ดีไหม – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Thu, 15 Jul 2021 11:20:20 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : Huawei Watch 3 – FreeBuds 4 คู่หาสมาร์ทวอทช์สุขภาพ และหูฟังไร้สายตัดเสียงรบกวน https://cyberbiz.mgronline.com/review-huawei-watch-3-freebuds-4/ Thu, 15 Jul 2021 11:14:35 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35577

กลุ่มผลิตภัณฑ์สมาร์ทวอทช์ และหูฟังไร้สายของหัวเว่ย ถือเป็น 2 IoT ดีไวซ์ที่ หัวเว่ย (Huawei) เปิดตัวมาเป็นกลุ่มแรกๆ ในช่วงที่สมาร์ทโฟนของหัวเว่ย ได้รับความนิยม จนมีผู้บริโภคใช้งานต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

ในปีนี้ หัวเว่ย ได้มีการเพิ่มความสามารถให้กับทั้งสมาร์ทวอทช์ และหูฟังไร้สาย ได้อย่างน่าสนใจ เพราะไม่ได้จำกัดการใช้งานเฉพาะบนอีโคซิสเตมส์ของ HUAWEI เท่านั้น แต่ยังสามารถใช้งานกับทั้ง Android และ iOS ได้เป็นอย่างดี

Huawei Watch 3 มีจุดเด่นที่น่าสนใจคือรองรับการเชื่อมต่อแบบ eSIM พร้อมการวัดค่าสุขภาพที่ครบถ้วนทั้งการวัดอัตราการเต้นของหัวใจ อุณหภูมิ จนถึงค่าออกซิเจนในเลือด ในขณะที่ FreeBuds 4 มากับคุณภาพเสียงที่ดีขึ้น และตัดเสียงรบกวนได้น่าประทับใจ

สำหรับราคาจำหน่าของ Huawei Watch 3 เริ่มต้นที่ 12,990 บาท ส่วน Huawei FreeBuds 4 ราคาเปิดตัว 5,999 บาท มีโปรโมชันพิเศษเหลือ 4,499 บาท ถึงวันที่ 22 .. นี้

ข้อดี

Huawei Watch 3

  • มีฟีเจอร์ตรวจจับเกี่ยวกับสุขภาพครบถ้วน
  • รองรับการใช้งาน eSIM สามารถใช้สื่อสารแทนสมาร์ทโฟนได้
  • มีโหมดประหยัดแบตเตอรี ใช้งานได้ 14 วัน

HUAWEI FreeBuds 4

  • หูฟังไร้สาย ตัดเสียงรบกวน สวมใส่สบาย
  • รองรับการเชื่อมต่อ 2 อุปกรณ์สลับใช้งานไปมาได้

ข้อสังเกต

  • Huawei Watch 3 ยังมีแอปพลิเคชันที่รองรับค่อนข้างน้อย จาก App Gallery
  • เวลาชาร์จแบตเตอรี ถ้าเครื่องร้อนจะตัดการชาร์จอัตโนมัติ (แนะนำให้ชาร์จในห้องแอร์)
  • HUAWEI FreeBuds 4 อาจจะไม่เหมาะกับรูปทรงหูของทุกคน เพราะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ถ้าใส่ไม่พอดีอาจะหลุดได้

HUAWEI Watch 3 นาฬิกาอัจฉริยะวัดอุณหภูมิได้

การพัฒนาสมาร์ทวอทช์ของ หัวเว่ย ในปีนี้ ค่อนข้างน่าสนใจตรงการเพิ่มฟีเจอร์ที่มีความสำคัญ และได้ใช้งานแน่ๆ ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 แบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นการวัดค่าออกซิเจนในเลือด (spO2) รวมถึงวัดอุณหภูมิบริเวณผิวหนัง ที่เพิ่มเข้ามา

เนื่องจากทั้ง 2 ค่านี้ สามารถใช้บ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ในการเป็นไข้ หรือมีปัญหาในการหายใจ ซึ่งได้กลายเป็นอาการเบื้องต้นของโควิด-19 แต่แน่นอนว่าเมื่อสมาร์ทวอทช์ไม่ใช่เครื่องมือทางการแพทย์ ดังนั้นจึงสามารถใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น ไม่สามารถนำไปใช้ในการวินิจฉัยโรคได้

ความน่าสนใจของ Watch 3 ไม่ได้จบแค่ 2 ฟีเจอร์นั้น แต่ภายในยังอัดแน่นมาด้วยความอัจฉริยะที่น่าสนใจหลายๆ เรื่อง ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของผู้ใช้งาน โดยฟีเจอร์พื้นฐานอย่างวัดก้าวเดิน วัดอัตราการเต้นของหัวใจ Huawei Watch รุ่นต่างๆ ทำได้ดีอยู่แล้ว

ที่เพิ่มขึ้นมาในรุ่นนี้ คือรองรับรูปแบบการออกกำลังกายมากขึ้น พร้อมกับเพิ่มโหมดแนะนำในการออกกำลังกาย เพื่อช่วยให้การใช้ชีวิตในช่วงนี้ของผู้คนยังสามารถรักษาสุขภาพให้แข็งแรงไปได้ด้วย

นอกจากนี้ Huawei Watch 3 ยังรองรับการเชื่อมต่อ eSIM (AIS และ TrueMove H มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม) ทำให้สามารถใช้รับสายโทรศัพท์จากนาฬิกาได้ทันที เวลาไปออกกำลังกายก็จะไม่พลาดการสื่อสารต่างๆ

เมื่อสมาร์ทวอทช์สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ ก็จะช่วยปลดล็อกความสามารถอื่นๆ อย่างการฟังเพลง นำทาง โดยที่ไม่ต้องซิงค์กับสมาร์ทโฟนตลอดเวลาก็ได้ ทำให้กลายเป็นนาฬิกาอัจฉริยะที่มีความสามารถรอบด้าน

เบื้องหลังในการทำงานของ Huawei Watch 3 ก็คือการนำระบบปฏิบัติการ HarmonyOS มาใช้งาน ทำให้สามารถเชื่อมต่อเข้ากับ Huawei App Gallery เพื่อติดตั้งแอปพลิเคชันใช้งานได้ทันที แม้ว่าจะใช้งานร่วมกับ iOS หรือ Android ที่ไม่ใช่ Huawei ก็ตาม

ในแง่ของการออกแบบ Huawei Watch 3 ยังคงเอกลักษณ์ในแง่ของหน้าปัดทรงกลมเช่นเดิม ความรู้สึกที่ได้จะออกแมนๆ เหมาะกับผู้ชายมากกว่า จากขนาดตัวเครื่อง 46.2 x 46.2 x 12.15 มิลลิเมตร น้ำหนักไม่รวมสายจะอยู่ที่ 54 กรัม

ตัวหน้าจอที่ให้สีสันสดใส และสามารถเลือกเปลี่ยนหน้าปัดได้นั้น เลือกใช้จอแบบ AMOLED ขนาด 1.43 นิ้ว ความละเอียด 466 x 466 พิกเซล ให้ความละเอียดเม็ดสีที่ 326ppi วัสดุตัวเรือนทำจากสแตนเลสเป็นหลัก

การควบคุมทำได้ทั้งจากหน้าจอแบบสัมผัส เม็ดมะยมที่สามารถกด และหมุนได้ พร้อมกับปุ่มกดด้านข้าง เพิ่มเติม เพื่อให้เข้าถึงการใช้งานต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว นาฬิกายังกันน้ำที่ระดับ 5 ATM ทำให้สามารถใส่ว่ายน้ำที่ไม่ลึกเกิน 50 เมตรได้ด้วย

สำหรับการเชื่อมต่อ นอกจากใส่ eSIM เพื่อใช้งาน 4G LTE แล้ว ยังสามารถเชื่อมต่อ WiFi 4 (รองรับเฉพาะ 2.4 GHz) มี GPS ในตัว รวมถึง NFC และบลูทูธ 5.2 ทำให้สามารถเชื่อมต่อหูฟังไร้สาย เข้ากับ Watch 3 เพื่อใช้ฟังเพลงจากนาฬิกาโดยตรงได้ด้วย

ในส่วนของระยะเวลาการใช้งาน Huawei Watch 3 เคลมว่าในโหมดอัจฉริยะสามารถใช้งานได้นาน 3 วัน และโหมดประหยัดพลังงานจะอยู่ได้ 14 วัน ซึ่งในโหมดนี้จะยังคงวัดอัตราการเต้นของหัวใจ เชื่อมต่อบลูทูธกับสมาร์ทโฟนรับการแจ้งเตือน ได้ด้วย

อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่เชื่อมต่อกับ iOS ผ่านแอป Huawei Health ระยะเวลาการใช้งานจะสั้นลงเหลือ 1.5 วันเท่านั้น เนื่องจากใช้การเชื่อมต่อคนละแบบกับสมาร์ทโฟนที่มีพื้นฐานของ Android ทำให้ใช้พลังงานในการรับส่งข้อมูลมากกว่าเดิม

HUAWEI FreeBuds 4 คุณภาพเสียงตัดเสียงรบกวนเด็ดขึ้น

มาถึง HUAWEI FreeBuds 4 ที่เป็นหูฟังไร้สายชูความโดดเด่นเรื่องการตัดเสียงรบกวน ก่อนหน้านี้ หัวเว่ย เคยออก FreeBuds 4i ที่เป็นหูฟังไร้สายแบบ In-Ears ออกมารองรับการตัดเสียงรบกวนเหมือนกัน FreeBuds 4 รุ่นนี้จึงเหมือนเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ใช้เพิ่มเติม

โดยการออกแบบของ FreeBuds 4 จะเปลี่ยนดีไซน์ใหม่อย่างเคสที่เป็นทรงกลม ขนาด 58 x 21.2 มิลลิเมตร น้ำหนักรวม 38 กรัม ทำให้พกพาได้ง่าย ใส่ในกระเป๋ากางเกงได้สบายๆ มีให้เลือกด้วยกัน 2 สีคือ เงิน Silver Frost และ ขาว Ceramic White มีพอร์ตชาร์จ USB-C อยู่ด้านล่าง และปุ่มกดสำหรับเชื่อมต่อทางขวา

ในส่วนของหูฟัง FreeBuds 4 มาในลักษณะของหูฟังปกติ ที่ไม่ได้ต้องยัดจุกยางเข้าไปในรูหู โดยทางหัวเว่ย ระบุว่า มีการออกแบบให้เหมาะกับสรีระของใบหู ทำให้เมื่อสวมใส่แล้วจะกระชับ พอดี และมีน้ำหนักเบาข้างละ 4.1 กรัมเท่านั้น

นวัตกรรมที่ใส่มาให้ใช้งานใน FreeBuds 4 มีที่น่าสนใจมากมาย ทั้งระบบตัดเสียงรบกวน ANC 2.0 ที่แม้ว่าจะเป็นหูฟังแบบ Open Fit แต่มีการปรับปรุงเทคตัดเสียงรบกวน ที่จะคอยปรับแรงดันอากาศในหูทั้ง 2 ข้างให้สมดุล และทำให้มั่นใจว่าจะได้ยินเสียงจากรอบข้าง

ทำให้ FreeBuds 4 กลายเป็นหูฟังไร้สายตัดเสียงรบกวนที่ใส่สบาย สามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง ในแง่ของคุณภาพเสียงให้ไดรเวอร์ขนาด 14.3 มม. มาช่วยขับเสียงให้เสียงที่กว้าง และเติมด้วยเบสได้อย่างน่าสนใจ

ตัวหูฟังยังมากับระบบตรวจจับการสวมใส่ ทำให้เมื่อใช้งานอยู่ ถ้าเปิดเพลงฟัง พอถอดหูฟังเพลงก็จะหยุดโดยอัตโนมัติ เมื่อสวมกลับเข้าไปก็จะเล่นเพลงต่อได้ทันที รวมถึงรองรับการสลับใช้งานระหว่าง 2 อุปกรณ์ไปมาได้ จากการที่ใช้บลูทูธ 5.2 ช่วยให้สะดวกมากขึ้น

ส่วนการควบคุมจะใช้การสัมผัสในการสั่งงานบริเวณก้านหูฟัง โดยแบ่งเป็นการแตะสองครั้งเพื่อเล่น หยุด รับสาย วางสาย เลื่อนขึ้นลงเพื่อเพิ่มลดเสียง และแตะค้างเพื่อเปิดปิดโหมดตัดเสียงรบกวน ซึ่งการควบคุมเหล่านี้สามารถตั้งค่าผ่านแอป Huawei AI Life ได้ทั้งหมด

สำหรับระยะเวลาการใช้งาน FreeBuds 4 ให้แบตเตอรีมาข้างละ 30 mAh เคสชาร์จ 410 mAh เมื่อชาร์จ 1 ครั้ง สามารถเล่นเพลงต่อเนื่องในโหมดตัดเสียงรบกวนอยู่ที่ 2.5 ชั่วโมง และเมื่อปิดจะใช้งานได้ 4 ชั่วโฒง

เมื่อรวมกับแบตเตอรีในเคสชาร์จ จะใช้งานได้ต่อเนื่อง 14-22 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับการเปิดหรือปิดระบบตัดเสียงรบกวน และใช้เวลาในการชาร์จประมาณ 1 ชั่วโมง ซึ่งถือว่าแบตเตอรีหมดค่อนข้างเร็ว เมื่อเทียบกับหูฟังไร้สายหลายๆ รุ่นในท้องตลาด

สรุป

Huawei Watch 3 และ HUAWEI FreeBuds 4 น่าจะเหมาะกับผู้ที่ใช้งานอีโคซิสเตมส์ของ Huawei อยู่แล้ว เพราะจะสามารถเรียกใช้ประสิทธิภาพของดีไวซ์ได้สูงที่สุด ในขณะเดียวกันถ้าเป็นผู้ใช้งาน iOS ก็สามารถใช้งานได้ แต่มีข้อจำกัดพอสมควร

ดังนั้น อาจจะเป็นทางเลือกสำหรับผู้ใช้ iOS มากกว่าว่า ถ้าต้องการนาฬิกาอัจฉริยะที่ไม่ใช่ Apple Watch หรือหูฟังไร้สายที่ไม่ใช่ AirPods มาใช้งาน Huawei ทั้ง 2 รุ่นนี้ ก็น่าสนใจไม่น้อยจากฟีเจอร์ที่ให้มา

]]>
Review : Microsoft Surface Laptop 4 คีย์บอร์ดพิมพ์สนุก เพิ่มตัวเลือกซีพียู https://cyberbiz.mgronline.com/review-microsoft-surface-laptop-4/ Wed, 30 Jun 2021 08:06:53 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35468

ไมโครซอฟท์ ยังคงรักษามาตรฐานของการออกผลิตภัณฑ์ต้นแบบที่ปรับแต่งให้เหมาะกับลักษณะการใช้งานระบบปฏิบัติการ Windows 10 ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในกลุ่มของผู้ที่ต้องการใช้งานโน้ตบุ๊กเพื่อทำงาน พกพาไปไหนมาไหนได้ง่าย และที่สำคัญคือประสิทธิภาพในการประมวลผลต้องสูงด้วย

Surface Laptop 4 ถือเป็นโน้ตบุ๊กในฟอร์มเฟคเตอร์ปกติรุ่นล่าสุดของ ไมโครซอฟท์ ที่นำเสนอมาในปีนี้ได้อย่างน่าสนใจ ทั้งการเปลี่ยนแปลงคีย์บอร์ดให้พิมพ์ได้สนุกขึ้น เปิดทางเลือกรุ่นซีพียูให้มีทั้ง Intel และ AMD บนขนาดหน้าจอทั้ง 13.5 นิ้ว และ 15 นิ้ว ให้เลือก

แน่นอนว่า ระบบปฏิบัติการ Windows 10 ที่ติดตั้งมาให้บน Surface Laptop 4 นั้น เพียงพอกับการใช้งานในปัจจุบันแล้ว แต่เมื่อ Windows 11 เปิดให้ผู้ใช้งานทั่วไปใช้งาน Surface Laptop 4 จะรองรับการอัปเกรด และเพิ่มประสบการณ์ใช้งานที่ดีขึ้นให้แก่ผู้ใช้ด้วย

ข้อดี

  • จอ PixelSense 13.5 นิ้ว สัดส่วน 3:2 รองรับการสัมผัส และใช้งานปากกาได้
  • ตัวเครื่องบาง 14.5 มม. น้ำหนัก 1.2 กิโลกรัม
  • คีย์บอร์ดที่มาพร้อมที่รองฝ่ามือหุ้ม Alcantara ช่วยให้พิมพ์ได้สนุกขึ้น
  • แบตเตอรี ใช้งานได้ต่อเนื่องทั้งวัน

ข้อสังเกต

  • อะเดปเตอร์ชาร์จยังเป็นพอร์ตเฉพาะของ Surface เช่นเดิม (แม้จะชาร์จจาก USB-C ได้แล้วก็ตาม
  • พอร์ตเชื่อมต่อไม่ครบ มีเพียง USB-C USB Type-A และ 3.5 มม. เท่านั้น
  • กล้องเว็บแคมความละเอียด 720p

ราคาเริ่มต้น เข้าถึงง่ายขึ้น

หนึ่งในความน่าสนใจของ Surface Laptop 4 คือการเพิ่มทางเลือกซีพียูมาให้ผู้ใช้งานอย่าง AMD Ryzen จากเดิมที่จะมีให้เลือกเฉพาะซีพียูจาก Intel เท่านั้น และนั่นทำให้ราคาเริ่มต้นของ Surface Laptop โน้ตบุ๊กที่ดีที่สุดของไมโครซอฟท์ราคาเข้าถึงได้ง่ายขึ้นด้วย

สำหรับรุ่นเริ่มต้นของ Surface Laptop 4 ขนาดจอ 13.5” มากับชิปเซ็ต AMD Ryzen 5 4680U RAM 8 GB SSD 256 GB ในราคา 35,999 บาท หรือจะเพิ่ม RAM เป็น 16 GB SSD 256 GB จะอยู่ที่ 42,999 บาท

ส่วนชิปเซ็ต 11 Gen Intel Core i5 1145G7 RAM 8 GB SSD 512 GB จะเริ่มต้นที่ 44,999 บาท โดยสามารถปรับสเปกไปได้ถึง Intel Core i7 1185G& RAM 16 GB SSD 512 GB ในราคา 57,999 บาท

จะเห็นได้ว่าจากราคาเริ่มต้นของ Surface Laptop 4 ในช่วง 35,999 บาท แต่ได้โน้ตบุ๊กหน้าจอสัมผัส ที่รองรับการพกพาไปใช้งานได้ทุกที่ถือเป็นตัวเริ่มต้นที่น่าสนใจ แต่ถ้าใครที่ต้องการใช้งานยาวๆ อาจจะต้องมองตัวเลือกเป็นรุ่นที่มี SSD 512 GB แทน เพราะ 256 GB อาจจะไม่เพียงพอกับการเก็บข้อมูลในระยะยาว

ดีไซน์เดิม ปรับปรุงภายในให้ดีขึ้น

Surface Laptop 4 ยังคงลักษณะการออกแบบไม่แตกต่างจาก Surface Laptop 3 จนเรียกว่าเป็นไมเนอร์เชนจ์ของรุ่นก็ว่าได้ เพราะตัวเครื่องจะเน้นที่การอัปเดตสเปกภายในเป็นหลัก โดยขนาดของเครื่องจะอยู่ที่ 308 x 223 x 14.5 มิลลิเมตร น้ำหนัก 1.26 กิโลกรัม

ตัวเครื่องมีให้เลือกด้วยกัน 2 สีคือ สีเงินแพลตตินัม ที่จะมากับวัสดุหุ้ม Alcantara และสีดำด้านที่เป็นโลหะตามปกติ ซึ่งในรุ่นสีดำจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็น 1.28 กิโลกรัม ซึ่งจะให้โทนสี และภาพลักษณ์ในการใช้งานที่แตกต่างกันไป

การออกแบบของ Surface Laptop 4 ยังคงเน้นที่ความเป็นมินิมอลเช่นเดิม โดยมีสัญลักษณ์ของ Windows สะท้อนแสงติดอยู่ตรงกึ่งกลางด้านนอกเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

เมื่อเปิดตัวเครื่องขึ้นมาจะพบกับจอสัมผัส PixelSense ขนาด 13.5 นิ้ว ความละเอียด 2256 x 1504 พิกเซล 201 ppi ในสัดส่วน 3:2 ซึ่งช่วยให้แสดงผลคอนเทนต์สำหรับการท่องเว็บ หรือทำงานเอกสารได้ดีขึ้น แต่จะไม่เหมาะกับการรับชมภาพยนต์เท่าไหร่ เนื่องจากจะเหลือขอบสีดำด้านบนและล่างเพิ่มขึ้นด้วย

ที่น่าเสียดายอีกอย่างก็คือเรื่องของขอบจอที่ Surface Laptop 4 ยังมีขอบจอที่ค่อนข้างหนา เมื่อเทียบกับแบรนด์อื่นๆ ในท้องตลาดอย่างเอซุส เดลล์ หรือเอชพี ที่นำเสนอตัวเครื่องขนาด 14 นิ้ว ในฟอร์มเฟคเตอร์ขนาด 13 นิ้ว ได้อย่างน่าสนใจ

บริเวณขอบบนยังคงเป็นที่อยู่ของกล้องเว็บแคมความละเอียด 720p ซึ่งถือว่าน้อยไปหน่อยสำหรับยุคปัจจุบันที่การใช้งานวิดีโอคอลล์มีความจำเป็นมากยิ่งขึ้น ที่ดีก็คือยังมาพร้อมกับเซ็นเซอร์ IR ที่ทำงานร่วมกับ Windows Hello ในการปลดล็อกด้วยใบหน้าได้อยู่

จุดเด่นที่สำคัญที่สุดของ Surface Laptop 4 เท่าที่ทดสอบใช้งานมาคือ ความนิ่มของคีย์บอร์ด ทั้งในแง่ของแป้นคีย์บอร์ดที่รับสัมผัส ทำให้พิมพ์ได้สนุก มีปุ่มลัดสำหรับการสั่งงานต่างๆ ครบถ้วน จะมีจุดที่น่าเสียดายคือย้ายปุ่มลัดอย่าง Home End PageUp PageDown ไปไว้บริเวณแถบบนแทน ทำให้เวลาใช้งานอาจจะต้องปรับตัวเล็กน้อย

ส่วนปุ่มเปิดเครื่องก็ถูกขยับเข้ามาไม่ได้อยู่ที่มุมขวาบน แต่เป็นที่อยู่ของปุ่ม Delete แทน ช่วยให้เวลากดใช้งานทำได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องกังวลว่าจะไปสัมผัสโดนปุ่มปิดเครื่องแทน แทร็กแพดของ Surface Laptop 4 ที่ให้มาใหญ่สะใจ รองรับการใช้งานได้ลื่นไหล

อีกจุดที่นุ่มก็คือการที่ Surface Laptop 4 มีการหุ้มหนังสังเคราะห์อย่าง Alcantara มาให้บริเวณตัวเครื่องด้านใน ทำให้สัมผัสของข้อมือระหว่างการพิมพ์นุ่มสบายกว่าโน้ตบุ๊กที่ใช้โลหะ หรือพลาสติกอื่นๆ แต่ก็แลกมากับการดูแลรักษาที่เพิ่มขึ้น โดยทางไมโครซอฟท์ แนะนำให้สามารถนำผ้าชุบสบู่เหลวอ่อนๆ มาถูกทำความสะอาดได้

ในส่วนของพอร์ตเชื่อมต่อ Surface Laptop 4 ถือว่าให้มาค่อนข้างจำกัด โดยทางฝั่งซ้ายจะมีเพียงช่องเสียบ USB Type A และ USB-C พร้อมกับช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. เท่านั้น ไม่รองรับการเชื่อมต่อ Thunderbolt ด้วย

ส่วนทางขวามีพอร์ต Surface Connect ไว้เสียบชาร์จตัวเครื่อง โดยที่บริเวณอะเดปเตอร์จะมีพอร์ต USB Type A เพิ่มมาให้ใช้งานอีก 1 ช่อง ความจุของแบตเตอรีจะอยู่ที่ 47.4 Whr ที่ไมโครซอฟท์ระบุว่าใช้งานได้ต่อเนื่อง 17-19 ชั่วโมง

สเปก และทดสอบประสิทธิภาพ

ในส่วนของสเปก Surface Laptop ที่ได้รับมาทดสอบจะเป็นรุ่น 11 Gen Intel Core i5 RAM 8 GB SSD 256 GB มาพร้อมกราฟิก Intel IrisXe ส่วนถ้าเป็นรุ่น AMD Ryzen ก็จะมาพร้อมกับ AMD Radeon แบบออนบอร์ดให้ใช้งาน

โดยเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ AMD Ryzen สามารถใช้งานบนแบตเตอรีได้ยาวนานกว่ารุ่นของ Intel คือการที่ปัจจุบัน AMD พัฒนาชิปเซ็ตบนสถาปัตยกรรมแบบ 7 นาโนเมตร ที่ประหยัดพลังงานมากกว่า ในขณะที่ Intel ยังอยู่บนสถาปัตยกรรมแบบ 10 นาโนเมตร

สำหรับการใช้งาน Surface Laptop 4 ต้องยอมรับว่า ถือเป็นแล็ปท็อปเพื่อการทำงาน และความบันเทิงที่ตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการใช้งานทั่วๆ ไป ทำงานเอกสาร ทำรูปภาพบ้าง แต่จะไม่หนักไปจนถึงการตัดต่อวิดีโอ หรือเล่นเกมความละเอียดสูงๆ เนื่องจากไม่มีการ์ดจอแยกมาช่วยประมวลผล

ส่วนในแง่ของความบันเทิง เรียกได้ว่าให้มาครบถ้วนจากหน้าจอขนาดใหญ่ 13.5 นิ้ว ที่ให้ความละเอียดสูง สีสันสมจริง แบตเตอรีที่ใช้งานต่อเนื่องได้ยาวนาน ทีมงานลองใช้งานทั่วๆ ไปอยู่ที่ราว 11 ชั่วโมง แต่ถ้าใช้งานหนักๆ อย่างเล่นเกม จะเหลือประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง

สรุป

Microsoft Surface Laptop 4 ยังคงรักษาการเป็นโน้ตบุ๊กที่ดีที่สุดของไมโครซอฟท์ได้อย่างน่าสนใจ และนำเสนอเทคโนโลยีต่างๆ ของ Windows 10 ได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยของ Windows Hello ควบคู่กับชิปความปลอดภัย TPM2.0 ที่มาช่วยเข้ารหัสข้อมูล

ทำให้ Surface Laptop 4 เหมาะที่จะเป็นทั้งโน้ตบุ๊กสำหรับคอนซูเมอร์ และใช้งานในองค์กรธุรกิจ จะติดก็เรื่องของพอร์ตเชื่อมต่อที่ให้มาค่อนข้างจำกัด อาจจะต้องพกอะเดปเตอร์เพิ่มเติมในการใช้งาน

ที่น่าสนใจคือ Surface Laptop 4 รองรับการอัปเกรดเป็น Windows 11 ใช้งานในอนาคตอย่างแน่นอนอยู่แล้ว เมื่อมีการปรับเปลี่ยนดีไซน์ของ Windows ใหม่ให้ใช้งานสัมผัสจากหน้าจอได้สะดวกขึ้น Surface Laptop 4 จะเพิ่มความน่าใช้งานเข้าไปอีก

Gallery

]]>
Review : ASUS ExperBook B9 อัปเกรดใหม่ปี 2021 เน้นแข็งแรง-ปลอดภัย https://cyberbiz.mgronline.com/review-asus-experbook-b9400/ Tue, 22 Jun 2021 06:09:13 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35401

ในปีที่ผ่านมา ASUS เปิดตลาดโน้ตบุ๊กเบางเบาในกลุ่มองค์กรธุรกิจได้อย่างน่าสนใจ ด้วยซีรีส์ใหม่อย่าง ExpertBook B9 ชูความโดดเด่นของการเป็นแล็ปท็อปองค์กรธุรกิจที่มีน้ำหนักเบาที่สุดในโลก ด้วยน้ำหนักไม่ถึง 1 กิโลกรัม และได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากผู้ใช้งาน

พอมาในปี 2021 เอซุส ได้อัปเกรดความสามารถของ ExpertBook B9 (9400) ให้ตอบโจทย์การใช้งานมากขึ้น ด้วยการเพิ่มความแข็งแรงของหน้าจอ เลือกนำเฉพาะรุ่นประสิทธิภาพสูงอย่าง 11 Gen Intel Core i7 มาทำตลาด โดยเปิดให้เลือกเพิ่มเติมว่าจะใช้งานคู่กับ Windows 10 Home หรือ Windows 10 Pro ในราคาเริ่มต้นที่ 44,990 บาท

จุดเด่นของ ASUS ExpertBook B9 (9400) รุ่นปี 2021 นี้ คือมาพร้อมกับการรับรอง Intel EVO แพลตฟอร์ม ตัวเครื่องน้ำหนักประมาณ 1 กิโลกรัม พอร์ตเชื่อมต่อครบ พร้อมด้วยฟังก์ชันรักษาความปลอดภัยด้วย Windows Hellp ทั้งสแกนใบหน้า และลายนิ้วมือให้ใช้งาน รวมถึงการเลือกใช้ Dual SSD ทำให้สามารถทำ RAID 1 เพื่อสำรองข้อมูลได้ด้วย

ข้อดี

  • โน้ตบุ๊กธุรกิจ ประสิทธิภาพสูง 11 Gen Intel Core i7
  • น้ำหนัก 1 กิโลกรัม
  • แบตเตอรีใช้งานต่อเนื่องเกิน 13 ชั่วโมง
  • กล่องใส่ที่ชาร์จเปลี่ยนเป็นฐานตั้งโน้ตบุ๊กได้

ข้อสังเกต

  • หน้าจอยังเป็น Full HD+
  • กล้องเว็บแคมความละเอียด 720p
  • มีให้เลือกเฉพาะรุ่น Core i7 ต่างจากปีที่ผ่านมามีรุ่น Core i5 ที่ราคาย่อยเยาว์กว่า

บางเบา พอร์ตครบเหมือนเดิม

ความโดดเด่นของ Asus ExpertBook B9 ยังคงเป็นเรื่องของความบางเบาของตัวเครื่อง โดยมีขนาดอยู่ที่ 320 x 203 x 14.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 1,009 กรัม หรือประมาณ 1 กิโลกรัม ซึ่งน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นถ้าเทียบกับรุ่นของปี 2020 คือการเลือกใช้แบตเตอรีขนาด 66 Whr แทนรุ่นเดิมที่ใช้แบตเตอรีขนาด 33 Whr ทำให้สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ยาวนานขึ้นด้วย

ดีไซน์ของ ExpertBook B9 นั้น ยังคงใช้ดีไซน์แบบเดิม เรียกได้ว่าเป็นไมเนอร์เชนจ์ของรุ่นก็ว่าได้ มีวางจำหน่ายสีเดียวคือ Star Black ที่เป็นสีดำแบบผิวด้าน ช่วยให้ตัวเครื่องติดรอยนิ้วมือได้ยาก และให้ความรู้สึกหรูหรา พรีเมียมขึ้นในตัว

ASUS ยังคงเลือกใช้ฟอร์มเฟคเตอร์ของเครื่องขนาด 13 นิ้ว มาใส่หน้าจอ 14 นิ้ว ทำให้เห็นได้ว่ารุ่นนี้ขอบจอค่อนข้างบาง ให้สัดส่วนหน้าจอเทียบกับตัวเครื่องอยู่ที่ 94% ความละเอียดหน้าจอเป็น FullHD 1920 x 1080 พิกเซล มุมมองแบบ IPS ให้ความสว่าง 400 nits และค่าแสงที่ sEGB 100%

บริเวณกล้องเว็บแคมความละเอียด 720p ที่ให้มาจะมีชัตเตอร์เพื่อปิดกรณีที่ไม่ต้องการใช้งาน พร้อมกับเพิ่มเซ็นเซอร์วัดระยะมาด้วย ทำให้เวลาลุกออกจากหน้าเครื่อง ExpertBook B9 จะทำการล็อกหน้าจออัตโนมัติเพื่อความปลอดภัยเพิ่มเติม อย่างไรก็ตามในกรณีที่ปิดขัตเตอร์บังกล้องไว้ ก็จะไม่สามารถใช้งานปลดล็อกด้วยใบหน้าได้

ในส่วนของคีย์บอร์ด ยังคงมาในรูปแบบชิกเล็ตมาตรฐาน ระยะกดของปุ่มอยู่ที่ 1.5 มิลลิเมตร ป้องกันน้ำหกใส่ และมีไฟ Backlit ไว้ใช้งานในเวลากลางคืนด้วย ส่วนบริเวณทัชแพด จะสามารถเปิดฟีเจอร์ใช้งานเป็นปุ่มตัวเลขเพิ่มเติมได้ ช่วยให้สามารถกรอกข้อมูลตัวเลขได้สะดวกขึ้น

สำหรับพอร์ตเชื่อมต่อ ExpertBook B9 ให้พอร์ตมาครบถ้วนสำหรับการเป็นโน้ตบุ๊กบิสสิเนส ไล่ตั้งแต่พอร์ต USB 3.2 Type-A 1 พอร์ต มี Thunderbolt 4 (USB-C) ให้อีก 2 พอร์ต ซึ่งรองรับการต่อจอแยก และชาร์จไฟทั้งสองพอร์ต เพิ่มเติมด้วย HDMI 2.0 ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. และ MicroHDMI ที่ใช้งานคู่กับอะเดปเตอร์แปลงเป็นพอร์ต LAN ที่แถมมาให้ในกล่อง

ในแง่ของความปลอดภัยตัวเครื่องมีช่องล็อก Kensington มาให้ เพื่อรวมกับ Windows Hello ที่รองรับทั้งการปลดล็อกด้วยใบหน้า และเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่บริเวณมุมขวาล่างของคีย์บอร์ด ทำให้เครื่องรุ่นนี้ ผ่านมาตรฐานด้านซิเคียวริตี้สำหรับใช้งานในองค์กรธุรกิจแน่นอน

ส่วนแบตเตอรีที่ให้มา 66 Whr นั้น สามารถใช้งานรับชมวิดีโอได้ต่อเนื่องกว่า 20 ชั่วโมง ส่วนการใช้งานหนักๆ ได้กว่า 13 ชั่วโมง และรองรับการชาร์จเร็วจากอะเดปเตอร์ 65W ที่ให้มาจาก 1% – 60% ได้ในเวลา 49 นาที ซึ่งแปลว่าสามารถชาร์จเพียง 1 ชั่วโมง ใช้งานได้ตลอดวันสบายๆ

จุดที่อัปเกรดขึ้น

ภายใน ExpertBook B9 จุดที่มีการอัปเกรดเพิ่มเติมจากรุ่นปี 2020 จะประกอบด้วยชิปเซ็ตที่ใหม่ขึ้น ด้วยการเลือกใช้ 11 Gen Intel Core i7-1165G7 พร้อม Intel Iris Xe RAM 16 GB SSD 1 TB ให้ใช้งาน

ถัดมาคือการเพิ่มความแข็งแรงของหน้าจอด้วยการเสริมโครงเหล็กเข้าไป แก้ปัญหาหน้าจอยวบในรุ่นของปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้น้ำหนักโดยรวมของตัวเครื่องเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่รองรับการกดทับของหน้าจอได้มากขึ้น

อีกอย่างที่น่าสนใจคือการเปิดให้สามารถเลือกใส่ SSD ได้แบบคู่ ทำให้ ExpertBook B9 สามารถทำ RAID0 เพื่อให้ตัวเครื่องทำงานได้เร็วขึ้น หรือ RAID1 เพื่อสำรองข้อมูลในการใช้งานได้ เหมาะกับการใช้งานในองค์กรธุรกิจขึ้นไปอีก

นอกจากนี้ ก็มีการอัปเกรดในแง่ของระบบตัดเสียงรบกวน เวลาใช้งานวิดีโอคอลล์ ด้วยการนำ ASUS AI Noise-Cancelling Audio มาช่วยทั้งเสียงของคู่สนทนาที่ผู้ใช้ได้ยิน และปรับเสียงจากไมโครโฟนให้ปลายสายด้วย

อีกความน่าสนใจก็คือเรื่องของบรรจุภัณฑ์รักษ์โลก โดยที่ในรุ่น ExpertBook B9400 นี้ ได้มีการนำกล่องบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ใส่อะเดปเตอร์ชาร์จไฟ และอุปกรณ์เสริมอื่นๆ มาใช้เป็นขาตั้งเครื่องได้เพิ่มเติม และยังทำจากกระดาษทั้งหมดอีกด้วย

สรุป

Asus ExpertBook B9 รุ่นปี 2021 ในรหัส B9400 วางจำหน่ายให้เลือกด้วยกัน 2 รุ่น คือเลือกระหว่าง Windows 10 Home ราคา 44,990 บาท กับ Windows 10 Pro ราคา 49,490 บาท ซึ่งถ้าเป็นการใช้งานในองค์กรธุรกิจที่ต้องการความปลอดภัย แนะนำให้เลือกรุ่น Windows 10 Pro จะเหมาะสมกว่า

อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่มีเฉพาะรุ่น Core i7 ทำให้ราคาเริ่มต้นของ ExpertBook B9 ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับรุ่นของปีที่แล้ว Core i5 จะอยู่ที่ 38,990 บาท ซึ่งถ้าไม่ได้ต้องการพลังในการประมวลผลระดับ Core i7 แต่เน้นความบางเบา พกพาง่าย ก็จะไม่มีตัวเลือกเริ่มต้นมาให้

ในภาพรวม ExpertBook B9400 ยังคงรักษามาตรฐานของบิสสิเนสแล็ปท็อปได้เป็นอย่างดี แต่ก็กลายเป็นว่า ไม่ได้เหมาะกับการนำไปใช้งานทั่วไปสำหรับคอนซูเมอร์ เพราะเมื่อระดับราคาสูงขึ้นมาเกือบ 5 หมื่นบาท ยังมีตัวเลือกอีกหลายรุ่นที่น่าสนใจในตลาดนี้

Gallery

]]>
Review : realme 8 5G เมื่อเครื่อง 5G เข้าถึงได้ในราคา 9,999 บาท https://cyberbiz.mgronline.com/review-realme-8-5g/ Wed, 19 May 2021 04:52:46 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35180

การแข่งขันในกลุ่มสมาร์ทโฟนราคาต่ำกว่าหมื่นบาท ที่รองรับ 5G เริ่มมีให้เห็นชัดเจนขึ้นในช่วงนี้ ซึ่งหนึ่งในรุ่นที่น่าจับตามองคงหนีไม่พ้น realme 8 5G ที่ทำราคาเปิดตัวมา 9,999 บาท ตัวเครื่องรองรับ 5G แบบ Dual Standby และให้หน้าจอมาขนาดใหญ่ถึง 6.5 นิ้ว

ความสามารถของ realme 8 5G ในแง่การใช้งานถือว่าอยู่ระดับกลางๆ เนื่องจากต้นทุนของชิปเซ็ต 5G ที่ค่อนข้างสูง ทำให้มีการปรับลดสเปกเครื่องบางส่วนลง เพื่อให้ตัวเครื่องรองรับ 5G ซึ่งถ้าใครกำลังมองหาสมาร์ทโฟนที่รองรับ 5G มาใช้งาน ก็เป็นตัวเลือกระดับเริ่มต้นที่น่าสนใจ

ข้อดี

  • สมาร์ทโฟนขนาดจอ 6.5 นิ้ว Refresh Rate 90 Hz
  • รองรับการเชื่อมต่อ 5G Dual Standby
  • แบตเตอรี 5,000 mAh
  • ราคาเปิดตัว 9,999 บาท

ข้อสังเกต

  • ชิปเซ็ต Dimensity 700 5G จะเน้นที่การเชื่อมต่อ 5G เป็นหลัก การประมวลผลอยู่ในระดับกลางๆ
  • กล้องหลักอยู่ที่ 48 ล้านพิกเซล (รุ่น 4G ได้กล้อง 64 ล้านพิกเซล)
  • รองรับชาร์จเร็ว 18W (รุ่น 4G ได้ Dart Charge 30W)

เน้นเจาะกลุ่มผู้ใช้ 5G เริ่มต้น

ด้วยโพสิชันของ realme 8 ที่ออกวางจำหน่ายพร้อมกันทั้งรุ่น 4G และ 5G ในราคาต่างกัน 1,000 บาท ทำให้ realme 8 5G มีสเปกเครื่องโดยรวมหลายๆ ส่วนต่ำกว่ารุ่น 4G เนื่องจากชิปเซ็ตที่รองรับ 5G ในท้องตลาดเวลานี้ ยังมีราคาค่อนข้างสูงอยู่ ทำให้ต้องตัดต้นทุนในจุดอื่นออกไป

ดังนั้น Realme 8 5G จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการสมาร์ทโฟนรองรับ 5G ในระดับราคาที่เข้าถึงได้ เพื่อนำส่วนต่างจากค่าเครื่องไปสมัครแพ็กเกจใช้งาน 5G ที่ปัจจุบัน การใช้งาน 5G แบบไม่จำกัดจะอยู่ที่ราวเดือนละ 1,099 บาท จะทำให้ได้ประสบการณ์ใช้งาน 5G ที่ดีที่สุด

เพราะอย่าลืมว่า ในการเลือกซื้อเครื่อง 5G มาใช้งาน นอกจากความเร็วในการเชื่อมต่อโมบายอินเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้นแล้ว ราคาของแพ็กเกจที่ต้องจ่ายก็เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน เนื่องจากปริมาณในการใช้งาน 5G เมื่อเทียบกับ 4G แล้วจะเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ทำให้ต้องคำนวนถึงค่าใช้จ่ายแฝงที่จะตามมาด้วย

ในกรณีกลับกัน ถ้าไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้งาน 5G ตัวเลือกอย่าง realme 8 4G ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะด้วยสเปกหลายๆ ส่วนที่ดีขึ้นทั้งชิปเซ็ตประมวลผล กล้อง และระบบชาร์จเร็ว ทำให้มีความคุ้มค่ามากกว่า

จุดเด่นของ realme 8 5G

นอกเหนือจากการเชื่อมต่อ 5G แล้ว ในภาพรวมของการใช้งาน realme 8 5G ก็ต้องยอมรับว่า realme ทำการบ้านมาได้ดี ในแง่ของประสบการณ์ใช้งานตัวเครื่องทำได้ลื่นไหล เมื่อใช้งานทั่วๆ ไป ประกอบกับการที่ให้จอมา 6.5 นิ้ว Ultra Smooth Display 90 Hz ความละเอียด FHD+ (2400 x 1080 พิกเซล) ทำให้การแสดงผลทำได้ดี

ถัดมาในแง่ของขนาดตัวเครื่อง realme 8 5G อยู่ที่ 162.5 x 74.8 x 8.5 มิลลิเมตร น้ำหนัก 185 กรัม วางจำหน่ายด้วยกัน 2 สี คือ Supersonic Blue ที่ชุบอินเดียมไฮกลอส เพิ่มความสว่างเป็นประกายที่ฝาหลัง และอีกสีคือ Supersonic Black 

จะเห็นได้ว่า ตัวเครื่องมากับดีไซน์ที่ค่อนข้างบาง และตัวเครื่องไม่หนักจนเกินไป ทำให้การถือใช้งานทำได้ถนัดมือ แม้ว่าส่วนของฝาหลังจะเป็นเงาๆ ทำให้ติดรอยนิ้วมือได้ง่ายสักหน่อย แต่ถ้าการใช้งานส่วนใหญ่ใส่เคสอยู่แล้วก็ไม่มีปัญหา

ในส่วนของกล้อง realme 8 5G ให้กล้องหลักมาที่ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล f/1.8 มาพร้อมเลนส์ขาวดำ ที่มาช่วยตรวจจับแสงเพิ่มเติม และเลนส์มาโคร ให้สามารถถ่ายภาพระยะใกล้ได้ถึง 4 เซนติเมตร พร้อมไฟแฟลช LED

ส่วนกล้องหน้าแบบเจาะรูอยู่ใต้จอจะให้ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล มี AI Beauty Selfie มาให้ใช้งาน รองรับการถ่ายวิดีโอทั้งกล้องหลัก และกล้องหน้าที่ 1080p / 30 fps เท่านั้น ยังไม่สามารถบันทึกภาพแบบ 4K ได้

ความน่าสนใจอีกอย่างของ realme 8 5G คือสัมผัสที่ได้จากขอบเครื่อง ที่ใช้กระบวนการ Microcrack มาช่วยในการหล่อขอบตัวเครื่อง ให้มีความยืดหยุ่นรองรับแรงจอของกระจกหน้าจอ พร้อมกับการออกแบบป้องกันมุม ช่วยลดความเสี่ยงในการแตกของหน้าจอ

โดยจะมีปุ่มปรับระดับเสียง และถาดใส่ซิมการ์ดอยู่ทางฝั่งซ้าย ข้อดีของถาดใส่ซิม realme 8 5G ก็คือสามารถใส่ 2 นาโนซิมการ์ด พร้อมกับไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มเติมได้เลย ส่วนทางฝั่งขวาจะมีปุ่มเปิดเครื่องพร้อมเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมืออยู่

ด้านบนตัวเครื่องจะถูกปล่อยว่างไว้ และมีพอร์ต USB-C ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ไมโครโฟนสนทนา และลำโพงอยู่ที่ขอบด้านล่างเครื่อง โดยภายในกล่องจะไม่ได้แถมหูฟังมาให้ด้วย มีเฉพาะอะเดปเตอร์ชาร์จ 18W กับสาย USB Type-A to USB-C ให้เท่านั้น

สเปก

ในแง่ของสเปกตัวเครื่อง realme 8 5G มากับชิปเซ็ตประมวลผล Dimensity 700 5G ที่เป็น Octa-Core ผลิตบนสถาปัตยกรรมแบบ 7 นาโนเมตร ความเร็ว 2.2 GHz ทำงานคู่กับ GPU Mali-G57 ช่วยให้สามารถประมวลผลภาพได้ลื่นไหล กับจอแสดงผลแบบ 90 Hz ได้เป็นอย่างดี

ตัวเครื่องมากับ RAM 8 GB ROM 128 GB สามารถใส่ไมโครเอสดีการ์ดได้สูงสุด 1 TB รองรับการเชื่อมต่อ WiFi 5 บลูทูธ 5.1 พร้อมระบบระบุพิกัด GPS แบตเตอรี 5000 mAh รองรับชาร์จเร็ว 18W กับอะเดปเตอร์ที่แถมมาให้ในกล่อง รวมถึงเคสใส และฟิลม์กันรอย

Realme 8 5G ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 11 ครอบด้วย realme UI 2.0 ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งานให้ลื่นไหล และง่ายขึ้น ซึ่งตัวเครื่องจะมีการพรีโหลดแอปฯ มาให้ใช้งานด้วย

ทดสอบใช้งาน

เท่าที่ได้ลองใช้งาน realme 8 5G มาอย่างแรกที่ชื่นชอบคือเรื่องความเร็วในการเชื่อมต่อ 5G ทำได้เป็นอย่างดี ยิ่งอยู่ในพื้นที่รองรับแล้ว ความเร็วระดับ 400 Mbps ขึ้นไป ถือเป็นเรื่องปกติ ช่วยให้ใช้งานอินเทอร์เน็ตได้อย่างลื่นไหลมาก

ถัดมาในส่วนของความบันเทิงต้องยอมรับว่าด้วยจอที่ให้มา 6.5 นิ้ว 90 Hz ก็เพียงพอกับการใช้งานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นใช้โซเชียลเน็ตเวิร์ก ดูหนัง ดูยูทูป ประกอบกับแบตเตอรีที่ให้มา 5,000 mAh ทำให้ใช้งานทั้งวันได้สบายๆ

ขณะที่การเล่นเกม แม้ว่าด้วยสเปกเครื่องที่ไม่ได้สูงมาก ทำให้ปรับการแสดงผลแบบสูงสุดไม่ได้ แต่พอปรับให้เหมาะสม การแสดงผล การเล่นต่างๆ ก็ทำได้ลื่นไหล ภายใน realme 8 5G ยังมีโหมดเล่นเกมโดยเฉพาะมาให้ ที่จะคอยเคลียการใช้ทรัพยากรต่างๆ ของเครื่องเพื่อให้ลื่นไหลที่สุด

ส่วนกล้องที่ให้มา 48 ล้านพิกเซล ถือว่าทำได้คุ้มกับราคาที่เสียไปแน่นอน โดยเฉพาะการถ่ายภาพในพื้นที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ สามารถเก็บรายละเอียดได้เป็นอย่างดี ส่วนในโหมดถ่ายกลางคืน แม้ว่าจะรับแสงได้มากขึ้น แต่ก็อยู่ในระดับพอใช้งานได้เท่านั้น

สรุป

ด้วยค่าตัวของ realme 8 5G ที่ 9,999 บาท ทำให้สมาร์ทโฟนรุ่นนี้ น่าสนใจสำหรับผู้ที่พร้อมจ่ายเงินค่าแพ็กเกจ 5G เพิ่ม เลือกใช้งานแน่นอน และรองรับการใช้งานต่อเนื่อง ในอนาคตได้สบายๆ

แต่ถ้าไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้งาน 5G ทางเลือกอย่าง realme 8 4G จะดูคุ้มค่าในการใช้งานมากกว่า เพราะได้ประสิทธิภาพตัวเครื่องที่ดีกว่าอย่าง การชาร์จแบตที่เร็วกว่า แลกกับขนาดจอที่เล็กลงเหลือ 6.4 นิ้ว และไม่รองรับ 5G แค่นั้นเอง

Gallery

]]>
Review : Huawei FreeBuds 4i หูฟัง ANC คุณภาพดี ราคาเข้าถึงได้ https://cyberbiz.mgronline.com/review-huawei-freebuds-4i/ Fri, 26 Mar 2021 04:34:17 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35011

การที่ หัวเว่ย (Huawei) หันมาโฟกัสกับธุรกิจ IoT โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เป็นอุปกรณ์สวมใส่ (Wearable) มากยิ่งขึ้น จุดประสงค์หลักเพื่อมาอุดช่องว่างของรายได้ที่หายไปจากการที่ไม่สามารถทำตลาดสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ได้เหมือนในช่วงก่อนหน้านี้

เมื่อเป็นเช่นนั้น ทำให้ หัวเว่ย ยิ่งต้องพัฒนา และนำสินค้าที่มีคุณภาพเข้ามาเจาะกลุ่มผู้ใช้งานสมาร์ทโฟน ซึ่งไม่ใช่แค่ Android แต่รวมถึงผู้ใช้งาน iOS ที่กำลังมองหาหูฟังไร้สาย ราคาเข้าถึงได้ พร้อมประสิทธิภาพในการตัดเสียงรบกวน

Huawei FreeBuds 4i ถือเป็นรุ่นที่ต่อยอดจากปีก่อนหน้า ด้วยการปรับดีไซน์ให้เหมาะกับการใช้งานมากขึ้น เพิ่มคุณภาพเสียง และการตัดเสียงรบกวน รองรับการใช้งานในชีวิตประจำวันด้วย Awareness Mode รับเสียงรอบข้างขณะใส่ใช้งาน ในราคา 2,799 บาท

ข้อดี

  • หูฟังไร้สาย ตัดเสียงรบกวนคุณภาพดี
  • ดูสถานะ และปรับโหมดใช้งานผ่านแอป AI Life ได้
  • ราคา 2,799 บาท

ข้อสังเกต

  • กันน้ำ IPX4 แต่ไม่แนะนำให้โดนน้ำ
  • ตัวหูฟังขนาดค่อนข้างใหญ่ อาจไม่เหมาะกับคนที่หูเล็ก

ปรับดีไซน์ให้สวยงามขึ้น

หนึ่งในจุดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดเจนตั้งแต่แกะกล่องออกมาคือเคสของ FreeBuds 4i ที่ได้แรงบันดาลใจจากหินบนหาดทราย จนทำให้ออกมาเป็นเคสลักษณะกลม ช่วยให้หยิบจับ พกพาได้ง่ายขึ้น เมื่อเทียบกับรุ่นเดิมที่เป็นสีเหลี่ยม

ตัวเคสจะมีขนาด 48 x  61.8 x 27.5 มิลลิเมตร น้ำหนัก 36.5 กรัม วางจำหน่ายด้วยกันทั้งหมด 3 สี คือ แดง ขาว (Ceramic White) และ ดำ (Carbon Black) ภายในของ FreeBuds 4i ให้แบตเตอรีหูฟังข้างละ 55 mAh และในเคสชาร์จอีก 215 mAh 

รอบๆ ตัวเคสจะมีอยู่ 4 ส่วนหลักๆ คือบริเวณฝาเปิดเคส ถัดลงมาเป็นโลโก้ HUAWEI อยู่ตรงกึ่งกลาง มีไฟแสดงสถานะอยู่ข้างล่าง โดยจะบอกสถานะการเชื่อมต่อ แบตเตอรี ด้วยไฟสีต่างๆ อย่างเขียว ส้ม และขาว

การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ ที่ไม่ใช่สมาร์ทโฟนหัวเว่ย สามารถทำได้ด้วยการกดปุ่มที่ด้านข้างเคสค้างไว้ เพื่อเข้าสู่โหมด Pairing ซึ่งไฟจะเป็นสีขาวกระพริบ หลังจากทำการเชื่อมต่อก็สามารถใช้งานได้ทันที

ด้านล่างเคสจะเป็นพอร์ต USB-C สำหรับเสียบสายชาร์จ โดยภายในกล่องจะมีสาย USB Type A – USB-C มาให้ใช้งาน พร้อมกับจุกหูฟังขนาดใหญ่ และเล็กอีกอย่างละคู่ให้ปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม

ในส่วนของหูฟังไร้สาย จะมากับดีไซน์ยอดนิยม โดยเป็นหูฟังแบบ In-Ears ที่สามารถถอดเปลี่ยนจุกยางได้ ถัดเข้ามาเป็นส่วนขับเสียงที่ภายในมีไดรเวอร์ขนาด 10 มม. อยู่ช่วยให้เสียงที่มีคุณภาพเหมาะสมกับระดับราคาที่จ่ายไป

บริเวณก้านหูฟัง รองรับการสัมผัสสั่งงาน โดยสามารถแตะค้างเพื่อสลับโหมดตัดเสียงรบกวน และเปิดรับเสียงจากภายนอกได้ และยังสามารถใช้การแตะ 2 ครั้ง เพื่อเล่นเพลงหยุดเพลงได้

ใช้ง่าย ตัดเสียงดี

จุดเด่นของ FreeBuds 4i หลักๆ นอกจากการปรับดีไซน์ ให้สวมใส่ได้สบายขึ้น จากน้ำหนักของหูฟังข้างละประมาณ 5.5 กรัม ก็คือเรื่องของระบบตัดเสียงรบกวน (Active Noise Cancellation) ที่สามารถปรับโหมดการใช้งานด้วยการสัมผัสที่ก้านค้างไว้

เมื่อทดสอบใส่ใช้งาน ด้วยสัมผัสของจุกยางที่นุ่ม และเป็นแบบ In-Ears เมื่อเลือกสวมใส่ในขนาดที่เหมาะสมจะป้องกันเสียงรบกวนจากรอบข้างในระดับหนึ่งอยู่แล้ว เมื่อเปิดใช้งาน ANC เสียงรบกวนรอบข้างที่เป็น Noise ก็จะหายไป ช่วยให้ใช้สมาธิได้เต็มที่มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาที่เปิดระบบ ANC แต่ยังไม่ได้เปิดเพลงฟัง จะให้ความรู้สึกเหมือนกำลังดำน้ำอยู่ แต่พอเปิดเพลงก็จะหายไป ทั้งนี้ระบบตัดเสียงรบกวนของ FreeBuds 4i ก็ถือว่าอยู่ในระดับมาตรฐานเท่านั้น ไม่ได้ตัดเสียงรอบข้างหายไปทั้งหมด

ในกรณีที่ต้องมีการสนทนา หรืออยากเปิดรับฟังเสียงจากรอบข้าง FreeBuds 4i ยังมาพร้อมกับ Awareness Mode ให้แตะเพื่อสลับโหมดได้ทันที ทำให้จากเดิมต้องคอยถอดหูฟัง เพื่อฟังเสียงสนทนา ก็ใช้การแตะค้าง ช่วยให้ใช้งานได้ต่อเนื่อง

เทคโนโลยีที่มาช่วยให้ FreeBuds 4i สามารถตัดเสียงรบกวน และรับฟังเสียงจากรอบข้างได้ มาจากการนำ Dual-mic มาใช้ พร้อมดีไซน์แบบ Slit-duct ที่ช่วยลดเสียงรบกวนจากภายนอกเป็นพิเศษ รวมถึงการนำ Beamforming มาทำงานร่วมกับ AI ช่วยให้การสนทนาทำได้อย่างชัดเจน

อีกจุดที่ควรระมัดระวังคือในเรื่องของการกันน้ำกันฝุ่น แม้ว่าตัวเครื่องจะมีมาตรฐานกันน้ำ IPX4 แต่จากข้อมูลจากเว็บไซต์ของ หัวเว่ย ระบุชัดเจนว่า FreeBuds 4i ไม่ใช่อุปกรณ์กันน้ำโดยเฉพาะ ทำให้ไม่สามารถกันน้ำได้ ในกรณีที่โดนละอองน้ำให้รีบเช็ดออกทันที และไม่แนะนำให้ใช้งานระหว่างมือเปียกด้วย ดังนั้นถ้าใครที่ใช้ใส่ออกกำลังกายอาจจะต้องระมัดระวังเพิ่มเติมด้วย  

สำหรับแบตเตอรี หัวเว่ย ระบุว่า FreeBuds 4i สามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง 10 ชั่วโมงต่อการชาร์จ 1 ครั้ง เมื่อแบตหมด สามารถเสียบชาร์จ 10 นาทีกับเคสเพื่อใช้งานต่อเนื่องได้ 4 ชั่วโมง เมื่อรวมระยะเวลาชาร์จกับเคสจะใช้งานได้ทั้งหมด 22 ชั่วโมง

แน่นอนว่า ในการใช้งาน 10 ชั่วโมงนั้นจะเป็นการเล่นเพลงในโหมดปกติ ไม่ได้เปิดใช้งาน ANC ซึ่งถ้าเปิดใช้งาน ANC ต่อเนื่อง ระยะเวลาการใช้งานก็จะลดลงไปอีก เช่นเดียวกับการใช้โทรศัพท์ที่จะใช้พลังงานมากขึ้น

นอกจากนี้ ด้วยการที่ FreeBuds 4i ใช้การเชื่อมต่อผ่านบลูทูธ 5.2 ทำให้สามารถสลับการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ 2 ชนิด ได้สะดวกขึ้น ไม่ต้องคอยยกเลิกการเชื่อมต่อเครื่องเดิม แล้วไปเชื่อมต่อที่เครื่องใหม่ แต่ถ้าเป็นเครื่องที่ 3 ขึ้นไปต้องทำการ Disconnect เครื่องเดิมที่ใช้ก่อน

สำหรับผู้ใช้งานใน Android แนะนำให้ดาวน์โหลดแอป AI Life จากใน App Gallery มาใช้งานแทน เพราะจะเป็นเวอร์ชันที่ใหม่กว่าที่อยู่บน PlayStore โดยในช่วงที่ทดสอบ AI Life บน PlayStore ยังไม่รองรับการเชื่อมต่อกับ FreeBuds 4i

สรุป

ใครที่กำลังมองหาหูฟังไร้สายแบบ True Wireless ที่มาพร้อมระบบตัดเสียงรบกวน ANC มาใช้งาน เชื่อว่า Huawei FreeBuds 4i จะเป็นตัวเลือกในกลุ่มเริ่มต้นได้ไม่ยาก เพราะด้วยเทคโนโลยีที่นำเสนอมา เมื่อเทียบกับราคา 2,799 บาทแล้วถือว่าคุ้มค่าอย่างแน่นอน

แต่ถ้าใครที่ไม่ได้มีงบประมาณจำกัด แล้วอยากได้หูฟังไร้สายที่ซื้อครั้งเดียวใช้งานยาวๆ คุณภาพเสียงที่ครบและดีกว่า อาจจะต้องขยับขึ้นไปมองหาหูฟังไร้สายในกลุ่มระดับราคาเกิน 5,000 บาทขึ้นไป ซึ่งปัจจุบันเริ่มมีตัวเลือกมากขึ้นในตลาดแล้ว

Gallery

]]>
Review : Wiko Power U20 สมาร์ทโฟนจอใหญ่ แบตอึดในงบ 3,000 บาท https://cyberbiz.mgronline.com/review-wiko-power-u20/ Mon, 15 Mar 2021 09:50:56 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34933

การที่วีโก (Wiko) เน้นเจาะตลาดสมาร์ทโฟนราคาประหยัด ทำให้ที่ผ่านมาฐานลูกค้าหลักของ Wiko เป็นกลุ่มลูกค้าในต่างจังหวัดเป็นหลัก เนื่องจากถือเป็นผู้ใช้ที่มองหาสมาร์ทโฟนราคาประหยัด ที่สามารถใช้งานได้คุ้มค่า

Wiko Power U20 จึงกลายเป็นรุ่นเด่นในช่วงต้นปีนี้ ด้วยการนำสมาร์ทโฟนจอใหญ่ 6.8 นิ้ว แบตเตอรีใหญ่ 6,000 mAh เหมาะกับการใช้งานโซเขียล และดูวิดีโอสตรีมมิ่งที่ใช้งานได้ต่อเนื่องยาวๆ มาวางจำหน่ายในราคา 2,999 บาท 

อย่างไรก็ตาม ด้วยระดับราคาของเครื่องรุ่นนี้ ทำให้ขาดฟีเจอร์หลักๆ ในสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ ออกไปหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นการที่ตัวเครื่องรองรับการเชื่อมต่อ WiFi เฉพาะ 2.4 GHz พอร์ตเชื่อมต่อเป็น MicroUSB และไม่มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ เป็นต้น

ข้อดี

  • จอใหญ่ 6.8 นิ้ว
  • แบตเตอรี 6,000 mAh
  • ราคา 2,990 บาท

ข้อสังเกต

  • เหมาะกับการใช้งานโซเชียลมีเดียทั่วไปดูยูทูป
  • ประสิทธิภาพ CPU RAM ROM ตามระดับราคา
  • รองรับเฉพาะ WiFi 2.4 GHz

ตัวเลือกสมาร์ทโฟนราคาประหยัด

การที่กลุ่มเป้าหมายของ Wiko ที่ผ่านมา คือกลุ่มผู้ที่ต้องการสมาร์ทโฟนราคาประหยัด เน้นความคุ้มค่าในการใช้งานเป็นหลัก จึงส่งผลมาถึงจุดเด่นของเครื่องรุ่นนี้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการให้ขนาดหน้าจอใหญ่ แบตเตอรีที่เหมาะกับการใช้งานต่อเนื่อง เน้นการเชื่อมต่อผ่าน 3G/4G เป็นหลัก

ทำให้ Wiko Power U20 ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับการใช้งานทั่วๆไป ไม่ได้เน้นเรื่องของการเล่นเกม ที่ต้องใช้ประสิทธิภาพของตัวเครื่องแรงๆ แต่จะเหมาะกับใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กที่กลายเป็นปัจจัยหลักในการใช้งานอินเทอร์เน็ต เสริมด้วยกล้อง 3 เลนส์ให้สนุกกับการถ่ายภาพเพื่อแชร์บนโซเชียลด้วย

เริ่มกันที่หน้าจอของ Wiko Power U20 ขนาด 6.8 นิ้ว ในสัดส่วน 20.5:9 บนความละเอียด HD+ (1600 x 720 พิกเซล) พร้อมมีกระจก Panda Glass มาช่วยเสริมในเรื่องความแข็งแรง และมีกล้องหน้าแบบหยดน้ำความละเอียด 5 ล้านพิกเซล มาให้ใช้งานร่วมด้วย

ในส่วนของกล้องหลัง 3 เลนส์ ประกอบด้วยเลนส์หลัก 13 ล้านพิกเซล เลนส์เสริมวัดระยะชัดลึก (Bokeh) 2 ล้านพิกเซล และเลนส์ AI ที่เข้ามาช่วยวัดสภาพแสง และทำงานร่วมกับกล้องหลักเพื่อวิเคราะห์โหมดในการถ่ายภาพ

ตัวเครื่อง Wiko U20 Plus ยังมีความโดดเด่นในเรื่องเอฟเฟกต์ฝาหลังอย่างเครื่องที่ได้รับมาทดสอบคือสีน้ำเงิน Navy Blue ที่สะท้อนแสงตามมุมที่ตกกระทบ และมีรุ่นพิเศษสีเขียวมิ้นต์ ที่จะมาพร้อมตัวอักษรคำว่า Let’s Power Up เพิ่มมาด้วย

ขนาดของตัวเครื่อง Wiko U20 Plus อยู่ที่ 173.8 x 78.6 x 9.4 มิลลิเมตร น้ำหนัก 210 กรัม ภายในให้แบตเตอรีขนาด 6,000 mAh มา โดยทาง Wiko เคลมว่าสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องถึง 4 วัน ในลักษณะของการใช้งานทั่วไป แต่ถ้ามีการเปิดใช้งานตลอดเวลาระยะเวลาการใช้งานก็จะลดลง

รอบตัวเครื่องทางฝั่งซ้ายจะเป็นที่อยู่ของถาดซิมที่สามารถใส่ 2 นาโนซิมการ์ด และ ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มได้สูงสุด 256 GB ทางขวามีปุ่มเปิดปิดเครื่อง ปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเรียกใช้งาน Google Assistant 

ด้านบนจะมีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. มาให้ใช้งาน โดยมีหูฟังแถมมาให้ในกล่องด้วย และด้านล่างเป็นพอร์ตไมโครยูเอสดีสำหรับเสียบสายชาร์จ นั่นแปลว่าตัวเครื่องไม่รองรับการชาร์จเร็ว ทำให้ต้องใช้ระยะเวลาในการชาร์จแบตเตอรีขนาด 6,000 mAh ค่อนข้างนาน

สเปก และทดสอบประสิทธิภาพSub-Head2

ในแง่ของสเปกตัวเครื่อง Wiko U20 Plus มากับหน่วยประมวลผล MediaTek G35 ที่เป็น Octa Core 2.3 GHz ทำงานร่วมกับกราฟิก PowerVR GE8320 ให้ RAM 3 GB พื้นที่เก็บข้อมูล 32 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 11

ตัวเครื่องรองรับการเชื่อมต่อ 4G ที่ความเร็วสูงสุด 150/50 Mbps ส่วน WiFi รองรับเฉพาะ 2.4 GHz เท่านั้น ไม่ได้รองรับ WiFi 5 GHz ทำให้การเชื่อมต่อใช้งานจะมีข้อจำกัดพอสมควร ขณะที่บลูทูธให้มาเป็นเวอร์ชัน 4.2 รองรับวิทยุ FM ด้วย

สำหรับการทดสอบใช้งาน Wiko U20 Plus อย่างที่เกริ่นไปตั้งแต่ต้น ว่าตัวเครื่องเหมาะกับการนำไปใช้งานทั่วๆ ไปอย่างเล่นโซเชียลมีเดีย หรือใช้เปิดดู YouTube เป็นหลัก เนื่องจากประสิทธิภาพของตัวเครื่องก็ขึ้นอยู่กับราคาที่จ่ายไป

แต่จุดเด่นที่น่าสนใจของ Wiko U20 Plus ที่ลืมไม่ได้เลยคือขนาดของแบตเตอรีที่ให้มา 6,000 mAh ทำให้สามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง ทีมงานลองทดสอบใช้งานพบว่าสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 13 ชั่วโมง 38 นาทีสบายๆ แม้ว่าจะมีขนาดหน้าจอใหญ่ถึง 6.8 นิ้วก็ตาม

สรุป

Wiko U20 Plus น่าจะเหมาะสำหรับผู้ที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนราคาประหยัด เพราะด้วยราคาเปิดตัวที่ 2,990 บาท แต่ได้เครื่องขนาดหน้าจอ 6.8 นิ้ว แบตเตอรี 6,000 mAh มาใช้งานก็ถือว่าคุ้มค่า กับการใช้งานทั่วไป

เพียงแต่ว่าจะมีข้อจำกัดหลายๆ อย่างในการใช้งาน อย่างเรื่องของการเชื่อมต่อ WiFi 2.4 GHz เท่านั้น พื้นที่เก็บข้อมูลที่ให้มา 32 GB อาจจะไม่เพียงพอกับการใช้งานในระยะยาว ดังนั้นต้องหาไมโครเอสดีการ์ดมาใส่เพื่อเก็บข้อมูลเพิ่ม

Gallery

]]>
Review : Redmi Note 9T / Redmi 9T สานต่อรุ่นยอดนิยมรับ 5G – แบตฯใหญ่ https://cyberbiz.mgronline.com/review-redmi-note-9t-redmi-9t/ Tue, 12 Jan 2021 07:35:08 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34526

Redmi Note 9T และ Redmi 9T กลายเป็นสมาร์ทโฟน 2 รุ่นที่มาสร้างสีสันให้แก่ Xiaomi อย่างน่าสนใจในช่วงต้นปีนี้ โดย Redmi Note 9T มีความโดดเด่นที่เป็นสมาร์ทโฟนรองรับ 5G ราคาคุ้มที่สุดในเวลานี้ ส่วน Redmi 9T เน้นประสิทธิภาพคุ้มค่า คุ้มราคา

จุดเด่นหลักของ Redmi Note 9T อยู่ที่ชิปเซ็ตที่เลือกใช้งานเป็น MediaTek Dimensity 800U ที่รองรับการเชื่อมต่อ 5G มาพร้อมกล้องหลัก 48 ล้านพิกเซล แบตเตอรี 5,000 mAh ในราคาเริ่มต้น 6,999 บาท (Pre-Order 5,999 บาท)

ในขณะที่ Redmi 9T มากับ Snapdragon 662 ซึ่งรุ่นนี้จะรองรับเฉพาะ 4G เท่านั้น มาพร้อมกล้องหลัก 48 ล้านพิกเซล แบตเตอรี 6,000 mAh รองรับการใช้งานต่อเนื่อง บนหน้าจอขนาด 6.53 นิ้ว

โดยทั้ง 2 รุ่นได้เข้ามาจับตลาดในช่วงระดับราคา 4,499 – 7,499 บาท ของ Xiaomi ซึ่งเข้ามาแทนที่ตระกูล Redmi 9 เดิมที่ครองตำแหน่งสมาร์ทโฟนราคาประหยัด ได้อย่างน่าสนใจ

ข้อดี

  • Redmi Note 9T รองรับ 5G 2 ซิม พร้อมใช้งานในไทย
  • แบตฯ ใหญ่ 5,000 mAh / 6,000 mAh
  • เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ ที่ปุ่มเปิดเครื่อง
  • ราคาเข้าถึงได้

ข้อสังเกต

  • Redmi Note 9T ให้ RAM มาค่อนข้างน้อย (4 GB)
  • คุณภาพกล้องตามราคา / Note 9T ไม่มีเลนส์มุมกว้าง
  • หน้าจอค่อนข้างมืดเวลาใช้งานกลางแจ้ง

2 ตัวเลือกสมาร์ทโฟนราคาประหยัด

การวางราคาของ Redmi 9T และ Redmi Note 9T ของ Xiaomi ในคราวนี้ ถือว่าทำออกมาได้ค่อนข้างน่าสนใจ เพราะในการใช้งานทั่วไปของสมาร์ทโฟนทั้ง 2 รุ่น นั้นแทบไม่แตกต่างกันมาก เพียงแต่ในการเลือกซื้อควรดูตามรูปแบบการใช้งานด้วย

อย่างในรุ่น Redmi 9T ถ้าต้องการสมาร์ทโฟนที่มาใช้งานทั่วไป เล่นโซเชียลมีเดีย ฟังเพลง ดูหนังสตรีมมิ่ง รุ่นเริ่มต้นอย่าง RAM 4 GB ROM 64 GB ในราคา 4,499 บาท ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว

แต่ถ้าต้องการเล่นเกมด้วยแนะนำให้ขยับขึ้นมาเป็นรุ่น RAM 6 GB ROM 128 GB ในราคา 5,299 บาท จะรองรับการใช้งานได้หลากหลายกว่า และการใช้งานโดยรวมก็จะลื่นไหลมากยิ่งขึ้นด้วย

ในขณะที่ Redmi Note 9T นั้น จริงๆ แล้วเหมาะกับผู้ที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์ 5G เป็นหลัก เพื่อนำมาใช้งานในการดูหนัง ฟังเพลงที่ลื่นไหลเป็นหลัก ส่วนการเล่นเกมบน Redmi Note 9T ถ้าเป็นเกม FPS ทั่วๆ ไปปรับกลางๆ ยังพอเล่นได้ แต่ถ้าปรับสูงขึ้นมา หรือลองเล่น Genshin Impact ที่ค่อนข้างกินสเปก รุ่นนี้ไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่

ดังนั้น ในการเลือกซื้อควรคำนึงถึงเรื่องของแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตที่ใช้งานเป็นหลัก ถ้ามีความจำเป็นในการใช้งานโมบาย อินเทอร์เน็ต เพื่อใช้ทำงานตลอดเวลาและพร้อมที่จะสมัครแพ็กเกจ 5G ที่มีระดับราคาเดือนละ 699 บาท ขึ้นไป หรือ 1,199 บาท สำหรับเน็ตไม่จำกัด Redmi Note 9T เข้ามาตอบโจทย์แน่นอน

แต่ถ้าไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้งาน 5G ตัวเลือกอย่าง Redmi 9T รุ่น RAM 6 GB ROM 128 GB ก็เพียงพอกับการใช้งานแล้ว แต่แน่นอนว่าด้วยราคาเปิดจองของ Redmi Note 9T ที่เริ่มต้น 5,999 บาท และประสิทธิภาพโดยรวมสูงกว่า ย่อมทำให้ตัดสินใจเลือกได้ยากขึ้น

การออกแบบ Redmi 9T / Redmi Note 9T

ด้วยการที่ทั้ง 2 รุ่นอยู่ในซีรีส์ของ Redmi 9 เช่นเดียวกัน ทำให้ทั้ง 2 รุ่นมีขนาดหน้าจอเท่ากันที่ 6.53 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ ซึ่งมีความแตกต่างกันเล็กน้อยในเรื่องของตำแหน่งกล้องหน้า โดย Redmi 9T จะให้กล้องหน้าแบบหยดน้ำ ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ในขณะที่ Redmi Note 9T มากับกล้องหน้าแบบเจาะรู ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล

Redmi 9T เลือกใช้จอ Gorilla Glass 3 ให้ความสว่างหน้าจอสูงสุดที่ 400 nit ตัวเครื่องขนาด 162.3 x 77.3 x 9.6 มิลลิเมตร น้ำหนัก 198 กรัม มีให้เลือกด้วยกัน 4 สี คือ เทา Carbon Gray, น้ำเงิน Twilight Blue, ส้ม Sunrise Orange และเขียว Ocean Green

ด้านหลังของเครื่อง Redmi 9T เลือกใช้วัสดุเป็นพลาสติกแบบด้านช่วยป้องกันรอยนิ้วมือ อย่างในภาพคือรุ่นสีส้ม จะมีการสกรีนตัวอักษร Redmi ขนาดใหญ่เป็นลวดลายไว้ที่ฝาหลังด้วย

กล้องหลักของ Redmi 9T เลือกใช้แบบ 4 เลนส์ โดยมีกล้องหลัก 48 ล้านพิกเซล f/1.79 มาให้ใช้งาน ร่วมกับเลนส์มุมกว้าง 8 ล้านพิกเซล มุมมอง 120 องศา f/2.2 เลนส์ มาโคร 2 ล้านพิกเซล f/2.4 และเลนส์สุดท้ายใช้ในการวัดระยะ 2 ล้านพิกเซล ภายในให้แบตเตอรีขนาด 6,000 mAh

ส่วนรอบตัวเครื่องทางฝั่งขวาเป็นปุ่มปรับระดับเสียง ปุ่มเปิดเครื่อง พร้อมเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ ด้านซ้ายมีช่องใส่ถาดซิมที่สามารถใช้งาน 2 นาโนซิม พร้อมกับไมโครเอสดีการ์ดได้สูงสุด 512 GB

ด้านบนมีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. ช่องลำโพง และเซ็นเซอร์อินฟาเรต ด้านล่างเป็นพอร์ต USB-C  พร้อมไมโครโฟน และลำโพงเช่นเดียวกัน โดยรุ่นนี้รองรับการชาร์จเร็ว 18W โดยมีอะเดปเตอร์ 22.5W มาให้ในกล่อง

ขณะที่ Redmi Note 9T เลือกใช้จอ Gorilla Glass 5 ให้ความสว่างสูงสุดที่ 450 nit ขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 161.95 x 77.25 x 9.05 มิลลิเมตร น้ำหนัก 199 กรัม มีให้เลือก 2 สี คือ ดำ Nightfall Black และ ม่วง Daybreak Purple

ด้านหลัง Redmi Note 9T จะมีเอกลักษณ์ที่ชัดเจนในส่วนของกล้องที่จัดเรียงโมดูลทรงกลมอยู่ตรงกลาง กับกล้อง 3 เลนส์ เมื่อรวมกับไฟแฟลชเป็น 4 รูพอดี ภายในเป็นกล้องหลัก 48 ล้านพิกเซล f/1.79 ตามด้วยเลนส์มาโคร 2 ล้านพิกเซล f/1.75 และเลนส์วัดระยะชัดลึก 2 ล้านพิกเซล จะสังเกตได้ว่ารุ่นนี้ไม่มีเลนส์มุมกว้างมาด้วย ภายในให้แบตเตอรีมาขนาด 5,000 mAh

รอบตัวเครื่องทางฝั่งซ้ายจะเป็นปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิดเครื่องที่มาพร้อมเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ ทางฝั่งขวาเป็นถาดซิมแบบ 2 นาโนซิม และใส่ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มเติมเช่นกัน

ด้านบนตัวเครื่องมีเซ็นเซอร์อินฟาเรตมาให้ใช้งานควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้า พร้อมไมโครโฟน และลำโพง ด้านล่างมีพอร์ต USB-C ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ลำโพง และไมโครโฟนสนทนา รองรับการชาร์จเร็ว 18W เช่นเดียวกัน

สำหรับสเปกของ Redmi 9T มากับหน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon 662 ที่เป็น Octa-Core 2 GHz สถาปัตยกรรม 11 นาโนเมตร GPU Adreno 610 RAM 4 GB ROM 64/128GB รองรับการเชื่อมต่อ WiFi 5 บลูทูธ 5.0 รุ่นที่วางจำหน่ายในไทยไม่รองรับ NFC

ส่วน Redmi Note 9T มากับหน่วยประมวลผล MediaTek 800U บนสถานปัตยกรรมแบบ 7 นาโนเมตร Octa-Core 2.4 GHz GPU Mali-G57 RAM 4 GB ROM 64/128 GB รองรับ WiFi 5 บลูทูธ 5.1 NFC

ทื่สำคัญคือ Redmi Note 9T รองรับการเชื่อมต่อ 5G แบบ 2 ซิม สแตนบาย คือสามารถสลับใช้งานซิมที่ใช้งาน 5G ได้ทันที โดยไม่ต้องรีสตาร์ทเครื่องเพื่อสลับช่องซิมแต่อย่างใด

Redmi Note 9T กับอินเทอร์เน็ตไร้สายพร้อมใช้

ด้วยการที่จุดเด่นของ Redmi Note 9T ใครที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนที่จะมาปล่อยสัญญาณ 5G ให้ดีไวซ์อื่นๆ อย่างโน้ตบุ๊ก หรือคอมพิวเตอร์ใช้งาน ในช่วงที่ต้องทำงานจากที่บ้าน หรือคอนโด สมาร์ทโฟนรุ่นนี้ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างแน่นอน

โดยความน่าสนใจของ Redmi Note 9T คือมากับ WiFi แบบ 4×4 กล่าวคือสามารถใช้ในการปล่อยสัญญาณ WiFi บนคลื่น 5 GHz ได้ ทำให้ได้ความเร็วในการเชื่อมต่อ 5G ไปยังอุปกรณ์ที่รองรับได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ไม่มีคอขวดในการปล่อย HotSpot ใช้งาน

รวมถึงในกรณีที่ต้องการเชื่อมต่อกับ WiFi ตามที่สาธารณะที่มีล็อกอินเดียว ก็สามารถใช้ Redmi Note 9T ปล่อยแชร์อินเทอร์เน็ตด้วยสัญญาณ WiFi ไปได้พร้อมๆ กันด้วย ทำให้รองรับการใช้งานที่หลากหลายขึ้น

แน่นอนว่าด้วยราคาจำหน่ายในช่วงพรีออเดอร์ที่ 5,999 บาท ยิ่งทำให้ Redmi Note 9T น่าสนใจมากยิ่งขึ้น เพราะสามารถนำมาใช้แทนที่ 5G CPE ที่มีราคาสูงได้ด้วย ดังนั้นใครที่กำลังมองหาอุปกรณ์กระจายสัญญาณ 5G ใช้งานรุ่นนี้รองรับสบายๆ

ประสบการณ์ใช้งาน

ทั้ง Redmi 9T และ Redmi Note 9T ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่ตอบโจทย์การใช้งานทั่วไปได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์ก ดูหนัง ฟังเพลงต่างๆ เพราะให้แบตเตอรีมาขนาด 5,000 – 6,000 mAh ทำให้รองรับการใช้งานได้ต่อเนื่อง

ในแง่ของการตอบสนองการใช้งาน ถ้าเป็นการใช้งานทั่วไป ถือว่า MIUI 12 ที่ออกแบบมาให้ใช้งานบน Android 10 นั้นลื่นไหลดี เมื่อเทียบกับระดับราคาเครื่องที่อยู่ราว 4,500 – 7,500 บาท

แต่ถ้ามองถึงดีไวซ์ที่จะมาใช้เล่นเกมลื่นๆ อาจจะต้องมองข้ามทั้ง 2 รุ่นนี้ไปแล้วมองหารุ่นพี่อย่าง Mi 10T ในระดับราคาหมื่นบาทขึ้นไปแทน จะตอบโจทย์การเล่นเกมได้มากกว่าอย่างชัดเจน

ในส่วนของกล้อง ต้องยอมรับว่าด้วยระดับราคาของเครื่อง คุณภาพที่ได้จากการถ่ายภาพเลนส์ 48 ล้านพิกเซล ในสภาพแสงปกตินั้น ถือว่าอยู่ในระดับที่รับได้ แต่กลับกันการถ่ายภาพในที่แสงน้อยเป็นวุ้นๆ ค่อนข้างเยอะ ทำให้ในภาพรวมถือว่ากล้องที่ได้ตามราคาที่จ่ายไป

อีกจุดที่น่าเสียดายไม่น้อยเลยคือการที่ Redmi ทั้ง 2 เครื่องมีการพรีโหลดแอปพลิเคชันที่ไม่จำเป็นมาให้ด้วย รวมถึงการฝังโฆษณามาในแอปพลิเคชันต่างๆ ดังนั้น หลังจากเปิดใช้งานเครื่องแล้ว ถ้ามีแอปพลิเคชันไหนที่คิดว่าไม่ได้ใช้งานแน่ๆ ก็สามารถลบแอปฯ ที่พรีโหลดมาให้ช่วยเพิ่มพื้นที่ว่างในเครื่องได้ด้วย

ทดสอบประสิทธิภาพ

Redmi Note 9T

Redmi 9T

ส่วนของการทดสอบประสิทธิภาพ จะเห็นว่า Redmi 9T ถือว่าทำคะแนนออกมาได้อยู่ในระดับกลางๆ ในขณะที่ Redmi Note 9T ตัวเครื่องแรงกว่าอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งานเป็นหลักมากกว่า

อย่างไรก็ตาม เมื่อทดสอบในแง่ของแบตเตอรรี Redmi 9T ที่มากับแบตเตอรีขนาด 6,000 mAh นั้นใช้งานได้แบบเปิดจอตลอดกว่า 12 ชั่วโมงครึ่ง และแบตเตอรียังเหลืออีก 20% ในขณะที่ Redmi Note 9T ใช้งานได้ต่อเนื่องเกือบๆ 9 ชั่วโมง

ดังนั้น ถ้าต้องการสมาร์ทโฟนแบตอึด ใช้งานได้ยาวๆ เปิดหนัง ฟังเพลง Redmi 9T สามารถใช้งานได้ตลอดวัน ส่วน Redmi Note 9T แม้ว่าจะใช้งานต่อเนื่องได้น้อยกว่า แต่ก็แลกมากับการเชื่อมต่อ 5G ที่ได้ความเร็วในการใช้งานเร็วขึ้นด้วย

สรุป

Redmi 9T และ Redmi Note 9T ถือว่าเข้ามาสานต่อความสำเร็จของซีรีส์ Redmi 9 ที่ขายไปแล้วมากกว่า 20 ล้านเครื่องได้อย่างน่าสนใจ โดยจุดเด่นหลักของ Redmi 9T คือเรื่องของแบตเตอรี ในขณะที่ Redmi Note 9T จะเน้นการเชื่อมต่อ 5G

ดังนั้นใครที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนราคาเข้าถึงได้ในช่วง 4,500 – 7,500 บาท ลองดูทั้ง 2 รุ่นนี้เป็นตัวเลือกได้ เพราะในการใช้งานทั่วๆ ไป เพียงพอกับการใช้งานแน่นอน แต่ถ้ามีงบประมาณในระดับหมื่นบาท Mi 10T ยังเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสุดของ Xiaomi ในเวลานี้

  • Redmi Note 9T ขนาด 4 GB + 64 GB ราคาพิเศษ 5,999 บาท จากราคาปกติ 6,999 บาท เลือกซื้อได้ที่ลิงก์ https://bit.ly/38eS2xu
  • Redmi Note 9T ขนาด 4 GB + 128 GB ราคาพิเศษ 6,599 บาท จากราคาปกติ 7,499 บาท เลือกซื้อได้ที่ลิงก์ http://bit.ly/3ngkjYP
  • Redmi 9T ขนาดความจุ 4 GB + 64 GB ราคา 4,499 บาท วางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2564
  • Redmi 9T ขนาดความจุ 6GB + 12 GB ราคา 5,299 บาท วางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม 2564

Gallery

]]>