3 ปีที่ผ่านมา เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในการปรับเปลี่ยนไอโฟนจากยุคเก่าสู่ยุคใหม่ และเป็นช่วงที่แอปเปิลทุ่มเทพัฒนาซอฟต์แวร์อย่างหนักมากกว่าส่วนฮาร์ดแวร์ ความคาดหวังของสาวกและผู้ใช้ที่ติดตามแอปเปิลมาตลอดเริ่มลดน้อยลงเนื่องจากฮาร์ดแวร์ไม่น่าสนใจเหมือนก่อน แถมในช่วงหลังไอโฟนแต่ละรุ่นที่ออกมาก็มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะระบบปฏิบัติการที่ไม่ค่อยสมบูรณ์นัก
กว่าทุกอย่างจะลงตัวก็เข้าสู่ iOS รุ่นที่ 9 พร้อมการมาของ “iPhone 6s” และ “iPhone 6s Plus” ที่ในครั้งนี้ แอปเปิลตั้งใจปรับปรุงและอุดช่องโหว่ข้อผิดพลาดที่เกิดจากไอโฟนรุ่นก่อนหน้าทั้งหมด จนกลายเป็นไอโฟนตัวแรกในรอบ 3 ปีที่สมบูรณ์แบบที่สุด
การออกแบบ
ตามธรรมเนียมของแอปเปิล รุ่นที่มี S ต่อท้ายจะไม่มีการปรับเปลี่ยนดีไซน์ใหม่เพราะถือเป็นรุ่นไมเนอร์เชนจ์ที่เน้นการปรับสเปกภายใน เพราะฉะนั้น iPhone 6s และ 6s Plus จะไม่มีการปรับเปลี่ยนด้านการออกแบบ ยกเว้นความหนา น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นและสีใหม่ “โรสโกลด์” เข้ามาทำตลาดเพิ่มจากเดิม
โดยผู้อ่านสามารถรับชมรีวิวการออกแบบภายนอกทั้ง iPhone 6s (สีทอง) และ iPhone 6s Plus (สีโรสโกลด์) ได้จากลิงก์นี้
สำหรับบทความรีวิวนี้จะขอกล่าวเฉพาะเรื่องที่ทีมงานยังไม่ได้ทดสอบไปได้แก่ ส่วนของสเปก ฟีเจอร์เด่นและทดสอบประสิทธิภาพ
สเปก
ใน iPhone 6s และ 6s Plus สเปกเป็นสิ่งที่ได้รับการปรับเปลี่ยนมากที่สุด เริ่มจาก
หน้าจอ – ใช้ขนาดเท่าเดิม คือ iPhone 6s ใช้หน้าจอ Retina HD 4.7 นิ้ว ความละเอียด 1,334×750 พิกเซล (326ppi) ส่วน iPhone 6s Plus ใช้หน้าจอ Retina HD 5.5 นิ้ว 1,920×1,080 พิกเซล (401ppi) พร้อมเพิ่มระบบ 3D Touch และ Taptic Engine (พัฒนาต่อยอดจากหน้าจอ Apple Watch) สามารถตรวจจับแรงกดของนิ้วได้หลายระดับ
นอกจากนั้น TouchID ใต้ปุ่มโฮมยังได้รับการอัปเกรดเป็นรุ่นที่ 2 ซึ่งสามารถตรวจจับนิ้วมือได้เร็วและแม่นยำมากขึ้น
ความแข็งแรง – ใน iPhone 6s และ 6s Plus แอปเปิลปรับเปลี่ยนวัสดุฝาหลังเป็น อะลูมิเนียมซีรีย์ 7,000 หักงอยากขึ้นและกระจกหน้าจอที่ใช้กรรมวิธีพิเศษ dual ion‑exchange ที่ทำให้หน้าจอมีความแข็งแรง ทนทานต่อรอยขีดข่วนมากขึ้น
หน่วยประมวลผลและการเชื่อมต่อข้อมูล – อัปเกรดเป็น Apple A9 Dual Core 64 บิต ความเร็ว 1.84GHz ร่วมกับชิปประมวลผลการเคลื่อนไหว M9 แรมให้มา 2GB ชิป 4G รองรับ LTE Advanced 23 ย่านความถี่ที่ความเร็วสูงสุด 300Mbps, WiFi เพิ่มเทคโนโลยี MIMO (Multiple Input/Multiple Output) ช่วยให้การเชื่อมต่อและรับส่งข้อมูล WiFi จำนวนมากทำได้เสถียรขึ้น บลูทูธรองรับรุ่น 4.2 และจีพีเอสรองรับการจับสัญญาณ GLONASS
กล้องถ่ายภาพ – กล้องหลัง iSight ถูกอัปเกรดความละเอียดจาก 8 ล้านพิกเซลเป็น 12 ล้านพิกเซล 4,032×3,024 พิกเซล (1.22 ไมครอน) ส่วนกล้องหน้า FaceTime HD ถูกอัปเกรดความละเอียดเป็น 5 ล้านพิกเซล
นอกจากนั้นระบบประมวลผลภาพยังได้รับการปรับปรุงประสิทธิภาพใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่ Local Tone Mapping, ระบบลดนอยซ์ใหม่ รวมถึง Focus Pixel ถูกนำมาใช้ร่วมกับระบบแตะเพื่อโฟกัสด้วย
ในส่วนวิดีโอก็ได้รับการปรับปรุงเช่นกัน โดยเฉพาะระบบป้องกันภาพสั่นไหวที่ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นมากทั้งบน iPhone 6s และ 6s Plus ที่มาพร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคอล อีกทั้งแอปเปิลยังเพิ่มความละเอียดวิดีโอให้รองรับ 4K ที่ความเร็ว 30 เฟรมต่อวินาที รวมถึงโหมด Slo-Mo รองรับความละเอียด 1080p ที่ความเร็ว 120 เฟรมต่อวินาทีด้วย
สุดท้ายในส่วนสเปกแบตเตอรี iPhone 6s จะใช้แบตเตอรีความจุ 1,715mAh ส่วน 6s Plus จะใช้แบตเตอรีความจุ 2,750mAh ซึ่งถึงแม้แบตเตอรีจะมีความจุน้อยกว่าเดิม แต่แอปเปิลเครมว่าระยะเวลาใช้งานจะไม่ต่างจาก iPhone 6 รุ่นก่อนหน้าแต่อย่างใด
ฟีเจอร์เด่น
Move from Android เป็นฟีเจอร์ใหม่บน iOS 9 ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ที่กำลังคิดย้ายค่ายจากแอนดรอยด์มาสู่ไอโอเอส สามารถจัดการย้ายข้อมูลจำพวก สมุดโทรศัพท์ อัลบั้มรูปภาพและข้อความต่างๆได้ง่ายขึ้น
แนะนำให้รับชมคลิปวิดีโอนี้เพื่อความเข้าใจในหลักการทำงานมากขึ้น
สำหรับหลักการสร้างภาพ Live Photos ทำได้ง่ายผ่านแอปฯ “กล้อง” เพียงกดไอคอนวงกลมให้เป็นสีเหลืองเพื่อเปิดการทำงาน และหลังจากนั้น ระหว่างผู้ใช้กำลังกดชัตเตอร์ถ่ายภาพนิ่ง ระบบจะแอบบันทึกวิดีโอช่วงก่อนกดชัตเตอร์ 3 วินาทีไว้พร้อมกับบันทึกไฟล์ภาพนิ่ง JPG แยกออกเป็น 2 ไฟล์ (เท่ากับว่าในหนึ่งภาพนิ่งจะใช้พื้นที่มากถึง 8-10MB) และเมื่อเราต้องการชมภาพ Live Photos ระบบจะเรียกไฟล์ภาพเคลื่อนไหวที่ถูกเชื่อมต่อกับไฟล์ภาพนิ่งขึ้นมาอัตโนมัติ
Retina Flash ถือเป็น iPhone รุ่นแรกที่มาพร้อมไฟแฟลชด้านหน้า ซึ่งเป็นไฟแฟลชที่ไม่ได้มาจากหลอด LED เหมือนสมาร์ทโฟนทั่วไป แต่ Retina Flash เป็นไฟแฟลชที่มาจากหน้าจอแสดงผล โดยใช้หลักการคือ เมื่อกดถ่ายภาพจากกล้องหน้า หน้าจอจะเปลี่ยนเป็นสีขาวพร้อมเพิ่มความสว่างอีก 3 เท่า
แนะนำให้รับชมคลิปวิดีโอนี้เพื่อความเข้าใจในหลักการทำงานมากขึ้น
3D Touch หน้าจอรับรู้แรงกดหลายระดับถูกพัฒนาต่อยอดมาจาก Force Touch บนนาฬิกา Apple Watch และแทร็คแพด MacBook โดยการใช้งานบน iPhone 6s และ 6s Plus หลักๆจะเป็นลูกเล่นเสริมช่วยเปิดเมนูลัดและเมนูพิเศษเสียมากกว่า
วิดีโอ 4K จาก iPhone 6s ตัดต่อและใส่ข้อความผ่านแอปฯ iMovie (กดรูปเฟืองเพื่อเลือกความละเอียดในการรับชมคุณภาพ 4K)
4K ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะคู่แข่งทำมาได้หลายปีแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่แอปเปิลทำได้เหนือคู่แข่ง ก็คือความเป็น “มิตรกับผู้ใช้” เช่น ระบบการจัดการไฟล์ 4K ที่ทำได้ดีมาก ตั้งแต่การตัดต่อรวมไฟล์วิดีโอ 4K ที่สามารถจัดการได้ทันทีผ่านแอปฯ iMovie บน iPhone, ระบบป้องกันภาพสั่นไหวที่ทำงานบนความละเอียด 4K ได้ด้วย, Codec ที่ใช้บันทึกไฟล์วิดีโอซึ่งทำงานได้ลื่นไหลและขนาดไม่ใหญ่เวอร์เกินไป รวมถึงการแชร์ไฟล์ที่สามารถทำได้หลากหลายความละเอียด ไม่ต้องพึ่งพาคอมพิวเตอร์สเปกสูงในการตัดต่อใดๆ
Siri เรียกได้ตลอดเวลา ด้วยความสามารถของชิป A9+M9 สิริใน iPhone 6s และ 6s Plus สามารถจดจำเสียงของผู้ใช้และผู้ใช้สามารถเรียกสิริได้ตลอดเวลา แม้หน้าจอดับอยู่ก็ตาม
ทดสอบประสิทธิภาพ
สำหรับ iPhone 6s และ 6s Plus ที่ทีมงานได้รับมาทดสอบเป็นรุ่นที่ใช้ชิปผลิตจาก Samsung ทั้งสองรุ่น
ตารางรวมผลทดสอบสมาร์ทโฟนกลุ่มราคา 20,000 บาทขึ้นไป ประจำปี 2015 | ||
*โมเดลขายในประเทศไทย / ชุดทดสอบ : AnTuTu Benchmark | ||
*ราคาเปิดตัวกับราคาขายจริงอาจแตกต่างกันตามช่วงเวลา | ||
แบรนด์ | คะแนนทดสอบ | ราคาเปิดตัว |
Samsung Galaxy S6 edge (64 บิต) | 68,296 | 27,900.- |
Sony Xperia Z5 (64 บิต) | 64,201 | 24,990.- |
Apple iPhone 6s Plus | 58,689 | 30,500.- |
Apple iPhone 6s | 58,615 | 26,500.- |
Samsung Galaxy Note 5 | 61,835 | 25,900.- |
HTC One M9+ | 50,794 | 24,990.- |
LG G4 (Korea Model) | 50,610 | 21,990.- |
Samsung Galaxy Note Edge | 48,156 | 28,900.- |
Sony Xperia Z3 | 45,039 | 23,990.- |
จากคะแนนทดสอบ iPhone ทั้งสองรุ่นถึงแม้จะมีขนาดหน้าจอต่างกัน แต่คะแนนที่ได้รวมถึงการใช้งานจริงไม่แตกต่างกันแต่อย่างใด
“iPhone 6s และ 6s Plus แตกต่างกันแค่ขนาดหน้าจอ น้ำหนักและฟีเจอร์ป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคอลที่มีเฉพาะ 6s Plus เท่านั้น”
มาถึงเรื่องการทดสอบแบตเตอรีที่ถูกลดความจุลง น่าเสียดายที่ทีมงานไม่สามารถหาเครื่องที่ใช้ชิป TSMC มาทดสอบเปรียบเทียบกันได้ แต่จากการทดลองใช้งานทั้ง iPhone 6s และ 6s Plus ที่ใช้ชิปจากซัมซุง ด้วยการเน้นถ่ายรูป ตัดต่อวิดีโอ 4K ฟัง Apple Music เล่นโซเชียล ตอบไลน์และปิดหน้าจอบ้างสลับกันตลอดทั้งวัน พบว่าเวลาใช้งานที่ทำได้ไม่แตกต่างจาก iPhone 6 เดิมเลย คืออยู่ประมาณ 13 ชั่วโมง และทำได้นานสุดถึง 15-17 ชั่วโมงไล่เลี่ยกันทั้ง iPhone 6s และ 6s Plus ซึ่งในความคิดเห็นของทีมงานถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานแล้ว
ส่วนใครที่มองว่าปัญหานี้ว่าเป็นเรื่องความไม่ยุติธรรมต่อผู้บริโภค ก็คงต้องตรวจสอบและส่ง Feedback ไปคุยกับแอปเปิลด้วยตัวเอง
เรื่องสุดท้ายกับการทดสอบประสิทธิภาพกล้อง เริ่มจาก iSight ตัวใหม่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซลที่มาพร้อมการปรับปรุงประสิทธิภาพส่วนประมวลผลใหม่หมด ภาพนิ่งที่ได้จาก iPhone 6s จึงคมชัดและให้สีสันถูกต้องกว่า โดยเฉพาะ White Balance ที่แม่นยำขึ้นรวมถึงนอยซ์ที่น้อยลง
ในขณะที่การวัดแสง การจับโฟกัสอัตโนมัติ รวมถึงโทนภาพ ทีมงานมองว่ามีความแตกต่างจาก iPhone 6 เพียงเล็กน้อยตรงที่ iPhone 6s ใหม่นี้จะให้ภาพที่เป็นธรรมชาติ น้ำหนักแสงและความคมชัดที่ดีกว่า
“แต่จุดที่น่าสนใจจริงๆของ iPhone 6s และ 6s Plus อยู่ที่ Live Photos และวิดีโอ 4K ที่ทำได้น่าประทับใจ โดยเฉพาะ Live Photos ที่ถือเป็นฟีเจอร์เล็กๆน้อยๆแต่มีพลังสร้างสรรค์มหาศาลอย่างที่แอปเปิลควรจะเป็นมาตลอด 3 ปี”
ส่วนกล้องหน้า FaceTime HD ที่ปรับความละเอียดเพิ่มเป็น 5 ล้านพิกเซลด้วยแล้ว เอาเข้าจริงถึงแม้ความละเอียดจะมากขึ้น แต่โทนภาพและคุณภาพก็ไม่แตกต่างจากเดิมมากนัก ดีที่ได้ Retina Flash เข้ามาช่วยเสริมลูกเล่นกล้องหน้าให้น่าสนใจขึ้น
ตัวอย่างภาพ : ถ่ายโดย iPhone 6s
สุดท้ายปิดอัลบั้มภาพด้วยพาโนรามาที่ถูกอัปเกรดเป็น 63 ล้านพิกเซล
(ชมแบบเต็มความละเอียด โปรดคลิกที่ภาพ)
สรุป
ภาพรวมของทั้ง iPhone 6s และ 6s Plus ถือเป็นการปรับเปลี่ยนที่น่าสนใจและดีที่สุดตลอด 3 ปี ความสดใหม่ในบางฟีเจอร์ที่ห่างหายไปนานของ iPhone 6s และ 6s Plus เช่น Live Photos หรือ 3D Touch คือสิ่งที่ทำให้ iPhone รุ่นนี้น่าสนใจและเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีตามแนวทางของแอปเปิลซึ่งซบเซามานานให้มีภาพที่ชัดเจนขึ้น แม้หลายฟีเจอร์อาจยังไม่สมบูรณ์ 100% ในตอนนี้ แต่เชื่อว่าทุกอย่างจะลงตัวมากขึ้นในไอโฟนรุ่นต่อไป
ในส่วนฟีเจอร์เก่าอย่าง วิดีโอ 4K ที่มีมานานก็ถูกแอปเปิลนำมาปรับปรุงได้อย่างน่าสนใจและถือเป็นสมาร์ทโฟนตัวแรกที่ผู้ใช้สามารถถ่ายวิดีโอ 4K ได้แบบไม่ต้องกังวลเรื่องประสิทธิภาพและการนำไปใช้งาน
แต่ทั้งนี้ทั้งหมดที่กล่าวไปจะถูกอกถูกใจผู้อ่านและผู้ที่กำลังสนใจหรือไม่ ก็คงต้องลองไปทดสอบด้วยตัวเองจะดีที่สุด เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า iPhone ถือเป็นสมาร์ทโฟนที่มีความเป็นตัวของตัวเองและความเป็นแฟชั่นสูง อีกทั้งราคาที่ปรับตัวเพิ่มมากขึ้นกว่าทุกปี คนกำลังสนใจแบรนด์นี้ต้องพิจารณาให้ละเอียดถี่ถ้วนเพราะในราคาระดับ 2-3 หมื่นบาท สมาร์ทโฟนคู่แข่งหลายรุ่นก็น่าสนใจไม่แพ้กัน
และสุดท้ายสำหรับคนที่กำลังสนใจและมองดูรุ่นความจุต่ำสุด 16GB อยู่ ทีมงานอยากฝากให้คิดอีกสักนิดก่อนเลือกซื้อ เพราะด้วยความละเอียดกล้อง แอปฯและวิดีโอที่ปรับเปลี่ยนไป ความจุ 16GB ไม่น่าจะเพียงพอต่อการใช้งานตลอดทั้งปีแน่นอน ลองคิดดูรูปภาพ + Live Photos ในไอโฟนเฉลี่ยใช้พื้นที่มากถึง 10MB ต่อไฟล์หนึ่งชุด หรือแม้กระทั่งเกม แอปฯไปถึงตัว iOS ในอนาคตก็เริ่มใช้พื้นที่มากขึ้น ทีมงานมองว่าถ้าคิดจะซื้อไอโฟนใช้งานจริงๆควรเริ่มที่ความจุ 64GB จะดีที่สุด (ความจริงแอปเปิลควรเลิกขายความตุ 16GB แล้วเปลี่ยนไปเริ่มต้นที่ความจุ 32GB ได้แล้ว)