“ขนาด MacBook ยังมี MacBook Pro เพื่อเน้นกลุ่มผู้ใช้งานที่ต้องการประสิทธิภาพสูง แล้วทำไม iPad จะมี iPad Pro ไม่ได้” เป็นคำกล่าวที่ทำให้ผม เป๋า @dorapenguin เห็นภาพของ iPad Pro ขนาดใหญ่ที่วางอยู่ตรงหน้าชัดเจนมากยิ่งขึ้น
วิดีโอแนะนำ iPad Pro นี้ผมตัดต่อบนความละเอียด 4K โดย iPad Pro ทั้งหมด (ปรับคุณภาพวิดีโอเป็น 4K ได้)
iPad Pro เป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มแท็บเล็ต (ทำงานบนระบบปฏิบัติการ iOS) ตัวใหม่ล่าสุดของแอปเปิล ที่เปิดตัวมาด้วยสเปกระดับท็อปสุด ซึ่งแอปเปิลตั้งใจให้ iPad Pro เป็นพี่ใหญ่สุดในตระกูล iPad
โดยจุดเด่นของ iPad Pro อยู่ที่สเปกน้องๆ MacBook (ประสิทธิภาพสูงพอจะตัดวิดีโอและเล่นไฟล์ 4K ได้ ไม่เชื่อลองคลิกชมวิดีโอด้านบนได้) พร้อมรูปแบบการใช้งานที่แอปเปิลต้องการตอบรับกลุ่มคนใช้ iPad เพื่อใช้ทำงานและเอนเตอร์เทนเมนท์ให้ได้รับประสบการณ์ครั้งใหม่ที่ดีและเป็นมืออาชีพมากขึ้นจาก iPad Pro โดยเฉพาะความพิเศษของหน้าจอและอุปกรณ์เสริมอย่าง Apple Pencil ที่ทำให้คุณสามารถวาดภาพที่ต้องการบนหน้าจอ iPad Pro ได้
การออกแบบและสเปก
iPad Pro มาพร้อมหน้าจอ Retina 5.6 ล้านพิกเซล ขนาด 12.9 นิ้ว หนา 6.9 มิลลิเมตร (ใหญ่กว่าหน้าจอ iPad Air 2 ถึง 78%) ความละเอียดหน้าจออยู่ที่ 2,732 x 2,048 พิกเซล ซึ่งคาบเกี่ยวความละเอียดหน้าจอ 2K ถึง 4K ความหนาแน่นพิกเซล 264 พิกเซลต่อนิ้ว
นอกจากนั้นหน้าจอ iPad Pro ยังนำเทคโนโลยีจาก iMac Retina 5K มาปรับใช้ ตั้งแต่จอภาพแบบ Full Lamination และระบบจัดเรียงภาพแบบใหม่ ทำให้ความสว่างของหน้าจอสม่ำเสมอกันทั้งหมด พร้อมระบบรีเฟรชแบบแปรผันเพื่อช่วยเรื่องประหยัดพลังงาน กล่าวคือ
“ปกติอัตรารีเฟรซภาพบนหน้าจอ iPad จะอยู่ที่ 60 ครั้งต่อวินาที (อัตรารีเฟรซภาพยิ่งสูง ภาพยิ่งลื่นไหลมากขึ้น) แต่ใน iPad Pro ระบบรีเฟรซภาพจะสามารถรับรู้ได้ว่า คอนเทนต์ที่กำลังแสดงผลอยู่เป็นภาพเคลื่อนไหวหรือเป็นตัวอักษร ภาพนิ่ง ถ้าเป็นตัวอักษรและภาพนิ่ง ระบบจะปรับรีเฟรซภาพเหลือ 30 ครั้งต่อวินาที ทำให้ลดการใช้พลังงานลง ส่วนถ้าเป็นภาพเคลื่อนไหวหรือกำลังเล่นเกมอยู่ ระบบจะปรับรีเพรซภาพเป็น 60 ภาพต่อวินาทีแบบอัตโนมัติ”
ด้านปุ่มโฮมใต้จอภาพ แอปเปิลเลือกใส่ระบบสแกนลายนิ้วมือ TouchID ลงไปแบบเดียวกับ iPad Air 2 และ iPad mini 4 ส่วนสเปกกล้องหน้า รองรับความละเอียดภาพ 1.2 ล้านพิกเซล กล้องหลัง 8 ล้านพิกเซล f2.4 เพิ่มการรองรับโหมดถ่ายภาพต่อเนื่อง และไมโครโฟนคู่สำหรับใช้บันทึกวิดีโอและบันทึกเสียง
ด้านหลัง – วัสดุเป็นอะลูมิเนียม Unibody ชิ้นเดียว มีให้เลือก 3 สีได้แก่ สีเงิน ทอง และเทาสเปซเกรย์
น้ำหนักตัวเครื่องรุ่น WiFi อยู่ที่ 713 กรัม ส่วนรุ่น WiFi + Cellular อยู่ที่ 723 กรัม
สำหรับปุ่กดและพอร์ตเชื่อมต่อรอบตัวเครื่องเริ่มจากด้านบนขวามือจะเป็นปุ่มเปิดปิดเครื่อง ด้านซ้ายเป็นช่องเชื่อมต่อหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร ส่วนด้านข้างเป็นปุ่มเพิ่มลดระดับเสียง และถ้าเป็นรุ่น WiFi + Cellular จะมีช่องใส่ซิมการ์ดโทรศัพท์แบบ Nano Sim ติดตั้งมาให้ด้วย
ด้านล่าง – ตรงกลางจะเป็นพอร์ต Lightning รองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมมากมาย เช่น Lightning Digital AV Adapter, Lightning to SD Card Camera Reader, Lightning to USB Camera Adapter เป็นต้น
มาถึงจุดแตกต่างเรื่องการออกแบบจาก iPad รุ่นอื่นทั้งหมดก็คือ ตำแหน่งลำโพงที่แอปเปิลออกแบบใหม่หมด พร้อมติดตั้งมาบน iPad Pro ถึง 4 ตัว 4 มุมเลยทีเดียว โดยแอปเปิลเรียกลำโพงทั้ง 4 ตัวว่า “Smart Stereo Speaker” กล่าวคือ
“ลำโพงทั้งสี่ตัวนอกจากจะทำหน้าที่เป็นลำโพงแยกเสียงซ้ายขวา (สเตอริโอ) แล้ว ลำโพงทั้ง 4 ตัวยังมีความฉลาดอย่างมาก โดยสองตัวบนจะมีหน้าที่ส่งเสียงโทนสูง แหลม ส่วนสองตัวล่างจะทำหน้าที่ส่งเสียงโทนต่ำ เบส และเมื่อผู้ใช้ตะแคงเครื่องในแนวอื่น นอกจาก Gyro Sensor และเซ็นเซอร์จับการเคลื่อนไหว จะส่งข้อมูลมาให้หน้าจอสามารถพลิกหมุนตามการใช้งานแล้ว ลำโพงทั้งหมดก็สามารถรับรู้และเปลี่ยนตำแหน่งสลับหน้าที่กันทำงานได้อย่างอิสระทั้ง 4 ตัว เป็นผลให้เสียงที่ออกมาสมดุลกันและการเปลี่ยนตำแหน่งลำโพงแต่ละครั้งเป็นไปอย่างธรรมชาติ”
มาดูอุปกรณ์เสริม (ต้องซื้อแยกต่างหาก) พระรองที่ทำให้ iPad Pro มีความน่าใช้มากยิ่งขึ้นได้แก่ “Smart Keyboard” (ราคา 6,700 บาท) และ “Apple Pencil” (ราคา 3,900 บาท)
เริ่มจาก “Smart Keyboard” ที่แอปเปิลออกแบบมาให้ผู้ใช้ที่เน้นการพิมพ์งานเป็นหลักและสามารถพกพาไปไหนมาไหนได้แนบเนียน ไม่กลายเป็นส่วนเกินของ iPad Pro ด้วยวัสดุที่เป็นผ้าชิ้นเดียว สามารถทำความสะอาดและป้องกันน้ำได้
ในส่วนการเชื่อมต่อจะทำผ่านช่อง Smart Connector เพียงนำมาแตะกันแม่เหล็กจะดูด Smart Keyboard ติดกับสันเครื่อง iPad Pro และพร้อมใช้งานทันที
สำหรับ Smart Keyboard ถูกออกแบบมาให้ใช้พลังงานและส่งข้อมูลผ่านพอร์ต Smart Connector ใน iPad Pro พอร์ตเดียวเท่านั้น ไม่รองรับการเชื่อมต่อผ่านบลูทูธและไม่มีแบตเตอรีภายใน ส่วนแป้นพิมพ์ ปัจจุบันจะมีเฉพาะภาษาอังกฤษเท่านั้น ภาษาไทยผู้ใช้ต้องพิมพ์สัมผัสด้วยตัวเอง
ด้านการใช้งาน Smart Keyboard ก็เหมือนกับการพิมพ์บนแป้นพิมพ์ MacBook ปกติ ผู้ใช้สามารถใช้คีย์ลัดร่วมกับแอปฯต่างๆได้ เช่น ในแอปฯเมล์ กด Command + Shift + A เท่ากับเพิ่มไฟล์แนบ เป็นต้น
ส่วนต่อไปคือ “Apple Pencil” ที่หลายคนให้ความสนใจช่วงงานเปิดตัว iPad Pro อย่างมาก โดยแอปเปิลออกแบบ Pencil เพื่อตอบรับกับกลุ่มคนที่นิยมใช้ iPad เพื่องานศิลป์รูปแบบต่างๆ และครอบคลุมไปถึงกลุ่มคนที่ทำงานเฉพาะทางเช่น วิศวกรที่ต้องมีการเขียนแบบหรือกลุ่มคนที่ต้องใช้ Stylus จดตัวอักษรต่างๆตลอดเวลา โดยแอปเปิลออกแบบ Pencil ให้เหมือนดินสอที่ทุกคนคุ้นเคยมากที่สุด โดยเฉพาะหัวดินสอที่มีความหนืด ซึ่งเมื่อวาดบนหน้าจอ iPad Pro จะให้ความรู้สึกเหมือนเขียนลงบนกระดาษจริง
อีกทั้ง Apple Pencil ยังรองรับแรงกดได้หลายระดับ ถ้าคุณอยากลากเส้นให้หนาก็เพียงกดดินสอให้หนักกว่าปกติ หรือถ้าคุณต้องการตวัดเส้นให้บางๆ ก็สามารถทำได้แบบเดียวกับดินสอจริง
และที่สำคัญผู้ใช้สามารถเอียงดินสอเพื่อแรเงาหนักเบาได้ตามความต้องการเหมือนวาดด้วยดินสอถ่านหรือดินสอธรรมดา
ในส่วนการเชื่อมต่อและชาร์จแบตเตอรี สามารถทำได้ง่ายเพียงแค่ดึงตูดดินสอออกจะพบพอร์ต Lightning ให้คุณเสียบเข้าช่อง Lightning บน iPad Pro (ใส่เคสก็เสียบได้ เพราะหัว Lightning บนดินสอออกแบบให้มีความยาวกว่าปกติ) จากนั้นระบบจะเชื่อมต่อให้อัตโนมัติ พร้อมแถบสถานะแบตเตอรีแสดงอยู่ส่วน Notifications > Widgets
ส่วนการชาร์จแบตเตอรี Apple Pencil สามารถทำผ่านพอร์ต Lightning ได้โดยตรงจาก iPad Pro โดยการชาร์จด้วยระยะเวลา 15 วินาที จะทำให้ดินสอสามารถใช้งานได้นาน 30 นาที ชาร์จไฟจาก 0-100% อยู่ที่ประมาณ 20 กว่านาที ซึ่งเมื่อไฟเต็ม ดินสอจะใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนาน 12 ชั่วโมง
แต่ทั้งนี้สำหรับผู้ใช้ที่ไม่สะดวกชาร์จ Apple Pencil กับ iPad Pro รวมถึงผู้ใช้ที่ต้องการเปลี่ยนหัวดินสอเพราะใช้งานหนักจนหัวสึกไปแล้ว ทั้งหมดสามารถทำได้โดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม เพราะในกล่องดินสอ แอปเปิลได้แถมหัวดินสอสำรองไว้ให้ รวมถึงอะแดปเตอร์ตัวกลางพิเศษให้ผู้ใช้สามารถนำอะแดปเตอร์ชาร์จไอโฟน ไอแพดมาเชื่อมต่อกับดินสอผ่านสาย Lightning ได้
ส่วนใครที่ไม่ชื่นชอบ Apple Pencil อยากหา Stylus อื่นๆมาใช้งาน แอปเปิลไม่ได้ปิดกั้นส่วนนี้ โดยผู้ใช้สามารถหาปากกาจากผู้ผลิตรายอื่นมาใช้งานร่วมกับ iPad Pro ได้ แต่ต้องดูสเปก Stylus ให้ละเอียดว่ารองรับกับหน้าจอ iPad Pro หรือไม่ ยกตัวอย่าง Pencil ของ 53 เป็นต้น
มาดูในส่วนของสเปก – iPad Pro ขับเคลื่อนด้วยหน่วยประมวลผล Apple A9X Dual Core ความเร็ว 2.26GHz พร้อมแรม 4GB ด้านการเชื่อมต่อรองรับ WiFi 802.11 a/b/g/n/ac Dual band บลูทูธเวอร์ชัน 4.0 เข็มทิศดิจิตอลและสำหรับรุ่น WiFi + Cellular จะรองรับ 3G/4G LTE ทุกเครือข่าย พร้อม GPS และ GLONASS
ด้านเซ็นเซอร์ต่างๆใน iPad Pro แอปเปิลใส่มาทั้ง TouchID, Gyro 3 แกน, อุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหว, บารอมิเตอร์และระบบปรับความสว่างหน้าจออัตโนมัติ นอกจากนั้นตัวเครื่องยังรองรับ Siri และสุดท้าย iPad Pro มาพร้อมแบตเตอรีความจุ 10,307 mAh สามารถใช้งานได้ยาวนาน 10 ชั่วโมง
ยูสเซอร์อินเตอร์เฟสและฟีเจอร์เด่น
ก่อนเข้าสู่เจาะลึกฟีเจอร์เด่นบน iPad Pro อยากให้ผู้อ่านทุกท่านได้รับชมวิดีโอด้านบนนี้ก่อน จะทำให้เห็นภาพการใช้งาน iPad Pro ที่มาพร้อมหน้าจอใหญ่ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
iPad Pro ขับเคลื่อนด้วยระบบปฏิบัติการ iOS 9.1 มาจากโรงงาน ซึ่งด้วยขนาดหน้าจอและความละเอียดระดับ 2K-4K ทำให้มีพื้นที่ใช้งานกว้างขวาง หลายแอปพลิเคชันสามารถแสดงผลได้ลักษณะเดียวกับเดสก์ท็อป
Safari : หน้าเว็บเพจแสดงผลในแนวนอน
Safari : หน้าเว็บเพจแสดงผลในแนวตั้ง
ยกตัวอย่างเช่นแอปฯ Safari เมื่อเราเปิดเว็บไซต์ต่างๆทั้งแนวตั้งและแนวนอนบน iPad Pro หน้าเว็บเพจจะเข้าสู่การแสดงผลแบบ Desktop Mode เหมือนกับเปิดบนคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะหรือโน้ตบุ๊กทันที
ส่วนฟีเจอร์แบ่งครึ่งจอ “Split Screen Multitasking” ก็มีให้เลือกใช้บน iPad Pro เหมือนกับ iPad รุ่นอื่น แต่ด้วยความละเอียดจอที่เพิ่มขึ้น ทำให้ฟีเจอร์ดังกล่าวสามารถแสดงผลแอปฯที่ถูกแบ่งครึ่งจอได้เต็มตากว่าเดิม (อารมณ์คล้ายกับเรานำ iPad mini สองเครื่องมาต่อกัน)
มาถึงฟีเจอร์เก่าอีกหนึ่งตัวอย่าง “Video Overlay (Picture in Picture)” ที่แสดงผลบน iPad Pro ได้เต็มตากว่าเดิม โดยหลังจากขยายกรอบวิดีโอให้ใหญ่ขึ้น (ตามภาพประกอบด้านบน) ผู้ใช้จะเหลือพื้นที่ทำงานกว้างกว่า iPad ปกติมาก
ในส่วนคีย์บอร์ด on screen ก็ได้รับอานิสงส์จากขนาดหน้าจอที่ใหญ่โตเช่นกัน ทำให้ผู้ใช้สามารถสัมผัสปุ่มคีย์ต่างๆได้สะดวกสบายและถนัดมือมากขึ้น
มาดูในส่วนแอปพลิเคชันที่ออกแบบมาเพื่อ iPad Pro และ Apple Pencil จากภาพตัวอย่างแอปฯที่ทีมงานค้นหามาจาก AppStore จะเห็นว่า “ส่วนใหญ่เป็นแอปฯเฉพาะทางสำหรับคนทำงานสายศิลป์มากกว่าแอปฯจำพวกความบันเทิง เกมหรือโซเชียล”
ยกตัวอย่าง การวาดรูปและตกแต่งภาพไปถึงแอปฯสร้างสมุดภาพถ่าย พิมพ์งาน เช่น Paper, AutoCAD, Adobe Lightroom, Evernote, Microsoft Office เป็นต้น จะให้ผลลัพท์ที่ดีอย่างยิ่งเมื่อใช้งานบนหน้าจอ iPad Pro โดยเฉพาะแอปฯสร้างสรรค์ผลงานภาพวาดที่มีให้เลือกในสโตร์มากพอจะใช้งานระดับมืออาชีพได้แล้วในตอนนี้
มาถึงอีกส่วนหนึ่งที่ช่วยเสริมภาพลักษณ์ความเป็นอุปกรณ์ iOS ระดับมืออาชีพให้ iPad Pro ก็คือความสามารถในการประมวลผลวิดีโอความละเอียดสูงตั้งแต่ 1080p-4K (3,840×2,160 พิกเซล) ได้รวดเร็วมาก อีกทั้งผู้ใช้ยังสามารถจัดการตัดต่อไฟล์ 4K ผ่าน iPad Pro และแอปฯ iMovie ได้ลื่นไหลมาก
แต่ทั้งนี้การตัดต่อวิดีโอก็มีข้อจำกัดในเรื่องความยาวและขนาดไฟล์ ยิ่งเป็นไฟล์ 4K ที่มีความยาวเกิน 15 นาทีขึ้นไป โอกาสที่ iMovie จะประมวลผลล้มเหลวมีสูงมาก เนื่องจากไฟล์จะมีขนาดค่อนข้างใหญ่เกินกว่าระบบ iOS จะรับไหว คุณอาจต้องหันไปพึ่ง MacBook Pro และซอฟต์แวร์ Final Cut Pro X แทน
ทดสอบประสิทธิภาพ
ตารางรวมผลทดสอบแท็บเล็ต ประจำปี 2015 | ||
*โมเดลขายในประเทศไทย / ชุดทดสอบ : AnTuTu Benchmark | ||
*ราคาเปิดตัวกับราคาขายจริงอาจแตกต่างกันตามช่วงเวลา | ||
แบรนด์ | คะแนนทดสอบ | ราคาเปิดตัว |
Apple iPad Pro | 63,067 | 30,900.- |
Samsung Galaxy Tab S2 | 45,331 | 15,900.- |
Sony Xperia Z3 Tablet Compact | 42,685 | 20,990.- |
HP Slate Pro 8 | 33,044 | 16,900.- |
ASUS FonePad 8 | 32,133 | 7,990.- |
ด้านผลคะแนนทดสอบ iPad Pro สอบผ่านทั้งหมด โดยเฉพาะการทดสอบกราฟิก 3 มิติแบบหนักหน่วงด้วย 3D Mark Sling Shot ซึ่ง iPad Pro ทำผลงานได้ดีและคะแนนอยู่เหนือเกือบทุกแท็บเล็ตที่เราเคยทดสอบไป
ส่วนการเล่นเกม เหมือน iPad Air 2 แต่ได้ขนาดหน้าจอที่ใหญ่กว่าและเสียงดีกว่า ยิ่งเกมใดปรับแต่งมาให้รองรับ iPad Pro ด้วยแล้ว นอกจากภาพที่ลื่นไหลและแสดงผลได้เต็มความละเอียดหน้าจอแล้ว เสียงในเกมจะมีความคมชัดสูงกว่าเล่นบน iPhone หรือ iPad รุ่นก่อนหน้าชัดเจนมาก โดยเฉพาะการแยกซ้ายขวาและมิติของเสียงที่ดีขึ้น
คราวนี้มาถึงการทดสอบพระรองอย่าง “Smart Keyboard” และ “Apple Pencil”
เริ่มจาก Smart Keyboard – อย่างแรกขอย้ำเตือนคนไทยที่ชอบใช้ iPad พิมพ์งานและกำลังคิดว่า iPad Pro พร้อม Smart Keyboard ที่มีราคาสูงถึง 6,700 บาท จะทำให้คุณพิมพ์งานได้ถนัดขึ้น ส่วนนี้ทีมงานได้ทดสอบแล้ว พบว่าการวางปุ่มบนคีย์บอร์ด เหมือนจะออกแบบมาเฉพาะภาษาอังกฤษเพียงอย่างเดียว พอเราลองมาพิมพ์สัมผัสภาษาไทย การวางมือจะดูไม่เป็นธรรมชาติในทันที ต่างจากคีย์บอร์ดบน Mac หรือโน้ตบุ๊กมาก
แต่ถ้าใช้ไปสักพักแล้วผู้ใช้เกิดปรับตัวได้ Smart Keyboard จะช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้งานได้ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะปุ่มคีย์ลัดที่ออกแบบมาได้เหมือน Mac เช่น กด Command + Tab จะเป็นการสลับแอปฯใช้งาน เป็นต้น
นอกจากนั้นการออกแบบน้ำหนักปุ่มคีย์ต่างๆ ถือว่าแอปเปิลทำการบ้านมาดี การกดแต่ละคีย์มีน้ำหนักให้รู้สึกว่ากดลงไปจริงๆ
วิดีโอทดสอบการตอบสนองของ Apple Pencil แบบสโลโมชัน 500 เฟรมต่อวินาที ด้วยกล้อง Sony RX100 Mark 4
Apple Pencil – การทดสอบของผมจะเน้นหนักไปในเรื่องการตอบสนองของดินสอ Apple Pencil กับหน้าจอ iPad Pro ด้วยการใช้กล้องวิดีโอถ่ายที่ความเร็ว 500 เฟรมต่อวินาที ผลที่ออกมาจะพบว่า
“หลังจากเราลองลากเส้นด้วย Apple Pencil ช่วงที่เราลากเส้น ซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์หน้าจอจะรับจุดข้อมูลที่ดินสอเขียนลงไป (240 ครั้งต่อวินาที) โดยดินสอจะส่งข้อมูลในเรื่องน้ำหนักการกด การเอียงดินสอ (เป็นข้อมูลที่ดินสอส่งมาจากการยุบตัวของหัวดินสอเมื่อเราทิ้งน้ำหนักกดหรือเอียงดินสอ) จากนั้นระบบประมวลผลจะทำงานและปรากฏเป็นเส้นที่วาดให้ผู้ใช้ได้เห็นบนหน้าจอ”
โดยกระบวนการทำงานทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาเสี้ยววินาที ผู้ใช้บางรายจึงอาจรู้สึกว่าการเขียนภาพด้วย Apple Pencil จึงไม่เป็นธรรมชาติเหมือนกับเขียนด้วยดินสอและกระดาษจริง แต่ทั้งนี้ผมได้ลองให้คุณครูสอนศิลปะที่ปกติจะใช้การวาดเขียนกับกระดาษจริงได้ทดลองใช้ดินสอของแอปเปิลบน iPad Pro ส่วนใหญ่จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
“จุดเด่นของดินสอแท่งนี้คือ สามารถแรเงาและทิ้งน้ำหนักได้ธรรมชาติเหมือนดินสอจริง แต่เรื่องการตอบสนองความเป็นธรรมชาติอาจต้องใช้เวลาปรับตัวอีกเล็กน้อย เพราะต่างจากวาดบนกระดาษจริง”
ในขณะที่นักวาดภาพที่ใช้ปากกาดิจิตอลวาดอยู่เป็นประจำจะให้ความเห็นแตกต่างออกไปคือ
“เทียบในระดับเดียวกัน Apple Pencil น่าจะเหมาะกับพวกสายศิลป์มากที่สุด เพราะดินสอมีจุดเด่นเรื่องการรับรู้น้ำหนักการกดและเอียงได้ละเอียดมาก เราสามารถพก iPad Pro แทนกระดาษแล้วไปหาที่นั่งวาดภาพสวยๆ จากนั้นก็ดึง Apple Pencil ออกมาวาดภาพที่อยู่ตรงหน้าแทนดินสอได้เลย แอปฯบน iPad เองก็มีให้เลือกหลากหลายกว่า และที่พิเศษสุดก็คือแอปฯหลายตัวรองรับ Markup แบบได้”
สุดท้ายกับผู้ใช้ทั่วไปที่นำมาใช้งานในชีวิตประจำวัน ที่ส่วนใหญ่จะมองว่า Apple Pencil ยังเป็นอะไรที่พกติดตัวลำบากเพราะไม่มีที่เก็บมาให้ อีกทั้งแอปฯที่ช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันก็ยังมีน้อย แต่หลายคนชอบแนวคิดของแอปเปิลที่ในแอปฯ Mail สามารถเซ็นชื่อเอกสารได้ทันทีจากนั้นก็เก็บไว้บน iCloud และเวลาต้องการเรียกใช้จาก Mac ก็สามารถกดเรียกใช้งานได้ทันที
มาถึงการทดสอบสุดท้ายที่เราจะพูดถึงในส่วนทดสอบประสิทธิภาพก็คือเรื่องการใช้งานเป็นโฮมเอนเตอร์เทนเมท์และอายุแบตเตอรีต่อการชาร์จไฟเต็มหนึ่งครั้ง
เริ่มจากเรื่องโฮมเอนเตอร์เทนเมท์ – เป็นสิ่งหนึ่งที่หลายคนมองข้ามไป เพราะทุกคนมุ่งเน้นแต่การนำ iPad Pro ไปใช้ในการทำงานเฉพาะด้านมากกว่า จนลืมไปว่า iPad Pro มีลำโพงอัจฉริยะมาให้ถึง 4 ตัวและเสียงที่เปล่งออกมาจากลำโพงแต่ละตัวก็ถือว่ายอดเยี่ยมมาก โดยเฉพาะการแยกเสียงซ้ายขวาที่มีมิติ น้ำหนักและความใส ซึ่งหาได้ยากจากแท็บเล็ตในปัจจุบัน นอกจากนั้นตัว iPad Pro ยังรองรับการเล่นภาพยนตร์ความละเอียดสูง 4K ได้ผ่านแอปฯจากผู้พัฒนารายอื่น เช่น AVPlayer ที่สามารถใช้หน่วยประมวลผล 64 บิตช่วยจัดการไฟล์วิดีโอคุณภาพสูงได้ด้วย
แบตเตอรี – แอปเปิลเครมว่า iPad Pro สามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง 10 ชั่วโมง ซึ่งเท่ากับ iPad ทุกรุ่น แต่ทั้งนี้ถ้าผู้ใช้ต้องการยืดอายุแบตเตอรีออกไปอีก เช่น ต้องการนั่งพิมพ์งานหรือวาดภาพนานๆ ลองปิดอินเตอร์เน็ตทั้งหมดดูแล้วจะพบว่า iPad Pro สามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง (ในที่นี้หมายถึงเปิดหน้าจอตลอด) ได้เกิน 10 ชั่วโมงเลยทีเดียว
สรุป
ราคา iPad Pro เมื่อรวมอุปกรณ์เสริม Smart Keyboard และ Apple Pencil
“iPad Pro ไม่ได้เหมาะกับทุกคน”
ถ้าคุณพอใจกับการทำงานบน iPad หรือแท็บเล็ตอยู่แล้ว iPad Pro จะช่วยให้คุณได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นเทียบชั้นโน้ตบุ๊ก โดยเฉพาะความสามารถที่เพิ่มเติมเข้ามาจาก iPad ปกติก็คือรองรับการเขียนและวาดภาพด้วย Apple Pencil ที่ทำได้ง่าย สะดวกสบาย และสามารถใช้งานระดับมืออาชีพได้หลากหลายตั้งแต่งานออกแบบไปถึงงานศิลป์ต่างๆ รวมถึงกลุ่มคนที่ชื่นชอบการทำดนตรี ตกแต่งภาพถ่าย ชอบทำคลิปวิดีโอลงโซเชียล หรือต้องการแท็บเล็ตเพื่อเป็นตัวกลางในการนำเสนองานกับลูกค้า iPad Pro จะตอบโจทย์เหล่านั้นได้เป็นอย่างดี ด้วยขนาดหน้าจอที่ใหญ่ความละเอียดสูงรวมถึงแบตเตอรีที่จัดการได้ดีกว่าโน้ตบุ๊กอยู่มาก
แต่ทั้งนี้ถ้าในชีวิตการทำงานของคุณจำเป็นต้องพึ่งพาคอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊ก เช่น งานเว็บไซต์ ตัดต่อภาพยนตร์ รายการขนาดยาว iPad Pro จะไม่สามารถตอบสนองความต้องการของคุณได้ทั้งหมด เพราะต้องไม่ลืมว่า iPad Pro ก็คือ iPad ปกติที่ขับเคลื่อนด้วย iOS ไม่ใช่ MacBook หรือ iMac ที่ขับเคลื่อนด้วย OSX รวมถึงอุปกรณ์ที่รองรับ Windows สิ่งเหล่านั้นจะตอบโจทย์คุณได้มากกว่า
ผู้ใดที่กำลังสนใจต้องลองเปรียบเทียบช่างน้ำหนักความคุ้มค่าดูเองว่าเราเหมาะกับสิ่งใด iPad Pro เทียบกับโน้ตบุ๊กแล้วพกพาได้สะดวกกว่า แบตเตอรีอึดกว่า ถ้างานคุณตอบรับกับแท็บเล็ต iPad Pro จะให้อะไรมากกว่าแท็บเล็ตทั่วไป แต่ในทางกลับกัน ถึงแม้สเปกจะสูงแต่ข้อจำกัดในตัวระบบปฏิบัติการก็มีมากเช่นกัน