วันนี้เป็นวันแรกที่ iPhone 7, iPhone 7 Plus และ Apple Watch Series 2 จะวางจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ วันนี้ทีมงานไซเบอร์บิซเลยขออาสาพาทุกท่านมารับชมพรีวิวในรูปแบบคลิปวิดีโอเรียกน้ำย่อยกันก่อนจะไปรับชมบทความรีวิวฉบับเต็มในช่วงสัปดาห์หน้าอีกครั้งหนึ่ง
Preview : iPhone 7/7 Plus
Preview : Apple Watch Series 2
ในส่วนราคาจากแอปเปิลสโตร์ iPhone 7 หน้าจอ 4.7 นิ้ว ตัวเครื่องสีดำ เงิน ทอง โรสโกลด์และเจ็ทแบล็ค
ความจุ 32GB ราคาอยู่ที่ 26,500 บาท
ความจุ 128GB ราคาอยู่ที่ 30,500 บาท
ความจุ 256GB ราคาอยู่ที่ 34,500 บาท
ส่วน iPhone 7 Plus หน้าจอ 5.5 นิ้ว กล้องหลัง Dual Camera ตัวเครื่องสีดำ เงิน ทอง โรสโกลด์และเจ็ทแบล็ค
ความจุ 32GB ราคาอยู่ที่ 31,500 บาท
ความจุ 128GB ราคาอยู่ที่ 35,500 บาท
ความจุ 256GB ราคาอยู่ที่ 39,500 บาท
เปรียบเทียบกล้องหลังระหว่าง iPhone 7 กับ iPhone 6s
ด้วยรูรับแสงที่กว้างขึ้นจาก f2.2 เป็น f1.8 ใน iPhone 7 และ 7 Plus ทำให้กล้องรับแสงได้มากขึ้น ค่าความไวแสง (ISO) ต่ำลง ชัตเตอร์สปีดเพิ่มขึ้น เมื่อรวมกับฟีเจอร์ OIS ที่แอปเปิลใส่มาทั้ง iPhone 7 และ 7 Plus ประกอบกับการรองรับเทคโนโลยี Wide Color Capture ทำให้กล้อง iPhone 7 และ 7 Plus ให้คุณภาพที่ดีกว่า 6s อย่างมาก โดยเฉพาะส่วนของไดนามิก ความคมชัดและสีสันที่ดีขึ้นมาก
ส่วนรีวิวกล้องคู่ใน iPhone 7 Plus รอติดตามรีวิวเร็วๆนี้ครับผม (ทีมงานขอไปทดสอบก่อน)
Gallery : iPhone 7/7Plus
ซ้าย กล่อง iPhone 7 Plus สี Jet Black ขวา กล่อง iPhone 7 สี Black
เปิดมาด้านในจะพบกับกล่องใส่คู่มือ สติ๊กเกอร์แอปเปิล เข็มจิ้มซิมการ์ดโทรศัพท์ก่อน แล้วหลังจากนั้นเมื่อเปิดไปชั้นต่อไปถึงจะเป็นไอโฟน
iPhone 7 Plus หน้าจอ 5.5 นิ้ว และ iPhone 7 หน้าจอ 4.7 นิ้ว มีการปรับเรื่องการรองรับขอบเขตสี P3 และความสว่างเพิ่มขึ้น 25%
กล่องใส่หูฟังแบบกระดาษ โดยส่วนของแจ็คเสียบจะเปลี่ยนไปใช้ Lightning Port แทน 3.5 มิลลิเมตร
แต่ทางแอปเปิลก็ได้แถมอะแดปเตอร์แปลง Lightning Port เป็นช่องเสียบแจ็ค 3.5 มิลลิเมตรมาให้ด้วย
แต่ทางแอปเปิลก็ได้แถมอะแดปเตอร์แปลง Lightning Port เป็นช่องเสียบแจ็ค 3.5 มิลลิเมตรมาให้ด้วย
ตัวเครื่อง iPhone 7
ทั้ง iPhone 7 และ 7 Plus จะมาพร้อมปุ่มโฮมออกแบบใหม่ ควบคุมด้วย Taptic Engine ที่ใช้ลักษณะการสัมผัสแทน
เฉพาะ iPhone 7 Plus มาพร้อมกล้องคู่ โดยเลนส์ตัวแรกเป็นระยะ 28 มิลลิเมตร f1.8 เหมือน iPhone 7 ส่วนเลนส์ตัวที่สองเป็นระยะเทเล 56 มิลลิเมตร f2.8 อีกทั้งเลนส์คู่ยังสามารถทำชัดลึกชัดตื้นผ่าน Portrait mode ใน iOS 10.1 (ปล่อยอัปเดตตัวเต็มในอนาคต)
ส่วนไฟแฟลช LED เพิ่มเป็น 4 ดวงแบบ True Tone
ทั้ง iPhone 7 และ 7 Plus สี Jet Black เป็นรุ่นขายดีที่สุด เนื่องจากตัวเครื่องเป็นสีดำเงาทุกส่วนตั้งแต่หน้าจอ สันเครื่องไปถึงด้านหลัง บ่งบอกความเป็น iPhone 7 รุ่นใหม่มากที่สุด และสีนี้จะมีเฉพาะรุ่นความจุ 128/256GB เท่านั้น
ส่วนด้านหลัง iPhone 7 สีโรสโกลด์ ทอง เงิน ดำจะเป็นอลูมิเนียมเช่นเดิม แต่มีการออกแบบส่วนเสารับสัญญาณโทรศัพท์ใหม่ รวมถึงดีไซน์จะเรียบร้อยกว่า iPhone 6s กล้องใหญ่ขึ้น เนื่องจากแอปเปิลเพิ่มชิ้นเลนส์และรูรับแสงกว้างขึ้น (f1.8)
Gallery : Apple Watch Series 2
Apple Watch Series 2 ภาพรวม จะมีหน้าตาเหมือนรุ่นแรก แบ่งเป็นรุ่นหน้าปัด 38 มิลลิเมตรและ 42 มิลลิเมตร มีให้เลือกทั้งสแตนเลส สตีลและอะลูมิเนียม
นอกจากนั้นในวันนี้ แอปเปิลยังนำ Watch Series 1 (รุ่นแรกแต่รีโมเดล ปรับสเปกซีพียูเป็นดูอัลคอร์ นอกนั้นฟีเจอร์เหมือนตัวแรกทั้งหมด) มาขายในราคาเริ่มต้น สำหรับตัวเรือนอะลูมิเนียม 38 มิลลิเมตร 10,500 บาท 42 มิลลิเมตร ราคาเริ่มต้น 11,500 บาท
ในขณะที่ Series 2 ตัวเรือนอะลูมิเนียม 38 มิลลิเมตร ราคาเริ่มต้น 13,900 บาท 42 มิลลิเมตร ราคาเริ่มต้น 14,900 บาท
ส่วนตัวเรือนสแตนเลสสตีล 38 มิลลิเมตร ราคาเริ่มต้น 20,500 บาท 42 มิลลิเมตร ราคาเริ่มต้น 22,500 บาท และสุดท้ายตัวเรือนเซรามิก สีขาว ราคาเริ่มต้น 47,500 บาท
ด้าน Watch Bands (สายนาฬิกา) ราคาเริ่มต้น 1,900 บาท
สำหรับจุดแตกต่างระหว่าง Apple Watch Series 1 และ 2 ก็คือใน Series 2 แอปเปิลจะเพิ่ม GPS, Barometer พร้อมรองรับการป้องกันน้ำแบบ WR กันน้ำลึก 50 เมตร รองรับกีฬาว่ายน้ำ สามารถใส่ลงน้ำทะเลได้พร้อมหน้าจอที่สว่างกว่าเดิม
ส่วนถ้านำ Series 2 หรือ Series 1 มาเทียบประสิทธิภาพกับ Apple Watch ตัวแรก นาฬิการุ่นใหม่จะทำงานรวดเร็วมากขึ้นกว่าเดิมถึง 50%