Google – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Thu, 26 Sep 2019 07:39:29 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : Google Chromecast (Gen3) อุปกรณ์ช่วยสตรีมคอนเทนต์สู่จอทีวีที่เร็วขึ้น แพงขึ้น https://cyberbiz.mgronline.com/review-google-chromecast-gen3/ Thu, 26 Sep 2019 07:39:29 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=31289

หลังจากที่ AIS ปล่อยให้ Google Chromecast (Gen 2) ที่วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการขาดตลาดมาช่วงหนึ่ง หลังจากที่ทาง Google มีการปล่อย Chromecast Gen 3 ออกสู่ตลาดตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา

ล่าสุดทาง AIS ได้เวลานำ Google Chromecast (Gen3) เข้ามาจำหน่ายแล้วผ่านทั้งหน้าร้าน และช่องทางออนไลน์ AIS Online Store ในราคาที่ปรับสูงขึ้นเล็กน้อยเป็น 1,850 บาท จากก่อนหน้านี้ที่อยู่ที่ 1,650 บาท

จุดเด่นของ Chromecast ยังคงอยู่ที่การนำไปเชื่อมต่อกับจอโทรทัศน์ผ่านพอร์ต HDMI เพื่อให้ผู้ใช้สามารถส่งคอนเทนต์จากสมาร์ทโฟน แท็บแล็ต และพีซี ไปฉายบนจอโทรทัศน์ได้ทันทีเช่นเดิม

ข้อดี

เปลี่ยนทีวีธรรมดาให้กลายเป็นสมาร์ททีวี

ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ Cast คอนเทนต์ไปบนจอทีวีได้สะดวกขึ้น

ข้อสังเกต

ราคาจำหน่ายสูงขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า

การปรับเพิ่มประสิทธิภาพจาก Gen2 ไปเป็น Gen3 ไม่ได้เห็นชัดขนาดนั้น

หาจุดต่างระหว่าง Gen2 และ Gen3

ในจุดนี้ Google ให้ข้อมูลว่า ความแตกต่างระหว่างรุ่น 2 และรุ่น 3 จะเน้นในเรื่องของการเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลมากกว่า ทำให้การใช้งานมีความเสถียรมากขึ้น เข้าถึงคอนเทนต์ได้เร็วขึ้น

โดยจุดที่เปลี่ยนแปลงในรุ่น 3 คือรองรับการสตรีมคอนเทนต์ความละเอียด 1080p ที่ 60 เฟรมต่อวินาที จากเดิมในรุ่น 2 รองรับที่ความละเอียด 1080p แบบ 30 เฟรมต่อวินาที

ในการใช้งานจริงเชื่อว่าผู้บริโภคแทบจะไม่เห็นถึงความต่างที่พัฒนาขึ้นมา ดังนั้นแล้วถ้าใครมีรุ่นเดิมอยู่แล้วยังไม่เสียหาย ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนมาใช้งานรุ่นใหม่

แต่ในกรณีที่ยังไม่เคยมี หรืออยากลองใช้งาน เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ แทนที่จะซื้อโทรทัศน์เครื่องใหม่ให้เป็นสมาร์ททีวี การเสียเงินไม่ถึง 2,000 บาท แล้วทำให้เปลี่ยนโทรทัศน์มาเป็นช่องทางในการรับชมคอนเทนต์ถือว่าคุ้มค่า

ย้อนดูความสามารถของ Chromecast

ก่อนหน้านี้ AIS เริ่มนำเสนอ Chromecast ออกสู่ตลาดในช่วงที่ผลักดันดิจิทัลคอนเทนต์แพลตฟอร์มอย่าง AIS Play เข้าสู่ตลาด โดยเปิดให้ลูกค้าที่ใช้งาน AIS Play บนสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต สามารถส่งต่อหน้าจอ (Cast) ไปยังจอโทรทัศน์ผ่าน Chromecast ได้

ในความเป็นจริงแล้ว ความสามารถของ Chromecast ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การส่งต่อคอนเทนต์ที่เป็นวิดีโอ เพราะผู้ใช้สามารถใช้เพื่อส่งเพลงบน Spotify ไปเปิดบนโทรทัศน์ได้เช่นเดียวกัน

เรียกได้ว่า Chromecast เป็นอุปกรณ์ที่จะเปลี่ยนโทรทัศน์ธรรมดาที่มีพอร์ต HDMI ให้กลายเป็นเหมือนสมาร์ททีวี 1 เครื่อง แต่ในการควบคุมใช้งานต้องทำงานร่วมกับสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรือพีซีเท่านั้นเอง

นอกจากนี้ ในกรณีที่ใช้งานเว็บเบราว์เซอร์ Chrome บนพีซี ยังสามารถ Cast หน้าจอเว็บให้มาฉายอยู่บนโทรทัศน์ได้เช่นเดียวกัน เรียกได้ว่าสามารถนำไปใช้ในการทำงาน กรณีที่ต้องเปิดสไลด์ หรือ Google Docs ในห้องประชุมก็ได้เช่นกัน

อุปกรณ์ภายในกล่อง

ในกล่องของ Chromecast (Gen3) เมื่อแกะกล่องออกมาจะพบกับตัวอุปกรณ์ Chromecast ที่ฝั่งนึงมีลักษณะเป็นกลมๆ แบนๆ ส่วนอีกฝั่งเป็นพอร์ต HDMI

ที่ตัวอุปกรณ์จะมีช่องเสียบสายชาร์จ MicroUSB อยู่ด้วย เพื่อใช้เป็นไฟในการเลี้ยงอุปกรณ์ โดยสามารถใช้อะเดปเตอร์ชาร์จที่แถมมาให้เชื่อมต่อกับสาย MicroUSB ได้ทันที หรือในกรณีที่ทีวีมีพอร์ต USB อยู่ก็สามารถเชื่อมต่อสายผ่านพอร์ต USB ได้เช่นกัน

ที่เหลือก็จะเป็นคู่มือการใช้งาน โดยในการใช้งานครั้งแรกต้องทำการตั้งค่าเพื่อเชื่อมต่อกับเครือข่าย WiFi ภายในบ้าน หรือสถานที่ใช้งานก่อน

โดยสามารถดาวน์โหลดแอป Google Home มาใช้ในการตั้งค่าได้ทั้งบนสมาร์ทโฟนแอนดรยอด์ และ ไอโฟน ซึ่งหลังจากตั้งค่าเสร็จก็สามารถใช้งานกับอุปกรณ์อื่นๆ ในเครือข่ายเดียวกันได้ทันที

สรุป

ใครที่ยังไม่ได้ซื้อสมาร์ททีวีมาใช้งาน แล้วอยาก Cast ภาพยนตร์ ซีรีส์ หรือวิดีโอ ทั้งจาก YouTube Facebook Netflix AIS Play หรือแม้แต่ True ID LINE TV การมี Chromecast มาจะช่วยให้รับชมคอนเทนต์เหล่านี้บนจอที่ใหญ่ขึ้นได้

Gallery

]]>
รู้จัก ‘Duo’ เมื่อกูเกิลขอทำแอปวิดีโอคอล https://cyberbiz.mgronline.com/review-google-duo/ Tue, 16 Aug 2016 04:00:38 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=23441

d1แม้ว่าใครหลายคนจะเคยใช้ Google Hangouts ในการใช้งานวิดีโอคอล หรือใช้ในการประชุมสายแบบกลุ่มผ่านพีซี หรือเว็บเบส แต่กูเกิลยังไม่เคยออกผลิตภัณฑ์ที่มาจับกลุ่มผู้ใช้งานวิดีโอคอลผ่านสมาร์ทโฟนอย่างจริงจังเลยในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เกิดแนวคิดในการสร้าง ‘Duo’ ขึ้นมาเพื่อจับกลุ่มผู้ใช้งานวิดีโอคอลแบบ 1:1 ผ่านสมาร์ทโฟนโดยเฉพาะ

แนวคิดในการพัฒนา ‘Duo’ เกิดขึ้นจากการการเห็นสถิติจากการสำรวจผู้ใช้บริการในสหรัฐฯ ของทางกูเกิลในเดือนก.ค. พบว่า 46% ของผู้ใหญ่ในสหรัฐไม่เคยใช้งานวิดีโอคอลเลย ในขณะที่ 7% ของผู้บริโภคในสหรัฐใช้งานวิดีโอคอลทุกๆวัน โดยผู้ที่ใช้งานวิดีโอมากที่สุดจะอยู่ในช่วงอายุ 25-34 ปี ซึ่งในกลุ่มนี้ 13% มีการใช้งานทุกวัน

โดยเหตุผลหลักที่คนสหรัฐไม่นิยมใช้งานวิดีโอคอล 34% ให้ความเห็นว่ามาจากปัญหาของเครือข่ายที่ใช้ในการเชื่อมต่อ ที่มักจะเจอปัญหาสายหลุดทำให้หงุดหงิดเมื่อใช้งานถึง และ 17% ไม่แน่ใจว่าจะสามารถใช้งานได้ นอกจากนี้ยังพบว่า 1 ใน 6 คน รู้สึกว่าการใช้งานวิดีโอคอลจะเป็นการบกวนผู้รับสาย

ขณะเดียวกันทางกูเกิลได้เปิดเผยข้อมูลถึง 8 สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ ‘Duo’ ว่า การใช้งานวิดีโอคอลจะกลายเป็นเรื่องง่ายในการสื่อสารระหว่างบุคคล โดยไม่ต้องกังวลว่าจะใช้งานอยู่บนการเชื่อมต่อ Wi-Fi หรือโมบายอินเทอร์เน็ต เพียงแค่คู่สนทนามีการใช้งาน ‘Duo’ ทั้งคู่ ก็สามารถติดต่อสื่อสารแบบเห็นหน้ากันได้ตลอดเวลา

1. Duo ถือเป็นแอปพลิเคชันวิดีโอคอลที่สร้างขึ้นมาให้ทุกคนใช้งานผ่านอุปกรณ์พกพา ทั้งบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android) 4.1 (Jelly bean) ขึ้นไป และไอโอเอส (iOS) 9.0 ขึ้นไป 2.การทำงานของ Duo จะอ้างอิงถึงเลขหมายโทรศัพท์ที่ใช้ในการลงทะเบียน และสามารถสั่งโทรผ่านสมุดรายชื่อในเครื่องได้ทันที

3.ฟีเจอร์ Knock Knock จะช่วยให้ปลายสายสามารถเห็นหน้าผู้ที่โทรมาก่อนกดรับสาย ซึ่งจะทำงานก็ต่อเมื่อเลขหมายของคู่สนทนาอยู่ในสมุดรายชื่อ (แต่สามารถเข้าไปเลือกปิดการใช้งานฟังก์ชันดังกล่าวได้เช่นเดียวกัน) อย่างไรก็ตามฟีเจอร์ดังกล่าวยังไม่รองรับการใช้งานบน iOS

4.Duo สามารถทำงานได้ทั้งบนการเชื่อมต่อ WiFi และ Mobile Data โดยสามารถสลับสัญญาณได้โดยที่สายไม่หลุด

5.Duo จะเน้นไปที่การให้บริการสนทนาแบบ 1:1 เท่านั้น ไม่ได้ให้บริการในแนวทางของการประชุมสาย 6.Duo ถูกออกแบบมาให้สามารถโทรออกได้ด้วยความรวดเร็ว โดยทางกูเกิลเคลมว่าเร็วกว่าผู้ให้บริการวิดีโอคอลส่วนใหญ่ในท้องตลาด แม้ว่าผู้ใช้จะเชื่อมต่อบนสถานที่ที่ไม่ค่อยมีสัญญาณอินเทอร์เน็ตก็ตาม 7.สามารถใช้งานบนเน็ต 2G ได้ 8.มีการเข้ารหัสการสนทนา ทำให้ไม่ต้องกลัวการดังฟังใดๆ

ความรู้สึกหลังลองใช้จริง

IMG_5853

ทีมงาน Cyberbiz ได้เข้าร่วมการทดสอบของ Duo ก่อนเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการมาในช่วงระยะเวลาหนึ่ง พร้อมกับสื่อมวลชนกลุ่มเล็กๆ เพื่อให้ได้ทดสอบการใช้งานกันอย่างเต็มที่ ซึ่งแน่นอนว่า Duo สามารถทำได้ทุกอย่างตามที่ให้ข้อมูลไว้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานบนทั้ง 2 ระบบปฏิบัติการ

โดยทีมงานได้ลดลองลงใช้งานแอปพลิเคชันทั้งบนแอนดรอยด์ และ iOS ที่ใช้งานบน iPad ก็สามารถใช้งาน Duo ได้ตามปกติโดยใช้การยืนยันรหัสผ่านเลขหมายโทรศัพท์ที่ใช้บนสมาร์ทโฟน ดังนั้นถ้าต้องการใช้งาน iPad ให้สามารถโทรวิดีโอคอลหาเบอร์มือถืออื่นๆที่ใช้งาน Duo ได้ แอปพลิเคชันนี้ก็จะเข้ามาตอบโจทย์ดังกล่าว

ในแง่ของความเร็วในการโทร ได้มีการทดสอบผ่านทั้งบนการเชื่อมต่อ 2G 3G และ 4G ซึ่งความเร็วในการโทรถือว่ารวดเร็วตามที่บอกไว้ เพียงแต่คุณภาพของวิดีโอก็จะขึ้นอยู่กับความเร็วของอินเทอร์เน็ตที่เชื่อมต่อ ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อเน็ตช้าตัวแอปก็จะทำการลดความละเอียดในการส่งผ่านข้อมูลเพื่อให้การสื่อสารลื่นไหลมากที่สุด

OOGL1168000H_Google_Apps_Duo_Campaign_Birthday_Knock_Knock_PR_08_unslated

สำหรับอินเตอร์เฟสในการใช้งาน จะเน้นไปที่ความเรียบง่ายเป็นหลัก โดยเมื่อเปิดแอปพลิเคชันขึ้นมาจะพบเพียงปุ่มกดโทรวิดีโอคอลเท่านั้น เมื่อกดเข้าไปก็สามารถเลือกคู่สนทนาได้จากรายชื่อในเครื่องได้ทันที หลังจากนั้นเมื่อกดโทรก็จะขึ้นหน้าต่างวิดีโอคอลขึ้นมาทันที ขณะที่ปลายสายก็จะเห็นวิดีโอของผู้ที่โทรมาเพื่อให้รู้ว่าใครเป็นคนโทรด้วย (ฟีเจอร์ Knock Knock)

ขณะที่ทำการสนทนาผู้ใช้สามารถเลือกสลับกล้องหน้าหลัง ปิดไมค์ กดสลับลำโพงเครื่องกับหูฟัง (กรณีมีการเชื่อมต่อหูฟัง) รวมถึงกดสลับการแสดงผลให้เห็นหน้าคู่สนทนาแบบเต็มจอ หรือเห็นหน้าตนเองแบบเต็มจอแทนก็ได้เช่นเดียวกัน รวมถึงยังสามารถใช้สนทนาเฉพาะเสียงได้โดยการกดออกจากแอป (แต่ไม่ต้องวางสาย) และแน่นอนว่าเพื่อความง่ายจึงมีฟังก์ชันการใช้งานเพียงเท่านี้

แน่นอนว่าคู่แข่งรายสำคัญของ Duo คงหนีไม่พ้น Facetime ที่มีข้อจำกัดหลักอยู่ในเรื่องของการใช้งานได้เฉพาะบน iOS เท่านั้น ในขณะที่ Duo รองรับการใช้งานบน 2 ระบบปฏิบัติการ ที่สำคัญคือใช้งานได้รวดเร็วกว่า Facetime แต่อย่างไรก็ตาม Duo ก็มีข้อเสียตรงที่ใช้งานได้เฉพาะบนอุปกรณ์พกพาเท่านั้น

หลังจากนี้ ก็คงต้องลองดูกันว่า Duo จะได้รับความนิยมในประเทศไทย รวมถึงในอีกหลายๆประเทศทั่วโลกหรือ เพราะถ้ามองจากความง่ายในการใช้งาน ถือว่า Duo ทำออกมาได้ตอบโจทย์ แต่การที่จะให้คนเปลี่ยนมาใช้งานผ่าน Duo แทนแอปเดิมที่ใช้กันอยู่ทั้ง Facebook LINE หรือ Facetime สำหรับคนที่ใช้ iOS อยู่แล้ว ถือเป็นสิ่งที่น่าจับตามอง

]]>
Review: Android 6.0 Marshmallow ลงตัว แบตฯอึดขึ้น ไฮไลท์ Now on Tap เจ๋งจริง https://cyberbiz.mgronline.com/android-6-marshmallow/ Tue, 06 Oct 2015 15:34:01 +0000 http://www.cyberbiz.in.th/?p=17716

หลังจากกูเกิลพลิกโฉมแอนดรอยด์ยุคใหม่ในรุ่น 5.0 Lollipop พร้อมเปิดศักราชแอนดรอยด์ดีไวซ์ 64 บิตด้วยชุดรันไทม์ใหม่นามว่า “ART” ครั้งแรก แต่ผลลัพท์ที่ตามมายังไม่น่าพอใจนัก เพราะมีข้อผิดพลาดหลายส่วนเกิดขึ้นกับแอนดรอยด์ 5.0 โดยเฉพาะดีไวซ์ของกูเกิลในตระกูล Nexus ที่เจอปัญหามากสุด จนกูเกิลต้องปล่อยอัปเดตรุ่นย่อยออกมามากมาย

และในวันนี้ตามรอบอัปเดตซอฟต์แวร์ของกูเกิล หลังจากงาน Google I/O ผ่านพ้นไปไม่นาน กูเกิลก็พร้อมปล่อยระบบปฏิบัติการตัวใหม่ออกมาในชื่อ “Marshmallow” ซึ่งเป็นแอนดรอยด์รุ่นที่ 6 ร่วมกับสมาร์ทโฟน Nexus รุ่นใหม่ได้แก่ LG Nexus 5X, Huawei Nexus 6P และแท็บเล็ต Google Pixel C

โดยระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์รุ่นใหม่นี้จะเน้นการปรับปรุง แก้ไขและเพิ่มความสมบูรณ์ของแอนดรอยด์ยุค Material Design ให้มีภาพที่ชัดเจนขึ้น รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพและความฉลาดให้ Google Now ถึงขีดสุดเพื่อไม่ให้เสียชื่อเจ้าพ่อคลังข้อมูล Search Engine ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

สำหรับรอบอัปเดตแอนดรอยด์ 6.0 Marshmallow จะเริ่มต้นจากสมาร์ทโฟนตระกูล Nexus ก่อน ได้แก่ Nexus 5, Nexus 6, Nexus 7, Nexus 9 และ Nexus Player ซึ่งผู้ใช้สามารถอัพเดทผ่านทาง OTA หรืออัปเดตด้วยตัวเองผ่านไฟล์ Factory Images (Google Developers) ได้ตั้งแต่วันนี้ ส่วนแอนดรอยด์โฟนแบรนด์อื่นต้องรอทางผู้ผลิตประกาศรอบอัปเดตอีกครั้ง

558000011629703

ในส่วนการเปลี่ยนแปลงภายใน Android 6.0 Marshmallow เริ่มจากหน้าโฮมสกรีน ภาพรวมจะดูไม่แตกต่างจากแอนดรอยด์ 5.0 Lollipop ตัวก่อนนัก ยกเว้นฟอนต์นาฬิกาหน้าล็อกสกรีนที่ได้รับการปรับใหม่ให้ใหญ่ขึ้นและภาพพื้นหลังที่มีให้เลือกเพิ่มขึ้น

558000011629704

และถ้าลองสัมผัสและใช้งานจริงจะพบว่า กูเกิลมีการปรับเรื่องการแสดงผลส่วน Animation ใหม่ให้มีความลื่นไหลและตอบสนองต่อการกดสั่งงานได้รวดเร็วขึ้นพอสมควร (ทดสอบบน Nexus 5) ส่วนหน้ารวมแอปฯ (App Drawer) ก็มีการปรับการแสดงผลจากเลื่อนในแนวนอนเป็นเลื่อนแนวตั้ง พร้อมแถบแสดงแอปฯที่เปิดใช้งานไปแล้วอยู่เหนือส่วนรวมแอปฯ

558000011629705

มาดูส่วนแจ้งเตือน (Notification) มีการปรับเปลี่ยนไอคอนห้ามรบกวนใหม่ นอกจากนั้นระบบยังเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งหน้าตั้งค่าด่วนได้ โดยการกดปุ่มเฟืองมุมขวาบนค้างไว้จนเฟืองหมุนแล้วปล่อย ระบบจะพาเข้าสู่หน้าปรับ System UI ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกเปิดตัวแสดงเปอร์เซ็นต์แบตเตอรีได้แล้ว (ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับแอนดรอยด์แบรนด์อื่น)

558000011629706

นอกจากนั้นส่วนควบคุมเสียงที่จะปรากฏขึ้นเมื่อผู้ใช้กดปุ่มเพิ่มลดเสียง จากเดิมจะมีให้ปรับเฉพาะเสียงริงโทนเท่านั้น แต่ในแอนดรอยด์ 6.0 ระบบจะตั้งค่าเริ่มต้นให้ผู้ใช้สามารถปรับเสียงอื่นๆเพิ่มเติมได้เหมือน UI เจ้าอื่นแล้ว

ในส่วนการเปิดโหมดห้ามรบกวนก็เปลี่ยนจากการกด Priority เป็นการกดปุ่มลดเสียงจนไอคอนรูปโทรศัพท์เป็นสีเทาพร้อมมีข้อความ Alarms only ปรากฏขึ้น ซึ่งถือว่าทำได้ง่ายขึ้นและไม่สร้างความสับสนให้ผู้ใช้เหมือนตอนแอนดรอยด์ 5.0

558000011629707

มาถึงการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจที่สุดใน Android 6.0 Marshmallow ก็คือการมาของ Google “Now on Tap” ซึ่งปกติการค้นหาข้อมูลต่างๆ เช่น ข้อมูลสถานที่ที่ปรากฏในอีเมล์ ชื่อนักร้องจากเพลงที่กำลังฟังอยู่ เราสามารถค้นหาสิ่งเหล่านี้ได้จาก Google Search หรือค้นหาผ่าน Google Now ด้วยวิธีการพิมพ์ค้นหาด้วยตัวเอง ซึ่งกูเกิลมองว่าเป็นวิธีที่ล้าหลังและไม่สะดวกนัก

กูเกิลจึงคิดค้นฟังก์ชัน Now on Tap ขึ้น โดยใช้ความสามารถของ Google Now ที่กูเกิลเริ่มพัฒนามาตั้งแต่ Android 4.4 KitKat และหลายคนคงได้เห็นความมหัศจรรย์ในการคาดเดาและดึงข้อมูลที่ตรงใจเราโดยที่เราไม่ต้องร้องขอ เช่น ถึงเวลา 9 โมงเช้าซึ่งเป็นเวลาที่เราไปทำงาน Google Now สามารถเรียนรู้และแสดงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางไปทำงานอัปเดตเราตลอดทุกเช้า หรือแม้แต่การที่เราเดินทางไปใกล้โรงภาพยนตร์ Google Now สามารถแสดงรอบฉายของโรงภาพยนตร์ที่เราอยู่ใกล้ได้ เป็นต้น

สิ่งเหล่านี้กูเกิลนำมาพัฒนาต่อยอดเป็นฟีเจอร์ “Now on Tap” ซึ่งระบบสามารถอ่านหน้าแอปฯที่เราเปิดอยู่ได้ เช่น เราเปิดอีเมล์ฉบับหนึ่ง เมื่อเรากดเรียก Now on Tap (กดปุ่มโฮมค้างไว้) ระบบจะอ่านอีเมล์ของเราทั้งฉบับ และจากนั้นระบบจะคาดเดาความต้องการของเราโดยอ้างอิงจากเนื้อความในจดหมาย ตั้งแต่พาดหัวถึงส่วนของข้อความ เช่น ในอีเมล์มีการบอกสถานที่นัดหมาย เมื่อเรากดเรียก Now on Tap ก็จะมีข้อมูลของสถานที่ที่เรานัดหมายปรากฏขึ้น ตั้งแต่ แผนที่เดินทางเชื่อมต่อกับ Google Maps เบอร์โทรศัพท์สอบถามเส้นทาง ภาพสตรีทวิว เป็นต้น

หรือถ้าระหว่างที่เราฟังเพลงอยู่ แล้วเราต้องการทราบรายละเอียดของเพลงและนักร้องที่เรากำลังฟังอยู่ เมื่อกดเรียก Now on Tap ระบบจะดึงข้อมูลศิลปินพร้อมภาพหน้าตานักร้องขึ้นมา นอกจากนั้นยังมีลิงค์ไปยังมิวสิควิดีโอของเพลงที่เรากำลังฟังอยู่ได้ด้วย

ถ้าผู้อ่านยังไม่เห็นภาพการทำงานของ Now on Tap แนะนำให้รับชมคลิปวิดีโอนี้ครับ แล้วจะเข้าใจว่าเหตุใดกูเกิลถึงตั้งสโลแกนฟีเจอร์ Now on Tap ว่า “The smartest shortcut from here to there”

558000011629708

และอีกจุดเด่นหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้ Now on Tap ก็คือ ชุดคำสั่งประหยัดแบตเตอรีในชื่อ Doze เพราะหลังจากชาว Nexus โดยเฉพาะ Nexus 5 ได้กร่นด่ากูเกิลว่าแอนดรอยด์ 5 Lollipop บริโภคแบตเตอรีหนักมาก กูเกิลจึงคิดแก้เกมใน Android 6.0 Marshmallow ด้วยชุดคำสั่งใหม่ถอดด้ามนี้

ด้วยหลักการทำงานแบบเดียวกับชื่อร่วมกับชุดคำสั่ง App Standby ก็คือระหว่างที่เราไม่ได้ใช้งานสมาร์ทโฟน (หน้าจอปิดอยู่) แอปฯที่ทำงานอยู่เบื้องหลังทั้งหมดจะถูกตรวจสอบ จากนั้นระบบจะจำกัดการส่งข้อมูลในส่วนแอปฯที่ต้องมีการแจ้งเตือน และบางแอปฯที่ไม่มีการส่งข้อมูลเป็นเวลานานอาจถูกทำให้หลับ (Sleep state)

ผลลัพท์จากการทดสอบ Doze ด้วย Nexus 5 ที่เริ่มเกิดอาการแบตฯเสื่อม ปกติเวลาทีมงานปิดหน้าจอไว้ แบตเตอรีจะหมดลงเร็วและบางครั้งมีอาการเครื่องร้อนแบบไม่ทราบสาเหตุ แต่ใน Android 6.0 Marshmallow ทีมงานชาร์จแบตฯเต็ม 100% เมื่อช่วง 11 โมงเช้า เวลาผ่านไป 8 ชั่วโมง แบตเตอรีลดเหลือ 95% (แจ้งเตือน Facebook เด้งตลอด) และเมื่อดูในส่วนของกราฟคำนวณเวลาใช้งานฟ้องอยู่ที่ 6 วันแบตเตอรีถึงหมด

นอกจากนั้นใน Android 6.0 Marshmallow ยังพร้อมรองรับพอร์ต USB-C ที่จะแนบระบบชาร์จไฟแบบรวดเร็วในอนาคตด้วย

558000011629709

มาถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆที่น่าสนใจกันบ้าง เริ่มจาก App Permission สำหรับผู้ใช้ที่ชอบจำกัดการติดต่อระหว่างแอปฯกับฮาร์ดแวร์ด้วยเหตุผลคือป้องกันการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลหรือด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่ ในแอนดรอยด์ 6.0 ผู้ใช้สามารถจัดการการเข้าถึงของแอปฯเหล่านั้นได้อย่างอิสระแล้ว

558000011629711558000011629710

สุดท้ายกูเกิลยังได้ปรับเรื่องความลงตัวของคำสั่งและการตั้งค่าต่างๆให้สมบูรณ์แบบขึ้น เช่น การคัดลอก และเลือกข้อความ เมื่อเราใช้นิ้วจิ้มสร้างเขตข้อความที่เราต้องการคัดลอก จะมีปุ่ม Copy Paste Share ที่ออกแบบได้เข้าใจและใช้ง่ายกว่าเดิมปรากฏขึ้นทันที

และในส่วนการตั้งค่าก็มีการปรับเปลี่ยนเล็กๆน้อยๆเช่น

– ส่วนจัดเก็บข้อมูลและหน่วยความจำดูดีขึ้น
– รองรับปากกาเขียนจอผ่าน Bluetooth
– ออปชันใน Set up WiFi Hotspot เพิ่มขึ้น โดยให้ผู้ใช้สามารถเลือกปล่อย WiFi บนความถี่ 2.4GHz หรือ 5GHz ได้ตามต้องการ
– เพิ่มออปชัน Network settings reset เวลาเครือข่ายมีปัญหา
– เพิ่มออปชันเวลาเสียบสายชาร์จเข้ากับคอมพิวเตอร์ รองรับอุปกรณ์เสียง MIDI ภายนอกและสามารถตั้งให้ชาร์จไฟอย่างเดียวได้

และทั้งหมดก็คือการเปลี่ยนแปลงใน Android 6.0 Marshmallow ที่ทีมงานมองว่าเป็นการเพิ่มความสมบูรณ์ให้แอนดรอยด์ยุค 64 บิตที่กูเกิลทำได้สมบูรณ์แบบขึ้น ปัญหาหลายส่วนถูกแก้ไขจนหมดจนกลายเป็นระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ที่ลงตัวสุดในแอนดรอยด์ยุคหลังนี้ โดยเฉพาะแบตเตอรีกับชุดคำสั่งใหม่ที่ให้ผลลัพท์ที่ยอดเยี่ยมและประหยัดแบตเตอรีได้จริงๆเสียที อยากปรบมือให้ดังๆเลย

]]>