ASUS – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Wed, 21 Jul 2021 09:04:54 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : ROG Phone 5 มือถือเกมมิ่งตัวแรง อุปกรณ์เสริมครบ https://cyberbiz.mgronline.com/review-rog-phone-5/ Wed, 21 Jul 2021 09:02:50 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35645

ในบรรดาอุปกรณ์เกมมิ่งชื่อของ ROG ถือว่าเป็นแบรนด์ที่อยู่เคียงคู่กับผู้บริโภคมาตั้งแต่ในยุคของคอมพิวเตอร์ ต่อเนื่องมายังบนสมาร์ทโฟนที่ออก ROG Phone ออกมาต่อเนื่อง จนถึงรุ่นล่าสุดคือ ROG Phone 5 ที่ยังคงความโดดเด่นเรื่องประสิทธิภาพได้อย่างน่าสนใจ

จุดเด่นหลักของ ROG Phone 5 คือมากับชิปเซ็ต Snapdragon 888 5G จอที่ใส่อัตราการแสดงผลมาถึง 144 Hz แบตเตอรี 6,000 mAh พร้อมระบบควบคุมแบบ AirTrigger มาช่วยให้การเล่นเกมทำได้สนุกขึ้น และเอกลักษณ์ที่พลาดไม่ได้อย่าง Aura RGB โลโก้ที่สามารถปรับแต่งสีไฟได้ตามต้องการ

ROG Phone 5 วางจำหน่ายด้วยกัน 2 รุ่น โดยยังคงใช้ชิปเซ็ตหลักเหมือนกันคือ Snapdragon 888 5G แตกต่างตรงที่รุ่นเริ่มต้น RAM 8 GB ROM 128 GB ในราคา 22,990 บาท และรุ่น RAM 16 GB ROM 256 GB ในราคา 29,990 บาท

ข้อดี

  • สมาร์ทโฟนเกมมิ่ง พร้อมระบบควมคุม AirTrigger
  • ประสิทธิภาพสูง รองรับการเล่นเกมได้เป็นอย่างดี
  • มีอุปกรณ์เสริมให้ใช้งานควบคู่ไปด้วย
  • จอแสดงผล Super AMOLED 144 Hz ที่ลื่นไหล
  • รองรับชาร์จเร็ว 65W

ข้อสังเกต

  • แบตเตอรีที่ให้มา 6,000 mAh ถ้าปรับเกมใช้สเปกสูงสุดใช้งานต่อเนื่องได้ไม่กี่ชั่วโมง
  • ตัวเครื่องค่อนข้างร้อนเวลาเล่นเกมในสภาพอากาศประเทศไทย
  • ไม่มีมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น ไม่สามารถใส่ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มได้
  • กล้องยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ทั่วไป เมื่อเทียบกับมือถือไฮเอนด์รุ่นอื่น

เน้นความบันเทิง โดยเฉพาะเล่นเกม

 

ด้วยการที่ ROG Phone 5 ออกแบบมาให้เป็นเกมมิ่งสมาร์ทโฟน ด้วยรูปลักษณ์ของตัวเครื่อง และการออกแบบอินเตอร์เฟสต่างๆ จึงสื่อถึงความล้ำสมัย ให้ความรู้สึกเป็นเกมเมอร์ขึ้นมาตามสไตล์ของ ROG ด้วยเส้นสาย และสีสันที่เป็นเอกลักษณ์

ดังนั้น ถ้าใครที่ชื่นชอบลักษณะดีไซน์เกมเมอร์ แข็งๆ แรงๆ ROG Phone 5 ถือว่าตอบโจทย์อย่างแน่นอน แต่ถ้าต้องการความเรียบหรู พรีเมียม หรือดีไซน์สมัยใหม่ อาจจะต้องมองข้ามรุ่นนี้ไป

จุดเด่นหลักของเครื่องรุ่นนี้ แน่นอนว่าอยู่ที่การเล่นเกม โดยเฉพาะเกมประสิทธิภาพสูง เพราะตัว ROG Phone 5 สามารถรีดประสิทธิภาพของกราฟิกเกมได้ออกมาสูงสุด และที่สำคัญคือเล่นได้อย่างลื่นไหลด้วย

ทีมงานทดสอบกับ Genshin Impact ที่ปรับการแสดงผลสูงสุด ปรับเฟรมเรทเป็น 60 fps ตัวเครื่องก็ยังรองรับได้อย่างสบายๆ เล่นได้ลื่นไหลมากๆ เมื่อเทียบกับแฟลกชิปหลายๆ รุ่น

แต่ที่ต้องแลกมาก็คือความร้อนสะสมของตัวเครื่องที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยถ้าเล่นในห้องที่เปิดเครื่องปรับอากาศอุณหภูมิของตัวเครื่องจะขึ้นไปอยู่ที่ราว 40-50 องศาเซลเซียส แต่ถ้าในอุณหภูมิปกติของประเทศไทย มีโอกาสที่ตัวเครื่องจะร้อนไปถึง 60 องศาเซลเซียส

แน่นอนว่า เมื่อขึ้นไประดับ 60 องศาฯ การถือจับเพื่อเล่นเกมอาจจะไม่สะดวกแล้ว เพราะตัวเครื่องสะสมความร้อนมากเกินไป ดังนั้นแนะนำให้ใช้งานคู่กับอุปกรณ์เสริมอย่างพัดลมระบายอากาศ (AeroActive Cooler )

เมื่อลองใช้งานเล่นเกมคู่กับ AeroActive Cooler พบว่าตัวพัดลมช่วยลดความร้อนสะสมลงไปได้ประมาณ 10 องศา และในขณะเดียวกัน ก็ยังใช้จับถือเครื่องได้เข้ากับมือมากขึ้นด้วย

ไม่นับรวมถึงการควบคุมเกมที่เพิ่มขึ้น จากเดิมที่มี AirTrigger บริเวณขอบบนซ้ายขวาเครื่อง ก็จะเพิ่มปุ่มควบคุมให้อีก 2 ปุ่มที่ปริเวณปีกของพัดลมระบายอากาศ ช่วยให้กดคำสั่งสำหรับการเล่นเกมต่างๆ ได้สะดวกขึ้น

การเพิ่ม AeroActive Cooler 5 ที่เชื่อมต่อเข้ากับพอร์ตพิเศษบริเวณข้างเครื่อง ยังช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเชื่อมต่อสาย USB-C สำหรับชาร์จ และหูฟัง 3.5 มม. ขณะเล่นเกมไปได้ด้วย

จากเดิมที่พอร์ตเหล่านี้อยู่ด้านล่างของเครื่อง ทำให้เวลาถือเล่นเกมในแนวนอน มือขวาจะไปบังพอร์ตเชื่อมต่อเหล่านั้น ทำให้ถ้าเสียบใช้งานไปด้วยก็จะไม่สะดวกกับการเล่นเกม

ความสามารถของ AeroActive Cooler 5 อีกอย่างก็คือการเป็นขาตั้งสมาร์ทโฟน ทำให้ผู้ใช้สามารถเปิดดู YouTube หรือ Netflix เพื่อความบันเทิงได้อย่างสบายๆ โดยวางตั้งไว้บนพื้นโต๊ะ หรือพื้นผิวเรียบๆ ได้ทันที

เพราะในเรื่องของพลังเสียงใส่ลำโพงคู่หน้ามาให้ใช้งาน พร้อมรองรับ Hi-Res Audio ภายในใส่ชิป ESS DAC มาช่วยขับเสียงให้กับหูฟังผ่านพอร์ต 3.5 มม. ด้วย

เอกลักษณ์ที่ไปกับ Aura RGB

กลับมาที่ดีไซน์ของ ROG Phone 5 ตัวเครื่องยังมากับการออกแบบที่สื่อถึงความแข็งแกร่งของตัวเครื่อง ด้วยการนำวัสดุอย่างอะลูมิเนียมที่มีความแข็งแรง มาตัดกับสีแดงที่เป็นเอกลักษณ์ของ ROG อยู่แล้ว

ขนาดตัวเครื่องของ ROG Phone 5 จะอยู่ที่ 173 x 77 x 8.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 239 กรัม ซึ่งถือว่าตัวเครื่องค่อนข้างหนัก แต่เมื่อสัมผัสจะรู้สึกถึงความแข็งแรง และงานประกอบที่แน่นหนาชัดเจน

หน้าจอแสดงผลที่เลือกใช้จะเป็น Super AMOLED ขนาด 6.78 นิ้ว (2448 x 1080 พิกเซล) รองรับ HDR 10+ ที่ให้ Refresh Rate สูงถึง 144 Hz รองรับการสัมผัสที่ 300 Hz ให้ความหน่วงต่ำถึง 24.3 มิลลิวินาที พร้อมกระจก Gorilla Glass Victus เพิ่มความแข็งแกร่งให้หน้าจอ

บริเวณขอบบนของหน้าจอเยื้องไปทางขวา จะมีกล้องหน้าความละเอียด 24 ล้านพิกเซลซ่อนอยู่ ไม่ได้เป็นกล้องแบบเจาะรู หรือทำเป็นติ่งลงมาเฉพาะกล้องหน้าแต่อย่างใด

บริเวณขอบข้างขวาเครื่องนอกจากเป็นที่อยู่ของปุ่มเพิ่มลดเสียง และปุ่มเปิดเครื่องแล้ว ตรงสัญลักษณ์ ROG ยังทำหน้าที่เป็น AirTrigger ให้เป็นพื้นที่สัมผัสเพื่อสั่งงานหน้าจอระหว่างเล่นเกมเพิ่มเติมได้ ซึ่งถือเป็นจุดเด่นหลักของ ROG Phone ก็ว่าได้

ถัดมาทางซ้าย ตามปกติจะมีจุกยางปิดพอร์ตเชื่อมต่อ USB-C และขั้วเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริมอยู่ ถัดมาก็คือช่องใส่ถาดซิมสีแดงที่เป็นเอกลักษณ์ของ ROG ส่วนขอบด้านบนจะปล่อยไว้โล่งๆ

ด้านล่างจะมีทั้งพอร์ต USB-C และช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. มาให้ ตัวเครื่องรองรับการชาร์จเร็วที่ 65W โดยภายในเป็นแบตเตอรีแบบคู่รวมกันแล้วอยู่ที่ 6000 mAh

ด้านหลังเครื่องเป็นที่อยู่ของกล้อง 3 เลนส์ ประกอบด้วยเลนส์หลัก 64 ล้านพิกเซล เลนส์มุมกว้าง 13 ล้านพิกเซล และมาโคร มาช่วยในการวัดระยะเพิ่มเติม โดยสามารถบันทึกวิดีโอที่ความละเอียด 8K/30fps ได้ รองรับกันสั่นแบบ 3 แกน

ถัดลงมาคือแผงไฟ Aura RGB ที่ผู้ใช้สามารถปรับแต่งสีได้เพิ่มเติม ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของ ROG Phone ทุกๆ รุ่นก็ว่าได้ ทำให้เครื่องรุ่นนี้เวลาเปิดเล่นเกม หรือใช้งานจะมีไฟส่องสว่างออกมาจากหลังเครื่องตลอดเวลา

สำหรับอุปกรณ์ที่ให้มาภายในกล่องนอกจากตัวเครื่องแล้ว ก็จะมีเคสที่ออกแบบเฉพาะเว้นพื้นที่ Aura RGB ไว้ให้แสดงผลได้ชัดเจน สายชาร์จ USB-C และอะเดปเตอร์ 65W มาให้ด้วย โดยไม่มีหูฟัง 3.5 มม. มาให้

โหมดใช้งาน และฟีเจอร์น่าสนใจ

สำหรับการใช้งาน ROG Phone 5 จะมีความน่าสนใจคือผู้ใช้สามารถเลือกสลับระหว่างโหมดประสิทธิภาพสูง (X Mode+) และโหมดใช้งานปกติได้ ซึ่งจะแสดงผลให้เห็นบนอินเตอร์เฟสของหน้าจอเลย ด้วยการเปลี่ยนภาพพื้นหลังจากสีดำปกติ มาเป็นสีแดงที่สื่อถึงความแรง

ถัดมาคือผู้ใช้สามารถเข้าไปปรับแต่งเพิ่มเติมของ X Mode ได้ในส่วนของคอนโซล เพื่อเลือกปรับแต่งการทำงานต่างๆ ของเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นการรีดประสิทธิภาพให้มากที่สุด โหมด Dynamic เพื่อปรับการใช้งานตามรูปแบบการใช้ และโหมดประหยัดพลังงาน ที่จะช่วยยืดระยะเวลาการใช้งานบนแบตเตอรี

นอกจากนี้ ยังสามารถเข้าไปปรับแต่งเอฟเฟกต์แวงเพิ่มเติม กรณีที่เชื่อมต่อกับ Aero Cooling 5 ก็สามารถปรับความเร็วของพัดลมได้ ตั้งระบบ AirTriggers ต่างๆ ได้จากในคอนโซลควบคุมนี้

ในขณะเล่นเกม ผู้ใช้ยังสามารถลากบริเวณขอบซ้ายของหน้าจอเข้ามา เพื่อแสดงแผงควบคุม Game Genie เพื่อตั้งค่าเกี่ยวกับเกมเพิ่มเติมได้ ในจุดนี้จะมีการแสดงผลการทำงานของตัวเครื่อง รวมถึงเฟรมเรทการแสดงผล และอุณหภูมิตัวเครื่องด้วย

จะเห็นได้ว่าฟีเจอร์ต่างๆ ของ ROG Phone 5 ถือว่าออกมาเพื่อรับกับการเล่นเกมโดยเฉพาะ ซึ่งแน่นอนว่าต้องถูกใจผู้ที่ชื่นชอบเล่นเกมอย่างแน่นอน

จุดที่น่าเสียดายอย่างหนึ่งของ ROG Phone 5 คือเรื่องของกล้องที่แม้จะให้ความละเอียดมาถึง 64 ล้านพิกเซล แต่ด้วยระบบการประมวลผลภาพต่างๆ ภาพที่ได้ออกมาอยู่ในระดับทั่วไป ไม่ได้ให้ความรู้สึกว้าวเหมือนในไฮเอนด์สมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ แต่อย่างใด

สเปก

สำหรับสเปกของ ROG Phone 5 จะมากับชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 888 5G มีตัวเลือก RAM 8/12 GB พื้นที่เก็บข้อมูล 128 / 256 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 11

การเชื่อมต่อรองรับ 5G สามารถใส่ใช้งานได้ 2 ซิมพร้อมกัน WiFi 6 บลูทูธ 5.2 รองรับ NFC และมีฟีเจอร์พิเศษอย่าง AirTriggers ให้สัมผัสข้างเครื่องในการสั่งงาน รวมถึงใส่ลำโพงคู่หน้ามาให้ด้วย

สรุป

ROG Phone 5 ถือว่าออกแบบมาได้ตอบโจทย์การเล่นเกมได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการเล่นเกมในห้องแอร์ เพราะกลายเป็นว่าถ้าใช้งานในสภาพอุณหภูมิปกติ ตัวเครื่องจะค่อนข้างร้อนเมื่อเล่นเกมหนักๆ ทำให้ต้องใช้อุปกรณ์เสริมอย่างพัดลมมาช่วย

แน่นอนว่า ถ้าเป็นเกมเมอร์ ที่มีความเชี่ยวชาญสามารถเลือกปรับระดับการแสดงผลของเกมให้เหมาะสมได้ ตัวเครื่องจะไม่ประมวลผลจนร้อนขนาดนั้น และเล่นเกมได้อย่างลื่นไหลแน่นอน

Gallery

]]>
Review : ASUS ExperBook B9 อัปเกรดใหม่ปี 2021 เน้นแข็งแรง-ปลอดภัย https://cyberbiz.mgronline.com/review-asus-experbook-b9400/ Tue, 22 Jun 2021 06:09:13 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35401

ในปีที่ผ่านมา ASUS เปิดตลาดโน้ตบุ๊กเบางเบาในกลุ่มองค์กรธุรกิจได้อย่างน่าสนใจ ด้วยซีรีส์ใหม่อย่าง ExpertBook B9 ชูความโดดเด่นของการเป็นแล็ปท็อปองค์กรธุรกิจที่มีน้ำหนักเบาที่สุดในโลก ด้วยน้ำหนักไม่ถึง 1 กิโลกรัม และได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากผู้ใช้งาน

พอมาในปี 2021 เอซุส ได้อัปเกรดความสามารถของ ExpertBook B9 (9400) ให้ตอบโจทย์การใช้งานมากขึ้น ด้วยการเพิ่มความแข็งแรงของหน้าจอ เลือกนำเฉพาะรุ่นประสิทธิภาพสูงอย่าง 11 Gen Intel Core i7 มาทำตลาด โดยเปิดให้เลือกเพิ่มเติมว่าจะใช้งานคู่กับ Windows 10 Home หรือ Windows 10 Pro ในราคาเริ่มต้นที่ 44,990 บาท

จุดเด่นของ ASUS ExpertBook B9 (9400) รุ่นปี 2021 นี้ คือมาพร้อมกับการรับรอง Intel EVO แพลตฟอร์ม ตัวเครื่องน้ำหนักประมาณ 1 กิโลกรัม พอร์ตเชื่อมต่อครบ พร้อมด้วยฟังก์ชันรักษาความปลอดภัยด้วย Windows Hellp ทั้งสแกนใบหน้า และลายนิ้วมือให้ใช้งาน รวมถึงการเลือกใช้ Dual SSD ทำให้สามารถทำ RAID 1 เพื่อสำรองข้อมูลได้ด้วย

ข้อดี

  • โน้ตบุ๊กธุรกิจ ประสิทธิภาพสูง 11 Gen Intel Core i7
  • น้ำหนัก 1 กิโลกรัม
  • แบตเตอรีใช้งานต่อเนื่องเกิน 13 ชั่วโมง
  • กล่องใส่ที่ชาร์จเปลี่ยนเป็นฐานตั้งโน้ตบุ๊กได้

ข้อสังเกต

  • หน้าจอยังเป็น Full HD+
  • กล้องเว็บแคมความละเอียด 720p
  • มีให้เลือกเฉพาะรุ่น Core i7 ต่างจากปีที่ผ่านมามีรุ่น Core i5 ที่ราคาย่อยเยาว์กว่า

บางเบา พอร์ตครบเหมือนเดิม

ความโดดเด่นของ Asus ExpertBook B9 ยังคงเป็นเรื่องของความบางเบาของตัวเครื่อง โดยมีขนาดอยู่ที่ 320 x 203 x 14.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 1,009 กรัม หรือประมาณ 1 กิโลกรัม ซึ่งน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นถ้าเทียบกับรุ่นของปี 2020 คือการเลือกใช้แบตเตอรีขนาด 66 Whr แทนรุ่นเดิมที่ใช้แบตเตอรีขนาด 33 Whr ทำให้สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ยาวนานขึ้นด้วย

ดีไซน์ของ ExpertBook B9 นั้น ยังคงใช้ดีไซน์แบบเดิม เรียกได้ว่าเป็นไมเนอร์เชนจ์ของรุ่นก็ว่าได้ มีวางจำหน่ายสีเดียวคือ Star Black ที่เป็นสีดำแบบผิวด้าน ช่วยให้ตัวเครื่องติดรอยนิ้วมือได้ยาก และให้ความรู้สึกหรูหรา พรีเมียมขึ้นในตัว

ASUS ยังคงเลือกใช้ฟอร์มเฟคเตอร์ของเครื่องขนาด 13 นิ้ว มาใส่หน้าจอ 14 นิ้ว ทำให้เห็นได้ว่ารุ่นนี้ขอบจอค่อนข้างบาง ให้สัดส่วนหน้าจอเทียบกับตัวเครื่องอยู่ที่ 94% ความละเอียดหน้าจอเป็น FullHD 1920 x 1080 พิกเซล มุมมองแบบ IPS ให้ความสว่าง 400 nits และค่าแสงที่ sEGB 100%

บริเวณกล้องเว็บแคมความละเอียด 720p ที่ให้มาจะมีชัตเตอร์เพื่อปิดกรณีที่ไม่ต้องการใช้งาน พร้อมกับเพิ่มเซ็นเซอร์วัดระยะมาด้วย ทำให้เวลาลุกออกจากหน้าเครื่อง ExpertBook B9 จะทำการล็อกหน้าจออัตโนมัติเพื่อความปลอดภัยเพิ่มเติม อย่างไรก็ตามในกรณีที่ปิดขัตเตอร์บังกล้องไว้ ก็จะไม่สามารถใช้งานปลดล็อกด้วยใบหน้าได้

ในส่วนของคีย์บอร์ด ยังคงมาในรูปแบบชิกเล็ตมาตรฐาน ระยะกดของปุ่มอยู่ที่ 1.5 มิลลิเมตร ป้องกันน้ำหกใส่ และมีไฟ Backlit ไว้ใช้งานในเวลากลางคืนด้วย ส่วนบริเวณทัชแพด จะสามารถเปิดฟีเจอร์ใช้งานเป็นปุ่มตัวเลขเพิ่มเติมได้ ช่วยให้สามารถกรอกข้อมูลตัวเลขได้สะดวกขึ้น

สำหรับพอร์ตเชื่อมต่อ ExpertBook B9 ให้พอร์ตมาครบถ้วนสำหรับการเป็นโน้ตบุ๊กบิสสิเนส ไล่ตั้งแต่พอร์ต USB 3.2 Type-A 1 พอร์ต มี Thunderbolt 4 (USB-C) ให้อีก 2 พอร์ต ซึ่งรองรับการต่อจอแยก และชาร์จไฟทั้งสองพอร์ต เพิ่มเติมด้วย HDMI 2.0 ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. และ MicroHDMI ที่ใช้งานคู่กับอะเดปเตอร์แปลงเป็นพอร์ต LAN ที่แถมมาให้ในกล่อง

ในแง่ของความปลอดภัยตัวเครื่องมีช่องล็อก Kensington มาให้ เพื่อรวมกับ Windows Hello ที่รองรับทั้งการปลดล็อกด้วยใบหน้า และเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่บริเวณมุมขวาล่างของคีย์บอร์ด ทำให้เครื่องรุ่นนี้ ผ่านมาตรฐานด้านซิเคียวริตี้สำหรับใช้งานในองค์กรธุรกิจแน่นอน

ส่วนแบตเตอรีที่ให้มา 66 Whr นั้น สามารถใช้งานรับชมวิดีโอได้ต่อเนื่องกว่า 20 ชั่วโมง ส่วนการใช้งานหนักๆ ได้กว่า 13 ชั่วโมง และรองรับการชาร์จเร็วจากอะเดปเตอร์ 65W ที่ให้มาจาก 1% – 60% ได้ในเวลา 49 นาที ซึ่งแปลว่าสามารถชาร์จเพียง 1 ชั่วโมง ใช้งานได้ตลอดวันสบายๆ

จุดที่อัปเกรดขึ้น

ภายใน ExpertBook B9 จุดที่มีการอัปเกรดเพิ่มเติมจากรุ่นปี 2020 จะประกอบด้วยชิปเซ็ตที่ใหม่ขึ้น ด้วยการเลือกใช้ 11 Gen Intel Core i7-1165G7 พร้อม Intel Iris Xe RAM 16 GB SSD 1 TB ให้ใช้งาน

ถัดมาคือการเพิ่มความแข็งแรงของหน้าจอด้วยการเสริมโครงเหล็กเข้าไป แก้ปัญหาหน้าจอยวบในรุ่นของปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้น้ำหนักโดยรวมของตัวเครื่องเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่รองรับการกดทับของหน้าจอได้มากขึ้น

อีกอย่างที่น่าสนใจคือการเปิดให้สามารถเลือกใส่ SSD ได้แบบคู่ ทำให้ ExpertBook B9 สามารถทำ RAID0 เพื่อให้ตัวเครื่องทำงานได้เร็วขึ้น หรือ RAID1 เพื่อสำรองข้อมูลในการใช้งานได้ เหมาะกับการใช้งานในองค์กรธุรกิจขึ้นไปอีก

นอกจากนี้ ก็มีการอัปเกรดในแง่ของระบบตัดเสียงรบกวน เวลาใช้งานวิดีโอคอลล์ ด้วยการนำ ASUS AI Noise-Cancelling Audio มาช่วยทั้งเสียงของคู่สนทนาที่ผู้ใช้ได้ยิน และปรับเสียงจากไมโครโฟนให้ปลายสายด้วย

อีกความน่าสนใจก็คือเรื่องของบรรจุภัณฑ์รักษ์โลก โดยที่ในรุ่น ExpertBook B9400 นี้ ได้มีการนำกล่องบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ใส่อะเดปเตอร์ชาร์จไฟ และอุปกรณ์เสริมอื่นๆ มาใช้เป็นขาตั้งเครื่องได้เพิ่มเติม และยังทำจากกระดาษทั้งหมดอีกด้วย

สรุป

Asus ExpertBook B9 รุ่นปี 2021 ในรหัส B9400 วางจำหน่ายให้เลือกด้วยกัน 2 รุ่น คือเลือกระหว่าง Windows 10 Home ราคา 44,990 บาท กับ Windows 10 Pro ราคา 49,490 บาท ซึ่งถ้าเป็นการใช้งานในองค์กรธุรกิจที่ต้องการความปลอดภัย แนะนำให้เลือกรุ่น Windows 10 Pro จะเหมาะสมกว่า

อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่มีเฉพาะรุ่น Core i7 ทำให้ราคาเริ่มต้นของ ExpertBook B9 ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับรุ่นของปีที่แล้ว Core i5 จะอยู่ที่ 38,990 บาท ซึ่งถ้าไม่ได้ต้องการพลังในการประมวลผลระดับ Core i7 แต่เน้นความบางเบา พกพาง่าย ก็จะไม่มีตัวเลือกเริ่มต้นมาให้

ในภาพรวม ExpertBook B9400 ยังคงรักษามาตรฐานของบิสสิเนสแล็ปท็อปได้เป็นอย่างดี แต่ก็กลายเป็นว่า ไม่ได้เหมาะกับการนำไปใช้งานทั่วไปสำหรับคอนซูเมอร์ เพราะเมื่อระดับราคาสูงขึ้นมาเกือบ 5 หมื่นบาท ยังมีตัวเลือกอีกหลายรุ่นที่น่าสนใจในตลาดนี้

Gallery

]]>
Review : Asus ExpertCenter D500SA เดสก์ท็อปองค์กรเครื่องเล็ก ประสิทธิภาพสูง https://cyberbiz.mgronline.com/review-asus-expertcenter-d500sa/ Mon, 01 Mar 2021 03:30:29 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34835

ในยุคที่พื้นที่ภายในสำนักงานมีขนาดเล็ก และจำกัดมากขึ้น ทำให้บรรดาผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ต่างหันมาออกแบบคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปประสิทธิภาพสูงให้มีขนาดเล็กลง พร้อมกับเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งานทั้งการวางเครื่องแนวตั้ง แนวนอน การเพิ่มพอร์ตเชื่อมต่อให้ใช้งานได้ครบถ้วน

Asus ExpertCenter D5 ถือเป็นหนึ่งในซีรีส์เดสก์ท็อปของทางเอซุส ที่เปิดตัวมาจับกลุ่มผู้ใช้งานพีซีในองค์กรธุรกิจโดยเฉพาะ ซึ่งนอกเหนือจากเครื่องที่มีขนาดเล็กลงแล้ว ยังสามารถเลือกปรับแต่งประสิทธิภาพตามการใช้งาน มีความทนทาน และรองรับการอัปเกรดได้ง่ายขึ้น และที่สำคัญที่มีบริการเสริมสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก เข้าไปช่วยลดต้นทุนในธุรกิจได้ด้วย

ตัวเลือกของ ExpertCenter D5 จะทำงานร่วมกับหน่วยประมวลผล Intel 10 Gen Core i5 เริ่มต้นในราคาประมาณ 15,000 บาท มีตัวเลือกกราฟิกการ์ดทั้ง NVIDIA GeForce GT1030 / GT710 ใส่ RAM ได้สูงสุด 64 GB เลือกใช้งานร่วมกับพื้นที่เก็บข้อมูลได้ทั้งแบบ HDD และ SSD สูงสุด 3 TB และรองรับการทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows 10 Pro ที่ออกแบบมาสำหรับการใช้งานในธุรกิจโดยเฉพาะ

ข้อดี

  • ขนาดเล็ก ประหยัดพื้นที่
  • วางใช้งานได้ทั้งแนวตั้ง และแนวนอน
  • พอร์ตเชื่อมต่อครบ

ข้อสังเกต

  • ตัวเครื่องค่อนข้างหนัก (ประมาณ 5 กิโลกรัม)
  • การปรับแต่งสเปกต้องสั่งซื้อตามจำนวนที่กำหนด

ยุคของเดสก์ท็อป Small From Factor

ด้วยการที่ปัจจัยหลักในการเลือกซื้อคอมพิวเตอร์เพื่อนำไปใช้งานในองค์กรธุรกิจส่วนใหญ่ในเวลานี้ จะเน้นไปที่ความคุ้มค่า เมื่อเทียบกับประสิทธิภาพที่ได้ รวมถึงข้อจำกัดของงบประมาณต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่าในแต่ละประเภทของธุรกิจก็มีความจำเป็นในการใช้งานที่แตกต่างกัน

เพียงแต่ว่าหนึ่งในข้อได้เปรียบของคอมพิวเตอร์องค์กรยุคใหม่คือ การที่สามารถผลิตตัวเครื่องได้มีขนาดเล็ก กะทัดรัดมากขึ้น ในลักษณะของ Small From Factor หรือ SSF ทำให้สามารถนำไปใช้ในสำนักงานที่พื้นที่มีจำกัด ดังนั้นเมื่อ Asus ที่เป็นผู้นำในตลาดเมนบอร์ดเข้ามาจับตลาดนี้ ก็จะสามารถออกแบบเมนบอร์ดเพื่อนำมาใช้งานกับเดสก์ท็อปในกลุ่มนี้ได้อย่างน่าสนใจ

Asus ExpertCenter D500SA จึงกลายเป็นเดสก์ท็อปขนาดเล็กระดับเริ่มต้นขององค์กรธุรกิจที่น่าสนใจ จากทั้งประสิทธิภาพของตัวเครื่อง และพอร์ตเชื่อมต่อที่ครบ แม้จะมีขนาดตัวเครื่องเล็กลง และยังออกแบบให้เหมาะกับการปรับแต่งใช้งาน และซ่อมบำรุงสำหรับฝ่ายไอทีด้วย

นอกจากนี้ การที่ตัวเครื่องทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows 10 Pro ที่ออกแบบมาสำหรับใช้งานในองค์กรธุรกิจโดยเฉพาะ ทำให้การใช้งานปลอดภัยมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันข้อมูลต่างๆ ภายในองค์กรธุรกิจกลายเป็นสิ่งที่มีมูลค่าไม่แตกต่างจากตัวสิ่งของไปเรียบร้อยแล้ว

ขณะเดียวกันภายใน ExpertCenter D500SA ยังมาพร้อมโซลูชันรักษาความปลอดภัยทั้ง Asus Business Manager ที่ช่วยให้สามารถตั้งค่าความปลอดภัยในการใช้งานทั้งการควบคุมการใช้งานพอร์ต USB ไม่ให้สามารถเขียนไฟล์ได้ เข้ารหัสฮาร์ดดิสก์ให้ข้อมูลที่เก็บไว้ปลอดภัยขึ้น จนถึงการย้อนกลับของระบบเพื่อกู้คืนระบบกลับมาให้ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ

ยังมี My Asus ที่ใช้แสดงรายละเอียดการรับประกัน การแก้ไขปัญหาการใช้งานเบื้องต้น รวมถึงการอัปเดตซอฟร์แวร์ และไดรฟ์เวอร์ ให้ทันสมัยอยู่เสมอ เช่นเดียวกับการอัปเกรดระบบรักษาความปลอดภัยของ Windows 10 Pro ที่จะช่วยปกป้องคอมพิวเตอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

ออกแบบให้สะดวกต่อการใช้งาน

ความน่าสนใจอย่างหนึ่งของ ExpertCenter D500SA คือการที่มีพอร์ตใช้งานให้ครบถ้วน ซึ่งรองรับการเชื่อมต่อทั้งหน้า และหลังตัวเครื่อง ทำให้สะดวกในการใช้งานภายในสำนักงานที่มีพื้นที่จำกัดได้เป็นอย่างดี ประกอบกับตัวเครื่องที่สามารถเลือกวางทั้งในแนวตั้ง และแนวนอนได้ด้วย ทำให้การออกแบบต้องคำนึงถึงการใช้งานทั้ง 2 รูปแบบด้วย

โดยด้านหน้าของตัวเครื่องจะมีตั้งแต่ถาดใส่แผ่นซีดี ที่ซ่อนเนียนเข้าไปกับดีไซน์ของตัวเครื่อง ถัดไปทางขวาเป็นปุ่มเปิดเครื่อง ไฟแสดงสถานะการทำงานของฮาร์ดดิสก์ ช่องเสียบหูฟัง และไมโครโฟ และพอร์ต USB 3.2 ให้ใช้งานถึง 4 พอร์ต พร้อมกับ Card Reader อีก 2 ขนาดให้ใช้งาน

ส่วนหลังเครื่องให้พอร์ตมารองรับการเชื่อมต่อทั้งอุปกรณ์สมัยใหม่ และอุปกรณ์ที่เป็น Legacy เดิม ไล่ตั้งแต่ พอร์ต PS/2 สำหรับเชื่อมต่อเมาส์ และคีย์บอร์ด ช่องต่อจอภายนอกที่มีทั้ง Display Port / HDMI / VGA โดยในกลุ่มนี้จะใช้การแสดงผลจากการ์ดจอออนบอร์ด ตามด้วยพอร์ต USB 2.0 อีก 4 พอร์ต ช่องเชื่อมต่อสาย LAN รวมถึง Serial Port ด้วย

นอกจากนั้นก็จะมีช่องเชื่อมต่อกับลำโพง ไมโครโฟน และ Parallel port มาให้ด้วย ที่เหลือก็จะเป็นออปชันเสริม อย่างการใส่การ์ดจอแยก ก็จะมีพอร์ต HDMI / DVI / D-Sub มาพร้อม และช่องต่ออุปกรณ์รับสัญญาณ Wi-Fi เพิ่มเติม

ในจุดนี้ผู้ใช้สามารถแกะฝาของเครื่องออกมาได้ โดยไม่ต้องใช้ไขควงเพิ่มเติม และเมื่อเปิดฝาออกมายังสามารถถอดเปลี่ยนฮาร์ดไดรฟ์ ได้แบบง่ายๆ ทำให้สามารถบำรุงรักษาเครื่อง รวมถึงอัปเกรดชิ้นส่วนภายในได้อย่างง่ายดาย

จุดเด่นอีกอย่างของ ExpertCenter D500SA คือการที่ Asus เลือกใช้เมนบอร์ดแบบ 100% Solid Capacitor ทำให้เมนบอร์ดมีความทนทานในการใช้งานมากยิ่งขึ้น เพราะคาปาซิเตอร์แบบนี้จะช่วยเก็บประจุ และควบคุมแรงดันไฟฟ้า เพิ่มความเสถียร และช่วยยืดอายุการใช้งานได้ยาวนานขึ้นด้วย

ขณะเดียวกัน ตัวเครื่องยังผ่านการทดสอบความแข็งแรงตามเกณฑ์ของอุตสาหกรรม และการทดสอบมาตรฐานกองทัพสหรัฐฯ MIL-STD-810G ทั้งในเรื่องของความทนทาน ยิ่งทำให้การนำไปใช้งานในองค์กรธุรกิจ ได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้นด้วย

เลือกสเปกตามการใช้งาน

เมื่อเป็นสินค้าในกลุ่ม ExpertCenter ที่เจาะกลุ่มธุรกิจ ทางเอซุส จึงได้เปิดทางเลือกให้องค์กรสามารถเลือกปรับแต่งสเปกในการใช้งานเพิ่มเติมสำหรับการสั่งซื้อสินค้าจำนวนมากได้ โดยในรุ่น ExpertCenter D500SA จะสามารถเลือกปรับแต่งได้ทั้งซีพียู Intel Gen 10 Core i5-10400 2.9 GHz ไปจนถึง Core i7-10700 2.9 GHz พร้อมตัวเลือกกราฟิกการ์ดเป็น NVIDIA GeForce GT1030 และ NVIDIA GeForce GT710

ช่องใส่ RAM มีมาให้ 2 ช่อง เลือกใส่ได้สูงถึ 64 GB (32 GBx2) และมีช่องต่อ PCIe ให้เพิ่มเติม ในส่วนของสตอเรจ สามารถเลือกใส่ได้ทั้ง HDD ขนาด 2.5” หรือ 3.5” สูงสุด 3 TB ไปจนถึง SSD สูงสุดที่ 2 TB เช่นเดียวกับการเชื่อมต่อ WiFi มีให้เลือกทั้ง WiFi 5 / WiFi 6 ดังนั้น องค์กรธุรกิจสามารถเลือกปรับแต่งสเปกเหล่านี้เพิ่มเติมได้

ทดสอบการใช้งาน

สำหรับ Asus ExpertCenter D500SA ที่ได้รับมาทดสอบนั้น จะมาพร้อมกับ Intel Core i5-10500 3.1 GHz พร้อมกราฟิกการ์ด NVIDIA GeForce GT710 อัด RAM 16 GB และฮาร์ดดิสก์ 1 TB ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows 10 Pro รองรับการเชื่อมต่อ WiFi 5 แบบ 2×2

ในแง่ของการใช้งานทั่วไป อย่างการทำงานเอกสาร เข้าใช้งานเว็บไซต์ต่างๆ รวมถึงโปรแกรมเฉพาะทางเกี่ยวกับธุรกิจ ต้องยอมรับว่าสเปกเท่านี้เพียงพอกับการใช้งานอยู่แล้ว และสามารถนำไปใช้ในงานที่ยาก และซับซ้อนขึ้นได้อีก สำหรับการนำไปใช้งานในองค์กรธุรกิจทั่วๆไป

แต่ถ้าต้องการนำไปใช้งานที่ต้องใช้ประสิทธิภาพในการประมวลผลสูงขึ้น หรือการตอบสนองต่อการใช้งานที่ลื่นไหลมากกว่าเดิม การเพิ่มซีพียูเป็น Core i7 เพิ่ม RAM เป็น 32 GB และเลือกใช้ SSD จะทำให้ประสิทธิภาพในการใช้งานโดยรวมดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่แน่นอนว่าขึ้นอยู่กับงบประมาณของแต่ละองค์กรด้วย

สรุป

ในภาพรวมแล้ว Asus ExpertCenter D500SA จะเข้าไปตอบโจทย์องค์กรธุรกิจที่กำลังต้องการอัปเกรดคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปรุ่นเก่าที่มี มาใช้งานเป็นเครื่องที่ใหม่ขึ้น ประสิทธิภาพสูงขึ้น ขนาดกะทัดรัดมากขึ้น และประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญก็คือ Asus มีการรับประกันแบบ Onsite Service 3 ปี และรับประกันอุบัติเหตุ 1 ปีแรกเพิ่มเติมเข้ามาด้วย

องค์กรธุรกิจไหนที่กำลังมองหาเดสก์ท็อปพีซี ขนาดเล็กประสิทธิภาพสูง ExpertCenter D500SA ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ในราคาเริ่มต้นของรุ่น Intel Gen 10 Core i5 ที่ประมาณ 15,000 บาท ขึ้นอยู่กับสเปกที่เลือก และสามารถปรับแต่งสเปกเพิ่มเติม เพื่อนำไปใช้งานให้เหมาะสมกับธุรกิจได้ด้วย

สนใจ Asus ExpertCenter DS500SA สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ https://bit.ly/2NKSiwc

]]>
Review : Asus Chromebook C204MA โน้ตบุ๊กเพื่อการเรียนรู้ในชั้นเรียน https://cyberbiz.mgronline.com/review-asus-chromebook-c204ma/ Tue, 09 Feb 2021 02:02:03 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34735

เมื่อรูปแบบการเรียนการสอนในชั้นเรียนเริ่มเปลี่ยนแปลงไป การที่โรงเรียนต้องเริ่มหาอุปกรณ์มาเป็นตัวช่วยให้นักเรียน สามารถเข้าไปเรียนรู้ข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตได้ กลายเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการเรียนการสอนรูปแบบใหม่

ด้วยเหตุนี้อุปกรณ์อย่าง Asus Chromebook C204MA ที่ถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับการนำไปใช้งานในชั้นเรียน จึงกลายเป็นตัวเลือกที่สนใจสำหรับโรงเรียนที่ต้องการโน้ตบุ๊กไว้ใช้งานภายในชั้นเรียน ในระดับราคาที่ไม่สูงเกินไป พร้อมกับมีโซลูชันในการบริหารจัดการสำหรับอาจารย์ นักเรียน และฝ่ายไอที ในการดูแลอุปกรณ์ด้วย

Asus Chromebook C204MA มากับหน้าจอขนาด 11.6 นิ้ว โดยมีตัวเลือกว่าสามารถใช้เป็นหน้าจอแบบทัชสกรีนได้ พร้อมซีพียูภายในอย่าง Intel Celeron N4020 ทำงานบน ChromeOS ที่สามารถเข้าถึงแอปพลิเคชันใน Google Play เพื่อสร้างการเรียนรู้ให้นักเรียนได้อีกจำนวนมาก วางจำหน่ายในราคาเริ่มต้น 8,500 บาท

ข้อดี

  • โน้ตบุ๊กขนาดเล็ก ทนทานระดับ Military Grade
  • ChromeOS ที่รองรับการเข้าถึงแอปใน Play Store
  • แบตเตอรีใช้งานได้กว่า 12 ชั่วโมง
  • รองรับการเชื่อมต่อทั้ง USB-C / USB Type A 3.1

ข้อสังเกต

  • ChromeOS การใช้งานส่วนใหญ่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
  • ตัวเครื่อง 11.6 นิ้ว แต่เน้นความทนทาน ทำให้มีน้ำหนักถึง 1.2 กิโลกรัม

โน้ตบุ๊กเพื่อการเรียนรู้

Chromebook ได้เริ่มกลายเป็นอุปกรณ์เพื่อการเรียนการสอนมากขึ้น โดยเฉพาะการนำไปใช้งานในโรงเรียนหลายๆ แห่ง ด้วยการนำจุดเด่นของระบบปฏิบัติการที่รองรับการใช้งานที่หลากหลายของ Google ทำให้สามารถเข้าถึงบริการต่างๆ ที่ใช้งานได้ฟรีๆ ของ Google Service ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมเอกสารอย่าง Docs Sheets Slides จนถึงแหล่งข้อมูลในการเรียนรู้อย่าง YouTube และเว็บเบราว์เซอร์อย่าง Chrome

ข้อดีอย่างหนึ่งในการนำ Chromebook ไปใช้งานในชั้นเรียนคือ อาจารย์ และฝ่ายไอที จะเข้ามาบริหารจัดการอุปกรณ์ได้สะดวกภายใต้โซลูชันที่สามารถเลือกติดตั้งแอปพลิเคชันสำหรับการเรียนการสอนโดยเฉพาะ ปิดกั้นไม่ให้เข้าถึงแอปที่ไม่จำเป็น จนถึงการบล็อกไม่ให้เข้าถึงเว็บไซต์ไม่เหมาะสม

ในส่วนนี้จึงช่วยให้อาจารย์ สามารถควบคุมการติดตั้งแอปพลิเคชันเพิ่มเติมของนักเรียนได้ ซึ่งจะช่วยให้ไม่เกิดการนำ Chromebook ไปใช้นอกเหนือจากการเรียนการสอน ทำให้เหมาะกับการนำไปใช้ในชั้นเรียนได้

โดยภายในโซลูชันเพื่อการศึกษาของ Google จะมีทั้ง Google Classroom ในการจัดการชั้นเรียน มีคอนโซลให้ผู้ดูแลระบบสามารถจัดการอุปกรณ์จากส่วนกลางได้ ไม่นับรวมกับ Google Play Store ที่สามารถเข้าไปดาวน์โหลดแอปมาใช้งานเพิ่มเติมได้

นอกจากนี้ ยังช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึง G Suite ให้นักเรียนสามารถเชื่อมต่อ และช่วยให้นักเรียนทำงานร่วมกันบนอุปกรณ์ใดก็ได้จากทุกที่ทั้งแบบออนไลน์ และออฟไลน์ รวมถึงการเข้าถึงระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูง ที่จะได้รับการอัปเดตอัตโนมัติทำให้มั่นใจว่าข้อมูลต่างๆ จะปลอดภัย

ออกแบบเพื่อการศึกษา

ด้วยรูปแบบการใช้งานในห้องเรียนที่มีความหลากหลาย และควบคุมได้ยาก ทำให้การออกแบบโน้ตบุ๊กต้องมีความทนทานเพิ่มเติม Asus Chromebook C204 มีการออกแบบที่ทนทาน เพื่อรับกับรูปแบบการใช้งานจริงในชั้นเรียน 

โดยขนาดของ Asus Chromebook C204 อยู่ที่ 292 x 199 x 19.5 – 20.1 มิลลิเมตร น้ำหนัก 1.2 กิโลกรัม มีวางจำหน่ายในสี Dark Grey ซึ่งวัสดุที่ใช้จะเน้นที่ความทนทานเป็นพิเศษ ทั้งการหุ้มขอบที่เป็นยาง และมีพื้นผิวภายนอกที่เป็นลักษณะของปุ่มขนาดเล็ก (Micro-dimpled) ที่ไม่เกิดรอยขีดข่วน และรอยนิ้วมือ

พร้อมกันนี้ตัวเครื่องยังผ่านมาตรฐานความทนทานทางทหาร MIL-STD810G ที่ครอบคลุมการทดสอบตกจากความสูงระดับ 120 ซม ทดสอบความทนทานของพอร์ตเชื่อมต่อมากกว่า 5,000 ครั้ง ทดสอบความทนทานของบานพับกว่า 50,000 รอบ และทดสอบแรงกดจากน้ำหนัก 30 กิโลกรัม

ในส่วนของหน้าจอที่ให้มามีขนาด 11.6 นิ้ว ความละเอียด 1366 x 768 พิกเซล รองรับการทำงานแบบสัมผัสบนหน้าจอได้ด้วย (มีตัวเลือกแบบจอปกติด้วย ขึ้นอยู่กับรูปแบบของการนำไปใช้) แต่ด้วยรูปแบบของการผลิตที่เน้นความทนทานทำให้สัดส่วนของหน้าจออยู่ที่ 67% เพื่อปกป้องให้หน้าจอมีรองรับการตกกระแทกได้ดีที่สุด

พร้อมกันนี้ เพื่อให้สามารถนำไปใช้ในการเรียน การสอนได้อย่างเต็มที่ ตัวหน้าจอยังสามารถกางได้ 180 องศา เพื่อให้ในการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างนักเรียนได้ด้วย ช่วยเปิดประสบการณ์เรียนรู้ให้แก่เด็กๆ ในอีกรูปแบบหนึ่ง โดยเฉพาะการใช้งานจอสัมผัส ร่วมกับแอปพลิเคชันฝึกทักษะต่างๆ

คีย์บอร์ดของ Chromebook C204 เป็นอีกจุดที่มีการออกแบบเป็นพิเศษ ทั้งการป้องกันน้ำหกใส่ได้ 66 cc และลดช่องว่างระหว่างขอบของปุ่มคีย์บอร์ดลงเพื่อป้องกันการงัดแงะ ซึ่งขนาดของปุ่มคีย์บอร์ดที่ให้มาถือว่าเป็นมาตรฐาน มีปุ่มสั่งงานต่างๆ ครบถ้วน 

ถัดมาคือในเรื่องของการเชื่อมต่อ Asus Chromebook C204 รองรับการเชื่อมต่อที่ครบถ้วน ทั้งการเชื่อมต่อไร้สาย ไม่ว่าจะเป็น WiFi 5 และบลูทูธ 5.0 รวมถึงพอร์ตเชื่อมต่อ USB-C 2 พอร์ต ที่รองรับการชาร์จ และเชื่อมต่อกับจอภาพนอก โดยจะมีตัวแปลง HDMI มาให้ และมีพอร์ต USB Type A 3.1 อีก 1 พอร์ต และไมโครเอสดีการ์ด 

แบตเตอรีที่ให้มาภายในเป็นแบบ 3 เซลล์ 50 WHr ซึ่งช่วยให้รองรับการใช้งานต่อเนื่องกว่า 12 ชั่วโมง การชาร์จทำได้ผ่านอะเดปเตอร์ USB-C 45W ที่ให้มาภายในกล่อง พร้อมกับเมาส์แบบมีสาย เพื่อให้สะดวกในการเชื่อมต่อใช้งานด้วย

สำหรับสเปกตัวเครื่องของ Asus Chromebook C204 ทำงานบนซีพียู Intel Celeron N4020 1.1 GHz ที่สามารถเร่งความเร็วในการประมวลผลสูงสุดเป็น 2.8 GHz ทำงานบนกราฟิกออนบอร์ด Intel UHD RAM 4 GB พื้นที่เก็บข้อมูลในตัวเครื่อง 32 GB ทำงานบน ChromeOS

ทุกอย่างเก็บไว้บนคลาวด์

จุดเด่นหลักอย่างหนึ่งของ Chromebook ที่ใช้งาน ChromeOS คือผู้ใช้ไม่ต้องคอยกังวลว่าข้อมูลต่างๆ ที่เก็บไว้จะหายไป เนื่องจากในการใช้งาน เมื่อมีการซิงค์ข้อมูลร่วมกับ Google Drive ใน G Suite ข้อมูลทุกอย่างที่เกิดขึ้นจะถูกเก็บไว้บนคลาวด์ทั้งหมด

ขณะเดียวกัน จึงทำให้เวลาใช้งานจำเป็นต้องเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต เพื่อเข้าถึงการใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่า บางแอปพลิเคชันก็รองรับการใช้งานแบบออฟไลน์ ที่สามารถเก็บไฟล์เ้บื้องต้นไว้ในตัวเครื่องก่อน แล้วเมื่อมีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตค่อยส่งไฟล์ไปเก็บไว้บนคลาวด์ก็ได้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้ตัวเครื่องจึงเพิ่มช่อง MicroSD มาให้ใส่เพิ่มไว้ใช้ในการเก็บข้อมูลด้วย

อย่างไรก็ตาม ด้วยรูปแบบการนำไปใช้ในการเรียนการสอนอย่าง Google Classroom ที่จะเน้นการทำงานร่วมกันของนักเรียน และครู จึงแนะนำว่าในการใช้งานควรเตรียมเครือข่ายไร้สายให้พร้อมรองรับการเชื่อมต่อกับ Chromebook ด้วย เพื่อดึงประสิทธิภาพในการใช้งานตัวเครื่องออกมาให้ดีที่สุด

อย่างเช่นรูปแบบการสั่งงานด้วยคำสั่งเสียงผ่าน Google Assistant ที่สามารถใช้เสียงในการค้นหาข้อมูล หรือเรียกใช้งานแอปพลิเคชัน ก็จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต เพื่อให้สามารถใช้งานได้ ดังนั้น ถ้าไม่มีอินเทอร์เน็ตการเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ก็จะถูกจำกัดไปด้วยเช่นกัน

พร้อมกันนี้ ASUS Chromebook ยังมาพร้อมการรับประกัน 3 ปีแบบOnsite Service ซ่อมฟรีถึงที่ พร้อมรองรับ Global Warranty 3 ปี และเพิ่มเติมด้วยประกันอุบัติเหตุในช่วง 1 ปีแรกด้วย

สำหรับ Chromebook C204MA รุ่นที่ใช้ Intel Celeron N4020 ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 8,500 บาท ขึ้นอยู่กับสเปกให้เลือกใช้งาน สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/3sKS6gn 

สรุป

ในการเลือกหาโน้ตบุ๊กสำหรับใช้งานในภาคการศึกษา นอกเหนือจากตัวเครื่องที่ต้องมีการออกแบบเป็นพิเศษแล้ว การเลือกใช้งานบนระบบปฏิบัติการที่มีโซลูชันรองรับการใช้งานที่เหมาะสม จะกลายเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้การเรียนการสอนมีความน่าสนใจมากขึ้น

ภาคการศึกษา หรือโรงเรียนที่สนใจเลือกนำ Chromebook ไปใช้งาน  Asus Chrombook C204 ถือเป็นหนึ่งในรุ่นเริ่มต้นที่ออกแบบมาสำหรับการกใช้งานที่ทนทานเป็นพิเศษ ในราคาเริ่มต้น 8,500 บาท รับประกันการใช้งาน 3 ปี ไว้เป็นตัวเลือกได้เลย

]]>
รีวิว Asus ROG Phone 3 สมาร์ทโฟนที่สายเกมมองเป็นเครื่องจบ https://cyberbiz.mgronline.com/review-asus-rog-phone-3/ Sun, 22 Nov 2020 05:27:58 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34158

เอซุส เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่หันมาให้ความสนใจกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเกมเมอร์ ทั้งพีซี อุปกรณ์เสริม จนถึงสมาร์ทโฟน ภายใต้ชื่อซับแบรนด์อย่าง ‘ROG’ โดยรุ่นล่าสุดที่นำเสนอสู่ตลาดคือ ROG Phone 3 สมาร์ทโฟนสำหรับเกมเมอร์โดยเฉพาะ

จุดเด่นหลักของ ROG Phone 3 คือการรับฟังเสียงจากผู้ใช้ แล้วนำไปพัฒนาออกมาเป็น 5 จุดหลัก ที่ทำให้สมาร์ทโฟนรุ่นนี้แตกต่างจากสมาร์ทโฟนประสิทธิภาพสูงทั่วไปในท้องตลาด

เริ่มกันที่ 1.ประสิทธิภาพของตัวเครื่อง โดยตัวเครื่องมากับหน่วยประมวลผลหลักอย่าง Snapdragon 865+ ที่มีการปรับแต่งพิเศษเพิ่มเติม Enchanced X Mode เมื่อใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ระบายความร้อนที่ให้มา จะทำการโอเวอร์คล็อกตัวเครื่องให้แรงขึ้นไปอีก

ดังนั้น ROG Phone 3 จึงกลายเป็นหนึ่งในแอนดรอยด์โฟนที่เร็วสุดในท้องตลาดเวลานี้ และยังมาพร้อมกับ RAM 12 GB ROM 512 GB ในรุ่นท็อป และมีรุ่นเล็กให้เลือกเป็น RAM 8 GB ROM 256 GB ในราคาที่ย่อมเยาลงมา

ถัดมาคือ 2.หน้าจอแสดงผล ในขณะที่รุ่นท็อปหลายๆ รุ่นในท้องตลาดนำเสนอหน้าจอแบบ 120 Hz แต่ ROG Phone 3 มากับหน้าจอที่รองรับการแสดงผล 144 Hz ที่รองรับการตอบสนองระดับ 1 ms และยังรองรับการแสดงผลแบบ 10 bit HDR บนหน้าจอ AMOLED ขนาด 6.59 นิ้ว นอกจากนี้ ในแง่ของการรับสัมผัสของหน้าจอ รองรับที่ 270 Hz มีความหน่วงในการสัมผัส 25 ms ซึ่งปัจจุบัน

3.แบตเตอรี กลายเป็นอย่างที่ 3 ที่ ROG คิดค้นมาเป็นอย่างดี เพราะยิ่งตัวเครื่องประมวลผลแรงมากเท่าไหร่ การใช้งานแบตเตอรีก็จะสูงขึ้น ทำให้ในรุ่นนี้ให้แบตเตอรีมาถึง 6000 mAh ทำให้เมื่อใช้งานทั่วๆไป ไม่ได้เข้าสู่โหมดประสิทธิภาพสูง สามารถใช้งานได้ยาวนานต่อเนื่อง

ต่อมาคือ 4.การออกแบบตัวเครื่องให้รับกับการเล่นเกมในแนวนอน เนื่องจากประสบการณ์ในการเล่นเกมปัจจุบันจะอยู่กับการใช้งานในแนวนอนเป็นหลัก ทำให้ ROG ปรับการออกแบบให้ตอบสนองการใช้งานกับสรีรศาสตร์ อย่างการเพิ่มช่องชาร์จจุดที่ 2 ระบบสัมผัสพิเศษ AirTrigger3 แผงรับสัญญาณ WiFi เพิ่มเติม

สุดท้าย 5.รองรับอุปกรณ์เสริมที่หลากหลาย เพื่อให้ประสบการณ์เล่นเกมดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นตัว GamePad ที่ทำให้สามารถเชื่อมต่อกับรีโมทคอนโทรลใช้งานพร้อมกัน จนถึง TwinView Dock 3 ช่วยเพิ่มหน้าจอแสดงผลให้เล่นเกมได้สะดวกขึ้น

สำหรับราคาจำหน่ายของ ROG Phone 3 รุ่น 12 GB / 512 GB ราคา 32,990 บาท ส่วนรุ่นรองลงมา ROG Phone 3 Strix Edition 8 GB / 256 GB ราคา 24,990 บาท ส่วนอุปกรณ์เสริม TwinView Dock 3 ราคา 7,990 บาท ROG Phone 3 Lighting Armor case ราคา 1,990 บาท ROG Clip ราคา 1,990 บาท และ ROG Kunai Gamepad ราคา 3,990 บาท

ข้อดี

  • มีโหมด X ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นเกม
  • รองรับการแสดงผลระดับ 144 Hz
  • ออกแบบมาสำหรับเล่นเกมโดยเฉพาะ
  • ทำงานร่วมกับอุปกรณ์เสริมที่หลากหลาย

ข้อสังเกต

  • ตัวเครื่องค่อนข้างหนา+หนัก
  • โหมด X Power ต้องทำงานร่วมกับพัดลมระบายอากาศ
  • จุกยางด้านข้างเครื่องมีโอกาสหาย (ในกล่องมีสำรองให้)

คิดค้นเพื่อการเล่นเกมโดยเฉพาะ

ในการใช้งาน ROG Phone 3 นั้นผู้ใช้สามารถเลือกปรับโหมดในการใช้งานได้ 2 โหมดหลักๆ คือโหมดการใช้งานปกติ ที่ไฟหน้าจอจะเป็นสีฟ้า และเมื่อเปิดโหมดประสิทธิภาพสูง (โหมด X) หน้าจอจะเปลี่ยนเป็นสีแดง ที่แสดงให้เห็นว่าได้ทำการโอเวอร์คล็อกให้ประสิทธิภาพเครื่องสูงขึ้น

โดยในการใช้งานโหมด X นั้นแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ตั้งแต่เริ่มต้น กลาง และโหมดสูงสุดที่ต้องใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ระบายความร้อนเพิ่มเติม ที่ให้มาในกล่อง เนื่องจากเมื่อเข้าสู่โหมดนี้ ตัวสมาร์ทโฟนจะต้องการตัวช่วยในการระบายความร้อนเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถรีดประสิทธิภาพได้สูงที่สุดด้วย

ขณะเดียวกัน ROG ได้มีการคิดค้นฟีเจอร์อย่าง AirTrigger3 ขึ้นมา ให้ผู้ใช้เพิ่มปุ่มในการควบคุมเพิ่มเติมบริเวณ ขอบของโทรศัพท์ เหมือนปุ่ม L1 และ R1 ของจอยเกม ที่สามารถจำลองปุ่มเสมือนเพื่อใช้งานร่วมกับเกมที่เล่นได้

ภายในโหมดควบคุมการตั้งค่าเกมต่างๆ ยังเปิดให้ผู้ใช้สามารถปรับเลือกสีไฟ LED สัญลักษณ์ของ ROG ด้านหลังเครื่องได้ด้วย โดยเลือกรูปแบบของไฟได้ทั้งสว่างตลอดเวลา กระพริบ จนถึงสลับสีไปเรื่อยๆ ช่วยเพิ่มให้ตัวเครื่อง ROG Phone 3 มีความล้ำสำหรับคอเกมมากขึ้น

อีกจุดที่น่าสนใจในการออกแบบเครื่องรุ่นนี้คือ มีพอร์ต USB-C ให้ 2 จุด โดยจุดแรงจะอยู่ที่ล่างเครื่องเหมือนสมาร์ทโฟนทั่วไป และอีกจุดจะอยู่ที่ข้างเครื่อง โดยใช้เป็นจุดสำหรับเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริมต่างๆ และในกรณีที่ใช้เล่นเกมแนวนอนอยู่ ก็สามารถใช้เป็นช่องชาร์จได้เช่นกัน

ทั้งนี้ในการชาร์จตัวเครื่อง เนื่องจากให้แบตเตอรีมาถึง 6000 mAh ทำให้ต้องมีการนำระบบชาร์จเร็วแบบ 30W มาให้ใช้งาน ช่วยให้สามารถชาร์จแบตเตอรีได้รวดเร็วขึ้นด้วย โดยในการใช้งานโหมดทั่วไป สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องกว่า 18 ชั่วโมง และจะลดลงเหลือ 11 ชั่วโมงเมื่อเปิดใช้โหมด X

ส่วนในภาพรวมของการใช้งาน ROG Phone 3 ถือเป็นสมาร์ทโฟนที่สุดในทุกอย่าง แม้ว่าจะไม่ได้เน้นเรื่องของการใช้งานกล้อง แต่รุ่นนี้ให้กล้องหลักมาที่ 64 ล้านพิกเซล เสริมด้วยกล้องมุมกว้าง 13 ล้านพิกเซล และเลนส์มาโคร 3 ล้านพิกเซลให้ใช้งาน กล้องหน้า 24 ล้านพิกเซล ถือว่าเพียงพอกับการใช้งานอย่างแน่นอน

ทดสอบประสิทธิภาพ

ต้องยอมรับว่าตัวเครื่องของ ROG Phone 3 นั้นถือว่าแรงจริง แม้จะเทียบกับสมาร์ทโฟนในระดับราคาเดียวกันก็รีดประสิทธิภาพออกมาได้ดีกว่า ดังนั้นเมื่อรวมกับการแสดงผลระดับ 144 Hz ทำให้การเล่นเกมบน ROG Phone 3 ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน

สรุป

ROG Phone 3 ได้ยกระดับมาตรฐานของสมาร์ทโฟนเกมเมอร์ในเมืองไทยขึ้นได้อย่างน่าสนใจ ด้วยการนำนวัตกรรมที่เหมาะสม มาผสมผสานกับการตอบสนองรูปแบบการเล่นเกม แม้ว่าราคาตัวเครื่องจะค่อนข้างสูง เนื่องจากเกิน 3 หมื่นบาท แต่ถ้ามองในแง่ของประสิทธิภาพที่ได้ ถือว่าคุ้มค่าอย่างแน่นอน

ในขณะเดียวกัน ด้วยการที่กลุ่มเป้าหมายของเครื่องรุ่นนี้ค่อนข้างชัดเจน ใครที่ไม่ได้เป็นเกมเมอร์ หรือชื่นชอบการเล่นเกม ก็อาจจะไม่ได้หันมามองเครื่องรุ่นนี้ ทำให้ที่ผ่านมาตลาดสมาร์ทโฟนเกมเมอร์ระดับไฮเอนด์ในไทยจะไม่ค่อยเติบโตเท่าที่ควร เพราะกำลังซื้อส่วนใหญ่จะหันไปเลือกรุ่นที่ระดับราคาที่เข้าถึงได้มากกว่า

Gallery

]]>
Review : Asus ExpertBook P2 โน้ตบุ๊กธุรกิจ ผ่านมาตรฐานความแข็งแรงทางทหาร https://cyberbiz.mgronline.com/review-asus-expertbook-p2/ Wed, 23 Sep 2020 03:51:39 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=33712

เมื่อความต้องการใช้งานโน้ตบุ๊กในองค์กรธุรกิจนั้นมีความหลากหลาย ทำให้นอกเหนือจาก ExpertBook P1 (P1440) ที่เป็นรุ่นเริ่มต้นของผลิตภัณฑ์โน้ตบุ๊กธุรกิจของทางเอซุส (Asus) แล้ว ก็ยังมี ExpertBook P2 (P2451) ออกมาจับกลุ่มผู้ใช้องค์กรธุรกิจที่ต้องการความแข็งแรงของตัวเครื่อง และความปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น

จุดขายหลักของ Asus ExpertBook P2 (P2451) คือวางตำแหน่งเป็นโน้ตบุ๊กธุรกิจที่มาช่วยเพิ่ม Productivity สำหรับองค์กรธุรกิจ ที่โดดเด่นทั้งเรื่องการประมวลผลประสิทธิภาพสูงจากซีพียูของ Intel รุ่นที่ 10 ผสมผสานกับการออกแบบนี้เน้นความคล่องตัว พอร์ตเชื่อมต่อที่ครอบคลุม และโครงสร้างตัวเครื่องที่แข็งแรง

ข้อดี

  • ขนาดเครื่องกะทัดรัด
  • ตัวเครื่องมีความแข็งแรง
  • พอร์ตเชื่อมต่อครบถ้วน
  • ใช้งานบนแบตเตอรีได้ยาวนานทั้งวัน

ข้อสังเกต

  • ดีไซน์ ไม่ได้แปลกใหม่ เน้นใช้งานในองค์กรมากกว่า
  • ด้วยการที่ให้พอร์ตมาครบ ทำให้ตัวเครื่องหนากว่าปกติ

สำหรับสเปกของ ASUS ExpertBook P2451 ประกอบด้วย

  • OS : Windows 10 Pro 
  • CPU : Intel Gen 10 Core i5 1.6 GHz
  • GPU : Intel UHD 
  • RAM : DDR4 8 GB
  • พื้นที่เก็บข้อมูล : SSD 512 GB
  • หน้าจอ :14  นิ้ว Full HD (1920 x 1080 พิกเซล)
  • การเชื่อมต่อ : WiFi 5 / Bluetooth 5.0
  • แบตเตอรี่ : 48Whr 3 เซลล์
  • น้ำหนัก : 1.5 กิโลกรัม
  • ราคา : เริ่มต้นที่ 15,xxx บาท

โน้ตบุ๊กจอ 14” น้ำหนักเบา มาตรฐานกองทัพ

เมื่อเป็นโน้ตบุ๊กสำหรับองค์กรธุรกิจที่เน้นเรื่องความแข็งแรงของตัวเครื่อง ทำให้ Asus ExpertBook P2 มีการออกแบบให้เหมาะกับการพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ ขณะเดียวกันก็ไม่ทิ้งเรื่องความแข็งแรงของตัวเครื่อง ด้วยการนำโครงสร้างพิเศษมาช่วยเสริมความแข็งแกร่ง

โดยนอกจากโครงเครื่องโน้ตบุ๊กปกติแล้ว ExpertBook P2 ยังมีการเสริมฝาที่เป็นอลูมิเนียมเข้ามา ภายในมีการเพิ่มเหล็กค้ำยันข้างใต้ฐานคีย์บอร์ด เพื่อให้โครงสร้างมีความแข็งแรงขึ้น ผสมกับระบบป้องกันฮาร์ดดิสก์แบ EAR ช่วยให้รองรับแรงกระแทก และป้องกันไม่ให้เสียหายด้วย

ขณะเดียวกัน เครื่องรุ่นนี้ยังผ่านการรับรองมาตรฐานกองทัพ (US Military Grade : MIL-STD 810G) ที่ได้รับการทดสอบรับแรงกระแทก ที่ความเร็ว 40G/11ms ได้มากกว่า 18 ครั้ง รองรับแรงสั่นสะเทือน 5-500 Hz 3 ทิศทางกว่า 30 นาที รวมถึงการใช้งานในอุณหภูมิสูง และติดลบด้วย

ถัดมาในส่วนของหน้าจอแสดงผลขนาด 14 นิ้ว ความละเอียด Full HD (1920 x 1080 พิกเซล) ที่ให้มา ยังเป็นจอภาพขอบบาง NanoEdge 7.15 มิลลิเมตร ทำให้สัดส่วนจอภาพคิดเป็นสัดส่วน 76% ของขนาดตัวเครื่อง

ทำให้ตัวเครื่องมีขนาดใกล้เคียงกับโน้ตบุ๊กขนาดจอ 13 นิ้ว ซึ่งขนาดตัวเครื่องของ ExpertBook P2 จะอยู่ที่ 325.3 x 232.9 x 19.9 มิลลิเมตร นำ้หนัก 1.5 กิโลกรัม วางจำหน่ายในโทนสีคลาสสิคสีดำ Star Black

สำหรับในแง่ของความเป็นส่วนตัวในการใช้งาน ExpertBook P2 นั้น บริเวณกล้องเว็บแคมความละเอียด 720p จะมีการติดตั้ง Webcam Privacy Shield Slides มาให้ ซึ่งช่วยสร้างความมั่นใจในปิดกล้องจากม่านชัตเตอร์ เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวในการใช้งาน

อย่างไรก็ตาม ถ้าสังเกตบริเวณล่างหน้าจอของ ExpertBook P2 จะพบว่ามีขอบที่ค่อนข้างหนา โดยเป็นผลมาจากการออกแบบที่ต้องการให้สามารถกางหน้าจอได้ 180 องศา ทำให้ต้องเว้นพื้นที่บางส่วนไว้เพื่อความแข็งแรงของข้อพับที่ยึดเครื่องกับหน้าจอ

ในส่วนของคีย์บอร์ด ExpertBook P2 นั้น จะมีตัวเลือกเป็นคีย์บอร์ดแบบมาตรฐาน โดยมีระยะห่างระว่างปุ่ม 1.5 มม. ช่วยให้พิมพ์ใช้งานได้สะดวก โดยสามารถเลือกติดตั้งไฟ Backlit และเคอเซอร์ SensePoint เพิ่มเติมได้

ถัดจากคีย์บอร์ดมาที่บริเวณแทร็กแพด ที่จะวางตำแหน่งเยื้องมาทางซ้ายเล็กน้อย โดยมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมืออยู่ทางขวาบนแยกออกมา สามารถทำงานร่วมกับ Windows Hello เพื่อล็อกอินใช้งานเครื่องได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น

สำหรับพอร์ตเชื่อมต่อที่เป็นจุดเด่นอีกอย่างของ ExpertBook P2 คือการให้พอร์ตมาตรฐานมาครบถ้วน ไม่ต้องใช้อะเดปเตอร์สำหรับแปลงพอร์ตเพิ่มเติม โดยทางฝั่งซ้ายจะมีช่องเสียบชาร์จแบตฯ พอร์ต LAN 10/100/1000 USB-C 3.2 HDMI และ USB 3.2 มาให้

ส่วนทางขวาจะมีช่องล็อก Kensington พอร์ต VGA USB 3.2 อีก 1 พอร์ต USB 2.0 ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. และช่องอ่านไมโครเอสดีการ์ด ความพิเศษอย่างหนึ่งก็คือพอร์ต USB-C ที่ให้มาจะรองรับการชาร์จเร็ว ส่งต่อไฟล์ความเร็วสูง และใช้ต่อกับจอภาพเพิ่มเติมได้ด้วย

ปรับแต่งสเปกได้หลากหลาย

ด้วยการที่เป็นโน้ตบุ๊กธุรกิจ ทำให้ทางเอซุส เปิดให้ลูกค้าสามารถเลือกปรับแต่งสเปกตามการใช้งานได้ โดยหลักๆ แล้ว ExperBook P2451FA จะสามารถเลือกปรับแต่งซีพียู หน่วยความจำ พื้นที่เก็บข้อมูล การเชื่อมต่อไร้สาย คีย์บอร์ด ได้

เริ่มกันจากหน่วยประมวลผล ที่ ASUS ExpertBook P2451FA มีโปสเซสเซอร์ประสิทธิภาพสูงจาก Intel รุ่นที่ 10 ให้เลือกใช้งาน 3 รุ่นตามความต้องการ ประกอบไปด้วย

Intel Core i7-10510 (1.8GHz, up to 4.9GHz, 8MB cache, 4 cores) : เหมาะกับผู้ใช้งานที่ต้องการหน่วยประมวลผลประสิทธิภาพสูง รองรับการทำงานแบบมัลติทาสกิ้ง รองรับการทำงานตั้งแต่ระดับต้น อย่างงานเอกสารทั่วไป ใช้งานเพื่อความบันเทิง จนถึงการประมวลผลขั้นสูงอย่างการเรนเดอร์ภาพ 3D จนถึงครีเอทีฟต่างๆ

Intel Core i5-10210 (1.6GHz, up to 4.2GHz, 6MB cache, 4 cores) : ที่เหมาะกับการใช้งานทั่วไป รองรับการทำงานหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะการทำงานแบบมัลติทาสกิ้ง ใช้ดูหนังฟังเพลงได้เต็มประสิทธิภาพ รวมถึงใช้เล่นเกมยอดนิยมก็ได้

สุดท้ายคือ Intel Core i3-10110 (2.1GHz, up to 4.1GHz, 4MB cache, 2 cores) : ซึ่งถือเป็นรุ่นเริ่มต้น รองรับการใช้งานพื้นฐาน รวมถึงการดูหนัง ฟังเพลง สตรีมมิ่ง 4K ได้

ถัดมาคือในส่วนของหน่วยความจำ (RAM) ที่รุ่นนี้เลือกปรับแต่งได้เร่ิมต้นที่ 4 GB 8 GB และ 16 GB รองรับได้สูงสุด 32 GB ส่วนพื้นที่เก็บข้อมูลมีให้เลือกทั้งแบบฮาร์ดดิสก์ 1 TB 2 TB และ SSD 256 GB 512 GB และ 1 TB

ในส่วนนี้ ถ้าเป็นการนำมาใช้เพื่อทำงานแนะนำให้เลือกเริ่มต้นที่ Core i5 RAM 8 GB และพื้นที่เก็บข้อมูลแบบ SSD 256 GB คู่กับ HDD ปกติเพื่อใช้เก็บข้อมูลขนาดใหญ่ จะช่วยให้สามารถใช้งานได้ในระยะยาว และคุ้มค่ามากกว่า

จุดเด่นอย่างหนึ่งในการเป็นโน้ตบุ๊กธุรกิจของเอซุส คือมีบริการหลังการขายแบบ Perfect Warrant ที่มีบริการซ่อมถึงที่ 3 ปี (3 Year Onsite Service) รับประกัน 3 ปี ทั่วโลก (3 Year Global Warranty) เสริมด้วยรับประกันอุบัติเหตุในปีแรก (1 Year Perfect Warranty) และมีบริการลูกค้าออนไลน์แบบเรียลไทม์ (ASUS Online Customer Service) ให้เข้าไปสอบถามเพื่อแก้ไขปัญหาได้ทันที

ทดสอบประสิทธิภาพ

สำหรับในส่วนของการใช้งานเครื่องที่รับมาทดสอบนั้น ทำงานบนสเปก Intel Core i5 RAM 8 GB SSD 512 GB นั้นถือว่าใช้งานได้ครอบคลุมการทำงานทั่วไป การที่ให้หน้าจอสัดส่วน 16:9 ทำให้การใช้งานด้านความบันเทิงได้เป็นอย่างดี

ระยะเวลาใช้งานบนแบตเตอรีนั้น เท่าที่ทดสอบด้วยการเปิดความสว่างหน้าจอประมาณ 50% ใช้งานทั่วไป มีการเชื่อมต่อินเทอร์เน็ตตลอดเวลา จะใช้งานได้ต่อเนื่องราว 9 ชั่วโมง 41 นาที ในกรณีที่เปิดความสว่างหน้าจอแบบสูงสุดจะอยู่ที่ราว 7 ชั่วโมง 44 นาที

ทั้งนี้ ทางเอซุส ระบุว่า ในการทดสอบสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องสูงสุด 13 ชั่วโมง ด้วยการทดสอบกับรุ่นที่ใช้ Intel Core i7 RAM 8 GB จอ FullHD ปรับความสว่างหน้าจอ 150nits ส่วนถ้าใช้เล่นเกม หรือใช้งานประมวลผลหนักๆ จะอยู่ที่ราว 1 ชั่วโมง 40 นาที

ส่วนผลการทดสอบจากโปรแกรมทดสอบสามารถดูได้จากอัลบั้มด้านล่าง

สรุป

Asus ExpertBook P2 นั้นถือเป็นอีกซีรีส์ในกลุ่มโน้ตบุ๊กธุรกิจของเอซุส ที่นำจุดแข็งเรื่องความแข็งแกร่งของตัวเครื่อง และความปลอดภัยในการเก็บรักษาข้อมูลมาเป็นจุดขาย ร่วมกับการนำหน่วยประมวลผลประสิทธิภาพสูงของ Intel Gen 10 มาใช้งาน

ที่เปิดให้ลูกค้าสามารถเลือกปรับแต่งสเปกได้ตามที่ต้องการ ซึ่งจะเหมาะกับองค์กรธุรกิจที่ต้องการมองหาโน้ตบุ๊กให้พนักงานใช้งาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้ดียิ่งขึ้น และรองรับการทำงานแบบ Mobility

ข้อมูลเพิ่มเติม: https://www.asus.com/th/Commercial-Laptops/ASUS-ExpertBook-P2451FA/

Gallery

]]>
Review : ASUS ExpertBook P1410CDA โน้ตบุ๊กครบเครื่องสำหรับองค์กรธุรกิจ https://cyberbiz.mgronline.com/review-asus-expertbook-p1410/ Thu, 17 Sep 2020 03:20:46 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=33590

การที่เอซุส (Asus) ต้องการบุกเข้ามาในตลาดโน้ตบุ๊กสำหรับองค์กรธุรกิจ พร้อมกับตั้งเป้าหมายขึ้นเป็นผู้นำในตลาดนี้ภายใน 3 ปีข้างหน้า สอดคล้องกับยุคการทำงานรูปแบบใหม่ที่องค์กรธุรกิจหลายแห่งต่างต้องปรับตัว เตรียมความพร้อมให้แก่พนักงาน ในกรณีที่ต้องทำงานจากนอกสถานที่ นำให้โน้ตบุ๊กกลับมาได้รับความนิยมอีกรั้ง

จุดเด่นของ Asus ExpertBook P1คือมาพร้อมกับ Windows 10 Pro ที่เหมาะกับการใช้งานในองค์กรธุรกิจ พร้อมการล็อกอินแบบสแกนลายนิ้วมือที่ทำงานร่วมกับ Windows Hello เมื่อผสมผสานกับระบบบริหารจัดการของ My Asus ทำให้กลายเป็นโน้ตบุ๊กที่เหมาะกับพนักงานที่ต้องการความคล่องตัวในการทำงานได้ทันที

ในขณะเดียวกัน ด้วยการเลือกใช้หน่วยประมวลผลจาก AMD Ryzen 7 ที่พัฒนาขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนที่เหลืออย่าง RAM พื้นที่เก็บข้อมูลต่างๆ สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการของแต่ละองค์กรธุรกิจ จึงรองรับทั้งการใช้งานทั่วไป จนถึงการเป็นเครื่องประสิทธิภาพให้พนักงานได้ใช้งาน

ข้อดี

  • โน้ตบุ๊กองค์กรรุ่นเริ่มต้นที่สามารถปรับแต่งได้ตามการใช้งาน
  • พอร์ตเชื่อมต่อครบ มีให้ทั้ง USB-C HDMI และอะเดปเตอร์เชื่อมต่อ LAN / VGA
  • มี Windows 10 Pro ให้เลือกซึ่งเหมาะกับใช้งานในองค์กรธุรกิจมากกว่า
  • เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือเพื่อความปลอดภัย

ข้อสังเกต

  • ตัวเครื่องค่อนข้างหนา น้ำหนัก 1.65 กิโลกรัม
  • จอรุ่นเริ่มต้นยังไม่เป็น Full HD แต่สามารถปรับแต่งได้

สำหรับสเปกของ ASUS ExpertBook P1410CDA ในรุ่นเริ่มต้น ประกอบด้วย

  • OS : Windows 10 Pro 
  • CPU : AMD Ryzen 7 3700U
  • GPU : Radeon Vega 10
  • RAM : DDR4 8 GB
  • พื้นที่เก็บข้อมูล : HDD 1 TB
  • หน้าจอ :14  นิ้ว HD (1366 x 768 พิกเซล)
  • การเชื่อมต่อ : WiFi 5 / Bluetooth 4.2
  • แบตเตอรี่ : 32Whr 2 เซลล์
  • น้ำหนัก : 1.65 กิโลกรัม
  • ราคา : เริ่มต้น 8,xxx บาท สอบถามผ่านตัวแทนจำหน่ายที่ http://bit.ly/2wAuouV

โน้ตบุ๊กครบเครื่องสำหรับองค์กรธุรกิจ

เมื่อเป็นโน้ตบุ๊กสำหรับองค์กรธุรกิจ สิ่งที่หลายองค์กรให้ความสำคัญเลยคือต้องซื้อแล้วจบ สามารถเลือกปรับสเปกได้ตามความต้องการ มีการรับประกันที่ดี และที่สำคัญคือแกะกล่องมาต้องพร้อมใช้งาน

ด้วยเหตุนี้ Asus จึงทำการบ้านมาค่อนข้างดีสำหรับ ExperBook P1410CDA ด้วยการที่มีตัวเลือกให้ลูกค้าสามารถปรับแต่งได้ตั้งแต่การเลือกหน่วยประมวลผล ที่มีตัวเลือกเริ่มต้นเป็น Ryzen 3 (3200U) Ryzen 5 (3500U) และ Ryzen 7 (3700U)

ในขณะที่ระบบปฏิบัติการก็สามารถเลือกได้ว่าจะใช้งานคู่กับ Windows 10 Home หรือ Windows 10 Pro แต่ทางเลือกที่แนะนำสำหรับใช้งานในองค์กรธุรกิจคือ Windows 10 Pro ที่จะมีฟีเจอร์สำหรับการทำงานที่เพิ่มขึ้น เหมาะกับการใช้ทางธุรกิจโดยเฉพาะ

นอกจากนี้ องค์กรธุรกิจยังสามารถเลือกปรับ RAM ได้สูงสุด 16 GB พื้นที่เก็บข้อมูลแบบคู่ ที่สามารถใส่ SSD ได้สูงสุด 512 GB คู่กับ HDD สูงสุด 1 TB ซึ่งแน่นอนว่าขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งาน ถ้าให้แนะนำคือเริ่มต้นด้วย SSD 128 GB กับ HDD 500 GB เพื่อเก็บข้อมูล ก็เพียงพอกับการใช้งานของพนักงานทั่วไปแล้ว

ถัดมาคือตัวเลือกในการปรับแต่งจอ โดยจอรุ่นเริ่มต้นที่ให้มาจะเป็นขนาด 14 นิ้ว ความละเอียด 1366 x 768 พิกเซล ที่สามารถปรับเลือกได้เป็น 14 นิ้ว Full HD 1920 x 1080 พิกเซล

ในขณะที่การรับประกันของ Asus จะประกอบไปด้วย บริการซ่อมถึงที่ 3 ปี (3 Year Onsite Service) รับประกัน 3 ปีทั่วโลก (3 Year Global Warranty) เพิ่มเติมด้วย ประกันอุบัติเหตุในปีแรก (1 Year Perfect  Warranty) ทำให้สบายใจในการใช้งานได้

สุดท้ายคือความพร้อมในการใช้งาน Asus ถือว่าทำการบ้านมาค่อนข้างดีตั้งแต่การออกเดสก์ท็อปอย่าง ExpertPC ด้วยการให้อุปกรณ์เสริมอย่างเมาส์ USB มาให้ภายในกล่อง และยังไม่หมดแค่นั้น เพราะมีอะเดปเตอร์แปลงพอร์ต USB เป็น LAN และ HDMI เป็น VGA มาให้ในกล่องด้วย

เรียกได้ว่าแกะกล่องมาทำการล็อกอินเข้าใช้งาน Windows 10 Pro เรียบร้อย ก็พร้อมใช้งานได้ทันที และในกรณีที่ต้องการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ ก็มีพอร์ตให้ใช้งานครบครัน

ภาพรวมตัวเครื่อง ExpertBook P1

ในแง่ของการออกแบบ ExpertBook P1 ถือว่าทำออกมาได้น่าสนใจ จากการนำจอแบบ NanoEdge มาใช้งาน ช่วยให้ตัวเครื่องมีขนาดเล็กลง เมื่อเทียบกับขนาดหน้าจอ 14 นิ้ว ตัวจอจะมีสัดส่วนถึง 82% ของตัวเครื่อง โดยมีขอบจออยู่ที่ 6.5 มิลลิเมตร

โดยตัวหน้าจอที่ให้มามีขนาด 14 นิ้ว ความละเอียด 1366 x 768 พิกเซล ซึ่งเป็นจอผิวด้าน ที่เคลือบป้องกันแสงสะท้อน ให้มุมมองภาพ 178 องศา ด้านบนจะมีกล้อง VGA ให้ใช้งานเพื่อประชุมสายทางไกลได้ ส่วนด้านล่างจะมีโลโก้ ASUS สีเงินอยู่

ถัดลงมาในส่วนของคีย์บอร์ดที่ออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ โดยทางเอซุสมีการเสริมความแข็งแรงของตัวเครื่องด้วยการนำโครงสร้างโลหะชิ้นเดียวมาใช้งาน แป้นพิมพ์มีระยะการกดที่ 1.4 มิลลิเมตร ช่วยให้พิมพ์ใช้งานได้สะดวกขึ้น

ขณะเดียวกับแถบคำสั่งลัดที่ให้มาบริเวณปุ่ม Fn ถือว่าครบ ตั้งแต่การปรับระดับเสียง ความสว่างหน้าจอ ปิดการใช้งานทัชแพด สลับหน้าจอ ปิดกล้อง จับภาพหน้าจอ เรียกโปรแกรมจัดการ My Asus

ต่อเนื่องมาในส่วนของทัชแพด ที่หลังๆ เอซุส พัฒนาการใช้งานมาได้น่าสนใจ การควบคุมสั่งงานด้วยทัชแพด ลื่นไหลดี และในรุ่นนี้ยังมีการฝังเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือมาที่มุมขวาบนของทัชแพด เพื่อใช้ปลดล็อกใช้งานเครื่องด้วย

บริเวณที่วางข้อมือทางฝั่งซ้าย จะมีสัญลักษณ์ ExpertBook อยู่ ส่วนทางฝั่งขวาเป็นข้อความ Sonic Master ที่เป็นเทคโนโลยีลำโพงของเครื่องรุ่นนี้ ซึ่งให้พลังเสียงได้ดีทีเดียว

ในส่วนของพอร์ตการเชื่อมต่อทางซ้าย จะมีช่องเสียบสายชาร์จ พอร์ต USB-C 3.1 HDMI และ USB 3.1 อีก 1 พอร์ต

ขณะที่ทางขวา จะมีพอร์ตล็อกเครื่อง Kensington ตามด้วย USB 2.0 อีก 2 พอร์ต ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. และช่องอ่านไมโครเอสดีการ์ด

ส่วนของแบตเตอรีที่ให้มาอยู่ที่ 32 Whr โดยทางเอซุส ระบุว่า เมื่อทำงานร่วมกับอะเดปเตอร์ 65W จะสามารถชาร์จได้ 60% ภายใน 49 นาที

ฟีเจอร์ที่น่าสนใจ

ด้วยการที่ ExpertBook P1 ถูกออกแบบมาสำหรับใช้งานภายในองค์กร ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเรื่องของการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล โดยใน ExpertBook P1 ได้มีการนำมาตรฐานการป้องกันฮาร์ดดิสก์ EAR HDD มาใช้งาน

โดยจะช่วยป้องกันฮาร์ดดิสก์ ที่จะมีการตรวจจับแรงสั่นสะเทือน และตัดการทำงานของฮาร์ดดิสก์ เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลที่เก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์ได้รับผลกระทบ ประกอบกับเปิดให้สามารถใช้พื้นที่เก็บข้อมูลคู่ SSD + HDD ทำให้ปลอดภัยมากขึ้น

ขณะเดียวกันด้วยการที่ Windows 10 Pro รองรับการใช้งาน Windows Hello ที่สามารถใช้งานร่วมกับเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือเพื่อปลดล็อกเครื่องได้ จะช่วยให้ผู้ไม่หวังดีไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลในตัวเครื่องได้ด้วย

นอกจากนี้ การที่เอซุส มีโปรแกรมบริหารจัดการตัวเครื่องอย่าง My Asus มาให้ ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าไปตรวจสอบการอัปเดตไดรฟ์เวอร์ และตรวจสอบการใช้งานของตัวเครื่องได้

เพิ่มเติมด้วยการปรับโหมดชาร์จแบตเตอรี ที่สามารถเลือกได้ว่าจะใช้โหมดความจุเต็ม ที่จะชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี 100% รองรับการใช้งานระหว่างเดินทาง หรือเลือกใช้โหมดสมดุล ที่จะชาร์จแบตเตอรีไว้ที่ 80% และโหมดยืดอายุการใช้งาน ที่จะชาร์จสูงสุด 60% เพื่อยืดระยะประจุของแบตเตอรี

ทดสอบประสิทธิภาพ

ภาพรวมของการใช้งาน Asus ExpertBook P1 ในรุ่นเริ่มต้นนั้น ถือว่าเหมาะกับการใช้งานเอกสารทั่วไปภายในสำนักงานเป็นหลัก รวมถึงรองรับทางด้านความบันเทิงระดับเริ่มต้น เนื่องจากตัวจอไม่ได้เป็นแบบ Full HD 

ขณะเดียวกัน การใช้งานบนแบตเตอรีนั้น ถ้าเปิดความสว่างหน้าจอ 50% ใช้งานทั่วไป จะใช้งานต่อเนื่องได้ราว 5 ชั่วโมง 44 นาที และถ้าปรับความสว่างหน้าจอเป็น 100% จะใช้ได้ต่อเนื่อง 4 ชั่วโมง 51 นาที

ส่วนถ้าต้องใช้งานประมวลผลหนักๆ ต่อเนื่องจะอยู่ที่ราว 1 ชั่วโมง 15 นาที เท่านั้น เนื่องจากยังใช้ซีพียูเป็น Ryzen 7 3700U ที่ใช้สถาปัตยกรรมแบบ Zen+ 12 นาโนเมตร ซึ่งถ้าอัปเกรดเป็น Ryzen 4000 ซีรีส์ที่ใช้ 7 นาโนเมตร ก็จะประหยัดแบตเตอรีมากขึ้น

ส่วนผลการทดสอบจากโปรแกรมทดสอบต่างๆ สามารถดูผลได้จากอัลบั้มด้านล่าง

สรุป

Asus ExpertBook P1 ที่ถือเป็นโน้ตบุ๊กรุ่นเริ่มต้นของทางเอซุส กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ สำหรับบรรดาธุรกิจ SMEs จนถึงองค์กรธุรกิจขนาดกลาง และใหญ่ ที่ต้องการโน้ตบุ๊กประสิทธิภาพดี รองรับมาตรฐานความปลอดภัยต่างๆ

โดยเฉพาะการเปิดทางเลือกให้สามารถปรับแต่งสเปก ตามแต่ความต้องการขององค์กรธุรกิจ มีพอร์ตเชื่อมต่อที่ครบครัน ที่สำคัญคือทำงานบน Windows 10 Pro ที่รองรับการอัปเกรดแพทซ์ เพื่อความปลอดภัยของข้อมูลภายในตัวเครื่องด้วย

Gallery

]]>
Review : Asus VivoBook 14 โน้ตบุ๊กราคาดีขุมพลัง AMD https://cyberbiz.mgronline.com/review-asus-vivobook-14/ Wed, 15 Jul 2020 07:22:56 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=33278

เมื่อตลาดซีพียูมีการแข่งขันกันรุนแรงมากขึ้นในแง่ของประสิทธิภาพในการทำงาน ทำให้บรรดาผู้ผลิตพีซี ก็ได้รับประโยชน์จากการแข่งขันนี้ด้วย เพราะสามารถผลิตโน้ตบุ๊กประสิทธิภาพสูง ราคาดีออกมาทำตลาดได้หลากหลายมากขึ้น เมื่อเทียบกับตอนที่ตลาดซีพียูมีการผูกขาด

ในช่วงนี้จะเห็นได้ว่า เริ่มมีโน้ตบุ๊กที่ใช้หน่วยประมวลผล AMD Ryzen 4000 ซีรีส์ ออกสู่ตลาดค่อนข้างเยอะ และแต่ละรุ่นก็สามารถทำระดับราคาได้น่าสนใจ หนึ่งในนั้นคือ Asus Vivobook 14 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในรุ่นยอดนิยมของ Asus ที่เจาะตลาดในกลุ่มคอนซูเมอร์ได้อย่างน่าสนใจ

Asus Vivobook 14 เป็นโน้ตบุ๊กขนาดหน้าจอ 14 นิ้ว ที่นำนวัตกรรมหลายๆ อย่างที่น่าสนใจมาให้ใช้งาน ทั้งเรื่องของการออกแบบให้ขอบจอบางลง มีสีสันให้เลือกหลากหลายตามความต้องการ และที่สำคัญคือมากับหน่วยประมวลผล AMD Ryzen 4000 ซึ่งมีจุดเด่นที่การประมวลผลแบบมัลติทาสก์ที่ดีขึ้น ในราคา เริ่มต้น 19,990 บาท

ข้อดี

  • โน้ตบุ๊กสำหรับการใช้งานทั่วไป
  • ราคาเริ่มต้น 19,990 บาท
  • มีให้เลือกทั้งรุ่น 14 นิ้ว และ 15 นิ้ว

ข้อสังเกต

  • รุ่นนี้ไม่มี ErgoLift มาข่วยยกแป้นพิมพ์ให้รับกับการพิมพ์งาน
  • น้ำหนักเริ่มต้น 1.4 กิโลกรัม
  • USB-C ใช้ได้แค่เชื่อมต่อข้อมูล ไม่สามารถต่อจอ หรือชาร์จไฟได้

ตัวเครื่องหลากสีสัน พกพาพร้อมใช้งาน

เดิมที Asus VivoBook จะเน้นนำเสนอในเรื่องของการมีสีตัวเครื่องให้เลือกหลากหลาย เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายของเครื่องรุ่นนี้ คือกลุ่มนักเรียน นักศึกษา และวัยเริ่มทำงาน ที่ต้องการโน้ตบุ๊กประสิทธิภาพสูง ในระดับราคาที่สามารถเข้าถึงได้

ด้วยเหตุนี้ เพื่อให้มีความโดดเด่น และจับกลุ่มวัยรุ่น VivoBook 14 ถึงมีให้เลือก 6 สี โดยแบ่งเป็น VivoBook 14 3 สี คือ ทอง Hearty Gold เงิน Transparent Silver และดำ Indie Black ตามเ่วย VivoBook S14/S15 อีก 3 สี คือ ขาว Dreamy White แดง Resolute Red และเขียว Gaia Green

อย่างรุ่นที่นำมารีวิวจะเป็นสี Resolute Red ที่ให้สีสันสดใส ชัดเจน และที่น่าสนใจคือการนำดีไซน์แบบ Diamond Cut มาใช้ ทำให้บริเวณขอบมุมสะท้อนแสงเพิ่มความหรูหราให้กับตัวเครื่อง สำหรับขนาดของตัวเครื่องจะอยู่ที่ 324 x 213 x 15.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 1.4 กิโลกรัม

บริเวณฝาเครื่องนอกจากโลโก้ Asus VivoBook ที่เป็นสีเงินสะท้อนแสงอยู่ที่หน้าจอแล้ว ยังมีการเล่นลายเส้นที่ขอบบนของเครื่อง ภายในกล่องยังมีสติกเกอร์ลวดลายต่างๆ มาให้แปะเพิ่มเติมเพื่อแสดงของถึงตัวตนของผู้ใช้

เมื่อเปิดหน้าจอขึ้นมา จะพบกับหน้าจอขนาด 14 นิ้ว ความละเอียด Full HD โดยมีสัดส่วนระหว่างหน้าจอแสดงผล และตัวเครื่องอยู่ที่ 84% ซึ่งถือว่าเป็นรุ่นที่ขอบจอบางเมื่อเทียบกับแบรนด์อื่นๆ ในช่วงระดับราคาใกล้เคียงกัน ซึ่งที่ขอบบนจะมีกล้องเว็บแคมความละเอียด HD ติดตั้งอยู่ ส่วนล่างหน้าจอก็จะมีสัญลักษณ์ Asus VivoBook อีกจุด

ถัดลงมาที่แป้นคีย์บอร์ดของรุ่นนี้จะมีเอกลักษณ์อยู่ตรงปุ่ม Enter ที่จะมีขอบสีเขียวสะท้อนแสงอยู่ ทำให้คีย์บอร์ดดูสดใสมากขึ้น และมีปุ่มตัวเลขมาให้ใช้งานด้วย โดยปุ่มคีย์บอร์ดจะมาในลักษณะของ Chiclet พร้อมไฟ LED ช่วยให้สามารถใช้งานในที่มืดได้

ทั้งนี้ คีย์บอร์ดของ Asus VivoBook 14 ในส่วนของปุ่มตัวอักษรต่างๆ ถือว่าออกแบบมาได้ดี พิมพ์ได้สนุก แต่จะมีในส่วนของปุ่มแถบควบคุมแถวบนที่มีขนาดเล็กกว่าปกติ เช่นเดียวกับปุ่มลูกศร ที่มีขนาดเล็กเพียงครึ่งเดียวของปุ่มปกติ เช่นเดียวกับการผสมปุ่มคำสั่งเข้าไปกับ NumPad ทำให้ต้องใช้ความเคยชินพอสมควร ถัดลงมาก็จะเป็นแทร็กแพดขนาดมาตรฐาน

อีกจุดที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือเรื่องของลำโพงที่ติดตั้งมาใน VivoBook 14 นั้นจะใช้ลำโพงที่ผ่านการรับรองของ Harman Kardon ทำให้เสียงที่ได้ดัง และมีคุณภาพ เหมาะกับการใช้เพื่อความบันเทิงได้อย่างเต็มที่ด้วย

ในส่วนของพอร์ตการเชื่อมต่อต่างๆ นั้น VivoBook 14 ถือว่าให้มาครบ ไล่จากทางฝั่งซ้าย นอกเหนือจากช่องเสียบสายชาร์จ แล้วก็จะมี HDMI ขนาดปกติ USB 3.2 Gen 1, USB C 3.2 และช่องเสียบหูฟัง อีกฝั่งจะมีพอร์ต USB 2.0 ให้อีก 2 พอร์ต พร้อมกับช่องอ่านไมโครเอสดีการ์ด

จุดที่น่าเสียดายคือ USB-C ที่ให้มานั้นไม่สามารถใช้งานเป็น Display Port หรือใช้ในการเสียบชาร์จเครื่องได้ ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรมไปแล้ว ดังนั้นก็อาจจะต้องพกอะเดปเตอร์ของตัวเครื่องไปด้วย ซึ่งยังดีที่อะเดปเตอร์มีขนาดเล็ก ทำให้พกพาได้ง่าย

สเปกเครื่องทดสอบประสิทธิภาพ

Asus VivoBook 14 รุ่นเริ่มต้น D433 จะมากับหน่วยประมวลผล AMD Ryzen 5 4500U ที่ทำงานบนสถาปัตยกรรมแบบ 7 นาโนเมตร ความเร็ว 2.4 GHz ที่สามารถเร่งขึ้นไปได้ถึง 3.8 GHz มาพร้อมกับ AMD Radeon แบบออนบอร์ด RAM 8 GB พื้นที่เก็บข้อมูลเป็น SSD 512 GB

ด้านการเชื่อมต่อมากับ WiFi 6 (802.11ax) พร้อมบลูทูธ 5.0 แบตเตอรี 50Wh รองรับการชาร์จเร็ว 60% ใน 49 นาที ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows 10 Home และแถม MS Office Home and Student 2019 มาให้ใช้งานด้วย ในราคา 19,990 บาท

กรณีที่ต้องการประสิทธิภาพที่แรงขึ้น จะมีตัวเลือกอย่างการปรับซีพียูเป็น Ryzen 7 4700U ความเร็วประมวลผลจะขึ้นไปอยู่ที่ 3.6 GHz เร่งขึ้นไปสูงสุดได้ที่ 4 GHz ซึ่งจะเหมาะกับผู้ที่ต้องใช้งานหนักๆ อย่างการตัดต่อวิดีโอ หรือเล่นเกมที่ต้องใช้การประมวลผลสูงๆ ราคาจะขยับขึ้นไปที่ 22,990 บาท

ในส่วนของการทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานนั้น ต้องยอมรับว่า Asus VivoBook 14 นั้นทำได้น่าสนใจ โดยเฉพาะเรื่องการประมวลผลที่ให้ประสิทธิภาพเหนือกว่าซีพียูคู่แข่งในระดับราคาใกล้เคียงกัน ส่วนปัญหาเรื่องความร้อนนั้นแทบไม่พบเจอจากการใช้งาน

อีกจุดที่น่าสนใจคือเรื่องการประหยัดพลังงาน เนื่องจากพอปรับมาใช้สถาปัตยกรรมแบบ 7 นาโนเมตร ทำให้ใช้พลังงานลดลง ทำให้สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ตลอดวัน โดยไม่ต้องกังวลว่าแบตเตอรีจะหมด

เน้นความคุ้มค่าในราคา 19,990 บาท

รวมๆ แล้วความโดดเด่นหลักของ Asus Vivobook 14 กลายเป็นอยู่ที่สเปกเครื่องที่ให้มาเมื่อเทียบกับราคาที่ต้องจ่ายไป ซึ่งในรุ่นเริ่มต้นนั้น ถือว่าเพียงพอกับการใช้สำหรับการเรียน และทำงานแล้ว ดังนั้นถ้ามองหาโน้ตบุ๊กประสิทธิภาพดี ราคาคุ้มค่าซีรีส์นี่ ทำออกมาได้น่าสนใจเลยทีเดียว

นอกจากเรื่องของหน่วยประมวลผลที่ใช้ Ryzen 4000 ซีรีส์ อย่างในรุ่นเริ่มต้นเป็น Ryzen 5 นั้น จะมีการผสมผสานหน่วยประมวลผลภาพ AMD Radeon มาให้ด้วย ทำให้สามารถประมวลผลกราฟิกได้ในตัว แถมยังประหยัดแบตเตอรีอีกด้วย

]]>
Review : Asus ExpertBook B9450 โน้ตบุ๊กองค์กรสุดบางเบา https://cyberbiz.mgronline.com/review-asus-expertbook-b9450/ Tue, 16 Jun 2020 13:18:53 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=33070

เอซุส (Asus) เริ่มหันมาบุกตลาดโน้ตบุ๊กในกลุ่มองค์กรธุรกิจ หลังจากชิงส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่มคอนซูเมอร์จนขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ในท้องตลาดแล้ว โดยตั้งเป้าหมายว่าภายใน 3 ปีข้างหน้า จะมีส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มภาคการศึกษา และ SMEs มากกว่า 30% หรือเทียบได้กับการเป็นผู้นำในตลาดนี้

หนึ่งในรุ่นที่เอซุส นำมาใช้เพื่อเป็นมาตรฐานในการนำโน้ตบุ๊กระดับพรีเมียมให้แก่ลูกค้าองค์กรธุรกิจคือสินค้าในกลุ่ม ExpertBook นำโดย Asus ExpertBook B9450 ซึ่งเป็นโน้ตบุ๊กสำหรับองค์กรธุรกิจขนาดหน้าจอ 14 นิ้ว ที่เบาที่สุดในโลกเวลานี้

จุดเด่นของ Asus ExpertBook B9450 นอกเหนือจากเรื่องบางเบา และวัสดุที่แข็งแรงแล้ว ยังสามารถทำงานบนแบตเตอรีได้ 12 – 24 ชั่วโมง เรียกได้ว่ารองรับการทำงานยุคใหม่ได้อย่างเต็มที่ มีพอร์ตการเชื่อมต่อที่ครบถ้วน บนความปลอดภัยระดับองค์กร ทำงานบนหน่วยประมวลผลรุ่นใหม่ล่าสุดของ Intel Gen 10 ในราคาเริ่มต้น 38,990 บาท

ข้อดี

  • น้ำหนักเบา เริ่มที่ 870 กรัม
  • แบตเตอรี่ใช้งานได้ตลอดวัน
  • พอร์ตเชื่อมต่อที่จำเป็นครบถ้วน
  • ดีไซน์แบบ Ergonomic ที่ยกคีย์บอร์ดให้พิมพ์ง่าย
  • มีระบบรักษาความปลอดภัยทั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือกล้องอินฟาเรด

ข้อสังเกต

  • ซีพียูที่ใช้เป็นรุ่นประหยัดพลังงาน ทำให้ไม่เหมาะกับการประมวลผลหนักๆ
  • จากวัสดุที่ใช้ที่แข็งแรง แต่ยืดหยุ่น ทำให้เวลาจับแล้วเครื่องยวบๆ บางจุด

เสริมภาพลักษณ์นักธุรกิจ

เมื่อเอซุส วางตำแหน่งเป็นผู้ท้าชิงในกลุ่มโน้ตบุ๊กสำหรับนักธุรกิจ ทำให้ Asus ExpertBook B9450 ต้องแบกรับหน้าที่สำคัญในการสร้างความประทับใจให้บรรดาเหล่าผู้บริหารเห็นและให้ความสนใจเลือกมาใช้งาน ซึ่งทำให้รูปลักษณ์ของ B9450 กลายเป็นจุดที่สำคัญที่สุดในการทำตลาดนี้

แน่นอนว่า ExpertBook B9450 ไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะด้วยการออกแบบที่มีเอกลักษณ์จนได้รับรางวัล Red Dot Design 2020 มาช่วยการันตี ความโดดเด่นของ B9450 คือการเลือกนำวัสดุที่เป็นโลหะผสม อย่างแม็กนีเซียม ลิเธียม มาใช้งาน ซึ่งจะมีความเบา และแข็งแรงกว่าแม็กนีเซียม อลูมิเนียม

ขณะเดียวกัน เมื่อได้โครงเครื่องที่บางแต่แข็งแรง ทำให้สามารถผลิตโน้ตบุ๊กขนาดหน้าจอ 14 นิ้ว ออกมาในฟอร์ตเฟคเตอร์ของโน้ตบุ๊ก 13 นิ้วได้ ทำให้ ExpertBook B9450 มีขนาดกระทัดรัดกว่าโน้ตบุ๊ก 14 นิ้ว ทั่วไปในท้องตลาด

ความแข็งแรงของ B9450 ยังได้รับการรับรองจากมาตรฐานทางการทหาร MIL-STD-810G ที่ทดสอบทั้งเรื่องการกดทับ การสั่น กระแทก และตกจากที่สูง ที่จะช่วยรักษาข้อมูลภายในตัวเครื่องไม่ให้เกิดความเสียหายในตัว

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของความเบา แต่ก็มาพร้อมกับระยะเวลาการใช้งานบนแบตเตอรีที่ยาวนาน โดย B9450 จะมีให้เลือกด้วยกัน 2 รุ่นย่อย คือ รุ่นแบตเตอรี 33Whr เคลมว่าใช้งานต่อเนื่อง 12 ชั่วโมง น้ำหนักจะอยู่ที่ 870 กรัม ส่วนรุ่น 66Whr ที่เคลมว่าใช้งานได้ 24 ชั่วโมง น้ำหนักจะอยู่ที่ 995 กรัม

ทั้งนี้ ขนาดของตัวเครื่องจะอยู่ที่ 320 x 203 x 14.9 มิลลิเมตร วางจำหน่ายเฉพาะสีดำ Star Black ที่จะมีการเล่นลายสะท้อนแสงระยิบระยับเวลาแสงตกกระทบช่วยเพิ่มความหรูหราให้ตัวเครื่องด้วยโดยตรงกลางจะมีสสัญลักษ์ ASUS สีเงินพาดอยู่

เมื่อเปิดหน้าจอขึ้นมา จะพบกับจอ LED IPS –ขนาด 14 นิ้ว ความละเอียด Full HD ในสัดส่วน 16:9 โดยมีขอบหน้าจออยู่ที่ 4 มิลลิเมตร สัดส่วนตัวเครื่องเมื่อเทียบกับหน้าจออยู่ที่ 94% ขอบเขตการแสดงผลสีเป็น Wide 100% sRGB มุมมองภาพ 178 องศา

สิ่งที่น่าสนใจคือกล้องหน้าที่เป็น IR Camera ความละเอียด 720p ที่มาพร้อมกับไมโครโฟน ซึ่งจะมีม่านชัตเตอร์ให้เลือกเปิดปิดกล้องหน้าได้จากตัวเครื่อง ไม่ต้องเข้าไปปิดในระบบปฏิบัติการ เพื่อช่วยเพิ่มความปลอดภัยมากขึ้น

ถัดลงมาที่บริเวณคีย์บอร์ดไล่จากส่วนบนจะมี ตัวอักษรระบุ Asus ExpertBook อยู่ ถัดลงมาเป็นแป้นคีย์บอร์ดที่มีไฟ LED ภายใน ซึ่งแป้นตัวอักษรต่างๆ จะมีขนาดมาตรฐาน แต่บริเวณแถบคำสั่งแถวบนสุด และปุ่มลูกศรจะมีขนาดเล็กกว่าปกติ

อีกจุดเด่นที่น่าสนใจคือบริเวณ TouchPad ที่นอกจากใช้ควบคุมเมาส์แล้ว ยังสามารถกดบริเวณมุมขวาบนเพื่อเรียก Asus NumberPad 2.0 ขึ้นมาใช้กรอกตัวเลข และแทนเครื่องคิดเลขได้ด้วย นอกจากนี้ที่ด้านล่างปุ่มลูกศร จะมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือให้ใช้ปลดล็อกเครื่องด้วยe

ErgoLift ช่วยให้ใช้งานสบาย

สำหรับผู้ที่ติดตามผลิตภัณฑ์โน้ตบุ๊กของเอซุสในช่วงหลังๆ จะเริ่มเห็นการนำเสนอเรื่องของ ErgoLift หรือการที่เวลาเปิดหน้าจอขึ้นมาแล้ว จะยกตัวเครื่องขึ้นเพื่อช่วยให้ได้องศาในการใช้งานที่ดีที่สุด ซึ่ง B9450 ก็เป็นอีกรุ่นที่รองรับการใช้งานในลักษณะดังกล่าว

เมื่อกางหน้าจอขึ้นมาที่ 145 องศา ตัวเครื่องจะยกขึ้นมาจากพื้น 5 องศา ซึ่งนอกจากช่วยให้องศาเข้ามือแล้ว ยังช่วยให้ตัวเครื่องระบายความร้อนด้วย เพราะมีอากาศถ่ายเทที่ด้านล่างตัวเครื่องมาช่วยให้พัดลมทำงานได้ดีขึ้น

พอร์ตเชื่อมต่อครบ

สำหรับพอร์ตเชื่อมต่อของ B9450 ที่ให้มาครบนั้น เริ่มจากทางฝั่งซ้าย ประกอบไปด้วยพอร์ค Thunderbolt 3 (USB-C) 2 พอร์ต HDMI ขนาดมาตรฐาน และ MicroHDMI สำหรับเชื่อมต่อกับอะเดปเตอร์แปลงเป็นพอร์ต LAN ที่สามารถฟิกซ์ Mac Address เพื่อความปลอดภัยได้

ทางฝั่งขวาจะมีช่องล็อก Kensington พอร์ต USB 3.2 ช่องเสียบหูฟัง และไมโครโฟน ขนาด 3.5 มม. พร้อมกับไฟแสดงสถานะการทำงานของเครื่องอยู่ข้างๆ จะเห็นได้ว่า เอซุส เลือกนำพอร์ต USB ขนาดมาตรฐานใส่มาให้ใช้งานด้วย ทำให้ไม่ต้องพกอะเดปเตอร์แปลงเพิ่มเติมให้วุ่นวาย

ในเรื่องของการเชื่อมต่อ ภายในของ B9450 ยังรองรับการเชื่อมต่อ WiFi 6 ในลักษณะของ DualBand ทำให้รองรับเครือข่ายความเร็วสูงถึง 2.4 Gbps พร้อมกับบลูทูธ 5.0 มาช่วยทำให้การเชื่อมต่อได้เต็มประสิทธิภาพมากที่สุด

โน้ตบุ๊กองค์กรความปลอดภัยต้องมาก่อน

เมื่อดูถึงการเตรียมการด้านความปลอดภัย B9450 ใส่มาให้ทั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ และกล้องอินฟาเรดที่สามารถทำงานคู่กับ Windows Hello ที่เป็นระบบรักษาความปลอดภัยของ Microsoft ได้ ดังนั้น ปัญหาในการเข้าใช้งานจากผู้ไม่หวังดีจึงหมดไป

นอกจากนี้ ภายในกลุ่มสินค้าของ Asus ExpertBook ยังมีระบบบริหารจัดการอย่าง Asus Control Center และ Asus Business Manager มาช่วยให้ฝ่ายไอทีในองค์กรธุรกิจทำงานง่ายขึ้น เพราะสามารถ Remote เข้ามาแก้ปัญหาผ่านอินเทอร์เน็ตได้ทันที

ทดสอบประสิทธิภาพ

มาถึงในส่วนของประสิทธิภาพตัวเครื่อง Asus ExpertBook B9450 วางจำหน่ายด้วยกัน 2 รุ่นอย่างที่กล่าวไป คือรุ่นที่มีแบตเตอรีขนาด 33Whr ซึ่งจะมากับหน่วยประมวลผล Intel Core i5 10210U RAM 8 GB SSD 512 GB ส่วนรุ่น 66Whr จะมากับหน่วยประมวลผล Intel Core i7 10510U RAM 16 GB SSD 1 TB

โดยรุ่น Core i7 ความเร็วพื้นฐานจะอยู่ที่ 1.4 GHz และสามารถ Turbo Boots ไปที่ 4.9 GHz ได้ ในขณะที่ Core i5 ความเร็วพื้นฐานอยู่ที่ 1.6 GHz Turbo Boots ไปที่ 4.2 GHz แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นหน่วยประมวลผลในตระกูลประหยัดพลังงาน ทำให้ประสิทธิภาพอาจจะเทียบกับรุ่นปกติไม่ได้

สรุป

ด้วยการที่ Asus ExpertBook B9450 มากับตำแหน่งโน้ตบุ๊กน้ำหนักเบาที่สุดในโลกเวลานี้ ด้วยน้ำหนักราว 870 กรัม ดังนั้นใครที่กำลังมองหาโน้ตบุ๊กใช้งานในองค์กร ที่เน้นพกพาง่าย แบตเตอรีอึด พอร์ตเชื่อมต่อครบ รุ่นนี้สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างแน่นอน

แต่ถ้าเป็นผู้ใช้งานที่ต้องการพลังในการประมวลผลสูง ไม่ได้เน้นเรื่องการพกพา Asus จะมีตัวเลือกอย่าง ProArtStudio มาเป็นอีกกลุ่มให้เลือกใช้งาน ดังนั้น ต้องมองให้ชัดก่อนว่าต้องการโน้ตบุ๊กมาตอบโจทย์การใช้งานประเภทไหน

Gallery

]]>
Review : Asus ZenBook 13 คงจุดเด่น 2 จอ พกพาง่าย https://cyberbiz.mgronline.com/review-asus-zenbook-13/ Wed, 26 Feb 2020 02:32:42 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=32234

กลายเป็นแนวทางที่ชัดเจนของ เอซุส (Asus) ไปเรียบร้อยแล้วกับการทำโน้ตบุ๊ก 2 หน้าจอ ที่จะมาช่วยให้การใช้งานโน้ตบุ๊กทำได้สะดวกขึ้น จากทั้งการทำงานของ Screen Pad+ และ Duo Screen ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาเอซุส เพิ่งมีการอัปเดตไลน์ผลิตภัณฑ์ ZenBook ใหม่ในรุ่นหน้าจอ 13 นิ้ว และ 14 นิ้ว ในระดับราคาที่เข้าได้ถึงง่ายขึ้น

โดยรุ่นที่นำมารีวิวกันในวันนี้คือ Asus ZenBook 13 (UX334FLC) ซึ่งมีการปรับปรุงเพิ่มเติมในส่วนของซีพียู ที่หันมาใช้ Intel Core i7 Gen 10 และ ScreenPad 2.0 ที่ถูกปรับปรุงให้ใช้งานง่ายขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้่า พร้อมกับจุดเด่นเรื่องของพอร์ตครบ น้ำหนักเบา แบตเตอรีใช้งานได้ต่อเนื่องเกือบ 14 ชั่วโมง

ข้อดี

  • โน้ตบุ๊กขนาดหน้าจอ 13 นิ้ว สเปกแรง พกพาสะดวก
  • มี ScreenPad 2.0 ให้ใช้งานเป็นจอที่ 2
  • พอร์ตเชื่อมต่อครบ

ข้อสังเกต

  • เสียงพัดลมค่อนข้างดัง จากที่ใช้ Core i7 เวลาประมวลผลหนักๆ
  • พอร์ตชาร์จไฟยังเป็นอะเดปเตอร์ ไม่ใช่ USB-C

ขนาดเล็ก พกพาง่าย

Asus ZenBook 13 ขึ้นชื่อว่าเป็นโน้ตบุ๊กที่ถูกออกแบบมาให้มีขนาดเล็กที่สุดในโลกเวลานี้ก็ว่าได้ (ไม่นับความหนา) เพราะด้วยการเลือกใช้หน้าจอในสัดส่วน 16:9 เมื่อรวมกับหน้าจอแบบ NanoEdge Display ทำให้มีขนาดตัวเครื่องเล็กกว่ากระดาษ A4 และเล็กลงกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 14%

โดยขนาดของตัวเครื่อง ZenBook 13 จะอยู่ที่ 302 x 189 x 17.9 มิลลิเมตร น้ำหนักอยู่ที่ 1.22 กิโลกรัม เมื่อเทียบขนาดหน้าจอ 13.3 นิ้วกับตัวเรื่อง จะมีสัดส่วนถึง 95% ตัวเครื่องมีให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 2 สี คือน้ำเงิน Royal Blue และ สีเงิน Icicle Silver

สำหรับหน้าจอที่ให้มาจะเป็นจอแบบป้องกันแสงสะท้อน (Anti Glare) ขนาด 13.3 นิ้ว ให้ความละเอียดสูงสุดที่ Full HD (1920 x 1080 พิกเซล) โดยมีมุมมองในการใช้งานถึง 178 องศา และมีกล้องเว็บแคมซ่อนอยู่บริเวณขอบบนของจอภาพ

ถัดลงที่เป็นจุดเด่นอีกอย่างของโน้ตบุ๊กเอซุส ในช่วงหลังๆ คือการนำการออกแบบ Ergolift มาใช้งาน ทำให้เวลากางหน้าจอขึ้นมา จะยกตัวฐานคีย์บอร์ดขึ้นมา 3 องศา เพื่อให้ได้องศาที่เหมาะสมแก่การใช้งาน พร้อมกับช่วยระบายความร้อนตัวเครื่องไปในตัว

ต่อกันที่คีย์บอร์ดของ ZenBook 13 ที่มาในรูปแบบของ Chicklet พร้อมไฟ backlit ทำให้สามารถใช้งานในที่มืดได้ โดยขนาดของปุ่มคีย์บอร์ด 4 แถวหลังจะเป็นขนาดมาตรฐาน ส่วนแถบบนจะมีขนาดที่เล็กลงครึ่งหนึ่ง เพื่อแบ่งที่ให้กับหน้าจอ ScreenPad 2.0

โดยแถบบนนอกจากเป็นปุ่ม Fn แล้วยังถูกใช้เป็นปุ่มควบคุมลัดไม่ว่าจะเป็นการปิดเสียง ปรับเสียง ความสว่างหน้าจอ เปิดใช้งานทัชแพด ไฟคีย์บอร์ด การสลับหน้าจอ ล็อกปุ่ม Windows ปิดการทำงานของกล้อง จับภาพหน้าจอ และเรียก myAsus ขึ้นมาใช้งาน

มาถึงจุดเด่นของ ZenBook 13 รุ่นนี้ ก็คือหน้าจอ ScreenPad 2.0 ที่ปรับให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 5.65 นิ้ว และให้ความละเอียดหน้าจอเป็น 2160 x 1080 พิกเซล ที่ผู้ใช้สามารถเลือกเปิดปิด ได้จากปุ่มลัด f6 บนคีย์บอร์ด ส่วนความพิเศษของ ScreenPad จะกล่าวถึงต่อไปในภายหลัง

นอกเหนือจากเรื่องคีย์บอร์ด และสกรีนแพดแล้ว สิ่งที่โดดเด่นอีกเรื่องของ ZenBook 13 คือการที่ให้พอร์ตเชื่อมต่อมาครบ ไล่จากทางฝั่งซ้ายจะมีช่องเสียบสายชาร์จ พอร์ต HDMI USB3.1 USB-C

ทางฝั่งขวาเป็นช่องอ่านไมโครเอสดีการ์ด USB 2.0 ช่องเสียบหูฟัง และไฟแสดงสถานะการทำงานของเครื่อง ทั้งนี้ในส่วนนี้ก็มีจุดที่น่าเสียดายคือ น่าจะเปลี่ยนช่องเสียบสายชาร์จให้มาเป็นพอร์ต USB-C แทน เช่นเดียวกับ USB 2.0 ที่ควรเปลี่ยนเป็น USB-C เพิ่มให้มาใช้งานกับอุปกรณ์อื่นๆ ตามเทคโนโลยีสมัยใหม่ดีกว่า

สเปก

Asus ZenBook 13 (UX334) เป็นรุ่นที่ได้รับการอัปเกรดซีพียู ขึ้นมาเป็น Intel Core i7 Gen 10 (10510U) โดยมาพร้อมกับชิปกราฟิก NVIDIA MX250 RAM 8 GB พื้นที่เก็บข้อมูล SSD 512 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows 10 พร้อมให้ใช้งานทันที

ส่วนเรื่องการเชื่อมต่อมากับ WiFi 6 (802.11ax) ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตไฟเบอร์ 1 Gbps ที่มีให้บริการในไทยแล้วได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เสริมด้วยบลูทูธ 5.0

ScreenPad 2.0 ที่ฉลาดกว่าเดิม

นับจากเอซุส เริ่มนำเสนอ SreenPad ออกมาเกือบ 2 ปีแล้ว ทำให้ตัวทัชแพดอัจฉริยะนี้มีการพัฒนาเพิ่มขึ้น และตอบโจทย์การใช้งานมากขึ้น โดยเพาะการเพิ่มแอปพลิเคชันที่รองรับการใช้งานถือว่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สำหรับความสามารถหลักๆ ของ ScreenPad 2.0 นั้นต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า ถ้าผู้ใช้งานไม่ต้องการเปิดหน้าจอ ScreenPad ขึ้นมาใช้งานก็สามารถกดปิดการใช้งานหน้าจอเสริมได้

ถัดมาก็คือเลือกใช้งานเป็นจอเสริมจากจอหลัก ก็คือสามารถลากหน้าต่างที่ต้องการเปิดเพื่อใช้ดูข้อมูลลงมาไว้ที่บริเวณ ScreenPad เพื่อใช้งานต่อเนื่องกันไปได้เลย เพียงแต่ว่าด้วยการที่ความละเอียดของ ScreenPad ค่อนข้างสูง ถ้าไม่ได้ตั้งปรับค่าความละเอียดไว้ตัวอักษรอาจจะแสดงผลเล็กมากๆ

รูปแบบสุดท้ายก็คือใช้ความสามารถของ ScreenPad ร่วมกับซอฟต์แวร์ Screen Xpert ที่จะมีแอปพลิเคชันให้เลือกใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการแทนที่ ScreenPad ด้วยปุ่มตัวเลข สร้างปุ่มลัดไว้ใช้งาน เปิดใช้หน้าจอสำหรับการเขียนข้อความ

ตามด้วยการใช้สั่งงานลัดในโปรแกรม Office ใช้ควบคุมการเล่นเพลงบน Spotify จนถึงเข้าไปเลือกดาวน์โหลดแอปเพิ่มเติมจาก App Deal ที่สำคัญคือหน้าจอใช้พลังงานน้อยลงเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้าเยอะมาก จนแทบไม่มีผลกับแบตเตอรีในการใช้งานทั่วๆไป

ทริกเล็กๆ น้อยๆ สำหรับผู้ที่ซื้อ ZenBook 13 มาใช้งานแล้วต้องการสลับใช้งาน ScreenPad กับการเป็นทัชแพดปกติคือ ผู้ใช้สามารถใช้ 3 นิ้วแตะบนหน้าจอเพื่อสลับโหมดใช้งานได้ทันที

หรือถ้าต้องการสลับหน้าจอบนล่าง หรือขยายหน้าจอให้เต็มบน ScreenPad เมื่อนำเมาส์คลิกที่ขอบหน้าต่าง จะมีตัวเลือกขึ้นมาให้สามารถลากหน้าต่างไปไว้ตรงโหมดที่ต้องการได้ทันที

แน่นอนว่าด้วยการที่เป็นแนวคิดใหม่ในการใช้งาน ทำให้อาจเกิดคำถามว่า ScreenPad จะถูกนำไปใช้อะไรได้บ้าง ถ้าให้นึกถึงรูปแบบการใช้งานง่ายๆ ก็คือเมื่อใช้หน้าจอหลักทำงาน เราอาจจะใช้หน้าจอ ScreenPad ในการเปิดข้อมูลเทียบไปด้วย หรือใช้เปิดโปรแกรมสื่อสารเพื่อให้ใช้งานได้ทันที

จุดเด่นอื่นๆ

ไม่ใช่แค่การมี ScreenPad 2.0 และพอร์ตที่ครบจะเป็นจุดเด่นของ ZenBook 13 เพียงอย่างเดียว เพราะยังมีในเรื่องของระบบเสียงที่เลือกใช้ลำโพงจาก harman kardon ทำให้เสียงที่ได้จากเครื่องมีคุณภาพ

หรือแม้แต่เรื่องของแบตเตอรี ที่แม้ว่าจะมีขนาดตัวเครื่องที่เล็กลง แต่แบตเตอรีไม่ได้เล็กตามไปด้วย จากการดีไซน์ตัวเครื่องแบบใหม่ ที่สามารถใส่แบตเตอรีมาได้ถึง 50 Wh ซึ่งสามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง 12-14 ชั่วโมงตามที่เคลมไว้จริงๆ

นอกจากนี้ ด้วยการที่ใส่กล้องเว็บแคมแบบอินฟาเรดมาด้วย ทำให้สามารถนำมาใช้งานคู่กับระบบปลดล็อกตัวเครื่องอย่าง Windows Hello ทำให้เวลาเปิดหน้าจอขึ้นมาใช้งาน เมื่อเจอใบหน้าก็จะปลดล็อกตัวเครื่องใช้งานได้ทันที

สุดท้ายก็คือเรื่องของความทนทานที่ทางเอซุสให้ข้อมูลว่าใช้วัสดุเดียวกับ มาตรฐานทางทหาร ที่ผ่านการทดสอบความทนทานจากการตกหล่น ความดัน ความร้อน ความเย็นต่างๆ มาแล้ว

ทดสอบประสิทธิภาพ

สำหรับการทดสอบประสิทธิภาพของ ZenBook 13 สามารถดูได้จากอัลบั้มภาพด้านล่าง

สรุป

Asus ZenBook 13 ถือว่าเป็นโน้ตบุ๊กที่เหมาะกับวัยทำงานที่ต้องการเครื่องที่พกพาง่าย ประสิทธิภาพสูง รองรับการทำงานได้หลากหลายเป็นหลัก เพราะด้วยขนาดที่เล็กกว่า A4 และแบตเตอรีที่ยาวนานทำให้เหมาะกับการทำงานในออฟฟิศยุคใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ขณะเดียวกันด้วยระดับราคาที่ไม่สูงจนเกินไปเพราะมีสเปกให้เลือกทั้ง Core i5 เริ่มที่ 29,990 บาท และ Core i7 เริ่มที่ 35,990 บาท (รุ่นที่นำมารีวิว) ทำให้สามารถเลือกให้เหมาะกับการใช้งานได้

Gallery

]]>