xiaomi – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Thu, 21 Jan 2021 09:05:06 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : Redmi Note 9T / Redmi 9T สานต่อรุ่นยอดนิยมรับ 5G – แบตฯใหญ่ https://cyberbiz.mgronline.com/review-redmi-note-9t-redmi-9t/ Tue, 12 Jan 2021 07:35:08 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34526

Redmi Note 9T และ Redmi 9T กลายเป็นสมาร์ทโฟน 2 รุ่นที่มาสร้างสีสันให้แก่ Xiaomi อย่างน่าสนใจในช่วงต้นปีนี้ โดย Redmi Note 9T มีความโดดเด่นที่เป็นสมาร์ทโฟนรองรับ 5G ราคาคุ้มที่สุดในเวลานี้ ส่วน Redmi 9T เน้นประสิทธิภาพคุ้มค่า คุ้มราคา

จุดเด่นหลักของ Redmi Note 9T อยู่ที่ชิปเซ็ตที่เลือกใช้งานเป็น MediaTek Dimensity 800U ที่รองรับการเชื่อมต่อ 5G มาพร้อมกล้องหลัก 48 ล้านพิกเซล แบตเตอรี 5,000 mAh ในราคาเริ่มต้น 6,999 บาท (Pre-Order 5,999 บาท)

ในขณะที่ Redmi 9T มากับ Snapdragon 662 ซึ่งรุ่นนี้จะรองรับเฉพาะ 4G เท่านั้น มาพร้อมกล้องหลัก 48 ล้านพิกเซล แบตเตอรี 6,000 mAh รองรับการใช้งานต่อเนื่อง บนหน้าจอขนาด 6.53 นิ้ว

โดยทั้ง 2 รุ่นได้เข้ามาจับตลาดในช่วงระดับราคา 4,499 – 7,499 บาท ของ Xiaomi ซึ่งเข้ามาแทนที่ตระกูล Redmi 9 เดิมที่ครองตำแหน่งสมาร์ทโฟนราคาประหยัด ได้อย่างน่าสนใจ

ข้อดี

  • Redmi Note 9T รองรับ 5G 2 ซิม พร้อมใช้งานในไทย
  • แบตฯ ใหญ่ 5,000 mAh / 6,000 mAh
  • เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ ที่ปุ่มเปิดเครื่อง
  • ราคาเข้าถึงได้

ข้อสังเกต

  • Redmi Note 9T ให้ RAM มาค่อนข้างน้อย (4 GB)
  • คุณภาพกล้องตามราคา / Note 9T ไม่มีเลนส์มุมกว้าง
  • หน้าจอค่อนข้างมืดเวลาใช้งานกลางแจ้ง

2 ตัวเลือกสมาร์ทโฟนราคาประหยัด

การวางราคาของ Redmi 9T และ Redmi Note 9T ของ Xiaomi ในคราวนี้ ถือว่าทำออกมาได้ค่อนข้างน่าสนใจ เพราะในการใช้งานทั่วไปของสมาร์ทโฟนทั้ง 2 รุ่น นั้นแทบไม่แตกต่างกันมาก เพียงแต่ในการเลือกซื้อควรดูตามรูปแบบการใช้งานด้วย

อย่างในรุ่น Redmi 9T ถ้าต้องการสมาร์ทโฟนที่มาใช้งานทั่วไป เล่นโซเชียลมีเดีย ฟังเพลง ดูหนังสตรีมมิ่ง รุ่นเริ่มต้นอย่าง RAM 4 GB ROM 64 GB ในราคา 4,499 บาท ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว

แต่ถ้าต้องการเล่นเกมด้วยแนะนำให้ขยับขึ้นมาเป็นรุ่น RAM 6 GB ROM 128 GB ในราคา 5,299 บาท จะรองรับการใช้งานได้หลากหลายกว่า และการใช้งานโดยรวมก็จะลื่นไหลมากยิ่งขึ้นด้วย

ในขณะที่ Redmi Note 9T นั้น จริงๆ แล้วเหมาะกับผู้ที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์ 5G เป็นหลัก เพื่อนำมาใช้งานในการดูหนัง ฟังเพลงที่ลื่นไหลเป็นหลัก ส่วนการเล่นเกมบน Redmi Note 9T ถ้าเป็นเกม FPS ทั่วๆ ไปปรับกลางๆ ยังพอเล่นได้ แต่ถ้าปรับสูงขึ้นมา หรือลองเล่น Genshin Impact ที่ค่อนข้างกินสเปก รุ่นนี้ไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่

ดังนั้น ในการเลือกซื้อควรคำนึงถึงเรื่องของแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตที่ใช้งานเป็นหลัก ถ้ามีความจำเป็นในการใช้งานโมบาย อินเทอร์เน็ต เพื่อใช้ทำงานตลอดเวลาและพร้อมที่จะสมัครแพ็กเกจ 5G ที่มีระดับราคาเดือนละ 699 บาท ขึ้นไป หรือ 1,199 บาท สำหรับเน็ตไม่จำกัด Redmi Note 9T เข้ามาตอบโจทย์แน่นอน

แต่ถ้าไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้งาน 5G ตัวเลือกอย่าง Redmi 9T รุ่น RAM 6 GB ROM 128 GB ก็เพียงพอกับการใช้งานแล้ว แต่แน่นอนว่าด้วยราคาเปิดจองของ Redmi Note 9T ที่เริ่มต้น 5,999 บาท และประสิทธิภาพโดยรวมสูงกว่า ย่อมทำให้ตัดสินใจเลือกได้ยากขึ้น

การออกแบบ Redmi 9T / Redmi Note 9T

ด้วยการที่ทั้ง 2 รุ่นอยู่ในซีรีส์ของ Redmi 9 เช่นเดียวกัน ทำให้ทั้ง 2 รุ่นมีขนาดหน้าจอเท่ากันที่ 6.53 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ ซึ่งมีความแตกต่างกันเล็กน้อยในเรื่องของตำแหน่งกล้องหน้า โดย Redmi 9T จะให้กล้องหน้าแบบหยดน้ำ ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ในขณะที่ Redmi Note 9T มากับกล้องหน้าแบบเจาะรู ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล

Redmi 9T เลือกใช้จอ Gorilla Glass 3 ให้ความสว่างหน้าจอสูงสุดที่ 400 nit ตัวเครื่องขนาด 162.3 x 77.3 x 9.6 มิลลิเมตร น้ำหนัก 198 กรัม มีให้เลือกด้วยกัน 4 สี คือ เทา Carbon Gray, น้ำเงิน Twilight Blue, ส้ม Sunrise Orange และเขียว Ocean Green

ด้านหลังของเครื่อง Redmi 9T เลือกใช้วัสดุเป็นพลาสติกแบบด้านช่วยป้องกันรอยนิ้วมือ อย่างในภาพคือรุ่นสีส้ม จะมีการสกรีนตัวอักษร Redmi ขนาดใหญ่เป็นลวดลายไว้ที่ฝาหลังด้วย

กล้องหลักของ Redmi 9T เลือกใช้แบบ 4 เลนส์ โดยมีกล้องหลัก 48 ล้านพิกเซล f/1.79 มาให้ใช้งาน ร่วมกับเลนส์มุมกว้าง 8 ล้านพิกเซล มุมมอง 120 องศา f/2.2 เลนส์ มาโคร 2 ล้านพิกเซล f/2.4 และเลนส์สุดท้ายใช้ในการวัดระยะ 2 ล้านพิกเซล ภายในให้แบตเตอรีขนาด 6,000 mAh

ส่วนรอบตัวเครื่องทางฝั่งขวาเป็นปุ่มปรับระดับเสียง ปุ่มเปิดเครื่อง พร้อมเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ ด้านซ้ายมีช่องใส่ถาดซิมที่สามารถใช้งาน 2 นาโนซิม พร้อมกับไมโครเอสดีการ์ดได้สูงสุด 512 GB

ด้านบนมีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. ช่องลำโพง และเซ็นเซอร์อินฟาเรต ด้านล่างเป็นพอร์ต USB-C  พร้อมไมโครโฟน และลำโพงเช่นเดียวกัน โดยรุ่นนี้รองรับการชาร์จเร็ว 18W โดยมีอะเดปเตอร์ 22.5W มาให้ในกล่อง

ขณะที่ Redmi Note 9T เลือกใช้จอ Gorilla Glass 5 ให้ความสว่างสูงสุดที่ 450 nit ขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 161.95 x 77.25 x 9.05 มิลลิเมตร น้ำหนัก 199 กรัม มีให้เลือก 2 สี คือ ดำ Nightfall Black และ ม่วง Daybreak Purple

ด้านหลัง Redmi Note 9T จะมีเอกลักษณ์ที่ชัดเจนในส่วนของกล้องที่จัดเรียงโมดูลทรงกลมอยู่ตรงกลาง กับกล้อง 3 เลนส์ เมื่อรวมกับไฟแฟลชเป็น 4 รูพอดี ภายในเป็นกล้องหลัก 48 ล้านพิกเซล f/1.79 ตามด้วยเลนส์มาโคร 2 ล้านพิกเซล f/1.75 และเลนส์วัดระยะชัดลึก 2 ล้านพิกเซล จะสังเกตได้ว่ารุ่นนี้ไม่มีเลนส์มุมกว้างมาด้วย ภายในให้แบตเตอรีมาขนาด 5,000 mAh

รอบตัวเครื่องทางฝั่งซ้ายจะเป็นปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิดเครื่องที่มาพร้อมเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ ทางฝั่งขวาเป็นถาดซิมแบบ 2 นาโนซิม และใส่ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มเติมเช่นกัน

ด้านบนตัวเครื่องมีเซ็นเซอร์อินฟาเรตมาให้ใช้งานควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้า พร้อมไมโครโฟน และลำโพง ด้านล่างมีพอร์ต USB-C ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ลำโพง และไมโครโฟนสนทนา รองรับการชาร์จเร็ว 18W เช่นเดียวกัน

สำหรับสเปกของ Redmi 9T มากับหน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon 662 ที่เป็น Octa-Core 2 GHz สถาปัตยกรรม 11 นาโนเมตร GPU Adreno 610 RAM 4 GB ROM 64/128GB รองรับการเชื่อมต่อ WiFi 5 บลูทูธ 5.0 รุ่นที่วางจำหน่ายในไทยไม่รองรับ NFC

ส่วน Redmi Note 9T มากับหน่วยประมวลผล MediaTek 800U บนสถานปัตยกรรมแบบ 7 นาโนเมตร Octa-Core 2.4 GHz GPU Mali-G57 RAM 4 GB ROM 64/128 GB รองรับ WiFi 5 บลูทูธ 5.1 NFC

ทื่สำคัญคือ Redmi Note 9T รองรับการเชื่อมต่อ 5G แบบ 2 ซิม สแตนบาย คือสามารถสลับใช้งานซิมที่ใช้งาน 5G ได้ทันที โดยไม่ต้องรีสตาร์ทเครื่องเพื่อสลับช่องซิมแต่อย่างใด

Redmi Note 9T กับอินเทอร์เน็ตไร้สายพร้อมใช้

ด้วยการที่จุดเด่นของ Redmi Note 9T ใครที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนที่จะมาปล่อยสัญญาณ 5G ให้ดีไวซ์อื่นๆ อย่างโน้ตบุ๊ก หรือคอมพิวเตอร์ใช้งาน ในช่วงที่ต้องทำงานจากที่บ้าน หรือคอนโด สมาร์ทโฟนรุ่นนี้ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างแน่นอน

โดยความน่าสนใจของ Redmi Note 9T คือมากับ WiFi แบบ 4×4 กล่าวคือสามารถใช้ในการปล่อยสัญญาณ WiFi บนคลื่น 5 GHz ได้ ทำให้ได้ความเร็วในการเชื่อมต่อ 5G ไปยังอุปกรณ์ที่รองรับได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ไม่มีคอขวดในการปล่อย HotSpot ใช้งาน

รวมถึงในกรณีที่ต้องการเชื่อมต่อกับ WiFi ตามที่สาธารณะที่มีล็อกอินเดียว ก็สามารถใช้ Redmi Note 9T ปล่อยแชร์อินเทอร์เน็ตด้วยสัญญาณ WiFi ไปได้พร้อมๆ กันด้วย ทำให้รองรับการใช้งานที่หลากหลายขึ้น

แน่นอนว่าด้วยราคาจำหน่ายในช่วงพรีออเดอร์ที่ 5,999 บาท ยิ่งทำให้ Redmi Note 9T น่าสนใจมากยิ่งขึ้น เพราะสามารถนำมาใช้แทนที่ 5G CPE ที่มีราคาสูงได้ด้วย ดังนั้นใครที่กำลังมองหาอุปกรณ์กระจายสัญญาณ 5G ใช้งานรุ่นนี้รองรับสบายๆ

ประสบการณ์ใช้งาน

ทั้ง Redmi 9T และ Redmi Note 9T ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่ตอบโจทย์การใช้งานทั่วไปได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์ก ดูหนัง ฟังเพลงต่างๆ เพราะให้แบตเตอรีมาขนาด 5,000 – 6,000 mAh ทำให้รองรับการใช้งานได้ต่อเนื่อง

ในแง่ของการตอบสนองการใช้งาน ถ้าเป็นการใช้งานทั่วไป ถือว่า MIUI 12 ที่ออกแบบมาให้ใช้งานบน Android 10 นั้นลื่นไหลดี เมื่อเทียบกับระดับราคาเครื่องที่อยู่ราว 4,500 – 7,500 บาท

แต่ถ้ามองถึงดีไวซ์ที่จะมาใช้เล่นเกมลื่นๆ อาจจะต้องมองข้ามทั้ง 2 รุ่นนี้ไปแล้วมองหารุ่นพี่อย่าง Mi 10T ในระดับราคาหมื่นบาทขึ้นไปแทน จะตอบโจทย์การเล่นเกมได้มากกว่าอย่างชัดเจน

ในส่วนของกล้อง ต้องยอมรับว่าด้วยระดับราคาของเครื่อง คุณภาพที่ได้จากการถ่ายภาพเลนส์ 48 ล้านพิกเซล ในสภาพแสงปกตินั้น ถือว่าอยู่ในระดับที่รับได้ แต่กลับกันการถ่ายภาพในที่แสงน้อยเป็นวุ้นๆ ค่อนข้างเยอะ ทำให้ในภาพรวมถือว่ากล้องที่ได้ตามราคาที่จ่ายไป

อีกจุดที่น่าเสียดายไม่น้อยเลยคือการที่ Redmi ทั้ง 2 เครื่องมีการพรีโหลดแอปพลิเคชันที่ไม่จำเป็นมาให้ด้วย รวมถึงการฝังโฆษณามาในแอปพลิเคชันต่างๆ ดังนั้น หลังจากเปิดใช้งานเครื่องแล้ว ถ้ามีแอปพลิเคชันไหนที่คิดว่าไม่ได้ใช้งานแน่ๆ ก็สามารถลบแอปฯ ที่พรีโหลดมาให้ช่วยเพิ่มพื้นที่ว่างในเครื่องได้ด้วย

ทดสอบประสิทธิภาพ

Redmi Note 9T

Redmi 9T

ส่วนของการทดสอบประสิทธิภาพ จะเห็นว่า Redmi 9T ถือว่าทำคะแนนออกมาได้อยู่ในระดับกลางๆ ในขณะที่ Redmi Note 9T ตัวเครื่องแรงกว่าอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งานเป็นหลักมากกว่า

อย่างไรก็ตาม เมื่อทดสอบในแง่ของแบตเตอรรี Redmi 9T ที่มากับแบตเตอรีขนาด 6,000 mAh นั้นใช้งานได้แบบเปิดจอตลอดกว่า 12 ชั่วโมงครึ่ง และแบตเตอรียังเหลืออีก 20% ในขณะที่ Redmi Note 9T ใช้งานได้ต่อเนื่องเกือบๆ 9 ชั่วโมง

ดังนั้น ถ้าต้องการสมาร์ทโฟนแบตอึด ใช้งานได้ยาวๆ เปิดหนัง ฟังเพลง Redmi 9T สามารถใช้งานได้ตลอดวัน ส่วน Redmi Note 9T แม้ว่าจะใช้งานต่อเนื่องได้น้อยกว่า แต่ก็แลกมากับการเชื่อมต่อ 5G ที่ได้ความเร็วในการใช้งานเร็วขึ้นด้วย

สรุป

Redmi 9T และ Redmi Note 9T ถือว่าเข้ามาสานต่อความสำเร็จของซีรีส์ Redmi 9 ที่ขายไปแล้วมากกว่า 20 ล้านเครื่องได้อย่างน่าสนใจ โดยจุดเด่นหลักของ Redmi 9T คือเรื่องของแบตเตอรี ในขณะที่ Redmi Note 9T จะเน้นการเชื่อมต่อ 5G

ดังนั้นใครที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนราคาเข้าถึงได้ในช่วง 4,500 – 7,500 บาท ลองดูทั้ง 2 รุ่นนี้เป็นตัวเลือกได้ เพราะในการใช้งานทั่วๆ ไป เพียงพอกับการใช้งานแน่นอน แต่ถ้ามีงบประมาณในระดับหมื่นบาท Mi 10T ยังเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสุดของ Xiaomi ในเวลานี้

  • Redmi Note 9T ขนาด 4 GB + 64 GB ราคาพิเศษ 5,999 บาท จากราคาปกติ 6,999 บาท เลือกซื้อได้ที่ลิงก์ https://bit.ly/38eS2xu
  • Redmi Note 9T ขนาด 4 GB + 128 GB ราคาพิเศษ 6,599 บาท จากราคาปกติ 7,499 บาท เลือกซื้อได้ที่ลิงก์ http://bit.ly/3ngkjYP
  • Redmi 9T ขนาดความจุ 4 GB + 64 GB ราคา 4,499 บาท วางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2564
  • Redmi 9T ขนาดความจุ 6GB + 12 GB ราคา 5,299 บาท วางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม 2564

Gallery

]]>
Review : Xiaomi Mi 10T Pro สมาร์ทโฟน 5G สเปกเรือธง ราคาคุ้มค่า https://cyberbiz.mgronline.com/review-xiaomi-mi-10t-pro/ Mon, 30 Nov 2020 06:35:13 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=34274

หนึ่งในปรากฏการณ์ เสียวหมี่ (Xiaomi) ที่เกิดขึ้นในปี 2020 คือการสร้างความคุ้มค่าในการเข้าถึงสมาร์ทโฟน 5G ให้คนไทยได้ใช้งานเครื่องประสิทธิภาพสูงในระดับไฮเอนด์ ในราคา 13,990 บาท ทำให้แบรนด์ของ Xiaomi ได้รับการพูดถึงมากยิ่งขึ้น

ภาพของการต่อแถวจองเครื่องสมาร์ทโฟนในระดับราคาหมื่นกลางๆ นั้นแทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศไทย จะมีก็แต่มือถือระดับไฮเอนด์เกิน 2 หมื่นบาท เท่านั้นที่เคยเกิดขึ้น แต่ Xiaomi ทำได้ ในการเปิดจอง Mi 10T และ Mi 10T Pro

ความโดดเด่นของ Mi 10T Pro คือการเป็นสมาร์ทโฟนที่ครบเครื่องในระดับราคาที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของได้ ด้วยการเลือกนำซีพียูอย่าง Snapdragon 865 มาใช้งานร่วมกับโมเด็มที่รองรับ 5G หน้าจอที่ตอบสนองการแสดงผลแบบ 144 Hz แบต 5000 mAh รองรับชาร์จเร็ว 33W ในราคาเริ่มต้น 13,990 บาท

ข้อดี

  • ประสิทธิภาพสูงจาก Snadragon 865
  • หน้าจอ 6.67 นิ้ว แบบ Adaptive Display 144 Hz
  • รองรับการใช้งาน 5G ในไทย

ข้อสังเกต

  • ไม่รองรับระบบชาร์จไร้สาย
  • ฝาหลังเป็นรอยนิ้วมือค่อนข้างง่าย

ดีไซน์ตัวเครื่อง

Xiaomi Mi 10T Pro ใช้วัสดุเป็นอะลูมิเนียมผสมกับกระจกหน้าหลัง ทำให้ตัวเครื่องดูมีความหรูหรามากยิ่งขึ้น โดยมีให้เลือกทั้งหมด 3 สี คือ ดำ Cosmic Black เงิน Lunar Silver และ น้ำเงิน Aurora Blue ขนาดตัวเครื่อง 165.1 x 76.4 x 9.33 มิลลิเมตร น้ำหนัก 218 กรัม 

อย่างไรก็ตาม หน้าจอของ Mi 10T Pro ขนาด 6.67 นิ้ว ยังคงเลือกใช้หน้าจอแบบ LCD ไม่ได้เปลี่ยนมาใช้จอ OLED ที่ให้สีสันสดใสกว่า แต่ก็แลกมากับรองรับการ Refresh Rate สูงสุดที่ 144 Hz โดยตัวเครื่องจะมีระบบอย่าง AdaptiveSync มาช่วยคำนวนการปรับอัตราการแสดงผลให้เหมาะสมเพื่อประหยัดพลังงานมากขึ้น

กล้องหน้าแบบเจาะรูที่ให้มาความละเอียด 20 ล้านพิกเซล f/2.2 มีโหมดถ่ายภาพบุคคลมาให้ ทำงานร่วมกับ AI ในการตรวจจับฉากหลังต่างๆ ถ่ายวิดีโอได้สูงสุด Full HD 30 fps

ด้านหลังของตัวเครื่องด้วยการที่ใช้กระจก ทำให้สะท้อนแสงได้หลากหลายมุม และมีรอยนิ้วมือติดค่อนข้างง่าย โดยมีชุดเลนส์กล้องอยู่ที่มุมซ้ายบน ร่วมกับไฟแฟลช และมีสัญลักษณ์ Mi อยู่ที่ซ้ายล่าง

ด้านซ้าย จะถูกปล่อยว่างไว้ ด้านขวามีปุ่มเปิดปิดเครื่อง ที่ฝั่งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือมาให้ด้วย และปุ่มเพิ่มลดเสียง ด้านล่างจะมีช่องใส่ถาดซิม ลำโพง และพอร์ต USB-C สำหรับเสียบสายชาร์จ และเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์

รองรับ 5G ราคาคุ้มค่า

การทำราคาจำหน่ายของ Xiaomi Mi 10T 5G ในราคา 13,990 บาท นั้นเรียกได้ว่า ทำให้ตลาดราคาสมาร์ทโฟนระดับไฮเอนด์ได้รับผลกระทบพอสมควร โดยเฉพาะในกลุ่มของ Galaxy S20 FE ที่ใช้หน่วยประมวลผลรุ่นเดียวกัน แต่ราคาอยู่ที่ราว 2 หมื่นบาท

ประกอบกับการที่ เสียวหมี่ มองว่ารุ่นนี้เป็นเครื่องไฮไลท์ส่งท้ายปี ที่มากระตุ้นตลาดสมาร์ทโฟน และยอดขายของเสียวหมี่ให้เติบโต จึงทำให้ตั้งราคามาได้น่าสนใจ โดยสามารถเลือกได้ตั้งแต่ 11,990 – 15,990 บาท ขึ้นอยู่กับว่าต้องการสเปกไหน รองรับ 5G หรือไม่

ดังนั้น ถ้าใครที่มีงบประมาณจำกัดอยู่ในช่วงหมื่นต้นๆ Xiaomi Mi 10T ซีรีส์ ถือว่าเป็นรุ่นที่ตอบโจทย์ได้อย่างแน่นอน ทั้งเรื่องของหน้าจอ การเชื่อมต่อ กล้องถ่ายภาพ แบตเตอรี และการใช้งานตัวเครื่องที่ลื่นไหล

จุดแตกต่างระหว่าง Mi 10T และ Mi 10T Pro หลักๆ แล้วจะอยู่ที่กล้องหลัก 64 ล้านพิกเซล และ 108 ล้านพิกเซล ตามลำดับ ให้สเปกสูงสุดที่ RAM 8 GB ROM 256 GB และมีรุ่นเล็กอย่าง Mi 10T 5G RAM 6 GB ROM 128 GB ออกมาให้เลือกในราคาเริ่มต้นที่ 11,990 บาทเท่านั้น

ที่สำคัญคือทุกรุ่นรองรับการเชื่อมต่อ 5G นั่นแปลว่า ซื้อเครื่องแล้วสามารถใช้งานต่อไปได้ยาวๆ ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องหาเครื่อง 5G มาใช้งานในอนาคตอีก เพราะในไทยเครือข่าย 5G รองรับการใช้งานทั่วประเทศแล้ว และทำให้ประสบการณ์ใช้งานอินเทอร์เน็ตไร้สายดีขึ้นด้วย

เครื่องแรงกล้องดี

นอกเหนือจากการเชื่อมต่อเครือข่ายที่ดีแล้ว Mi 10T Pro ยังมากับหน่วยประมวลผลรุ่นท็อปอย่าง Snapdragon 865 ที่พัฒนาบนสถาปัยกรรมแบบ 7 นาโมเมตร ให้ประสิทธิภาพในการประมวลผลระดับสูง ทำให้รองรับการใช้งานที่หลากหลาย โดยเฉพาะการเล่นเกมที่ใช้สเปกสูงๆ จนถึงการประมวลผลภาพจากกล้องที่ดีขึ้น

ก่อนหน้านี้ Xiaomi เคยนำกล้องหลักความละเอียด 108 ล้านพิกเซล มาใช้งานกับ Mi Note 10 เพียงแต่ว่าใน่ชวงนั้น ทำงานกับซีพียูรุ่นรองลงมาทำให้เกิดปัญหาในการโปรเซสภาพที่ช้า แต่พอมาเป็น Mi 10T Pro ปัญหาดังกล่าวหายไป และได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างดี

ความน่าสนใจของ Mi 10T Pro คือมากับกล้องหลัง 4 เลนส์ โดยมีเลนส์หลัก 108 ล้านพิกเซล f/1.69 ที่ใช้เก็บรายละเอียด ตามด้วยเลนส์มุมกว้าง 13 ล้านพิกเซล f/2.4 และมาโคร 5 ล้านพิกเซล

เมื่อกล้องหลักความละเอียดสูงถึง 108 ล้านพิกเซล ทำให้เครื่องรุ่นนี้รองรับการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงระดับ 8K 24/30 fps ด้วยเช่นกัน ซึ่งเมื่อทำงานกับ Snapdragon 865 แล้วก็ยังประมวลผลออกมาได้รวดเร็ว แต่ในการใช้งานจริง วิดีโอความละเอียด 4K ก็เพียงพอกับการใช้งานแล้ว

แบตฯ ใช้งานได้ยาวๆ

อีกหนึ่งจุดที่ต้องยอมรับว่า Xiaomi ทำการบ้านมาดีคือ การเลือกใช้แบตเตอรีขนาด 5000 mAh เมื่อทำงานร่วมกับระบบปฏิบัติการ Android 10 ที่ครอบด้วย MIUI 12 ถือว่าจัดการพลังงงานได้ดีมาก

แม้ว่าจะเชื่อมต่อกับเครือข่าย 5G เล่นเกมต่อเนื่องก็สามารถใช้งานได้ตลอดวัน แต่จะมีแบตลดเร็วๆ บ้างในช่วงที่ใช้งานกล้องต่อเนื่อง เช่นเดียวกับการที่ตัวเครื่องร้อนขึ้นมา แต่ในภาพรวมถือว่าอยู่ในระดับที่รับได้

ขณะเดียวกัน เมื่อมากับระบบชาร์จเร็ว 33W ที่แถมอะเดปเตอร์แบบ USB-A to USB-C มาให้ในกล่อง ก็ช่วยให้การชาร์ตแบตเตอรีขนาด 5000 mAh ทำได้รวดเร็ว และไม่ใช้ระยะเวลามากเกินไป

ทดสอบประสิทธิภาพ

ในการใช้งาน Xiaomi Mi 10T Pro เรื่องการประมวลผลต่างๆ ถือว่าอยู่ในระดับท็อปอยู่แล้ว รองรับทั้งการเล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลง แต่ที่น่าสนใจคือด้วยหน้าจอที่ให้มาขนาดใหญ่ถึง 6.67 นิ้ว ทำให้การรับชมภาพยนต์แบบสตรีมมิ่งทำได้น่าสนใจมากขึ้น

โดยทาง Xiaomi ได้ทำพันธมิตรร่วมกับ Netflix ให้ลูกค้าที่ซื้อ Mi 10T Pro รับชม Netflix ฟรี 6 เดือนด้วย เมื่อลงทะเบียนภายในสิ้นเดือนมกราคม 2021

ส่วนการใช้งานแบตเตอรี เมื่อลองปรับการใช้งานระหว่างหน้าจอแบบ Adaptive Display 144 Hz เทียบกับ 60 Hz ใช้งานแล้วจะอยู่ที่ 17 ชั่วโมง เทียบกับ 20 ชั่วโมงตามลำดับ ซึ่งถือว่าเปิดใช้งานไว้ตลอดก็ไม่ได้ใช้พลังงานแบตเตอรีเพิ่มมากนัก ยังใช้งานได้ตลอดวันสบายๆ

สรุป

Xiaomi Mi 10T Pro ถือเป็นรุ่นเด่นที่สุดของ Xiaomi ในปีนี้ก็ว่าได้ เพราะด้วยการทำราคาที่น่าสนใจ กับให้สเปกมาสุด จึงทำให้กลายเป็นหนึ่งในสมาร์ทโฟนราคาคุ้มค่าที่สุดในตอนนี้ เพราะทั้งรองรับ 5G หน้าจอ 144 Hz แบตเตอรี 5000 mAh ก็ใช้งานยาวๆ ได้อีกหลายปีแล้ว

Gallery

]]>
Review : POCO X3 NFC เด่นที่จอ 120 Hz ราคาเข้าถึงได้ https://cyberbiz.mgronline.com/review-poco-x3-nfc/ Thu, 24 Sep 2020 16:46:13 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=33756

การเปิดราคาของ POCO X3 NFC ได้ทำให้ตลาดสมาร์ทโฟนระดับกลางกลับมาคึกคักอีกครั้ง แม้ว่าในช่วงแรกจะเลือกวางจำหน่ายแบบออนไลน์เอ็กซ์คลูซีฟร่วมกับทาง JD Central ก่อน แต่เชื่อว่าท้ายที่สุดแล้ว POCO X3 NFC จะกลายเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

จุดเด่นหลักของ POCO X3 NFC คือเป็นสมาร์ทโฟนที่เน้นเรื่องของการแสดงผล ด้วยขนาดหน้าจอ 6.67 นิ้ว ให้อัตราการแสดงผลที่ 120 Hz และรองรับการตอบสนองการสัมผัสสูงถึง 240 Hz จึงเหมาะกับบรรดาเกมเมอร์ที่ต้องการเลือกหาเครื่องราคาเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

นอกเหนือจากเรื่องจอ POCO X3 NFC ยังใส่แบตเตอรีมาให้ใช้งาน 5,160 mAh รองรับการชาร์จเร็ว 33W ให้กล้องหลักความละเอียด 64 ล้านพิกเซลมาใช้งาน พร้อมกับดีไซน์ฝาหลังที่เป็นเอกลักษณ์ ดังนั้นใครที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนราคาคุ้มค่าในช่วง 6,999 – 7,999 บาท พลาดไม่ได้

ข้อดี

  • จอแสดงผลขนาดใหญ่ 6.67 นิ้ว Refresh Rate 120 Hz
  • กล้องหลัก 64 ล้านพิกเซล กล้องหน้า 20 ล้านพิกเซล
  • แบตเตอรี 5,160 mAh รองรับชาร์จเร็ว 33W
  • ราคาคุ้มค่า เริ่มที่ 6,999 บาท

ข้อสังเกต

  • ฝาหลังเป็นพลาสติกที่รอยนิ้วมือติดง่ายมาก
  • เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ โดนง่ายมากเวลาถือโทรศัพท์

ดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์

ด้วยระดับราคาของตัวเครื่องทำให้วัสดุที่ POCO X3 NFC เลือกนำมาใช้นั้น จะประกอบไปด้วยกระจกหน้าจอ Gorilla Glass 5 เสริมด้วยอะลูมิเนียมบริเวณโครงเครื่อง และฝาหลังใช้เป็นพลาสติกแบบโพลีคาร์บอเนต ทำให้ตัวเครื่องมีความหนา และหนักเล็กน้อย

ทำให้การสัมผัสโดยรวมถ้าจับบริเวณของเครื่องจะรู้สึกว่าเครื่องแข็งแรงดี แต่ถ้ามาสัมผัสบริเวณฝาหลังที่เป็นพลาสติกแบบโค้ง 3D ก็จะให้สัมผัสที่อ่อนลงเล็กน้อย โดยขนาดตัวเครื่องจะอยู่ที่ 165.3 x 76.8 x 9.4 มิลลิเมตร น้ำหนัก 215 กรัม

ในแง่ของการออกแบบจุดที่ทำให้ POCO X3 NFC เด่นขึ้นมาคือเรื่องของฝาหลัง ที่มีการสกรีนคำว่า POCO แบบสะท้อนแสงลงไป ซึ่งกลายเป็นเอกลักษณ์ที่น่าสนใจของตัวเครื่องรุ่นนี้ ทั้งในรุ่นสีน้ำเงิน Cobalt Blue และสีเทา Shadow Gray

การจัดเรียงบริเวณโมดูลกล้องหลังของ POCO ก็น่าสนใจ เพราะมีการเรียงเลนส์ทั้ง 4 ร่วมกับแฟลชให้เห็นมี 5 เลนส์ โดยเลนส์ที่มุมขวาบนจะเป็นเลนส์หลักความละเอียด 64 ล้านพิกเซล f/1.80 ตรงกลางเป็นเลนส์มุมกว้าง 13 ล้านพิกเซล f/2.2 ส่วนที่เหลือ เป็นเลนส์มาโคร และเลนส์วัดระยะ ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล

กลับมาที่บริเวณหน้าจอแสดงผล POCO X3 NFC มากับจอ LCD Dot Display ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด FullHD+ (2400 x 1080 พิกเซล)​ ความละเอียดเม็ดสีที่ 395ppi ที่มาพร้อมอัตราการตอบสนอง (Refresh Rate) 120 Hz และตอบสนองการสัมผัส (Touch Sampling rate) ที่ 240 Hz

ตัวกล้องหน้าของ POCO ที่ให้มาความละเอียด 20 ล้านพิกเซล f/2.2 นั้นจะซ่อนอยู่บริเวณกึ่งกลางส่วนบนของหน้าจอ โดยผู้ใช้งานสามารถเข้าไปเลือกปรับการแสดงผลให้ซ่อนกล้องไว้กับแถบดำ หรือจะแสดงผลแบบเต็มหน้าจอก็ได้เช่นกัน

ในส่วนของรอบตัวเครื่อง POCO X3 NFC จะมีช่องใส่ซิมการ์ดแบบ Hybrid ที่เป็นนาโนซิมการ์ด + ไมโครเอสดีการ์ดอยู่ทางด้านซ้าย ส่วนทางขวาเป็นปุ่มเปิดปิดเครื่อง ที่ฝังเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือมาให้ด้วย และปุ่มปรับระดับเสียง

ด้านบนนอกจากมีไมโครโฟนรับเสียง แล้วยังมีเซ็นเซอร์ IR ไว้ใช้ควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ที่เป็นจุดเด่นของ Xiaomi ติดตั้งมาให้ด้วย ส่วนด้านล่างมีพอร์ต USB-C และช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม.

ภายในของ POCO X3 NFC มากับแบตเตอรีขนาด 5,160 mAh ที่รองรับการชาร์จเร็ว 33W ทำให้สามารถชาร์จแบตเต็มได้ในเวลา 65 นาที หรือชาร์จได้ราว 60% ภายในเวลาครึ่งชั่วโมง

อุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องจะมีตัวเครื่อง เคสพลาสติกใส อะเดปเตอร์ 33W ที่เป็นแบบ USB-A to USB-C และคู่มือการใช้งานเท่านั้น ไม่มีแถมหูฟังมาให้ตามปกติของ Xiaomi

เด่นที่การแสดงผล

ความน่าสนใจของ POCO X3 NFC คงหนีไม่พ้นเรื่องการนำเทคโนโลยีหน้าจอ Refresh Rate 120 Hz มาใส่ในสมาร์ทโฟนราคาต่ำกว่าหมื่นบาท เพราะปัจจุบันเทคโนโลยีนี้จะถูกใช้งานกับสมาร์ทโฟนระดับไฮเอนด์ราคาเกิน 3 หมื่นบาทขึ้นไป

โดยผู้ใช้งานสามารถเข้าไปเลือกตั้งอัตราการรีเฟรชได้ในส่วนของการตั้งค่าหน้าจอ โดยสามารถเลือกใช้งานระหว่าง 60 Hz และ 120 Hz ซึ่งแน่นอนว่า การใช้งานบน 60 Hz จะประหยัดแบตเตอรีมากกว่า

อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันไม่ให้การใช้งานแบบ 120 Hz นั้นทำให้แบตหมดเร็วจนเกินไป POCO เลยมีการนำเทคโนโลยีอย่าง Dynamic Switch มาช่วยในการสลับการแสดงผลระหว่าง 50 Hz 60 Hz 90 Hz และ 120 Hz โดยอัตโนมัติ ขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งาน

ส่วนเรื่องของความไวต่อการตอบสนองการสัมผัสที่ 240 Hz นั้น เข้ามาช่วยให้เกมเมอร์ที่ต้องการสัมผัสที่แม่นยำ และรวดเร็ว ทำให้เล่นเกมได้ดียิ่งขึ้น โดยเท่าที่ทดสอบมาก็ถือว่าเร็วขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด

อีกเรื่องที่ตามมาจากการเล่นเกม คือเรื่องของการระบายความร้อน POCO X3 NFC มีการนำเทคโนโลยีระบายความร้อน LiquidCool Technology 1.0 Plus ที่นำท่อทองแดง กับแกรไฟต์ มาช่วยลดความร้อนของหน่วยประมวลผลลง ทำให้แม้เล่นเกมต่อเนื่อง ตัวเครื่องก็ไม่ร้อนจนเกินไป

ถัดมาในเรื่องของกล้องหลักที่ให้มาความละเอียด 64 ล้านพิกเซลนั้น ถือว่าทำงานได้อย่างน่าพอใจ ทั้งการถ่ายภาพในสภาพแสงปกติ และสภาพแสงน้อย แต่อย่างไรก็ตามภาพจากเลนส์มุมกว้าง และมาโคร อาจจะไม่ได้คุณภาพที่ดีนัก

เช่นเดียวกับการถ่ายวิดีโอในระดับ FullHD ที่อยู่ในระดับพอใช้งานเท่านั้น แม้ว่ากล้องจะรองรับถึงการถ่าย 4K แต่กลายเป็นว่าซีพียูที่ให้มาประมวลผลไม่พอทำให้การถ่าย 4K เกิดอาการกระตุกบางช่วง แต่ก็ถือว่าสมกับราคาของเครื่อง

MIUI 12 กับอินเตอร์เฟสแบบใหม่

POCO X3 NFC นั้นมากับอินเตอร์เฟสการใช้งาน MIUI 12 ที่มีการปรับแต่งหน้าจอแสดงผลให้รองรับการใช้งานโหมดมืด (Dark Mode) แล้ว ทำให้ไม่ต้องแสบตาเวลาใช้งานในที่แสงน้อย

โดยสามารถเข้าไปเลือกให้เปิดใช้งานโหมดมือตามเวลาที่กำหนด หรือเปลี่ยนมาใช้งานตลอดเวลาก็ได้ สำหรับผู้ที่ใช้งานกลางแดดบ่อยๆ สามารถเข้าไปเปิดโหมดแสงแดดเพิ่มเติม เพื่อให้หน้าจอสว่างขึ้นอัตโนมัติเมื่ออยู่ในที่แสงจ้าได้

ขณะเดียวกันได้ปรับเปลี่ยนศูนย์ควบคุม (Control Center) ใหม่ ให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น โดยผู้ใช้งานสามารถเข้าไปเปลี่ยนได้ที่การตั้งค่า การแสดงผล และศูนย์ควบคุม เมื่อเปลี่ยนแล้ว เวลาลากนิ้วจากขอบบนทางขวาก็จะเข้าสู่การตั้งค่าลัดต่างๆ และถ้าต้องการดูการแจ้งเตือนให้ลากนิ้วจากขอบบนทางซ้ายแทน

สำหรับในหน้ารวมแอปฯ POCO X3 NFC จะเลือกให้แสดงผลแอปทั้งหมด หรือเลือกเฉพาะหมวดหมู่แอปที่สนใจได้ ด้วยการกดที่บริเวณแถบคำสั่งด้านบน จะมีทั้งการสื่อสาร ความบันเทิง การถ่ายภาพ เครื่องมือ ข่าว ช้อปปิ้ง การเงิน เกม โดยสามารถเลือกปรับแต่งเพิ่มเติมได้เช่นกัน

สำหรับการใช้งานในด้านอื่นๆ ทั้งการใช้งานโซเชียลมีเดีย และการใช้งานด้านความบันเทิง POCO X3 NFC ถือว่าตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี ทั้งจากลำโพงสเตอริโอที่ให้เสียงชัดเจน

การเล่นเกมจะมีโหมดอย่าง Game Turbo มาช่วยรีดประสิทธิภาพของตัวเครื่องออกมา โดยเมื่ออยู่ในโหมดนี้ จะเพิ่มประสิทธิภาพของการเชื่อมต่อ และการตอบสนองการสัมผัสที่ดีขึ้น รวมถึงเข้าไปตั้งค่าลดความไวต่อการสัมผัสในบางจุด เพื่อป้องกันการโดนหน้าจอโดยไม่จำเป็นได้ด้วย

นอกจากนี้ ตัวเครื่องยังมากับ IP53 ช่วยป้องกันละออกน้ำ และฝุ่นได้ แม้ว่าจะไม่กันน้ำกันฝุ่น 100% เหมือน IP68 แต่ด้วยราคาระดับนี้ การกันน้ำฝน กันน้ำกระเด็นใส่ได้ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว

ทดสอบประสิทธิภาพ

หน่วยประมวลผลที่ POCO X3 NFC เลือกนำมาใช้คือ Qualcomm Snapdragon 732G ที่ให้ความเร็ว 2.3 GHz ซึ่งถือเป็นหน่วยประมวลผลที่รองรับการเชื่อมต่อ 4G คุณภาพสูง เมื่อทำงานร่วมกับ RAM 6 GB และพื้นที่เก็บข้อมูล 128 GB ทำให้ประสิทธิภาพของตัวเครื่อง ไม่แตกต่างจากเรือธงรุ่นกลางอื่นๆ ในระดับราคาหมื่นกว่าบาท

ในส่วนของแบตเตอรีเท่าที่ทดสอบใช้งานร่วมกับการแสดงผลแบบ 120 Hz สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องถึง 9 ชั่วโมง 11 นาที และถ้าปรับลด Refresh Rate ลงมาเหลือ 60 Hz ก็จะใช้งานได้นานขึ้นอย่างแน่นอน

สรุป

โดยรวมแล้ว POCO X3 NFC จะเหมาะกับผู้ที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนสำหรับเล่นเกม ที่ต้องการประสิทธิภาพในการประมวลผล การแสดงผล และการสัมผัสทำได้ดี ไม่แพ้รุ่นเรือธงในระดับราคาที่คุ้มค่ากว่ามาก ทำให้กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ไม่ได้ต้องการเปลี่ยนไปใช้งานสมาร์ทโฟน 5G

แต่แน่นอนว่าก็ต้องแลกกับบางฟีเจอร์ที่อย่างการกันน้ำกันฝุ่น ไม่รองรับการชาร์จไร้สาย หรือการซูมเพื่อถ่ายภาพ ซึ่งถ้าไม่ได้มองว่ามีความจำเป็น POCO X3 NFC ก็เพียงพอกับการใช้งานแล้ว โดย POCO X3 NFC วางจำหน่ายด้วยกัน 2 รุ่นเริ่มต้นที่ RAM 4 GB / ROM 64 GB – 6,999 บาท และ 6 GB / 128 GB 7,999 บาท

นอกจากนี้ POCO X3 NFC ยังได้มีการทำโปรโมชันสั่งซื้อล่วงหน้าถึงวันที่ 27 กันยายนนี้ ผ่านทาง JD Central ที่จะได้เครื่องรุ่น 6 GB / 64 GB ในราคา 6,499 บาท และ 6 GB / 128 GB ในราคา 7,199 บาท พร้อมรับ 0% JD POINTS CASHBACK และรับฟรี Mi Fidget Cube รวมถึงลุ้นทุกออเดอร์ที่ 50 ได้รับเครื่องฟอกอากาศ Mi เพิ่มเติมด้วย

Gallery

]]>
Review : Xiaomi Mi TV Stick เปลี่ยนโทรทัศน์ให้เป็น Android TV https://cyberbiz.mgronline.com/review-xiaomi-mi-tv-stick/ Fri, 17 Jul 2020 07:28:12 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=33326

Xiaomi เข้ามาบุกตลาดสมาร์ทดีไวซ์ในส่วนของอุปกรณ์แปลงโทรทัศน์ให้กลายเป็น Android TV ด้วย Mi TV Stick จากเดิมที่ Xiaomi มีอุปกรณ์อย่าง Mi Box ทำตลาดเป็นกล่อง Android TV อยู่ ความน่าสนใจของ Mi TV Stick คือมีขนาดเล็ก สามารถเชื่อมต่อกับพอร์ต HDMI บนโทรทัศน์ได้ทันที

Mi TV Stick จะเหมาะกับผู้ใช้งานที่มีโทรทัศน์รุ่นเก่าที่ไม่ได้รองรับสมาร์ททีวี บนความละเอียด Full HD 1080p เนื่องจากตัวอุปกรณ์แสดงผลได้ละเอียดสุดเท่านั้น ดังนั้นถ้าใครที่มีสมาร์ททีวี หรือทีวี 4K อยู่อาจจะมองข้ามอุปกรณ์นี้ไปได้

กับอีกกลุ่มคือผู้ที่ใช้จอมอนิเตอร์ แล้วต้องการแปลงให้มอนิเตอร์กลายเป็น Android TV ก็สามารถหา Mi TV Stick มาใช้งานกันได้ เพราะด้วยระดับราคา 1,490 บาท นั้นถือว่าคุ้มค่ากว่าซื้อโทรทัศน์เครื่องใหม่แน่นอน

ข้อดี

  • เปลี่ยนโทรทัศน์ให้กลายเป็น Android TV
  • รองรับการเชื่อมต่อ WiFi Dual Band 2.4/5 GHz
  • มีรีโมทควบคุมมาให้ สั่งงานผ่าน Google Assistant ได้
  • เชื่อมต่อกับลำโพงผ่านบลูทูธได้

ข้อสังเกต

  • ความละเอียดอยู่ที่ Full HD
  • ไม่มีถ่านรีโมทมาให้ภายในกล่อง
  • สายไฟ USB ที่ให้มา 1 เมตร ทำให้ต้องหาปลั้กใกล้ๆ ทีวีใช้งาน (กรณีทีวีไม่มีพอร์ต USB)

TV Stick ขนาดเล็ก ที่แปลงทุกจอให้กลายเป็น Android TV

ประโยชน์ของการที่ Xiaomi ทำ MI TV Stick ออกมา นอกจากนำมาใช้แปลงโทรทัศน์รุ่นเก่าในบ้านให้กลายเป็น Android TV แล้ว อีกความน่าสนใจคือการที่ผู้ใช้สามารถพกพา Mi TV Stick ติดตัวเวลาเดินทางไปท่องเที่ยวก็ได้เช่นเดียวกัน

ด้วยขนาดของ Mi TV Stick ที่อยู่เพียง 92.4 x 30.2 x 15.2 มิลลิเมตร น้ำหนัก 28.5 กรัม ซึ่งถือว่าเล็กมากๆ เมื่อเทียบกับกล่อง Android Box โดยมีขนาดใกล้เคียงกับอะเดปเตอร์ชาร์จสมาร์ทโฟนก็ว่าได้ เพียงแต่ในการนำติดตัวไปใช้งานก็อย่าลืมพกรีโมท และสาย MicroUSB ติดไปด้วยเท่านั้น

สำหรับอุปกรณ์ที่ให้มาในกล่อง Mi TV Stick ประกอบไปด้วยตัว TV Stick ที่มีพอร์ต HDMI ไว้เชื่อมต่อเข้ากับจอโทรทัศน์ หรือจอมอนิเตอร์ต่างๆ ได้ทันที ที่ตัว TV Stick จะมีพอร์ต MicroUSB ไว้เสียบกับอะเดปเตอร์ หรือสามารถใช้ไฟจากพอร์ต USB ในทีวีมาใช้งานก็ได้

ถัดมาก็จะเป็นรีโมทควบคุมผ่านบลูทูธ (ใช้ถ่าน AAA 2 ก้อน / ในกล่องไม่มีถ่านมาให้) โดยเมื่อเชื่อมต่อ TV Stick เข้ากับทีวีเรียบร้อยแล้ว จะขึ้นหน้าจอสอนให้เชื่อมต่อรีโมทด้วยการกดปุ่ม เมนู และตกลงค้างไว้ จนเชื่อมต่อเรียบร้อย อุปกรณ์ที่เหลือก็จะเป็นสาย MicroUSB ยาว 1 เมตร และอะเดปเตอร์มาไว้เผื่อให้ใช้งาน

อีกจุดที่น่าสนใจคือบนตัวรีโมท จะมีปุ่มพิเศษอย่าง Google Assistant เข้ามาให้เราสามารถใช้คำสั่งเสียงสั่งงานทีวีได้เลย พร้อมกับปุ่มเรียกใช้ Netflix ที่เป็นบริการสตรีมมิ่งยอดนิยมให้ใช้งานกัน ส่วนบริการอื่นๆ อย่าง YouTube ก็สามารถเข้าไปกดดูได้ตามปกติ

นอกจากนี้ ภายในยังใส่ Chromecast มาให้ด้วย นั่นแปลว่าผู้ใช้สามารถส่งภาพ และเสียงคอนเทนต์ที่รับชมอยู่บนสมาร์ทโฟนให้มาเปิดบนหน้าจอโทรทัศน์ได้ทันที เมื่อเชื่อมต่ออยู่ภายใต้เครือข่ายเดียวกันภายในบ้าน

ขณะเดียวกัน ด้วยการที่ Android TV สามารถเชื่อมต่อเข้ากับ PlayStore ได้ ทำให้ผู้ใช้งานสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันความบันเทิงเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็น True ID, LINE TV, Viu, We TV และอื่นๆ อีกมากมาย

Mi TV Stick ทำงานบนหน่วยประมวลผล Quad Core A53 RAM 1 GB ROM 8 GB รองรับการเชื่อมต่อบลูทูธ 4.2 และ WiFi 5 (802.11ac แบบ Dual Band 2.4 GHz / 5 GHz)

สรุป

Mi TV Stick จะเริ่มวางจำหน่ายในไทยวันที่ 22 กรกฏาคม ในราคา 1,490 บาท ซึ่งจะเหมาะกับผู้ที่ต้องการแปลงโทรทัศน์ให้กลายเป็น Android TV โดยไม่ต้องซื้อเครื่องใหม่

หรือถ้าใครกำลังมองหา Chromecast มาใช้งาน ในระดับราคาที่ใกล้เคียงกัน แนะนำ Mi TV Stick จะคุ้มค่ามากกว่า แต่ก็จะมีข้อจำกัดเรื่องของความละเอียดที่ Full HD

Gallery

]]>
Review : Xiaomi Mi Note 10 Lite เน้นคุ้มค่าในราคาหมื่นต้นๆ https://cyberbiz.mgronline.com/review-xiaomi-mi-note-10-lite/ Wed, 08 Jul 2020 05:44:59 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=33224

การแข่งขันในตลาดสมาร์ทโฟนช่วงราคาหมื่นต้นๆ ในปีนี้ ถือว่าเป็นอีกปีที่รุนแรงมาก โดยเฉพาะในกลุ่มแบรนด์จีน ไม่ว่าจะเป็น Huawei Oppo Realme และ Xiaomi เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีจำนวนผู้ใช้งานมาก แบรนด์ไหนที่ชิงพื้นที่ในตลาดนี้ได้จะครองพื้นที่ในตลาดรวมสมาร์ทโฟนไม่ยาก

Xiaomi Mi Note 10 Lite ถือเป็นสมาร์ทโฟนในระดับหมื่นต้นที่น่าสนใจ เพราะมีเรื่องของความคุ้มค่า เทคโนโลยีที่นำมาใช้ และประสิทธิภาพตัวเครื่องในการใช้งานโดยรวม ซึ่งให้อารมณ์ใกล้เคียงกับสมาร์ทโฟนระดับเรือธงของหลายๆ แบรนด์ ในราคาที่ต่ำกว่าเกินครึ่ง

ไม่ว่าจะเป็นจอ AMOLED ขนาด 6.47 นิ้ว  หน่วยประมวลผลอย่าง Snapdragon 730G ที่แม้จะไม่ใช่ตัวท็อปสุด แต่ประสิทธิภาพก็เพียงพอกับการใช้งานทั้งหมดอยู่แล้ว แถมยังให้ RAM 8 GB พื้นที่เก็บข้อมูล 128 GB มีกล้องหลักความละเอียด 64 ล้านพิกเซลมาให้ แบตเตอรี 5,260 mAh ทั้งหมดนี้ราคา 12,999 บาท

ข้อดี

  • จอ AMOLED ขนาด 6.47 นิ้ว
  • วัสดุตัวเครื่องแข็งแรง ให้ความหรูหราในตัว
  • กล้องหลัก 64 ล้านพิกเซล ที่พึ่งพาได้
  • แบตเตอรี 5,260 mAh ใช้งานได้ยาวๆ

ข้อสังเกต

  • ยังใช้จอโค้งอยู่ แม้จะให้ความสวยงาม แต่ต้องระมัดระวังตก
  • ไม่มีเลนส์เทเลโฟโต้
  • ซอฟต์แวร์ในการประมวลผลกล้อง ยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร

ตัวเครื่องหรู ทันสมัย

ความประทับใจแรกของ Xiaomi Mi Note 10 Lite แทบจะเกิดขึ้นทันทีที่แกะเครื่องออกมาจากกล่อง เพราะไม่ได้คาดคิดว่าสมาร์ทโฟนระดับราคาหมื่นต้นๆ จะให้ตัวเครื่องที่มีความหรูหราในระดับนี้ออกมาได้ ประกอบกับความแน่นหนา และความแข็งแรงของตัวเครื่อง ยิ่งทำให้เกิดความประทับใจมากขึ้น

ขนาดของตัวเครื่อง Mi Note 10 Lite อยู่ที่ 157.8 x 74.2 x 9.67 มิลลิเมตร น้ำหนัก 204 กรัม จะเห็นได้ว่าตัวเครื่องค่อนข้างหนัก มีสีให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 3 สี คือ ดำ Midnight Black ขาว Glass White และ ม่วง Nebula Purple

Mi Note 10 Lite มาพร้อมกับหน้าจอ AMOLED ที่เป็นจอโค้ง 3D ขนาดหน้าจอ 6.47 นิ้ว ให้ความละเอียดมาที่ 2340 x 1080 พิกเซล ความละเอียดเม็ดสีที่ 398 ppi ความสว่างหน้าจอ 600 nit รองรับการแสดงเฉดสีระดับ DCI-P3 ทำให้สีที่ได้จากหน้าจอดูสดใส ครอบด้วยกระจก Gorilla Glass 5 เพิ่มความแข็งแรงของหน้าจอ

โดยที่ขอบบนจะมีการเว้นขอบตรงกลางไว้เป็นกล้องหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล f/2.48 ส่วนบริเวณกลางล่างหน้าจอจะมีการฝั่งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้จอไว้ เพื่อช่วยให้ปลดล็อกตัวเครื่องได้สะดวกขึ้น นอกเหนือจากการใช้ใบหน้าปลดล็อกจากกล้องหน้าที่ระยะหลังๆ Android ทำได้แม่นยำขึ้น

ความน่าสนใจคือตัวจอโค้งของ Mi Note 10 Lite นั้นจะโค้งลงไปทั้ง 4 มุมด้วย ทำให้เพิ่มความหรูหราของตัวเครื่อง ขณะเดียวกันความโค้งของขอบเครื่องด้านหลังก็ทำมาได้องศาที่ใกล้เคียงกัน ทำให้จับถือใช้งานถนัดมือมากขึ้น

เมื่อพลิกเครื่องกลับหลังจะเจอกับแถบของกล้องหลังทั้ง 4 ตัว ประกอบไปด้วยเลนส์หลักความละเอียด 64 ล้านพิกเซล f/1.89 ตามด้วยเลนส์มุมกว้าง 8 ล้านพิกเซล f/2.2 เลนส์มาโคร 2 ล้านพิกเซล f/2.4 และเลนส์วัดระยะชัดลึก 5 ล้านพิกเซล f/2.4 พร้อมกับไฟแฟลชคู่ติดอยู่

ที่เหลือจะมีตัวอักษร Xiaomi และสัญลักาณ์มาตรฐานต่างๆ พร้อมข้อความระบุว่าผลิตในประเทศจีน ภายในจะมีแบตเตอรี 5,260 mAh มาให้ใช้งาน ซึ่งรองรับการชาร์จเร็วระดับ 30W มาให้ด้วย แต่ไม่รองรับการชาร์จไร้สาย

รอบตัวเครื่องทางฝั่งซ้ายจะถูกปล่อยว่างเอาไว้ ส่วนทางขวาจะมีทั้งปุ่มปรับระดับเสียง ปุ่มเปิดปิดเครื่อง และช่องใส่ถาดซิม ที่สามารถใส่เป็น 2 นาโนซิมการ์ด เพื่อใช้งาน 2 ซิมได้ แต่ไม่สามารถเพิ่มพื้นที่เก็บข้อมูลไมโครเอสดีการ์ดได้

ส่วนด้านบนจะมีช่องไมโครโฟนตัดเสียง และพอร์ต IR ไว้ใช้ควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้ามาให้ตามปกติของสมาร์ทโฟนแบรนด์จีน ความพิเศษอยู่ที่ด้านล่าง เพราะนอกจากมีช่องลำโพง ไมโครโฟนสนทนา และพอร์ต USB-C มาให้แล้ว ยังคงช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. มาให้ใช้งานด้วย

อุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องนอกจากตัวเครื่อง เคสยางสำดำ สายชาร์จ USB-C ยังแถมอะเดปเตอร์ชาร์จเร็ว 30W มาให้ด้วยเลย แต่ Xiaomi ก็ยังคงไม่แถมหูฟังให้เช่นเดิม ใครที่แกะกล่องมาแล้วไม่เจอก็ไม่ต้องแปลกใจ

สเปก

สำหรับ Mi Note 10 Lite มาพร้อมกับหน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon 730G ที่เป็น Octa-Core 2.2 GHz ทำงานร่วมกับกราฟิก Adreno 618 ตัวเครื่องให้ RAM 8 GB พื้นที่เก็บข้อมูล 128 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 10

ด้านการเชื่อมต่อรองรับการใช้งาน 3G/4G ที่สามารถใช้ VoLTE ได้ทั้ง 2 ซิม นอกจากนี้ ยังรองรับ WiFi 5 บลูทูธ 5.0 มี GPS NFC ภายในตัว เรียกได้ว่าให้มาค่อนข้างครบสำหรับสมาร์ทโฟนระดับราคานี้

มาพร้อม MIUI 11

ในส่วนของการใช้งาน Mi Note 10 Lite มาพร้อมกับอินเตอร์เฟสอย่าง MIUI 11 ซึ่งพัฒนามาให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น ตัวแอปพลิเคชันทั้งหมดจะเรียงอยู่ในหน้าจอหลักให้สามารถเข้าถึงได้ทันที รองรับการใช้งาน MultiScreen ในการแบ่งจอครึ่งบนล่าง ช่วยให้สามารถใช้ 2 แอปได้พร้อมกัน

อีกจุดที่น่าสนใจในรุ่นนี้คือการเพิ่มฟีเจอร์อย่างละเว้นการสัมผัสขอบโดยไม่ตั้งใจ ผู้ใช้สามารถเข้าไปตั้งค่าเพื่อไม่ให้ตัวเครื่องรับการสัมผัสบริเวณขอบเครื่องที่โค้งได้ ทำให้ไม่ต้องกังวลเวลาจับถือเครื่องแล้วไปโดนโดยไม่ตั้งใจ เพราะสามารถกำหนดขนาดพื้นที่ละเว้นได้ด้วย

ส่วนแถบการแจ้งเตือนก็จะมีไอค่อนลัดสำหรับตั้งค่าต่างๆ มาให้ครบถ้วน ทั้งการเชื่อมต่อโมบายดาต้า ไวไฟ เปิดไฟฉาย เข้าโหมดเงียบ จับภาพหน้าจอ บลูทูธ ตั้งความสว่าง เปิดโหมดเครื่องบิน ล็อกหน้าจอ เปิด GPS ตั้งการหมุนหน้าจอ เข้าโหมดถนอมสายตา ห้ามรบกวน บันทึกวิดีโอหน้าจอ แชร์ฮ็อตสป็อต และอื่นๆ

กล้องถือเป็นอีกจุดที่ Mi Note 10 Lite ทำมาได้น่าสนใจ ตัวอินเตอร์เฟสที่ให้มาถือว่าใช้งานง่าย เมื่อเข้าโหมดโปร ก็สามารถเลือกตั้งค่าความเร็วชัตเตอร์ ปรับค่าความไวแสง ระยะโฟกัสได้ด้วย ทำให้การถ่ายภาพทำได้สนุกขึ้น หรือถ้าต้องการภาพความละเอียดสูงก็สามารถเลือกโหมด 64MP เพื่อบันทึกภาพความละเอียดสูงสุดได้

อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่ตัวเครื่องไม่ได้มีเลนส์เทเลโฟโต้มาให้ ทำให้เวลาซูม จะเป็นการทำดิจิทัลซูมจากเลนส์ 64 ล้านพิกเซลแทน ดังนั้นคุณภาพของภาพในการซูมจึงเทียบกับภาพปกติไม่ได้ แต่ก็จะได้ในเรื่องของภาพมุมกว้าง และมาโครมาใช้งานแทน

ในส่วนของการใช้งานด้านอื่นๆ Mi Note 10 Lite ถือว่าตอบโจทย์ได้ครบทั้งการทำงาน การใช้งานทั่วไปอย่างการเล่นโซเชียลมีเดีย รองรับการโคลนแอป ทำให้สามารถล็อกอินใช้งาน 2 บัญชีได้ในเครื่องเดียว

เรื่องความบันเทิงก็ไม่น้อยหน้า เพราะขนาดหน้าจอ 6.47 นิ้วที่ให้มา ถือว่าชัดเจนเต็มตา รองรับทั้งการเล่นเกม และรับชมสตรีมมิ่ง ดังนั้นเครื่องรุ่นนี้จึงตอบโจทย์การใช้งานแทบทั้งหมด แต่ก็จะไม่มีลูกเล่นที่เป็นกิมมิกเหมือนในเครื่องระดับไฮเอนด์อย่างการต่อเครื่องกับจอ หรือฟีเจอร์ล้ำๆ ต่างๆ

ทดสอบประสิทธิภาพ

Mi Note 10 Lite ถือว่าทำคะแนนในการทดสอบได้น่าสนใจ โดยเฉพาะในเรื่องของแบตเตอรี ที่สามารถใช้งานต่อเนื่องได้มากกว่า 15 ชั่วโมง บนแบตเตอรีขนาด 5,260 mAh ดังนั้น ถ้าใครมองหาสมาร์ทโฟนแบตอึด ประสิทธิภาพสูงจึงเป็นตัวเลือกที่ดีเลยทีเดียว

สรุป

รวมๆ แล้ว Xiaomi Mi Note 10 Lite ถือว่าเป็นรุ่นที่น่าสนใจรุ่นหนึ่งในระดับราคาหมื่นต้นๆ แม้ว่าตัวเครื่องจะยังไม่ได้รองรับ 5G อย่าง Huawei ที่ออกสมาร์ทโฟนมาแย่งพื้นที่ในตลาดนี้ แต่ถ้ามองในแง่ของภาพรวงม Mi Note 10 Lite ถือว่าประสิทธิภาพดีกว่า ที่สำคัญคือ 5G จริงๆ ก็ยังไม่ได้จำเป็นสำหรับคอนซูเมอร์ในเวลานี้ด้วย

ใครที่มองหาสมาร์ทโฟนราคาคุ้มค่าในราคาราว 12,999 บาท อย่าลืมมอง Mi Note 10 Lite เป็นตัวเลือก ที่มั่นใจในคุณภาพได้ แต่ก็จะมีจุดที่ต้องระวังคือมากับจอโค้งทำให้มีโอกาสตกแตกได้ง่ายกว่าปกติ แต่ส่วนอื่นๆ ถือว่าทำมาได้ดี

]]>
Review : Xiaomi Mi9 Lite สเปกดี ราคาประหยัด https://cyberbiz.mgronline.com/review-xiaomi-mi9-lite/ Thu, 14 Nov 2019 10:26:27 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=31670

กลายเป็นว่า เสียวหมี่ (Xiaomi) ที่เข้ามารุกตลาดสมาร์ทโฟนในไทย จากเดิมที่เน้นออกหลายๆ ซีรีส์ มาให้ครอบคลุมทุกช่วงระดับราคา แต่ตอนนี้เน้นการซอยรุ่นย่อยออกมา จากซีรีส์หลักเข้าไปอีก

ทำให้ปัจจุบัน Xiaomi มีทั้งในซีรีส์ Redmi 8 และ Redmi Note 8 ครอบคลุมระดับราคา 3,999 – 8,999 บาท และ Mi 9 เริ่มตั้งแต่ 7,999 – 16,999 บาท มาเป็นตัวเลือกให้ตามงบประมาณของผู้บริโภค ที่เรียกได้ว่าขยับเพิ่มทุก 1,000 บาทก็จะมีรุ่นย่อยของ Xiaomi มารองรับ

จุดเด่นของ Mi9 Lite คือเรื่องของกล้องความละเอียด 48 ล้านพิกเซล ที่มากับหน่วยประมวลผล Snapdragon 710 และหน้าจอ 6.39 นิ้ว และแบตเตอรี 4,030 mAh ที่ถือว่าใช้งานต่อวันได้สบายๆ

ข้อดี

หน้าจอ OLED 6.39 นิ้ว Full HD

กล้องหลัง 48 ล้านพิกเซล กล้องหน้า 32 ล้านพิกเซล

แบตเตอรีอึด

ข้อสังเกต

ด้วยการที่ซอยรุ่นย่อยเกินไป ทำให้ถ้าผู้บริโภคต้องการรุ่นราคาประหยัด อาจจะมองข้าม Mi 9 Lite ไป Redmi Note 8 Pro แทน

ตัวเครื่องจับถือค่อนข้างลื่น ถ้าไม่ใส่เคส

Mi 9 Lite ของดีที่คนมองข้าม

ถ้ามองไปในช่วงระดับราคาสมาร์ทโฟนช่วง 8,000 – 9,000 บาท เชื่อว่าตอนนี้ในตลาดจะมีตัวเลือกที่หลากหลายให้เลือกใช้ จากทั้งสมาร์ทโฟนแบรนด์จีน และเกาหลี

แต่ถ้ามองที่สเปกที่ได้แล้วเชื่อว่า Xiaomi Mi 9 Lite จะเป็นหนึ่งในรุ่นที่ให้สเปกดีในราคาที่สมเหตุสมผล โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการสมาร์ทโฟนหน้าจอแสดงผลสวยๆ คมชัด รองรับการใช้งานที่หลากหลาย

เพราะเมื่อเทียบกันหลายๆ รุ่นในระดับราคาที่ใกล้เคียงกันแบรนด์อื่นๆ จะเลือกนำจอ LCD มาให้ใช้งาน แต่กับ Mi 9 Lite ที่เป็นรุ่นปรับลดสเปกจากเรือธง Mi 9 ลงมา ไม่ได้ตัดจุดเด่นตรงนี้ออกไป ทำให้เครื่องรุ่นนี้ได้หน้าจอ OLED มาใช้งาน

อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่ได้มองว่าจอ OLED ให้การแสดงผลที่ดี แต่อยากได้เครื่องที่ระดับราคาต่ำกว่า สเปกใกล้เคียงกัน Xiaomi ก็จะมีรุ่นอย่าง Redmi Note 8 Pro มาให้เป็นตัวเลือก ที่ให้แบตเตอรีสูงกว่า จอใหญ่กว่าแต่เป็น LCD ให้เลือก

นอกจากเรื่องจอแล้ว อีกจุดที่ทำให้ Mi 9 Lite น่าสนใจคือเรื่องของดีไซน์ตัวเครื่องที่ถอดแบบมาจากรุ่นพี่เลย อย่างในรุ่นนี้ที่เป็นสี Pearl White หรือขาวไข่มุข ก็มีการสะท้อนแสงตามแง่มุมต่างๆ ทำให้ตัวเครื่องสวยงามขึ้น

สำหรับขนาดตัวเครื่องของ Mi 9 Lite จะอยู่ที่ 156.8 x 74.5 x 8.67 มิลลิเมตร น้ำหนัก 179 กรัม โดยหน้าจอที่ให้มาเป็น AMOLED 6.39 นิ้ว ความละเอียด FHD+ (2340 x 1080 พิกเซล) ความละเอียดเม็ดสี 403ppi โดยมีกล้องหน้าทรงหยดน้ำความละเอียด 32 ล้านพิกเซลอยู่ที่ขอบบน

หลังเครื่องจะมีกล้อง 3 เลนส์ เรียงกันในแนวตั้ง ประกอบด้วยกล้องหลัก 48 ล้านพิกเซล f/1.79 ตามด้วย เลนส์มุมกว้าง (Ultra Wide) 8 ล้านพิกเซล และเลนส์ชัดลึก (Depth) 2 ล้านพิกเซล

ไฮไลท์ของหลังเครื่องจะอยู่ที่โลโก้ Xiaomi บริเวณขอบล่างของเครื่อง ที่จะไฟกระพริบเวลาใช้งาน รวมถึงเวลามีการแจ้งเตือนเข้ามา ทำให้ตัวเครื่องดูหรูหรามากขึ้น และช่วยให้รู้ว่ามีการแจ้งเตือนโดยไม่ต้องพลิกเครื่องขึ้นมาดู

รอบๆ เครื่องทางฝั่งซ้ายจะเป็นช่องใส่ถาดซิมแบบไฮบริดจ์ ฝั่งขวาเป็นปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิดเครื่อง ด้านล่างมีช่องเสียบ USB-C คู่กับไมค์ และลำโพงสนทนา ด้านบนมีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ให้ใช้ พร้อมกับ IR ไว้ใช้ควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้า

Gallery

ใส่เทคโนโลยีระดับไฮเอนด์

แม้ว่าจะเป็นเครื่องในระดับราคาไม่ถึงหมื่นบาท แต่ Mi 9 Lite มีการนำเทคโนโลยีที่ใช้กับเครื่องไฮเอนด์มาให้ใช้งานกัน ไม่ว่าจะเป็น ระบบสแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถปลดล็อกตัวเครื่องได้ง่ายขึ้น ปลอดภัยขึ้น หรือจะเลือกใช้การสแกนใบหน้าก็ได้เช่นกัน

นอกจากนี้ ตัวจอยังใส่โหมดตัดแสงสีฟ้า (Blue Light Protection) มาให้เลือกใช้ งานด้วย รวมถึงการแสดงผลในพื้นที่แสงจ้า หรือแดดจัดๆ ตัวจอก็สามารถแสดงผลได้ชัดเจน

ถัดมาคือเรื่องแบตเตอรีที่ให้มา 4,030 mAh ซึ่งถ้าเป็นการใช้ระบบชาร์จปกติ อาจจะต้องใช้เวลานานถึง 2-3 ชั่วโมง แต่ Mi 9 Lite มากับระบบชาร์จเร็ว 18W ทำให้สามารถชาร์จเต็มได้ในเวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง นอกจากนี้ ยังสามารถ Reverse Charge ให้อุปกรณ์อื่นได้ด้วย

อีกจุดก็คือการนำกล้องที่มากับ AI เข้ามาช่วย ทำให้การถ่ายภาพจากกล้องหลัง 48 ล้านพิกเซล ได้สนุกสนาน และมีสีสันที่สดใสมากขึ้น ด้วยโหมดการถ่ายภาพที่หลากหลายตามความต้องการของผู้ใช้

ในส่วนของการถ่ายวิดีโอ สามารถอัดวิดีโอได้ความละเอียด 4K30fps และรองรับการถ่ายวิดีโอแบบสโลวโมชันสูงสุด 960fps ในความละเอียด HD 720p ส่วนถ้าเป็น สโลวโมชันแบบ Full HD จะอยู่ที่ 120fps

สเปกเครื่อง และการทดสอบประสิทธิภาพ

Mi 9 Lite มากับหน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon 710 ที่เป็น Octa-Core 2.2 GHz บนสถาปัตยกรรมแบบ 10 นาโนเมตร โดยมี RAM 6 ROM 128 ให้เป็นตัวเลือก

ส่วนการเชื่อมต่อรองรับ 3G/4G 2 ซิม WiFi 802.11ac บลูทูธ 5.0 GPS รองรับ NFC ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 9.0 ครอบด้วยอินเตอร์เฟส MIUI 10 ที่รองรับ Darkmode ด้วย

สรุป

Xiaomi Mi 9 Lite จะเหมาะกับผู้ที่ต้องการสมาร์ทโฟนดีไซน์ดี หน้าจอสวย ในระดับราคากลางๆ โดยตัวเครื่องรองรับการใช้งานทั่วๆไปหมดอยู่แล้ว หรือถ้านำไปใช้เล่นเกม ดูคอนเทนต์ต่างๆ ก็สามารถใช้งานได้ แถมยังได้ฟีเจอร์ที่มากับเครื่องระดับไฮเอนด์ให้ใช้งานด้วย

]]>
Review : Xiaomi Mi Band 4 ฟิตเนสแทร็กเกอร์คุ้มๆ สำหรับสายสุขภาพ https://cyberbiz.mgronline.com/review-xiaomi-mi-band-4/ Wed, 21 Aug 2019 08:15:12 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=31088

ตลาดอุปกรณ์ไอทีสวมใส่ได้ในกลุ่มอุปกรณ์วัดการออกกำลังกาย ถือว่าเป็นกลุ่มที่มีความคึกคักมากที่สุด ทั้งจากแบรนด์มือถือที่หันมาผลิตอุปกรณ์เสริมเพื่อเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน และผู้ผลิตอุปกรณ์ออกกำลังกายโดยเฉพาะ

โดยตลาดที่มีความน่าสนใจมากที่สุดคือ ฟิตเนสแทร็กเกอร์ในราคาพันกว่าบาท ที่ทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงอุปกรณ์วัดการใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น ที่ Xiaomi ถือเป็นเจ้าตลาดของกลุ่มนี้ จากผลิตภัณฑ์ในตระกูล Mi Band ที่ปัจจุบันออกมาเป็นรุ่นที่ 4 แล้ว

ความสามารถของ Mi Band 4 ถือว่าพัฒนาเพิ่มขึ้นมากทั้งการแสดงผลที่ปรับเป็นหน้าจอสัมผัสสี รองรับการวัดอัตราการเต้นของหัวใจ สามารถใส่ว่ายน้ำได้ และที่สำคัญคือเรื่องของแบตเตอรีที่สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องเกิน 2 สัปดาห์ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง

ข้อดี

  • ฟิตเนสแทร็กเกอร์ราคาจับต้องได้
  • รองรับการใช้งานทั้ง Android – iOS
  • วัดอัตราการเต้นของหัวใจ
  • กันน้ำลึก 50 เมตร 30 นาที

 

ข้อสังเกต

  • เฟิร์มแวร์ไทยยังไม่รองรับการแสดงผลภาษาไทย
  • เวลาชาร์จต้องถอดตัวเครื่องออกจากสาย (ค่อนข้างยาก และทำให้สายยืด)

การใช้งาน

Xiaomi Mi Band 4 ถือเป็นอุปกรณ์วัดการออกกำลังกาย หรือการใช้ชีวิตประจำวันที่จะเหมาะกับผู้ที่ไม่อยากหาสมาร์ทวอทช์มาใช้ ยังรู้สึกชื่นชอบการใส่นาฬิกาทั่วไปใช้งานอยู่ Mi Band 4 จะกลายเป็นอุปกรณ์เสริมที่นำมาใช้เพื่อตรวจสอบกิจกรรมต่างๆแทน

ด้วยการที่ตัวเรือนออกแบบมาให้มีขนาดเล็ก สวมใส่ง่าย ดังนั้น Mi Band 4 จึงเหมาะกับการใส่ติดข้อมือไปทุกที่ ทุกเวลา และที่สำคัญก็คือไม่ต้องระมัดระวังมากนักในการสวมใส่เพื่อใช้งาน เนื่องจากระดับราคาที่ไม่ได้สูงมากนัก ประกอบกับวัสดุที่เป็นยาง และพลาสติกเป็นหลัก

โดยในขั้นต้นผู้ใช้ต้องทำการเชื่อมต่อ Mi Band 4 เข้ากับแอปพลิเคชันอย่าง Mi Fit (iOS) เพื่อล็อกอินเข้าบัญชีของ Xiaomi ก่อนทำการเพิ่ม Mi Band 4 เข้าไป ซึ่งตัวข้อมูลต่างๆที่วัดออกมา ก็จะถูกบันทึกเข้าไปใน Apple Health เช่นเดียวกัน

ภายในแอปพลิเคชันผู้ใช้สามารถเข้าไปเลือกตั้งค่าหน้าจอ เปิดการแจ้งเตือนสายเรียกเข้า แสดงผลข้อความ การแจ้งเตือนปฏิทิน นาฬิกาปลุก เตือนให้ขยับเมื่อนั่งอยู่กับที่เป็นเวลานาน ไปจนถึงช่วงเวลาในการวัดอัตราการเต้นของหัวใจ และการอัปเดตเฟิร์มแวร์ให้ตัวเครื่อง

หลังจากนั้น ตัวเครื่องก็จะทำการวัดก้าว วันนอน วัดอัตราการเต้นของหัวใจตามปกติของฟิตเนสแทร็กเกอร์ทั่วไป ซึ่งจุดเด่นหลักๆของ Mi Band 4 เลยคือเรื่องของแบตเตอรีที่แทบจะใส่แบบลืมชาร์จไปได้เลย

เท่าที่ทดสอบใช้งานถ้าใส่วัดการใช้ชีวิตทั่วๆไป แบตเตอรีบน Mi Band 4 สามารถอยู่ได้เกิน 2 สัปดาห์สบายๆ แต่ถ้าช่วงไหนที่มีการออกกำลังกายบ่อย มีการวัดอัตราการเต้นของหัวใจถี่ขึ้น ระยะเวลาในการใช้งานก็จะลดลง ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ

จุดเดียวที่ทำให้ Mi Band 4 ยังไม่สมบูรณ์แบบคือเรื่องของ GPS เนื่องจากตัวเครื่องไม่ได้รองรับระบบระบุพิกัด ทำให้เวลาใช้ออกกำลังกลางแจ้งต่างๆ ต้องใช้งานคู่กับสมาร์ทโฟน เพื่อดึงข้อมูล GPS จากตัวสมาร์ทโฟนมาใช้แทน

เจาะลึกรายละเอียด Mi Band 4

สำหรับรายละเอียดของ Mi Band 4 ไล่ตั้งแต่การแกะกล่องออกมา จะพับกับตัวเครื่อง สายรัดข้อมือ สายชาร์จ และคู่มือการใช้งาน โดยเวลาที่ต้องการชาร์จ ผู้ใช้จำเป็นต้องถอดตัวเรือนออกจากสายก่อนเสียบเข้ากับอุปกรณ์ชาร์จ

โดยตัวเรือน Mi Band 4 จะมากับขนาดหน้าจอสัมผัส 0.95 นิ้ว ความละเอียด 120 x 240 พิกเซล เป็นจอแสดงผลแบบ AMOLED ที่ให้ความสว่างหน้าจอสูงถึง 400nit (สามารถปรับความสว่างได้) มีปุ่มควบคุมเป็นปุ่มเดียวด้านข้างเครื่อง ที่ใช้กดค้างเพื่อเปิด และกดเพื่อย้อนกลับ

ขาดของสายรัดข้อมือจะมีความกว้างที่ 18 มม. ความยาวสายปรับได้ระหว่าง 155 – 216 มม. น้ำหนัก 22.1 กรัม โดยวัสดุที่ใช้จะเป็นยางเทอร์โมพลาสติก โพลียูรเทน กับตัวเรือนที่เป็นโพลีคาร์บอเนต ภายในมีแบตเตอรี 135 mAh

ส่วนของเซ็นเซอร์ตรวจจะมีทั้งไว้ใช้ตรวจจับการเคลื่อนไหว Accelerometer และ Gyroscope อย่างละ 3 แกน ร่วมกับเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ และเซ็นเซอร์วัดระยะ (ใช้เพื่อตรวจสอบว่าสวมใส่อยู่)

ในแง่ของการเชื่อมต่อ Mi Band 4 ใช้บลูทูธ 5.0 BLE ที่ใช้พลังงานต่ำ ซึ่งช่วยให้สามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนตลอดเวลา ดังนั้นในการใช้งานก็แนะนำให้เปิดบลูทูธเชื่อมต่อทิ้งไว้เลย เพื่อให้เวลามีการแจ้งเตือนในโทรศัพท์ก็จะเตือนที่ Mi Band 4 ด้วย

ฟีเจอร์ที่ห้ามพลาด

ในการใช้งาน Mi Band 4 ด้วยการที่เป็นหน้าจอแบบสัมผัสแล้ว ทำให้สามารถสั่งงานตัวเครื่องได้ง่ายขึ้น โดยหลักๆแล้วจะมีโหมดให้เลือกกดเข้าไปใช้อย่าง Status เพื่อเข้าไปดูจำนวนก้าว ปริมาณแคลอรี่ที่เผาผลานไป ถัดมาเป็น Heart rate เพื่อแสดงผลอัตราการเต้นของหัวใจ

ถ้าเริ่มออกกำลังกายก็สามารถเข้าไปเลือกประเภทการออกกำลังได้ภายในโหมดของ Workout ที่จะมีให้เลือกแบบพื้นฐานทั้งวิ่งบนลู่วิ่ง วิ่งกลางแจ้ง ปั่นจักรยาน เดิน ว่ายน้ำ และยังมีโหมดให้ใช้เช็กสภาพอากาศผ่าน Weather ที่ดึงข้อมูลจากเน็ตมาแสดงผลให้ดูด้วย

ที่เหลือก็จะเป็นฟีเจอร์เพิ่มเติม อย่างเปิดโหมดห้ามรบกวน ตั้งนาฬิกาปลุก นาฬิกาจับเวลา ค้นหาสมาร์ทโฟน เลือกการแสดงผลหน้าจอหลัก และเข้าไปตั้งค่าอย่างการปรับความสว่าง ล็อกหน้าจอ สั่งรีสตาร์ทเครื่อง

ความสามารถพิเศษที่เพิ่มขึ้นมาในรุ่นนี้คือสามารถใช้เพื่อควบคุมการเล่นเพลงได้ด้วย อย่างที่ทดสอบคือใช้ควบคุม Spotify บน iPhone ก็สามารถสั่งหยุด เพิ่มลดเสียง และเปลี่ยนเพลงได้ตามปกติ

สรุป

รวมๆแล้ว Mi Band 4 ถือเป็นฟิตเนสแทร็กเกอร์ราคาประหยัดที่น่าสนใจ เพราะด้วยราคาเปิดตัวที่ 1,290 บาท แต่ได้อุปกรณ์ที่สามารถใช้วัดการออกกำลังกาย สามารถซิงค์ข้อมูลไปเก็บไว้บน Google Fitness หรือ Apple Health ได้ก็ถือว่าครบถ้วนอยู่แล้ว ถ้าใครยังไม่มี หรือเครื่องเก่าเสีย Mi Band 4 จึงกลายเป็นตัวเลือกในระดับเริ่มต้นที่พลาดไม่ได้

Gallery

]]>
Review : Xiaomi Mi 8 สมาร์ทโฟนที่โดดเด่นด้วยสเปกไฮเอนด์ กล้องคู่ ในราคาหมื่นกลางๆ https://cyberbiz.mgronline.com/review-xiaomi-mi-8/ Mon, 27 Aug 2018 10:59:22 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=29130

นอกจากตัวท็อปของ Xiaomi อย่าง Mi Mix 2S แล้ว Xiaomi ยังมีอีกรุ่นที่เป็นระดับเรือธงสเปกสูงในราคาที่จับต้องได้ง่ายขึ้น คือในตระกูล Mi ที่ปีนี้เป็นรุ่น Mi 8 ที่เพิ่งทำตลาดในประเทศไทยในระดับราคา 15,900 – 17,900 บาท ขึ้นอยู่กับหน่วยความจำ และพื้นที่เก็บข้อมูล

จุดเด่นหลักๆของ Mi 8 เลยคือเรื่องของการใส่สเปกระดับสูงอย่างซีพียู Snapdragon 845 มาพร้อมกับกล้องคู่ 12+12 ล้านพิกเซล ที่ถูกพัฒนาเพิ่มขึ้นด้วยการนำ AI มาช่วยประมวลผล ไปจนถึงหน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ รวมถึงดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์ รวมถึงนวัตกรรมต่างๆที่ถูกใส่เข้ามา

ข้อดี

สเปกระดับท็อปในราคาหมื่นกลางๆ

กล้องคู่ พร้อม AI

จอแสดงผลขนาด 6.2 นิ้ว ความละเอียด FullHD+

รองรับระบบ Fast Charge

ข้อสังเกต

ไม่มีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. (มีอะเดปเตอร์แปลงให้ในกล่อง)

ไม่รองรับการชาร์จไร้สาย

ไม่สามารถเพิ่มไมโครเอสดีการ์ดได้

ตัวเครื่องยังไม่กันน้ำตามมาตรฐาน IP

เน้นนวัตกรรม-ความคุ้มค่า

ด้วยการที่จุดขายของ Xiaomi Mi 8 คือเรื่องของสเปก ความคุ้มค่า และนวัตกรรม โดยในแง่ของสเปกตัวเครื่อง Mi 8 มากับทั้งหน่วยประมวลผล Snapdragon 845 ที่เป็นชิปเซ็ตที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในปีนี้ ตามด้วยการใส่ RAM มาให้เลือกทั้งรุ่น 4 GB และ 6 GB ตามด้วยพื้นที่เก็บข้อมูล 64 GB และ 128 GB ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ใช้

ภายในก็จะมีการนำเซ็นเซอร์ที่น่าสนใจอย่างที่เป็นพื้นฐานก็คือการปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือด้านหลังเครื่อง พร้อมกับการเพิ่มการสแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อก ที่ยอมรับว่า Mi 8 ทำได้ดีขึ้นกว่าสมัยก่อนเยอะมาก เรียกได้ว่าแค่ยกเครื่องขึ้นมาหน้าจอติด แล้วสแกนเจอใบหน้าก็ปลดล็อกใช้งานทันที

ส่วนการประมวลผลของ Snapdragon 845 ถือว่าทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ทั้งในแง่ของการเล่นเกม ใช้งานเพื่อความบันเทิง รวมไปถึงนำมาเป็นตัวช่วยของการประมวลผลภาพจากกล้องคู่ AI ที่ให้มาด้วย โดยเฉพาะเรื่องของคะแนนทดสอบผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ

อีกจุดเด่นที่ Mi 8 มีการพัฒนาเพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า คือเรื่องของกล้องคู่ AI ที่มีความฉลาดมากขึ้น ทั้งในแง่ของการเลือกซีนในการถ่ายภาพ การปรับสีให้ดูสดใสมากขึ้น แต่ที่สำคัญก็คือผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะเปิดใช้หรือไม่ รวมถึงการเข้าไปใช้งานโหมดถ่ายภาพมืออาชีพ ที่สามารถปรับความไวแสง และความเร็วชัตเตอร์ได้ตามปกติ

หลักๆแล้ว ความโดดเด่นของ Mi 8 ที่แสดงออกมาให้เห็นชัดเจนคือ 2 เรื่องนี้ ส่วนที่เหลือในแง่ของการใช้งานทั่วไป ด้วยการที่มากับ MIUI ที่ใช้งานง่ายอยู่แล้ว มีการอัปเดตเฟิร์มแวร์ที่ต่อเนื่อง รวมถึงการเชื่อมต่อในระดับไฮเอนด์ รวมๆแล้ว Mi 8 จึงกลายเป็นเครื่องที่ค่อนข้างสมบูรณ์ เมื่อเทียบกับระดับราคา 15,990 – 17,990 บาท

แต่แน่นอนว่า Mi 8 ก็ไม่ใช่เครื่องที่สมบูรณ์แบบที่สุด เพราะว่าตัวเครื่องยังมีข้อจำกัดหลายๆอย่าง ที่ไฮเอนด์แบรนด์อื่น (ที่มีราคาแพงกว่า) ทำได้ อย่างเรื่องของการเพิ่มไมโครเอสดีการ์ด ตัวเครื่องมาพร้อมกันน้ำกันฝุ่น IP68 ระบบชาร์จไร้สายเป็นต้น

ดังนั้น ก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งานแล้วว่าต้องการฟีเจอร์อื่นๆดังที่กล่าวมาหรือไม่ ถ้าไม่ได้สนใจ Xiaomi Mi 8 ก็เป็นเครื่องรุ่นที่น่าสนใจในระดับราคาต่ำกว่า 18,000 บาท ส่วนถ้าไม่ได้เน้นเรื่องของกล้องคู่ และนวัตกรรมอื่นๆ เน้นความแรงอย่างเดียวทาง Xiaomi ก็จะมีรุ่นอย่าง Poco F1 ที่ใช้ Snapdragon 845 ออกมาทำตลาดในราคาที่ต่ำกว่า

Gallery

รับแรงบันดาลใจมาช่วยออกแบบ

ในแง่ของการออกแบบ Xiaomi Mi 8 เป็นสมาร์ทโฟนอีกรุ่นที่มากับแนวคิดจากการออกแบบของ iPhone X ทั้งการที่มากับจอรอยบาก และกล้องหลังคู่ในแนวตั้ง แต่ที่ปรับเปลี่ยนไปคือเรื่องของจอภาพที่ใหญ่ขึ้น และวัสดุที่ใช้ที่เป็นโลหะอลูมิเนียมเงาที่มีสีสันมากขึ้น สำหรับขนาดตัวเครื่องของ Mi 8 อยู่ที่ 154.9 x 74.8 x 7.6 มิลลิเมตร 175 น้ำหนัก

ส่วนของหน้าจอแสดงผลที่ให้มาอยู่ที่ 6.15 นิ้ว ในสัดส่วน 18:9 ความละเอียด Full HD+ (2280 x 1080 พิกเซล) ความละเอียดเม็ดสีอยู่ที่ 402 ppi  โดยจะเป็นหน้าจอแบบเต็มพื้นที่ให้ได้ใช้งาน โดยมีกล้องหน้าความละเอียด 20 ล้านพิกเซล ช่องลำโพงสนทนา และเซ็นเซอร์วัดแสงอยู่บริเวณรอยบาก

พลิกเครื่องกลับมาด้านหลังจะพบกับกล้องคู่ความละเอียด 12 f/1.8 + 12 f/2.4 ล้านพิกเซล ที่เป็นเลนส์มุมกว้างคู่กับเลนส์เทเล โดยมีไฟแฟลชคู่อยู่ตรงกลาง ถัดลงมาเป็นเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่รองรับการสแกนโดยไม่ต้องกดเปิดหน้าจอ และส่วนล่างเป็นสัญลักษณ์ของ Mi และการรับรองมาตรฐานต่างๆ

รอบเครื่องทางซ้ายจะเป็นถาดใส่ซิมการ์ดที่รองรับ 2 นาโนซิมการ์ด สามารถสแตนบาย 4G ได้ทั้ง 2 ซิมพร้อมกัน ส่วนทางขวาเป็นปุ่มเปิดปิดเครื่อง และปุ่มเพิ่มลดเสียง ด้านบนจะมีไมโครโฟนตัดเสียงเท่านั้น ส่วนด้านล่างก็จะเป็นพอร์ต USB-C และช่องลำโพง

สำหรับสเปกภายในของ Xiaomi Mi 8 รุ่นที่ทดสอบคือ Snapdragon 845 ที่เป็น Octa Core 2.4 GHz + 1.8 GHz  Adreno 630 RAM 6 GB พื้นที่เก็บข้อมูล 128 GB แบตเตอรีภายใน 3,400 mAh มาพร้อมแอนดรอยด์ 8.1 และอินเตอร์เฟส MIUI 9.5

ส่วนการเชื่อมต่อในส่วนของ 4G LTE รองรับถึง Cat16 ที่สามารถรวมคลื่นได้ 4 CA ความเร็วในการเชื่อมต่อสูงสุด 1 Gbps / 150 Mbps ส่วน 3G ก็ตามมาตรฐาน HSPA ที่ 42.2/5.76 Mbps Wi-Fi มาตรฐาน 802.11ac บลูทูธ 5.0 GPS NFC

]]>