review iphone xs max – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Fri, 26 Oct 2018 03:13:01 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : Apple iPhone XS / XS Max เพิ่มประสิทธิภาพ-ตัวเลือกจอใหญ่ https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-iphone-xs-max/ Tue, 23 Oct 2018 05:58:26 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=29527

ในปีที่ผ่านมา Apple ได้พิสูจน์มาแล้วถึงความสำเร็จของ iPhone X ที่กลายเป็นการยกระดับสมาร์ทโฟนของแอปเปิลในรุ่นท็อปให้สูงขึ้นไปอีกระดับ ฉีกหนีแอนดรอยด์โฟนหลายๆรุ่นที่เริ่มสร้างแบรนด์ตามขึ้นมา โดยปัจจุบันเริ่มเปิดให้จองแล้ว และจะวางจำหน่ายในวันที่ 26 ตุลาคมนี้

แม้ว่ายอดขายของ iPhone X จะไม่ได้ขายดีถล่มทลาย จากราคาจำหน่ายที่สูงขึ้น แต่จากผลประกอบการของแอปเปิลในรอบปีที่ผ่านมา ก็แสดงให้เห็นว่ามีกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อให้ความสนใจ และเลือกที่จะซื้อหามาใช้งาน เพียงพอกับเป้าหมายของแอปเปิลแล้ว

พอมาในรุ่น iPhone XS ก็เหมือนแอปเปิลกลับมาใช้กลยุทธ์เดิมในการออกรุ่นอัปเกรดออกมา ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพตัวเครื่องให้ดีขึ้น เช่นเดียวกับการออกรุ่นจอใหญ่อย่าง iPhone XS Max มาจับกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการจอใหญ่

อีกจุดอัปเกรดใหญ่ๆ ที่สำคัญคือเมื่อแอปเปิล เริ่มนำ eSIM มาใช้ใน Apple Watch 3 และได้รับการตอบรับที่ดี ใน iPhone XS และ XS Max ก็จะรองรับการใช้งาน 2 ซิมในรูปแบบของซิมหลัก + eSIM ช่วยให้สามารถใช้งาน iPhone 2 ซิมได้ด้วย

ข้อดี

การอัปเกรดตัวเครื่องให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
– iPhone XS Max ให้จอที่ใหญ่ขึ้น ในขนาดเท่ากับ 8 Plus
วัสดุตัวเครื่องที่ใช้ จับแล้วรู้สึกถึงความพรีเมียม
กล้องถูกพัฒนาให้เก็บภาพได้รายละเอียดมากขึ้น เพิ่มโหมดปรับความละเอียดพื้นหลัง

ข้อสังเกต

ระดับราคาเริ่มต้นเฉียด 4 หมื่นบาท
กล้องถ่ายภาพในที่แสงน้อยยังสู้แฟลกชิปจากฝั่งแอนดรอยด์ไม่ได้
ไม่มีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. และไม่มีตัวแปลงให้ด้วย
ไม่แถมอะเดปเตอร์ชาร์จเร็วมาให้ ต้องซื้อเพิ่ม

Gallery

จุดต่างระหว่าง XS และ XS Max

ก่อนอื่นย้อนกลับไปดูราคาจำหน่ายของ iPhone XS และ iPhone XS Max กันก่อน โดย XS จะเริ่มต้นที่ 39,900 บาท สำหรับรุ่น 64 GB เมื่อเทียบกับช่วงที่ iPhone X เปิดตัวราคาอยู่ที่ 40,500 บาท ถือว่ามีการปรับลดลงเล็กน้อย และราคาสูงสุดของ XS รุ่น 512 GB จะอยู่ที่ 53,900 บาท

ในขณะที่รุ่น XS Max ราคาเริ่มต้น 64 GB อยู่ที่ 43,900 บาท และไปสุดอยู่ที่ 57,900 บาทสำหรับรุ่น 512 GB แน่นอนว่าถ้าเป็นราคาที่ซื้อพร้อมโปรโมชันกับทางโอเปอเรเตอร์ก็จะได้รับส่วนลดค่าเครื่องลงไปอีก แต่ราคาเครื่องเปล่าจากศูนย์แอปเปิลถือเป็นราคากลางไว้

โดยถ้ากำลังตัดสินใจเลือกซื้อว่าจะซื้อรุ่นเริ่มต้นที่เป็น 64 GB ดีหรือไม่ ในการใช้งานจริงทีมงานแนะนำให้เลือกซื้อรุ่น 256 GB ไปดีกว่า เพราะด้วยการถ่ายภาพ และวิดีโอในปัจจุบันพื้นที่เก็บข้อมูลเริ่มต้นที่ 64 GB ไม่เพียงพอกับการใช้งานอยู่แล้ว

ส่วนเมื่อกลับมาดูจุดต่างหลักๆ ระหว่าง iPhone XS และ iPhone XS Max มีอยู่ด้วยกัน 3 จุดใหญ่ๆ 1.คือเรื่องหน้าจอ ที่ XS มากับหน้าจอขนาด 5.8 นิ้ว ความละเอียด 2436 x 1125 พิกเซล ในขณะที่ XS Max มากับหน้าจอขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียด 2688 x 1242 พิกเซล ทั้ง 2 รุ่นให้ความละเอียดเม็ดสีเท่ากันที่ 458 ppi

ตามมาด้วย 2.ขนาดตัวเครื่อง XS จะอยู่ที่ 143.6 x 70.9 x 7.7 มิลลเมตร น้ำหนัก 177 กรัม (ใกล้เคียงกับ iPhone X เดิม) ส่วน XS Max จะอยู่ที่ 157.5 x 77.4 x 7.7 มิลลิเมตร น้ำหนัก 208 กรัม (ใกล้เคียงกับ iPhone 8 Plus)

สุดท้าย 3.เรื่องแบตเตอรี โดยทางแอปเปิลระบุมาคร่าวๆว่า iPhone XS ใช้งานได้นานกว่า iPhone X 30 นาที และ iPhone XS ใช้ได้นานกว่า 1.5 ชั่วโมง ซึ่งในรุ่น XS Max ให้แบตเตอรีมาที่ 3,174 mAh ที่ถือว่าเพิ่มขึ้นจาก iPhone 8 Plus ค่อนข้างเยอะ

ขณะเดียวกันพบว่า iPhone XS มากับแบตเตอรีขนาด 2,658 mAh ลดลงจากใน iPhone X แต่ด้วยหน่วยประมวลผลรุ่นใหม่ Apple A12 ที่ประหยัดพลังงานมากขึ้น ทำให้สามารถใช้งานได้นานกว่าเดิม ส่วน

สิ่งที่อัปเกรดขึ้นจากเดิม

ในส่วนของการอัปเกรดที่เพิ่มขึ้นจาก iPhone X ทั้ง XS และ XS Max มากับหน่วยประมวลผล Apple A12 Bionic ที่กลายเป็นหน่วยประมวลผลรุ่นแรกที่ทำงานบนสถาปัตยกรรมแบบ 7 นาโนเมตร ให้ความแรงในการประมวลผลเพิ่มขึ้น 15% และใช้พลังงานน้อยลง 50% เมื่อเทียบกับ A11

พร้อมกับการเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลกราฟิก ด้วยการนำ GPU แบบ 4 Core มาใช้ประมวลผลร่วมกับ Metal 2 ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพขึ้นจากเดิม 50% นอกจากนี้ ยังมีการนำระบบ AI มาใช้ (Neural Engine) ในการประมวลผลแมชชีนเลิร์นนิ่ง (Core ML)

เมื่อดูถึงข้อมูลดังกล่าวอาจจะดูแล้วยาก แต่ถ้าให้สรุปง่ายๆคือ หลังจากลองใช้งานมาสักพักก็พบว่าตัวเครื่องเร็วขึ้น ทำงานได้หลากหลายมากขึ้นจากใน iPhone X ที่เดิมก็ประมวลผลได้ดีอยู่แล้ว แต่แน่นอนว่าการอัปเกรด iOS 12 ก็มีส่วนช่วยให้เครื่อง iPhone เร็วขึ้นด้วยเหมือนกัน

วัสดุที่ใช้ทำตัวเครื่องก็ถูกพัฒนาขึ้นมาใช้เป็นสแตนเลสสตีลระดับเดียวกับที่ใช้ทำเครื่องมือศัลยกรรม เคลือบผิวด้วยไอสาร (Physical Vapor Deposition – PVD) ให้ตัวเครื่องมีสีสันที่ชัดเจนขึ้น และจับถนัดมือมากขึ้น

ระบบสเตอริโอที่อยู่บน iPhone XS และ XS Max จะให้เสียงที่มีมิติมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อใช้รับชมภาพยนตร์ในแนวนอน เช่นเดียวกับการบันทึกวิดีโอที่มีไมค์รอบเครื่องถึง 4 ไมค์ ทำให้แยกทิศทางเสียงเข้าได้อย่างชัดเจน

นอกจากนี้ ยังมีในส่วนของ eSIM ที่คาดว่าจะเปิดให้ใช้งานกันภายในปีนี้ ทำให้ตัว iPhone สามารถใช้งาน 2 ซิมได้แล้วโดยส่วนใหญ่จะแนะนำให้ใช้เบอร์หลักเป็น eSIM และช่องใส่ถาดซิมไว้สำหรับเบอร์ที่ถอดเปลี่ยนได้ หรือเวลาเดินทางไปต่างประเทศก็สามารถนำซิมต่างประเทศมาใส่ใช้งานได้

ในส่วนของระบบเครือข่ายก็มีการพัฒนาขึ้นมารองรับ LTE Cat 16 หรือเครือข่ายระดับ Gigabit ด้วยการนำเทคโนโลยีอย่าง 4×4 MIMO LAA มาใช้งาน ซึ่งเครือข่ายในประเทศไทยส่วนใหญ่ก็เริ่มมีติดตั้งให้ใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพแล้ว

กล้องที่เก็บรายละเอียดได้มากขึ้น

สำหรับเรื่องกล้องที่ทั้ง 2 รุ่นมากับกล้องคู่เหมือนเดิมคือ ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/1.8 สำหรับเลนส์มุมปกติ และ f/2.4 สำหรับเลนส์เทเลโฟโต้ เพิ่มเติมด้วยการนำระบบประมวลผลภาพมาใช้ ทำให้สามารถถ่ายภาพชดเชยแสง (Smart HDR) เก็บรายละเอียดได้มากขึ้นกว่าเดิม

ในส่วนของกล้องหน้า ยังคงเป็นกล้อง TrueDepth ความละเอียด 7 ล้านพิกเซล f/2.2 ที่รับกับความสามารถใหม่เครื่อง สามารถถ่ายภาพ Portrait และเลือกปรับระดับความชัดตื้น ชัดลึกได้หลังถ่ายภาพ

โดยเท่าที่ลองถ่ายภาพเล่นๆ ก็พอว่าตัว iPhone XS และ XS Max สามารถเก็บภาพในที่แสงน้อยได้ดีขึ้นกว่าเดิม และในขณะเดียวกันโหมด Portrait ก็ฉลาดมากขึ้น ด้วยการเบลอฉากหลังที่เนียนขึ้นด้วยการนำ Neural Engine มาช่วยประมวลผล

ดูตัวเครื่องจริง XS / XS Max

โดยสีที่ได้มาจะเป็นสีใหม่ที่เพิ่งมีวางจำหน่ายคือสีทอง (Gold) ที่ลักษณะการออกแบบไม่ต่างจากเดิมอยู่แล้วอย่างที่รู้กัน มีเพียงการเพิ่มในแง่ของการกันน้ำ กันฝุ่นที่เป็น IP68 หรือกันน้ำลึก 2 เมตรได้ 30 นาที จากที่ในรุ่นก่อนหน้าเป็น iP67 กันน้ำได้ 1 เมตรไม่เกิน 30 นาที

รอบๆ ตัวเครื่องก็จะมีปุ่มเปิดเครื่อง และใช้เรียก Siri อยู่ทางขวา ปุ่มปิดเสียง และปรับระดับเสียงทางซ้าย ด้านล่างเครื่องเป็นพอร์ต Lightning ตัวเครื่องรองรับการใช้ Fast Charge ชาร์จได้ 50% ภายใน 30 นาที (ต้องซื้อสายชาร์จ USB-C to Lightning เพิ่มพร้อมหัวชาร์จ) และสามารถใช้การชาร์จไร้สายได้เหมือนเดิม

ส่วนในแง่ของการใช้งานตัวเครื่องต่างๆ จะไม่แตกต่างจาก iPhone X อยู่แล้ว ดังนั้นถ้าอยากย้อนไปดูรายละเอียดสามารถกลับไปอ่านกันได้ที่ https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-iphone-x/

ส่วนการใช้งานแบบเจาะลึกหลังจากใช้งานแบบเต็มที่แล้วจะกลับมาเล่าให้ฟังแบบละเอียดๆ แน่นอน เพราะเนื่องจากปัจจุบันผู้ให้บริการในประเทศไทยยังไม่ได้เปิดรองรับการใช้งาน eSIM บน iPhone

]]>