Apple – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Mon, 30 Nov 2020 05:43:24 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : Apple iPhone 12 จุดเริ่มต้นของยุค 5G และการเปลี่ยนดีไซน์ในรอบหลายปี https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-iphone-12/ Wed, 25 Nov 2020 01:00:31 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34208

ในปีนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ แอปเปิล (Apple) มีการเปิดตัว iPhone พร้อมกันทั้งหมด 4 รุ่นย่อย จากในช่วงหลังๆ ที่เลือกนำเสนอพร้อมกัน 3 รุ่นย่อย ตั้งแต่ในยุค iPhone X ต่อด้วย Xs และ 11 โดยมีการเพิ่มไลน์อย่าง iPhone 12 mini ที่กลายมาเป็นรุ่นเริ่มต้นแทน

สีของ iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max

สีของ iPhone 12 และ iPhone 12 mini

ความพิเศษของ iPhone 12 Series คือทั้ง 4 รุ่น 3 ขนาด มีสเปกชิปประมวลผลเดียวกัน ทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมไม่แตกต่างกัน จะมีจุดที่ต่างกันหลักๆ คือเรื่องของแบตเตอรี ขนาดหน้าจอ และกล้องที่ไล่ระดับความสามารถกันไป

ที่สำคัญคือทุกรุ่นรองรับการเชื่อมต่อ 5G ทันทีที่ใส่ซิมใช้งาน จึงกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาดสมาร์ทโฟนในประเทศไทย ที่ปัจจุบันผู้ให้บริการเครือข่ายอย่างเอไอเอส และทรูมูฟ เอช เริ่มให้บริการครอบคลุมในพื้นที่หลักๆ ทั่วประเทศแล้ว

ข้อดี

  • มีตัวเลือกให้เหมาะกับการใช้งานที่หลากลาย
  • ทุกรุ่นประสิทธิภาพเท่ากัน รองรับ 5G ทั้งหมด
  • ดีไซน์ปรับใหม่ ให้ความรู้สึกแข็งแรง
  • หน้าจอ Super Retina XDR ให้สีสวย คมชัด

ข้อสังเกต

  • ภายในกล่องไม่มีแถมอะเดปเตอร์ และหูฟังมาให้
  • แบตเตอรี หมดค่อนข้างเร็วเมื่อเชื่อมต่อ 5G – เล่นเกมหนักๆ
  • ขอบเครื่องรุ่น Pro ติดรอยนิ้วมือค่อนข้างง่าย

รู้จักความเหมือนของทั้ง 4 รุ่น

เมื่อมีตัวเลือกให้เลือกหลากหลายรุ่น ทำให้คำถามที่เกิดขึ้นคือ แต่ละรุ่นมีความแตกต่างกันอย่างไร เพื่อให้เห็นข้อมูลที่ชัดเจนมากขึ้น ขอเริ่มจากสิ่งที่ทั้ง 4 รุ่นเหมือนกันก่อน เพื่อแสดงให้เห็นภาพรวมของ iPhone 12 Series นี้

โดยเริ่มที่ขุมพลังของ iPhone ที่ช่วยให้การใช้งานลื่นไหล และประมวลผลข้อมูลต่างๆ ได้เป็นอย่างดี คือ Apple A14 Bionic ที่เริ่มนำมาใช้งานเป็นครั้งแรกใน iPad Air ที่เปิดตัวในเดือนที่ผ่านมา ก่อนนำมาใช้งานกับ iPhone 12 Series ในรอบนี้

Apple A14 Bionic ถือเป็นชิปเซ็ตที่พัฒนาขึ้นบนสถาปัตยกรรมแบบ 5 นาโนเมตร ที่แบ่งหน่วยประมวลผลออกเป็น 6 คอร์ โดย 2 คอร์สำหรับการประมวลผลระดับสูง และ 4 คอร์ที่ปรับแต่งมาให้รองรับการประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ GPU ใน A14 Bionic ยังช่วยประมวลผลให้ตัวเครื่องสามารถเล่นเกมประสิทธิภาพสูง การแสดงภาพสมจริง จนถึงการปรับแต่งวิดีโอให้แสดงผลได้ดียิ่งขึ้น ทำงานร่วมกับ NPU แบบ 16 คอร์ ที่จะเรียนรู้พฤติกรรมการใช้งานและปรับแต่งให้เหมาะสมที่สุด

ทดสอบความเร็ว AIS 5G ทำความเร็วได้ต่อเนื่องที่ 1 Gbps (ถ้าไม่มีแพ็กเกจ Unlimited ไม่แนะนำให้กดทดสอบความเร็ว)

ถัดมาคือเรื่องของการรองรับการเชื่อมต่อ 5G ซึ่งทางแอปเปิล ปล่อย Carrier Update ให้ผู้ใช้งาน iPhone 12 ในไทยสามารถเชื่อมต่อ 5G ได้ทันที โดยหลังจากที่เปิดเครื่องทำการอัปเดตเฟิร์มแวร์ และซิมการ์ดมีการเปิดใช้งาน 5G ก็จะจับสัญญาณใช้งานได้ทันที

ขอบเครื่องเหลี่ยม เหมือนใน iPhone 5s

ต่อด้วยในเรื่องของดีไซน์ ที่ในปีนี้มีการปรับโฉมกลับมาใช้รูปทรงแบบขอบเหลี่ยมตัดแทน โดยใน iPhone 12 mini และ iPhone 12 จะใช้วัสดุเป็นอะลูมิเนียมเกรดเดียวกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมอวกาศ ในขณะที่รุ่น Pro จะใช้วัสดุเป็นสแตนเลสสตีล 

โดยกระจกหน้าจอของทั้ง 4 รุ่น จะมีการเคลือบ Ceramic Shiled ช่วยป้องกันแรงกระแทกของจอภาพได้ดีขึ้นถึง 4 เท่า แต่ไม่ได้กันในเรื่องของรอยขีดข่วนอยู่เช่นเดิม อย่างไรก็ตามทุกรุ่นมาพร้อมการป้องกันน้ำระดับ IP68 ทำให้สามารถทนน้ำได้ลึก 6 เมตร 30 นาที

ระบบการปลดล็อกเครื่องยังคงเป็น Face ID ที่ทำงานร่วมกับกล้องหน้าแบบ TrueDepth ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/2.2 ทั้ง 4 รุ่น ซึ่งยังรองรับการปลดล็อกด้วยใบหน้าในแนวตั้งเท่านั้น ไม่ได้ถูกปรับให้สามารถปลดล็อกทุกมุมเหมือนใน iPad Pro

ทุกรุ่นยังรองรับการใช้งาน MagSafe ที่เป็นรูปแบบใหม่ของการชาร์จไร้สาย และใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เสริม ด้วยการนำจุดเด่นของแม่เหล็กมาใช้งาน ทำให้สามารถเชื่อมต่อกับเคสใส่นามบัตร และอื่นๆ ที่จะพัฒนาต่อไปในอนาคตด้วย

รวมจุดต่างของทั้ง 4 รุ่น

เมื่อเห็นจุดที่เหมือนกันแล้ว มาดูถึงจุดต่างของเครื่องทั้ง 4 รุ่นกันบ้าง ที่จะมีความแตกต่างเล็กน้อยๆ ไล่ระดับกันไป บนพื้นฐานของการใช้งานที่ไม่แตกต่างกันมากนัก ทำให้ในการเลือกใช้งานควรคำนึงถึงจุดต่างเหล่านี้

เริ่มกันที่หน้าจอ iPhone 12 Series ทุกรุ่นจะมากับหน้าจอ Super Retina XDR ที่เป็นหน้าจอ OLED ให้ความละเอียด และความคมชัดที่ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้า โดยในรุ่น iPhone 12 mini และ iPhone 12 จะให้ความสว่างหน้าจอ 625 nit ในขณะที่ iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max จะอยู่ที่ 800 nit

iPhone 12 mini มากับหน้าจอ 5.4 นิ้ว ความละเอียด 2340 x 1080 พิกเเซล ขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 131.5 x 64.2 x 7.4 มิลลิเมตร น้ำหนัก 135 กรัม

ส่วน iPhone 12 และ iPhone 12 Pro มีขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้ว ความละเอียด 2532 x 1170 พิกเซล ขนาดตัวเครื่อง 146.7 x 71.5 x 7.4 มิลลิเมตร เท่ากันทั้งหมด ทำให้สามารถใช้อุปกรณ์เสริมร่วมกันได้ โดยน้ำหนักของ iPhone 12 จะเบากว่าที่ 164 กรัม ส่วน iPhone 12 Pro หนัก 189 กรัม

iPhone 12 Pro Max ที่เป็นรุ่นใหญ่สุดในปีนี้ ปรับขนาดหน้าจอมาเป็น 6.7 นิ้ว ความละเอียด 2778 x 1284 พิกเซล ขนาดตัวเครื่อง 160.8 x 78.1 x 7.39 มิลลิเมตร น้ำหนัก 228 กรัม

iPhone 12 mini และ iPhone 12 มีให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 5 สี คือ ดำ ขาว น้ำเงิน เขียว และแดง ส่วน iPhone 12 Pro และ 12 Pro Max มีให้เลือก 4 สี คือ กราไฟต์ เงิน ทอง และแปซิฟิกบลู

ให้ความสำคัญกับกล้องถ่ายภาพ

iPhone 12 mini และ iPhone 12 ใช้เลนส์คู่ UltraWide – Wide

ในเรื่องของกล้องถ่ายภาพใน iPhone 12 mini และ iPhone 12 จะมากับกล้องคู่เลนส์ไวด์ และอัลตร้าไวด์ ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล โดยเลนส์มุมกว้างจะมากับ f/2.4 และเลนส์หลักเป็น f/1.6 ช่วยให้สามารถเก็บรายละเอียดภาพในที่แสงร้อยได้ดีขึ้น รองรับการซูมดิจิทัลที่ 5 เท่า

โดยเลนส์อัลตร้าไวด์ที่ใช้จะเป็นเลนส์เดียวกันหมดทั้ง 4 รุ่น ส่วนเลนส์ไวด์ จะถูกนำมาใช้กับ iPhone 12 Pro ด้วย เพิ่มเติมด้วยเลนส์เทเลโฟโต้ f/2.0 ที่รองรับการซูมออปติคอล 2 เท่า เทียบเท่าเลนส์ 52 มม. ซูมดิจิทัลได้ 10 เท่า

iPhone 12 / iPhone 12 Pro Max / iPhone 12 Pro

สุดท้ายในส่วนของ iPhone 12 Pro Max ที่มีความพิเศษในเลนส์ไวด์ ด้วยการใช้เซ็นเซอร์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น รองรับระบบกันสั่น OIS ที่เซ็นเซอร์ f/1.6 เช่นเดียวกัน ทำให้สามารถบันทึกภาพในที่แสงน้อยได้ดีกว่ารุ่นอื่น รวมถึงการเพิ่มระยะเลนส์เทเลโฟโต้เป็น 65 มม. หรือซูมออปติคัล 2.5 เท่า ทำให้รองรับการซูมดิจิทัลได้สูงสุดที่ 12 เท่า

อีกความพิเศษที่มีเฉพาะใน 12 Pro และ 12 Pro Max คือการเพิ่มเซ็นเซอร์ LiDAR แบบเดียวกับที่ใช้งานใน iPad Pro รุ่นล่าสุด เพื่อนำมาใช้ในการวัดระยะของพื้นผิว รวมถึงการคำนวนภาพ 3 มิติ ร่วมกับชิป A14 Bionic ซึ่งช่วยทำให้สามารถโฟกัสได้เร็วขึ้นในที่แสงน้อย รวมถึงการถ่ายภาพบุคคลในโหมดกลางคืนได้แม่นยำขึ้น

ทำให้รวมๆ แล้ว iPhone 12 Pro Max จะกลายเป็นรุ่นที่มีประสิทธิภาพในการถ่ายภาพนิ่ง และวิดีโอดีที่สุด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการคุณภาพที่ดีที่สุด รองลงมาด้วยรุ่น Pro ส่วน 12 และ 12 mini ก็ถือว่าเพียงพอกับการใช้งานทั่วไปแล้ว เพราะเลนส์หลักที่ใช้ใกล้เคียงกัน

สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายวิดีโอ ต้องยอมรับว่า iPhone 12 ที่รองรับการบันทึกวิดีโอแบบ HDR 10 บิต ในแบบ Dolby Vision ทำให้สามารถเก็บรายละเอียดสีได้ดีมากขึ้น และทำให้ภาพที่ดีมีชีวิตชีวา ที่สำคัญด้วยหน้าจอที่รองรับการแสดงผลแบบ HDR ยิ่งทำให้ภาพที่ได้มีคุณภาพมากขึ้นไปอีก

Smart Data ช่วยปรับโหมด 4G – 5G

การตั้งค่าเชื่อมต่อเครือข่าย 5G

ด้วยการที่ iPhone 12 รองรับ 5G ทั้ง 4 รุ่น ทำให้ผู้ที่ใช้งานเครือข่าย 5G จะพบว่าตัวเครื่องใช้พลังงานแบตเตอรีมากกว่าปกติ ดังนั้น ในการใช้งานแนะนำให้เปิดโหมด Smart Data ทิ้งไว้ เนื่องจากตัวเครื่องจะคอยคำนวนว่า เมื่อถึงรูปแบบการใช้งานที่จำเป็น ตัวเครื่องจะสลับการเชื่อมต่อระหว่าง 4G และ 5G ให้แบบอัตโนมัติ

ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีการใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์ก หรือแอปพลิเคชันในการสื่อสารผ่านตัวอักษรทั่วไป ความเร็วในการเชื่อมต่อผ่าน 4G นั้นเพียงพออยู่แล้ว ตัวเครื่องก็จะเลือกใช้งานเครือข่าย 4G เป็นหลัก จึงไม่แปลกที่เมื่อใช้งานทั่วไปจะเห็นสัญลักษณ์ 4G แสดงขึ้นบนหน้าจอ แม้ว่าจะอยู่ในพื้นที่ 5G ครอบคลุมก็ตาม

ในอีกกรณีหนึ่งถ้ามีการเรียกใช้งานระบบสตรีมมิ่ง วิดีโอคอลล์ หรือเล่นเกม ตัวเครื่องก็จะเปลี่ยนไปจับสัญญาณ 5G แทน เพื่อให้การดาวน์โหลดข้อมูลทำได้รวดเร็วมากขึ้น และช่วยให้สามารถโทรผ่าน FaceTime ได้ละเอียดถึงระดับ Full HD 1080p ด้วย

ทั้งนี้ iPhone 12 ทุกรุ่นที่วางขายในไทยจะรองรับการเชื่อมต่อ 5G แบบ Sub-6 หรือคลื่นความถี่ต่ำกว่า 6 GHz เท่านั้น ไม่ได้รองรับคลื่นความถี่ระดับ mmWave ดังนั้น คลื่นหลักที่นำมาใช้งานในไทยจึงเป็นคลื่น 2600 MHz ในปัจจุบัน และช่วงต้นปีหน้าจะมีเพิ่มคลื่น 700 MHz เข้ามาให้ใช้งาน

MagSafe กับกับวิธีการชาร์จไร้สายรูปแบบใหม่

นอกเหนือจากตัวเครื่องแล้วอีกนวัตกรรมที่แอปเปิล พัฒนาขึ้น และนำมาใช้งานร่วมกับ iPhone 12 คือการชาร์จไร้สาย และการเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริมรูปแบบใหม่อย่าง MagSafe ที่นำชื่อของระบบชาร์จในแมคบุ๊กที่เป็นแม่เหล็กช่วยเพิ่มความปลอดภัยขณะชาร์จแบตมาใช้งาน

การทำงานของ MagSafe ในเวลานี้จะมีด้วยกัน 2 ส่วนหลักๆ เริ่มจากใช้งานคู่กับแท่นชาร์จ MagSafe ที่พัฒนาขึ้นมาจากระบบชาร์จไร้สาย Qi ทำให้ชาร์จได้แรงขึ้นเป็น 15W จากปกติที่ 7.5W โดยมีข้อจำกัดว่าต้องใช้งานร่วมกับอะเดปเตอร์แบบ 20W ที่แอปเปิลวางจำหน่ายในราคา 690 บาท ด้วย

อีกรูปแบบหนึ่งคือการนำแม่เหล็กของ MagSafe มาใช้งานกับอุปกรณ์เสริม โดยเฉพาะในเคสสีสันและลวดรายต่างๆ ที่ทำงานร่วมกับกระเป๋าสตางค์หนัง สำหรับใส่นามบัตรแปะไว้ที่หลังเครื่องเป็นต้น

ข้อดีอย่างหนึ่งของ MagSafe คือมีการยึดติดกับตัวเครื่องที่แน่นหนา สามารถยกตัวเครื่องให้ลอยขึ้นมาได้ และช่วยให้สามารถเล่นเกมระหว่างชาร์จแบตเตอรีไปได้ด้วย จากเดิมในการชาร์จแบบมีสายจะทำให้เล่นเกมในแนวนอนไม่สะดวก

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของอุปกรณ์เสริมอย่างซองหนัง เวลาใส่ใช้งานต้องระวังเวลาเก็บ iPhone ใส่เข้าไปในกระเป๋ากางเกงพอสมควร เนื่องจากลื่นหลุดค่อนข้างง่าย เมื่อมีแรงดึงจากด้านข้าง แต่ถ้าเก็บใช้งานในกระเป๋าถือทั่วไปน่าจะไม่เจอปัญหานี้

ไม่แถมอะเดปเตอร์หูฟัง ลดขนาดกล่อง

การที่แอปเปิล ไม่แถมอะเดปเตอร์ชาร์จ ใน iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่นนั้น แม้ว่าจะมีการยกเหตุผลอย่างเรื่องการรักษ์โลกมาใช้ แต่ในความเป็นจริงแล้วกลายเป็นการผลักภาระให้ผู้บริโภคต้องซื้ออะเดปเตอร์มาใช้งานเพิ่มเติม แม้ว่าแอปเปิลจะระบุว่า ทุกคนมีหัวชาร์จ iPhone ใช้งานอยู่แล้วก็ตาม

โดยการที่แอปเปิล ไม่แถมทั้งอะเดปเตอร์ และหูฟังมานั้น ช่วยให้ลดขนาดกล่องของ iPhone ลงมาได้เกือบ 50% จากที่เห็นในรูปคือกล่องของ iPhone 11 Pro Max 1 กล่อง จะใกล้เคียงกับ iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max รวมกัน 2 กล่องเลยทีเดียว

สำหรับอะเดปเตอร์ชาร์จนั้น ประเด็นหนึ่งที่ควรคำนึงถึงก็คือผู้ที่ใช้งาน iPhone รุ่นก่อนหน้านี้ ถ้าไม่ใช่ iPhone 11 Pro หรือ iPhone 11 Pro Max ทุกรุ่นจะแถมอะเดปเตอร์แบบ 5W ที่เป็นหัวชาร์จ USB Type A to Lightning มาให้ ในขณะที่สายชาร์จที่แถมกับ iPhone 12 นั้นเป็น USB Type C to Lightning

นั่นแปลว่าอะเดปเตอร์ของ iPhone รุ่นก่อนหน้าจะไม่สามารถนำมาใช้กับอุปกรณ์ในกล่องที่แอปเปิลแถมมาให้ได้ หรือถ้านำสายเก่ามาใช้ชาร์จก็จะชาร์จได้ช้ามาก โดยในรุ่น 12 Pro Max ถ้าต้องการชาร์จจนเต็มอาจใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมงกว่าๆ

ในขณะที่ถ้าใช้งานร่วมกับอะเดปเตอร์ 20W ขึ้นไป จะสามารถชาร์จ 50% ได้ ภายใน 30 นาที และใช้เวลารวมไม่ถึง 2 ชั่วโมงในการชาร์จจนเต็ม ดังนั้น ในการซื้อ iPhone 12 มาใช้ควรเผื่อเงินอีก 690 บาทไปซื้ออะเดปเตอร์ชาร์จด้วย

ส่วนในเรื่องของหูฟังนั้น ถือว่ายอมรับได้ เพราะปัจจุบันหูฟังแบบไร้สายได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น และสามารถหาซื้อได้ตั้งแต่ราคาไม่กี่ร้อยบาท ไปจนถึงหลักหมื่นบาท ซึ่งเชื่อว่าผู้ที่ใช้งาน iPhone ส่วนใหญ่จะเริ่มมีหูฟังไร้สายใช้งานกันแล้ว จึงไม่ได้ติดอะไร

ภาพรวมตัวเครื่อง

ในส่วนของตัวเครื่อง iPhone นั้น ในรอบนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงเลย์เอาท์บางส่วน อย่างการเปลี่ยนช่องใส่นาโนซิมการ์ดมาอยู่ทางด้านซ้ายตัวเครื่อง ถัดจากปุ่มปิดเสียง และเพิ่มลดเสียง

ทางฝั่งขวายังคงเป็นปุ่มเปิดเครื่อง และเรียกใช้งาน Siri (ถ้าต้องการปิดเครื่องให้กดปุ่มเปิดเครื่อง พร้อมกับปุ่มเพิ่มเสียงค้างไว้) ด้านบนจะเป็นแถบรับสัญญาณโทรศัพท์มือถือ

ด้านล่างจะเป็นพอร์ต Lightning ที่มีช่องลำโพงอยู่ข้างๆ โดยถ้าสังเกตทั้ง 4 รุ่น จะพบว่าลำโพงของ iPhone 12 mini จะมีรูที่น้อยกว่า iPhone 12 และ iPhone 12 Pro เช่นเดียวกับที่ iPhone 12 Pro Max จะมีรูลำโพงมากที่สุดด้วย

ในส่วนของการเชื่อมต่อนอกจาก 5G ที่เป็นเทคโนโลยีใหม่แล้ว ยังรองรับ WiFi 6 บลูทูธ 5.0 มีชิป UltraWide Band ช่วยในการรับรู้ตำแหน่งของอุปกรณ์ต่างๆ มีชิป NFC มาให้ใช้งานได้ครบถ้วน บนระบบปฏิบัติการ iOS 14.2

สำหรับราคาจำหน่ายของ iPhone 12 mini เริ่มต้นที่ 25,900 บาท iPhone 12 เริ่มต้นที่ 29,900 บาท iPhone 12 Pro เร่ิมที่ 36,900 บาท และ iPhone 12 Pro Max เริ่มที่ 39,900 บาท

สรุป

เป็นอีกครั้งที่แอปเปิล ทำ iPhone รุ่นใหม่ออกมาได้น่าสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องการที่ทำให้ทุกรุ่นรองรับการเชื่อมต่อ 5G และมีตัวเลือกที่หลากหลาย เริ่มตั้งแต่ iPhone 12 mini ที่ปัจจุบันเป็นสมาร์ทโฟนที่รองรับ 5G ที่บางที่สุดในโลก

ในส่วนของ iPhone 12 ที่คาดว่าจะเป็นรุ่นขายดีที่สุด เรียกได้ว่าพัฒนาขึ้นมาจาก iPhone 11 ได้แบบก้าวกระโดด และกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มีงบประมาณจำกัด แล้วต้องการ iPhone ที่ครบเครื่อง

สุดท้ายคือ iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max ที่ขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งานเลยว่าต้องการเครื่องที่มีขนาดหน้าจอใหญ่ขึ้นหรือไม่ ถ้าไม่ต้องการ 12 Pro ก็ถือว่าตอบโจทย์การใช้งานแล้ว แต่ถ้าต้องการจอใหญ่ และมีงบประมาณเหลือเฟือการเลือก 12 Pro Max ก็ถือเป็นรุ่นที่จบที่สุด

ชมภาพตัวอย่างจาก iPhone 12 ได้ที่นี่ 

Gallery

]]>
Review : Apple iPhone SE ดีไซน์ที่คุ้นเคย แรงขึ้น ในราคาเริ่มต้น 14,900 บาท https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-iphone-se/ Thu, 04 Jun 2020 07:38:55 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=32920

หลังจากเปิดตัวมา iPhone SE กลายเป็น iPhone รุ่นที่ถูกพูดถึงมากที่สุด และเชื่อว่าจะสามารถทำยอดขายได้ดีเป็นลำดับต้นๆ เหมือนที่ประวัติศาสตร์ของ iPhone SE รุ่นแรกเคยทำได้ เนื่องจากเป็น iPhone ราคาประหยัด ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถเข้าถึงอีโคซิสเตมส์ และบริการต่างๆ ของ Apple ได้

จุดเด่นหลักของ iPhone SE รุ่นที่ 2 คือเรื่องของประสิทธิภาพตัวเครื่อง เนื่องจากใช้หน่วยประมวลผล Apple A13 Bionic เช่นเดียวกับในรุ่นท็อปสุดอย่าง iPhone 11 Pro Max มากับขนาดตัวเครื่องที่กระทัดรัด จับถือใช้งานง่าย ในราคาเริ่มต้นที่ 14,900 บาท ซึ่งถือว่าเป็น iPhone ที่เปิดตัวมาราคาถูกที่สุดในเวลานี้

ข้อดี

  • หน่วยประมวลผล A13 Bionic
  • กันน้ำ กันฝุ่น IP67
  • รองรับการใช้งาน 2 ซิม และเชื่อมต่อ WiFi 6

ข้อสังเกต

  • หน้าจอขนาดเล็ก 4.7 นิ้ว
  • กล้องหลัก ยังเป็นกล้องเดียว ทำให้มีข้อจำกัดในการถ่ายภาพ
  • ที่ชาร์จที่แถมให้ไม่รองรับการชาร์จเร็ว

iPhone SE เหมาะกับใคร?

ที่ผ่านมา iPhone SE รุ่นแรกได้แสดงให้เห็นแล้วว่า Apple ต้องการแย่งชิงกลุ่มลูกค้าที่ใช้งานสมาร์ทโฟน Android แล้วต้องการเปลี่ยนมาใช้งาน iPhone ในระดับราคาที่ไม่สูงเกินไป เพราะถือว่าเป็น iPhone ที่ Apple วางออกมาในระดับราคาที่เหมาะสม และได้เครื่องที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า Android รุ่นท็อป ตามที่ทิม คุก เคยบอกไว้

กับอีกกลุ่มคือผู้ที่ใช้งาน iPhone รุ่นเก่าๆ อย่าง iPhone 5 iPhone 6 iPhone 6s iPhone SE รุ่นแรก จนถึง iPhone 7 แล้วต้องการเครื่องรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ในรูปทรงที่คุ้นชินกันอยู่แล้ว ก็สามารถเลือกใช้งาน iPhone SE ได้ โดยเฉพาะผู้ใช้งาน iPhone 6 ลงไป ที่ไม่สามารถอัปเกรด iOS 13 มาใช้งานได้แล้ว

ขณะเดียวกันก็เหมาะกับการใช้งานในช่วงนี้ ที่ทุกคนต้องใส่ผ้าปิดปากเวลาออกไปข้างนอก เพราะกลายเป็น iPhone รุ่นใหม่เพียงรุ่นเดียวในเวลานี้ ที่มากับระบบ Touch ID ในขณะที่ iPhone 11 iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max ไม่มี Touch ID ให้ใช้งาน มีเพียงแต่การปลดล็อกด้วยใบหน้าอย่าง Face ID เท่านั้น

สำหรับราคาจำหน่ายของ iPhone SE มีด้วยกัน 3 ความจุ เริ่มต้นที่ 64 GB ในราคา 14,900 บาท ตามด้วย 128 GB ในราคา 16,900 บาท และ 256 GB ในราคา 20,900 บาท มีให้เลือกด้วยกัน 3 สีคือ ขาว ดำ และแดง (Product) Red ซึ่งเป็นสีพิเศษ

อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่เป็น iPhone SE ที่ใช้ดีไซน์ของ iPhone รุ่นเดิม ทำให้มีข้อจำกัดในแง่ของขนาดหน้าจอที่อาจจะเล็กไปสักหน่อย เมื่อเทียบกับหน้าจอของสมาร์ทโฟนในยุคปัจจุบัน ทำให้อาจจะต้องตัดสินใจดูเล็กน้อยว่าขนาดหน้าจอมีผลกับการใช้งานมากแค่ไหน

กับอีกจุดที่ Apple ทำได้ดีคือเรื่องของการซัพพอร์ตสินค้า โดย iPhone SE รุ่นแรกได้แสดงให้เห็นแล้วว่าตั้งแต่เครื่องออกมาวางจำหน่ายในปี 2016 จนถึงปี 2020 แล้ว ก็ยังได้รับการอัปเกรดเฟิร์มแวร์เป็นรุ่นใหม่อย่าง iOS 13 นั่นแปลว่า รองรับการอัปเกรดมาถึง 5 รุ่นด้วยกัน

เจาะลึกรายละเอียด iPhone SE รุ่นที่ 2

ด้วยการที่ดีไซน์ของ iPhone SE เป็นการนำโครงของ iPhone 8 มาใช้ และมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในบางจุด ที่สังเกตได้หลักๆ คือ บริเวณขอบจอของ iPhone SE รุ่นที่ 2 นี้ จะมากับสีดำทั้งหมด แตกต่างจากก่อนหน้าที่ในรุ่นสีขาว ขอบจอก็จะเป็นสีขาวด้วย กับอีกจุดคือสัญลักษณ์โลโก้ Apple ที่หลังเครื่อง จะขยับลงมาอยู่ตรงกึ่งกลางมากขึ้น

สำหรับขนาดตัวเครื่องของ iPhone SE จะอยู่ที่ 138.4 x 67.3 x 7.3 มิลลิเมตร น้ำหนัก 148 กรัม เรียกได้ว่าเป็นขนาดเล็กที่พอดีกับมือมากที่สุด วัสดุที่เป็นอะลูมิเนียม 7000 ซีรีส์ ที่ให้ความแข็งแรง น้ำหนักเบาด้วย และกลายเป็น iPhone รุ่นสุดท้ายที่เวลาใช้งาน สามารถใช้มือเดียวสัมผัสได้ครอบคลุมทุกพื้นที่ของจอก็ว่าได้

โดยขนาดหน้าจอของ iPhone SE จะอยู่ที่ 4.7 นิ้ว ที่เป็นหน้าจอ Retina HD ความละเอียด 1344 x 750 พิกเซล ให้วามละเอียดเม็ดสีที่ 326ppi รองรับการแสดงผลแบบ True Tone ที่จะปรับแสงหน้าจอให้เหมาะสมกับสภาพแสง รองรับการแสดงผลขอบเขตสีกว้างแบบ P3 ให้ความสว่างสูงสุดที่ 625 นิต

บริเวณส่วนบนของหน้าจอ ก็จะเป็นที่อยู่ของลำโพงสนทนา และกล้องหน้าความละเอียด 7 ล้านพิกเซล f/2.2 ความพิเศษก็คือ เป็นกล้องหน้าที่รองรับการถ่าย Portrait ด้วย แม้ว่าจะไม่ได้ใช้เซ็นเซอร์ True Depth เหมือนใน iPhone รุ่นหลังๆ แล้วก็ตาม

ส่วนล่างหน้าจอเป็นที่อยู่ของ Touch ID ที่นำเทคโนโลยี Taptic Engine มาใช้งาน ทำให้เวลากดปุ่ม หรือสัมผัส จะมีการสั่นสะท้อนตอบรับกลับมาแทน ใครที่ใช้ iPhone รุ่นที่มีปุ่ม Home แบบกดอยู่ ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเจออาการปุ่ม Home เสีย เพราะ Apple แก้ไขปัญหานี้มาตั้งแต่ iPhone 7 แล้ว

รอบๆ ตัวเครื่องถือว่าเหมือนเดิมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นทางฝั่งซ้ายที่มีปุ่มเปิดปิดเสียง เพิ่มลดเสียง ทางฝั่งขวาเป็นปุ่มเปิดปิดเครื่อง โดยมีช่องใส่ถาดซิมอยู่ตรงกึ่งกลาง ด้านล่างมีไมค์ ลำโพง และพอร์ต Lightning ซึ่งตัดช่องหูฟังแบบ 3.5 มม. ออกไปแล้ว

ด้านหลังเครื่อง จะมีโลโก้ Apple อยู่ตรงกึ่งกลาง โดยมีกล้องหลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/1.8 และแฟลชแบบ True Tone อยู่ข้างๆ ซึ่งถ้าเป็นผู้ที่ใช้งาน iPhone 7 หรือ iPhone 8 อยู่ สามารถนำเคสรุ่นเก่ามาใช้งานได้เลย เพราะกล้องจะอยู่บริเวณเดียวกัน

ข้อจำกัดแบตเตอรีขนาดเล็ก?

อีกประเด็นที่เป็นคำถามตามมาเมื่อตัวเครื่องมีขนาดเล็ก ก็ทำให้ปริมาณแบตเตอรีที่ให้มาในเครื่องเล็กตามไปด้วย โดย iPhone SE จะให้แบตเตอรีมาขนาดเดียวกับ iPhone 8 ที่ประมาณ 1800 mAh ซึ่งทางแอปเปิล เคลมว่าสามารถใช้งานได้หมดวันแน่ๆ

เท่าที่ทีมงานทดลองใช้งาน iPhone SE มาพบว่า แบตเตอรี ถือว่าอยู่ในระดับที่พอรับได้กับการใช้งานทั่วไป ใช้งานเล่นโซเชียลมีเดีย รับส่งอีเมล โปรแกรมแชทต่างๆ สลับกับเล่นเกมบ้าง ใช้งานกล้องบ้าง จนหมดวันแบตฯ ก็ยังเหลือ นั่นแปลว่าตอนเช้าตื่นมาถอดเครื่องออกจากสายชาร์จ ก่อนกลับมาเสียบชาร์จอีกครั้งตอนนอนก็ยังไหว

อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อจำกัดของอะเดปเตอร์ที่แอปเปิล แถมมาให้ในกล่องเป็นแบบ 5W ทำให้การชาร์จทำได้ค่อนข้างช้า แต่ด้วยการที่ตัวเครื่องรองรับการชาร์จเร็วแบบ 18W ในกรณีที่ซื้ออะเดปเตอร์ 18W (1,190 บาท) มาใช้งานคู่กับสาย USB-C to Lightning จะสามารถชาร์จ iPhone SE ได้ 50% ภายในเวลา 30 นาที

หรือในกรณีที่ใช้งาน MacBook หรือ iPad Pro ที่มีอะเดปเตอร์ USB-C ที่แรงกว่า 18W อยู่แล้ว ก็สามารถซื้อเฉพาะสาย USB-C to Lightning (ขายแยกในราคาเส้นละ 690 บาท) มาใช้งานได้เหมือนกัน หรือถ้าไม่ได้จำเป็นต้องชาร์จเร็ว และไม่อยากเสียบๆ ถอดๆ สายชาร์จ iPhone SE ก็รองรับการชาร์จไร้สายด้วยเช่นกัน

กล้องเดียว เพียงพอหรือไม่?

ในยุคที่สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่มากับกล้องคู่กันเป็นอย่างต่ำแล้ว แต่กลายเป็นว่า iPhone SE ยังมากับกล้องหลักกล้องเดียวอยู่ แต่กลายเป็นว่ากล้องที่อยู่ใน iPhone SE กลับถ่ายภาพได้ดีขึ้นกว่าสมัย iPhone 8 เยอะมาก

ส่วนหนึ่งเกิดจากการพัฒนาซอฟต์แวร์ของกล้องให้ทำงานร่วมกับหน่วยประมวลผล Neural Engine บน Apple A13 Bionic ทำให้นอกจากการถ่ายภาพปกติแล้ว เลนส์ของ iPhone SE ยังรองรับการถ่ายภาพบุคคล (Portrait) ที่สามารถปรับระยะชัดลึกได้ ซึ่งใช้งานได้ทั้งกล้องหน้า และกล้องหลัง

อีกส่วนที่ iPhone SE ทำได้ดีขึ้นคือเรื่องของการถ่ายภาพวิดีโอ ที่สามารถถ่ายได้สูงถึง 4K 60fps รองรับการถ่ายภาพสโลว์โมชัน และไทม์แลปส์ด้วย หรือในกรณีที่ต้องการถ่ายวิดีโอในโหมดป้องกันภาพสั่นไหวที่ 4K 30fps เชื่อว่าให้ภาพที่ดีกว่าสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นในระดับราคาใกล้เคียงกันแน่นอน

นอกจากนี้ iPhone SE ยังมากับซอฟต์แวร์ถ่ายภาพใหม่อย่าง QuickTake ที่ผู้ใช้สามารถกดปุ่มชัตเตอร์ค้างเพื่อเข้าสู่การถ่ายวิดีโอได้ทันที เพื่อนำไปใช้แชร์ Instagram Story หรือ TikTok ก็ได้ หรือถ้าต้องการถ่ายวิดีโอระยะยาวก็สามารถเลื่อนปุ่มชัตเตอร์ไปที่สัญลักษณ์วิดีโอเพื่อถ่ายวิดีโอต่อเนื่องได้ทันที

Gallery

มากับ 2 ซิม และ WiFi 6

อีกสิ่งที่เพิ่มเข้ามาใน iPhone SE คือการที่ตัวเครื่องรองรับการใช้งานซิมคู่ เหมือนใน iPhone 11 และ iPhone 11 Pro โดยสามารถใช้ซิมการ์ดปกติ จับคู่กับ eSIM เพื่อใช้งานได้ทันที นอกจากนี้ ยังรองรับ LTE ระดับ Gigabit  และ WiFi 6 ทำให้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ปล่อยสัญญาณที่รองรับได้ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ตัวหน้าจอรองรับการใช้งาน Haptic Touch ด้วย ทำให้สามารถแตะค้างที่หน้าจอ หรือไอค่อนที่ต้องการเพื่อเข้าสู่โหมดลัดได้ ส่วนการเรียกใช้งานแถบควบคุม จะกลับไปใช้การลากจากขอบจอล่างเหมือนใน iPhone 8

สรุป

Apple iPhone SE น่าจะกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการใช้งาน iPhone ในระดับราคาหมื่นกลางๆ ได้อย่างไม่น่าแปลกใจ รวมถึงผู้ที่กำลังลังเลว่าจะเปลี่ยนจากการใช้งานสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ มาลองใช้งาน iPhone ในระดับราคาที่ไม่สูงมาก

ข้อดีอย่างหนึ่งของ iPhone คือผู้ใช้สามารถแน่ใจได้ว่าจะได้รับการอัปเกรดเฟิร์มแวร์ต่อเนื่องไปอีกไม่ต่ำกว่า 5 ปี อย่างที่ iPhone SE รุ่นแรกเคยทำได้มาแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับข้อจำกัดในเรื่องของขนาดหน้าจอ 4.7 นิ้ว และกล้องที่มีข้อจำกัดในเรื่องของฮาร์ดแวร์ ทำให้ไม่สามารถซูม หรือถ่ายภาพมุมกว้างได้

อย่างไรก็ตาม ถ้าตัดสินใจเลือกซื้อ iPhone SE มาใช้งานแล้ว อย่าลืมเรื่องข้อจำกัดของ iPhone ที่ไม่สามารถเพิ่มพื้นที่เก็บข้อมูลได้ ดังนั้นการเลือกซื้อรุ่นเริ่มต้น 64 GB อาจจะไม่ตอบโจทย์การใช้งานในระยะยาว แนะนำให้เลือกรุ่น 128 GB ขึ้นไปจะเหมาะสมกว่า

]]>
Review : Apple AirPods Pro หูฟังไร้สายที่โปรขึ้น ตัดเสียงรบกวนได้เด็ด https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-airpods-pro/ Mon, 23 Dec 2019 06:22:53 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=31887

ตอนนี้ AirPods กลายเป็นหูฟังไร้สายแบบ True Wireless ที่ขายดีที่สุดในโลกไปแล้ว และยังต่อเนื่องถึงการเป็นของขวัญที่ได้รับความนิยมในเทศกาลของขวัญช่วงปลายปี ยิ่งตอกย้ำถึงความสำเร็จในการทำตลาด AirPods ของแอปเปิล (Apple) ได้เป็นอย่างดี

พอแอปเปิล ออก AirPods Pro มา เชื่อว่าผู้ที่เคยใช้งาน AirPods มาและมีประสบการณ์ใช้งานที่ดี ก็พร้อมที่จะเปลี่ยนมาใช้งานในรุ่นที่ดีขึ้น ขณะเดียวกันผู้ที่เคยมีปัญหาไม่สามารถใช้งาน AirPods ได้เพราะใส่แล้วหลุด พอออกมาเป็น AirPods Pro ก็จะใช้งานได้แล้ว

จุดเด่นของ AirPods Pro จะอยู่ที่การออกแบบหูฟัง In-Ears ให้ใส่ได้สบายหู พร้อมระบบตัดเสียงรบกวนแบบ Active Noise Cancellation รุ่นแรกของแอปเปิล และยังมีโหมดรับเสียงจากรอบข้าง เพื่อให้ใส่ใช้งานได้ในทุกๆ เวลา

ข้อดี

  • หูฟังไร้สาย พร้อมระบบตัดเสียงรบกวน
  • มีโหมด Transparency รับเสียงจากรอบข้าง
  • ระบบปรับแรงดันในหู ช่วยให้ใส่ In-Ears ได้สบายขึ้น
  • เชื่อมต่อกับ iPhone และ Apple Device ได้ง่าย แบบไร้รอยต่อ

ข้อสังเกต

  • เวลาใช้งานต่อเนื่องอยู่ที่ 4.5 – 5 ชั่วโมง ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง (ถ้านับรวมแบตฯ เคสได้เกิน 24 ชั่วโมง)
  • คุณภาพเสียง ยังสู้กับแบรนด์อื่นในระดับราคาใกล้เคียงกันไม่ได้

 

ทำความรู้จักเทคโนโลยีตัดเสียง

เทคโนโลยีที่ทำให้ AirPods Pro มีความแตกต่างจากหูฟังตัดเสียงรบกวน (Noise Cancelling) รุ่นอื่นๆ ในท้องตลาดคือเรื่องของการนำเทคโนโลยี Active Noise Cancellation มาใช้งาน ด้วยการติดตั้งไมโครโฟนเพิ่มมาช่วยตรวจจับเสียงภายนอก

โดยไมโครโฟนที่จับเสียงภายนอกนี้จะทำให้หูฟังรับรู้ว่าเวลาที่ใช้งานอยู่สภาพเสียงรบกวนภายนอกเป็นอย่างไร หลังจากนั้น AirPods Pro จะส่งคลื่นเสียงด้านตรงข้ามที่เท่ากัน เพื่อตัดเสียงภายนอกออก

แต่ไม่ใช่แค่นั้น เพราะ AirPods Pro มีไมโครโฟนที่หันเข้ามาอยู่ภายในหูของผู้ใช้ ที่จะคอยฟังเสียงภายในหูด้วย เพื่อคำนวนและตัดเสียงรบกวนที่ไม่อยากได้ยินออกเช่นกัน โดยระบบการทำงานจะมีการตัดเสียงรบกวนต่อเนื่องที่ 200 ครั้งต่อวินาที

In-Ears ที่ใส่สบาย

อีกจุดที่แอปเปิลนำมาใช้เป็นจุดขายสำคัญของ Air Pods Pro คือเรื่องของการใส่ได้สบายหู โดยเริ่มจากภายในกล่องจะมีจุกซิลิโคน (Ear Tip) ให้เลือก 3 ขนาด เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานของผู้ใช้แต่ละคนที่มีขนาดรูหูไม่เท่ากัน

โดยสิ่งที่แอปเปิล พัฒนาเพิ่มมาคือ ฟีเจอร์ที่จะตรวจสอบว่า จุกซิลิโคนที่ใส่อยู่พอดีหูหรือไม่ โดยหลังจากที่ทำการเชื่อมต่อ AirPods Pro เข้ากับอุปกรณ์ที่ใช้งาน iOS 13.2 ขึ้นไป แล้วผู้ใช้สามารถกดเข้าไปทดสอบกันได้

แน่นอนว่าวิธีการเชื่อมต่อ AirPods Pro ยังง่ายเหมือน AirPods ที่เพียงเปิดฝาขึ้นมา ตัว iOS ก็จะทำการแจ้งเตือนให้กดเชื่อมต่อได้ทันที หลังจากนั้นสามารถเข้าไปตั้งค่าเพิ่มเติมได้ใน Setting > Bluetooth > กดสัญลักษณ์ i ด้านหลัง AirPods Pro เพื่อเข้าสู่การตั้งค่า

สิ่งแรกที่ต้องทำเลยคือการกด Ear Tip Fit Test เพื่อตรวจสอบว่า จุกซิลิโคนที่ใส่ใช้งานอยู่พอดีหรือไม่ ซึ่งจะช่วยทั้งในเรื่องของคุณภาพเสียง และการตัดเสียงรบกวนด้วย

ถ้าใส่พอดีจะมีการขึ้นบอกว่า Good Seal ถ้าไม่พอดีจะขึ้นแจ้งว่าให้ลองขยับ หรือเปลี่ยนจุกซิลิโคนดู ซึ่งจุกมาตรฐานที่ติดมากับ AirPods Pro คือขนาดกลาง ถ้ารู้สึกว่าหลวมไปให้เปลี่ยนเป็นขนาดใหญ่ขึ้น และถ้ารู้สึกว่าแน่นไปให้ลองปรับให้เล็กลงดู

ในการใส่ใช้งาน เท่าที่ทดสอบใช้งานจนแบตเตอรี AirPods Pro หมด ประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่ง พบว่า AirPods Pro ออกแบบจุกมาได้ดีมากๆ เพราะไม่รู้สึกล้าหู เหมือนเวลาใส่หูฟัง In Ears ของแบรนด์อื่นๆ อาจจะเพราะ AirPods Pro มีระบบช่วยปรับแรงดันภายในหูด้วยในตัว

ตัดเสียงรบกวนที่เลือกปรับได้เอง

แน่นอนว่าฟีเจอร์หลักของ AirPods Pro คือระบบการตัดเสียงรบกวน แต่ในการใช้งานในชีวิตประจำวัน การใส่หูฟังแบบตัดเสียงรบกวนตลอดเวลา กลายเป็นเรื่องอันตราย เพราะจะไม่ทำให้ได้ยินเสียงแวดล้อมรอบตัว

ในจุดนี้แอปเปิล จึงได้เพิ่มฟีเจอร์ในการสั่งงาน AirPods Pro เข้ามาให้ผู้ใช้เลือกปรับได้ว่า จะเปิดใช้งานระบบตัดเสียงรบกวน (Noise Cancellation) ปิด หรือเปิดโหมดรับเสียงจากภายนอก (Transparency) ที่เลือกปรับได้ 3 วิธี

วิธีแรกคือ กดบีบก้านหูฟัง เพื่อสลับระหว่างตัดเสียง และรับเสียงจากภายนอก วิธีที่สองคือเข้าไปปรับในการตั้งค่าบลูทูธ เหมือนตอนทดสอบจุกซิลิโคน และวิธีที่สาม เข้าจากแถบตั้งค่าด่วน กดค้างที่แถบปรับระดับเสียง จะมีตัวเลือกขึ้นมาให้ปรับ

การออกแบบ AirPods Pro

รูปลักษณ์ของ AirPods Pro เมื่อเทียบกับ AirPods บริเวณก้านหูฟังจะสั้นลงเล็กน้อย ส่วนตัวหูฟังจะมีส่วนของจุกซิลิโคนที่ยื่นขึ้น เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม ทำให้ โดยขนาดจะอยู่ที่ 30.9 x 21.8 x 24 มม. น้ำหนักข้างละ 5.4 กรัม

โดยทั้งภายในและภายนอกของ AirPods Pro จะมีไมโครโฟนอยู่ด้วยเพื่อใช้คู่กับระบบตัดเสียงรบกวนดังที่กล่าวไปข้างต้น นอกจากนี้ก็จะมีเซ็นเซอร์ตรวจจับเวลาใส่ และถอดออกจากหู

ส่วนตรงก้านได้ออกแบบใหม่ให้มีส่วนที่เว้าลงไปเล็กน้อย เพื่อรับนำ้หนักในการบีบสั่งงาน ด้วยการใส่เซ็นเซอร์แรงกดที่ไว้ใช้ทั้งการควบคุมเพลง บีบเพื่อรับโทรศัพท์ และเปลี่ยนโหมดใช้งาน

ภายในของ AirPods Pro จะมีชิปเซ็น Apple H1 ที่คอยประมวลผลเรื่องของเสียง ซึ่งทำงานร่วมกับไดรเวอร์ของลำโพง ในการตัดเสียงรบกวน จนถึงการสั่งงานด้วยเสียงผ่าน Siri ด้วย

ส่วนของเคส AirPods Pro เมื่อเทียบกับ AirPods ปกติ จะมีลักษณะกว้างขึ้น แต่สั้นลง ขนาดเคสจะอยู่ที่ 45.2 x 60.6 x 21.7 มิลลิเมตร นำ้หนัก 45.6 กรัม ส่วนขนาดเคสของ AirPods จะอยู่ที่ 53.5 x 44.3 x 21.3 มิลลิเมตร น้ำหนัก 40 กรัม

โดยตัวเคสจะมากับระบบชาร์จไร้สายอยู่แล้ว สามารถนำไปวางบนแท่นชาร์จมาตรฐาน Qi เพื่อชาร์จได้เลย หรือจะเลือกชาร์จผ่านพอร์ต Lightning ก็ได้เช่นกัน

สรุป

AirPods Pro น่าจะเป็นหูฟังไร้สายที่ผู้ใช้งาน iPhone ส่วนใหญ่ต้องหารซื้อหามาใช้งาน ทั้งผู้ที่มี AirPods เดิมอยู่แล้ว และยังไม่มี เพราะถือว่ามาช่วยในเรื่องของการตัดเสียงรบกวนจากภายนอกเวลาใช้งานได้

แม้ว่าระดับราคาของ AirPods Pro จะค่อยข้างสูง (9,490 บาท) แต่เมื่อเทียบกับหูฟังไร้สายแบบตัดเสียงรบกวนคุณภาพสูงในท้องตลาดแล้ว ถือว่าใกล้เคียงกัน ถ้าใครที่อยากซื้อแล้วจบก็แนะนำ

แต่ถ้ามองว่าระดับราคานี้ค่อนข้างสูงเกิดไป ก็อาจจะมองตัวเลือกอย่าง AirPods ที่ปรับลดราคาลงมา แต่ก็แลกกับไม่มีระบบตัดเสียงรบกวน แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการใช้งานของผู้ใช้แต่ละรายด้วย เพราะหูฟังแบบ In Ears อาจจะชอบไม่เหมือนกัน

Gallery

]]>
Review : Apple Watch Series 5 จอไม่ดับแล้ว แต่ชาร์จทุกวันเหมือนเดิม https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-watch-series-5/ Fri, 25 Oct 2019 03:11:10 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=31530

การที่ Apple Watch กลายเป็นสมาร์ทวอทช์ที่ได้รับความนิยมที่สุดในโลกไปแล้ว ทำให้การปรับปรุงที่เพิ่มขึ้นในซีรีส์ 5 นี้ จะเน้นเพิ่มความสามารถให้ใช้งานในชีวิตประจำวันได้สะดวกขึ้น พร้อมไปกับการพัฒนาฟีเจอร์ด้านสุขภาพให้ครอบคลุมมากขึ้น

จุดเด่นที่เพิ่มขึ้นมาใน Apple Watch Series 5 หลักๆ มีด้วยกันอยู่ 3 จุด คือเรื่องของการแสดงผล ที่หันมาใช้จอที่ติดตลอดเวลา (Always On) เพิ่มความสามารถในการระบุพิกัดของเข็มทิศ (Compass) และเรื่องของความปลอดภัย ที่มีระบบโทรหาบริการฉุกเฉินได้ 150 ประเทศทั่วโลก (รุ่นเซลลูลาร์)

ในประเทศไทย แอปเปิล (Apple) จะวางจำหน่าย Apple Watch Series 5 ในที่ 25 ตุลาคมนี้ โดยราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 13,400 บาท สำหรับตัวเรือน 40 มม. และ 14,400 บาท สำหรับตัวเรือน 44 มม. ส่วนรุ่นเซลลูลาร์ จะเพิ่มไปเป็น 16,900 และ 17.900 ตามลำดับ

ข้อดี

จอติดตลอดเวลาแล้ว

การใช้งานสมาร์ทวอทช์ครบทั้งการแจ้งเตือน การวัดการออกกำลัง อัตราการเต้นหัวใจ

watchOS 6 ช่วยให้ติดตั้งแอปบนนาฬิกาได้เลย

ข้อสังเกต

แบตเตอรีเพียงพอใช้งานครบวัน แต่ต้องชาร์จทุกคืน

แตกต่างจาก Series 4 ไม่ค่อยเยอะ (ถ้ามี Series 4 อยู่ก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน)

ตัวเรือนที่มีให้เลือกมากขึ้น

จุดที่มีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดของ Apple Watch Series 5 คงหนีไม่พ้นการเพิ่มตัวเรือนไทเทเนียม และเซรามิค เข้ามา ทำให้กลายเป็นว่าปัจจุบัน Apple Watch 5 จะมีวัสดุให้เลือกทั้งหมด 3 วัสดุ 9 สี ด้วยกัน

ไล่ตั้งแต่ตัวเรือนอะลูมิเนียม มีให้เลือกตั้งแต่สีเทา สีทอง สีเงิน ตัวเรือนสแตนเลสสตีล มีสีทอง สีดำ และสีสแตนเลสขัดเงา โดยที่เพิ่มขึ้นมาคือตัวเรือนไทเทเนียม และไทเทเนียมสีดำ กับตัวเรือนเซรามิค สีขาว ไม่นับรวมรุ่นย่อยของไนกี้ และ Hermes อีกด้วย

โดยทางแอปเปิล จะเรียกตัวเรือน ไทเทเนียม และเซรามิค ที่เพิ่มขึ้นมาว่าเป็น Apple Watch Edition แตกต่างจากตัวเรือนอะลูมิเนียม และสแตนเลสสตีล ที่เรียกว่า Apple Watch เฉยๆ

สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือ ผู้ที่สนใจซื้อ Apple Watch ตัวเรือนอะลูมิเนียมไปใช้งาน ก็คือจะได้วัสดุของ iPhone มาอยู่ที่ข้อมือ กล่าวคือ ในการผลิตตัวเรือนของ Apple Watch รุ่นตัวเรือนอะลูมิเนียม แอปเปิล ได้เลือกนำอะลูมิเนียม 7000 ซีรีส์ ของตัว iPhone มารีไซเคิล เพื่อผลิตเป็นตัวเรือน Apple Watch แบบ 100%

รุ่นที่ทีมงานนำมาทดสอบกันคือ Apple Watch Edition Series 5 Space Black Titanium Case ตัวเรือน 44 มม. ที่ภายในกล่องจะมีตัวอักษรเขียนบอกอยู่ที่ด้านข้างเพียงจุดเดียวเท่านั้น

ขนาดของตัวเรือน 44 มม. จะอยู่ที่ 44 x 37.8 x 10.7 มม. โดยน้ำหนักของตัวเรือนอะลูมิเนียมจะอยู่ที่ 36.5 กรัม สแตนเลส 47.8 กรัม ไทเทเนียม 41.7 กรัม และ เซรามิก 46.7 กรัม จะเห็นได้ว่ารุ่นไทเทเนียมจะได้วัสดุที่แข็งแรงขึ้น และตัวเรือนเบาลง

โดยภายในของ Apple Watch Series 5 จะใช้หน่วยประมวลผล S5 ที่เป็น Dual Core 64 บิต มีเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจแบบไฟฟ้า เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นหัวใจแบบออปติคัล อุปกรณ์ตรวจจับความเคลื่อนไหว เซ็นเซอร์วัดความสูง GPS เข็มทิศมาให้

พร้อมรองรับการเชื่อมต่อ WiFi 802.11 g/b/n จากชิปไร้สาย W3 พร้อมบลูทูธ​ 5.0 โดยมีพื้นที่เก็บข้อมูลภายในตัวเรือน 32 GB ตัวเรือนสามารถกันน้ำได้ระดับ WR50 คือสามารถใส่ว่ายน้ำได้

จอที่ติดตลอดเวลา

อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใน Apple Watch Series 5 คือการพัฒนาจอ OLED ที่เป็นโพลีซิลิคอนและออกไซด์อุณหภูมิต่ำ (Low-Temperature Polycrystalline Oxid) ที่ปัจจุบันเป็นผู้ผลิตรายเดียวในตลาดที่นำมาใช้

สังเกตได้ว่าเมื่อเป็นจอ Always On จะไม่แสดงผลเข็มวินาที

ทำให้จอภาพสามารถปรับอัตราการดึงข้อมูลของหน้าจอ (Refresh Rate) ได้ จากเดิมที่ตั้งไว้สูงสุด 60 Hz หรือ 60 ครั้งต่อวินาที เมื่อใช้งาน และปรับให้ลดลงต่ำสุดได้ถึง 1 Hz หรือ 1 ครั้งต่อวินาที ช่วยให้ใช้พลังงานต่ำลง

จึงทำให้จอ Apple Watch Series 5 สามารถแสดงผลได้แบบติดตลอดเวลา เพียงแต่ว่าในขณะที่ใช้งานจอแบบ Always On นั้นรูปแบบการแสดงผลบนหน้าจอก็จะเปลี่ยนแปลงไป ตามจำนวนการแสดงผลข้อมูลที่ลดลง

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าใช้หน้าปัดนาฬิกาที่มีเข็มวินาทีอยู่ เมื่อเข้าสู่หน้าจอ Always On ตัวเข็มวินาทีก็จะหายไป หรือถ้าเป็นการแสดงผลข้อมูลระหว่างออกกำลังกาย จากเดิมที่แสดงผลเวลาระดับชั่วโมง นาที วินาที และเสี้ยววินาที ก็จะตัดลงเหลือเวลาระดับชั่วโมง และนาทีแทน

ไม่ใช่แค่เรื่องของการแสดงผลเวลาเท่านั้นที่เปลี่ยนแปลงไป เพราะแอปเปิลให้ความสำคัญในเรื่องความเป็นส่วนตัว (Privacy) ของผู้ใช้ ทำให้สามารถเลือกได้ว่าจะแสดงผลข้อมูลที่เซนซิทีฟหรือไม่

เพราะในเวลาที่หน้าจอ Always On ติดอยู่ ผู้อื่นก็จะเห็นทั้งตารางนัดหมาย ข้อมูลสุขภาพ การออกกำลังต่างๆ แอปเปิล จึงเลือกให้สามารถปิดการแสดงผลข้อมูลเหล่านี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นเห็นข้อมูลบนหน้าปัดนาฬิกาได้

นอกจากนี้ ถ้าเป็นผู้ที่ว่ายน้ำเป็นประจำ แต่เดิมเวลาจะดูข้อมูลบน Apple Watch อาจจะต้องหยุดว่ายขึ้นมาเพื่อดูเวลา แต่ตอนนี้สามารถดูได้แม้เวลาที่ว่ายน้ำอยู่ โดยไม่ต้องสัมผัสหน้าจอเพื่อให้หน้าจอติดขึ้นมา หรืออย่างผู้ที่ขี่จักรยาน ก็ไม่ต้องปล่อยมือจากแฮนด์จักรยานเพื่อดูเวลาด้วยเช่นกัน

เข็มทิศช่วยกำหนดทิศทาง และวัดระดับความสูง

เข็มทิศ หรือ Compass เป็นอีกแอปที่พัฒนาขึ้นบน Apple Watch เพื่อเปิดให้ผู้ที่ชื่นชอบการเดินป่า หรือวิ่งเทรลสะดวกขึ้นในการใช้งานนาฬิกา เพราะ Apple Watch Series 5 จะมีเข็มทิศมาให้ใช้งานในตัว

พร้อมทั้งเพิ่มความสามารถในการแจ้งเตือนว่ากำลังอยู่ในทิศทางที่ตั้งไว้ แสดงระดับความชัน ความสูงจากพื้นดิน รวมถึงละติจูด และลองจิจูด ที่จะช่วยให้การวัดค่าการออกกำลังกายแม่นยำมากขึ้น และช่วยนำทางได้ในตัว

โทรฉุกเฉินแม้เดินทางในต่างประเทศ

ฟีเจอร์นี้อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนอยากใช้งาน แต่การที่มีไว้ทำให้ Apple Watch Series 5 แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้า เพราะด้วยการที่รุ่นเซลลูล่าร์สามารถเชื่อมต่อเพื่อใช้เป็นโทรศัพท์ได้

ทำให้แอปเปิล ร่วมกับผู้ให้บริการเครือข่ายกว่า 150 ประเทศทั่วโลก เชื่อมต่อนาฬิกา เข้ากับเครือข่ายพิเศษ ที่ทำให้สามารถใช้โทรฉุกเฉิน (SOS) ได้แม้ว่าจะไม่ได้พกสมาร์ทโฟน หรือเปิดใช้งานเซลลูล่าร์บน Apple Watch

ทำให้เหมาะกับผู้ที่เดินทางไปต่างประเทศบ่อยๆ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ และเมื่อทำงานร่วมกับเซ็นเซอร์ตรวจจับการล้ม (Fall Detection) ที่มีมาตั้งแต่ Apple Watch Series 4 จะช่วยให้ผู้สูงอายุที่สวมใส่ปลอดภัยมากขึ้นด้วย

watchOS 6 ที่ใส่ใจผู้ใช้มากขึ้น

นอกเหนือจากฟีเจอร์ที่เพิ่มขึ้นจาก Apple Watch รุ่นใหม่แล้ว การที่แอปเปิล อัปเดตระบบปฏิบัติการ watchOS 6 ก็ช่วยเพิ่มความสามารถในส่วนของการวัดค่าสุขภาพต่างๆ มาด้วยเช่นกัน

อย่างการติดตามรอบเดือน (Cycles) สำหรับสุภาพสตรีทั้งหลาย ที่ใช้ในการบันทึกข้อมูลรอบเดือน ระยะเวลาตกไข่ และจะมีการแจ้งเตือนเมื่อใกล้เวลามีประจำเดือน โดยผู้ที้ใช้งาน Apple Watch รุ่นเก่าก็จะได้รับฟีเจอร์นี้ด้วยเช่นกัน

อีกแอปที่น่าสนใจคือ Hearing หรือการตรวจจับเสียงรอบข้าง ที่จะคอยแจ้งเตือนผู้ใช้เมื่ออยู่ในบริเวณที่ระดับเสียงเกิน 90 เดซิเบล เป็นเวลานาน ซึ่งจะกระทบกับการทำงานของหูในการรับเสียง และเปิดให้ผู้ใช้สามารถเข้าแอปบนนาฬิกาเพื่อดูระดับเสียงรบกวนได้ตลอดเวลาด้วย

ที่เหลือก็จะเป็นการเพิ่มความแม่นยำในการวัดอัตราการเต้นของหัวใจ การตรวจจับการออกกำลังกายต่างๆ รวมถึงการที่ผู้ใช้สามารถติดตั้งแอปเพิ่มเติมได้จาก Apple Store บน Apple Watch ได้แล้ว โดยไม่ต้องติดตั้งผ่าน iPhone

สรุป

Apple Watch Series 5 ยังคงเป็นสมาร์ทวอทช์ที่เป็นตัวเลือกแรกในการนำมาใช้งานคู่กับ iPhone เพราะด้วยยอดขายที่เติบโตขึ้นต่อเนื่องได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วถึงความสามารถในการใส่ใช้งาน

เพียงแต่ว่าถ้าเป็นผู้ที่เพิ่งซื้อ Apple Watch Series 4 ไปใช้งานไม่นาน ถามว่ามีจุดเปลี่ยนอะไรที่ควรทำให้เปลี่ยนมาใช้หรือไม่ก็อาจจะยังไม่ถึงเวลา แต่ถ้าใช้งานรุ่น 3 หรือเก่ากว่านั้น ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจที่จะเปลี่ยนมาใช้งาน

ส่วนผู้ที่ยังไม่เคยใช้งาน Apple Watch มาก่อนแล้วสนใจอยากลอง ถ้าไม่ได้ต้องการรุ่นใหม่ล่าสุด ทางแอปเปิล มีการปรับลดราคา Apple Watch Series 3 ลงมาเหลือ 6,400 บาท เป็นตัวเลือกให้ใช้งานด้วย

Gallery

]]>
Review : Apple iPhone 11 สีสวย กล้องดี https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-iphone-11/ Fri, 18 Oct 2019 06:47:57 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=31478

หลังจากที่พาไปแกะกล่อง iPhone 11 รุ่นใหม่กันแล้ว แน่นอนว่าหลายๆ คนมีคำถามที่ตามมาว่า iPhone 11 เพียงพอไหมกับการเปลี่ยนรุ่นใหม่ หรือควรเก็บเงินเพื่อไปซื้อ iPhone 11 Pro เลยดีกว่า

ในความเป็นจริงแล้วถ้าไม่เคยใช้ iPhone XS หรือ iPhone XS Max มาก่อน iPhone 11 จะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ สำหรับผู้ที่อยากใช้งาน iPhone และต้องการเครื่องรุ่นใหม่ในปีนี้ทันที

โดยเฉพาะผู้ที่ปัจจุบันไม่ได้ใช้งาน iPhone XR อยู่แล้ว iPhone 11 จะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจทันที เพราะมีการอัปเกรดหลายๆ อย่างขึ้นมาไม่แตกต่างจาก iPhone 11 Pro เลย

จุดที่แตกต่างกันจริงๆ จะเป็นเรื่องของจอภาพที่ใช้เป็น Liquid Retina กับ OLED และเรื่องของกล้องหลังที่มีเลนส์ Telephoto เพิ่มเข้ามาเท่านั้น ส่วนที่เหลือใช้งานได้ไม่แตกต่างกันเลย

ข้อดี

ตัวเครื่องสเปกแรง ราคาเริ่มต้นที่ 24,900 บาท

มีสีสันให้เลือกหลากหลาย

เลนส์ Ultra Wide ช่วยให้ถ่ายภาพสนุกขึ้น

ข้อสังเกต

ในกล่องไม่แถมอะเดปเตอร์ Fastcharge มาให้

จอยังเป็น LCD อยู่เมื่อเทียบกับรุ่น Pro จะสวยไม่เท่า

ขอบจอยังหนาอยู่เช่นกัน เมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนในระดับราคาเดียวกัน

ดีไซน์ที่ใส่ใจรายละเอียด

แม้ว่าจะดูเหมือน iPhone 11 ไม่ได้แตกต่างจาก iPhone XR มากนัก แต่จริงๆ แล้ว iPhone 11 มีการปรับปรุงในส่วนของการดีไซน์ที่น่าสนใจหลายๆ จุด โดยตัวเครื่องยังคงเป็นอะลูมิเนียมผสมกับกระจกหน้าหลังเหมือนเดิม ขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 150.9 x 75.7 x 150.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 194 กรัม

โดย iPhone 11 จะมีให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 6 สี คือ ม่วง เขียว เหลือง ขาว ดำ และ แดง ซึ่งรุ่นที่นำมารีวิวในครั้งนี้คือสีเขียว เมื่อวางเครื่องเทียบกันทุกสี จะเห็นจุดที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เมื่อเทียบกับ iPhone XR คือฝาหลัง

ในรุ่น iPhone 11 แอปเปิล เลือกที่จะปรับตำแหน่งโลโก้ Apple ลงมาอยู่ตรงกึ่งกลางเครื่องแทน และไม่มีการสกรีนตัวอักษรใดๆ ลงที่ฝาหลังอีกแล้ว จากที่ก่อนหน้านี้จะมีการสกรีน iPhone หรือสัญลักษณ์ต่างๆ อยู่ ทำให้ในปีนี้จะมีรุ่นสีแดง (Product)Red เท่านั้น ที่มีการสกรีนตัวอักษรลงไปที่ฝาหลัง

ถัดมาก็คือตัวกระจกที่นำมาครอบตัวเครื่องด้านหลัง จะถูกออกแบบให้เป็นกระจกชิ้นเดียว แล้วมีการขัดด้านบริเวณขอบของกล้อง ทำให้เพิ่มความแข็งแรง และช่วยให้ตัวเครื่องป้องกันน้ำกันฝุ่นบนมาตรฐาน IP68 ได้ (น้ำลึกไม่เกิน 2 เมตร 30 นาที) และตัวเครื่องยังรองรับระบบชาร์จไร้สายด้วย

กลับมาในส่วนของหน้าจอ iPhone 11 จะมากับหน้าจอ Liquid Retina 6.1 นิ้ว ความละเอียด 1792 x 828 พิกเซล 326ppi ที่รองรับการใช้งาน True Tone Display ในการปรับสภาพแสงหน้าจออัตโนมัติ ประกอบกับกล้อง TrueDepth Camera ที่ใช้ทั้งปลดล็อก FaceID และเป็นกล้องหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซลด้วย

เทียบกล้อง iPhone XR กับ iPhone 11

ส่วนรายละเอียดของกล้องหลังที่ให้มาเป็น 2 เลนส์ใน iPhone 11 จะใช้เป็นกล้อง Ultra Wide คู่กับ Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล โดยกล้อง Ultra Wide จะมากับรูรับแสง f/2.4 มุมมองถ่ายภาพ 120 องศา ส่วน Wide มากับรูรับแสง f/1.8

รอบๆ ตัวเครื่อง iPhone 11 จะเหมือนเดิมคือ มีปุ่มปรับระดับเสียงอยู่ทางซ้าย พร้อมปุ่มปิดเสียง ทางขวาเป็นปุ่มเปิดเครื่อง และเรียกใช้งาน Siri ด้านล่างเป็นลำโพง และพอร์ต Lightning ให้ใช้งาน

ในส่วนของแบตเตอรีแอปเปิล ระบุว่า iPhone 11 สามารถใช้งานได้นานกว่า iPhone XR 1 ชั่วโมง โดยสามารถเล่นวิดีโอได้ต่อเนื่อง 17 ชั่วโมง สตรีมมิ่งได้ 10 ชั่วโมง เล่นเพลงได้ 65 ชั่วโมง และชาร์จได้ 50% ในเวลา 30 นาที ถ้าใช้กับที่ชาร์จเร็ว 18W

กล้องที่เด็ดไม่แพ้รุ่นพี่

การพัฒนากล้องบน iPhone 11 ให้เป็นกล้องคู่ (Dual Camera) ช่วยลดช่องว่างระหว่างเครื่องรุ่นธรรมดา กับรุ่น Pro ที่เป็น 3 เลนส์ ได้ค่อนข้างเยอะ เพราะในการใช้งานจริง มุมมองที่จะใช้เพื่อการถ่ายภาพจากสมาร์ทโฟนจะเป็นมุมปกติ และมุมกว้างที่ให้มุมมองใหม่มากกว่า ในขณะที่การซูมภาพจะใช้งานเฉพาะบางช่วงเท่านั้น

ดังนั้นกล้องคู่บน iPhone 11 ถึงทำงานได้ไม่แตกต่างจากรุ่นพี่อย่าง iPhone 11 Pro ในแง่ของการเก็บรายละเอียดภาพทั้งมุมปกติ และมุมกว้าง เพราะใช้เลนส์ชุดเดียวกัน ทำให้คุณภาพของรูป และวิดีโอที่ได้ไม่แตกต่างกัน

โดยจุดที่ iPhone 11 ได้เปรียบกว่า iPhone 11 Pro คือการถ่ายภาพ Portrait ที่ระยะของ iPhone 11 จะเป็นมุมมอง 26 มม. (เลนส์ปกติ) แต่ iPhone 11 Pro จะใข้มุมมอง 56 มม. (เลนส์เทเลฯ) แล้วใช้ AI มาช่วยประมวลผลฉากหลังให้เบลอแทน

แน่นอนว่า iPhone 11 สามารถใช้งาน Night Mode ในการถ่ายภาพได้ เพียงแต่ว่า Night Mode ใน iPhone ผู้ใช้ไม่สามารถเลือกเปิดที่จะใช้งานได้เอง แต่ระบบจะช่วยคำนวนให้ เมื่อกล้องตรวจจับว่าถ่ายภาพในสภาพแสงน้อย

หลังจากกล้องเปิด Night Mode ให้แล้วผู้ใช้ถึงจะปรับเลือกได้ว่าจะทำการเปิดชัดเตอร์ถ่ายภาพค้างไว้กี่นาที โดยต้องไม่เกินช่วงเวลาที่กล้องคำนวนให้ แต่สูงสุดจะอยู่ที่ 30 วินาที เมื่อใช้งานคู่กับขายึดจับสมาร์ทโฟน (Night Mode ไม่สามารถใช้กับเลนส์ Ultra Wide ได้)

นอกจากนี้ การพัฒนาการถ่ายภาพวิดีโอบน iPhone 11 ก็ให้คุณภาพที่สูงขึ้น โดยสามารถเลือกถ่ายได้ที่ความละเอียดสูงสุด 4K 60fps ประกอบกับระบบกันสั่นของกล้องที่ทำได้ดีขึ้นกว่าเดิม ที่สำคัญคือถ่าย 4K ได้ทั้งกล้องหน้า และกล้องหลัง

Gallery ภาพจากกล้อง iPhone 11

เบื้องหลังคือ Apple A13 Bionic

ทั้ง iPhone 11 และ iPhone 11 Pro ทำงานบนหน่วยประมวลผล Apple A13 Bionic

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ iPhone 11 กลายเป็นสมาร์ทโฟนที่น่าสนใจไม่แตกต่างจาก iPhone 11 Pro คือการเลือกนำชิปเซ็ต Apple A13 Bionic มาให้ใช้งานในทุกรุ่นของ iPhone 11 เพราะด้วยประสิทธิภาพที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับ A12 Bionic กว่า 40% และประหยัดแบตเตอรีขึ้น 20%

เพราะหนึ่งในสิ่งที่ทำให้ iPhone น่าสนใจคือการทำงานบน iOS 13 ที่นำ Neural Engine มาใช้สำหรับ Machine Learning เพื่อเรียนรู้การใช้งานของผู้ใช้ และปรับแต่งให้เข้ากับพฤติกรรมของแต่ละคน

โดยเฉพาะในโหมดถ่ายภาพ อย่างการปรับเฉดสีในโหมด Portrait การประมวลผลภาพบน Night Mode การเลือกรูปภาพที่น่าสนใจใน Photos จนถึงการตัดต่อวิดีโอระดับ 4K บนเครื่อง iPhone 11 ได้เลย

นอกจากนี้ iPhone 11 ก็ยังรองรับการเชื่อมต่อ Gigabit LTE / Wi-Fi 6 รวมถึงการใช้งาน 2 ซิมการ์ด โดยสามารถใส่เป็น eSIM คู่กับนาโนซิมการ์ดปกติ โดยถ้าต้องการใช้งาน eSIM ต้องไปให้ที่ศูนย์บริการเป็นผู้เปิดใช้งานให้

อย่าลืมเผื่องบซื้ออุปกรณ์เสริม

อย่างที่เขียนไปตั้งแต่ตอนแกะกล่อง iPhone 11 แล้วว่าอะเดปเตอร์ชาร์จที่แถมมาให้ภายในกล่องของ iPhone 11 ยังคงเป็นที่ชาร์จธรรมดาอยู่ ดังนั้นถ้าจะใช้งาน iPhone 11 ให้สะดวกมากขึ้นแนะนำให้ซื้ออะเดปเตอร์ชาร์จเร็วเพิ่มมาใช้งานด้วย

โดยตัวอะเดปเตอร์ชาร์จเร็ว 18W ของแอปเปิลที่วางจำหน่ายในสโตร์จะอยู่ที่ 1,190 บาท และอย่าลืมซื้อสาย USB-C to Lightning อีก 690 บาท ด้วย หรือถ้าต้องการความสะดวก อาจจะมองหา Wireless Chrage มาใช้ร่วมด้วยอีก

สรุป

iPhone 11 น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของผู้ที่มีงบจำกัด เพราะด้วยระดับราคาเริ่มต้นที่ 24,900 บาท น่าจะช่วยให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ยิ่งมีการทำโปรโมชันร่วมกับโอเปอเรเตอร์มือถือ เมื่อสมัครแพกเกจร่วมด้วยทำให้ราคาต่ำลงมาอีก

ส่วนใครที่ต้องการเครื่องระดับโปร แล้วงบประมาณไม่จำกัดการหันไปเลือก iPhone 11 Pro ก็จะเหมาะสมกว่ากันอยู่แล้ว เพราะจะได้หลายๆ อย่างเพิ่มขึ้นจาก iPhone 11 ที่สามารถอ่านได้เพิ่มเติมจากในรีวิวของ iPhone 11 Pro หลังจากนี้

]]>
Review : Apple Watch Series 4 ยกระดับสมาร์ทวอทช์สู่นาฬิกาเพื่อสุขภาพ https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-watch-series-4/ Tue, 30 Oct 2018 09:17:38 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=29627

การยกระดับจากนาฬิกาอัจฉริยะ เป็นนาฬิกาเพื่อสุขภาพ กลายเป็นจุดเด่นสำคัญของ Apple Watch 4 ที่ถูกปรับปรุงขึ้นเพิ่มเติมจากในรุ่นก่อนหน้า ด้วยการเพิ่มความสามารถในการตรวจจับการล้มของผู้สูงอายุ การเพิ่มเซ็นเซอร์ที่ช่วยในการตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (เปิดให้ใช้งานในอนาคต) ถือเป็น 2 เรื่องใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้น

แต่จริงๆ แล้ว Apple Watch 4 ได้มีการเพิ่มทั้งประสิทธิภาพภายใน รวมถึงปรับเปลี่ยนดีไซน์เป็นครั้งแรกตั้งแต่ออกวางจำหน่ายมา ทำให้หน้าจอแสดงผลใหญ่ขึ้น ตัวเรือนบางลง และเพิ่ม Haptic เวลาหมุนเม็ดมะยม (Digital Crown) เพื่อให้ความรู้สึกเหมือนใช้นาฬิกาแอนาล็อกหรูๆ

ข้อดี

ขนาดหน้าจอใหญ่ขึ้น เสียงดังขึ้น
รุ่น Cellular รองรับการใช้งานหลายๆ อย่างโดยไม่ต้องใช้คู่กับ iPhone
แม้จะมีการปรับขนาดตัวเรือน แต่ยังใช้งานร่วมกับสายเดิมที่มีได้

ข้อสังเกต

ต้องชาร์จทุกวันเหมือนเดิม
ราคาค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับสมาร์ทวอทช์แบรนด์อื่นๆ

สิ่งที่ปรับปรุงขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า

Apple Watch 4 คู่กับ Apple Watch 3

ในแง่ของตัวเรือน Watch 4 จะเปลี่ยนมาใช้การเรียกขนาดตัวเรือนเป็น 40 มม. (แทนที่ 38 มม. เดิม) และ 44 มม. แทนที่รุ่น 42 มม. เดิม โดยผู้ใช้ยังสามารถใช้งานคู่กับสายขนาดเดิมได้ เมื่อตัวเรือนมีขนาดใหญ่ขึ้น จุดที่เพิ่มขึ้นมาก็คือหน้าจอแสดงผลที่ใหญ่กว่ารุ่นเดิม 30% จากการปรับในส่วนมุมให้โค้งรับกับตัวเรือน

ซ้าย Watch 4 ขวา Watch 3

 

ถัดมาคือตัวเรื่องบางลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ Watch 3 จากเดิมที่รุ่น 38 มม. มีขนาดอยู่ที่ 38.6 x 33.3 x 11.4 มิลลิเมตร น้ำหนัก 28.7 กรัม พอเป็นรุ่น 40 มม. ขนาดจะอยู่ที่ 39.8. x 34.4 x 10.7 มิลลิเมตร น้ำหนัก 30.1 กรัม

ส่วนรุ่น 42 มม. เดิมอยู่ที่ 42.5 x 36.4 x 11.4 มิลลิเมตร นำ้หนัก 34.9 กรัม ก็เพิ่มเป็น 44 x x37.8 x 10.7 มิลลิเมตร น้ำหนัก 36.7 กรัม โดยจอภาพที่ใช้ใน Watch 4 จะเปลี่ยนเป็น LTPO OLED Retina หรือ Low-Temperature Polycrystaline Oxide ที่ให้ความสว่างสูงสุด 1000 นิต มีการเคลื่อบสารกันรอยนิ้วมือมาให้ด้วย

นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงในเรื่องของคุณภาพเสียง ด้วยการย้ายลำโพงมาไว้ทางด้านซ้าย และปรับไมโครโฟนไปอยู่ทางด้านขวา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเสียงรบกวนขณะสนทนา และช่วยทำให้ลำโพงดังขึ้นกว่าเดิมถึง 50%

เช่นเดียวกับบริเวณเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจด้านหลังตัวเรือน ที่เพิ่มพื้นที่ผลึกแซฟไฟร์มาช่วยให้ตรวจจับการเต้นของหัวใจได้แม่นยำมากขึ้น ไม่นับรวมกับบริเวณปุ่มเม็ดมะยมที่จะปล่อยคลื่นไฟฟ้าออกมาช่วยวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ที่จะเปิดให้ใช้งานในภายหลัง)

รวมๆ แล้วจะเห็นได้ว่าตัวเรือนจะเน้นการปรับปรุงให้หน้าจอมีขนาดใหญ่ขึ้น และบางลงเล็กน้อย ซึ่งการที่หน้าจอใหญ่ขึ้น ก็ช่วยให้สามารถใช้งานแอปบนนาฬิกาได้สะดวกขึ้น ทั้งการอ่านข้อมูลการแจ้งเตือน อ่านข้อความ ดูตารางนัดหมายต่างๆ โดยไม่จำเป็นต้องเปิดใช้งาน iPhone

ฟีเจอร์ใหม่ที่มากับ Watch Series 4

ในส่วนของฟีเจอร์ใหม่ที่มากับ Watch 4 หลักๆ แล้วจะมีด้วยกัน 2 อย่างด้วยกัน คือ เรื่องของการแจ้งเตือนการล้ม เนื่องจากภายใน Watch 4 มีการเพิ่มเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว ที่แม่นยำขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการตกจากที่สูง

ส่งผลให้ตัวนาฬิกา จะมีโหมดการแจ้งเตือนฉุกเฉิน (SOS) เพิ่มเข้ามา ในกรณีที่ผู้สวมใส่ลื่นล้ม หรือหมดสติ ล้มลงกับพื้น แล้วไม่มีการตอบสนอง ตัวนาฬิกาจะติดต่อไปยังตำรวจ และส่งข้อมูลให้บุคคลใกล้ชิด (ที่ลงทะเบียนไว้) โดยจะส่ง SMS ขอความช่วยเหลือ พร้อมพิกัดสถานที่ไปให้ทันที

อย่างไรก็ตาม แอปเปิล ระบุว่า ฟีเจอร์นี้จะเหมาะกับการใช้งานสำหรับผู้สูงอายุ ที่มีปัญหาทางด้านสุขภาพ โดยระบบจะทำการเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้อัตโนมัติในกรณีที่มีอายุเกิน 65 ปีขึ้นไป ส่วนถ้าอายุไม่ถึงแล้วอยากเปิดใช้งานก็สามารถเข้าไปตั้งค่าได้จากแอปพลิเคชัน Watch บน iPhone

ถัดมาก็คือฟีเจอร์อย่างการวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ด้วยการที่ Watch 4 มีการเพิ่มเซ็นเซอร์วัดคลื่นหัวใจแบบไฟฟ้ามาที่บริเวณปุ่มเม็ดมะยม ทำให้เมื่อใช้งานร่วมกับเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นหัวใจเดิม ก็จะแสดงผลออกมาเป็นค่า ECG หรือ EKG ได้ทันที รวมถึงการแจ้งเตือนการเต้นหัวใจเบาลง ที่เมื่อก่อนจะมีการแจ้งเตือนเฉพาะหัวใจเต้นแรงเกินไป

ทั้งนี้ ฟีเจอร์วัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจจะเริ่มเปิดให้ใช้งานภายในปีนี้ที่สหรัฐอเมริกาก่อน หลังจากนั้นจึงจะทยอยเปิดให้ใช้งานในประเทศอื่นๆต่อไป เนื่องจากเมื่อเป็นอุปกรณ์ที่ถูกนำไปใช้งานทางการแพทย์จะต้องมีการขออนุญาติในการเปิดใช้งานเพิ่มเติมตามแต่ละหน่วยงาน

 

ที่เหลือก็จะเป็นการปรับปรุงในส่วนของประสิทธิภาพตัวเครื่องให้ทำงานได้เร็วขึ้น จากชิป S4 ที่หันมาใช้ซีพียูแบบ Dual-Core 64 บิต พร้อมกับจีพียูใหม่ ทำให้ตอบสนองการใช้งานได้รวดเร็วขึ้น และประหยัดแบตเตอรีมากขึ้น โดยแอปเปิลระบุว่า Watch 4 สามารถใช้งานต่อเนื่อง 18 ชั่วโมง และใช้วัดการออกกำลังได้ 6 ชั่วโมง

ส่วนการเชื่อมต่อก็พัฒนามาใช้ชิปเซ็ต W3 ที่รองรับการเชื่อมต่อบลูทูธ 5.0 ทำให้นอกจากใช้เชื่อมต่อกับหูฟังแล้ว Apple Watch 4 ยังสามารถใช้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ และเซ็นเซอร์ทางการแพทย์อย่างเครื่องตรวจระดับน้ำตาลภายในเลือด หรืออุปกรณ์อื่นๆ เพื่อส่งข้อมูลมาบันทึกเก็บไว้ได้

ใช้งานคู่กับ watchOS 5

ก่อนหน้านี้แอปเปิล เริ่มมีการอัปเดตให้ผู้ใช้งาน Apple Watch สามารถใช้งาน watchOS 5 ได้แล้ว แต่ใน Watch 4 จะมีจุดที่ใช้งานได้เพิ่มเติมขึ้นมาบางอย่าง เช่นในส่วนของหน้าปัดนาฬิกา Infograph ที่มีให้ใช้งานเฉพาะรุ่นนี้

โดยที่หน้าปัดนาฬิกาผู้ใช้จะสามารถเลือกได้ทั้งสีของหน้าปัด พร้อมกับวิตเจ็ตแสดงผลอีก 8 จุด ประกอบไปด้วยมุมซ้ายบน ขวาบน ซ้ายล่าง ขวาล่าง และตรงกลางหน้าปัดอีก 4 จุด จากเดิมในรุ่น Watch 3 จะเลือกได้เพียง 4 จุดเท่านั้น

สำหรับวิตเจ็ตใหม่ที่มีการนำเสนอเพิ่มขึ้นมาก็จะมีอย่างการแสดงระดับรังสี UV และระบบวอล์คกี้ทอล์คกี้ ที่เพิ่งเปิดให้ใช้งานบน watchOS 5 ทำให้ผู้ใช้สามารถสื่อสารกับผู้ใช้งาน Apple Watch ด้วยกัน โดยไม่จำเป็นต้องใช้งานไอโฟน

ประกอบกับถ้าใช้งาน Watch 4 GPS+Cellular ก็สามารถใช้งานร่วมกับระบบ eSIM ที่ปัจจุบันโอเปอเรเตอร์ในไทยเปิดให้บริการอยู่แล้ว ซึ่งถ้าไม่เคยใช้งานมาก่อนก็จะได้สิทธิใช้งานฟรี 3-12 เดือน ขึ้นอยู่กับแพกเกจหลักที่ใช้งาน ถ้าครบแล้วก็จะมีค่าใช้จ่ายเดือนละ 199 บาท

การลงทะเบียร eSIM สามารถทำได้ด้วยตัวเอง เมื่อเชื่อมต่อ Watch Series 4 Cellular เข้ากับ iPhone ก็จะสามารถผูกเบอร์ที่ใช้งานเข้าไปด้วยการใส่หมายเลขบัตรประชาชน แล้วกดยืนยัน ก็จะมีข้อเสนอจากโอเปอเรเตอร์มาให้ดู และกดสมัครได้เลย

ส่วนที่มีการอัปเดตเพิ่มเติมใน watch OS 5 ก็จะมีเรื่องของการทำกิจกรรมแข่งขันกับเพื่อนๆ เพื่อท้าทายให้ออกกำลังกายมากยิ่งขึ้น มีโปรแกรมการออกกำลังกายที่เพิ่มโยคะ และการปีนเขาเพิ่มขึ้นมา รวมถึงการตรวจจับการออกกำลังกายอัตโนมัติด้วย

เช่นเดียวกับการทำงานของ Siri ที่ผู้ใช้สามารถยกนาฬิกาขึ้นมาแล้วสั่งงานได้ทันที ไม่ต้องกดปุ่มเม็ดมะยมค้างเพื่อสั่งงานอีกต่อไป ยังมีพอดคาสต์ที่สามารถดาวน์โหลดมาเก็บไว้ฟังบน Watch ได้ทันที และระบบจะทำการซิงค์กับข้อมูลบน iPhone เพื่อให้สามารถฟังได้ต่อเนื่องจากที่ฟังค้างไว้

รุ่น และราคาจำหน่าย

สำหรับ Apple Watch 4 จะมีวางจำหน่ายด้วยกันในประเทศไทย 3 รุ่นหลักๆ 5 รุ่นย่อย ประกอบไปด้วย 1.Apple Watch 4 GPS และ Watch 4 GPS+Cellular ภายในก็จะมีให้เลือกอีกว่าเป็นตัวเรือนขนาด 40 มม. หรือ 42 มม. ที่ใช้อะลูมิเนียม หรือสแตนเลสสตีล

ตามมาด้วย 2.Apple Watch 4 Nike ที่นำมาแกะกล่องให้ชมกัน ที่จะแยกรุ่น GPS และ GPS + Cellular ในราคาเร่ิมต้นที่เท่ากัน และ 3.Apple Watch Hermes ที่มีให้เลือกเฉพาะรุ่น GPS + Cellular ซึ่งเป็นครั้งแรกที่นำรุ่นดังกล่าวเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยด้วย

ทั้งนี้ ในส่วนของราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ 14,400 บาท สำหรับรุ่น 40 มม. GPS ส่วน Watch 4 GPS+Cellular ที่ทางค่ายมือถือเริ่มเปิดให้จองประกาศราคาเริ่มต้นรุ่น 40 มม. อยู่ที่ 17,900 บาท และ 42 มม. อยู่ที่ 18,900 บาท

กลายเป็นนาฬิกาเพื่อสุขภาพ

จะเห็นได้ว่า การพัฒนาหลักๆของ Watch 4 จะเน้นไปที่เรื่องของสุขภาพเป็นหลัก ทั้งการทำงานของนาฬิกาอย่างเดียว ไปจนถึงการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ ที่เริ่มมีผู้ผลิตหลายรายให้ความสนใจเชื่อมต่อกับระบบ Health ของทางแอปเปิลมากยิ่งขึ้น ตามเทรนด์เรื่องของสุขภาพที่เกิดขึ้นในเวลานี้

เพราะฟังก์ชันการใช้งานนาฬิกาอัจฉริยะต่างๆ ถูกคิดค้นและพัฒนามาจนอยู่ตัวแล้ว ก้าวต่อไปจึงอยู่ที่การช่วยให้ผู้ใช้งานได้มีสุขภาพที่ดีขึ้นแทน และกลายเป็นตลาดที่ใหญ่ขึ้นมากกว่าเดิมด้วย โดยเฉพาะในกลุ่มของผู้สูงอายุ ที่ Apple Watch 4 จะกลายเป็นของขวัญที่มีค่า และได้ใช้งานจริง

Gallery

]]>
Review : Apple iPhone XR ไอโฟนรุ่นที่จะขายดีที่สุดในปีนี้ https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-iphone-xr/ Wed, 24 Oct 2018 03:03:21 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=29560

แม้ว่า iPhone XR ไม่ใช่ไอโฟนราคาถูกอย่างที่ทุกคนต้องการให้เป็น แต่เป็น iPhone ในระดับราคาปกติ ที่เข้ามาแทนที่ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus เดิม ด้วยการนำเทคโนโลยีจาก iPhone XS ที่ราคาเฉียด 4 หมื่นบาท ลงมาให้ใช้งานกันใน iPhone XR ที่ตั้งราคาเริ่มต้นมาอยู่ที่ 29,900 บาท

ทำให้เมื่อมองถึงความสามารถของ iPhone XR แล้วจะกลายเป็น iPhone ที่มาตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการเทคโนโลยีล้ำๆ หน้าจอใหญ่ ในช่วงราคาที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังสามารถเป็นเจ้าของได้ ยิ่งเมื่อทำราคาร่วมกับโอเปอเรเตอร์ iPhone XR ก็จะอยู่ที่ช่วง 2 หมื่นกลางๆ

จุดเด่นหลักๆของ iPhone XR จึงกลับมาอยู่ที่การมีหน้าจอ LCD ขนาด 6.1 นิ้ว พร้อมกับสีสันให้เลือกหลากหลายถึง 6 สีด้วยกัน คือ ขาว ดำ ฟ้า ส้ม เหลือง และแดง นอกจากนี้ก็คือการนำเทคโนโลยีที่อยู่บน iPhone XS ทั้งหน่วยประมวลผล A12 กล้องหลังมุมกว้าง และกล้องหน้า TrueDepth มาไว้ให้ใช้งาน

ข้อดี

สมาร์ทโฟนขนาดจอ 6.1 นิ้ว ที่มีให้เลือกหลากหลายสี
ประสิทธิภาพเท่ากับ XS และ XS Max จากการที่ใช้หน่วยประมวลผลเดียวกัน
กล้องหน้ามากับเทคโนโลยี TrueDepth ใช้งาน FaceID ได้

ข้อสังเกต

ตัวเครื่องมีขนาดใหญ่ขึ้น มาอยู่ระหว่าง XS และ XS Max ทำให้คนที่ชอบเครื่องเล็กอย่าง 8 จะรู้สึกว่าใหญ่เกินไป
ความละเอียดหน้าจอ Liquid Retina ยังสู้ Super Retina ไม่ได้
กล้องหลังไม่ใช่กล้องคู่ ทำให้เวลาถ่าย Portrait จะใช้ AI มาประมวลผลแทน

อัปเดตเทคโนโลยีอะไรมาให้ใช้บ้าง

จากเดิมใน iPhone 8 หรือ iPhone 8 Plus ผู้ใช้จะไม่สามารถใช้งาน FaceID ได้เพราะมากับกล้องหน้าแบบ TrueDepth แต่ใน iPhone XR เมื่อมีการนำ TrueDepth มาให้ใช้งานแล้ว ก็แปลว่า iPhone XR สามารถใช้ FaceID ในการปลดล็อกเครื่องได้ และยกเลิกการใช้งาน TouchID ไปโดยปริยาย

เมื่อมีกล้องหน้า TrueDepth สิ่งที่ตามมาก็คือผู้ใช้สามารถใช้งาน Animoji และ Memoji ได้ เช่นเดียวกับการใช้กล้องหน้าถ่ายโหมด Portrait เพื่อละลายฉากหลัง ดังนั้น ถ้ามองในแง่ของเทคโนโลยีกล้องหน้าแล้ว XR ไม่แตกต่างจาก XS เลย

ถัดมาในส่วนของหน้าจอที่ให้มาเป็น Liquid Retina ที่แสดงผลได้สวยขึ้นเมื่อเทียบกับ 8 และ 8 Plus แต่เมื่อเทียบกับ Super Retina บน iPhone XS ก็จะเห็นความแตกต่างอยู่ โดยความสามารถที่ใส่มาให้ใน XR ก็จะมีอย่าง Tap to wake หรือแตะหน้าจอเพื่อปลุกเครื่องมาให้ใช้ได้

ส่วนของกล้องหลัง iPhone XR จะนำเลนส์กล้องมุมกว้างความละเอียดเท่ากับบน iPhone XS คือความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/1.8 ที่แม้ว่าจะไม่มีกล้องคู่มาให้ แต่ด้วยการนำ AI มาใช้งาน ทำให้ XR สามารถถ่ายภาพบุคคลแล้วปรับชัดลึก ชัดตื่นได้เหมือนใน XS และที่สำคัญคือสามารถถ่ายภาพบุคคลมุมกว้างแบบที่ XS ไม่สามารถทำได้ด้วย

แต่ก็น่าเสียดายที่ Portrait Mode ของ XR สามารถจับได้เฉพาะใบหน้าของบุคคลเท่านั้น เนื่องจากใช้ AI มาช่วยในการประมวลผล ซึ่งไม่สามารถใช้จับวัตถุอื่นๆได้ ทำให้การถ่ายภาพเบลอหลังมีข้อจำกัดอยู่พอสมควร

รวมๆแล้วจะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีที่ใส่มาให้ใน iPhone XR ถือว่าปรับปรุงขึ้นมาจาก iPhone 8 Plus ค่อนข้างเยอะ ทำให้เชื่อได้ว่าผู้ที่มีแผนจะซื้อ iPhone รุ่นใหม่ XR จะกลายเป็นตัวเลือกแรก เพราะด้วยระดับราคาที่ไม่กระโดดจากเดิมมากเกินไป ทำให้สามารถตัดสินใจซื้อได้ง่ายกว่าข้ามไปเป็น XS หรือ XS Max

ตัวเครื่องอะลูมิเนียมกับหน้าจอกระจก

สำหรับตัวเครื่องของ iPhone XR จะมากับวัสดุที่เป็นอะลูมิเนียม 7000 ซีรีส์ ที่ใช้ในอุตสาหกรรมอวกาศ ซึ่งจะให้ความรู้สึกในการสัมผัสใกล้เคียงกับ iPhone 8 เดิม แต่ไม่แข็งแรงเท่าใน iPhone XS โดยตัวเครื่องจะป้องกันน้ำ ป้องกันฝุ่นมาตรฐาน IP67 หรือกันน้ำลึกไม่เกิน 1 เมตรได้ 30 นาที

ขนาดตัวเครื่องของ XR จะอยู่ที่ 150.9 x 75.7 x 8.3 มิลลิเมตร น้ำหนัก 194 กรัม วางจำหน่ายด้วยกัน 6 สี คือ ขาว ดำ ฟ้า เหลือง ส้มคอรัล และแดง (Product RED)

ขณะที่หน้าจอจะใช้เป็น Liquid Retina ขนาด 6.1 นิ้ว ความละเอียด 1792 x 828 พิกเซล โดยมีความละเอียดเม็ดสีบนหน้าจออยู่ที่ 326 ppi ที่ส่วนบนจะมีรอยบากลงมาเช่นกันเพราะมีการนำกล้องหน้าอย่าง True Depth มาใช้งานด้วย

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหน้าจอจะไม่รองรับการทำงานแบบ 3D Touch แต่แอปเปิลมีการนำ Haptic Touch หรือการใช้ไฟฟ้าสถิตมาทำให้นิ้วรู้สึกเหมือนกดหน้าจอลงไปเวลากดค้างในจุดที่รองรับ ซึ่งการทำงานจะให้ความรู้สึกเหมือนการกดทัชแพดใน MacBook

รอบๆตัวเครื่อง ก็จะมีปุ่มควบคุม และพอร์ตการเชื่อมต่อ เหมือนกับ iPhone XS คือทางด้านซ้ายจะเป็นปุ่มเปิดปิดเสียง และปรับระดับเสียง ทางขวาเป็นปุ่มเปิดเครื่อง และเรียกใช้งาน Siri ด้านบนก็จะถูกปล่อยว่างไว้ ส่วนด้านล่างเป็นพอร์ต Lightning ไว้ชาร์จ และเสียบหูฟังด้วย

ในส่วนของสเปกภายในตัวเครื่อง iPhone XR จะมากับหน่วยประมวลผล Apple A12 Bionic เช่นเดียวกับใน iPhone XS ดังนั้นในเรื่องของความลื่นไหลของการใช้งานจึงไม่แตกต่างกัน และด้วยขนาดตัวเครื่องที่ใหญ่ขึ้น ทำให้ใส่แบตได้มากกว่า ประกอบกับหน้าจอที่ความละเอียดน้อยกว่าทำให้ใช้งานได้นานกว่า

ด้านการเชื่อมต่อ iPhone XR ใส่มาให้ทั้ง Wi-Fi 5  บลูทูธ จีพีเอส NFC และตัวเครื่องยังรองรับการชาร์จไร้สายด้วย ไม่นับกับการเชื่อมต่อ LTE Advance เหมือนใน X ที่ใช้ LTE Cat 12 ทำให้เป็นอีกจุดที่แตกต่างจากใน XS ที่เป็น LTE Cat 16

Gallery

น่าซื้อไหม?

ถ้าเป็นคนที่ชอบใช้ iPhone แล้วปัจจุบันใช้งาน iPhone 6, 6 Plus, 6s และ 6s Plus แล้วอยากได้เครื่องรุ่นใหม่แล้ว iPhone XR ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะจะได้เทคโนโลยีหลายๆอย่างแบบเดียวกับใน iPhone XS ในราคาที่ต่ำกว่ากันหลักหมื่นบาท

แต่ถ้าไม่ได้มีข้อจำกัดในแง่ของงบประมาณการขยับข้ามไปเป็น XS หรือ XS Max จะเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ได้มากกว่า เพราะจะได้เทคโนโลยีขั้นสุดกว่า XR โดยเฉพาะเรื่องของหน้าจอที่แสดงผลได้ดีกว่า และวัสดุของตัวเครื่องที่เรียบหรูมากกว่า

ส่วนถ้ามองว่าระดับราคา XR ยังสูงเกินไป ทางเลือกอย่าง 8 และ 8 Plus ที่ปรับลดราคาลงมาก็น่าสนใจ เพียงแต่ก็ต้องยอมรับว่าจะไม่ได้ใช้งานเทคโนโลยีใหม่อย่าง TrueDepth และกล้องหลังที่เพิ่มความสามารถมากขึ้น เช่นเดียวกับหน่วยประมวลผล A12 Bionic ที่เร็ว และประหยัดแบตมากขึ้นเท่านั้นเอง

]]>
Review : Apple Watch 3 GPS+Cellular ลืมโทรศัพท์ก็ไม่พลาดการสื่อสาร https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-watch-3-cellular/ Thu, 05 Apr 2018 00:30:08 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=28322

รอมานานหลังจากที่ Apple เปิดตัว Apple Watch Series 3 ออกมาในช่วงเดือนกันยายน และนำรุ่น Apple Watch Series 3 GPS เข้ามาทำตลาดก่อน เพื่อรอให้โอเปอเรเตอร์ในไทยรองรับการให้บริการ eSIM จนเมื่อถึงเวลาที่ทรูมูฟ เอช พร้อมให้บริการ Apple Watch 3 GPS + Cellular ก็ได้ฤกษ์วางจำหน่ายในประเทศไทย

ก่อนหน้านี้ ทีมงานเคยรีวิว Apple Watch Series 3 ไปแล้ว สามารถกดย้อนกลับไปอ่านได้ที่ https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-watch3/ ดังนั้น ในรีวิวคราวนี้ จึงเน้นไปที่ความแตกต่างระหว่างรุ่น GPS และรุ่น Apple Watch Series 3  GPS+Cellular แทน

โดยเมื่อมองรวมๆ แล้ว Apple Watch Series 3  GPS+Cellular จะเหมาะกับผู้ใช้งานที่การสื่อสารเป็นสิ่งสำคัญกับการใช้ชีวิต เมื่อใช้งานรุ่นนี้ก็จะไม่พลาดการสื่อสารสำคัญๆ อย่างโทรศัพท์ หรือการแจ้งเตือนต่างๆ แม้อยู่ในช่วงที่ไม่ได้พกไอโฟนติดตัว

ดังนั้น ถ้าจะให้เจาะจงลงไป ก็อาจจะเน้นกลุ่มผู้ใช้งานที่ชอบออกกำลังกาย และไม่ต้องการพกสมาร์ทโฟนติดตัวไปด้วย หรือมองว่าบางทีควรใช้ชีวิตให้ห่างจากโทรศัพท์เสียบ้าง แต่ก็ยังไม่พลาดการติดต่อสื่อสารในเหตุการณ์สำคัญๆ

ข้อดี

สามารถใช้โทรศัพท์ได้โดยไม่ต้องพึ่งพา iPhone

ใช้ Apple Music และวิทยุได้ ขณะออกกำลังกาย

รองรับระบบนำทาง แม้ไม่ได้เชื่อมต่อกับ iPhone

ข้อสังเกต

แบตเตอรีใช้งานได้สั้นลงเมื่อเทียบกับรุ่น GPS ปกติ

– แอปค่ายอื่นที่รองรับยังจำกัดอยู่

– ค่าบริการ 4G eSIM เริ่มที่เดือนละ 199 บาท (หลังหมดโปรโมชัน)

จุดต่างของ Apple Watch Series 3 GPS+Cellular

ในแง่ของความต่างด้านการออกแบบ Watch 3 GPS+Cellular จะมีจุดสังเกตหลักๆ เลยคือบริเวณปุ่มเม็ดมะยมจะเป็นสีแดง เหมือนกับในรุ่นพิเศษ ในขณะที่การควบคุม และการใช้งานต่างๆแทบเหมือนกันทั้งหมด

แต่ถ้ามาดูที่หน้าจอแสดงผล Apple Watch 3 GPS+Cellular เมื่อไม่ได้ทำการเชื่อมต่อกับ iPhone ตัวหน้าปัดจะมีการแสดงผลสัญญาณโทรศัพท์ขึ้นอยู่ (ขึ้นอยู่กับหน้าปัดที่เลือกใช้) รวมถึงในแถบควบคุมจะมีปุ่ม Cellular เพิ่มเข้ามา

โดยเมื่ออยู่ในโหมดที่เชื่อมต่อ Cellular (ไม่ได้อยู่ใกล้เคียง iPhone และไม่ได้เชื่อมต่อ WiFi) คุณสมบัติต่างๆของ Apple Watch ก็ยังทำงานได้ปกติ ไม่ว่าจะเป็นการรับการแจ้งเตือนเช่นเดียวกับบน iPhone เครื่องที่ทำการเชื่อมต่อไว้

นอกจากนี้ ยังสามารถสั่งงานด้วย Siri เพื่อเล่นเพลง หรือเพลยลิสต์ใน Apple Music หรือเลือกเปิดวิทยุฟังได้ทันที ย้ำว่าโดยไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับ iPhone เพียงแต่ต้องเชื่อมต่อกับหูฟังบลูทูธ หรือลำโพงบลูทูธแทน

ดังนั้น ถ้าคิดภาพตามว่าจากเดิมเวลาไปออกกำลังกาย อย่างการวิ่ง ปั่นจักรยาน หรือเล่นฟิตเนส จากเดิมที่ต้องพก iPhone ติดตัวไปด้วย คราวนี้ก็สามารถวาง iPhone ไว้ในล็อกเกอร์ หรือเก็บไว้ในรถ แต่ก็ยังสามารถฟังเพลง พร้อมเก็บข้อมูลการออกกำลังไปได้

เช่นเดียวกับในแง่ของการใช้เป็นโทรศัพท์ จากเดิมที่ผู้ใช้จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับ iPhone เพื่อให้สามารถโทรออก หรือรับสายได้ แต่พอมาเป็นรุ่น GPS+Cellular ผู้ใช้ก็สามารถสั่ง Siri ให้โทรออก หรือจะกดเลือกจากรายชื่อได้ทันที ช่วยให้ไม่พลาดการติดต่อสื่อสารสำคัญๆ

รวมถึงการใช้ Apple Maps นำทาง ที่ตัวเรือนจะดึงความสามารถของทั้งระบบ GPS ที่ติดตั้งมา เชื่อมเข้ากับการดึงข้อมูลของ Apple Maps จากอินเทอร์เน็ต ทำให้แม้ไม่มีโทรศัพท์ติดตัวก็สามารถใช้นำทางได้

ทั้งนี้ เมื่อเข้าไปดูภายในแอป Watch ก็จะเห็นหัวข้อ Cellular เพิ่มเข้ามา เพื่อแสดงรายละเอียดการใช้งานอินเทอร์เน็ต ว่าแอปใดใช้งานอินเทอร์เน็ตไปปริมาณเท่าใด และยังสามารถเข้าไปบริหารจัดการการเชื่อมต่อ และยกเลิกซิมเสริมได้ด้วย

Gallery

การตั้งค่าใช้งาน 4G eSIM

หัวใจสำคัญของการที่ทำให้ Apple Watch 3 GPS+Cellular ทำงานได้เหมือนใส่มัลติซิมการ์ดเข้าไปในตัวเรือน เพื่อให้ใช้งานเป็นโทรศัพท์ได้เลยก็คือเทคโนโลยี 4G eSIM ที่จะทำการผูกเลขหมายโทรศัพท์ที่ใช้งาน เข้ากับ Apple Watch

วิธีการตั้งค่าให้ Apple Watch รองรับการใช้งาน Cellular ก็ไม่ใช่เรื่องยาก โดยเริ่มจากการเปิดแอปพลิเคชัน Watch บน iPhone ขึ้นมา เพื่อทำการ Sync ข้อมูลนาฬิกาเครื่องใหม่ และทำตามขั้นตอนต่างๆตามปกติ

จนไปถึงหน้าที่ให้เลือกตั้งค่า Cellular บนหน้าจอจะทำการสลับไปยังหน้าลงทะเบียนให้อัตโนมัติ โดยเริ่มจากกรอกเลขบัตรประชาชน ยืนยันความเป็นเจ้าของเบอร์ หลังจากนั้น ก็จะปรากฏรายละเอียดเบอร์ แพกเกจที่ใช้งาน และค่าบริการ (ของทรูมูฟ เอช ช่วงแรกใช้บริการฟรี)

ต่อจากนั้นก็ทำการตั้งชื่อซิมการ์ด ตั้งชื่อซิมสำหรับ Apple Watch เมื่อตั้งค่าเสร็จ ก็เป็นอันเสร็จขั้นตอน ตัว Apple Watch ก็จะทำการลงทะเบียนกับเครือข่ายและจับสัญญาณโทรศัพท์มือถือ เหมือนเป็นโทรศัพท์เครื่องหนึ่ง เพียงแต่ว่าในจุดนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับโอเปอเรเตอร์ที่จะนำมาให้บริการ

ทรูมูฟ เอช พร้อมให้บริการรายแรก เอไอเอส ตามมาแล้ว

เบื้องต้น ทางทรูมูฟ เอช ถือเป็นโอเปอเรเตอร์รายแรกที่นำบริการดังกล่าวมาให้ใช้งานกันในประเทศไทย โดยเริ่มเปิดให้ลูกค้าทั่วไปสามารถซื้อ Apple Watch 3 GPS+Cellular ได้ตั้งแต่วันนี้ (5 เมษายน) ซึ่งสามารถใช้งานได้ทั้งลูกค้าเก่า ลูกค้าใหม่ และลูกค้าย้ายค่ายเบอร์เดิม

สำหรับโปรโมชัน Apple Watch ของทางทรูมูฟ เอช จะเปิดโอกาสให้ลูกค้าที่ใช้งานแพกเกจ 499 บาทขึ้นไป รับสิทธิใช้งานฟรี 6 เดือน หรือถ้าใช้งานแพกเกจ 1,099 บาทขึ้นไป จะได้รับสิทธิใช้งานฟรี 12 เดือน ส่วนลูกค้าย้ายค่ายเบอร์เดิมที่สมัครแพกเกจ 1,099 บาทขึ้นไปจะใช้งานฟรี 24 เดือน

หลังจากหมดระยะเวลาโปรโมชันค่าบริการ 4G eSIM จะอยู่ที่เดือนละ 199 บาท โดยปริมาณการใช้งานจะคิดรวมกับแพกเกจหลักที่ใช้งาน และจำกัดต่อ 1 เบอร์สามารถผูกกับ Apple Watch ได้ไม่เกิน 5 เรือน

ส่วนค่ายอื่นๆ ทางแอปเปิลระบุว่า กำลังอยู่ในช่วงการเตรียมความพร้อมของเครือข่ายให้รองรับการใช้งาน 4G eSIM ตามมาตรฐานที่แอปเปิลกำหนดไว้ ซึ่งทางทรูมูฟ เอช เตรียมระบบได้เสร็จก่อน ก็เลยได้เป็นโอเปอเรเตอร์รายแรกที่วางจำหน่าย

ล่าสุดทาง เอไอเอส ก็ได้ประกาศวางจำหน่าย Apple Watch 3 Cellular ในวันที่ 10 พ.ค.นี้ โดยจะให้สิทธิลูกค้าเดิมใช้งานได้ฟรี 6 เดือน รวมถึงลูกค้าเปิดเบอร์ใหม่ ลูกค้าย้ายค่ายเบอร์เดิม และใช้ฟรี 12 เดือนเมื่อใช้งานแพกเกจขั้นต่ำ 1,099 บาทขึ้นไป สำหรับลูกค้าเปิดเบอร์ใหม่ และลูกค้าเปลี่ยนจากเติมเงินเป็นรายเดือน

ส่วนลูกค้าเดิม หรือย้ายค่ายเบอร์เดิมมาใช้งานแพกเกจ 1,099 บาทขึ้นไป จะได้รับสิทธิใช้งานฟรี 24 เดือน จากปกติที่มีค่าเปิดใช้งาน 299 บาท และค่าบริการรายเดือนอีก 199 บาท รวมถึงสิทธิส่วนลดเพิ่มเติมเมื่อซื้อนาฬิกาอีก 1,000 บาท

ราคา Apple Watch Series 3 GPS+Cellular

ในส่วนของราคาจำหน่าย จะมีด้วยกัน 2 รูปแบบคือราคาที่ทาง Apple Store เป็นผู้จำหน่าย จะเริ่มต้นที่ 14,900 บาท สำหรับรุ่น 38 มม. และ 15,900 บาท สำหรับรุ่น 42 มม. ไปจนถึง 49,900 บาทสำหรับรุ่นตัวเรือนเซรามิก

ส่วนราคาที่ทางทรูมูฟ เอช จำหน่ายจะเริ่มต้นที่ 15,500 บาท สำหรับรุ่น 38 มม. และ 16,500 บาท สำหรับรุ่น 42 มม. ไปจนถึงตัวเรือนสแตนเลสสตีลสูงสุดที่ 29,900 บาท และไม่มีรุ่นตัวเรือเซรามิกจำหน่าย

]]>
Review : Apple TV 4K อุปกรณ์ที่จะช่วยให้เข้าถึงคอนเทนต์ 4K HDR ได้ง่ายขึ้น https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-tv-4k/ Fri, 02 Mar 2018 09:10:19 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=28108

เมื่อคอนเทนต์ภาษาไทยเริ่มเพิ่มมากขึ้นใน iTunes Movies Store การเข้ามาทำตลาดของ Apple TV 4K ในประเทศไทยจึงถือเป็นอีกจุดที่มาช่วยกระตุ้นให้การเข้าถึงคอนเทนต์วิดีโอความละเอียดสูงผ่านอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย

เพียงแต่ว่าตลาดของกล่องอินเทอร์เน็ตทีวี ก็ไม่ใช่อุปกรณ์ที่ได้รับความนิยมมากนักในประเทศไทย เพราะมีเพียงผู้บริโภคบางกลุ่มเท่านั้น ที่ยอมควักกระเป๋าจ่ายเงินเพื่อเช่า หรือซื้อภาพยนตร์ หรือการสมัครสมาชิกบริการทีวีสตรีมมิ่งต่างๆ

ดังนั้น กลุ่มผู้ใช้งาน Apple TV 4K จริงๆ ก็จะเหลือแค่กลุ่มผู้ใช้งานสินค้าของแอปเปิล (Apple Ecosystems) ที่มีการใช้งานแมคบุ๊ก ไอแพด หรือไอโฟนในชีวิตประจำวัน มีโทรทัศน์ที่รองรับการแสดงผลแบบ 4K และชื่นชอบในการดูหนังออนไลน์ผ่านเน็ตฟลิกซ์ ที่ให้ความสนใจในการซื้อหามาใช้งาน

การออกแบบ

ดีไซน์ของกล่อง Apple TV 4K จริงๆแล้วไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงจากรุ่นก่อนหน้ามากนัก ยังคงมีสัญลักษณ์ของ Apple และคำว่า TV สกรีนอยู่ด้านบนของเครื่อง โดยมีขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 98 x 98 x 35 มิลลิเมตร น้ำหนัก 425 กรัม

เมื่อพลิกหลังเครื่องขึ้นมาก็จะเป็นรูระบายอากาศ และสัญลักษณ์ Apple อยู่ ส่วนรอบๆตัวเครื่องก็จะถูกปล่อยไว้โล่งๆ โดยมีไฟแสดงสถานะตัวเครื่อง (ไฟ LED สีขาว) ที่จะติดเวลาเปิดใช้งานเครื่อง และแสดงสถานว่าเครื่องรอสแตนบายอยู่

ส่วนหลังเครื่องที่เป็นช่องๆต่อสายต่างๆ ก็จะมีแค่ 3 ช่องหลักๆ คือช่องต่อปลั้กไฟ พอร์ต HDMI 2.0 และช่องเสียบสาย LAN เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้าที่มีพอร์ต USB-C มาให้ด้วยก็จะรู้สึกเหมือนมีการตัดพอร์ตออกไป แต่จริงๆแล้ว Apple พัฒนามาเน้นการเชื่อมต่อแบบไร้สายมากกว่า

นอกจากตัวกล่องแล้วอีกอุปกรณ์ที่สำคัญไม่แพ้กันคือ Apple TV Remote ที่มีขนาดอยู่ที่ 38 x 124 x 6.3 มิลลิเมตร น้ำหนัก 45 กรัม โดยแบ่งพื้นที่หลักๆ ออกเป็น 2 ส่วนคือ บริเวณพื้นผิวระบบสัมผัส และบริเวณปุ่มกด ที่จะมีทั้งปุ่มเมนู (กดเพื่อย้อนกลับได้) ปุ่มโฮมเพื่อกลับสู่หน้าหลัก

ปุ่มสั่งงานด้วยระบบเสียง (ใช้เพื่อกดค้นหาได้ด้วย) ปุ่มควบคุมการเล่น/หยุด และปุ่มปรับระดับเสียง โดยตัวรีโมทจะเชื่อมต่อกับกล่อง Apple TV ผ่านบลูทูธ รองรับระบบตรวจจับการเคลื่อนไหว และชาร์จแบตได้ด้วยสาย Lightning ได้ทันที

สำหรับอุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องก็จะมีตัวเครื่อง Apple TV รีโมท สาย Lightning และคู่มือการใช้งานเท่านั้น ไม่ได้มีแถมสาย HDMI มาให้ด้วย ดังนั้นถ้าต้องการนำมาต่อกับทีวี ก็ควรหาสายที่รองรับไว้ด้วย

สเปก

สิ่งที่น่าสนใจใน Apple TV 4K คือหน่วยประมวลผลที่อัปเกรดมาใช้ Apple A10X Fusion บนสถาปัตยกรรมแบบ 64 บิต เช่นเดียวกับ iPhone 8 และ iPhone X ทำให้การประมวลผลหนักๆ ทำได้สบายๆ

ส่วนการเชื่อมต่อต่างๆ ก็จะมีมาให้ทั้งพอร์ต HDMI 2.0 (รองรับ 4K) พอร์ต LAN (Gigabit Ethernet) หรือถ้าไม่ได้เชื่อมต่อผ่านสาย LAN ก็ใช้การเชื่อมต่อไร้สายบน Wi-Fi 802.11ac ได้ นอกจากนี้ก็จะมีบลูทูธ 5.0 ไว้สำหรับเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมอื่นๆ

ฟีเจอร์เด่น

ถ้ามองให้ง่ายๆ Apple TV 4K ก็จะเป็นกล่องที่แปลงโทรทัศน์ธรรมดาให้กลายเป็น Smart TV ได้ (แม้ว่าในปัจจุบัน ทีวี 4K ส่วนใหญ่จะมากับฟีเจอร์สมาร์ททีวีแล้วก็ตาม) เพียงแต่จุดเด่นหลักๆของ Apple TV 4K จะอยู่ที่มีช่องทางให้ผู้บริโภคเลือกซื้อคอนเทนต์ภาพยนตร์ ผ่านทาง ITunes Movie ที่จะเหมาะมากกับผู้ที่ชอบรับชมภาพยนตร์อยู่บ้าน

ปัจจุบันคอนเทนต์ที่อยู่บน iTunes Movies ถือว่าเพิ่มขึ้นมาค่อนข้างเยอะ เมื่อเทียบกับสมัยก่อนที่เริ่มให้บริการ โดยเฉพาะคอนเทนต์ระดับ 4K ที่มีบรรยายไทย ที่มีให้เลือกมากขึ้นอย่างชัดเจน โดยผู้ใช้สามารถเลือกซื้อ หรือเช่า (เมื่อกดเช่าแล้วต้องเริ่มดูภายใน 30 วัน และเมื่อเริ่มดูแล้วต้องดูให้จบภายใน 48 ชั่วโมง)

เพียงแต่จุดเด่นจริงๆ ของ Apple TV 4K ไม่ได้อยู่ตรงนั้น แต่อยู่ตรงที่ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันมาติดตั้งเพิ่มเติมได้ ไม่ว่าจะเป็น Netflix (บริการดูหนังออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก) หรือการเข้าไปดูวิดีโอใน Facebook Youtube Dailymotion Vimeo ต่างๆก็ได้เช่นกัน

เมื่อได้ลองนำมาใช้งาน ด้วยการที่ปกติรับชม Netflix เป็นประจำอยู่แล้ว การนำ Apple TV 4K มาใช้ ก็ช่วยให้การใช้งานสะดวกขึ้น เมื่อเปิดเครื่องขึ้นมา เข้าแอป Netflix เลือกซีรีส์เรื่องโปรดที่กดเซฟไว้ หรือจะกดดูต่อก็สามารถทำได้ทันที

ส่วน Youtube ก็จะถูกนำมาใช้เพื่อการดูละคร หรือรายการทีวีย้อนหลัง เพียงแต่ว่าอินเตอร์เฟสของแอป Youtube บน Apple TV 4K จะใช้งานค่อนข้างยาก เพราะปรับให้เป็นอินเตอร์เฟสเดียวกับบนสมาร์ททีวี เพื่อให้ง่ายกับการใช้รีโมทกดมากกว่า

ในการป้อนข้อมูล Apple TV 4K จะมีความฉลาดตรงที่ ถ้าเป็นผู้ใช้งาน iOS อยู่ เมื่อกดเข้าช่องค้นหา บน iPhone หรือ iPad ที่เชื่อมต่ออยู่บน Apple ID และเครือข่ายเดียวกัน จะมีเด้งแจ้งเตือนขึ้นมา ให้ผู้ใช้สามารถกดพิมพ์ได้จากแป้นคีย์บอร์ดบนสมาร์ทโฟน

นอกจากนี้ ก็จะฟีเจอร์เพื่อความบันเทิงอย่างเกม หรือแอปเรียนรู้สำหรับเด็กมาให้เพื่อใช้งานในครอบครัว โดยจะใช้การควบคุมผ่าน รีโมท ไร้สายที่จะจับการเคลื่อนไหวของผู้เล่นได้ด้วย แต่ทั้งนี้เกมที่ให้มาส่วนใหญ่ก็จะเป็นเกมสนุกๆ เล่นกับครอบครัวมากกว่า

ที่เหลือก็จะเป็นความสามารถในการดึงคอนเทนต์ทั้งรูปภาพจาก Photos เพลงจาก Apple Music ฟัง Podcast โดยทั้งหมดจะผูกอยู่ภายใต้บัญชี Apple ID เดียวกัน ดังนั้น ก้จะเหมาะกับผู้ที่ใช้อีโคซิสเตมส์ของ Apple อยู่แล้วเป็นหลัก

หรือจะใช้ในการส่งเพลงที่เปิดในเครื่อง iPhone iPad จากทั้ง Apple Music Joox หรือแม้กระทั่ง Spotify เข้าไปเล่นบน Apple TV 4K ก็สามารถเลือกได้ ผ่านหน้าจอตั้งค่าด่วนบนอุปกรณ์ iOS

ไม่นับรวมกับฟังก์ชันอย่าง AirPlay ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ Screen Mirroring หน้าจอจากทั้ง iPhone iPad หรือ Mac มาแสดงผลบน Apple TV ได้ทันที ซึ่งก็ช่วยให้สะดวกในการเล่นคอนเทนต์บนหน้าจอโทรทัศน์ หรือนำไปใช้แต่กับเครื่องฉายโปรเจกเตอร์ก็ได้เช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก Apple TV ยังเป็นระบบปิดอยู่ ทำให้ไม่สามารถใช้การ Cast Screen จากแอนดอรยด์ หรือระบบอื่นๆมาใช้งานได้ ถ้าต้องการสตรีมไฟล์หนังก็ต้องใช้การจำลอง Server ผ่านโปรแกรมอย่าง Plex แล้วไปดาวน์โหลดแอปอย่าง VLC มาใช้งานร่วมกันแทน ซึ่งก็ต้องใช้ความสามาถรเพิ่มเติมเล็กน้อย

สรุป

ถ้ามีโทรทัศน์ที่รองรับการแสดงผลแบบ 4K HDR อยู่ ประกอบกับมีการใช้งานอุปกรณ์ของ Apple อยู่แล้วไม่ว่าจะเป็น iPhone iPad หรือ Mac ก็ตาม การมี Apple TV 4K เข้ามาก็จะช่วยให้การดูภาพยนตร์ หรือรับชมคอนเทนต์ต่างๆ ผ่านโทรทัศน์ได้สะดวกขึ้น

คุณภาพของคอนเทนต์ 4K ทั้งผ่าน iTunes Movie และ Netflix ถือว่าคมชัดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นก็ถือเป็นอีกทางเลือกในการเข้าใช้งานแอปพลิเคชันเหล่านี้ แต่ด้วยราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 8,500 บาท สำหรับรุ่น 32 GB และ 9,200 บาท สำหรับ 64 GB ก็ควรพิจารณาเพิ่มเติมว่า ซื้อมาแล้วจะได้ใช้หรือไม่

อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นผู้ที่ไม่ได้นิยมซื้อ/เช่า ดิจิทัลคอนเทนต์ หรือมีการสมัครบริการดูหนัง/ซีรีส์ อย่าง Netflix อยู่เป็นประจำแล้ว ก็ควรมองข้าม Apple TV 4K ไปดีกว่า เพราะถึงซื้อมาก็ไม่ตรงกับรูปแบบการใช้งาน กลับกันถ้าเป็นคนที่ชอบสนับสนุนผู้ผลิต และมองว่าไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่เกินจำเป็น Apple TV 4K ก็จะมาเพิ่มประสบการณ์ในการรับชมคอนเทนต์ได้ง่ายขึ้น

Gallery

]]>
Review : Apple iPhone X จากมุมผู้ใช้แอนดรอยด์ที่หันมาใช้ iPhone เป็นเครื่องแรก https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-iphone-x/ Mon, 22 Jan 2018 09:46:27 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=28012

หลังใช้เวลาอยู่กับ iPhone X (จะเรียกไอโฟน สิบหรือ ไอโฟน เท็น ก็ว่าไป แต่อย่าเรียกไอโฟน เอ็กซ์) ในรูปแบบที่ใช้งานเป็นเครื่องหลักมา 3 เดือน หลังจากวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ในมุมนึงก็ต้องยอมรับว่า iPhone X กลายเป็นสมาร์ทโฟนที่ใช้ง่าย และช่วยให้ให้ชีวิตสะดวกขึ้น

เนื่องจากเกือบสิบกว่าปีที่ผ่านมาไม่เคยได้ใช้งาน iPhone เป็นเครื่องหลัก จะมีก็แต่จับๆใช้งานบ้างในช่วงแรกๆ ที่ iPhone เข้ามาทำตลาด แต่ด้วยความยุ่งยากของ iTunes ในสมัยนั้นทำให้ถอดใจเลิกใช้งานไป และหันไปใช้งานแอนดรอยด์มาตลอด ก่อนกลับมาลองใช้งาน iPhone อีกครั้ง เมื่อ iPhone X วางตลาด

ในแง่ของการใช้งานพื้นฐานของ iPhone X ที่มากับ iOS 11 สามารถย้อนไปดูได้ที่ ชมวิดีโอแกะกล่อง พร้อมสิ่งใหม่ที่ควรรู้จักใน iPhone X

ย้ายข้อมูลมาเครื่องใหม่ไม่ใช่เรื่องยาก

เริ่มกันตั้งแต่การย้ายข้อมูลมาเพื่อใช้งาน iOS เรียกได้ว่าใน iOS 11 ให้ความประทับใจตรงนี้พอสมควร เมื่อลองทำการย้ายข้อมูลจากแอนดรอยด์เครื่องเก่าที่ใช้งานมา ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลเบอร์โทรศัพท์ (หรือถ้าทัยสมัยหน่อยจะซิงค์ผ่านคลาวด์ของกูเกิลก็ได้) ข้อความ SMS ที่เก็บไว้หลายพันข้อความ ตามมาหมด

รวมถึงรูปต่างๆตามมาอยู่ในเครื่องใหม่ให้เรียกดูได้หมดแบบไม่ต้องกังวลว่าจะหาย จะมีก็แต่ในส่วนของแอปพลิเคชันที่ต้องทำการดาวน์โหลดมาติดตั้งเพิ่มเติม ซึ่งปัจจุบันก็ไม่ยุ่งยากแล้ว เข้า App Store ไปเลือกดาวน์โหลด กดปุ่มพาวเวอร์ 2 ทีใช้ Face ID สแกนใบหน้าเสร็จก็โหลดได้ทันที

เมื่อสอบถามเพิ่มเติมไปถึงกรณีที่เป็นผู้ใช้งาน iOS 11 เดิมอยู่แล้ว หรือมีการใช้งาน iPad อยู่ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ เพราะจากระบบไร้สายใหม่ของ Apple ที่ทำมาใช้กับ Apple AirPods และ Apple Watch ในการเชื่อมต่อ ถูกพัฒนาต่อเนื่องมาถึงการลงทะเบียนใช้งานเครื่องใหม่ (ใช้ได้ทั้ง iPhone และ iPad)

กล่าวคือถ้ามีการเปิดใช้งานเครื่องใหม่ใกล้ๆกับเครื่องเดิม บนหน้าจอเครื่องรุ่นเก่าที่ใช้จะมีข้อความเด้งขึ้นมาว่า ตรวจพบเครื่องใหม่ต้องการที่จะย้ายข้อมูลไปเพื่อใช้งานบนเครื่องใหม่หรือไม่ ถ้าต้องการก็จะเข้าสู่หน้าการเปิดกล้องเพื่อสแกนโค้ดเฉพาะที่ปรากฏขึ้นบนเครื่องใหม่ หลังจากนั้นก็ทำตามขั้นตอนย้ายข้อมูลได้เลย

ที่น่าสนใจคือ การเชื่อมต่อสายกับคอมพิวเตอร์ไม่ใช่เรื่องจำเป็นอีกต่อไป เพราะทุกอย่างสามารถสั่งงานได้แบบไร้สาย ในจุดนี้หลังจากใช้งานมาไม่ต่ำกว่า 3 เดือน ถือว่านับครั้งได้เลยที่หยิบสาย Lightning ออกมาใช้งานเลย เพราะถ้าต้องการส่งรูป ส่งข้อมูลปัจจุบันจะเลือกอัปโหลดขึ้น Google Drive / iCloud Drive / Air Drop เข้าคอมก็ทำได้

อย่าเพิ่งสงสัยว่าชาร์จไฟอย่างไร เพราะ iPhone X รวมถึง 8 และ 8 Plus รองรับแท่นชาร์จไร้สายแล้ว ซึ่งเชื่อว่ากลายเป็นอุปกรณ์เสริมสามัญของคนที่เคยใช้งานแอนดรอยด์ตัวท็อปกันอยู่แล้ว เพราะระบบชาร์จไร้สายเริ่มนิยมไม่ต่ำกว่า 2 ปีแล้ว

ตัวเครื่องเท่ารุ่นปกติ แต่ขนาดจอชนะรุ่น Plus

ถ้าถามว่าอะไรที่ทำให้ประทับใจใน iPhone X อย่างแรกเลยคือเรื่องของดีไซน์ตัวเครื่อง ความแข็งแรง ที่หาไม่ได้จากสมาร์ทโฟนแบรนด์อื่นในตลาด (ถ้าได้ลองจับจะรู้ว่าเครื่องประกอบแข็งแรง และน้ำหนักจะมากกว่าหลายๆรุ่นในขนาดที่ใกล้เคียงกัน) และถือเป็นรุ่นแรกที่ให้พื้นที่หน้ากระจกหน้ามาใช้งานแบบเต็มๆ

ย้อนกลับไปรีแคปสั้นๆ เกี่ยวกับดีไซน์ตัวเครื่อง iPhone X กันเล็กน้อย ไล่จากขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 143.6 x 70.9 x 7.7 มิลลิเมตร น้ำหนัก 174 กรัม ด้านหน้าเครื่องจะเป็นจอ OLED Super Retina HD ความละเอียด 2436 x 1125 พิกเซล 458 ppi ขนาด 5.8 นิ้ว แบบเต็มพื้นที่

ขอบเครื่องจะใช้สแตนเลสสตีลที่แอปเปิลระบุว่าเกรดเดียวกับเครื่องมีทางการแพทย์ ที่ยืนยันว่าตัวเครื่องมีความแข็งแรง มีให้เลือกด้วยกัน 2 สีคือเทาสเปซเกรย์และสีเงิน กันน้ำกันฝุ่นมาตรฐาน IP67 ด้านซ้ายจะมีปุ่มเปิด/ปิดเสียง และปุ่มเพิ่มลดเสียง ด้านขวาเป็นปุ่มข้าง

พอร์ตเชื่อมต่อเดียวที่ให้มาคือพอร์ต Lightning ที่อยู่ด้านล่าง โดยมีลำโพงสเตอริโอ และไมโครโฟนอยู่ข้างๆ ส่วนด้านบนจะถูกปล่อยว่างไว้เฉยๆ ในแง่ของความแข็งแรงนั้น แน่นอนว่าทีมงานพลาดทำเครื่องตกไปเรียบร้อยแล้ว ในระยะประมาณตักลงพื้นกระเบื้อง ที่ขอบสแตนเลสก็จะมีรอยถลอกเล็กน้อยเท่านั้น

โดยจุดเด่นหลักเลยก็คือเรื่องของจอแสดงผลที่เรียกว่า edge-to-edge retina display หรือจอแสดงผลแบบเต็มพื้นที่ ทำให้ในขนาดตัวเครื่องที่ใกล้เคียงกับรุ่นธรรมดา (iPhone 7-8) แต่ได้จอแสดงผลที่ใหญ่ถึง 5.8 นิ้ว เทียบกับรุ่น 7 Plus – 8 Plus จะอยู่ที่ 5.5 นิ้วเท่านั้น

สิ่งที่เกิดขึ้นคือผู้ใช้จะได้พื้นที่แสดงผลในแนวตั้งมากขึ้นประมาณ 20% ในขนาดตัวเครื่องเท่าเดิม ทำให้การใช้งานคอนเทนต์ต่างๆบนเครื่องแสดงผลได้มากขึ้นในแนวตั้ง แต่ขณะเดียวกันเมื่อหมุนตัวเครื่องมาใช้งานในแนวนอน ตัวเครื่องก็จะไม่ได้แสดงผลแบบเต็มจอ แต่ก็ถือว่ายังใหญ่อยู่ดี

จอแหว่งมีผลกับการใช่งานไหม?

กลายเป็นหนึ่งในเรื่องที่ทำให้ iPhone X โดนล้อมาตลอด จากการที่มีการเว้นพื้นที่ขอบจอบางส่วนแหว่งลงมาเพื่อให้เป็นที่อยู่ของลำโพง กล้องหน้า และ Face ID แต่สิ่งที่พิสูจน์ได้ชัดเลยคือ กลุ่มผู้ใช้งาน iPhone X กลับไม่มีใครรำคาญจุดดังกล่าวแต่อย่างใด

เพราะด้วยระยะสายตาในการใช้งาน ร่วมกับการออกแบบอินเตอร์เฟสของ iOS 11 และการออกแบบบนแอปฯ ที่ค่อนข้างสมบูรณ์ทำให้ผู้ใช้รับรู้แล้วว่า พื้นที่ข้างๆที่เพิ่มขึ้นมาจะถูกใช้ในการแสดงผลนาฬิกา และสถานะแบตเตอรีเป็นหลักเท่านั้น ไม่ได้เป็นพื้นที่ใช้ในการแสดงผลแต่อย่างใด

เพียงแต่ว่าในช่วงแรกๆที่ iPhone X ออกสู่ตลาด นักพัฒนาบางรายยังไม่ได้มีการอัปเดตแอปพลิเคชัน ส่งผลให้บางแอปที่ยังไม่รองรับ iPhone X อาจจะมีปัญหาในการแสดงผล เกิดการแสดงผลทับซ้อนกัน แต่เมื่อมีการอัปเดตทุกอย่างก็กลับมาปกติ โดยเท่าที่ใช้มาตอนนี้แอปส่วนใหญ่ได้ถูกอัปเดตการแสดงผลเรียบร้อยแล้ว

iOS 11 + iPhone X ทำให้กลายเป็นอุปกรณ์ที่ลงตัว

ถ้าถามว่าอะไรที่ทำให้ iPhone X ลงตัวมากที่สุด คงหนีไม่พ้น iOS 11 ที่ถูกปรับปรุงขึ้นมาให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น (หรือจะบอกว่าคล้ายแอนดรอยด์ขึ้นก็ไม่รู้) ไม่ว่าจะเป็นการรูปแบบของการลากจากขอบบนซ้าย เพื่อดูการแจ้งเตือน ลากจากขอบบนขวา เพื่อเข้าสู่การตั้งค่าด่วนต่างๆ

รวมถึงรูปแบบในการสั่งงานใหม่อย่างการปัดนิ้ว ที่ทำออกมาให้ใช้งานง่าย ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาปุ่มโฮมอีกต่อไป และทำให้ผู้ใช้ค่อนข้างเสียนิสัย เวลาไปหยิบจับสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นก็จะคอยปัดจากขอบล่างเครื่องเพื่อกลับหน้าแรกอยู่เสมอ

ทำให้ในภาพรวมการใช้งานทั่วไปของสมาร์ทโฟน ไม่ว่าจะเป็นการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กต่างๆ ใช้งานเพื่อความบันเทิง หรือทำงาน สามารถตอบสนองการใช้งานได้ลื่นไหล ซึ่งเป็นผลจากทั้งหน่วยประมวลผลรุ่นใหม่อย่าง A11 Bionic รวมถึง Metal 2 ที่มาช่วยประมวลผลกราฟิกให้เนียนขึ้น

จะติดอยู่บางส่วนก็ในแง่ของการใช้งานในแนวนอน เวลาใช้งานจะมีความรู้สึกว่าการแสดงผลไม่เต็มจอเท่าที่ควร แต่ในอีกมุมนึงก็ถือเป็นส่วนที่ช่วยไม่ให้อุ้งมือเวลาจับถือไปโดนบริเวณขอบทั้ง 2 ข้างแทน

กับในเรื่องของฟีเจอร์อย่าง Animoji ที่จะเห่อใช้งานอยู่ในช่วงแรกๆ แต่พอหลังๆ ก็เริ่มรู้สึกว่าไม่สะดวกในการใช้งาน ถ้าจะส่งต่อให้กับเพื่อนที่ไม่ได้ใช้งาน iPhone เพราะต้องเซฟออกมาเป็นไฟล์วิดีโอ แล้วค่อยส่งเป็นไฟล์อีกที สุดท้ายก็กลายเป็นไม่ได้ใช้งาน

กล้องยังไม่สุด แต่เพียงพอกับการใช้งาน

ถ้าเป็นผู้ใช้งาน iPhone รุ่นเดิมอยู่แล้ว จะยอมรับว่ากล้องของ iPhone X ทำมาได้ดีกว่าเดิมแบบก้าวกระโดด ไม่ว่าจะเป็นกล้องหลังที่เพิ่มขนาดรูรับแสงเป็น f/1.8 ช่วยให้การถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดีขึ้น การเก็บรายละเอียดภาพในการถ่ายภาพระยะไกล ก็ทำได้ดีขึ้นจากการใช้กล้องคู่ที่เป็นเลนส์เทเลโฟโต้มาช่วย

รวมถึงโหมดถ่ายภาพบุคคล ที่แม่นยำขึ้น แต่ก็ยังมีอาการละลายฉากหลังได้ไม่ละเอียดให้เห็นอยู่ ในจุดนี้เชื่อว่าอนาคตถ้ามีการอัปเดตเฟิร์มแวร์ไปเรื่อยๆ ก็จะเนียนขึ้น เพราะทุกอย่างสามารถใช้ AI มาช่วยประมวลผลได้

แต่ถ้าเป็นผู้ที่เคยใช้งานกล้องรุ่นท็อปของแอนดรอยด์มาก่อน ก็จะมองว่ากล้องของ iPhone X ไม่ได้ถือว่าเป็นกล้องในสมาร์ทโฟนที่ดีที่สุด เห็นได้ชัดๆเลยคือเรื่องของการถ่ายภาพในที่แสงน้อยที่ยังสู่คู่แข่งอย่าง Samsung และ Huawei ไม่ได้ แต่ในแง่ของการเก็บรายละเอียดภาพในสภาพแสงปกติ ถือว่าใกล้เคียงกัน

สิ่งที่โดดเด่น และน่าสนใจกลับเป็นกล้องหน้า ที่มีการนำเทคโนโลยีอย่าง True Depth มาใช้งาน ทำให้การถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ ด้วยการนำเซ็นเซอร์สแกนใบหน้ามาใช้งาน ทำให้ได้ระยะชัดลึก ชัดตื้นที่ละเอียดขึ้น พร้อมมีโหมด Portrait มาให้ใช้เหมือนกล้องหลังด้วย

ตัด Touch ID เหลือแค่สแกนใบหน้า กับใส่รหัสทำให้ใช้ยากขึ้น

แม้ว่าความแม่นยำในการสแกนใบหน้าของ iPhone X ที่ยิ่งใช้นานขึ้น ก็จะมีการเรียนรู้และทำให้แม่นยำมากยิ่งขึ้น แต่จุดหนึ่งเลยคือผู้ใช้ต้องมองกล้อง ทำให้ในบางจังหวะปลดล็อกเครื่องได้ค่อนข้างลำบาก เมื่อเทียบกับ Touch ID ที่เมื่อนำนิ้วไปสัมผัสเซ็นเซอร์ก็จะปลดล็อกทันที

ประกอบกับใน iOS 11 ระบบรักษาความปลอดภัยหลายๆอย่างถูกผูกเข้ากับ Face ID อย่างการดาวน์โหลดแอปฯ การใส่รหัสผ่านในเว็บเบราว์เซอร์อย่าง Safari และยังมีการเปิด API ให้ผู้ผลิตแอปนำไปใช้งานได้ อย่างแอปที่เกี่ยงข้องกับธุรกรรมการเงิน

ดังนั้นเวลาใช้ๆงานอยู่ ก็ต้องยกเครื่องขึ้นมาสแกนหน้าซ้ำอีกครั้ง แทนที่จากเดิมใช้ระบบอย่าง Touch ID อยู่ ก็สามารถเลื่อนนิ้วไปสัมผัสเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือได้ทันที ไม่ต้องยกเครื่องขึ้นมาทำให้เสียจังหวะในการใช้งาน

คุ้มไหมถ้าจะเสียเงินหลัก 4 หมื่นบาท

เมื่อถามในมุมของผู้ที่เคยใช้แอนดรอยด์ตัวท็อปอย่าง S8 / Note 8 หรือ P10 Plus / Mate 10 มาก่อน แล้วอยากลองหันมาใช้ iPhone X คำตอบคือ เมื่อย้ายมาแล้วจะรู้สึกว่าใช้งานได้ แต่ต้องปรับตัวค่อนข้างเยอะ เพราะฟีเจอร์บางอย่างที่เคยมีในแอนดรอยด์ โดยเฉพาะในโหมดกล้องถ่ายภาพแบบมืออาชีพ ที่ยังปรับแต่งได้ไม่เท่าที่ควร

ไม่นับพวกลูกเล่นพิเศษอย่างพวก PC Mode / USB OTG ผ่านพอร์ต USB-C หรือการใช้งาน Samsung Pay หรือ Galaxy Gift ที่สร้างพฤติกรรมให้ลูกค้ารู้สึกสะดวก และได้สิทธิพิเศษเวลาใช้งาน เมื่อย้ายมาใช้ iPhone X ลูกเล่นที่เคยได้เหล่านี้ก็จะหายไป ทำให้รู้สึกขาดๆอยู่บ้าง

แต่ถ้าเป็นผู้ที่ชื่นชอบการใช้งาน iPhone อยู่แล้ว ในมือถือ iPhone 6s หรือ iPhone 7 แล้วงบไม่ได้จำกัด ก็ต้องบอกว่า iPhone X เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจให้ได้ลองใช้งานฟีเจอร์ที่จะเป็นเทรนด์สำคัญที่เกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ประกอบกับประสิทธิภาพของตัวเครื่องที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนกล้องดีขึ้น

แพกเกจโอเปอเรเตอร์ เริ่มต้นที่ราว 37,000 บาท

ถ้าดูถึงการทำโปรโมชันของโอเปอเรเตอร์ ที่ให้ส่วนลดค่าเครื่องเพิ่ม โดยราคาเริ่มต้นจะลงมาเหลือที่ราว 37,000 บาท สามารถผ่อน 0% ได้ ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ สำหรับผู้ที่อยากได้ หรือถ้าอยากได้ส่วนลดมากกว่านี้ ก็สามารถเลือกใช้แพกเกจที่สูงขึ้น เพื่อให้ได้รับส่วนลดเพิ่มเติมได้

เพราะปัจจุบันการซื้อเครื่องพร้อมแพกเกจ (ดูแพกเกจให้เหมาะสมกับการใช้งาน) ก็ถือเป็นเรื่องปกติของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมแล้ว แต่ถ้าไม่อยากซื้อพร้อมแพกเกจ ก็มีตัวเลือกอย่าง Apple Official Store บน Lazada ที่ให้ส่วนลด 2% ทำให้สามารถซื้อเครื่องได้เริ่มต้นราว 39,690 บาท เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง

ทั้งนี้ ราคาเครื่องเปล่าของ iPhone X จะเริ่มต้นที่ 40,500 บาท สำหรับรุ่น 64 GB และ 46,500 บาท สำหรับรุ่น 256 GB ผ่านช่องทางของ Apple Store แต่ถ้าเป็นโอเปอเรเตอร์จะขายราคาเครื่องเปล่าที่ 41,000 บาท และ 47,000 บาท ตามลำดับ

Gallery

]]>