แอปเปิล – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Mon, 28 Jun 2021 06:14:49 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : Apple iPad Pro 12.9” M1 เร็วแรง จอสวย ครบเครื่อง https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-ipad-pro-m1/ Mon, 28 Jun 2021 06:14:44 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35440

การนำชิปเซ็ต Apple M1 มาใช้งานบน iPad Pro ทั้ง 11” และ 12.9” ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการเปิดตัว iPad Pro รุ่นของปี 2021 ที่อัปเกรดในเรื่องประสิทธิภาพการประมวลผลภายในชิปเซ็ต ช่วยให้ตัวเครื่องทำงานได้อย่างลื่นไหล

Apple iPad 12.9” ยังมากับหน้าจอแบบใหม่ Liquid Retina XDR ที่รองรับช่วงสีที่กว้างขึ้น และกลายเป็น iPad รุ่นที่จอสวยสุดในเวลานี้ โดยยังคงความสามารถของทั้ง ProMotion True Tone P3 Colour และลดแสงสะท้อนจากหน้าจอด้วย

ทำให้ iPad Pro 12.9” เป็นแท็บเล็ตที่แรง จอสวย รองรับการใช้งานที่หลากหลายทั้ง ใช้งานคู่กับ Apple Pencil 2nd Gen เพื่อสร้างสรรค์ผลงานวาดเขียน จดบันทึก หรือใช้งานควบคู่กับ Magic Keyboard ทำให้มี Productivity ในการทำงานได้มากขึ้น ร่วมกับ iPadOS

ข้อดี

  • iPad ประสิทธิภาพสูง รองรับการใช้งานหลากหลาย
  • จอ Liquid Retina XDR 12.9”
  • ตัวเครื่องรองรับ 5G
  • มีพื้นที่เก็บข้อมูลให้เลือกสูงถึง 2TB

ข้อสังเกต

  • ราคาค่อนข้างสูง
  • ถ้าต้องการใช้งานให้ครบทุกความสามารถต้องซื้ออุปกรณ์เสริมอย่าง Pencil และ Keyboard เพิ่ม
  • Magic Keyboard สีขาวเปื้อนง่ายมาก

Apple M1 เพิ่มประสิทธิภาพ iPad Pro

การเปลี่ยนชิปเซ็ตประมวลผลจาก Apple A12Z Bionic มาใช้งาน Apple M1 ที่มีการผสมผสานทั้งหน่วยประมวลผล กราฟิก ชิปประมวลผลทางด้าน AI อย่าง Apple Neural Engine เข้าไป ทำให้ iPad Pro รองรับการใช้งานได้ครบถ้วนมากขึ้น

ตั้งแต่การใช้งานเพื่อความบันเทิงแบบจัดเต็ม หรือการประมวลผลหนักๆ อย่างการอ่านข้อมูลขนาดใหญ่ ปรับแต่งภาพความละเอียดสูง จนถึงการตัดต่อวิดีโอระดับ 4K ได้อย่างลื่นไหล ทำให้กลายเป็นอุปกรณ์พกพาที่ทรงพลัง

ข้อมูลจากแอปเปิลระบุว่า Appe M1 ที่เป็น CPU 8 Core GPU 8 Core และ Apple Neural Engine 16 Core แรงกว่าซีพียูรุ่นก่อนหน้าถึง 50% และการประมวลผลภาพเร็วขึ้นถึง 40% ส่งผลให้ iPad Pro แรงกว่าโน้ตบุ๊กเกือบทุกรุ่นในตลาดตอนนี้

โดยการประมวลผลที่เร็วขึ้นของ Apple M1 ช่วยให้ผู้ที่ใช้งานทางครีเอทีฟทำงานบน iPad ด้วยระยะเวลาที่น้อยลง ทั้งการใช้งาน Adobe Photoshop Affinity Photo หรือตัดต่อวิดีโอด้วย LumaFusion

ขณะเดียวกัน ถ้าเป็นนักพัฒนาที่กำลังศึกษาเกี่ยวกับ AR VR การที่ M1 มี Neural Engine จะช่วยให้การประมวลผลทางด้านแมชชีนเลิร์นนิ่งต่างๆ ทำได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อรวมกับกล้องที่รองรับ LiDAR ทำให้ iPad Pro รองรับการใช้งาน XR ได้เป็นอย่างดี

จอสวยงาม คมชัด

อีกจุดเด่นที่ปรับปรุงขึ้นของ iPad Pro 12.9 นิ้ว คือหน้าจอที่เลือกใช้แหล่งกำเนิดแสงแบบ mini-LED มาใช้งาน ใน Liquid Retina XDR ความละเอียด 2732 x 2048 พิกเซลนี้ ช่วยให้การแสดงผลของ iPad Pro มี Extreme Dynamic Range ที่สูงขึ้น และยังรองรับ ProMotion ที่ปรับอัตราการแสดงผลระหว่าง 24Hz – 120Hz แบบอัตโนมัติ

นอกจากนี้ เพื่อให้รองรับการใช้งานในสถานที่ต่างๆ รวมถึงในที่แสงจัด ทำให้ iPad Pro 12.9 เพิ่มความสว่างหน้าจอขึ้นมาอยู่ที่ 1000 nits และเร่งได้สูงสุดถึง 1600 nits ซึ่งรองรับการแสดงผลแบบ HDR ทำให้ภาพนิ่ง และวิดีโอที่ได้ชัดเจน และสวยงาม

การเลือกใช้ mini-LCD ยังช่วยให้ทำ Contrast Ratio ได้สูงถึง 1,000,000 : 1 จากจุดกำแนิดแสงที่ละเอียดขึ้นถึง 2596 จุด โดยเมื่อใช้งานกับคอนเทนต์ที่รองรับ Dolby Vision HDR10+ จะสามารถรีดประสิทธิภาพของจอ Liquid Retina XDR ออกมาได้

อย่างไรก็ตาม iPad Pro รุ่นหน้าจอ 11 นิ้ว จะยังใช้จอ Liquid Retina เช่นเดิม ไม่ได้ถูกอัปเกรดมาเป็น Liquid Retina XDR ดังนั้น ถ้าใครใช้งาน iPad Pro 11” อยู่แล้วอยากเปลี่ยนมาใช้รุ่นปี 2021 ก็อาจจะไม่จำเป็นนัก แต่ถ้าข้ามมารุ่นจอใหญ่ 12.9” ก็จะมีความแตกต่างมากขึ้น

มาพร้อม 5G – Thunderbolt 3 – USB 4

การเชื่อมต่อที่ครบจากรุ่น Cellular ที่รองรับทั้ง WiFi 6 และ 5G ทำให้ iPad Pro มีความสมบูรณ์ในการใช้งานมากขึ้น เพราะสามารถรับส่งไฟล์ความละเอียดสูงได้อย่างรวดเร็ว แม้ทำงานอยู่นอกสถานที่ ช่วยปลดล็อกข้อจำกัดหลายๆ อย่างที่ 4G ทำไม่ได้ โดยเฉพาะเวลาที่ต้องดาวน์โหลดไฟล์งานขนาดใหญ่มาใช้

ส่วนผู้ที่มีอุปกรณ์เสริม USB-C อยู่แล้ว ก็สามารถเชื่อมต่อเพื่อโอนถ่ายข้อมูลที่ความเร็วสูงขึ้นถึง 40 Gbps เมื่อใช้งานร่วมกับ Thunderbolt 3 และ USB 4 นอกจากนี้ ยังสามารถใช้เชื่อมต่อกับจอความละเอียดสูงระดับ pro Display XDR ที่ความละเอียด 6K ได้ด้วย

หรือในกรณีที่ต้องการเชื่อมต่อ 10 Gigabit พอร์ต Thunderbolt ที่ให้มาก็รองรับ จึงทำให้ iPad Pro รุ่นปี 2021 มีการเชื่อมต่อที่ครบถ้วนมาก และพื้นที่เก็บข้อมูลภายในยังมีให้เลือกสูงสุดถึง 2TB ด้วย

ดีไซน์เดิมที่คุ้นเคย

ในแง่ของดีไซน์ตัวเครื่อง iPad Pro 12.9 นั้นมีความเปลี่ยนแปลงน้อยมากๆ คือตัวเครื่องหนาขึ้นเล็กน้อย เป็น 280.6 x 214.9 x 6.4 มิลลิเมตร จากรุ่นก่อนหน้าที่ 5.9 มิลลิเมตร ซึ่งความหนา 6.4 มิลลิเมตร ก็ยังถือว่าเป็นแท็บเล็ตที่บางมากๆ อยู่ดี

บริเวณขอบหน้าจอด้านบน (แนวตั้ง) หรือด้านซ้าย (แนวนอน) จะเป็นที่อยู่ของกล้อง TrueDepth 12 ล้านพิกเซล f/2.4 ที่รองรับการปลดล็อกด้วย FaceID สามารถบันทึกวิดีโอที่ความละเอียด 1080p 60fps

รอบตัวเครื่องทางด้านบน (แนวนอน) จะมีปุ่มปรับระดับเสียง แถบแม่เหล็กไว้เชื่อมต่อกับ Apple Pencil 2nd Gen และช่องใส่ซิมการ์ดแบบนาโนซิม ทางขวา จะมีพอร์ต USB-C ทางซ้ายมีปุ่มเปิดเครื่อง

ที่เพิ่มขึ้นมาคือลำโพง 4 จุด ช่วยให้คุณภาพเสียงสเตอริโอของ iPad Pro พัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เช่นเดียวกับไมโครโฟนรับเสียงที่เพิ่มขึ้นเป็น 5 จุด ทำให้ได้เสียงในระดับสตูดิโอเวลาใช้งาน FaceTime หรือ VDO Call

โดยความน่าสนใจของ iPad Pro รุ่นปี 2021 นี้ คือการพัฒนากล้อง TrueDepth ให้มีความสามารถอย่าง Center Stage เพื่อรับกับพฤติกรรมการใช้งานวิดีโอคอลล์ที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19

Center Stage จะนำ AI มาช่วยในการจับภาพ และทำให้ใบหน้าอยู่บริเวณกึ่งกลางของกล้องตลอดเวลา ช่วยให้เวลาใช้งานสามารถขยับ เคลื่อนไหวไปรอบๆ ได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะหลุดออกจากเฟรมเกินไป

ส่วนกล้องหลังยังมาพร้อมกับกล้องเลนส์หลัก 12 ล้านพิกเซล และเลนส์มุมกว้าง 10 ล้านพิกเซล พร้อม LiDAR Scanner ในการตรวจจับวัตถุ และระยะต่างๆ เช่นเดิม ซึ่งช่วยให้สามารถจับโฟกัสในที่แสงน้อยได้ด้วย

ราคาจำหน่าย

Apple iPad Pro 12.9 ที่มาพร้อมชิป Apple M1 วางจำหน่ายในรุ่น RAM 8 GB พื้นที่เก็บข้อมูลให้เลือกตั้งแต่ 128 GB 256 GB และ 512 GB ส่วนพื้นที่เก็บข้อมูล 1 TB และ 2 TB จะมากับ RAM 16 GB

iPad Pro 12.9 นิ้ว ราคา 37,900 บาท – 76,400 บาท ถ้าต้องการรุ่น Cellular ก็เพิ่มเงินอีก 5,000 บาท ในทุกช่วงราคา ส่วน iPad Pro 11 นิ้ว ราคาเริ่มต้น 27,900 บาท – 66,400 บาท

ส่วนราคา Apple Pencil 2nd Gen อยู่ที่ 4,490 บาท Magic Keyboard (3rd Gen) สำหรับรุ่น 11” อยู่ที่ 9,990 บาท ส่วนรุ่น 12.9” อยู่ที่ 11,690 บาท นอกจากนี้ยังมี Smart Keyboard Folio เริ่มต้นที่ 5,990 บาท – 6,590 บาท

สรุป

iPad Pro 12.9 ที่มากับชิปเซ็ต M1 ถือเป็นแท็บเล็ตประสิทธิภาพสูงที่รองรับการใช้งานได้หลากหลายมาก ขึ้นอยู่กับการนำไปใช้งาน ซึ่งถ้าเป็นกลุ่มผู้ใช้ที่เป็นมืออาชีพ ครีเอเตอร์ ช่างภาพ ตัดต่อวิดีโอ นักพัฒนาต่างๆ iPad Pro รุ่นใหม่นี้ตอบโจทย์แน่นอน

แต่ถ้าไม่ได้มองหาการประมวลผลระดับสูง และขนาดหน้าจอ 11 นิ้ว เพียงพอกับการใช้งาน ตัวเลือกอย่าง iPad Air ที่เพิ่งปรับโฉมมาลักษณะเดียวกับ iPad Pro ก็เพียงพอกับการใช้งานทั่วไปอยู่แล้ว ดังนั้นคงต้องดูว่า iPad Pro รุ่นนี้คุ้มค่ากับการใช้งานหรือไม่

]]>
Review : Apple iMac 24” ดีไซน์ สีใหม่ แรงด้วยชิป M1 https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-imac-24inch/ Fri, 21 May 2021 03:52:00 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35221

iMac 24” รุ่นปี 2021 ถือเป็นการปรับโฉมผลิตภัณฑ์ครั้งสำคัญของ Apple และมีการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ส่วน หลังจากที่ Apple เลือกหันมาพัฒนาชิปประมวลผลของตัวเองอย่าง Apple M1 และทยอยนำมาใช้งานกับผลิตภัณฑ์หลายๆ ประเภท เริ่มจาก MacBook Air MacBook Pro Mac mini และคราวนี้ก็ถึงคิวของ iMac และ iPad Pro

ความพิเศษก็คือที่ผ่านมาทั้ง MacBook Air MacBook Pro Mac mini และ iPad Pro ยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่แอปเปิลใช้ดีไซน์เดิมมาเปลี่ยนชิปเซ็ตภายในเป็น Apple M1 เท่านั้น ไม่เหมือนกับ iMac 24” ที่กลายเป็นผลิตภัณฑ์แรกที่แอปเปิล เลือกออกแบบใหม่ทั้งหมด และใช้ประโยชน์ของ Apple M1 ได้อย่างน่าสนใจ

นอกจากนี้ Apple ยังได้แยกรูปแบบการใช้งานของ iMac 24” ให้ชัดเจนมากขึ้น ด้วยการนำเสนอเป็นคอมพิวเตอร์แบบออลอินวันสำหรับทุกคน ที่ไม่ได้เน้นเจาะกลุ่มมืออาชีพที่ต้องการประสิทธิภาพในการทำงาน และจอใหญ่เท่านั้น แต่รวมถึงการนำไปใช้งานในชีวิตประจำวัน ด้วยการเพิ่มตัวเลือกสีสันที่หลากหลาย จนถึงการนำไปใช้ในภาคธุรกิจก็ได้เช่นกัน

ข้อดี

  • ออกแบบใหม่ ตัวเครื่องบาง มีให้เลือกหลายสี
  • จอ 24 นิ้ว ความละเอียด 4.5K
  • ประสิทธิภาพสูง รองรับการใช้งานที่หลากหลายจาก Apple M1
  • กล้อง FaceTime  HD 1080p รองรับการวิดีโอคอล
  • ไมโครโฟน และลำโพง ปรับปรุงให้คุณภาพดีขึ้น

ข้อสังเกต

  • ขนาดจอจริงๆ อยู่ที่ 23.5 นิ้ว
  • ไม่สามารถเลือกสีของอุปกรณ์เสริมได้
  • เมจิกคีย์บอร์ดพร้อม Touch ID มาในรุ่น CPU 8 Core GPU 8 Core ถ้ารุ่นเริ่มต้นต้องซื้อเพิ่ม

ใส่ใจทุกรายละเอียด

ต้องยอมรับว่า Apple ยังคงรักษามาตรฐานในการออกแบบผลิตภัณฑ์ได้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะกับการใส่ใจรายละเอียดของสีใน iMac รุ่นนี้ ซึ่งจะเห็นได้ตั้งแต่รายละเอียดต่างๆ กล่องของผลิตภัณฑ์ ที่ตรงสีกับตัวเครื่องที่เลือก รวมถึงการใส่ใจในสิ่งแวดล้อม โดยบรรจุภัณฑ์ของ iMac ใช้กระดาษเป็นสัดส่วนหลักถึง 90%

เมื่อเป็นคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ ทำให้ Apple ต้องออกแบบกล่องบรรจุภัณฑ์ที่สามารถป้องกันการกระแทกได้ ด้วยการนำกระดาษมาใช้งาน ทำให้เมื่อเปิดฝากล่องขึ้นมา เมื่อเห็นตัวเครื่องแล้วต้องง้างบริเวณขอบข้างกล่องออก ถึงจะสามารถยก iMac ออกจากกล่องได้ ช่วยให้ปลอดภัยระหว่างการขนส่งอย่างแน่นอน

ถัดมาคือรายละเอียดของอุปกรณ์เสริมต่างๆ อย่างใน iMac สีเหลืองเครื่องนี้ สัญลักษณ์อุปกรณ์เสริมก็จะเป็นสีเหลือง เมื่อเปิดออกมาก็จะพบกับอุปกรณ์ที่ถูกห่อด้วยกระดาษเช่นเดียวกัน ทำให้บรรจุภัณฑ์นี้ กลายเป็นบรรจุภัณฑ์รักษ์โลกตามที่แอปเปิลวางแผนไว้

ในส่วนของสีอุปกรณ์เสริม ไม่ว่าจะเป็นคีย์บอร์ด เมาส์ และทัชแพด จะเล่นขอบสีให้เหมือนกับสีหลักของตัวเครื่อง ส่วนสายชาร์จเมาส์ที่เป็น USB-C to Lightning และสายไฟ จะใช้สีโทนอ่อนลง ซึ่งจะเป็นสีเดียวกับขอบล่างของจอ iMac นั่นเอง

น่าเสียดายที่ Apple ยังไม่เปิดเผยว่าจะมีการแยกวางจำหน่ายอุปกรณ์เสริมที่เป็นสีสันเหล่านี้แยกออกมาหรือไม่ เพราะเชื่อว่าต้องมีผู้ที่ใช้งาน iPhone แล้วอยากได้สายชาร์จแบบถักสีๆ ไปใช้งานแน่นอน สิ่งที่ทำได้ในเวลานี้คือการซื้อเครื่อง iMac ถึงจะได้อุปกรณ์เสริมตามสีที่อยากได้

ดีไซน์ใหม่หมด

หลังจากแกะเครื่องออกจากกล่องแล้ว สิ่งที่ได้เห็นคือ iMac ที่มีการออกแบบใหม่ทั้งหมด โดยมีจุดเด่นอยู่ที่ตัวเครื่องหนาเพียง 11.5 มิลลิเมตร พร้อมกับสีสันตัวเครื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสีเหลืองนี้ จะมีความโดดเด่นของตัวเครื่องใกล้เคียงกับสีทอง สำหรับขนาดของพื้นที่ใช้งานโดยรวมจะอยู่ที่ 46.1 x 54.7 x 14.7 เซนติเมตร น้ำหนักของตัวเครื่องอยู่ที่ 4.46 – 4.48 กิโลกรัม ขึ้นอยู่กับรุ่นที่เลือก

นอกจากสีเหลืองแล้ว iMac ยังมีให้เลือกอีก 6 สี เริ่มจากสีเงินที่เป็นสีดั้งเดิม ตามด้วยสีน้ำเงิน ม่วง ชมพู ส้ม และเขียว ซึ่งสีเหล่านี้ถ้าจำกันได้ก็คือมาจากโลโก้ของ Apple ในยุคแรก เรียกได้ว่ามีให้เลือกหลายสีตามสีที่แต่ละคนชื่นชอบ และเลือกนำไปใช้ให้เหมาะกับเฟอร์นิเจอร์ในบ้านก็ได้

ในส่วนของหน้าจอ iMac 24 นิ้ว ความจริงแล้วขนาดหน้าจอจะอยู่ที่ 23.5 นิ้ว เมื่อวัดในแนวทแยงมุม แต่ด้วยการสื่อสารที่ง่ายทำให้ Apple เลือกสื่อสารว่าเป็นรุ่น 24 นิ้วแทน ความละเอียดจอที่ได้จะเป็น 4.5K Retina display 4480 x 2520 พิกเซล รองรับการแสดงผล 1 พันล้านสี ความสว่างสูงสุด 500 nits ขอบเขตสี P3 และมีการปรับความสว่าง และโทนสีหน้าจออัตโนมัติ (True Tone)

บริเวณขอบของจอแสดงผล iMac ทั้ง 7 สี จะเลือกใช้สีขาว แตกต่างจากก่อนหน้านี้ที่ iMac ทั้งรุ่น 21.5 นิ้ว และ 27 นิ้ว จะมากับขอบจอสีดำ ซึ่งอาจจะเป็นเหตุผลที่จะสื่อถึงเหมาะกับการใช้งานทั่วไป ไม่ได้เน้นกลุ่มมืออาชีพเหมือนที่ผ่านมาอีกต่อไปแล้ว

ในส่วนของกล้อง FaceTime HD ใน iMac 24 นิ้ว มีการปรับความละเอียดเพิ่มขึ้นเป็น 1080p เช่นเดียวกับ iMac 27 นิ้ว ที่ออกมาก่อนหน้านี้ เพียงแต่ในรุ่นนี้จะมีคุณภาพที่ดีกว่าจากการนำชิปประมวลผลภาพ Image Signal Processor (ISP) ที่อยู่ในชิป M1 มาช่วยด้วย เนื่องจากช่วงหลังๆ การวิดีโอคอลล์กลายเป็นรูปแบบการใช้งานหลักของผู้ใช้หลายๆ คน

ในส่วนของพื้นที่ว่างใต้หน้าจอที่เรียกกันว่าบริเวณคางของ iMac 24″ นั้น ภายในจะเป็นที่อยู่ของเมนบอร์ด และชิปเซ็ตต่างๆ พร้อมพัดลมระบายอากาศ 2 ตัว ทำให้ในส่วนนี้จะมีหน้าที่หลักสำหรับการระบาดอากาศ และเป็นที่อยู่ของลำโพงด้วยเช่นกัน

พร้อมกับพัฒนาทั้งไมโครโฟน 3 ตัว ให้รับเสียงได้ดีขึ้น และช่วยตัดเสียงรบกวนจากรอบข้าง เช่นเดียวกับลำโพง 6 ตัว ที่ใส่มาให้ ทำให้เป็นเครื่องที่สามารถใช้งานได้ทั้งการประชุม จนถึงใช้เพื่อความบันเทิงอย่างดูหนัง ฟังเพลงได้อย่างเต็มที่ เพราะรองรับระบบเสียงแบบ Dolby Atmos ด้วย

สำหรับพอร์ตเชื่อมต่อต่างๆ จะมีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. มาให้ทางซ้ายของเครื่อง จากในรุ่นก่อนที่อยู่ด้านหลัง เนื่องมาจากเมื่อตัวเครื่อง iMac บางลง ทำให้ไม่สามารถวางตำแหน่งพอร์ตไว้ที่เดิมได้อีกต่อไป ส่วนหลังเครื่องจะมีพอร์ต USB-C / Thunderbolt มาให้ตามรุ่นที่เลือก โดยในรุ่นเริ่มต้นจะให้มา 2 พอร์ต ส่วนรุ่น 8 CPU 8 GPU จะให้ USB 3 เพิ่มมากอีก 2 พอร์ต

จุดเชื่อมต่อสายไฟเข้าเครื่อง เป็นอีกนวัตกรรมที่ Apple พัฒนาขึ้น เพราะนอกจากใช้ในการปล่อยกระแสไฟเข้าตัวเครื่องแล้ว ที่อะเดปเตอร์ Apple ยังมีพอร์ต Gigabit Ethernet มาให้ด้วย เรียกได้ว่าเป็นการประหยัดพื้นที่ของตัวเครื่อง iMac แล้วนำพอร์ตมาไว้ที่อะเดปเตอร์แทน

โดยอะเดปเตอร์ที่ให้มาสามารถส่งไฟได้ 143W ซึ่งในความเป็นจริงชิป M1 ไม่ได้ใช้พลังงานมากขนาดนั้น เพราะ M1 ที่ใช้งานกับ MacBook Air มากับอะเดปเตอร์เพียง 30W เท่านั้น เรียกได้ว่า Apple เตรียมพร้อมไว้สำหรับอนาคตก็ว่าได้ จากอะเดปเตอร์จะมีสายถักไว้เชื่อมต่อกับตัวเครื่องยาว 2 เมตร ไม่นับรวมสายไฟอีกราว 1 เมตร ทำให้ผู้ใช้สามารถจัดวางตัวเครื่องโดยมีเพียงสายไฟเส้นเดียวโผล่ขึ้นมาจากโต๊ะ

ถัดมาในส่วนของ Magic Keyboard กรณีที่เป็นรุ่นเริ่มต้นจะไม่มี Touch ID มาให้ ต้องเป็นรุ่น 8 CPU 8 GPU ถึงจะมีให้เช่นเดียวกัน โดยความละดวกของ Touch ID ก็คือการที่เวลาใช้งานในบ้านที่มีผู้ใช้หลายคน เมื่อแตะ Touch ID ก็จะเป็นการล็อกอินเข้าบัญชีของแต่ละคนได้ทันที ยิ่งเมื่อทำงานร่วมกับคีย์บอร์ดไร้สายจึงยิ่งสะดวกขึ้น

ในขณะที่ Magic Mouse และ Magic Trackpad จะมีการเปลี่ยนแปลงที่สีบริเวณขอบ ซึ่งจะเป็นโทนเดียวกับตัวเครื่อง เรียกได้ว่าใครที่เลือก iMac สีเหลืองมาใช้ จะได้ปลดล็อกสกินสีทองในเมจิกเมาส์ทันที ที่น่าเสียดายก็คือเวลาต้องการชาร์จ Magic Mouse ก็ยังต้องใช้การเสียบสายที่ใต้เมาส์อยู่ดี ทำให้ไม่สามารถชาร์จไปใช้งานไปด้วยได้

แรงด้วย Apple M1

ที่ผ่านมา Apple ได้พิสูจน์ความสามารถของชิป M1 กันไปแล้ว ตั้งแต่ตอนที่เปิดตัว MacBook Pro M1 ซึ่งผลทดสอบประสิทธิภาพนั้น แรงกว่าชิป Intel Core i9 ที่อยู่ใน MacBook Pro 16” เสียอีก ดังนั้น เรื่องความแรงของ iMac 24” จึงไม่ได้เป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงมากนัก

โดยในภาพรวม Apple M1 ที่ให้มานั้น รองรับการใช้งานทั่วๆ ไปของผู้บริโภคทั่วไปอยู่แล้ว จนถึงคอนเทนต์ครีเอเตอร์ระดับมืออาชีพที่ต้องการคอมพิวเตอร์มาเรนเดอร์ภาพยนต์ความละเอียด 4K ชิป M1 ก็สามารถทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม ดังนั้นถ้าเป็นการใช้งานภายในบ้าน สำนักงาน หรือวางไว้ใช้ตามสถานที่ต่างๆ iMac 24” รองรับได้สบาย

ในการเลือกซื้อ Apple จะมีให้เลือกว่าต้องการ Apple M1 รุ่น 8 Core CPU 7 Core GPU และ 8 Core CPU 8 Core GPU ให้เลือก สามารถใส่ RAM ได้สูงสุดที่ 16 GB และพื้นที่เก็บข้อมูลแบบ SSD ได้สูงสุดถึง 2 TB ดังนั้นก็ขึ้นอยู่กับการนำไปใช้งานเป็นหลัก

ส่วนการเชื่อมต่อ iMac 24” รองรับ WiFi 6 และบลูทูธ 5.0 ทำงานบนระบบปฏิบัติการ macOS BigSur ที่สามารถเชื่อมต่อเข้ากับอีโคซิสเตมส์ของ iPhone และ iPad ได้อย่างไร้รอยต่อ ส่วน Thunderbolt / USB 4 ที่ให้มา สามารถส่งต่อข้อมูลได้ที่ความเร็วสูงสุด 40 Gbps ส่วน USB 3 จะอยู่ที่ 10 Gbps โดยสามารถเชื่อมต่อกับจอแสดงผล 6K อย่าง Pro Display XDR ได้ด้วย

รุ่น และสี ที่วางจำหน่าย

iMac รุ่นเริ่มต้นแบบ 8 CPU 7 GPU จะมีให้เลือกเฉพาะสีฟ้า เขียว ชมพู และเงิน เท่านั้น ในราคาเริ่มต้น 42,900 บาท ส่วนถ้าต้องการสีเเหลือง ส้ม และม่วง จะต้องเลือกเป็นรุ่น 8 CPU 8 GPU แทนในราคาเริ่มต้น 49,900 บาท ซึ่งจะได้พื้นที่เก็บข้อมูล 256 GB

โดยในแง่ของการใช้งาน รุ่นที่แนะนำให้เลือกซื้อก็จะเป็น 8 Core CPU 8 Core GPU เป็นหลัก เพราะจะได้เพิ่มมาทั้งเมจิกคีย์บอร์ดที่มีทัชไอดี ตัวอะเดปเตอร์ที่สามารถเชื่อมต่อสายแลนได้ทันที และมีพอร์ต USB-C เพิ่มมาให้อีก 2 พอร์ตสำหรับเชื่อมต่อใช้งานเพิ่มเติม

ส่วนพื้นที่เก็บข้อมูลถ้าเป็นรุ่นเริ่มต้น 256 GB อาจจะเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ได้ต้องการใช้ iMac ในการเก็บข้อมูล เน้นการใช้งานร่วมกับคลาวด์ หรือเปิดใช้งานผ่านอินเทอร์เน็ตเป็นหลัก ตรงนี้อาจจะต้องดูถึงจุดประสงค์ในการใช้งานร่วมด้วย โดยสามารถเลือกความจุได้ตั้งแต่ 256 GB 512 GB 1 TB และ 2 TB

สรุป iMac 24” เหมาะกับใคร

Apple ไม่ได้วางตำแหน่งให้ iMac เป็นคอมพิวเตอร์สำหรับมืออาชีพอีกต่อไป แต่หันมาจับกลุ่มผู้ใช้งานทั่วไปที่ต้องการคอมพิวเตอร์แบบออลอินวันใช้งานในบ้าน ซึ่งตลาดเครื่อง All-in-One ในช่วงที่ผ่านมา ถือว่าเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงที่มีการ Work from Home หลายๆ บ้านเลือกที่จะซื้อคอมพิวเตอร์ให้บุตรหลานใช้ในการเรียนออนไลน์ และใช้งานเพื่อความบันเทิงเพิ่มเติม

นอกจากนี้ iMac 24” ยังสามารถนำไปใช้งานในกลุ่มธุรกิจได้ อย่างโรงแรม ร้านอาหาร ที่ต้องการคอมพิวเตอร์ไปใช้งาน เพิ่มสีสันให้ร้านค้า เพราะมีตัวเลือกมาให้ถึง 7 สี สามารถนำไปตกแต่งร่วมกับบรรยากาศต่างๆ ได้ทันที ซึ่งถือเป็นการขยายตลาดของ iMac เพิ่มเติมได้อย่างน่าสนใจ

Gallery

]]>
Review : Apple AirPods Max หูฟังครอบหูเน้นใช้ง่าย ปรับเสียงอัตโนมัติ https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-airpods-max/ Thu, 07 Jan 2021 14:17:17 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34485

การที่ แอปเปิล (Apple) เลือกนำเสนอหูฟังครอบหูแบบไร้สายออกสู่ตลาดในชื่อ AirPods Max พร้อมกับตั้งราคาเปิดตัวไว้ที่ 19,900 บาท ทำให้หลายๆ คนอาจจะมองว่าเป็นระดับราคาที่สูงเกินไป แต่ถ้าลองดูในตลาดแล้ว หูฟังแบบครอบหูคุณภาพเสียงดีๆ ก็จะอยู่ในช่วงระดับราคาเกิน 15,000 บาทขึ้นไปอยู่แล้ว

จุดเด่นของ AirPods Max ไม่ใช่แค่เรื่องของคุณภาพเสียงที่ถูกปรับมาให้แบบอัตโนมัติเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความง่ายในการใช้งานร่วมกับอีโคซิสเตมส์ต่างๆ ของผลิตภัณฑ์ Apple และจุดเด่นเรื่องระบบตัดเสียงรบกวนแบบ Active Noise Cancellation ทำให้กลายเป็นหูฟังที่หยิบมาใช้งานได้อย่างสบายใจ

อย่างไรก็ตาม AirPods Max ไม่ได้เหมาะกับการใช้งานทุกรูปแบบเหมือน AirPods Pro ที่มากับมาตรฐานกันน้ำ ทำให้สามารถใส่ออกกำลังได้ แต่เหมาะกับใช้งานในชีวิตประจำวันทั่วไป หรือระหว่างเดินทาง เพื่อให้เข้าถึงคุณภาพเสียงที่ดีขึ้นมากกว่า

ข้อดี

  • หูฟังครอบหูตัดเสียงรบกวนแบบ Active Noise Cancellation
  • ทำงานกับอีโคซิสเตมส์ของ Apple ได้อย่างไร้รอยต่อ
  • โฟมครอบหูสามารถถอดเปลี่ยนได้

ข้อสังเกต

  • ใช้ที่ชาร์จ Lighting เท่านั้น
  • ไม่มีช่องต่อสาย 3.5 มม. มาให้ (ต้องใช้กับสายแปลง Lighting)
  • น้ำหนักค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับหูฟังครอบหูแบบพลาสติก

ออกแบบเก็บทุกรายละเอียด

แม้ว่า Apple จะผลิต AirPods ทำตลาดมาแล้วหลายปี รวมถึงเคยทำงานร่วมกับ Beats นำชิปประมวลผลทางด้านเสียงไปใส่ใช้งานในหูฟังทั้งแบบครอบหู และหูฟังเกี่ยวหูที่เหมาะกับการออกกำลังกาย

แต่กลายเป็นว่า AirPods Max นับเป็นหูฟังไร้สายแบบครอบหูรุ่นแรกที่ Apple ผลิตออกมา ทำตลาด ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อเป็นผลิตภัณฑ์ของ Apple ย่อมมีการเก็บรายละเอียดในการออกแบบทุกส่วนให้ใช้งานได้สบายที่สุด

โครงสร้างหลักๆ ของ AirPods Max มีด้วยกัน 3 ส่วน คือบริเวณโครงหลักที่ใช้วัสดุเป็นสแตนเลสตีล เพื่อให้หูฟังมีความแข็งแรง หุ้มด้วยวัสดุที่มีผิวสัมผัสนุ่ม อย่างบริเวณส่วนก้านครอบศีรษะ จะนำจากตาข่ายถักที่ช่วยระบายอากาศ และลดแรงกดบนศรีษะด้วย

ถัดมาคือในส่วนของก้านยืดหดที่ใช้ปรับขนาดของหูฟัง Apple เรียกส่วนนี้ว่า Telescoping arms ที่ออกแบบมาให้สามารถเลื่อนปรับเข้าออกได้อย่างลื่นไหล แตกต่างจากหูฟังครอบหัวรุ่นอื่นๆ ในท้องตลาดที่จะมีลักษณะเป็นขั้นๆ ให้เลื่อนปรับ

สุดท้ายในส่วนของบริเวณที่ครอบหู จะใช้วัสดุอะลูมิเนียมแบบ Anodised ที่มีคามแข็งแรงสูงเช่นเดียวกัน ส่งผลให้โดยรวมแล้วนำ้หนักของ AirPods Max อยู่ที่ 384 กรัม เมื่อเทียบกับหูฟังครอบหูพลาสติกในระดับราคาใกล้เคียงกันจะอยู่ที่ราว 255 กรัมเท่านั้น

เมื่อเจาะลึกลงมาบริเวณที่ครอบหูด้านในส่วนที่สัมผัสกับศีรษะ Apple ได้นำ เมมโมรี่โฟม มาใช้งานทำให้เมื่อครอบหูแล้วนอกจากปิดกันเสียงภายนอกแล้ว ยังให้ความรู้สึกสบายเวลาสวมใส่ใช้งานด้วย

สำหรับปุ่มควบคุมต่างๆ บน AirPods Max จะมีเพียงปุ่มควบคุมเสียงรบกวน ที่ใช้ในการเลือกปรับโหมดใช้งาน และเม็ดมะยม (Digital Crown) มาใช้ในการหมุนปรับเสียง หรือกดสั่งงานเท่านั้น โดยทั้ง 2 ปุ่ม จะอยู่ที่หูฟังฝั่งขวา

ในขณะที่พอร์ตชาร์จเป็น Lightning ทำให้สามารถนำสายชาร์จ iPhone มาเสียบชาร์จได้ทันที และภายในกล่องก็มีสาย USB-C to Lightning มาให้ใช้งานด้วย นั่นแปลว่าไม่สามารถเสียบใช้งานร่วมกับช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ได้ถ้าไม่เสียเงินซื้อสายเชื่อมต่อเพิ่ม

AirPods Max จะมาพรอ้มกับ Smart Case หรือซองเก็บหูฟังมาด้วย โดยที่ตัวซองเก็บหูฟังจะมีแม่เหล็กที่ หูฟังจะตรวจจับว่าเมื่อเก็บเข้าซองแล้ว จะเข้าสู่โหมดประหยัดพลังงานสูงสุด เพื่อช่วยยืดระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรีในช่วงที่ไม่ได้ใช้งานด้วย

อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่ Smart Case คลุมแค่บริเวณที่เป็นส่วนของหูฟังเท่านั้น เวลาเก็บใส่กระเป๋าก็อาจจะต้องระวังส่วนอื่นไปสัมผัสกับวัสดุที่มีโอกาสทำให้บริเวณตาข่ายข้างบนขาดได้ หรือแม้แต่ตัวเคส ที่ใช้เป็นผิวสังเคราะห์เมื่อใช้งานไปนานๆ ก็มีโอกาสลอก ซึ่งคาดว่าเป็นวัสดุเดียวกับเคสของ iPad ที่เมื่อใช้งานไปสักพักจะลอกได้ ดังนั้น Smart Case จึงไม่ใช่เคสเก็บ AirPods Max ที่ดีที่สุด

เชื่อมต่อง่าย ใช้งานได้ทุก Apple ดีไวซ์

สำหรับผู้ที่เคยใช้งาน AirPods มาก่อนทั้ง AirPods และ AirPods Pro น่าจะเคยได้สัมผัสถึงความง่ายในการเชื่อมต่อใช้งานหูฟังไร้สายของ Apple มาแล้ว เพราะเพียงแค่เปิดฝา AirPods เท่านั้น iPhone ก็จะตรวจพบทันทีว่า มีอุปกรณ์ใหม่มาอยู่บริเวณใกล้เคียง

หลังจากนั้น เพียงแค่กดเชื่อมต่อ (Connect) ครั้งเดียว ทุกผลิตภัณฑ์ของ Apple ที่ล็อกอินด้วย Apple ID เดียวกัน ก็จะรู้จักหูฟังนี้ทันที ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถสลับใช้งานหูฟังร่วมกับ iPhone iPad Mac ได้ โดยไม่ต้องมาคอยเชื่อมต่อใหม่

รวมถึงความสามารถในการโอนย้ายการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องโดยอัตโนมัติ อย่างกรณีที่ฟังเพลงบน iPhone อยู่ แล้วหยุดเล่น เปลี่ยนมาดูหนังบน iPad อีโคซิสเตมส์ของ Apple จะช่วยสลับการใช้งานให้โดยอัตโนมัติ ทำให้สะดวกในการใช้งาน

AirPods Max ก็ยังเป็นอุปกรณ์ที่ได้ความสามารถนี้มาเช่นเดียวกัน และยังเก่งขึ้นด้วย ในเรื่องของการปรับเรื่องการตัดเสียงรบกวน โดยนอกจากสั่งงานที่หูฟังแล้ว ยังสามารถเลือกเปลี่ยนโหมดในเครื่อง Mac ได้ทันที (เมื่ออัปเดตเป็น macOS Big Sur)

ในส่วนของการควบคุม AirPods Max นั้น การกดปุ่มควบคุมการตัดเสียงรบกวน จะเป็นการสลับระหว่างโหมดตัดเสียงรบกวน (Active Noise Cancellation) และโหมดรับฟังเสียงรอบข้าง (Transparency) ในเบื้องต้น ถ้าต้องการให้มีโหมดปกติด้วยจะต้องไปตั้งค่าเพิ่มเติมใน iPhone

ถัดมาในส่วนของปุ่ม Digital Crown สามารถหมุนเพื่อปรับระดับเสียง (เลือกทิศทางหมุนได้) กด 1 ครั้ง เพื่อเล่น/หยุดเพลง และรับสายโทรศัพท์ กด 2 ครั้ง เพื่อเปลี่ยนเพลงไปข้างหน้า กด 3 ครั้ง เพื่อย้อนกลับไปเพลงก่อนหน้า และกดค้าง เพื่อเรียกใช้งาน Siri

สำหรับระยะเวลาการใช้งาน AirPods Max ทาง Apple ระบุว่า สามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง 20 ชั่วโมง ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ในการเปิดโหมดป้องกันเสียงรบกวน และระบบเสียง Spatial Audio ซึ่งถ้าปิดโหมดป้องกันเสียงรบกวนก็จะช่วยเพิ่มระยะเวลาในการใช้งานได้อีก ส่วนการชาร์จ มีระบบชาร์จเร็วเมื่อชาร์จ 5 นาที จะใช้งานได้ต่อเนื่อง 90 นาที

คุณภาพเสียงตัดเสียงรบกวน

เรื่องของคุณภาพเสียงที่ได้ถือว่ากลายเป็นหนึ่งจุดที่ผู้สนใจซื้อหา AirPods Max มาใช้งาน คำนึงถึงเป็นส่วนแรกๆ เนื่องจากด้วยระดับราคาเกือบ 2 หมื่นบาท การเลือกซื้อหูฟังคุณภาพเสียงดีๆ สักตัวที่เหมาะกับการใช้งานนั้นมีตัวเลือกที่หลากหลาย

ในจุดนี้ แอปเปิล ยังคงความโดดเด่นในแง่ของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับการใช้งานสำหรับทุกคนเช่นเดิม กล่าวคือคุณภาพเสียงของ AirPods Max นั้น ไม่ได้มีจุดที่โดดเด่นขึ้นมาเป็นพิเศษ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้มีจุดที่ให้ตำหนิได้ ทำให้กลายเป็นว่า AirPods Max มอบคุณภาพเสียงที่ดีในระดับพรีเมียมได้อย่างน่าสนใจ

เบื้องหลังของคุณภาพเสียงที่อยู่ในเกณฑ์ดีของ AirPods Max เกิดขึ้นจากการนำความสามารถของชิปเซ็ตประมวลผล Apple H1 มาทำงานร่วมกับซอฟต์แวร์ ในการขับเคลื่อนไดรเวอร์ 40 มม. ภายในหูฟังได้เป็นอย่างดี โดยแอปเปิลเรียกเทคโนโลยีนี้ว่า Computational Audio

โดยตัวหูฟัง AirPods Max จะมากับระบบ Adaptive EQ ที่จะคอยปรับย่านเสียงใหม่เหมาะสม และให้ประสบการณ์ในการฟังที่ดีที่สุด จึงทำให้ AirPods Max กลายเป็นหูฟังครอบหูที่เหมาะกับผู้ใช้งานทั่วไปทุกคน แต่สำหรับผู้ที่ต้องการเลือกปรับ Equalizer ด้วยตัวเองก็อาจจะผิดหวังได้ เพราะแอปเปิล ไม่ได้เปิดช่องให้ตั้งค่าด้วยตนเองได้

ถัดมาในส่วนของระบบตัดเสียงรบกวน Active Noise Cancellation ก่อนหน้านี้ แอปเปิล เคยนำระบบตัดเสียงรบกวนนี้มาให้ผู้บริโภคใช้งานกันแล้วใน AirPods Pro และใน AirPods Max นี้ก็ได้พัฒนาเพิ่มขึ้น เนื่องจากสามารถใส่ไมโครโฟนในการรับเสียงได้เพิ่มขึ้น

ภายใน AirPods Max จะมีการฝังไมโครโฟนไว้ทั้งหมด 9 ตัว โดย 8 ตัวจะถูกนำมาใช้ในการเก็บเสียงทั้งภายนอก ภายในหูฟัง เพื่อให้ชิป H1 นำไปคำนวนคลื่นเสียงที่ส่งเข้ามา และปรับคลื่นเสียงให้เหมาะสมภายในหูฟัง ทำให้ได้ระบบตัดเสียงรบกวนที่ดีที่สุด ในขณะที่ไมโครโฟนตัวที่ 9 จะถูกใช้ในการเก็บเสียงสนทนาเวลาใช้เป็นหูฟังบลูทูธปกติ

นอกเหนือจากโหมดตัดเสียงรบกวน ในโหมดรับเสียงจากภายนอก ก็ได้ใช้ประโยชน์ของไมโครโฟนทั้ง 8 ตัวในการรับ และประมวลผลเสียง ทำให้ผู้ใช้ได้ยินเสียงรอบข้างได้อย่างชัดเจน โดยไม่ต้องเอื้อมมือไปถอดหูฟังออกแต่อย่างใด

Spatial Audio เพิ่มประสบการณ์รับชมคอนเทนต์

อีกหนึ่งเทคโนโลยีเสียงที่ Apple ใส่มาให้ใช้งานใน AirPods Max คือระบบเสียงที่ติดตามทิศทางการหันของศีรษะ Spatial Audio ที่เริ่มเปิดให้ผู้ใช้งาน AirPods Pro บน iOS 14.3 ใช้งานมาแล้วก่อนหน้านี้

เมื่อ AirPods Max วางจำหน่ายก็รองรับระบบนี้เช่นเดียวกัน โดยจะนำข้อมูลจากเซ็นเซอร์ Accelerometers และ Gyroscopes มาผสมผสานกับข้อมูลของดีไวซ์ที่ใช้งานอย่าง iPhone หรือ iPad ในการระบุตำแหน่งของหูฟังที่สวมใส่

ทำให้เวลารับชมคอนเทนต์ที่รองรับระบบเสียง 5.1, 7.1 หรือ Dolby Atmos ทำงานร่วมกับ AirPods Max ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เสียงที่ออกมาเหมือนอยู่รอบๆ ตัวแบบ 360 องศา ช่วยให้การรับชมภาพยนต์สนุกขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

สรุป

แน่นอนว่า AirPods Max นั้นต้องเหมาะกับผู้ที่มีอุปกรณ์ของ Apple ใช้งานอยู่แล้ว เพราะถ้าซื้อมาใช้งานคู่กับแอนดรอยด์โฟน ฟีเจอร์อย่าง Spatial Audio หรือการสลับการใช้งานระหว่างอุปกรณ์แบบอัจฉริยะก็จะหายไป ดังนั้นผู้ที่เหมาะกับ AirPods Max คงหนีไม่พ้นผู้ที่มี iPhone iPad ใช้งานเป็นอุปกรณ์หลัก

ในขณะที่คุณภาพของหูฟัง เสียง และเทคโนโลยีที่ได้ เมื่อเทียบกับราคา ต้องยอมรับว่า Apple ทำการบ้านมาได้เป็นอย่างดี ด้วยวัสดุที่เลือกใช้งาน การปรับ Adaptive EQ ที่ฉลาด ระบบตัดเสียงรบกวน Active Noise Cancellation ที่ทำได้ตามมาตรฐานของหูฟังระดับนี้

อย่างไรก็ตาม AirPods Max อาจจะไม่เหมาะกับการนำไปใช้สำหรับการออกกำลังกาย เนื่องจากหูฟังไม่ได้ถูกออกแบบมาให้กันน้ำ เหมือนกับ AirPods Pro หรือนำไปใช้กับการรับฟังเสียงเพื่อใช้งานตัดต่อที่ต้องการความแม่นยำของเสียง เพราะตัวหูฟังจะมีการปรับแต่งเสียงให้ดีที่สุดตลอดเวลา

สุดท้ายก็คือ AirPods Max ไม่ได้มีช่องเสียบสาย 3.5 มม. มาให้ ถ้าต้องการนำไปใช้กับอุปกรณ์อื่นๆ ต้องจ่ายเงินซื้อสาย Lightning to 3.5 มม. อีก 1,290 บาท เช่นเดียวกับการที่ในกล่องไม่มีอะเดปเตอร์ชาร์จมาให้ด้วย

Apple วางจำหน่าย AirPods Max ด้วยกันทั้งหมด 5 สี คือ เงิน เทาสเปซเกรย์ สกายบลู ชมพู และเขียว ในราคา 19,990 บาท ส่วนบริเวณโฟมหูฟัง หรือ Ear Cushions ในกรณีที่อยากสั่งเพิ่มมาสลับสี หรือเปลี่ยนใช้งานจะอยู่ที่ 2,290 บาท มีให้เลือก 5 สีเช่นเดียวกัน

Gallery

]]>
Review : Apple iPhone 12 จุดเริ่มต้นของยุค 5G และการเปลี่ยนดีไซน์ในรอบหลายปี https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-iphone-12/ Wed, 25 Nov 2020 01:00:31 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34208

ในปีนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ แอปเปิล (Apple) มีการเปิดตัว iPhone พร้อมกันทั้งหมด 4 รุ่นย่อย จากในช่วงหลังๆ ที่เลือกนำเสนอพร้อมกัน 3 รุ่นย่อย ตั้งแต่ในยุค iPhone X ต่อด้วย Xs และ 11 โดยมีการเพิ่มไลน์อย่าง iPhone 12 mini ที่กลายมาเป็นรุ่นเริ่มต้นแทน

สีของ iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max

สีของ iPhone 12 และ iPhone 12 mini

ความพิเศษของ iPhone 12 Series คือทั้ง 4 รุ่น 3 ขนาด มีสเปกชิปประมวลผลเดียวกัน ทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมไม่แตกต่างกัน จะมีจุดที่ต่างกันหลักๆ คือเรื่องของแบตเตอรี ขนาดหน้าจอ และกล้องที่ไล่ระดับความสามารถกันไป

ที่สำคัญคือทุกรุ่นรองรับการเชื่อมต่อ 5G ทันทีที่ใส่ซิมใช้งาน จึงกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาดสมาร์ทโฟนในประเทศไทย ที่ปัจจุบันผู้ให้บริการเครือข่ายอย่างเอไอเอส และทรูมูฟ เอช เริ่มให้บริการครอบคลุมในพื้นที่หลักๆ ทั่วประเทศแล้ว

ข้อดี

  • มีตัวเลือกให้เหมาะกับการใช้งานที่หลากลาย
  • ทุกรุ่นประสิทธิภาพเท่ากัน รองรับ 5G ทั้งหมด
  • ดีไซน์ปรับใหม่ ให้ความรู้สึกแข็งแรง
  • หน้าจอ Super Retina XDR ให้สีสวย คมชัด

ข้อสังเกต

  • ภายในกล่องไม่มีแถมอะเดปเตอร์ และหูฟังมาให้
  • แบตเตอรี หมดค่อนข้างเร็วเมื่อเชื่อมต่อ 5G – เล่นเกมหนักๆ
  • ขอบเครื่องรุ่น Pro ติดรอยนิ้วมือค่อนข้างง่าย

รู้จักความเหมือนของทั้ง 4 รุ่น

เมื่อมีตัวเลือกให้เลือกหลากหลายรุ่น ทำให้คำถามที่เกิดขึ้นคือ แต่ละรุ่นมีความแตกต่างกันอย่างไร เพื่อให้เห็นข้อมูลที่ชัดเจนมากขึ้น ขอเริ่มจากสิ่งที่ทั้ง 4 รุ่นเหมือนกันก่อน เพื่อแสดงให้เห็นภาพรวมของ iPhone 12 Series นี้

โดยเริ่มที่ขุมพลังของ iPhone ที่ช่วยให้การใช้งานลื่นไหล และประมวลผลข้อมูลต่างๆ ได้เป็นอย่างดี คือ Apple A14 Bionic ที่เริ่มนำมาใช้งานเป็นครั้งแรกใน iPad Air ที่เปิดตัวในเดือนที่ผ่านมา ก่อนนำมาใช้งานกับ iPhone 12 Series ในรอบนี้

Apple A14 Bionic ถือเป็นชิปเซ็ตที่พัฒนาขึ้นบนสถาปัตยกรรมแบบ 5 นาโนเมตร ที่แบ่งหน่วยประมวลผลออกเป็น 6 คอร์ โดย 2 คอร์สำหรับการประมวลผลระดับสูง และ 4 คอร์ที่ปรับแต่งมาให้รองรับการประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ GPU ใน A14 Bionic ยังช่วยประมวลผลให้ตัวเครื่องสามารถเล่นเกมประสิทธิภาพสูง การแสดงภาพสมจริง จนถึงการปรับแต่งวิดีโอให้แสดงผลได้ดียิ่งขึ้น ทำงานร่วมกับ NPU แบบ 16 คอร์ ที่จะเรียนรู้พฤติกรรมการใช้งานและปรับแต่งให้เหมาะสมที่สุด

ทดสอบความเร็ว AIS 5G ทำความเร็วได้ต่อเนื่องที่ 1 Gbps (ถ้าไม่มีแพ็กเกจ Unlimited ไม่แนะนำให้กดทดสอบความเร็ว)

ถัดมาคือเรื่องของการรองรับการเชื่อมต่อ 5G ซึ่งทางแอปเปิล ปล่อย Carrier Update ให้ผู้ใช้งาน iPhone 12 ในไทยสามารถเชื่อมต่อ 5G ได้ทันที โดยหลังจากที่เปิดเครื่องทำการอัปเดตเฟิร์มแวร์ และซิมการ์ดมีการเปิดใช้งาน 5G ก็จะจับสัญญาณใช้งานได้ทันที

ขอบเครื่องเหลี่ยม เหมือนใน iPhone 5s

ต่อด้วยในเรื่องของดีไซน์ ที่ในปีนี้มีการปรับโฉมกลับมาใช้รูปทรงแบบขอบเหลี่ยมตัดแทน โดยใน iPhone 12 mini และ iPhone 12 จะใช้วัสดุเป็นอะลูมิเนียมเกรดเดียวกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมอวกาศ ในขณะที่รุ่น Pro จะใช้วัสดุเป็นสแตนเลสสตีล 

โดยกระจกหน้าจอของทั้ง 4 รุ่น จะมีการเคลือบ Ceramic Shiled ช่วยป้องกันแรงกระแทกของจอภาพได้ดีขึ้นถึง 4 เท่า แต่ไม่ได้กันในเรื่องของรอยขีดข่วนอยู่เช่นเดิม อย่างไรก็ตามทุกรุ่นมาพร้อมการป้องกันน้ำระดับ IP68 ทำให้สามารถทนน้ำได้ลึก 6 เมตร 30 นาที

ระบบการปลดล็อกเครื่องยังคงเป็น Face ID ที่ทำงานร่วมกับกล้องหน้าแบบ TrueDepth ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/2.2 ทั้ง 4 รุ่น ซึ่งยังรองรับการปลดล็อกด้วยใบหน้าในแนวตั้งเท่านั้น ไม่ได้ถูกปรับให้สามารถปลดล็อกทุกมุมเหมือนใน iPad Pro

ทุกรุ่นยังรองรับการใช้งาน MagSafe ที่เป็นรูปแบบใหม่ของการชาร์จไร้สาย และใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เสริม ด้วยการนำจุดเด่นของแม่เหล็กมาใช้งาน ทำให้สามารถเชื่อมต่อกับเคสใส่นามบัตร และอื่นๆ ที่จะพัฒนาต่อไปในอนาคตด้วย

รวมจุดต่างของทั้ง 4 รุ่น

เมื่อเห็นจุดที่เหมือนกันแล้ว มาดูถึงจุดต่างของเครื่องทั้ง 4 รุ่นกันบ้าง ที่จะมีความแตกต่างเล็กน้อยๆ ไล่ระดับกันไป บนพื้นฐานของการใช้งานที่ไม่แตกต่างกันมากนัก ทำให้ในการเลือกใช้งานควรคำนึงถึงจุดต่างเหล่านี้

เริ่มกันที่หน้าจอ iPhone 12 Series ทุกรุ่นจะมากับหน้าจอ Super Retina XDR ที่เป็นหน้าจอ OLED ให้ความละเอียด และความคมชัดที่ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้า โดยในรุ่น iPhone 12 mini และ iPhone 12 จะให้ความสว่างหน้าจอ 625 nit ในขณะที่ iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max จะอยู่ที่ 800 nit

iPhone 12 mini มากับหน้าจอ 5.4 นิ้ว ความละเอียด 2340 x 1080 พิกเเซล ขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 131.5 x 64.2 x 7.4 มิลลิเมตร น้ำหนัก 135 กรัม

ส่วน iPhone 12 และ iPhone 12 Pro มีขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้ว ความละเอียด 2532 x 1170 พิกเซล ขนาดตัวเครื่อง 146.7 x 71.5 x 7.4 มิลลิเมตร เท่ากันทั้งหมด ทำให้สามารถใช้อุปกรณ์เสริมร่วมกันได้ โดยน้ำหนักของ iPhone 12 จะเบากว่าที่ 164 กรัม ส่วน iPhone 12 Pro หนัก 189 กรัม

iPhone 12 Pro Max ที่เป็นรุ่นใหญ่สุดในปีนี้ ปรับขนาดหน้าจอมาเป็น 6.7 นิ้ว ความละเอียด 2778 x 1284 พิกเซล ขนาดตัวเครื่อง 160.8 x 78.1 x 7.39 มิลลิเมตร น้ำหนัก 228 กรัม

iPhone 12 mini และ iPhone 12 มีให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 5 สี คือ ดำ ขาว น้ำเงิน เขียว และแดง ส่วน iPhone 12 Pro และ 12 Pro Max มีให้เลือก 4 สี คือ กราไฟต์ เงิน ทอง และแปซิฟิกบลู

ให้ความสำคัญกับกล้องถ่ายภาพ

iPhone 12 mini และ iPhone 12 ใช้เลนส์คู่ UltraWide – Wide

ในเรื่องของกล้องถ่ายภาพใน iPhone 12 mini และ iPhone 12 จะมากับกล้องคู่เลนส์ไวด์ และอัลตร้าไวด์ ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล โดยเลนส์มุมกว้างจะมากับ f/2.4 และเลนส์หลักเป็น f/1.6 ช่วยให้สามารถเก็บรายละเอียดภาพในที่แสงร้อยได้ดีขึ้น รองรับการซูมดิจิทัลที่ 5 เท่า

โดยเลนส์อัลตร้าไวด์ที่ใช้จะเป็นเลนส์เดียวกันหมดทั้ง 4 รุ่น ส่วนเลนส์ไวด์ จะถูกนำมาใช้กับ iPhone 12 Pro ด้วย เพิ่มเติมด้วยเลนส์เทเลโฟโต้ f/2.0 ที่รองรับการซูมออปติคอล 2 เท่า เทียบเท่าเลนส์ 52 มม. ซูมดิจิทัลได้ 10 เท่า

iPhone 12 / iPhone 12 Pro Max / iPhone 12 Pro

สุดท้ายในส่วนของ iPhone 12 Pro Max ที่มีความพิเศษในเลนส์ไวด์ ด้วยการใช้เซ็นเซอร์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น รองรับระบบกันสั่น OIS ที่เซ็นเซอร์ f/1.6 เช่นเดียวกัน ทำให้สามารถบันทึกภาพในที่แสงน้อยได้ดีกว่ารุ่นอื่น รวมถึงการเพิ่มระยะเลนส์เทเลโฟโต้เป็น 65 มม. หรือซูมออปติคัล 2.5 เท่า ทำให้รองรับการซูมดิจิทัลได้สูงสุดที่ 12 เท่า

อีกความพิเศษที่มีเฉพาะใน 12 Pro และ 12 Pro Max คือการเพิ่มเซ็นเซอร์ LiDAR แบบเดียวกับที่ใช้งานใน iPad Pro รุ่นล่าสุด เพื่อนำมาใช้ในการวัดระยะของพื้นผิว รวมถึงการคำนวนภาพ 3 มิติ ร่วมกับชิป A14 Bionic ซึ่งช่วยทำให้สามารถโฟกัสได้เร็วขึ้นในที่แสงน้อย รวมถึงการถ่ายภาพบุคคลในโหมดกลางคืนได้แม่นยำขึ้น

ทำให้รวมๆ แล้ว iPhone 12 Pro Max จะกลายเป็นรุ่นที่มีประสิทธิภาพในการถ่ายภาพนิ่ง และวิดีโอดีที่สุด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการคุณภาพที่ดีที่สุด รองลงมาด้วยรุ่น Pro ส่วน 12 และ 12 mini ก็ถือว่าเพียงพอกับการใช้งานทั่วไปแล้ว เพราะเลนส์หลักที่ใช้ใกล้เคียงกัน

สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายวิดีโอ ต้องยอมรับว่า iPhone 12 ที่รองรับการบันทึกวิดีโอแบบ HDR 10 บิต ในแบบ Dolby Vision ทำให้สามารถเก็บรายละเอียดสีได้ดีมากขึ้น และทำให้ภาพที่ดีมีชีวิตชีวา ที่สำคัญด้วยหน้าจอที่รองรับการแสดงผลแบบ HDR ยิ่งทำให้ภาพที่ได้มีคุณภาพมากขึ้นไปอีก

Smart Data ช่วยปรับโหมด 4G – 5G

การตั้งค่าเชื่อมต่อเครือข่าย 5G

ด้วยการที่ iPhone 12 รองรับ 5G ทั้ง 4 รุ่น ทำให้ผู้ที่ใช้งานเครือข่าย 5G จะพบว่าตัวเครื่องใช้พลังงานแบตเตอรีมากกว่าปกติ ดังนั้น ในการใช้งานแนะนำให้เปิดโหมด Smart Data ทิ้งไว้ เนื่องจากตัวเครื่องจะคอยคำนวนว่า เมื่อถึงรูปแบบการใช้งานที่จำเป็น ตัวเครื่องจะสลับการเชื่อมต่อระหว่าง 4G และ 5G ให้แบบอัตโนมัติ

ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีการใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์ก หรือแอปพลิเคชันในการสื่อสารผ่านตัวอักษรทั่วไป ความเร็วในการเชื่อมต่อผ่าน 4G นั้นเพียงพออยู่แล้ว ตัวเครื่องก็จะเลือกใช้งานเครือข่าย 4G เป็นหลัก จึงไม่แปลกที่เมื่อใช้งานทั่วไปจะเห็นสัญลักษณ์ 4G แสดงขึ้นบนหน้าจอ แม้ว่าจะอยู่ในพื้นที่ 5G ครอบคลุมก็ตาม

ในอีกกรณีหนึ่งถ้ามีการเรียกใช้งานระบบสตรีมมิ่ง วิดีโอคอลล์ หรือเล่นเกม ตัวเครื่องก็จะเปลี่ยนไปจับสัญญาณ 5G แทน เพื่อให้การดาวน์โหลดข้อมูลทำได้รวดเร็วมากขึ้น และช่วยให้สามารถโทรผ่าน FaceTime ได้ละเอียดถึงระดับ Full HD 1080p ด้วย

ทั้งนี้ iPhone 12 ทุกรุ่นที่วางขายในไทยจะรองรับการเชื่อมต่อ 5G แบบ Sub-6 หรือคลื่นความถี่ต่ำกว่า 6 GHz เท่านั้น ไม่ได้รองรับคลื่นความถี่ระดับ mmWave ดังนั้น คลื่นหลักที่นำมาใช้งานในไทยจึงเป็นคลื่น 2600 MHz ในปัจจุบัน และช่วงต้นปีหน้าจะมีเพิ่มคลื่น 700 MHz เข้ามาให้ใช้งาน

MagSafe กับกับวิธีการชาร์จไร้สายรูปแบบใหม่

นอกเหนือจากตัวเครื่องแล้วอีกนวัตกรรมที่แอปเปิล พัฒนาขึ้น และนำมาใช้งานร่วมกับ iPhone 12 คือการชาร์จไร้สาย และการเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริมรูปแบบใหม่อย่าง MagSafe ที่นำชื่อของระบบชาร์จในแมคบุ๊กที่เป็นแม่เหล็กช่วยเพิ่มความปลอดภัยขณะชาร์จแบตมาใช้งาน

การทำงานของ MagSafe ในเวลานี้จะมีด้วยกัน 2 ส่วนหลักๆ เริ่มจากใช้งานคู่กับแท่นชาร์จ MagSafe ที่พัฒนาขึ้นมาจากระบบชาร์จไร้สาย Qi ทำให้ชาร์จได้แรงขึ้นเป็น 15W จากปกติที่ 7.5W โดยมีข้อจำกัดว่าต้องใช้งานร่วมกับอะเดปเตอร์แบบ 20W ที่แอปเปิลวางจำหน่ายในราคา 690 บาท ด้วย

อีกรูปแบบหนึ่งคือการนำแม่เหล็กของ MagSafe มาใช้งานกับอุปกรณ์เสริม โดยเฉพาะในเคสสีสันและลวดรายต่างๆ ที่ทำงานร่วมกับกระเป๋าสตางค์หนัง สำหรับใส่นามบัตรแปะไว้ที่หลังเครื่องเป็นต้น

ข้อดีอย่างหนึ่งของ MagSafe คือมีการยึดติดกับตัวเครื่องที่แน่นหนา สามารถยกตัวเครื่องให้ลอยขึ้นมาได้ และช่วยให้สามารถเล่นเกมระหว่างชาร์จแบตเตอรีไปได้ด้วย จากเดิมในการชาร์จแบบมีสายจะทำให้เล่นเกมในแนวนอนไม่สะดวก

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของอุปกรณ์เสริมอย่างซองหนัง เวลาใส่ใช้งานต้องระวังเวลาเก็บ iPhone ใส่เข้าไปในกระเป๋ากางเกงพอสมควร เนื่องจากลื่นหลุดค่อนข้างง่าย เมื่อมีแรงดึงจากด้านข้าง แต่ถ้าเก็บใช้งานในกระเป๋าถือทั่วไปน่าจะไม่เจอปัญหานี้

ไม่แถมอะเดปเตอร์หูฟัง ลดขนาดกล่อง

การที่แอปเปิล ไม่แถมอะเดปเตอร์ชาร์จ ใน iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่นนั้น แม้ว่าจะมีการยกเหตุผลอย่างเรื่องการรักษ์โลกมาใช้ แต่ในความเป็นจริงแล้วกลายเป็นการผลักภาระให้ผู้บริโภคต้องซื้ออะเดปเตอร์มาใช้งานเพิ่มเติม แม้ว่าแอปเปิลจะระบุว่า ทุกคนมีหัวชาร์จ iPhone ใช้งานอยู่แล้วก็ตาม

โดยการที่แอปเปิล ไม่แถมทั้งอะเดปเตอร์ และหูฟังมานั้น ช่วยให้ลดขนาดกล่องของ iPhone ลงมาได้เกือบ 50% จากที่เห็นในรูปคือกล่องของ iPhone 11 Pro Max 1 กล่อง จะใกล้เคียงกับ iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max รวมกัน 2 กล่องเลยทีเดียว

สำหรับอะเดปเตอร์ชาร์จนั้น ประเด็นหนึ่งที่ควรคำนึงถึงก็คือผู้ที่ใช้งาน iPhone รุ่นก่อนหน้านี้ ถ้าไม่ใช่ iPhone 11 Pro หรือ iPhone 11 Pro Max ทุกรุ่นจะแถมอะเดปเตอร์แบบ 5W ที่เป็นหัวชาร์จ USB Type A to Lightning มาให้ ในขณะที่สายชาร์จที่แถมกับ iPhone 12 นั้นเป็น USB Type C to Lightning

นั่นแปลว่าอะเดปเตอร์ของ iPhone รุ่นก่อนหน้าจะไม่สามารถนำมาใช้กับอุปกรณ์ในกล่องที่แอปเปิลแถมมาให้ได้ หรือถ้านำสายเก่ามาใช้ชาร์จก็จะชาร์จได้ช้ามาก โดยในรุ่น 12 Pro Max ถ้าต้องการชาร์จจนเต็มอาจใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมงกว่าๆ

ในขณะที่ถ้าใช้งานร่วมกับอะเดปเตอร์ 20W ขึ้นไป จะสามารถชาร์จ 50% ได้ ภายใน 30 นาที และใช้เวลารวมไม่ถึง 2 ชั่วโมงในการชาร์จจนเต็ม ดังนั้น ในการซื้อ iPhone 12 มาใช้ควรเผื่อเงินอีก 690 บาทไปซื้ออะเดปเตอร์ชาร์จด้วย

ส่วนในเรื่องของหูฟังนั้น ถือว่ายอมรับได้ เพราะปัจจุบันหูฟังแบบไร้สายได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น และสามารถหาซื้อได้ตั้งแต่ราคาไม่กี่ร้อยบาท ไปจนถึงหลักหมื่นบาท ซึ่งเชื่อว่าผู้ที่ใช้งาน iPhone ส่วนใหญ่จะเริ่มมีหูฟังไร้สายใช้งานกันแล้ว จึงไม่ได้ติดอะไร

ภาพรวมตัวเครื่อง

ในส่วนของตัวเครื่อง iPhone นั้น ในรอบนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงเลย์เอาท์บางส่วน อย่างการเปลี่ยนช่องใส่นาโนซิมการ์ดมาอยู่ทางด้านซ้ายตัวเครื่อง ถัดจากปุ่มปิดเสียง และเพิ่มลดเสียง

ทางฝั่งขวายังคงเป็นปุ่มเปิดเครื่อง และเรียกใช้งาน Siri (ถ้าต้องการปิดเครื่องให้กดปุ่มเปิดเครื่อง พร้อมกับปุ่มเพิ่มเสียงค้างไว้) ด้านบนจะเป็นแถบรับสัญญาณโทรศัพท์มือถือ

ด้านล่างจะเป็นพอร์ต Lightning ที่มีช่องลำโพงอยู่ข้างๆ โดยถ้าสังเกตทั้ง 4 รุ่น จะพบว่าลำโพงของ iPhone 12 mini จะมีรูที่น้อยกว่า iPhone 12 และ iPhone 12 Pro เช่นเดียวกับที่ iPhone 12 Pro Max จะมีรูลำโพงมากที่สุดด้วย

ในส่วนของการเชื่อมต่อนอกจาก 5G ที่เป็นเทคโนโลยีใหม่แล้ว ยังรองรับ WiFi 6 บลูทูธ 5.0 มีชิป UltraWide Band ช่วยในการรับรู้ตำแหน่งของอุปกรณ์ต่างๆ มีชิป NFC มาให้ใช้งานได้ครบถ้วน บนระบบปฏิบัติการ iOS 14.2

สำหรับราคาจำหน่ายของ iPhone 12 mini เริ่มต้นที่ 25,900 บาท iPhone 12 เริ่มต้นที่ 29,900 บาท iPhone 12 Pro เร่ิมที่ 36,900 บาท และ iPhone 12 Pro Max เริ่มที่ 39,900 บาท

สรุป

เป็นอีกครั้งที่แอปเปิล ทำ iPhone รุ่นใหม่ออกมาได้น่าสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องการที่ทำให้ทุกรุ่นรองรับการเชื่อมต่อ 5G และมีตัวเลือกที่หลากหลาย เริ่มตั้งแต่ iPhone 12 mini ที่ปัจจุบันเป็นสมาร์ทโฟนที่รองรับ 5G ที่บางที่สุดในโลก

ในส่วนของ iPhone 12 ที่คาดว่าจะเป็นรุ่นขายดีที่สุด เรียกได้ว่าพัฒนาขึ้นมาจาก iPhone 11 ได้แบบก้าวกระโดด และกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มีงบประมาณจำกัด แล้วต้องการ iPhone ที่ครบเครื่อง

สุดท้ายคือ iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max ที่ขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งานเลยว่าต้องการเครื่องที่มีขนาดหน้าจอใหญ่ขึ้นหรือไม่ ถ้าไม่ต้องการ 12 Pro ก็ถือว่าตอบโจทย์การใช้งานแล้ว แต่ถ้าต้องการจอใหญ่ และมีงบประมาณเหลือเฟือการเลือก 12 Pro Max ก็ถือเป็นรุ่นที่จบที่สุด

ชมภาพตัวอย่างจาก iPhone 12 ได้ที่นี่ 

Gallery

]]>
Review : Apple iPad Air (2020) เปลี่ยนโฉม พร้อมชิป A14 Bionic ที่แรงขึ้น https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-ipad-air-2020/ Wed, 21 Oct 2020 13:00:45 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=33970

การปรับโฉมของ Apple iPad Air รุ่นที่ 4 หรือ iPad Air 2020 นั้น กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ไลน์ผลิตภัณฑ์แท็บเล็ตของ แอปเปิล นั้นมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพื่อตอบรับกับรูปแบบการใช้งานที่หลากหลายของผู้บริโภค

โดยจุดเด่นของ iPad Air (2020) นอกจากการปรับดีไซน์มาในลักษณะเดียวกันกับ iPad Pro 11” มีให้เลือกหลายสีสัน แล้วยังนำความสามารถหลายๆ อย่างมาให้ใช้งาน โดยเฉพาะพอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB-C ทำให้สามารถใช้ iPad Air เชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมได้หลากหลายขึ้น

ในขณะเดียวกัน ยังมีการนำชิป Apple A14 Bionic ที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบ 5 นาโนเมตร ที่ประมวลผลเร็วขึ้น พร้อมกับเปลี่ยนปุ่มเปิดปิดเครื่องให้กลายเป็น Touch ID เพื่อปลดล็อกตัวเครื่องด้วยการสแกนลายนิ้วมือ สำหรับราคาเริ่มต้นของ iPad Air 2020 อยู่ที่ 19,900 บาท

ข้อดี

  • ดีไซน์ใหม่ มีสีให้เลือกเพิ่มขึ้น จอใหญ่ขึ้น
  • ยังมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือให้ใช้งาน
  • พอร์ตเชื่อมต่อ USB-C
  • ใช้งานอุปกรณ์เสริมร่วมกับ iPad Pro 11” ได้

ข้อสังเกต

  • ยังไม่รองรับ FaceID
  • จอยังเป็น Refresh Rate 60 Hz
  • ถ้าต้องการใช้ปากกาต้องซื้อ Apple Pencil เพิ่มอีก 4,490 บาท

ปรับโฉมใหม่ ประสิทธิภาพดีขึ้น

แม้ว่ารูปทรงของ iPad Air รุ่นนี้จะไม่ได้ถูกออกแบบใหม่หมดเสียทีเดียว เพราะเป็นการนำดีไซน์ของ iPad Pro 11 นิ้ว มาใช้ แต่ก็ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับสินค้าในตระกูลของ iPad Air

โดยแต่เดิม iPad Air รุ่นแรกจะมีขนาดหน้าจออยู่ที่ 9.7 นิ้ว ก่อนปรับมาเป็นขนาด 10.5 นิ้ว ในรุ่นที่ 3 (2019) และล่าสุดในการปรับดีไซน์มาเป็นเครื่องสี่เหลี่ยมขอบตัดในรุ่นที่ 4 นี้ ขนาดหน้าจอของ iPad Air ก็เพิ่มขนาดขึ้นเป็น 10.9 นิ้ว ในขนาดตัวเครื่องใกล้เคียงเดิม

คุณสมบัติของหน้าจอ iPad Air นั้นใช้จอภาพแบบ Liquid Retina ขนาด 10.9 นิ้ว ให้ความละเอียด 2360 x 1640 พิกเซล 264 ppi มีการเคลือบสารกันรอยนิ้วมือ และแสงสะท้อน แสดงผลสีขอบเขตกว้างระดับ P3 เพียงแต่ว่ายังใช้อัตราแสดงผล (Refresh Rate) ที่ 60 Hz

ส่วนบนหน้าจอมีกล้องหน้าความละเอียด 7 ล้านพิกเซล f/2.2 ให้ไว้ใช้งานร่วมกับ FaceTime HD และบันทึกวิดีโอได้ความละเอียดสูงสุด 1080p ที่ 60fps ซึ่งยังไม่ได้นำชุดกล้อง FaceID มาใช้งานใน iPad Air รุ่นนี้

ตัวเครื่องโดยรวมจะอยู่ที่ขนาด 247.6 x 178.5 x 6.1 มิลลิเมตร น้ำหนัก 458 กรัม มีให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 5 สี แบ่งเป็นสีเริ่มต้นอย่าง เทาสเปซเกรย์ เงิน โรสโกลด์ เขียว และสกายบลู

อีกจุดที่น่าสนใจคือบริเวณปุ่มเปิดปิดเครื่อง ที่ Apple มีการนำ TouchID มาใช้งานร่วมกับปุ่มนี้บน iPad เป็นครั้งแรก จากเดิมที่ใช้ร่วมกับปุ่ม Home ทั้งบน iPhone และ iPad รุ่นเก่า กับบน MacBook ที่มีการฝั่งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือบนปุ่มเปิดเครื่อง

ด้านขวาของเครื่องยังเป็นแม่เหล็กที่ใช้เชื่อมต่อกับ Apple Pencil 2 ไว้สำหรับจับคู่ และชาร์จแบตในตัว ซึ่งแน่นอนว่าใครที่ใช้งาน Apple Pencil รุ่นแรกอยู่ พออัปเกรดมาใช้งาน iPad Air ใหม่นี้ก็ต้องซื้อ Apple Pencil 2 ใหม่ด้วย

ด้านหลังตัวเครื่อง iPad Air จะมากับกล้องความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/1.8 รองรับการถ่ายวิดีโอระดับ 4K ซึ่งเป็นเลนส์เดียวกับใน iPad Pro แต่จะไม่มีเลนส์วัดระยะ LiDAR Scanner มาให้ด้วยนั่นเอง ส่วนล่างก็จะเป็นคอนเนคเตอร์ในการเชื่อมต่อกับคีย์บอร์ด

สำหรับพอร์ตเชื่อมต่อที่ให้เป็น USB-C นั้นจะอยู่ที่ด้านล่างเครื่องถ้าถือใช้งานในแนวตั้ง และทางขวา ในกรณีที่ใช้งานร่วมกับ Magic Keyboard โดยใช้เป็นพอร์ตสำหรับเชื่อมต่อสายชาร์จ ถ่ายโอนข้อมูลสูงสุด 5 Gbps เชื่อมต่อกับกล้องดิจิทัล ฮาร์ดดิสก์พกพา และต่อจอภาพได้ความละเอียดสูงสุด 4K

ภายในกล่องจะมีอะเดปเตอร์ชาร์จไฟแบบ 20W มาให้ พร้อมสาย USB-C ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก iPad Pro ที่เป็นแบบ 18W และได้กลายเป็นอะเดปเตอร์ USB-C มาตรฐานของ Apple ที่ใช้งานในปัจจุบันแล้ว

สเปก

สำหรับ iPad Air จะมากับหน่วยประมวลผล A14 Bionic ที่นำสถาปัตยกรรมแบบ 5 นาโนเมตร มาใช้งาน ร่วมกับทรานซิสเตอร์ 11,800 ล้านตัว เพื่อช่วยประมวลผลภายในซีพียูแบบ 6 คอร์ โดยแบ่งเป็น 2 คอร์ ที่เน้นการประมวลผลหนักๆ และอีก 4 คอร์ มาใช้เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ

พร้อมกันนี้ ยังมากับกราฟิกแยกอีก 4 คอร์ ทำให้สามารถประมวลผลทั้งการเล่นเกม ตัดต่อวิดีโอ จนถึงเรนเดอร์คอนเทนต์ 3มิติ ได้รวดเร็วขึ้น และยังเป็นชิปเซ็ตที่ใส่ Neural Engine มาใช้เรียนรู้การใช้งานเพิ่มเติมด้วย

ด้านการเชื่อมต่อ iPad Air จะมีทั้งรุ่น WiFi และรุ่น Cellular ที่เป็น 4G LTE  ซึ่งรองรับการใช้งาน WiFi 6 Bluetooth 5.0 ทำงานบนระบบปฏิบัติการ iPadOS 14 ที่ช่วยปลดล็อกการใช้งาน iPad ให้ดีขึ้น

ความแตกต่างกับ iPad Pro

(ซ้าย) iPad Pro 11″ (ขวา) iPad Air

ด้วยการที่ตัวเครื่อง iPad Air รุ่นที่ 4 นี้ นำดีไซน์ของ iPad Pro มาใช้งาน ทำให้มีความสงสัยตามมาว่า แล้ว 2 รุ่นนี้แตกต่างกันอย่างไร ถ้าต้องเลือกใช้งานระหว่าง 2 รุ่นนี้ มีอะไรที่ต้องคำนึงถึงบ้าง

จุดหลักๆ ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดนอกเหนือจากหน้าจอ 10.9 นิ้ว และ 11 นิ้ว แล้ว ก็คือการที่ iPad Air ไม่มี FaceID เพราะมากับปุ่ม TouchID แทน ยังมีเรื่องของการแสดงผลหน้าจอที่ iPad Pro มาพร้อมกับเทคโนโลยี ProMotion ที่แสดงผลในอัตรการ 120 Hz

ผลทดสอบประสิทธิภาพของ iPad Air

ผลทดสอบประสิทธิภาพของ iPad Pro 11″

นอกจากนี้ ชิปเซ็ต A12Z Bionic พร้อม RAM 6 GB ที่อยู่บน iPad Pro นั้น ยังคงแรงกว่า A14 Bionic RAM 5 GB ที่นำมาใช้งานกับ iPad Air ในกรณีที่เป็นการประมวลผลแบบ Multitasking ดังนั้น iPad Air จึงยังคงอยู่ตรงกลางระหว่าง iPad รุ่นปกติ และ iPad Pro อยู่เช่นเดิม

โดยการใช้งานของ iPad Air นั้นทำมารองรับผู้ที่เป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์มากยิ่งขึ้น ทั้งการเพิ่มพอร์ต USB-C และหน่วยประมวลผล A14 Bionic นั้นก็รองรับการประมวลผลสูงๆได้ ทำให้สามารถตัดต่อวิดีโอ 4K ทำกราฟิกต่างๆ บน iPad Air ได้ทันที

แต่แน่นอนว่าถ้าเป็นกลุ่มผู้ใช้งานที่เป็นมืออาชีพ ตัวเลือกอย่าง iPad Pro ที่มีขนาดหน้าจอ 11 นิ้ว และ 12.9 นิ้ว ให้เลือกยังเป็นรุ่นที่น่าสนใจมากกว่า แต่ก็แลกกับราคาที่สูงขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน

อุปกรณ์เสริมช่วยเพิ่มรูปแบบการใช้งาน

การใช้งาน iPad Air ให้ครบชุดนั้น นอกจากตัวเครื่อง iPad ที่มีราคาเริ่มต้นสำหรับรุ่น WiFi 64 GB อยู่ที่ 19,900 บาท 256 GB 24,900 บาท ขณะที่รุ่น Cellular เริ่มต้นที่รุ่น 64 GB 24,400 บาท และ 256 GB 29,400 บาท

iPad Air คู่กับ Magic Keyboard

ยังมีอุปกรณ์เสริมที่น่าสนใจอย่าง Apple Pencil 2 ราคา 4,490 บาท ตามด้วย Magic Keyboard ที่ 9,900 บาท หรือถ้าเลือกใช้งานเป็น Smart Keyboard จะอยู่ที่ 5,990 บาท ส่วน Smart Cover อยู่ที่ 2,990 บาท

iPad Air กับ Smart Cover

ดังนั้น ถ้าใครจะเลือกซื้อ iPad Air อย่าลืมเผื่องบประมาณสำหรับอุปกรณ์เสริมเพิ่มเติมด้วย เพื่อให้ได้ประสบการณ์ใช้งานที่ดีที่สุด แต่ถ้าไม่ได้ต้องใช้การป้อนข้อมูลด้วยคีย์บอร์ดมากนัก เลือกซื้อเฉพาะ iPad Air คู่กับ Apple Pencil 2 ก็เพียงพอกับการใช้งานแล้ว

ความรู้สึกหลังใช้งาน

ต้องยอมรับว่า Touch ID ที่แอปเปิล เลือกนำมาวางไว้ที่ปุ่มเปิดปิดเครื่อง นั้นช่วยให้ใช้งาน iPad Air ได้สะดวกขึ้น จากเดิมถ้าใช้งาน iPad Pro จะเจอปัญหาเดียวกับผู้ใช้งาน iPhone คือเวลาที่สวมหน้ากากอนามัย จะไม่สามารถปลดล็อกด้วย FaceID ได้

ทำให้การปลดล็อกตัวเครื่องกลับมาสะดวกเหมือนเดิมแล้ว ที่สำคัญคือในตอนที่เริ่มตั้งค่า Touch ID เหมือนแอปเปิลคิดมาให้แล้วว่ารูปแบบการจับถือใช้งาน iPad Air จะมีด้วยกัน 2 ลักษณะด้วยกัน

ประกอบด้วยการใช้งานแนวตั้ง ที่ปุ่มเปิดเครื่องอยู่ทางขวาบน ก็จะเริ่มแนะนำให้สแกนนิ้วชี้ข้างขวาก่อน หลังจากนั้นจึงให้ปรับตัวเครื่องในแนวนอน และสแกนนิ้วชี้ข้างซ้ายแทน ช่วยให้เวลาถือเครื่องใช้งานสามารถปลดล็อกได้สะดวก

คำถามที่ตามมาคือทำไม แอปเปิล ไม่นำ Touch ID บนปุ่มเปิดเครื่องมาใช้งานกับ iPhone 12 ด้วย เพราะเชื่อว่าทุกคนยังต้องใส่หน้ากากใช้ชีวิตเวลาอยู่นอกบ้านกันอีกพักใหญ่จนกว่าวัคซีนป้องกันโควิด-19 จะออกมาให้ได้ฉีดกัน

ในส่วนของประสิทธิภาพ iPad Air นั้นยอมรับว่า A14 Bionic ทำได้ประทับใจ เพราะจากที่ทดสอบใช้งานเล่นเกม ประมวลผลหนักๆ หรือตัดต่อวิดีโอระดับ 4K ความเร็ว และความลื่นไหลที่ได้ ถือว่าตอบโจทย์ทั้งหมด แบตเตอรีใช้งานได้ทั้งวันสบายๆ

สรุป

รวมๆ แล้ว iPad Air จะกลายเป็นตัวเลือกแท็บเล็ต สำหรับผู้ที่ต้องการใช้งาน iPad ในขั้นสูงมากขึ้น เมื่อเทียบกับ iPad รุ่นปกติ เมื่อใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เสริมของ iPad Pro 11 นิ้ว ได้ ยิ่งทำให้ iPad Air มาใช้ทำงานบางส่วนแทนคอมพิวเตอร์ได้แล้วเช่นกัน

ทั้งนี้ ด้วยระดับราคาของ iPad Air ที่ถ้าจะซื้อใช้งานจริงๆ ควรเลือกเป็นรุ่น 256 GB เพื่อให้สามารถเก็บไฟล์ข้อมูลรูปภาพ หรือวิดีโอ ได้เพียงพอ ก็จะขึ้นไปอยู่ราว 24,900 บาท ก็ถือว่าค่อนข้างสูง เพราะถ้าซื้อร่วมกับ Apple Pencil 2 ก็ขึ้นไปอยู่เกือบ 30,000 บาทแล้ว

อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่ได้ต้องการ iPad ที่มีขนาดหน้าจอใหญ่ สวยขึ้น ได้เทคโนโลยีประมวลผลใหม่ เน้นการใช้งานอินเทอร์เน็ต โซเชียลมีเดียทั่วๆ ไป iPad รุ่นที่ 8 ซึ่งมากับ A12 Bionic ก็เพียงพอกับการใช้งานอยู่แล้ว ไม่ได้จำเป็นที่จะต้องอัปเกรดมาใช้งานเป็น iPad Air แต่อย่างใด

Gallery

]]>
Review : Apple Watch Series 6 / SE พัฒนาการสู่สมาร์ทวอทช์เพื่อสุขภาพยิ่งขึ้น https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-watch-series-6-se/ Mon, 19 Oct 2020 07:38:44 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=33937

Apple Watch ได้กลายมาเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ Wearable คู่ใจผู้ที่ใช้งาน iPhone และกลายเป็นสมาร์ทโฟนซีรีส์หนึ่งที่ขายดีที่สุดในโลก ซึ่งนอกจากความสามารถในการเชื่อมต่อกับ iPhone เพื่อแจ้งเตือนแล้วในช่วงหลังๆ ได้พัฒนาความสามารถเกี่ยวกับสุขภาพมากยิ่งขึ้น

โดยใน Apple Watch Series 6 ได้มีการเพิ่มความสามารถใหม่เกี่ยวกับอย่างการวัดค่าออกซิเจนในเลือด ในเวลา 15 วินาที เมื่อประกอบกับความสามารถของ watchOS 7 ที่รองรับการตรวจจับการนอน และความสามารถเดิมอย่างการวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ยังไม่สามารถใช้งานในไทย) ทำให้ Apple Watch สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น

ขณะเดียวกัน Apple Watch Series 6 ได้มีการเพิ่มประสิทธิภาพตัวเครื่อง รองรับการเชื่อมต่อ WiFi 5 GHz เพิ่มสีใหม่อย่างน้ำเงิน และสีแดง ปรับปรุงจอแสดงผลให้สว่างขึ้นกว่ารุ่นเดิม และประหยัดพลังงานมากขึ้นด้วย

นอกเหนือจากรุ่นหลังแล้ว ในปีนี้ Apple ยังได้เปิดตัว Apple Watch SE ออกสู่ตลาด เพื่อมาเป็นตัวเลือกสมาร์ทวอทช์ประสิทธิภาพดีราคาประหยัดให้ผู้ใช้ iOS เลือกใช้งานเพิ่มเติม จากรุ่นเริ่มต้นที่เป็น Apple Watch Series 3

ข้อดี

  • Watch 6 รองรับการวัดค่าออกซิเจนในเลือด
  • Watch SE เป็นจะกลายเป็นรุ่นเริ่มต้นกับการใช้งานทั่วไป
  • การเพิ่มสีใหม่อย่าง สีแดง และน้ำเงิน ช่วยให้มีตัวเลือกหลากหลายมากขึ้น

ข้อสังเกต

  • ฟีเจอร์ ECG ยังไม่สามารถใช้งานในไทยได้
  • ระบบการวัดการนอนร่วมกับ watchOS 7 ยังเก็บข้อมูลได้ไม่ลึก ต้องใช้ร่วมกับแอปฯ ภายนอก
  • แบตเตอรี ยังใช้งานได้ประมาณ 1-2 วัน อยู่เช่นเดิม

Apple Watch 6 / Apple Watch SE เลือกรุ่นไหนดี?

Apple Watch 6 / Apple Watch 5 / Apple Watch SE

ด้วยการที่ปัจจุบัน Apple Watch มีตัวเลือกสำหรับการเลือกซื้อทั้งหมด 3 รุ่นด้วยกัน ประกอบไปด้วย Apple Watch 3 ซึ่งเป็นสมาร์ทวอทช์ที่เปิดตัวมา 3 ปีที่แล้ว แต่ปัจจุบันยังคงทำตลาดอยู่ ด้วยการปรับลดราคาลงมาให้น่าสนใจ

จนกลายเป็นตัวเลือกเริ่มต้นของผู้ที่ต้องการใช้งาน Apple Watch ร่วมกับ iPhone เพราะด้วยราคาเริ่มต้นที่ 6,400 บาท แต่สามารถใช้รับการแจ้งเตือน ตรวจวัดการออกกำลังกาย อัตราการเต้นของหัวใจได้ ทำให้เพียงพอกับการใช้งานทั่วๆ ไป

ถัดมาคือ Apple Watch SE หรือให้นึกภาพง่ายๆ คือ Apple Watch Series 4 ที่นำมาปรับปรุงให้กลายเป็นตัวเลือกใช้งานเพิ่มเติม ในราคาเริ่มต้นที่ 9,600 บาท โดยจุดเด่นของ Apple Watch SE เมื่อเทียบกับ Watch 3 คือมีขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น 30% เพิ่มเติมด้วยการตรวจจับการล้ม (Fall Detection) และมีรุ่น Cellular ให้เลือกใช้งาน

ดังนั้น Apple Watch SE จึงกลายเป็นรุ่นที่น่าสนใจถ้าต้องเลือกซื้อ Apple Watch ให้ผู้สูงอายุ หรือเด็กๆ ใช้งานแบบเริ่มต้น เพราะนอกเหนือจากคุณสมบัติทั่วไปของสมาร์ทวอทช์แล้ว การมีเซ็นเซอร์ตรวจจับการล้ม (ใช้เวลาผู้สูงอายุล้ม) และมี Cellular ในตัว จะช่วยให้สามารถแจ้งเตือนฉุกเฉินได้ทันที หรือแม้แต่ให้บุตรหลานใช้ ก็จะทำให้สามารถติดต่อได้ตลอดเวลา

สุดท้ายก็คือ Apple Watch 6 ที่กลายเป็นตัวเลือกหลักในการเลือกซื้อเพื่อใช้งานร่วมกับ iPhone โดยเฉพาะผู้ที่ใส่ใจด้านสุขภาพ และออกกำลังกายเป็นพิเศษ เพราะในรุ่นนี้ เพิ่มความสามารถอย่างการวัดค่าออกซิเจนในเลือด และยังมีเซ็นเซอร์วัดระดับความสูงแบบเรียลไทม์เพิ่มขึ้นมา

จะเห็นได้ว่า Apple Watch แต่ละรุ่นมีรายละเอียดที่น่าสนใจในแต่ละระดับราคา ดังนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าต้องการเลือกใช้ Apple Watch ไปใช้งานในลักษณะไหน ถ้าแค่แจ้งเตือนข้อมูลต่างๆ Watch 3 รุ่นเริ่มต้นก็เพียงพอ แต่ต้องการเลือกให้ผู้สูงอายุ หรือบุตรหลานใช้ แต่ไม่ต้องการซื้อรุ่นราคาสูงก็หันมามอง Watch SE ได้ ส่วน Watch 6 ถือเป็นรุ่นมาตรฐานของปีนี้ ที่ได้ฟีเจอร์ครบถ้วนมากที่สุด

ข้อดีอย่างหนึ่งของ Apple Watch คือสายของรุ่น 38-40 มม. และ 42-44 มม. สามารถใช้ร่วมกันได้ ดังนั้น ถ้าใช้งานตัวเรือนขนาดไหนอยู่ ถึงจะเปลี่ยนรุ่นใหม่ ก็ยังสามารถใช้งานสายเดิมได้ต่อเนื่อง ไม่ต้องคอยสีสายใหม่ทั้งชุดตลอดเวลา

สิ่งใหม่บน Apple Watch 6

เมื่อเห็นถึงความสามารถที่แตกต่างกันใน Apple Watch แต่ละรุ่นที่วางจำหน่ายแล้ว ลองมาดูรายละเอียดที่น่าสนใจเพิ่มเติมของ Apple Watch 6 กันบ้าง ในรุ่นนี้ Apple ยังคงตัวเลือกวัสดุ 3 แบบ คืออะลูมิเนียม ที่พิเศษขึ้นมาคือมาจากวัสดุรีไซเคิล 100% ตามด้วย สแตนเลสสตีล และไทเทเนียม เช่นเดิม

สิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมาในส่วนของสีคือรุ่นอะลูมิเนียม จะเพิ่มรุ่นสีน้ำเงิน และแดง (Product RED) ขึ้นมา พร้อมกับสีเดิมอย่างสีเงิน สีทอง และสีเทาสเปซเกรย์ ถัดมาในรุ่นสแตนเลสสตีล จะมีสีกราไฟต์ และสีทอง รวมกับสีเดิมคือ สีเงิน สีไทเทเนียม และสีดำ

โดยยังคงมีให้เลือก 2 ขนาดตัวเรือนเช่นเดิมคือ 40 มม. (324 x 394 พิกเซล) ขนาด 39.8 x 34.4 x 10.7 มิลลิเมตร น้ำหนัก 30.5 กรัม และรุ่นที่นำมารีวิว 44 มม. (368 x 448 พิกเซล) ขนาด 44 x 37.8 x 10.7 มิลลิเมตร น้ำหนัก 36.4 กรัม

ตัวเรื่องรองรับการเชื่อมต่อ WiFi บนคลื่น 5GHz เรียบร้อยแล้ว ตามด้วยบลูทูธ 5.0 พร้อมเปลี่ยนมาใช้ชุดวงจรรวม (System in Package : SiP) S6 ที่ออกแบบใหม่ให้มีพื้นที่ใช้งานเพิ่มขึ้น 9% ประมวลผลได้รวดเร็วขึ้น 20% และประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น

ในส่วนของเซ็นเซอร์หลังตัวเรือน ได้มีการจัดเรียงฝาหลังคริสตัลพร้อมไฟ LED 4 ดวง สีเขียว แดง อินฟราเรด และโฟโต้ไดโอด เพื่อช่วยในการวัดค่าออกซีเจนในเลือดให้มีความแม่นยำ รวมกับการวัดอัตรการเต้นของหัวใจ และวัดค่า ECG ด้วย

อีกหนึ่งความน่าสนใจที่ปรับปรุงขึ้นบน Watch 6 คือเรื่องของแบตเตอรี ที่ทางแอปเปิล ระบุว่า สามารถใช้งานได้นานขึ้น อย่างการเล่นเพลงในเครื่องได้ต่อเนื่อง 11 ชั่วโมง เล่นเพลงผ่านสตรีมมิ่งได้ 8 ชั่วโมง ติดตามการออกกำลังกายในร่มได้ 11 ชั่วโมง กลางแจ้งแบบเปิดใช้ GPS ได้สูงสุด 7 ชั่วโมง และ 6 ชั่วโมง ถ้าใช้งาน Cellular ร่วมด้วย

ระบบการชาร์จก็เช่นกัน เพราะปัจจุบัน Apple Watch ได้พัฒนาเป็นอุปกรณ์ในการตรวจจับการนอนด้วย ดังนั้นทำให้ต้องลดระยะเวลาชาร์จให้น้อยลง เพื่อให้สามารถชาร์จก่อนนอนได้ โดยในรุ่นนี้ จะสามารถชาร์จได้ 80% ในเวลา 1 ชั่วโมง และจะเต็ม 100% ภายใน 1 ชั่วโมง 30 นาที เทียบกับ Series 5 แล้วชาร์จเร็วขึ้นราว 33%

ข้อดีของการวัดค่าออกซิเจนในเลือด

หนึ่งในคำเตือนสำคัญที่แอปเปิล แจ้งเสมอมาคือ Apple Watch ไม่ใช่อุปกรณ์ทางการแพทย์ ทำให้ข้อมูลที่ได้จากนาฬิกานั้นไม่สามารถนำไปใช้ในการรักษาคนไข้ได้ ซึ่งจริงๆ แล้วถือเป็นสิ่งที่ผู้ใช้ Apple Watch ต้องรับรู้

โดยการเก็บข้อมูลต่างๆ ถูกเก็บเพื่อไว้ใช้เพื่อให้ตรวจพบอาการผิดปกติได้เร็วขึ้น ซึ่งจะช่วยให้สามารถไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาได้รวดเร็วขึ้น ซึ่งที่ผ่านมา Apple Watch ได้ช่วยชีวิตผู้ป่วยที่มีอาการเต้นของหัวใจผิดปกติมาแล้วหลายราย

การเพิ่มระบบวัดค่าออกซิเจนในเลือดครั้งนี้ ถือเป็นอีกก้าวที่น่าสนใจ เพิ่มเติมจากการใส่ฟีเจอร์อย่างวัดค่าคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) ที่แม้ว่าจะยังไม่สามารถใช้งานในไทยได้ เพราะอยู่ระหว่างการขออนุญาต แต่ก็ถือว่าตัวเครื่องรองรับ ที่ผ่านมาแอปเปิลได้เพิ่มฟีเจอร์เพื่อสุขภาพอย่าง การติดตามรอบเดือน การแจ้งเตือนเสียงดังเกินไป จนถึงการตรวจจับการล้มด้วย

ต่อเนื่องมาถึงความอิ่มตัวของออกซิเจน หรือ SpO2 ที่ช่วยแสดงข้อมูลว่าระบบหมุนเวียนเลือดมีการส่งค่าออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ดีแค่ไหน โดยค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนปกติจะอยู่ที่ช่วง 95-99%

หลักการที่แอปเปิล นำมาใช้ในการวัดค่าออกซิเจนในเลือดคือการใช้เทคโนโลยีที่ใกล้เคียงกับ Pulse Oximeter ในการใช้แสงส่องผ่านผิวหนังเพื่อตรวจวัดสีของเลือด และคำนอนออกมาเป็นค่าออกซิเจนในเลือด

ประกอบกับการที่ใน watchOS 7 เพิ่มฟีเจอร์วัดการนอนหลับขึ้นมา ฟีเจอร์นี้จะเข้าไปช่วยให้เห็นระดับค่าความอิ่มตัวระหว่างการนอนได้เพิ่มเติม จนถึงระดับออกซิเจนในเลือดระหว่างวัน ที่สามารถดูข้อมูลย้อนหลังผ่านแอป Health ได้

Apple Watch SE กับความคุ้มค่า

เมื่อ Apple Watch 6 เป็นรุ่นที่สมบูรณ์ที่สุด Apple Watch SE ก็จะอยู่กับความคุ้มค่า ซึ่งถือเป็นจุดหลักของซีรีส์ SE ที่เป็นรุ่นราคาประหยัดของ Apple โดยให้ความสามารถที่เพียงพอกับการใช้งาน ในระดับราคาที่ย่อมเยาลงมา

โดย Watch SE จะมากับขนาดหน้าจอเท่ากับ Watch 6 คือมีให้เลือกระหว่างรุ่น 40 มม. และ 44 มม. ในส่วนของขนาดตัวเรือน และน้ำหนักก็ใกล้เคียงกัน เพียงแต่ว่าจะใช้ SiP S5 ที่ใช้งานกับ Watch 5 แทน รองรับการเชื่อมต่อ WiFi บน 2.4 GHz เท่านั้น

ความสามารถที่ถูกตัดออกไปจาก Watch 6 คือเรื่องของการวัดค่าออกซิเจนในเลือด การวัดค่า ECG แต่ยังใช้วัดอัตราการเต้นของหัวใจ การออกกำลังกาย และการตรวจจับการล้มได้ ทำให้เหมาะกับผู้สูงอายุ เพื่อเป็นตัวเลือกในการใช้งาน

ฟีเจอร์ใหม่ของ watchOS 7 / Family Setup

ทีนี้ มาย้อนดูถึงความสามารถของ watchOS 7 ที่เพิ่มขึ้นมา ให้ผู้ใช้งาน Apple Watch รุ่นเดิมสามารถใช้งานได้แล้ว ก็จะมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจอย่าง การล้างมมือ ที่จะคอยนับถอยหลัง 20 วินาที การวัดการนอน เพิ่มรูปแบบหน้าปัดใหม่

ส่วนที่น่าสนใจที่สุดคือระบบการตั้งค่าครอบครัว (Family Setup) ที่เปิดให้สามารถตั้งค่าและจัดการ Apple Watch สำหรับสมาชิกในครอบครัว โดยที่ไม่ต้องใช้งานร่วมกับ iPhone อย่างเด็กๆ หรือผู้สูงอายุ

โดย Apple Watch จะคอยเก็บข้อมูลสุขภาพ กิจกรรม และการแจ้งเตือนตำแหน่งต่างๆ ซึ่งมีโหมดเฉพาะลงไปสำหรับเด็ก อย่างการตั้งค่าจำกัดการสื่อสาร ในช่วงเวลาเรียน หรือใช้ตรวจจับการล้มสำหรับผู้สูงอายุ

ปัจจัยสำคัญในการใช้งาน Family Setup คือจะทำงานร่วมกับ Apple Watch รุ่นที่ 4 ขึ้นไป แบบ GPS+Cellular เท่านั้น เนื่องจากต้องมีการใส่ eSIM เข้าไปในตัวเรือนเพื่อให้สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต และสื่อสารได้

ประกอบกับการที่ watchOS 7 เปิดให้สามารถจัดการทุกอย่างบนนาฬิกาได้แล้ว ทั้งการโทรฯ รับส่งข้อความ ตั้งค่าหน้าปัดรูปแบบต่างๆ ดาวน์โหลดแอปมาติดตั้งเพิ่มเติม ดังนั้นจึงทำให้กลายเป็นสมาร์ทวอทช์ที่สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องซิงค์กับ iPhone

ในจุดนี้ ทำให้ Apple Watch SE กลายเป็นรุ่นที่น่าสนใจ สำหรับผู้ปกครองที่อยากได้อุปกรณ์ไว้คอยช่วยเฝ้าระวังบุตรหลาน หรือผู้สูงอายุ แต่ก็จะมีค่าใช้จ่ายรายเดือนเพิ่มเข้ามาในการให้บริการซิมการ์ดจากผู้ให้บริการมือถือเดือนละประมาณ 150 บาท 

ราคาจำหน่ายของ Apple Watch

ปัจจุบัน Apple Watch วางจำหน่ายด้วยกันทั้งหมด 3 รุ่นใหญ่ๆ เริ่มต้นที่ Apple Watch 3 38 มม. 6,400 บาท 42 มม. 7,400 บาท โดยมีจำหน่ายเฉพาะรุ่น GPS เท่านั้น

ตามด้วย Apple Watch SE ที่มีทั้ง GPS ในราคา 40 มม. 9,400 บาท 44 มม. 10,400 บาท และ GPS+Cellular ในราคา 10,400 บาท และ 11,900 บาท ตามลำดับ

สุดท้ายคือ Apple Watch 6 รุ่น 40 มม. เริ่มต้นที่ 13,400 บาท สำหรับ GPS และ 16,900 บาท สำหรับ GPS+Cellular ส่วน 44 มม. เริ่มต้นที่ 14,400 บาท และ 17,900 บาท สำหรับ GPS+Cellular เช่นเดียวกัน

สรุป

Apple Watch ได้กลายเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์เสริมที่อยู่คู่กับผู้ใช้งาน iPhone แล้ว Wacth 6 ที่ออกมาในปีนี้ ได้มีการปรับปรุงฟีเจอร์ที่เพิ่มขึ้น และน่าสนใจมากขึ้น ใครที่ใช้งาน Apple Watch 3 ลงไปเชื่อว่าถึงเวลาที่จะได้เปลี่ยนมาใช้งานกันแล้ว

ขณะเดียวกัน การเพิ่มไลน์อย่าง Apple Watch SE มาช่วยให้การใช้งาน Apple Watch นั้นเข้าถึงได้ง่ายมากยิ่งขึ้น และเหมาะกับการเลือกซื้อให้บุคคลอื่นในครอบครัวใช้งานเพื่อสุขภาพไปได้ด้วย

Gallery

]]>
Review : Apple iPhone SE ดีไซน์ที่คุ้นเคย แรงขึ้น ในราคาเริ่มต้น 14,900 บาท https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-iphone-se/ Thu, 04 Jun 2020 07:38:55 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=32920

หลังจากเปิดตัวมา iPhone SE กลายเป็น iPhone รุ่นที่ถูกพูดถึงมากที่สุด และเชื่อว่าจะสามารถทำยอดขายได้ดีเป็นลำดับต้นๆ เหมือนที่ประวัติศาสตร์ของ iPhone SE รุ่นแรกเคยทำได้ เนื่องจากเป็น iPhone ราคาประหยัด ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถเข้าถึงอีโคซิสเตมส์ และบริการต่างๆ ของ Apple ได้

จุดเด่นหลักของ iPhone SE รุ่นที่ 2 คือเรื่องของประสิทธิภาพตัวเครื่อง เนื่องจากใช้หน่วยประมวลผล Apple A13 Bionic เช่นเดียวกับในรุ่นท็อปสุดอย่าง iPhone 11 Pro Max มากับขนาดตัวเครื่องที่กระทัดรัด จับถือใช้งานง่าย ในราคาเริ่มต้นที่ 14,900 บาท ซึ่งถือว่าเป็น iPhone ที่เปิดตัวมาราคาถูกที่สุดในเวลานี้

ข้อดี

  • หน่วยประมวลผล A13 Bionic
  • กันน้ำ กันฝุ่น IP67
  • รองรับการใช้งาน 2 ซิม และเชื่อมต่อ WiFi 6

ข้อสังเกต

  • หน้าจอขนาดเล็ก 4.7 นิ้ว
  • กล้องหลัก ยังเป็นกล้องเดียว ทำให้มีข้อจำกัดในการถ่ายภาพ
  • ที่ชาร์จที่แถมให้ไม่รองรับการชาร์จเร็ว

iPhone SE เหมาะกับใคร?

ที่ผ่านมา iPhone SE รุ่นแรกได้แสดงให้เห็นแล้วว่า Apple ต้องการแย่งชิงกลุ่มลูกค้าที่ใช้งานสมาร์ทโฟน Android แล้วต้องการเปลี่ยนมาใช้งาน iPhone ในระดับราคาที่ไม่สูงเกินไป เพราะถือว่าเป็น iPhone ที่ Apple วางออกมาในระดับราคาที่เหมาะสม และได้เครื่องที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า Android รุ่นท็อป ตามที่ทิม คุก เคยบอกไว้

กับอีกกลุ่มคือผู้ที่ใช้งาน iPhone รุ่นเก่าๆ อย่าง iPhone 5 iPhone 6 iPhone 6s iPhone SE รุ่นแรก จนถึง iPhone 7 แล้วต้องการเครื่องรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ในรูปทรงที่คุ้นชินกันอยู่แล้ว ก็สามารถเลือกใช้งาน iPhone SE ได้ โดยเฉพาะผู้ใช้งาน iPhone 6 ลงไป ที่ไม่สามารถอัปเกรด iOS 13 มาใช้งานได้แล้ว

ขณะเดียวกันก็เหมาะกับการใช้งานในช่วงนี้ ที่ทุกคนต้องใส่ผ้าปิดปากเวลาออกไปข้างนอก เพราะกลายเป็น iPhone รุ่นใหม่เพียงรุ่นเดียวในเวลานี้ ที่มากับระบบ Touch ID ในขณะที่ iPhone 11 iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max ไม่มี Touch ID ให้ใช้งาน มีเพียงแต่การปลดล็อกด้วยใบหน้าอย่าง Face ID เท่านั้น

สำหรับราคาจำหน่ายของ iPhone SE มีด้วยกัน 3 ความจุ เริ่มต้นที่ 64 GB ในราคา 14,900 บาท ตามด้วย 128 GB ในราคา 16,900 บาท และ 256 GB ในราคา 20,900 บาท มีให้เลือกด้วยกัน 3 สีคือ ขาว ดำ และแดง (Product) Red ซึ่งเป็นสีพิเศษ

อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่เป็น iPhone SE ที่ใช้ดีไซน์ของ iPhone รุ่นเดิม ทำให้มีข้อจำกัดในแง่ของขนาดหน้าจอที่อาจจะเล็กไปสักหน่อย เมื่อเทียบกับหน้าจอของสมาร์ทโฟนในยุคปัจจุบัน ทำให้อาจจะต้องตัดสินใจดูเล็กน้อยว่าขนาดหน้าจอมีผลกับการใช้งานมากแค่ไหน

กับอีกจุดที่ Apple ทำได้ดีคือเรื่องของการซัพพอร์ตสินค้า โดย iPhone SE รุ่นแรกได้แสดงให้เห็นแล้วว่าตั้งแต่เครื่องออกมาวางจำหน่ายในปี 2016 จนถึงปี 2020 แล้ว ก็ยังได้รับการอัปเกรดเฟิร์มแวร์เป็นรุ่นใหม่อย่าง iOS 13 นั่นแปลว่า รองรับการอัปเกรดมาถึง 5 รุ่นด้วยกัน

เจาะลึกรายละเอียด iPhone SE รุ่นที่ 2

ด้วยการที่ดีไซน์ของ iPhone SE เป็นการนำโครงของ iPhone 8 มาใช้ และมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในบางจุด ที่สังเกตได้หลักๆ คือ บริเวณขอบจอของ iPhone SE รุ่นที่ 2 นี้ จะมากับสีดำทั้งหมด แตกต่างจากก่อนหน้าที่ในรุ่นสีขาว ขอบจอก็จะเป็นสีขาวด้วย กับอีกจุดคือสัญลักษณ์โลโก้ Apple ที่หลังเครื่อง จะขยับลงมาอยู่ตรงกึ่งกลางมากขึ้น

สำหรับขนาดตัวเครื่องของ iPhone SE จะอยู่ที่ 138.4 x 67.3 x 7.3 มิลลิเมตร น้ำหนัก 148 กรัม เรียกได้ว่าเป็นขนาดเล็กที่พอดีกับมือมากที่สุด วัสดุที่เป็นอะลูมิเนียม 7000 ซีรีส์ ที่ให้ความแข็งแรง น้ำหนักเบาด้วย และกลายเป็น iPhone รุ่นสุดท้ายที่เวลาใช้งาน สามารถใช้มือเดียวสัมผัสได้ครอบคลุมทุกพื้นที่ของจอก็ว่าได้

โดยขนาดหน้าจอของ iPhone SE จะอยู่ที่ 4.7 นิ้ว ที่เป็นหน้าจอ Retina HD ความละเอียด 1344 x 750 พิกเซล ให้วามละเอียดเม็ดสีที่ 326ppi รองรับการแสดงผลแบบ True Tone ที่จะปรับแสงหน้าจอให้เหมาะสมกับสภาพแสง รองรับการแสดงผลขอบเขตสีกว้างแบบ P3 ให้ความสว่างสูงสุดที่ 625 นิต

บริเวณส่วนบนของหน้าจอ ก็จะเป็นที่อยู่ของลำโพงสนทนา และกล้องหน้าความละเอียด 7 ล้านพิกเซล f/2.2 ความพิเศษก็คือ เป็นกล้องหน้าที่รองรับการถ่าย Portrait ด้วย แม้ว่าจะไม่ได้ใช้เซ็นเซอร์ True Depth เหมือนใน iPhone รุ่นหลังๆ แล้วก็ตาม

ส่วนล่างหน้าจอเป็นที่อยู่ของ Touch ID ที่นำเทคโนโลยี Taptic Engine มาใช้งาน ทำให้เวลากดปุ่ม หรือสัมผัส จะมีการสั่นสะท้อนตอบรับกลับมาแทน ใครที่ใช้ iPhone รุ่นที่มีปุ่ม Home แบบกดอยู่ ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเจออาการปุ่ม Home เสีย เพราะ Apple แก้ไขปัญหานี้มาตั้งแต่ iPhone 7 แล้ว

รอบๆ ตัวเครื่องถือว่าเหมือนเดิมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นทางฝั่งซ้ายที่มีปุ่มเปิดปิดเสียง เพิ่มลดเสียง ทางฝั่งขวาเป็นปุ่มเปิดปิดเครื่อง โดยมีช่องใส่ถาดซิมอยู่ตรงกึ่งกลาง ด้านล่างมีไมค์ ลำโพง และพอร์ต Lightning ซึ่งตัดช่องหูฟังแบบ 3.5 มม. ออกไปแล้ว

ด้านหลังเครื่อง จะมีโลโก้ Apple อยู่ตรงกึ่งกลาง โดยมีกล้องหลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/1.8 และแฟลชแบบ True Tone อยู่ข้างๆ ซึ่งถ้าเป็นผู้ที่ใช้งาน iPhone 7 หรือ iPhone 8 อยู่ สามารถนำเคสรุ่นเก่ามาใช้งานได้เลย เพราะกล้องจะอยู่บริเวณเดียวกัน

ข้อจำกัดแบตเตอรีขนาดเล็ก?

อีกประเด็นที่เป็นคำถามตามมาเมื่อตัวเครื่องมีขนาดเล็ก ก็ทำให้ปริมาณแบตเตอรีที่ให้มาในเครื่องเล็กตามไปด้วย โดย iPhone SE จะให้แบตเตอรีมาขนาดเดียวกับ iPhone 8 ที่ประมาณ 1800 mAh ซึ่งทางแอปเปิล เคลมว่าสามารถใช้งานได้หมดวันแน่ๆ

เท่าที่ทีมงานทดลองใช้งาน iPhone SE มาพบว่า แบตเตอรี ถือว่าอยู่ในระดับที่พอรับได้กับการใช้งานทั่วไป ใช้งานเล่นโซเชียลมีเดีย รับส่งอีเมล โปรแกรมแชทต่างๆ สลับกับเล่นเกมบ้าง ใช้งานกล้องบ้าง จนหมดวันแบตฯ ก็ยังเหลือ นั่นแปลว่าตอนเช้าตื่นมาถอดเครื่องออกจากสายชาร์จ ก่อนกลับมาเสียบชาร์จอีกครั้งตอนนอนก็ยังไหว

อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อจำกัดของอะเดปเตอร์ที่แอปเปิล แถมมาให้ในกล่องเป็นแบบ 5W ทำให้การชาร์จทำได้ค่อนข้างช้า แต่ด้วยการที่ตัวเครื่องรองรับการชาร์จเร็วแบบ 18W ในกรณีที่ซื้ออะเดปเตอร์ 18W (1,190 บาท) มาใช้งานคู่กับสาย USB-C to Lightning จะสามารถชาร์จ iPhone SE ได้ 50% ภายในเวลา 30 นาที

หรือในกรณีที่ใช้งาน MacBook หรือ iPad Pro ที่มีอะเดปเตอร์ USB-C ที่แรงกว่า 18W อยู่แล้ว ก็สามารถซื้อเฉพาะสาย USB-C to Lightning (ขายแยกในราคาเส้นละ 690 บาท) มาใช้งานได้เหมือนกัน หรือถ้าไม่ได้จำเป็นต้องชาร์จเร็ว และไม่อยากเสียบๆ ถอดๆ สายชาร์จ iPhone SE ก็รองรับการชาร์จไร้สายด้วยเช่นกัน

กล้องเดียว เพียงพอหรือไม่?

ในยุคที่สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่มากับกล้องคู่กันเป็นอย่างต่ำแล้ว แต่กลายเป็นว่า iPhone SE ยังมากับกล้องหลักกล้องเดียวอยู่ แต่กลายเป็นว่ากล้องที่อยู่ใน iPhone SE กลับถ่ายภาพได้ดีขึ้นกว่าสมัย iPhone 8 เยอะมาก

ส่วนหนึ่งเกิดจากการพัฒนาซอฟต์แวร์ของกล้องให้ทำงานร่วมกับหน่วยประมวลผล Neural Engine บน Apple A13 Bionic ทำให้นอกจากการถ่ายภาพปกติแล้ว เลนส์ของ iPhone SE ยังรองรับการถ่ายภาพบุคคล (Portrait) ที่สามารถปรับระยะชัดลึกได้ ซึ่งใช้งานได้ทั้งกล้องหน้า และกล้องหลัง

อีกส่วนที่ iPhone SE ทำได้ดีขึ้นคือเรื่องของการถ่ายภาพวิดีโอ ที่สามารถถ่ายได้สูงถึง 4K 60fps รองรับการถ่ายภาพสโลว์โมชัน และไทม์แลปส์ด้วย หรือในกรณีที่ต้องการถ่ายวิดีโอในโหมดป้องกันภาพสั่นไหวที่ 4K 30fps เชื่อว่าให้ภาพที่ดีกว่าสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นในระดับราคาใกล้เคียงกันแน่นอน

นอกจากนี้ iPhone SE ยังมากับซอฟต์แวร์ถ่ายภาพใหม่อย่าง QuickTake ที่ผู้ใช้สามารถกดปุ่มชัตเตอร์ค้างเพื่อเข้าสู่การถ่ายวิดีโอได้ทันที เพื่อนำไปใช้แชร์ Instagram Story หรือ TikTok ก็ได้ หรือถ้าต้องการถ่ายวิดีโอระยะยาวก็สามารถเลื่อนปุ่มชัตเตอร์ไปที่สัญลักษณ์วิดีโอเพื่อถ่ายวิดีโอต่อเนื่องได้ทันที

Gallery

มากับ 2 ซิม และ WiFi 6

อีกสิ่งที่เพิ่มเข้ามาใน iPhone SE คือการที่ตัวเครื่องรองรับการใช้งานซิมคู่ เหมือนใน iPhone 11 และ iPhone 11 Pro โดยสามารถใช้ซิมการ์ดปกติ จับคู่กับ eSIM เพื่อใช้งานได้ทันที นอกจากนี้ ยังรองรับ LTE ระดับ Gigabit  และ WiFi 6 ทำให้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ปล่อยสัญญาณที่รองรับได้ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ตัวหน้าจอรองรับการใช้งาน Haptic Touch ด้วย ทำให้สามารถแตะค้างที่หน้าจอ หรือไอค่อนที่ต้องการเพื่อเข้าสู่โหมดลัดได้ ส่วนการเรียกใช้งานแถบควบคุม จะกลับไปใช้การลากจากขอบจอล่างเหมือนใน iPhone 8

สรุป

Apple iPhone SE น่าจะกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการใช้งาน iPhone ในระดับราคาหมื่นกลางๆ ได้อย่างไม่น่าแปลกใจ รวมถึงผู้ที่กำลังลังเลว่าจะเปลี่ยนจากการใช้งานสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ มาลองใช้งาน iPhone ในระดับราคาที่ไม่สูงมาก

ข้อดีอย่างหนึ่งของ iPhone คือผู้ใช้สามารถแน่ใจได้ว่าจะได้รับการอัปเกรดเฟิร์มแวร์ต่อเนื่องไปอีกไม่ต่ำกว่า 5 ปี อย่างที่ iPhone SE รุ่นแรกเคยทำได้มาแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับข้อจำกัดในเรื่องของขนาดหน้าจอ 4.7 นิ้ว และกล้องที่มีข้อจำกัดในเรื่องของฮาร์ดแวร์ ทำให้ไม่สามารถซูม หรือถ่ายภาพมุมกว้างได้

อย่างไรก็ตาม ถ้าตัดสินใจเลือกซื้อ iPhone SE มาใช้งานแล้ว อย่าลืมเรื่องข้อจำกัดของ iPhone ที่ไม่สามารถเพิ่มพื้นที่เก็บข้อมูลได้ ดังนั้นการเลือกซื้อรุ่นเริ่มต้น 64 GB อาจจะไม่ตอบโจทย์การใช้งานในระยะยาว แนะนำให้เลือกรุ่น 128 GB ขึ้นไปจะเหมาะสมกว่า

]]>
Review : Apple MacBook Air (2020) รุ่นเริ่มต้น ใช้งานได้แค่ไหน https://cyberbiz.mgronline.com/review-macbook-air-2020/ Thu, 23 Apr 2020 05:40:18 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=32657

แอปเปิล (Apple) ออกอัปเดต MacBook Air รุ่นใหม่ในปีนี้ โดยมีจุดเปลี่ยนแปลงหลักๆ อยู่ที่ซีพียูที่ใช้เป็น Intel Core i Gen 10 พร้อมกับการเปลี่ยนมาใช้งาน Magic Keyboard เหมือนกับ MacBook Pro 16” ที่เพิ่งวางจำหน่ายในช่วงปลายปีที่ผ่านมา

ขณะเดียวกัน ยังมีการปรับราคารุ่นเริ่มต้นลงมาเหลือ 32,900 บาท จากเดิมรุ่นเริ่มต้นของ MacBook Air ในปี 2019 จะอยู่ที่ 35,900 บาท ซึ่งทำให้ผู้ที่สนใจสามารถซื้อหามาใช้งานได้ง่ายขึ้น

จุดที่น่าสนใจอีกอย่างคือรุ่นใหม่นี้ จะเพิ่มพื้นที่เก็บข้อมูลมาเริ่มต้นที่ 256 GB แล้วทำให้เพียงพอกับการใช้งานในระดับเบื้องต้นได้ทันที ส่วนใครที่ต้องการพื้นที่เก็บมากขึ้น ก็สามารถเลือกเพิ่มพื้นที่เก็บข้อมูลได้สูงสุดถึง 2 TB (เพิ่มไปอีก 28,000 บาท)

ข้อดี

  • ดีไซน์ตัวเครื่องทรงยอดนิยม น้ำหนักเบา
  • จอ Retina พร้อมเทคโนโลยี True Tone ช่วยปรับสีหน้าจออัตโนมัติ
  • Magic Keyboard ที่พิมพ์สนุกขึ้น

ข้อสังเกต

  • รุ่นเริ่มต้นที่ใช้ Core i3 ร้อนค่อนข้างง่าย
  • พอร์ต Thunderbolt 3 (USB-C) 2 พอร์ต อาจจะไม่เพียงพอถ้าเชื่อมต่อกับหลายอุปกรณ์
  • กล้องหน้าความละเอียดแค่ HD เช่นเดิม
  • ยังไม่รองรับ WiFi 6

มีอะไรใหม่บ้าง?

MacBook Air รุ่นปี 2020 นี้ ถือเป็นรุ่นที่ 3 ของ MacBook Air ที่หันมาใช้หน้าจอ Retina รุ่นที่ 3 ซึ่งเปิดตัวมาครั้งแรกในปี 2018 ซึ่งในเวลานั้น ได้ยกเลิกรุ่นหน้าจอ 11 นิ้ว ออกไปก่อนแล้ว และเหลือเพียงรุ่น 13 นิ้วเท่านั้น

ก่อนที่ในปี 2019 ที่ผ่านมามีการอัปเกรดซีพียูเพียงเล็กน้อย จนถึงรุ่นล่าสุดในปี 2020 ที่มีการปรับปรุง MacBook Air รุ่นจอ Retina ให้สมบูรณ์แบบมากขึ้น

สำหรับสิ่งที่ปรับปรุงเพิ่มขึ้นจากรุ่นที่แล้วจะมีอยู่ด้วยกัน 5 จุดหลักๆ เริ่มกันจาก 1.หน่วยประมวลผล ที่หันมาใช้เป็น Intel Core i Gen 10 พร้อมกับมีตัวเลือกซีพียูเริ่มต้นที่ Core i3 ตามด้วยรุ่นกลาง Core i5 และสามารถเลือกปรับไปใช้เป็น Core i7 ได้ด้วย

2.พื้นที่เก็บข้อมูลเริ่มต้นที่ 256 GB จากก่อนหน้าจะเริ่มต้นที่ 128 GB ทำให้กลายเป็นว่ารุ่นเริ่มต้นก็เพียงพอกับการใช้งานแล้ว และยังสามารถเลือกเพิ่มพื้นที่เก็บข้อมูลได้สูงสุดถึง 2 TB

3.ราคาเริ่มต้นปรับลงมา 3,000 บาท ทำให้ในปีนี้ราคาเริ่มต้นของ MacBook Air 2020 เริ่มต้นที่รุ่น Core i3 ในราคา 32,900 บาท จากที่ปกติจะเริ่มต้นในรุ่น Core i5 ราคา 35,900 บาท (สามารถเพิ่มเงิน 3,000 บาท เพื่อกลับมาราคาเดิม และใช้งาน Core i5 ได้)

4.Magic Keyboard หลังจากที่ Apple นำ Magic Keyboard กลับมาใช้งานกับ MacBook Pro 16 นิ้ว คราวนี้ก็ถึงเวลาที่ MacBook Air รุ่นใหม่จะหันมาใช้งาน Magic Keyboard เช่นเดียวกัน ทำให้ใครที่กำลังคิดถึงคีย์บอร์ดแบบ MacBook Air ดีไซน์เดิม กลับมาใช้งานได้อย่างมั่นใจแล้ว

5.น้ำหนัก เมื่อมีการปรับเปลี่ยนคีย์บอร์ดทำให้น้ำหนักของ MacBook Air มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย โดย MacBook Air รุ่นปี 2018 จะมีน้ำหนักอยู่ที่ 1.23 กิโลกรัม ในขณะที่รุ่นปี 2020 น้ำหนักจะเพิ่มมาเป็น 1.27 กิโลกรัม

รุ่นเริ่มต้นใช้เพียงพอหรือไม่?

แน่นอนว่าหลายคนอาจจะสงสัยเรื่องการประมวลผลของ MacBook Air รุ่นเริ่มต้นที่ปรับลงมาเป็น Intel Core i3 ที่เป็นแบบ Dual-Core 1.1 GHz ซึ่งสามารถ Turbo Boost ขึ้นไปเป็น 3.2 GHz ได้ เมื่อเทียบกับรุ่นปี 2018 ที่เป็น Core i5 แบบ Dual-Core 1.6 GHz Turbo Boost 3.6 GHz

กลับพบว่า Core i3 สามารถให้พลังในการประมวลผลได้ดีกว่า นั่นแปลว่าถ้าเป็นการใช้งานโน้ตบุ๊กทั่วไป อย่างการทำงานด้านเอกสาร ใช้งานเว็บเบราว์เซอร์ โซเชียลมีเดีย ติดต่อสื่อสารในการทำงาน

จนถึงการแต่งรูปภาพ และตัดต่อในระดับเริ่มต้นในขนาดไฟล์ที่ไม่ใหญ่มากนัก MacBook Air 2020 รองรับการทำงานได้สบายๆ แต่อาจจะไม่ได้ลื่นไหลมากนัก

ซึ่งถ้าต้องการใช้งานตัวเครื่องที่หนักขึ้น การเพิ่มเงินอีก 3,000 บาท เพื่อปรับสเปกเพิ่มเป็น Core i5 จะตอบโจทย์การใช้งานในระยะยาวมากกว่า และถือว่าคุ้มค่าที่จะจ่ายมากกว่ารุ่นเริ่มต้น

อีกจุดที่พบว่ารุ่น Core i3 ทำได้ไม่ค่อยดีคือเรื่องของการระบายความร้อนสะสม เพราะเมื่อใช้เป็นหน่วยประมวลผลรุ่นนี้ เวลาเครื่องทำงานหนักๆ ระบบ Turbo Boost จะทำงานตลอดเวลา ทำให้อุณหภูมิของเครื่องร้อนขึ้นมาก จนทำให้ไม่สามารถวางใช้งานบนหน้าตัก ในอุณหภูมิห้องทั่วไปได้

แต่กลายเป็นว่าปัญหาดังกล่าวไม่เกิดขึ้นกับรุ่น Core i5 เนื่องจากเมื่อหน่วยประมวลผลแรงขึ้น เวลาประมวลผลหนักๆ จะสั้นลงทำให้ระยะเวลาที่ Turbo Boost ลดลง ความร้อนก็จะไม่สะสมที่ตัวเครื่อง

อย่างไรก็ตาม ข้อดีที่เห็นได้ชัดเจนของ MacBook Air เมื่อเทียบกับโน้ตบุ๊กบางเบาหลายๆ รุ่น คือเรื่องเสียงของพัดลมระบายความร้อน ที่ค่อนข้างเบา จากการใช้งานพัดลมขนาดเล็ก แต่ก็แลกมากับการระบายความร้อนที่ไม่ดีเท่านั่นเอง

ดีไซน์ที่ยังคงน่าใช้เหมือนเดิม

เนื่องจากดีไซน์ภายนอกของ MacBook Air รุ่นปี 2020 นั้นแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจาก MacBook Air รุ่นปี 2018 ด้วยการที่มีให้เลือก 3 สีคือ ทอง (รุ่นที่นำมารีวิว) เทาสเปซเกรย์ และเงิน

ขนาดของตัวเครื่องจะอยู่ที่ 304.1 x 212.4 x 41-16.1 มิลลิเมตร น้ำหนักตามหน้าเว็บไซต์ระบุว่าอยู่ที่ 1.29 กิโลกรัม (ทีมงานลองชั่งเครื่องที่ได้มาอยู่ที่ 1.27 กิโลกรัม)

รอบๆ ตัวเครื่องทางซ้ายจะมีพอร์ต Thunderbolt 3 (USB-C) จำนวน 2 พอร์ต สำหรับเสียบสายชาร์จ เชื่อมต่อกับอะเดปเตอร์ต่างๆ โดยในรุ่นนี้ได้ปรับปรุงให้รองรับการเชื่อมต่อจอแสดงผลความละเอียด 6K หรือ 5K ได้ 1 จอ กรณีที่ต่อกับจอ 4K จะสามารถต่อได้ 2 จอพร้อมกัน ส่วนทางฝั่งขวาเป็นพอร์ตหูฟัง และไมโครโฟนขนาด 3.5 มม.

เมื่อเปิดหน้าจอขึ้นมาจะเจอกับ Retina Display ขนาด 13.3 นิ้ว ความละเอียด 2560 x 1600 พิกเซล ให้ความละเอียดเม็ดสี 227 ppi ในอัตราส่วนภาพ 16:10 มาพร้อมกับเทคโนโลยีปรับแสงอัตโนมัต (True Tone)

MacBook Air รุ่นปี 2020

MacBook Air รุ่นปี 2018

มาในส่วนของจุดที่มีการเปลี่ยนแปลงคือ Magic Keyboard ที่ปรับมาใช้กลไกแบบกรรไกร (Scissor) แทนปีกผีเสื้อ (Butterfly) ทำให้ตัวคีย์บอร์ดจะมีความหนาเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย พร้อมกับมีการปรับปุ่มลูกศรให้เป็นแบบตัว T คว่ำแทน

Touch ID รุ่นใหม่ผิวจะด้าน รุ่นเดิมจะเคลือบมัน

ปุ่มลูกศรตัว T คว่ำ

นอกจากนี้ บริเวณเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (TouchID) และปุ่มเปิดเครื่อง จะเปลี่ยนผิวสัมผัสจากที่มีความมันเงา กลายเป็นผิวสัมผัสด้านเหมือนปุ่มคีย์บอร์ดปกติแทน

ส่วนแทร็กแพดยังคงเป็นแบบ Force Touch เช่นเดิม โดยถ้าเทียบกับ MacBook Air ดีไซน์เก่า จะมีขนาดใหญ่ขึ้น 20% และมีความแม่นยำมากขึ้น รองรับการใช้งาน Multi-Touch ได้สะดวกขึ้นด้วย

สำหรับอุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องนอกจากตัวเครื่อง MacBook Air แล้วก็จะมีอะเดปเตอร์ 30W ที่มีขนาดเล็กพกพาง่าย สาย USB-C และกล่องคู่มือที่มีสติกเกอร์แอปเปิลอยู่ข้างในเช่นเดิม

สรุป

MacBook Air รุ่นใหม่นี้ ถือว่าเป็นการปรับปรุง MacBook Air Retina ให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น ซึ่งถ้าใครยังใช้งาน MacBook Air ดีไซน์เดิมอยู่ การตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้เป็นรุ่นใหม่ในปีนี้ จะถือว่าได้ประสบการณ์ใช้งานที่ดีที่สุดอย่างแน่นอน

ประกอบกับระดับราคาเริ่มต้นที่ต่ำลง (32,900 บาท) ทำให้เข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น ถ้าต้องการโน้ตบุ๊กที่พกพาง่าย และชื่นชอบอีโคซิสเตมส์ของ Apple อยู่แล้วน่าจะตัดสินใจได้ไม่ยาก

Gallery

]]>
Review : Apple AirPods Pro หูฟังไร้สายที่โปรขึ้น ตัดเสียงรบกวนได้เด็ด https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-airpods-pro/ Mon, 23 Dec 2019 06:22:53 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=31887

ตอนนี้ AirPods กลายเป็นหูฟังไร้สายแบบ True Wireless ที่ขายดีที่สุดในโลกไปแล้ว และยังต่อเนื่องถึงการเป็นของขวัญที่ได้รับความนิยมในเทศกาลของขวัญช่วงปลายปี ยิ่งตอกย้ำถึงความสำเร็จในการทำตลาด AirPods ของแอปเปิล (Apple) ได้เป็นอย่างดี

พอแอปเปิล ออก AirPods Pro มา เชื่อว่าผู้ที่เคยใช้งาน AirPods มาและมีประสบการณ์ใช้งานที่ดี ก็พร้อมที่จะเปลี่ยนมาใช้งานในรุ่นที่ดีขึ้น ขณะเดียวกันผู้ที่เคยมีปัญหาไม่สามารถใช้งาน AirPods ได้เพราะใส่แล้วหลุด พอออกมาเป็น AirPods Pro ก็จะใช้งานได้แล้ว

จุดเด่นของ AirPods Pro จะอยู่ที่การออกแบบหูฟัง In-Ears ให้ใส่ได้สบายหู พร้อมระบบตัดเสียงรบกวนแบบ Active Noise Cancellation รุ่นแรกของแอปเปิล และยังมีโหมดรับเสียงจากรอบข้าง เพื่อให้ใส่ใช้งานได้ในทุกๆ เวลา

ข้อดี

  • หูฟังไร้สาย พร้อมระบบตัดเสียงรบกวน
  • มีโหมด Transparency รับเสียงจากรอบข้าง
  • ระบบปรับแรงดันในหู ช่วยให้ใส่ In-Ears ได้สบายขึ้น
  • เชื่อมต่อกับ iPhone และ Apple Device ได้ง่าย แบบไร้รอยต่อ

ข้อสังเกต

  • เวลาใช้งานต่อเนื่องอยู่ที่ 4.5 – 5 ชั่วโมง ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง (ถ้านับรวมแบตฯ เคสได้เกิน 24 ชั่วโมง)
  • คุณภาพเสียง ยังสู้กับแบรนด์อื่นในระดับราคาใกล้เคียงกันไม่ได้

 

ทำความรู้จักเทคโนโลยีตัดเสียง

เทคโนโลยีที่ทำให้ AirPods Pro มีความแตกต่างจากหูฟังตัดเสียงรบกวน (Noise Cancelling) รุ่นอื่นๆ ในท้องตลาดคือเรื่องของการนำเทคโนโลยี Active Noise Cancellation มาใช้งาน ด้วยการติดตั้งไมโครโฟนเพิ่มมาช่วยตรวจจับเสียงภายนอก

โดยไมโครโฟนที่จับเสียงภายนอกนี้จะทำให้หูฟังรับรู้ว่าเวลาที่ใช้งานอยู่สภาพเสียงรบกวนภายนอกเป็นอย่างไร หลังจากนั้น AirPods Pro จะส่งคลื่นเสียงด้านตรงข้ามที่เท่ากัน เพื่อตัดเสียงภายนอกออก

แต่ไม่ใช่แค่นั้น เพราะ AirPods Pro มีไมโครโฟนที่หันเข้ามาอยู่ภายในหูของผู้ใช้ ที่จะคอยฟังเสียงภายในหูด้วย เพื่อคำนวนและตัดเสียงรบกวนที่ไม่อยากได้ยินออกเช่นกัน โดยระบบการทำงานจะมีการตัดเสียงรบกวนต่อเนื่องที่ 200 ครั้งต่อวินาที

In-Ears ที่ใส่สบาย

อีกจุดที่แอปเปิลนำมาใช้เป็นจุดขายสำคัญของ Air Pods Pro คือเรื่องของการใส่ได้สบายหู โดยเริ่มจากภายในกล่องจะมีจุกซิลิโคน (Ear Tip) ให้เลือก 3 ขนาด เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานของผู้ใช้แต่ละคนที่มีขนาดรูหูไม่เท่ากัน

โดยสิ่งที่แอปเปิล พัฒนาเพิ่มมาคือ ฟีเจอร์ที่จะตรวจสอบว่า จุกซิลิโคนที่ใส่อยู่พอดีหูหรือไม่ โดยหลังจากที่ทำการเชื่อมต่อ AirPods Pro เข้ากับอุปกรณ์ที่ใช้งาน iOS 13.2 ขึ้นไป แล้วผู้ใช้สามารถกดเข้าไปทดสอบกันได้

แน่นอนว่าวิธีการเชื่อมต่อ AirPods Pro ยังง่ายเหมือน AirPods ที่เพียงเปิดฝาขึ้นมา ตัว iOS ก็จะทำการแจ้งเตือนให้กดเชื่อมต่อได้ทันที หลังจากนั้นสามารถเข้าไปตั้งค่าเพิ่มเติมได้ใน Setting > Bluetooth > กดสัญลักษณ์ i ด้านหลัง AirPods Pro เพื่อเข้าสู่การตั้งค่า

สิ่งแรกที่ต้องทำเลยคือการกด Ear Tip Fit Test เพื่อตรวจสอบว่า จุกซิลิโคนที่ใส่ใช้งานอยู่พอดีหรือไม่ ซึ่งจะช่วยทั้งในเรื่องของคุณภาพเสียง และการตัดเสียงรบกวนด้วย

ถ้าใส่พอดีจะมีการขึ้นบอกว่า Good Seal ถ้าไม่พอดีจะขึ้นแจ้งว่าให้ลองขยับ หรือเปลี่ยนจุกซิลิโคนดู ซึ่งจุกมาตรฐานที่ติดมากับ AirPods Pro คือขนาดกลาง ถ้ารู้สึกว่าหลวมไปให้เปลี่ยนเป็นขนาดใหญ่ขึ้น และถ้ารู้สึกว่าแน่นไปให้ลองปรับให้เล็กลงดู

ในการใส่ใช้งาน เท่าที่ทดสอบใช้งานจนแบตเตอรี AirPods Pro หมด ประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่ง พบว่า AirPods Pro ออกแบบจุกมาได้ดีมากๆ เพราะไม่รู้สึกล้าหู เหมือนเวลาใส่หูฟัง In Ears ของแบรนด์อื่นๆ อาจจะเพราะ AirPods Pro มีระบบช่วยปรับแรงดันภายในหูด้วยในตัว

ตัดเสียงรบกวนที่เลือกปรับได้เอง

แน่นอนว่าฟีเจอร์หลักของ AirPods Pro คือระบบการตัดเสียงรบกวน แต่ในการใช้งานในชีวิตประจำวัน การใส่หูฟังแบบตัดเสียงรบกวนตลอดเวลา กลายเป็นเรื่องอันตราย เพราะจะไม่ทำให้ได้ยินเสียงแวดล้อมรอบตัว

ในจุดนี้แอปเปิล จึงได้เพิ่มฟีเจอร์ในการสั่งงาน AirPods Pro เข้ามาให้ผู้ใช้เลือกปรับได้ว่า จะเปิดใช้งานระบบตัดเสียงรบกวน (Noise Cancellation) ปิด หรือเปิดโหมดรับเสียงจากภายนอก (Transparency) ที่เลือกปรับได้ 3 วิธี

วิธีแรกคือ กดบีบก้านหูฟัง เพื่อสลับระหว่างตัดเสียง และรับเสียงจากภายนอก วิธีที่สองคือเข้าไปปรับในการตั้งค่าบลูทูธ เหมือนตอนทดสอบจุกซิลิโคน และวิธีที่สาม เข้าจากแถบตั้งค่าด่วน กดค้างที่แถบปรับระดับเสียง จะมีตัวเลือกขึ้นมาให้ปรับ

การออกแบบ AirPods Pro

รูปลักษณ์ของ AirPods Pro เมื่อเทียบกับ AirPods บริเวณก้านหูฟังจะสั้นลงเล็กน้อย ส่วนตัวหูฟังจะมีส่วนของจุกซิลิโคนที่ยื่นขึ้น เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม ทำให้ โดยขนาดจะอยู่ที่ 30.9 x 21.8 x 24 มม. น้ำหนักข้างละ 5.4 กรัม

โดยทั้งภายในและภายนอกของ AirPods Pro จะมีไมโครโฟนอยู่ด้วยเพื่อใช้คู่กับระบบตัดเสียงรบกวนดังที่กล่าวไปข้างต้น นอกจากนี้ก็จะมีเซ็นเซอร์ตรวจจับเวลาใส่ และถอดออกจากหู

ส่วนตรงก้านได้ออกแบบใหม่ให้มีส่วนที่เว้าลงไปเล็กน้อย เพื่อรับนำ้หนักในการบีบสั่งงาน ด้วยการใส่เซ็นเซอร์แรงกดที่ไว้ใช้ทั้งการควบคุมเพลง บีบเพื่อรับโทรศัพท์ และเปลี่ยนโหมดใช้งาน

ภายในของ AirPods Pro จะมีชิปเซ็น Apple H1 ที่คอยประมวลผลเรื่องของเสียง ซึ่งทำงานร่วมกับไดรเวอร์ของลำโพง ในการตัดเสียงรบกวน จนถึงการสั่งงานด้วยเสียงผ่าน Siri ด้วย

ส่วนของเคส AirPods Pro เมื่อเทียบกับ AirPods ปกติ จะมีลักษณะกว้างขึ้น แต่สั้นลง ขนาดเคสจะอยู่ที่ 45.2 x 60.6 x 21.7 มิลลิเมตร นำ้หนัก 45.6 กรัม ส่วนขนาดเคสของ AirPods จะอยู่ที่ 53.5 x 44.3 x 21.3 มิลลิเมตร น้ำหนัก 40 กรัม

โดยตัวเคสจะมากับระบบชาร์จไร้สายอยู่แล้ว สามารถนำไปวางบนแท่นชาร์จมาตรฐาน Qi เพื่อชาร์จได้เลย หรือจะเลือกชาร์จผ่านพอร์ต Lightning ก็ได้เช่นกัน

สรุป

AirPods Pro น่าจะเป็นหูฟังไร้สายที่ผู้ใช้งาน iPhone ส่วนใหญ่ต้องหารซื้อหามาใช้งาน ทั้งผู้ที่มี AirPods เดิมอยู่แล้ว และยังไม่มี เพราะถือว่ามาช่วยในเรื่องของการตัดเสียงรบกวนจากภายนอกเวลาใช้งานได้

แม้ว่าระดับราคาของ AirPods Pro จะค่อยข้างสูง (9,490 บาท) แต่เมื่อเทียบกับหูฟังไร้สายแบบตัดเสียงรบกวนคุณภาพสูงในท้องตลาดแล้ว ถือว่าใกล้เคียงกัน ถ้าใครที่อยากซื้อแล้วจบก็แนะนำ

แต่ถ้ามองว่าระดับราคานี้ค่อนข้างสูงเกิดไป ก็อาจจะมองตัวเลือกอย่าง AirPods ที่ปรับลดราคาลงมา แต่ก็แลกกับไม่มีระบบตัดเสียงรบกวน แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการใช้งานของผู้ใช้แต่ละรายด้วย เพราะหูฟังแบบ In Ears อาจจะชอบไม่เหมือนกัน

Gallery

]]>
Review : Apple iPhone 11 สีสวย กล้องดี https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-iphone-11/ Fri, 18 Oct 2019 06:47:57 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=31478

หลังจากที่พาไปแกะกล่อง iPhone 11 รุ่นใหม่กันแล้ว แน่นอนว่าหลายๆ คนมีคำถามที่ตามมาว่า iPhone 11 เพียงพอไหมกับการเปลี่ยนรุ่นใหม่ หรือควรเก็บเงินเพื่อไปซื้อ iPhone 11 Pro เลยดีกว่า

ในความเป็นจริงแล้วถ้าไม่เคยใช้ iPhone XS หรือ iPhone XS Max มาก่อน iPhone 11 จะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ สำหรับผู้ที่อยากใช้งาน iPhone และต้องการเครื่องรุ่นใหม่ในปีนี้ทันที

โดยเฉพาะผู้ที่ปัจจุบันไม่ได้ใช้งาน iPhone XR อยู่แล้ว iPhone 11 จะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจทันที เพราะมีการอัปเกรดหลายๆ อย่างขึ้นมาไม่แตกต่างจาก iPhone 11 Pro เลย

จุดที่แตกต่างกันจริงๆ จะเป็นเรื่องของจอภาพที่ใช้เป็น Liquid Retina กับ OLED และเรื่องของกล้องหลังที่มีเลนส์ Telephoto เพิ่มเข้ามาเท่านั้น ส่วนที่เหลือใช้งานได้ไม่แตกต่างกันเลย

ข้อดี

ตัวเครื่องสเปกแรง ราคาเริ่มต้นที่ 24,900 บาท

มีสีสันให้เลือกหลากหลาย

เลนส์ Ultra Wide ช่วยให้ถ่ายภาพสนุกขึ้น

ข้อสังเกต

ในกล่องไม่แถมอะเดปเตอร์ Fastcharge มาให้

จอยังเป็น LCD อยู่เมื่อเทียบกับรุ่น Pro จะสวยไม่เท่า

ขอบจอยังหนาอยู่เช่นกัน เมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนในระดับราคาเดียวกัน

ดีไซน์ที่ใส่ใจรายละเอียด

แม้ว่าจะดูเหมือน iPhone 11 ไม่ได้แตกต่างจาก iPhone XR มากนัก แต่จริงๆ แล้ว iPhone 11 มีการปรับปรุงในส่วนของการดีไซน์ที่น่าสนใจหลายๆ จุด โดยตัวเครื่องยังคงเป็นอะลูมิเนียมผสมกับกระจกหน้าหลังเหมือนเดิม ขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 150.9 x 75.7 x 150.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 194 กรัม

โดย iPhone 11 จะมีให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 6 สี คือ ม่วง เขียว เหลือง ขาว ดำ และ แดง ซึ่งรุ่นที่นำมารีวิวในครั้งนี้คือสีเขียว เมื่อวางเครื่องเทียบกันทุกสี จะเห็นจุดที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เมื่อเทียบกับ iPhone XR คือฝาหลัง

ในรุ่น iPhone 11 แอปเปิล เลือกที่จะปรับตำแหน่งโลโก้ Apple ลงมาอยู่ตรงกึ่งกลางเครื่องแทน และไม่มีการสกรีนตัวอักษรใดๆ ลงที่ฝาหลังอีกแล้ว จากที่ก่อนหน้านี้จะมีการสกรีน iPhone หรือสัญลักษณ์ต่างๆ อยู่ ทำให้ในปีนี้จะมีรุ่นสีแดง (Product)Red เท่านั้น ที่มีการสกรีนตัวอักษรลงไปที่ฝาหลัง

ถัดมาก็คือตัวกระจกที่นำมาครอบตัวเครื่องด้านหลัง จะถูกออกแบบให้เป็นกระจกชิ้นเดียว แล้วมีการขัดด้านบริเวณขอบของกล้อง ทำให้เพิ่มความแข็งแรง และช่วยให้ตัวเครื่องป้องกันน้ำกันฝุ่นบนมาตรฐาน IP68 ได้ (น้ำลึกไม่เกิน 2 เมตร 30 นาที) และตัวเครื่องยังรองรับระบบชาร์จไร้สายด้วย

กลับมาในส่วนของหน้าจอ iPhone 11 จะมากับหน้าจอ Liquid Retina 6.1 นิ้ว ความละเอียด 1792 x 828 พิกเซล 326ppi ที่รองรับการใช้งาน True Tone Display ในการปรับสภาพแสงหน้าจออัตโนมัติ ประกอบกับกล้อง TrueDepth Camera ที่ใช้ทั้งปลดล็อก FaceID และเป็นกล้องหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซลด้วย

เทียบกล้อง iPhone XR กับ iPhone 11

ส่วนรายละเอียดของกล้องหลังที่ให้มาเป็น 2 เลนส์ใน iPhone 11 จะใช้เป็นกล้อง Ultra Wide คู่กับ Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล โดยกล้อง Ultra Wide จะมากับรูรับแสง f/2.4 มุมมองถ่ายภาพ 120 องศา ส่วน Wide มากับรูรับแสง f/1.8

รอบๆ ตัวเครื่อง iPhone 11 จะเหมือนเดิมคือ มีปุ่มปรับระดับเสียงอยู่ทางซ้าย พร้อมปุ่มปิดเสียง ทางขวาเป็นปุ่มเปิดเครื่อง และเรียกใช้งาน Siri ด้านล่างเป็นลำโพง และพอร์ต Lightning ให้ใช้งาน

ในส่วนของแบตเตอรีแอปเปิล ระบุว่า iPhone 11 สามารถใช้งานได้นานกว่า iPhone XR 1 ชั่วโมง โดยสามารถเล่นวิดีโอได้ต่อเนื่อง 17 ชั่วโมง สตรีมมิ่งได้ 10 ชั่วโมง เล่นเพลงได้ 65 ชั่วโมง และชาร์จได้ 50% ในเวลา 30 นาที ถ้าใช้กับที่ชาร์จเร็ว 18W

กล้องที่เด็ดไม่แพ้รุ่นพี่

การพัฒนากล้องบน iPhone 11 ให้เป็นกล้องคู่ (Dual Camera) ช่วยลดช่องว่างระหว่างเครื่องรุ่นธรรมดา กับรุ่น Pro ที่เป็น 3 เลนส์ ได้ค่อนข้างเยอะ เพราะในการใช้งานจริง มุมมองที่จะใช้เพื่อการถ่ายภาพจากสมาร์ทโฟนจะเป็นมุมปกติ และมุมกว้างที่ให้มุมมองใหม่มากกว่า ในขณะที่การซูมภาพจะใช้งานเฉพาะบางช่วงเท่านั้น

ดังนั้นกล้องคู่บน iPhone 11 ถึงทำงานได้ไม่แตกต่างจากรุ่นพี่อย่าง iPhone 11 Pro ในแง่ของการเก็บรายละเอียดภาพทั้งมุมปกติ และมุมกว้าง เพราะใช้เลนส์ชุดเดียวกัน ทำให้คุณภาพของรูป และวิดีโอที่ได้ไม่แตกต่างกัน

โดยจุดที่ iPhone 11 ได้เปรียบกว่า iPhone 11 Pro คือการถ่ายภาพ Portrait ที่ระยะของ iPhone 11 จะเป็นมุมมอง 26 มม. (เลนส์ปกติ) แต่ iPhone 11 Pro จะใข้มุมมอง 56 มม. (เลนส์เทเลฯ) แล้วใช้ AI มาช่วยประมวลผลฉากหลังให้เบลอแทน

แน่นอนว่า iPhone 11 สามารถใช้งาน Night Mode ในการถ่ายภาพได้ เพียงแต่ว่า Night Mode ใน iPhone ผู้ใช้ไม่สามารถเลือกเปิดที่จะใช้งานได้เอง แต่ระบบจะช่วยคำนวนให้ เมื่อกล้องตรวจจับว่าถ่ายภาพในสภาพแสงน้อย

หลังจากกล้องเปิด Night Mode ให้แล้วผู้ใช้ถึงจะปรับเลือกได้ว่าจะทำการเปิดชัดเตอร์ถ่ายภาพค้างไว้กี่นาที โดยต้องไม่เกินช่วงเวลาที่กล้องคำนวนให้ แต่สูงสุดจะอยู่ที่ 30 วินาที เมื่อใช้งานคู่กับขายึดจับสมาร์ทโฟน (Night Mode ไม่สามารถใช้กับเลนส์ Ultra Wide ได้)

นอกจากนี้ การพัฒนาการถ่ายภาพวิดีโอบน iPhone 11 ก็ให้คุณภาพที่สูงขึ้น โดยสามารถเลือกถ่ายได้ที่ความละเอียดสูงสุด 4K 60fps ประกอบกับระบบกันสั่นของกล้องที่ทำได้ดีขึ้นกว่าเดิม ที่สำคัญคือถ่าย 4K ได้ทั้งกล้องหน้า และกล้องหลัง

Gallery ภาพจากกล้อง iPhone 11

เบื้องหลังคือ Apple A13 Bionic

ทั้ง iPhone 11 และ iPhone 11 Pro ทำงานบนหน่วยประมวลผล Apple A13 Bionic

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ iPhone 11 กลายเป็นสมาร์ทโฟนที่น่าสนใจไม่แตกต่างจาก iPhone 11 Pro คือการเลือกนำชิปเซ็ต Apple A13 Bionic มาให้ใช้งานในทุกรุ่นของ iPhone 11 เพราะด้วยประสิทธิภาพที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับ A12 Bionic กว่า 40% และประหยัดแบตเตอรีขึ้น 20%

เพราะหนึ่งในสิ่งที่ทำให้ iPhone น่าสนใจคือการทำงานบน iOS 13 ที่นำ Neural Engine มาใช้สำหรับ Machine Learning เพื่อเรียนรู้การใช้งานของผู้ใช้ และปรับแต่งให้เข้ากับพฤติกรรมของแต่ละคน

โดยเฉพาะในโหมดถ่ายภาพ อย่างการปรับเฉดสีในโหมด Portrait การประมวลผลภาพบน Night Mode การเลือกรูปภาพที่น่าสนใจใน Photos จนถึงการตัดต่อวิดีโอระดับ 4K บนเครื่อง iPhone 11 ได้เลย

นอกจากนี้ iPhone 11 ก็ยังรองรับการเชื่อมต่อ Gigabit LTE / Wi-Fi 6 รวมถึงการใช้งาน 2 ซิมการ์ด โดยสามารถใส่เป็น eSIM คู่กับนาโนซิมการ์ดปกติ โดยถ้าต้องการใช้งาน eSIM ต้องไปให้ที่ศูนย์บริการเป็นผู้เปิดใช้งานให้

อย่าลืมเผื่องบซื้ออุปกรณ์เสริม

อย่างที่เขียนไปตั้งแต่ตอนแกะกล่อง iPhone 11 แล้วว่าอะเดปเตอร์ชาร์จที่แถมมาให้ภายในกล่องของ iPhone 11 ยังคงเป็นที่ชาร์จธรรมดาอยู่ ดังนั้นถ้าจะใช้งาน iPhone 11 ให้สะดวกมากขึ้นแนะนำให้ซื้ออะเดปเตอร์ชาร์จเร็วเพิ่มมาใช้งานด้วย

โดยตัวอะเดปเตอร์ชาร์จเร็ว 18W ของแอปเปิลที่วางจำหน่ายในสโตร์จะอยู่ที่ 1,190 บาท และอย่าลืมซื้อสาย USB-C to Lightning อีก 690 บาท ด้วย หรือถ้าต้องการความสะดวก อาจจะมองหา Wireless Chrage มาใช้ร่วมด้วยอีก

สรุป

iPhone 11 น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของผู้ที่มีงบจำกัด เพราะด้วยระดับราคาเริ่มต้นที่ 24,900 บาท น่าจะช่วยให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ยิ่งมีการทำโปรโมชันร่วมกับโอเปอเรเตอร์มือถือ เมื่อสมัครแพกเกจร่วมด้วยทำให้ราคาต่ำลงมาอีก

ส่วนใครที่ต้องการเครื่องระดับโปร แล้วงบประมาณไม่จำกัดการหันไปเลือก iPhone 11 Pro ก็จะเหมาะสมกว่ากันอยู่แล้ว เพราะจะได้หลายๆ อย่างเพิ่มขึ้นจาก iPhone 11 ที่สามารถอ่านได้เพิ่มเติมจากในรีวิวของ iPhone 11 Pro หลังจากนี้

]]>