด้วย

สำหรับราคาจำหน่ายของ MSI Summit B15 เริ่มต้นที่ 35,990 บาท ในรุ่น Core i5 และ 38,990 บาท ในรุ่น Core i7 ในขณะที่ MSI Summit E15 จะเริ่มต้นที่ 55,990 บาท โดยตัวเครื่องจะมาพร้อมซองใส่โน้ตบุ๊ก และเมาส์ไร้สายให้ภายในกล่องด้วย

สเปกของ Summit E15 ที่วางจำหน่ายในประเทศไทย

สำหรับ MSI Summit E15 / B15 ที่วางจำหน่ายในไทย แบ่งออกเป็น 3 รุ่นด้วยกันคือ

MSI Summit E15 A11SCST-219TH
CPU – Intel Core i7-1185G7
GPU – NVIDIA GeForce GTX 1650 Ti Max-Q
Display – 15.6” FHD (1920 x 1080 พิกเซล) , Finger Touch Panel
RAM – DDR4 16 GB
SSD – NVMe 512 GB
ราคา – 55,990 บาท

สเปกของ Summit B15 ที่วางจำหน่ายในประเทศไทย

MSI Summit B15 A11M-065TH
CPU – Intel Core i5-1135G7
GPU – Intel Iris Xe
Display – 15.6” FHD
RAM – DDR4 8 GB
SSD – NVMe 512 GB
ราคา – 35,990 บาท

MSI Summit B15 A11M-064TH
CPU – Intel Core i7-1165G7
GPU – Intel Iris Xe
Display – 15.6” FHD
RAM – DDR4 8 GB
SSD – NVMe 512 GB
ราคา – 38,990 บาท

ใช้งานสำหรับองค์กรธุรกิจ

เมื่อรูปแบบการทำงานเปลี่ยนแปลงไป จากเดิมการเก็บข้อมูลอาจจะอยู่เฉพาะภายในบริษัท แต่ด้วยการทำงานในลักษณะของ Work From Home ทำให้พนักงานจำเป็นต้องเข้าถึงข้อมูลในองค์กรธุรกิจจากโน้ตบุ๊ก ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุดคือการที่องค์กรธุรกิจ เลือกใช้งานโน้ตบุ๊กที่มาพร้อมกับระบบรักษาความปลอดภัย

ภายใน MSI Summit ได้มีการนำระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูลมาตรฐานองค์กรธุรกิจมาใช้งาน โดยเฉพาะการเข้ารหัสข้อมูลด้วย Trusted Platform Module (TPM 2.0) ที่ทำงานร่วมกับ Windows Hello ทั้งการสแกนใบหน้าจากกล้องอินฟาเรด และปลดล็อกเครื่องด้วยลายนิ้วมือ

นอกจากนี้ ยังมีไฟสัญลักษณ์แสดงการทำงานของกล้องเว็บแคม เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานรู้ตัวว่ากำลังเปิดใช้งานกล้องอยู่ จนถึงการล็อกการโอนถ่ายข้อมูลผ่านพอร์ต USB และ MicroSD Card ป้องกันข้อมูลรั่วไหล

ขณะเดียวกัน เพื่อดูแลผู้ใช้งานให้โน้ตบุ๊กทำงานได้ราบรื่นมากที่สุด MSI มีการติดตั้งโปรแกรมอย่าง MSI Center มาอำนวยความสะดวก ในการอัปเกรดระบบปฏิบัติการ และไดรฟ์เวอร์ต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ

รวมถึงเปิดให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าไปตั้งค่าใช้งานตัวเครื่องอย่างง่ายๆ ทั้งการปรับแต่งประสิทธิภาพตัวเครื่องให้ใช้พลังงานอย่างเหมาะสม จนถึงปรับความสว่างหน้าจอ ความแรงพัดลม เพื่อให้ใช้งานเครื่องได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

นอกเหนือจากซอฟต์แวร์ในการทำงานแล้ว MSI Summit ยังผ่านการรับรองมาตรฐานความทนทานทางทหาร (MIL-STD-810G) ที่สามารถป้องกันแรงกดอากาศ อุณหภูมิสูงหรือต่ำเกินไป จนถึงป้องกันข้อมูลเมื่อเครื่องตกกระแทก ทำให้มั่นใจถึงความทนทานของตัวเครื่องได้

การออกแบบ

สำหรับดีไซน์ของ MSI Summit B15 และ Summit E15 ด้วยการที่วางตำแหน่งเป็นโน้ตบุ๊กธุรกิจระดับพรีเมียม วัสดุที่เลือกใช้จึงเป็นอะลูมิเนียมคุณภาพสูง นำมาเคลือบด้วยทรายละเอียด (Sandblasting) ทำให้สัมผัสตัวเครื่องที่ได้มีความหรูหรามากขึ้น

โดยขนาดของทั้ง B15 และ E15 จะอยู่ที่ 356.8 x 233.7 x 16.9 มิลลิเมตรเท่ากัน แต่น้ำหนักของ B15 จะอยู่ที่ประมาณ 1.6 กิโลกรัม ในขณะที่ E15 มีน้ำหนักของการ์ดจอ เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.79 กิโลกรัม

ดีไซน์โดยรวมของทั้ง B15 และ E15 นั้นจะคล้ายคลึงกันทั้งหมด แต่จะมีจุดที่แยกได้ระหว่าง 2 รุ่นนี้ชัดเจนเลยคือ E15 จะมีการเดินขอบทัชแพดสีทอง และบริเวณข้อต่อพับหน้าจอ จะมีสัญลักษณ์ Summit สีทองอยู่ ในขณะที่ B15 จะเป็นสีดำล้วนทั้งหมด

ในส่วนของหน้าจอ B15 จะมากับจอ 15.6 นิ้ว ความละเอียด FHD ซึ่งเป็นจอแบบ IPS แสดงผลสี sRGB ใกล้เคียง 100% ส่วน E15 มีขนาดเท่ากัน แต่จะมีออปชันเพิ่มคือเลือกเป็นหน้าจอแบบสัมผัสได้ เพื่อให้การใช้งานสะดวกขึ้น

ด้านบนหน้าจอจะมีกล้องเว็บแคมความละเอียด HD มาให้ โดยรุ่น E15 จะพิเศษเพิ่มขึ้นตรงที่มีไฟแสดงสถานะการทำงานของกล้องเพิ่มขึ้นมา และเลือกปรับแต่งเป็นกล้องแบบอินฟาเรดเพื่อนำมาใช้ปลดล็อกด้วยใบหน้าได้

อีกรูปแบบการใช้งานที่เพิ่มขึ้นมาในซีรีส์ Summit คือผู้ใช้สามารถกางหน้าจอแบบ 180 องศา ได้ ทำให้สามารถเปิดหน้าจอแชร์ให้เพื่อนร่วมงาน หรือคู่ค้าทางธุรกิจเข้าถึงคอนเทนต์ได้เช่นเดียวกัน

ถัดลงมาในส่วนของคีย์บอร์ดทั้ง 2 รุ่นเลือกใช้คีย์บอร์ดขนาดมาตรฐาน พร้อมมีดีไซน์แบบ Ergonomic Lift ที่จะช่วยยกตัวเครื่องขึ้นเมื่อกางหน้าจอขึ้นมา ช่วยให้องศาเหมาะกับการพิมพ์มากขึ้น พร้อมช่วยระบายความร้อนไปในตัว

บริเวณปุ่มควบคุมของคีย์บอร์ดแถบบน จะมีการปรับแต่งให้เหมาะกับการทำงานมากขึ้น อย่างการเพิ่มปุ่มควบคุมพิเศษ อย่างการเปิดปิดกล้อง และไมโครโฟน รวมถึงมีไฟคีย์บอร์ดมาให้ใช้งานในที่แสงน้อยได้ด้วย

ในส่วนของพอร์ตเชื่อมต่อทั้ง Summit B15 และ E15 ถือว่าให้มาครบถ้วย ซึ่งมีจุดที่แตกต่างกันเล็กน้อย คือในรุ่น B15 ทางฝั่งซ้ายจะมีพอร์ตชาร์จไฟ DC มาให้ ตามด้วย HDMI USB-C USB 3.2 และช่องเสียบหูฟัง

ในขณะที่ E15 จะมีจะไม่มีพอร์ตชาร์จไฟ แต่ให้เป็น USB-C 2 พอร์ต ตามด้วยพอร์ต HDMI และช่องเสียบหูฟังแทน ส่วนทางขวาเป็นพอร์ต USB 3.2 2 พอร์ต และช่องอ่านไมโครเอสดีการ์ด ทั้ง 2 รุ่น

ด้วยการที่ Summit B15 / E15 มีทั้งพอร์ต HDMI และ USB-C ที่เป็น Thunderbolt 4 มาให้ ทำให้สามารถเชื่อมต่อกับจอภาพได้ 2 จอพร้อมกัน ช่วยให้สามารถเชื่อมต่อกับหน้าจอเวลานั่งทำงานในสำนักงาน หรือโฮมออฟฟิศก็ได้ด้วย

สเปก

ทั้งนี้ รุ่นที่นำมาทดสอบในคราวนี้จะมีทั้ง Summit B15 ที่มากับ Intel Core i7-1165G7 ให้ความเร็วสูงสุด 4.7 GHz การ์ดจอ Intel Iris Xe RAM 8 GB SSD 512 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows 10 Pro

ส่วน Summit E15 มากับ Intel Core i7-1185G7 4.8 GHz การ์ดจอ GeForce GTX 1650 Ti with Max-Q Design RAM 16 GB SSD 512 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows 10 Pro เช่นเดียวกัน

สำหรับการเชื่อมต่อรองรับ WiFi 802.11ax บลูทูธ 5.1 แบตเตอรรี Summit E15 เป็นแบบ 4 เซลล์ 82Whr ขณะที่ Summit B15 เป็นแบตเตอรี 52 Whr

ทดสอบประสิทธิภาพ

เร่ิมกันที่ Summit B15 ก่อน จะเห็นได้ว่า ประสิทธิภาพในการประมวลผล เพียงพอกับการใช้งานทั่วไปอยู่แล้ว เพราะตัวเครื่องมากับซีพียูระดับ Core i7 เพียงแต่ถ้ามีการทำกราฟิกขั้นสูงมากขึ้นหรือ 3D อาจจะเริ่มไม่ไหว เพราะไม่มีการ์ดจอแยกมา

ในขณะที่ Summit E15 ที่มากับ Core i7 และการ์ดจอแยก GeForce GTX 1650 Ti with Max-Q Design ทำให้ตัวเครื่องรองรับการใช้งานได้หลากหลายกว่า เหมาะกับการทำงานของครีเอเตอร์มืออาชีพที่สามารถนำไปใช้ในการตัดต่อ หรือทำกราฟิกได้ด้วย

ทั้งนี้ สเปกของเครื่องที่วางจำหน่าย กับที่ทีมงานได้รับมาทดสอบจะมีจุดที่แตกต่างกันบ้างเล็กน้อย แต่ความสามารถโดยรวมจะใกล้เคียงกัน

สรุป

จากการแยกไลน์ผลิตภัณฑ์โน้ตบุ๊กของ MSI มาจับกลุ่มนักธุรกิจระดับพรีเมียม ที่ต้องการโน้ตบุ๊กจอใหญ่ประสิทธิภาพสูง บนมาตรฐานความปลอดภัยในการใช้งาน ทำให้ MSI Summit ทั้งรุ่น B15 และ E15 เป็นรุ่นที่ตอบโจทย์การใช้งานในองค์กรธุรกิจได้เป็นอย่างดี

โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการความแรงในการใช้งาน รวมถึงระยะเวลาการใช้งานต่อเนื่องบนแบตเตอรี อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่รุ่นเริ่มต้นอย่าง Summit B15 ไม่ได้มีการใส่การ์ดจอมาให้ด้วย อาจจะมีข้อจำกัดในการใช้งานเมื่อเทียบกับ Summit E15 ที่ครบเครื่องมากกว่า แลกกับระดับราคาที่แตกต่างกันไป

Gallery MSI Summit E15

Gallery MSI Summit B15

]]>
Review : Apple MacBook Pro M1 จุดเริ่มต้นของแมคยุคใหม่ https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-macbook-pro-m1/ Fri, 29 Jan 2021 06:54:18 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34666

นับตั้งแต่ Apple เปิดตัวชิปเซ็ตสำหรับแมคบุ๊กรุ่นใหม่อย่าง Apple M1 ออกมา ได้กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตลาดโน้ตบุ๊กพอสมควร ทั้งในแง่ของประสิทธิภาพในการทำงานที่แรงกว่าซีพียูหลักๆ ที่ใช้งานกันในปัจจุบัน จนถึงเรื่องของการใช้พลังงานที่น้อยลง และกลายเป็นจุดที่ทำให้ประทับใจกับชิปเซ็ตนี้มากที่สุด

หลังจากใช้งาน MacBook Pro M1 มาเกือบ 2 เดือน ทำให้เห็นถึงภาพรวมการใช้งานของ MacBook รุ่นใหม่ที่นำความสามารถของชิปเซ็ตนี้มาใช้งานได้อย่างน่าสนใจ ทั้งเรื่องของฮาร์ดแวร์ และระบบปฏิบัติการที่ปรับปรุงให้รองรับการใช้งานได้เป็นอย่างดี

แม้ว่า MacBook Air และ MacBook Pro จะยังคงใช้โมเดลเครื่องเดิม แต่การที่เปลี่ยนแปลงชิปเซ็ตในครั้งนี้ ช่วยให้ตัวเครื่องแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และกลายเป็น MacBook 2 รุ่น เริ่มต้น ที่เหมาะกับการใช้งานทั่วไปมากที่สุดในเวลานี้

ข้อดี

  • ประสิทธิภาพในการทำงานของชิปเซ็ต ร่วมกับระบบปฏิบัติการ macOS BigSur
  • แบตเตอรีใช้งานได้ต่อเนื่องทั้งวันสบายๆ
  • ตัวเครื่องร้อนน้อยกว่ารุ่น Intel อย่างเห็นได้ชัด

ข้อสังเกต

  • การใช้งานโปรแกรมเก่า บนชิปเซ็ตรุ่นใหม่ยังไม่ 100%
  • ตัวเครื่องยังใช้โมเดลเดิม และคาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในปีนี้
  • ในช่วงแรกที่ใช้งานมีปัญหาเรื่องการเชื่อมต่อบลูทูธไม่เสถียร

เปลี่ยนชิป แต่ดีไซน์เดิม

ทั้ง MacBook Air และ MacBook Pro ที่ใช้งาน Apple M1 รุ่นแรกที่ออกมาทำตลาดนั้น ต้องมองว่าแอปเปิล เลือกที่จะนำชิปเซ็ตรุ่นใหม่มาใช้งานกับฟอร์มเฟคเตอร์แบบเดิมก่อน แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วชิปเซ็ต M1 จะมีขนาดเล็กลงอย่างมาก เมื่อเทียบกับการใช้เมนบอร์ดที่ทำงานร่วมกับซีพียูของ Intel

ดังนั้น เครื่องรุ่นแรกนี้จึงเหมือนเป็นรุ่นทดสอบแรก ของ Apple ในช่วงการเปลี่ยนผ่านหน่วยประมวลผลจาก Intel ที่ทำงานบนสถาปัตยกรรมแบบ x86/x64 ไปยังสถาปัตยกรรมแบบ ARM ที่จะเกิดขึ้นในช่วง 2 ปีข้างหน้านี้

โดยใน MacBook Pro 13” (late 2020) จะใช้ดีไซน์เดิมของ MacBook Pro with TouchBar รุ่นเริ่มต้น ที่มีพอร์ต Thunderbolt 3 (USB-C) 2 พอร์ต มาให้ใช้งาน โดยมีขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 304.1 x 212.4 x 15.6 มิลลิเมตร น้ำหนักประมาณ 1.4 กิโลกรัม

สิ่งที่พัฒนาขึ้นมาคือเรื่องของการแสดงผลบนจอ Retina Display ขนาด 13.3 นิ้ว ความละเอียด 2560 x 1600 พิกเซ ที่ให้ความสว่างหน้าจอ 500 nit แสดงผลสีแบบ True Tone ที่รองรับขอบเขตสีกว้างระดับ P3 ทำให้การแสดงผลทำได้สวยงาม

พอร์ตเชื่อมต่อที่ให้มาทางซ้ายจะมีเพียง Thunderbolt 3 ที่เป็น USB 4 ใช้สำหรับเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมต่างๆ ต่อจอภาพ รวมถึงชาร์จแบตฯ มาให้ 2 พอร์ต และทางขวาจะมีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. มาให้ใช้งาน

คีย์บอร์ดของ MacBook Pro 13.3 นี้ปรับมาใช้งาน Magic Keyboard แล้วจากรุ่นก่อนหน้าที่ใช้งานเป็น Butterfly Keyboard และเริ่มนำมาใช้งานใน MacBook Pro 16” ก่อนทยอยอัปเดตให้ MacBook Pro รุ่นใหม่ใช้งานแทนที่ของเดิม

เทียบ Butterfly Keyboard ในรุ่นเก่า กับ Magic Keyboard ในรุ่นใหม่

บริเวณคีย์บอร์ดยังให้ Touch Bar มาไว้สำหรับสั่งงานร่วมกับโปรแกรมต่างๆ ได้สะดวกขึ้น โดยทางขวาสุดของ Touch Bar จะเป็น Touch ID ไว้สแกนลายนิ้วมือในการปลดล็อกเครื่อง รวมถึงการทำธุรกรรมต่างๆ บน MacBook ด้วย

ตัวแทร็กแพดที่ให้มายังคงใช้งานเป็น Force Touch ที่ใช้ไฟฟ้าสถิตมาคำนวนแรงกดของปุ่มช่วยให้มีความแม่นยำ และรองรับการใช้งานแบบมัลติทัชได้สมบุรณ์แบบเช่นเดิม

แบตเตอรีที่ให้มาภายใน MacBook Pro 13.3 นิ้ว เป็นขนาด 58.2 Whr ซึ่งทำให้ MacBook Pro รุ่นนี้ สามารถใช้งานเว็บเบราว์เซอร์ได้นานถึง 17 ชั่วโมง และใช้ดูภาพยนต์ได้ต่อเนื่องถึง 20 ชั่วโมงด้วยกัน

ภายในของ MacBook Pro M1 ยังมีจุดที่พัฒนาขึ้นอีกหลายๆ ด้านทั้งเรื่องของกล้อง FaceTime HD ที่ปรับปรุงให้รับแสงได้ดีขึ้น ลำโพงสเตอริโอที่ให้เสียงกว้างขึ้น รองรับ Dolby Atmos เพิ่มไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน รับกับเทรนด์ของการใช้งานวิดีโอคอนเฟอเรนซ์มากยิ่งขึ้น

ในขณะที่การเชื่อมต่อจะรองรับ WiFi 6 (802.11ax) เรียบร้อยแล้ว พร้อมบลูทูธ 5.0 ทำงานบนระบบปฏิบัติการ macOS BigSur ภายในกล่องจะให้อะเดปเตอร์แปลงไฟ USB-C ขนาด 61W มาให้พร้อมสาย USB-C ยาว 2 เมตร

ทำความเข้าใจ Apple M1

ในส่วนของสเปกตัวเครื่อง MacBook Pro 13.3 นิ้ว รุ่นใหม่นี้ จะมากับชิป Apple M1 ที่เปลี่ยนการออกแบบของหน่วยประมวลผลจากเดิมที่แยกกันในยุคของ Intel มารวมกันอยู่ในชิปเดียว (SOC : System on Chip) ช่วยให้แต่ละส่วนสื่อสารกันได้เร็วขึ้น และทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ภายในชิป M1 นี้ จะเป็นการรวมทั้งซีพียู ชิปโมเด็มสำหรับเชื่อมต่อ หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) หน่วยความจำ (RAM) ชิปประมวลผล AI (Neural Engine) เข้ามาอยู่รวมกัน

ขณะเดียวกัน ด้วยการผลิตบนสถาปัตยกรรมแบบ 5 นาโนเมตร ทำให้ Apple M1 กลายเป็นชิปรุ่นแรกที่ใช้เทคโนโลยีดังกล่าวในคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ที่มีการนำทรานซิสเตอร์ 1.6 หมื่นล้านตัวมาไว้ในชิปเดียวกัน

ในส่วนของซีพียูนั้น จะทำงานในแบบของ Octa-Core หรือ 8 คอร์ ที่แบ่งเป็นคอร์ประสิทธิภาพสูงจำนวน 4 คอร์ ออกแบบมาให้เรียกใช้การประมวลผลได้อย่างเต็มที่ และอีก 4 คอร์ สำหรับการใช้งานเบาๆ ช่วยให้รวมๆ แล้วสามารถประหยัดพลังงานได้เป็นอย่างมาก

ถัดมาคือความสามารถในการประมวลผลภาพ ที่กลายเป็นว่าเมื่อ GPU สามารถดึงหน่วยความจำมาใช้งานได้เต็มที่ก็จะช่วยทำให้ความเร็วในการประมวลผลเพิ่มขึ้นด้วย ตามด้วยการเติมชิป Neural Engine มาช่วยเรียนรู้พฤติกรรมการใช้งาน และปรับรูปแบบการใช้งานให้เหมาะสมด้วย

ในภาพรวมชิปเซ็ต Apple M1 ถือว่าให้พลังในการประมวลผลที่เร็วขึ้น และประหยัดพลังงานขึ้นอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับซีพียู Intel ที่แอปเปิลเลือกใช้ก่อนหน้านี้ ถือว่าพัฒนามาอย่างก้าวกระโดด

โดยปัจจัยหนึ่งที่สำคัญมากๆ ในการเปลี่ยนผ่านซีพียูครั้งนี้เกิดขึ้นได้ไร้รอยต่อก็คือการที่ทีมนักพัฒนาของแอปเปิล ปรับปรุง macOS BigSur ให้รองรับการทำงานร่วมกับชิปที่ใช้ ARM ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และปลดล็อกรูปแบบการใช้งานใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นบน MacBook ด้วย

ภายใต้การนำ Rosetta 2 ที่จะช่วยแปลงโปรแกรมที่ใช้ x86/x64 มาใช้งานบน M1 ได้รวดเร็วขึ้นด้วย นอกจากนี้ ยังสามารถนำแอปพลิเคชันที่พัฒนาให้ใช้งานบน iPhone และ iPad มาใช้งานบน MacBook ได้ด้วย เพราะถือว่าเป็นแอปที่พัฒนาบนพื้นฐานเดียวกันเรียบร้อยแล้ว

MacBook Air / Pro ที่ใช้ M1 เหมาะกับใคร

แน่นอนว่า ด้วยการที่เป็นรุ่นเปลี่ยนผ่านจาก Intel สู่ Apple M1 ทำให้ในการใช้งานจะมีจุดที่ต้องคำนึงถึงหลายๆ อย่าง เช่นผู้ที่ต้องทำงานร่วมกับโปรแกรมที่เป็น legacy ทั้งหลาย ที่หยุดพัฒนาไปแล้ว อาจจะไม่รองรับการทำงานได้อย่างเต็มที่บน M1

รวมถึงผู้ที่มีความจำเป็นต้องใช้งาน Bootcamp เพื่อรัน Windows ใช้งานบางส่วน บน Mac ที่ใช้ M1 ก็จะไม่สามารถใช้งาน Bootcamp ได้ ทำให้มีข้อจำกัดในการใช้งานอยู่พอสมควร

แต่กลับกันถ้าเป็นผู้ที่อยู่บนอีโคซิสเตมส์ของ Apple อยู่แล้ว โปรแกรมทั้งหลายที่ใช้เพื่อทำงาน ครีเอเตอร์ ทำงานเกี่ยวกับการตกแต่งภาพ ตัดต่อวิดีโอ ตลอดจนเรื่องของความบันเทิงต่างๆ ต้องยอมรับว่าประมวลผลได้เร็วขึ้นอย่างชัดเจน

เช่นเดียวกับเรื่องของแบตเตอรี ที่กลายเป็นว่าจากเดิม MacBook Pro ที่ใช้งาน Intel แทบจะต้องชาร์จแบตฯ เพื่อใช้งานทุกวัน แต่เมื่อใช้งานบน Apple Silicon ของ M1 แล้วกลายเป็นว่าใช้งานได้ต่อเนื่องยาวๆ เรียกได้ว่าไม่ต้องพกพาอะเดปเตอร์ออกนอกบ้านก็ทำงานได้ต่อเนื่องตลอดทั้งวัน

เรียกได้ว่าถ้าใครมีแผนที่จะซื้อ MacBook เครื่องใหม่ในช่วงนี้ เพื่อใช้ในการเรียน ทำงาน เน้นใช้โปรแกรมของ Apple และโปรแกรมใหม่ๆ ที่มีให้ดาวน์โหลดผ่าน App Store รุ่นที่ใช้งาน M1 จะตอบโจทย์อย่างแน่นอน

อีกข้อได้เปรียบของ MacBook ที่ใช้ Apple M1 คือภายใน App Store สามารถเลือกติดตั้งแอปพลิเคชันที่เปิดให้ใช้งานบน iPad และ iPhone ได้ด้วย ซึ่งถ้าแอปมีการอัปเดตให้รองรับก็จะใช้งานได้ไม่ต่างจากใช้งานบน iOS ได้เลย ช่วยอำนวยความสะดวกเพิ่มมากขึ้น

เลือก MacBook Air หรือ MacBook Pro

กลับมาที่อีกคำถามสำคัญคือ Apple เลือกเปิดตัว MacBook Air และ MacBook Pro ที่ใช้ชิป Apple M1 ออกมาพร้อมกัน ซึ่งประสิทธิภาพในการประมวลผลของทั้ง 2 รุ่นแทบไม่แตกต่างกัน

จุดต่างหลักๆ คือถ้าเป็น MacBook Air รุ่นเริ่มต้น 32,900 บาท จะเป็นชิป M1 ที่ใช้ GPU แบบ 7 คอร์ ความจุ 256 GB แต่ถ้าเป็นรุ่นที่ใช้ GPU 8 คอร์ ราคาจะอยู่ที่ 41,400 บาท ได้ความจุ 512 GB ซึ่งราคาจะไปใกล้กับ MacBook Pro M1 รุ่นเริ่มต้นที่ 42,900 บาท แต่ได้ความจุแค่ 256 GB

ถ้ามองในแง่ของความคุ้มค่าในการใช้งานจริงๆ MacBook Air M1 รุ่น 512 GB ถือว่าเพียงพอกับการใช้งานแล้ว ถ้าไม่ได้นำมาใช้ในการตัดต่อที่ต้องใช้พลังการประมวลผลยาวนาน แต่ถ้าใช้งานหนักๆ ต่อเนื่อง MacBook Pro ก็จะเหมาะกว่า

เหตุผลหลักก็คือ MacBook Air จะไม่มีพัดลมระบายอากาศ ในขณะที่ MacBook Pro จะมีพัดลม ทำให้ช่วยคุมอุณหภูมิของซีพียู เพื่อให้ใช้งานแบบประสิทธิภาพสูงสุดได้ต่อเนื่อง แต่ถ้าเป็นการประมวลผลในช่วงระยะเวลาสั้นๆ MacBook Air ก็พอกับการทำงานแล้ว

อย่างไรก็ตาม ถ้ายังไม่ได้มีความจำเป็นต้องซื้อเครื่องใหม่ในเวลานี้ ก็อยากแนะนำให้รอ MacBook รุ่นใหม่ที่จะออกในปี 2021 นี้มากกว่า เพราะคาดว่าจะมีการปรับปรุงในแง่ของดีไซน์ใหม่

เพราะขนาดของชิปเซ็ต และชิ้นส่วนต่างๆ ที่ใช้งานกับ Apple M1 นั้นเล็กลงมา แต่กลายเป็นว่าในรุ่นนี้ยังใช้ดีไซน์เดิมอยู่ การออกรุ่นใหม่ในปีนี้อย่าง Apple M1x อาจจะมาพร้อมกับดีไซน์ใหม่ และปลดล็อกประสิทธิภาพการใช้งานขึ้นไปอีก

สรุป

MacBook Pro 13 นิ้ว ที่มากับชิปเซ็ต Apple M1 ถือว่าทำออกมาได้ประทับใจในเรื่องประสิทธิภาพในการประมวลผล ที่เร็วขึ้นอย่างรู้สึกได้ ทั้งการใช้งานทั่วไป หรือแม้แต่การตกแต่งรูป ตัดต่อวิดีโอต่างๆ

อีกจุดที่สร้างความประทับใจเป็นอย่างมาก คือเรื่องของประหยัดพลังงานที่สามารถพกเครื่องนี้ออกไปทำงานนอกบ้านได้สบายๆ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องของแบตเตอรีเลย แม้ว่าจะเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตใช้งานตลอดเวลาก็ตาม

อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรกที่ใช้งานพบเจอปัญหาจากความไม่เสถียรของรับบบ้าง อย่างเช่นการส่ง AirDrop ระหว่างอุปกรณ์ Apple ด้วยกัน หรือปัญหาการเชื่อมต่อบลูทูธหลายอุปกรณ์พร้อมๆ กัน ทำให้ Magic Mouse เกิดอาการหน่วง หรือ AirPods เสียงขาดๆ ซึ่งถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นแล้วในการอัปเดต BigSur เวอร์ชันปัจจุบัน

]]>