Cyberbiz – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Tue, 29 Jan 2019 14:55:06 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : Nokia Wi-Fi Beacon 3 ระบบ Mesh Wi-Fi เน้นใช้ง่ายสำหรับลูกค้า AIS Fibre https://cyberbiz.mgronline.com/review-nokia-wi-fi-beacon-3/ Tue, 29 Jan 2019 14:55:06 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=30140

คอนเซปต์ของ Mesh Wi-Fi เริ่มเป็นที่พูดถึงมากขึ้น เมื่ออุปกรณ์พกพามีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงการมาของยุค IoT ที่ใกล้ตัวขึ้น ทำให้วันนี้ผู้ผลิตเราเตอร์ และผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตไฟเบอร์เริ่มออกมาให้ข้อมูลส่วนนี้กันมากขึ้น

อีกเรื่องก็คือมีการสำรวจพบว่าปัญหาหลักของผู้ใช้งานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตในบ้าน เวลามีการร้องเรียนว่าอินเทอร์เน็ตช้า ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากอยู่ไกลจากตัวเราเตอร์ที่ปล่อยสัญญาณทำให้สัญญาณไวไฟอ่อน และเน็ตวิ่งได้ไม่เต็มความเร็ว

เมื่อมี Painpoint เหล่านี้ การนำระบบ Mesh Wi-Fi เข้ามาจึงกลายเป็นอุปกรณ์ที่จะช่วยเหลือให้ผู้ใช้ได้ประสบการณ์ใช้งานอินเทอร์เน็ตไฟเบอร์ได้เต็มความเร็ว แม้ว่าจะอยู่ในจุดไหนของบ้านก็ตาม

จุดเด่นของ Nokia Wi-Fi Beacon 3 คือเรื่องของความฉลาดในการบริหารจัดการ และความสามารถในการเพิ่มเราเตอร์จุดที่ 2-3 ภายในบ้าน เพื่อรองรับปริมาณอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตภายในบ้าน และขณะเดียวกันก็ช่วยให้ได้สัญญาณที่ดีที่สุดด้วยเช่นเดียวกัน

ข้อดี

ติดตั้งใช้งาน เพิ่มจุดง่าย แค่สแกน QR Code

สลับ 2.4 GHz และ 5 GHz แบบอัตโนมัติ

แอปพลิเคชันแสดงอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ

ข้อสังเกต

อุปกรณ์เก่าๆ บางรุ่นจะมีปัญหาในการเชื่อมต่อเน็ต ถ้าเครื่องไม่รองรับ 5 GHz

ราคาปกติค่อนข้างสูง 2 ตัว (14,900 บาท) ลูกค้า AIS เหลือ 9,990 บาท

ติดตั้งง่ายเสียบปลั๊กโทรแจ้ง

เนื่องจากการนำ Nokia Wi-Fi Beacon 3 มาต่อใช้งานภายในบ้าน จะไม่ได้มีพนักงานเข้ามาช่วยติดตั้งให้ เพราะมีขั้นตอนง่ายๆ ไม่กี่ขั้นตอน ก็สามารถติดตั้งใช้งานได้ด้วยตัวเอง เพียงแต่จะมีขั้นตอนสำคัญคือต้องแจ้งให้ทาง Call Center ช่วยปรับระบบจากโมเด็มเราเตอร์เดิมที่ใช้มาเป็นแบบ PPPoE

ขั้นตอนเหล่านี้ ผู้บริโภคที่ซื้อ Nokia Wi-Fi Beacon 3 มาติดตั้งใช้งานกับ AIS Fibre สามารถโทรเข้าไปสอบถามกับทาง Call Center เมื่อพร้อมติดตั้งได้เลย อย่างตอนที่ทีมงานนำมาทดสอบ เมื่อต่อ Nokia Wi-Fi Beacon 3

เข้ากับโมเด็มไฟเบอร์ เรียบร้อย ก็โทรแจ้งทาง Call Center ให้เปลี่ยนการเชื่อมต่อสัญญาณ หลังจากนั้นไม่นานก็สามารถใช้เน็ตได้ทันที

หรือในกรณีที่ไม่ต้องการยกเลิกระบบไวเลสเดิมที่ใช้อยู่ แต่นำ Nokia Wi-Fi Beacon 3 มาเสริมเป็นไวเลสอีกวงหนึ่ง ผู้ใช้สามารถเสียบสายแลน (Lan) จากเราเเตอร์เครื่องเดิม มาต่อกับ Nokia Wi-Fi Beacon 3 แล้วเริ่มปล่อยสัญญาณไวไฟใช้งานได้ทันที

โดยในการติดตั้งใช้งาน Nokia Wi-Fi Beacon 3 ผู้ใช้จำเป็นต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Nokia WiFi เมื่อเปิดแอปพลิเคชันขึ้นมาจะเข้าสู่หน้าการตั้งค่า หลังจากนั้นทำตามขั้นตอน อย่างการเสียบปลั้ก Nokia Wi-Fi Beacon 3 เพื่อให้แอปทำการค้นหาตัวเครื่อง ในกรณีที่ต่อตรงกับโมเด็ม ทาง AIS จะแจ้งยูสเซอร์เนมให้กรอกใน WAN Setting ส่วนของ PPPoE เมื่อกรอกเสร็จ ระบบจะทำการตั้งค่าอัตโนมัติให้ใช้งานทันที

ถัดมาในการเพิ่มตัวขยายสัญญาณจุดที่ 2 หรือการเพิ่ม Beacon เมื่อกดเลือกเพิ่มแล้ว แอปจะให้ทำการสแกน QR Code ที่อยู่ใต้ตัวเครื่อง เพื่อระบุว่า Nokia Wi-Fi Beacon 3 ชิ้นนี้ จะเป็นจุดกระจายสัญญาณ หลังจากนั้นก็ให้เลือกว่าจุดนี้ ตั้งอยู่บริเวณใดภายในบ้าน

หลังจากนั้น Nokia Wi-Fi Beacon 3 จุดแรกที่เชื่อมต่อกับเราเตอร์ และ Nokia Wi-Fi Beacon 3 จุดที่ 2 จะเชื่อมต่อกันผ่านสัญญาณไวเลสโดยอัตโนมัติ ทำช่วยลดจุดอัปสัญญาณไวไฟภายในบ้านได้ และในกรณีที่ 2 จุดไม่เพียงพอ ผู้ใช้สามารถซื้อเครื่องมาเพิ่มจุดต่อไปได้อีกเรื่อยๆ

เบื้องต้น การจับสัญญาณไวเลส ที่ Nokia Wi-Fi Beacon 3 เลือกใช้จะตั้งค่าแบบอัตโนมัติ 2.4 GHz และ 5 GHz เป็นมาตรฐาน ภายใต้ชื่อเดียวกัน ในจุดนี้ ถ้าภายในบ้านยังมีอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับไวเลสบนคลื่น 2.4 GHz อยู่ แนะนำให้เข้าไปตั้งค่าเพิ่มเติม เพื่อแยกเน็ตเวิร์กออกจากกัน

เพราะเท่าที่ลองใช้แบบอัตโนมัติแล้วเครื่องที่จับ 2.4 GHz จะเจอปัญหาเน็ตหลุดบ่อย แต่เมื่อแยกเครือข่ายออกจากกันแล้วปัญหาดังกล่าวก็หายไป ส่วนกรณีที่ภายในบ้านอุปกรณ์ทั้งหมดรองรับ 5 GHz อยู่แล้วก็สามารถใช้งานได้เลย

นอกจากนี้ ภายในแอปพลิเคชัน ยังสามารถใช้ตรวจสอบ และกำหนดค่าการเชื่อมต่อเบื้องต้นได้ โดยจะมีหน้าจอให้ดูว่าปัจจุบันเครื่องใดเชื่อมต่ออยู่กับ Nokia Wi-Fi Beacon 3 จุดไหนบ้าง ผ่านการเชื่อมต่อไวเลส หรือสายแลน ได้ความเร็วสูงสุดในการเชื่อมต่อเท่านั้น

รวมถึงสามารถตั้งได้ว่า จะให้เครื่องนั้นๆ เข้าถึงอินเทอร์เน็ตด้วยหรือไม่ หรือใช้เฉพาะเชื่อมต่อภายในเครือข่ายเท่านั้น นอกจากนี้ ยังสามารถตั้งให้แจ้งเตือนได้ด้วยว่าอุปกรณ์ดังกล่าว หลุดจากการเชื่อมต่อหรือไม่ ถ้าหลุดจะมีการแจ้งเตือนขึ้นมา

คำสั่งพวกนี้จะเหมาะกับอุปกรณ์อย่างกล้องวงจรปิด หรือ IoT ภายในบ้าน เพื่อทำให้เจ้าของได้รับรู้ว่า มีอุปกรณ์ชิ้นใดที่หลุดออกจากการเชื่อมต่อ จะได้เข้าไปตรวจสอบแก้ไขให้กลับมาใช้งานได้เหมือนเดิม

ดีไซน์ โมเดิร์น วางเป็นเฟอร์นิเจอร์ในบ้าน

อีกสิ่งที่น่าสนใจของ Nokia Wi-Fi Beacon 3 คือเรื่องของการออกแบบ ที่ถูกออกแบบมาให้เป็นเหมือนเฟอร์นิเจอร์ 1 ชิ้นภายในบ้าน ไม่ได้มีเสาๆ เหมือนเราเตอร์ทั่วๆไป ทำให้สามารถนำไปวางเป็นส่วนหนึ่งของบ้านได้สบายๆ

ตัว Nokia Wi-Fi Beacon 3 จะมีลักษณะเป็นทรงกระบอกขนาด 94 x 160 มิลลิเมตร น้ำหนัก 650 กรัม มีไฟแจ้งเตือนอยู่ส่วนบนของเครื่อง ด้านหน้ามีโลโก้ Nokia อยู่ ข้างใต้จะมีรายละเอียดอธิบายมาตรฐานต่างๆ และสัญลักษณ์ QR Code ไว้ใช้ในการติดตั้ง

ส่วนด้านหลังก็จะเป็นพอร์ตเชื่อมต่อต่างๆ ทั้งช่องเสียบไฟกับอะเดปเตอร์ที่ให้มาในกล่อง ช่องเสียบสาย WAN (ต่ออินเทอร์เน็ตจากโมเด็ม) พอร์ตแลน 3 พอร์ต ให้สามารถนำไปเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ ปุ่ม WPS สำหรับการล็อกอินใช้งานแบบง่ายๆ และปุ่มเปิดปิดเครื่อง

ข้อดีของการที่มีพอร์ต LAN มาให้ด้วยก็คือ ผู้ใช้สามารถนำ Nokia Wi-Fi Beacon 3 ไปวางไว้บริเวณสมาร์ททีวี กล่อง Playbox Apple TV หรือเครื่องเกมคอนโซลอย่าง PS4 แล้วใช้สาย LAN เชื่อมต่อเข้าไป ก็จะทำให้การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของอุปกรณ์เหล่านี้สเถียรมากขึ้น

สรุป

Nokia Wi-Fi Beacon 3 จะเหมาะกับผู้ใช้งาน AIS Fibre ที่ต้องการขยายพื้นที่ใช้งานภายในบ้านให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะบ้านขนาดใหญ่ที่มีหลายชั้น หรือบริเวณกว้าง แล้วเราเตอร์จุดเดียวที่ติดตั้งให้มาไม่เพียงพอ เพราะข้อดีหลักๆ ของ Mesh-WiFi คือเมื่อติดตั้งครั้งเรียบร้อย จะเดินไปตรงจุดไหนในบ้านก็สามารถเล่นเน็ตได้

อีกเรื่องก็คือความสามารถในการบริหารจัดการข้อมูลของ Nokia Wi-Fi Beacon 3 ที่จะทำให้การเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ต่างๆไร้รอยต่อ ด้วยการผสมผสานคลื่น 2.4 GHz และ 5 GHz ร่วมกัน ทำให้เวลาอุปกรณ์สลับการต่อจากจุดหนึ่ง ไปอีกจุดหนึ่งจะไม่เกิดอาการสะดุด หรือเน็ตหลุดให้เห็น

อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดของ Nokia Wi-Fi Beacon 3 คือในช่วงนี้จะเป็นการทำตลาดร่วมกับทาง AIS แบบเอ็กซ์คลูซีฟอยู่ ดังนั้นถ้าใช้เน็ตค่ายอื่นแล้วต้องการซื้อไปติดตั้งใช้งาน เป็นเราเตอร์ตัวหลักอาจจะใช้งานได้ไม่สมบูรณ์แบบ กับอีกเรื่องคือราคาค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับรุ่นอื่นๆในท้องตลาด

Gallery

]]>
Review : Apple iPad 6th Gen เมื่อ iPad รุ่นปกติรองรับ Apple Pencil ทำให้ใช้ได้สนุกขึ้น https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-ipad-6th-gen-2018/ Tue, 12 Jun 2018 10:09:30 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=28591

จุดเด่นหลักของ Apple iPad รุ่นใหม่นี้ คือเรื่องของประสิทธิภาพของตัวเครื่องที่เร็วขึ้นกว่ารุ่นเดิม และที่สำคัญคือรองรับการใช้งาน Apple Pencil ในราคาเริ่มต้นที่ 11,500 บาท สำหรับรุ่น Wi-Fi และ 16,500 บาท สำหรับรุ่น Wi-Fi + Cellular

ข้อดี

  • ทำราคาให้ผู้ใช้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะนักเรียน-นักศึกษา
  • รองรับการใช้งานคู่กับ Apple Pencil
  • หน้าจอแสดงผล Retina ขนาด 9.7 นิ้ว

ข้อสังเกต

  • ต้องซื้อปากกา Apple Pencil เพิ่มอีก 3,400 บาท
  • กรณีที่ซื้อมาใช้งานหนักๆ แนะนำให้ซื้อรุ่น 128 GB เพราะ 32 GB แค่ลงแอป เก็บรูปก็หมดแล้ว

ข้อมูลเบื้องต้น iPad 6th Gen

ในแง่ของการออกแบบตัว iPad 6th Gen ไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนจากรุ่นเดิมมากนัก เนื่องจากยังคงใช้จอขนาด 9.7 นิ้ว ที่มีขอบจอหนาเช่นเดิม ทำให้ขนาดเครื่องอยู่ที่ 240 x 169.5 x 7.5 มิลลิเมตร น้ำหนัก 469 – 478 กรัม วางจำหน่ายด้วยกัน 3 สี คือ สีเงิน สีทอง และสีเทาสเปซเกรย์

สำหรับจอที่ใช้เป็นจอ Retina ที่เป็นแบบ IPS ความละเอียด 2048 x 1536 พิกเซล ความละเอียดเม็ดสี 264 ppi โดยพัฒนาขึ้นมาให้รองรับการใช้งานคู่กับ Apple Pencil เพิ่มจากเดิมที่รองรับเฉพาะใน iPad Pro เท่านั้น

รอบตัวเครื่องจะมีปุ่มปรับระดับเสียง และถาดใส่นาโนซิมการ์ด ทางฝั่งขวา ปุ่มเปิดปิดเครื่อง และช่องเสียบหูฟังด้านบน ส่วนด้านล่างเป็นช่องต่อสาย Lightning ขนาบด้วยลำโพงสเตอริโอ ในส่วนของล่างหน้าจอก็จะเป็น Toucd ID มาให้ใช้งานเช่นเดิม

ส่วนของสเปกทั่วไป iPad 6th Gen จะมากับหน่วยประมวลผล Apple A10 Fusion ขณะที่กล้องถ่ายภาพหลักความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รองรับการบันทึกวิดีโอระดับ Full HD ส่วนกล้องหน้าสำหรับใช้ FaceTime ความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล (HD)

เหมาะกับการใช้งานแบบใด

ในส่วนของการใช้งานโดยรวม iPad 6th จะเหมาะกับผู้เริ่มใช้งานแท็บเล็ต หรือกลุ่มผู้ที่ใช้เพื่อความบันเทิงเป็นหลัก ทั้งการท่องเว็บไซต์ รับชมภาพยนต์ เล่นโซเชียลมีเดียต่างๆ รวมถึงกลุ่มนักเรียน นักศึกษา ที่ใช้เพื่อจดบันทึก หรือวาดรูปแบบย่อๆ โดยไม่ได้เน้นเพื่อสร้างสรรค์ผลงาน

เพราะจากการพัฒนาของ iOS ที่ปัจจุบันเป็นเวอร์ชัน 11 ก็มีการเพิ่มการใช้งานแบบ MultiTask ให้ใช้งาน 2 แอปพร้อมกันได้ เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกเมื่อต้องการหาข้อมูล ควบคู่ไปกับการจดบันทึกเป็นต้น

เนื่องจากถ้าจะทำงานหนักๆ อย่างการสเก็ตซ์ภาพความละเอียดสูง หรือการแต่งรูปบน Photoshop แบบหลายๆเลเยอร์ หรือไฟล์ขนาดใหญ่ อาจจะต้องใช้งานบน iPad Pro ที่มีหน่วยประมวลผลที่แรงกว่า

ผู้ใช้ยอมจ่ายเพื่อแอปสำหรับ Apple Pencil

ข้อมูลจากแอปเปิลอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือ หลังจากที่ iPad Pro ที่ทำงานร่วมกับ Apple Pencil ออกมาจำหน่ายยอมดาวน์โหลดแอปพลิเคชันแบบเสียเงิน 3 อันดับแรก ต่างเป็นแอปที่ใช้งานควบคู่กับ Apple Pencil แสดงให้เห็นว่าผู้ใช้งาน Apple Pencil ต้องการหาแอปที่ไปรองรับการใช้งานได้แบบเต็มประสิทธิภาพ

ไม่ว่าจะเป็นแอปอย่าง Procreate ที่ใช้ในการวาดรูปภาพ ที่ผู้ใช้สามารถเลือกปรับลายเส้น เลือกสีมาใช้งานได้หลากหลาย ถือว่าเป็นแอปที่คู่กับการใช้งาน iPad Pro + Apple Pencil แน่นอน ซึ่งเมื่อนำมาใช้งานบน iPad 6th Gen ก็สามารถใช้งานคู่กันได้

ถัดมาคือแอปอย่าง Notability และ GoodNote 4 หรือสมุดจดบันทึกที่เหมาะสำหรับการใช้เพื่อจดข้อมูลลงบน iPad ที่ให้ความรู้สึกเหมือนเขียนอยู่บนกระดาษ หรือโปรแกรมระบายสีอย่าง Sketch ที่ช่วยให้เด็กๆได้เพลิดเพลินไปกับการระบายสีภาพต่างๆ

เทียบกับ iPad รุ่นปี 2017

ถ้ามองในแง่ของราคาแล้ว iPad (2018) จะมีระดับราคาที่ต่ำกว่า iPad (2017) อยู่ราว 1,000 บาทในแต่ละรุ่น ในขณะเดียวกันก็ได้ประสิทธิภาพการใช้งานที่ดีขึ้น โดยทาง Apple ระบุว่า จากการที่หันมาใช้หน่วยประมวลผล Apple A10 Fusion ทำให้ iPad (2018) ประมวลผลได้เร็วขึ้น 40% และการแสดงผลกราฟิกได้เร็วขึ้น 50%

โดยนอกเหนือจากการที่ตัวเครื่องประสิทธภาพสูงขึ้นแล้ว ก็จะมีความสามารถในการทำงานร่วมกับ Apple Pencil ที่สามารถใช้งานได้ไม่ต่างจากบน iPad Pro ดังนั้น เมื่อเทียบกับรุ่นของปี 2017 แล้วถือว่า iPad (2018) ให้ความคุ้มค่ามากกว่า ในระดับราคาที่ถูกกว่า

ราคาจำหน่าย iPad 6th Gen

iPad 6th Gen (2018) เริ่มวางจำหน่ายรุ่น Wi-Fi มาสักพักแล้วในราคาเริ่มต้น 11,500 บาท สำหรับรุ่น 32 GB และ 14,900 บาทสำหรับรุ่น 128 GB ทั้งนี้ ถ้าต้องการใช้งาน iPad คู่กับ Apple Pencil ต้องซื้อปากกาเพิ่มในราคา 3,400 บาท

ส่วนรุ่น Wi-Fi + Cellular เพิ่งเริ่มวางจำหน่ายในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาในรุ่น 32 GB ราคา 16,500 บาท และ 128 GB ราคา 19,900 บาท ซึ่งมีการทำโปรโมชันร่วมกับโอเปอเรเตอร์ลดสูงสุดถึง 7,500 บาท (เหลือ 9,900 บาท) เมื่อเปิดเบอร์ใหม่ย้ายค่ายเบอร์เดิมและเลือกใช้แพกเกจตามที่กำหนด

Gallery

]]>