รีวิว แอปเปิล วอทช์ – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Tue, 30 Oct 2018 19:05:36 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : Apple Watch Series 4 ยกระดับสมาร์ทวอทช์สู่นาฬิกาเพื่อสุขภาพ https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-watch-series-4/ Tue, 30 Oct 2018 09:17:38 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=29627

การยกระดับจากนาฬิกาอัจฉริยะ เป็นนาฬิกาเพื่อสุขภาพ กลายเป็นจุดเด่นสำคัญของ Apple Watch 4 ที่ถูกปรับปรุงขึ้นเพิ่มเติมจากในรุ่นก่อนหน้า ด้วยการเพิ่มความสามารถในการตรวจจับการล้มของผู้สูงอายุ การเพิ่มเซ็นเซอร์ที่ช่วยในการตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (เปิดให้ใช้งานในอนาคต) ถือเป็น 2 เรื่องใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้น

แต่จริงๆ แล้ว Apple Watch 4 ได้มีการเพิ่มทั้งประสิทธิภาพภายใน รวมถึงปรับเปลี่ยนดีไซน์เป็นครั้งแรกตั้งแต่ออกวางจำหน่ายมา ทำให้หน้าจอแสดงผลใหญ่ขึ้น ตัวเรือนบางลง และเพิ่ม Haptic เวลาหมุนเม็ดมะยม (Digital Crown) เพื่อให้ความรู้สึกเหมือนใช้นาฬิกาแอนาล็อกหรูๆ

ข้อดี

ขนาดหน้าจอใหญ่ขึ้น เสียงดังขึ้น
รุ่น Cellular รองรับการใช้งานหลายๆ อย่างโดยไม่ต้องใช้คู่กับ iPhone
แม้จะมีการปรับขนาดตัวเรือน แต่ยังใช้งานร่วมกับสายเดิมที่มีได้

ข้อสังเกต

ต้องชาร์จทุกวันเหมือนเดิม
ราคาค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับสมาร์ทวอทช์แบรนด์อื่นๆ

สิ่งที่ปรับปรุงขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า

Apple Watch 4 คู่กับ Apple Watch 3

ในแง่ของตัวเรือน Watch 4 จะเปลี่ยนมาใช้การเรียกขนาดตัวเรือนเป็น 40 มม. (แทนที่ 38 มม. เดิม) และ 44 มม. แทนที่รุ่น 42 มม. เดิม โดยผู้ใช้ยังสามารถใช้งานคู่กับสายขนาดเดิมได้ เมื่อตัวเรือนมีขนาดใหญ่ขึ้น จุดที่เพิ่มขึ้นมาก็คือหน้าจอแสดงผลที่ใหญ่กว่ารุ่นเดิม 30% จากการปรับในส่วนมุมให้โค้งรับกับตัวเรือน

ซ้าย Watch 4 ขวา Watch 3

 

ถัดมาคือตัวเรื่องบางลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ Watch 3 จากเดิมที่รุ่น 38 มม. มีขนาดอยู่ที่ 38.6 x 33.3 x 11.4 มิลลิเมตร น้ำหนัก 28.7 กรัม พอเป็นรุ่น 40 มม. ขนาดจะอยู่ที่ 39.8. x 34.4 x 10.7 มิลลิเมตร น้ำหนัก 30.1 กรัม

ส่วนรุ่น 42 มม. เดิมอยู่ที่ 42.5 x 36.4 x 11.4 มิลลิเมตร นำ้หนัก 34.9 กรัม ก็เพิ่มเป็น 44 x x37.8 x 10.7 มิลลิเมตร น้ำหนัก 36.7 กรัม โดยจอภาพที่ใช้ใน Watch 4 จะเปลี่ยนเป็น LTPO OLED Retina หรือ Low-Temperature Polycrystaline Oxide ที่ให้ความสว่างสูงสุด 1000 นิต มีการเคลื่อบสารกันรอยนิ้วมือมาให้ด้วย

นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงในเรื่องของคุณภาพเสียง ด้วยการย้ายลำโพงมาไว้ทางด้านซ้าย และปรับไมโครโฟนไปอยู่ทางด้านขวา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเสียงรบกวนขณะสนทนา และช่วยทำให้ลำโพงดังขึ้นกว่าเดิมถึง 50%

เช่นเดียวกับบริเวณเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจด้านหลังตัวเรือน ที่เพิ่มพื้นที่ผลึกแซฟไฟร์มาช่วยให้ตรวจจับการเต้นของหัวใจได้แม่นยำมากขึ้น ไม่นับรวมกับบริเวณปุ่มเม็ดมะยมที่จะปล่อยคลื่นไฟฟ้าออกมาช่วยวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ที่จะเปิดให้ใช้งานในภายหลัง)

รวมๆ แล้วจะเห็นได้ว่าตัวเรือนจะเน้นการปรับปรุงให้หน้าจอมีขนาดใหญ่ขึ้น และบางลงเล็กน้อย ซึ่งการที่หน้าจอใหญ่ขึ้น ก็ช่วยให้สามารถใช้งานแอปบนนาฬิกาได้สะดวกขึ้น ทั้งการอ่านข้อมูลการแจ้งเตือน อ่านข้อความ ดูตารางนัดหมายต่างๆ โดยไม่จำเป็นต้องเปิดใช้งาน iPhone

ฟีเจอร์ใหม่ที่มากับ Watch Series 4

ในส่วนของฟีเจอร์ใหม่ที่มากับ Watch 4 หลักๆ แล้วจะมีด้วยกัน 2 อย่างด้วยกัน คือ เรื่องของการแจ้งเตือนการล้ม เนื่องจากภายใน Watch 4 มีการเพิ่มเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว ที่แม่นยำขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการตกจากที่สูง

ส่งผลให้ตัวนาฬิกา จะมีโหมดการแจ้งเตือนฉุกเฉิน (SOS) เพิ่มเข้ามา ในกรณีที่ผู้สวมใส่ลื่นล้ม หรือหมดสติ ล้มลงกับพื้น แล้วไม่มีการตอบสนอง ตัวนาฬิกาจะติดต่อไปยังตำรวจ และส่งข้อมูลให้บุคคลใกล้ชิด (ที่ลงทะเบียนไว้) โดยจะส่ง SMS ขอความช่วยเหลือ พร้อมพิกัดสถานที่ไปให้ทันที

อย่างไรก็ตาม แอปเปิล ระบุว่า ฟีเจอร์นี้จะเหมาะกับการใช้งานสำหรับผู้สูงอายุ ที่มีปัญหาทางด้านสุขภาพ โดยระบบจะทำการเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้อัตโนมัติในกรณีที่มีอายุเกิน 65 ปีขึ้นไป ส่วนถ้าอายุไม่ถึงแล้วอยากเปิดใช้งานก็สามารถเข้าไปตั้งค่าได้จากแอปพลิเคชัน Watch บน iPhone

ถัดมาก็คือฟีเจอร์อย่างการวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ด้วยการที่ Watch 4 มีการเพิ่มเซ็นเซอร์วัดคลื่นหัวใจแบบไฟฟ้ามาที่บริเวณปุ่มเม็ดมะยม ทำให้เมื่อใช้งานร่วมกับเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นหัวใจเดิม ก็จะแสดงผลออกมาเป็นค่า ECG หรือ EKG ได้ทันที รวมถึงการแจ้งเตือนการเต้นหัวใจเบาลง ที่เมื่อก่อนจะมีการแจ้งเตือนเฉพาะหัวใจเต้นแรงเกินไป

ทั้งนี้ ฟีเจอร์วัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจจะเริ่มเปิดให้ใช้งานภายในปีนี้ที่สหรัฐอเมริกาก่อน หลังจากนั้นจึงจะทยอยเปิดให้ใช้งานในประเทศอื่นๆต่อไป เนื่องจากเมื่อเป็นอุปกรณ์ที่ถูกนำไปใช้งานทางการแพทย์จะต้องมีการขออนุญาติในการเปิดใช้งานเพิ่มเติมตามแต่ละหน่วยงาน

 

ที่เหลือก็จะเป็นการปรับปรุงในส่วนของประสิทธิภาพตัวเครื่องให้ทำงานได้เร็วขึ้น จากชิป S4 ที่หันมาใช้ซีพียูแบบ Dual-Core 64 บิต พร้อมกับจีพียูใหม่ ทำให้ตอบสนองการใช้งานได้รวดเร็วขึ้น และประหยัดแบตเตอรีมากขึ้น โดยแอปเปิลระบุว่า Watch 4 สามารถใช้งานต่อเนื่อง 18 ชั่วโมง และใช้วัดการออกกำลังได้ 6 ชั่วโมง

ส่วนการเชื่อมต่อก็พัฒนามาใช้ชิปเซ็ต W3 ที่รองรับการเชื่อมต่อบลูทูธ 5.0 ทำให้นอกจากใช้เชื่อมต่อกับหูฟังแล้ว Apple Watch 4 ยังสามารถใช้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ และเซ็นเซอร์ทางการแพทย์อย่างเครื่องตรวจระดับน้ำตาลภายในเลือด หรืออุปกรณ์อื่นๆ เพื่อส่งข้อมูลมาบันทึกเก็บไว้ได้

ใช้งานคู่กับ watchOS 5

ก่อนหน้านี้แอปเปิล เริ่มมีการอัปเดตให้ผู้ใช้งาน Apple Watch สามารถใช้งาน watchOS 5 ได้แล้ว แต่ใน Watch 4 จะมีจุดที่ใช้งานได้เพิ่มเติมขึ้นมาบางอย่าง เช่นในส่วนของหน้าปัดนาฬิกา Infograph ที่มีให้ใช้งานเฉพาะรุ่นนี้

โดยที่หน้าปัดนาฬิกาผู้ใช้จะสามารถเลือกได้ทั้งสีของหน้าปัด พร้อมกับวิตเจ็ตแสดงผลอีก 8 จุด ประกอบไปด้วยมุมซ้ายบน ขวาบน ซ้ายล่าง ขวาล่าง และตรงกลางหน้าปัดอีก 4 จุด จากเดิมในรุ่น Watch 3 จะเลือกได้เพียง 4 จุดเท่านั้น

สำหรับวิตเจ็ตใหม่ที่มีการนำเสนอเพิ่มขึ้นมาก็จะมีอย่างการแสดงระดับรังสี UV และระบบวอล์คกี้ทอล์คกี้ ที่เพิ่งเปิดให้ใช้งานบน watchOS 5 ทำให้ผู้ใช้สามารถสื่อสารกับผู้ใช้งาน Apple Watch ด้วยกัน โดยไม่จำเป็นต้องใช้งานไอโฟน

ประกอบกับถ้าใช้งาน Watch 4 GPS+Cellular ก็สามารถใช้งานร่วมกับระบบ eSIM ที่ปัจจุบันโอเปอเรเตอร์ในไทยเปิดให้บริการอยู่แล้ว ซึ่งถ้าไม่เคยใช้งานมาก่อนก็จะได้สิทธิใช้งานฟรี 3-12 เดือน ขึ้นอยู่กับแพกเกจหลักที่ใช้งาน ถ้าครบแล้วก็จะมีค่าใช้จ่ายเดือนละ 199 บาท

การลงทะเบียร eSIM สามารถทำได้ด้วยตัวเอง เมื่อเชื่อมต่อ Watch Series 4 Cellular เข้ากับ iPhone ก็จะสามารถผูกเบอร์ที่ใช้งานเข้าไปด้วยการใส่หมายเลขบัตรประชาชน แล้วกดยืนยัน ก็จะมีข้อเสนอจากโอเปอเรเตอร์มาให้ดู และกดสมัครได้เลย

ส่วนที่มีการอัปเดตเพิ่มเติมใน watch OS 5 ก็จะมีเรื่องของการทำกิจกรรมแข่งขันกับเพื่อนๆ เพื่อท้าทายให้ออกกำลังกายมากยิ่งขึ้น มีโปรแกรมการออกกำลังกายที่เพิ่มโยคะ และการปีนเขาเพิ่มขึ้นมา รวมถึงการตรวจจับการออกกำลังกายอัตโนมัติด้วย

เช่นเดียวกับการทำงานของ Siri ที่ผู้ใช้สามารถยกนาฬิกาขึ้นมาแล้วสั่งงานได้ทันที ไม่ต้องกดปุ่มเม็ดมะยมค้างเพื่อสั่งงานอีกต่อไป ยังมีพอดคาสต์ที่สามารถดาวน์โหลดมาเก็บไว้ฟังบน Watch ได้ทันที และระบบจะทำการซิงค์กับข้อมูลบน iPhone เพื่อให้สามารถฟังได้ต่อเนื่องจากที่ฟังค้างไว้

รุ่น และราคาจำหน่าย

สำหรับ Apple Watch 4 จะมีวางจำหน่ายด้วยกันในประเทศไทย 3 รุ่นหลักๆ 5 รุ่นย่อย ประกอบไปด้วย 1.Apple Watch 4 GPS และ Watch 4 GPS+Cellular ภายในก็จะมีให้เลือกอีกว่าเป็นตัวเรือนขนาด 40 มม. หรือ 42 มม. ที่ใช้อะลูมิเนียม หรือสแตนเลสสตีล

ตามมาด้วย 2.Apple Watch 4 Nike ที่นำมาแกะกล่องให้ชมกัน ที่จะแยกรุ่น GPS และ GPS + Cellular ในราคาเร่ิมต้นที่เท่ากัน และ 3.Apple Watch Hermes ที่มีให้เลือกเฉพาะรุ่น GPS + Cellular ซึ่งเป็นครั้งแรกที่นำรุ่นดังกล่าวเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยด้วย

ทั้งนี้ ในส่วนของราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ 14,400 บาท สำหรับรุ่น 40 มม. GPS ส่วน Watch 4 GPS+Cellular ที่ทางค่ายมือถือเริ่มเปิดให้จองประกาศราคาเริ่มต้นรุ่น 40 มม. อยู่ที่ 17,900 บาท และ 42 มม. อยู่ที่ 18,900 บาท

กลายเป็นนาฬิกาเพื่อสุขภาพ

จะเห็นได้ว่า การพัฒนาหลักๆของ Watch 4 จะเน้นไปที่เรื่องของสุขภาพเป็นหลัก ทั้งการทำงานของนาฬิกาอย่างเดียว ไปจนถึงการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ ที่เริ่มมีผู้ผลิตหลายรายให้ความสนใจเชื่อมต่อกับระบบ Health ของทางแอปเปิลมากยิ่งขึ้น ตามเทรนด์เรื่องของสุขภาพที่เกิดขึ้นในเวลานี้

เพราะฟังก์ชันการใช้งานนาฬิกาอัจฉริยะต่างๆ ถูกคิดค้นและพัฒนามาจนอยู่ตัวแล้ว ก้าวต่อไปจึงอยู่ที่การช่วยให้ผู้ใช้งานได้มีสุขภาพที่ดีขึ้นแทน และกลายเป็นตลาดที่ใหญ่ขึ้นมากกว่าเดิมด้วย โดยเฉพาะในกลุ่มของผู้สูงอายุ ที่ Apple Watch 4 จะกลายเป็นของขวัญที่มีค่า และได้ใช้งานจริง

Gallery

]]>
Review : Apple Watch 3 GPS+Cellular ลืมโทรศัพท์ก็ไม่พลาดการสื่อสาร https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-watch-3-cellular/ Thu, 05 Apr 2018 00:30:08 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=28322

รอมานานหลังจากที่ Apple เปิดตัว Apple Watch Series 3 ออกมาในช่วงเดือนกันยายน และนำรุ่น Apple Watch Series 3 GPS เข้ามาทำตลาดก่อน เพื่อรอให้โอเปอเรเตอร์ในไทยรองรับการให้บริการ eSIM จนเมื่อถึงเวลาที่ทรูมูฟ เอช พร้อมให้บริการ Apple Watch 3 GPS + Cellular ก็ได้ฤกษ์วางจำหน่ายในประเทศไทย

ก่อนหน้านี้ ทีมงานเคยรีวิว Apple Watch Series 3 ไปแล้ว สามารถกดย้อนกลับไปอ่านได้ที่ https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-watch3/ ดังนั้น ในรีวิวคราวนี้ จึงเน้นไปที่ความแตกต่างระหว่างรุ่น GPS และรุ่น Apple Watch Series 3  GPS+Cellular แทน

โดยเมื่อมองรวมๆ แล้ว Apple Watch Series 3  GPS+Cellular จะเหมาะกับผู้ใช้งานที่การสื่อสารเป็นสิ่งสำคัญกับการใช้ชีวิต เมื่อใช้งานรุ่นนี้ก็จะไม่พลาดการสื่อสารสำคัญๆ อย่างโทรศัพท์ หรือการแจ้งเตือนต่างๆ แม้อยู่ในช่วงที่ไม่ได้พกไอโฟนติดตัว

ดังนั้น ถ้าจะให้เจาะจงลงไป ก็อาจจะเน้นกลุ่มผู้ใช้งานที่ชอบออกกำลังกาย และไม่ต้องการพกสมาร์ทโฟนติดตัวไปด้วย หรือมองว่าบางทีควรใช้ชีวิตให้ห่างจากโทรศัพท์เสียบ้าง แต่ก็ยังไม่พลาดการติดต่อสื่อสารในเหตุการณ์สำคัญๆ

ข้อดี

สามารถใช้โทรศัพท์ได้โดยไม่ต้องพึ่งพา iPhone

ใช้ Apple Music และวิทยุได้ ขณะออกกำลังกาย

รองรับระบบนำทาง แม้ไม่ได้เชื่อมต่อกับ iPhone

ข้อสังเกต

แบตเตอรีใช้งานได้สั้นลงเมื่อเทียบกับรุ่น GPS ปกติ

– แอปค่ายอื่นที่รองรับยังจำกัดอยู่

– ค่าบริการ 4G eSIM เริ่มที่เดือนละ 199 บาท (หลังหมดโปรโมชัน)

จุดต่างของ Apple Watch Series 3 GPS+Cellular

ในแง่ของความต่างด้านการออกแบบ Watch 3 GPS+Cellular จะมีจุดสังเกตหลักๆ เลยคือบริเวณปุ่มเม็ดมะยมจะเป็นสีแดง เหมือนกับในรุ่นพิเศษ ในขณะที่การควบคุม และการใช้งานต่างๆแทบเหมือนกันทั้งหมด

แต่ถ้ามาดูที่หน้าจอแสดงผล Apple Watch 3 GPS+Cellular เมื่อไม่ได้ทำการเชื่อมต่อกับ iPhone ตัวหน้าปัดจะมีการแสดงผลสัญญาณโทรศัพท์ขึ้นอยู่ (ขึ้นอยู่กับหน้าปัดที่เลือกใช้) รวมถึงในแถบควบคุมจะมีปุ่ม Cellular เพิ่มเข้ามา

โดยเมื่ออยู่ในโหมดที่เชื่อมต่อ Cellular (ไม่ได้อยู่ใกล้เคียง iPhone และไม่ได้เชื่อมต่อ WiFi) คุณสมบัติต่างๆของ Apple Watch ก็ยังทำงานได้ปกติ ไม่ว่าจะเป็นการรับการแจ้งเตือนเช่นเดียวกับบน iPhone เครื่องที่ทำการเชื่อมต่อไว้

นอกจากนี้ ยังสามารถสั่งงานด้วย Siri เพื่อเล่นเพลง หรือเพลยลิสต์ใน Apple Music หรือเลือกเปิดวิทยุฟังได้ทันที ย้ำว่าโดยไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับ iPhone เพียงแต่ต้องเชื่อมต่อกับหูฟังบลูทูธ หรือลำโพงบลูทูธแทน

ดังนั้น ถ้าคิดภาพตามว่าจากเดิมเวลาไปออกกำลังกาย อย่างการวิ่ง ปั่นจักรยาน หรือเล่นฟิตเนส จากเดิมที่ต้องพก iPhone ติดตัวไปด้วย คราวนี้ก็สามารถวาง iPhone ไว้ในล็อกเกอร์ หรือเก็บไว้ในรถ แต่ก็ยังสามารถฟังเพลง พร้อมเก็บข้อมูลการออกกำลังไปได้

เช่นเดียวกับในแง่ของการใช้เป็นโทรศัพท์ จากเดิมที่ผู้ใช้จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับ iPhone เพื่อให้สามารถโทรออก หรือรับสายได้ แต่พอมาเป็นรุ่น GPS+Cellular ผู้ใช้ก็สามารถสั่ง Siri ให้โทรออก หรือจะกดเลือกจากรายชื่อได้ทันที ช่วยให้ไม่พลาดการติดต่อสื่อสารสำคัญๆ

รวมถึงการใช้ Apple Maps นำทาง ที่ตัวเรือนจะดึงความสามารถของทั้งระบบ GPS ที่ติดตั้งมา เชื่อมเข้ากับการดึงข้อมูลของ Apple Maps จากอินเทอร์เน็ต ทำให้แม้ไม่มีโทรศัพท์ติดตัวก็สามารถใช้นำทางได้

ทั้งนี้ เมื่อเข้าไปดูภายในแอป Watch ก็จะเห็นหัวข้อ Cellular เพิ่มเข้ามา เพื่อแสดงรายละเอียดการใช้งานอินเทอร์เน็ต ว่าแอปใดใช้งานอินเทอร์เน็ตไปปริมาณเท่าใด และยังสามารถเข้าไปบริหารจัดการการเชื่อมต่อ และยกเลิกซิมเสริมได้ด้วย

Gallery

การตั้งค่าใช้งาน 4G eSIM

หัวใจสำคัญของการที่ทำให้ Apple Watch 3 GPS+Cellular ทำงานได้เหมือนใส่มัลติซิมการ์ดเข้าไปในตัวเรือน เพื่อให้ใช้งานเป็นโทรศัพท์ได้เลยก็คือเทคโนโลยี 4G eSIM ที่จะทำการผูกเลขหมายโทรศัพท์ที่ใช้งาน เข้ากับ Apple Watch

วิธีการตั้งค่าให้ Apple Watch รองรับการใช้งาน Cellular ก็ไม่ใช่เรื่องยาก โดยเริ่มจากการเปิดแอปพลิเคชัน Watch บน iPhone ขึ้นมา เพื่อทำการ Sync ข้อมูลนาฬิกาเครื่องใหม่ และทำตามขั้นตอนต่างๆตามปกติ

จนไปถึงหน้าที่ให้เลือกตั้งค่า Cellular บนหน้าจอจะทำการสลับไปยังหน้าลงทะเบียนให้อัตโนมัติ โดยเริ่มจากกรอกเลขบัตรประชาชน ยืนยันความเป็นเจ้าของเบอร์ หลังจากนั้น ก็จะปรากฏรายละเอียดเบอร์ แพกเกจที่ใช้งาน และค่าบริการ (ของทรูมูฟ เอช ช่วงแรกใช้บริการฟรี)

ต่อจากนั้นก็ทำการตั้งชื่อซิมการ์ด ตั้งชื่อซิมสำหรับ Apple Watch เมื่อตั้งค่าเสร็จ ก็เป็นอันเสร็จขั้นตอน ตัว Apple Watch ก็จะทำการลงทะเบียนกับเครือข่ายและจับสัญญาณโทรศัพท์มือถือ เหมือนเป็นโทรศัพท์เครื่องหนึ่ง เพียงแต่ว่าในจุดนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับโอเปอเรเตอร์ที่จะนำมาให้บริการ

ทรูมูฟ เอช พร้อมให้บริการรายแรก เอไอเอส ตามมาแล้ว

เบื้องต้น ทางทรูมูฟ เอช ถือเป็นโอเปอเรเตอร์รายแรกที่นำบริการดังกล่าวมาให้ใช้งานกันในประเทศไทย โดยเริ่มเปิดให้ลูกค้าทั่วไปสามารถซื้อ Apple Watch 3 GPS+Cellular ได้ตั้งแต่วันนี้ (5 เมษายน) ซึ่งสามารถใช้งานได้ทั้งลูกค้าเก่า ลูกค้าใหม่ และลูกค้าย้ายค่ายเบอร์เดิม

สำหรับโปรโมชัน Apple Watch ของทางทรูมูฟ เอช จะเปิดโอกาสให้ลูกค้าที่ใช้งานแพกเกจ 499 บาทขึ้นไป รับสิทธิใช้งานฟรี 6 เดือน หรือถ้าใช้งานแพกเกจ 1,099 บาทขึ้นไป จะได้รับสิทธิใช้งานฟรี 12 เดือน ส่วนลูกค้าย้ายค่ายเบอร์เดิมที่สมัครแพกเกจ 1,099 บาทขึ้นไปจะใช้งานฟรี 24 เดือน

หลังจากหมดระยะเวลาโปรโมชันค่าบริการ 4G eSIM จะอยู่ที่เดือนละ 199 บาท โดยปริมาณการใช้งานจะคิดรวมกับแพกเกจหลักที่ใช้งาน และจำกัดต่อ 1 เบอร์สามารถผูกกับ Apple Watch ได้ไม่เกิน 5 เรือน

ส่วนค่ายอื่นๆ ทางแอปเปิลระบุว่า กำลังอยู่ในช่วงการเตรียมความพร้อมของเครือข่ายให้รองรับการใช้งาน 4G eSIM ตามมาตรฐานที่แอปเปิลกำหนดไว้ ซึ่งทางทรูมูฟ เอช เตรียมระบบได้เสร็จก่อน ก็เลยได้เป็นโอเปอเรเตอร์รายแรกที่วางจำหน่าย

ล่าสุดทาง เอไอเอส ก็ได้ประกาศวางจำหน่าย Apple Watch 3 Cellular ในวันที่ 10 พ.ค.นี้ โดยจะให้สิทธิลูกค้าเดิมใช้งานได้ฟรี 6 เดือน รวมถึงลูกค้าเปิดเบอร์ใหม่ ลูกค้าย้ายค่ายเบอร์เดิม และใช้ฟรี 12 เดือนเมื่อใช้งานแพกเกจขั้นต่ำ 1,099 บาทขึ้นไป สำหรับลูกค้าเปิดเบอร์ใหม่ และลูกค้าเปลี่ยนจากเติมเงินเป็นรายเดือน

ส่วนลูกค้าเดิม หรือย้ายค่ายเบอร์เดิมมาใช้งานแพกเกจ 1,099 บาทขึ้นไป จะได้รับสิทธิใช้งานฟรี 24 เดือน จากปกติที่มีค่าเปิดใช้งาน 299 บาท และค่าบริการรายเดือนอีก 199 บาท รวมถึงสิทธิส่วนลดเพิ่มเติมเมื่อซื้อนาฬิกาอีก 1,000 บาท

ราคา Apple Watch Series 3 GPS+Cellular

ในส่วนของราคาจำหน่าย จะมีด้วยกัน 2 รูปแบบคือราคาที่ทาง Apple Store เป็นผู้จำหน่าย จะเริ่มต้นที่ 14,900 บาท สำหรับรุ่น 38 มม. และ 15,900 บาท สำหรับรุ่น 42 มม. ไปจนถึง 49,900 บาทสำหรับรุ่นตัวเรือนเซรามิก

ส่วนราคาที่ทางทรูมูฟ เอช จำหน่ายจะเริ่มต้นที่ 15,500 บาท สำหรับรุ่น 38 มม. และ 16,500 บาท สำหรับรุ่น 42 มม. ไปจนถึงตัวเรือนสแตนเลสสตีลสูงสุดที่ 29,900 บาท และไม่มีรุ่นตัวเรือเซรามิกจำหน่าย

]]>