HUAWEI Mate 9 ถือเป็นสมาร์ทโฟนเรือธงกระแสแรงส่งท้ายปี 2016 เริ่มตั้งแต่สเปก ฟีเจอร์เด่น ไปถึงราคาเปิดตัว 3 ระดับ (เริ่มต้น 23,900 บาท) จนสร้างความร้อนแรงให้กับกลุ่มสมาร์ทโฟนเรือธงไม่ต่างจากช่วงเปิดตัว HUAWEI P9/P9+
มาวันนี้ทีมงานไซเบอร์บิซก็ได้รับ HUAWEI Mate 9 มาทดสอบส่งท้ายปี ใครกำลังสนใจสามารถติดตามอ่านรีวิวได้จากบทความนี้
การออกแบบ
สำหรับ Mate 9 รุ่นที่นำมาทดสอบเป็นรุ่นเริ่มต้น สีแชมเปญโกลด์ ตัวเครื่องถูกจัดอยู่ในกลุ่มสมาร์ทโฟนเรือธงเน้นความหรูหราเหนือกว่า P9/P9+ มาพร้อมหน้าจอ IPS LCD ขนาดใหญ่ 5.9 นิ้ว ความละเอียด Full HD 1080p ความละเอียดพิกเซลหน้าจออยู่ที่ 373 พิกเซลต่อตารางนิ้ว โดยกระจกจอใช้แบบ 2.5D
ส่วนอีก 2 รุ่นที่จะทำตลาดในเดือนมกราคม 2017 ได้แก่ Mate 9 Pro และ Mate 9 Porsche Design จะใช้หน้าจอ Curved Screen (ขอบจอโค้ง) ขนาด 5.5 นิ้ว AMOLED Display พร้อมความละเอียด 2K
กล้องหน้า – ปรับปรุงใหม่ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ออโต้โฟกัสพร้อมรูรับแสงกว้าง f1.9
ด้านขนาดตัวเครื่อง กว้าง 78.9 มิลลิเมตร สูง 156.9 มิลลิเมตร หนา 7.9 มิลลิเมตร น้ำหนักประมาณ 190 กรัม โดยในรุ่นเริ่มต้นขอบเครื่องจะใช้วัสดุเป็นโลหะ น้ำหนักถูกออกแบบให้กระจายสมดุลทุกส่วน ทำให้เวลาจับถือทำได้ถนัดมือแม้ไม่ได้ใส่เคส
ด้านหลังเป็นโลหะทั้งหมด มาพร้อมกล้องหลังเลนส์คู่ (Dual Lens) LEICA (ไลก้า) รุ่นที่ 2 พัฒนาต่อจาก P9/P9+ พร้อมเลนส์ SUMMARIT-H ระยะ 27 มิลลิเมตร รูรับแสง f2.2
ในส่วนเลนส์คู่ หัวเว่ยแบ่งหน้าที่กันทำงาน โดยเลนส์และเซ็นเซอร์รับภาพตัวแรกจะรับภาพขาว-ดำ (Monochrome) ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล ส่วนเลนส์และเซ็นเซอร์ตัวที่สองความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รับภาพสี RGB เมื่อทำงานร่วมกันสามารถถ่ายภาพที่ความละเอียดสูงสุด 20 ล้านพิกเซลได้ รวมถึงสามารถทำภาพหน้าชัดหลังเบลอและซูมภาพแบบ Hybrid Zoom ไม่สูญเสียรายละเอียดได้ถึง 2 เท่า รวมถึงรองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียด 4K ด้วย
ถัดจากกล้องหลักไปทางขวามือจะเป็นส่วนระบบออโต้โฟกัส โดยหัวเว่ยปรับไปใช้ Phase/Contrast Detection + Laser Auto Focus และ Depth Auto Focus พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว OIS (Optical image stablization) เรียกได้ว่าเป็นออโต้โฟกัสแบบไฮบริดที่หัวเว่ยพัฒนาใหม่เพื่อ Mate 9 โดยเฉพาะ
ส่วนด้านซ้ายเป็นไฟแฟลช Dual LED แบบทูโทน
ลงมาด้านล่างจะเป็นส่วนเซ็นเซอร์อ่านลายนิ้วมือที่ถูกปรับปรุงให้อ่านลายนิ้วมือได้รวดเร็วขึ้น
ด้านบน สังเกตจากภาพจะเห็นเป็นรูวงกลมสีดำขนาดเล็ก ส่วนนั้นคือช่องไมโครโฟนรับเสียง สำหรับงานถ่ายวิดีโอ โดยใน Mate 9 จะมาพร้อมไมโครโฟนรับเสียงรอบตัวเครื่อง 4 ตัว และผู้ใช้สามารถเลือกปรับใช้ไมโครโฟนตัวหลัง (Directional microphone) เพื่อรับเสียงสนทนาที่ชัดเจนขึ้นได้
มาถึงช่องเชื่อมต่อและปุ่มกดรอบตัวเครื่อง เริ่มจากด้านล่างของตัวเครื่อง ตรงกลางเป็นพอร์ต USB-C ซ้ายและขวาเป็นส่วนของไมโครโฟนและลำโพง
โดยลำโพงใน Mate 9 จะทำงานร่วมกับลำโพงบริเวณช่องลำโพงโทรศัพท์ ให้เสียง 2 ย่าน โดยลำโพงด้านล่างตัวเครื่องให้เสียงเบส ส่วนลำโพงบริเวณช่องฟังเสียงโทรศัพท์ให้เสียงแหลม และเมื่อใช้งานเครื่องในแนวนอนลำโพงทั้ง 2 สามารถให้เสียงสเตอริโอได้
ด้านบน เป็นช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร และพอร์ตอินฟาเรด สามารถเปลี่ยน Mate 9 เป็นรีโมทควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านได้
ด้านซ้าย เป็นที่อยู่ของช่องใส่ซิมและ MicroSD Card ระบบโทรศัพท์รองรับ Nano Sim แบบสองซิม โดยซิมแรกจะรองรับ 4G/3G/2G ส่วนช่องใส่ซิมที่สองรองรับ 2G/3G และต้องใช้ร่วมกับช่องใส่ MicroSD Card รองรับความจุสูงสุด 256GB
ด้านขวา เป็นที่อยู่ของปุ่มเปิดปิดเครื่องและปุ่มเพิ่มลดระดับเสียง และถ้าสังเกตให้ดี บริเวณขอบเครื่องทั้งซ้ายและขวาจะเป็นที่อยู่ของเสาโทรศัพท์ด้วย
มาดูในส่วนอะแดปเตอร์ชาร์จไฟกันบ้าง ใน Mate 9 หัวเว่ยให้อะแดปเตอร์ชาร์จไฟแบบเร็ว HUAWEI SuperCharge ที่สามารถจ่ายไฟได้สูงสุด 5V 4.5A เพื่อให้การชาร์จไฟเข้าแบตเตอรีขนาดใหญ่ 4,000mAh ทำได้รวดเร็วพร้อมระบบควบคุมแรงดันไฟช่วยให้ปลอดภัย
และจากการทดสอบของทีมงานได้ลองชาร์จไฟผ่านระบบ SuperCharge จาก 7% ถึง 72% จะใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น หลังจากนั้นอะแดปเตอร์จะเริ่มปล่อยไฟน้อยลง กว่าจะชาร์จไฟเต็ม 100% ก็ใช้เวลาอีกพักใหญ่
สุดท้ายในส่วนของแถมก็เป็นไปตามสไตล์หัวเว่ย คือในแพกเกจจะแถมฟิล์มกันรอยหน้าจอและเคสพลาสติกมาให้พร้อมประกัน Huawei Diamond Services ที่มีจุดเด่นในเรื่องบริการใหม่ที่หัวเว่ยจะส่งคนมารับโทรศัพท์ไปซ่อมถึงหน้าบ้านเราและบริการเปลี่ยนจอแตกให้ฟรีใน 3 เดือนแรกหลังซื้อเครื่อง
สเปก
สำหรับ HUAWEI Mate 9 ทุกรุ่นจะขับเคลื่อนด้วยซีพียู HUAWEI Kirin 960 Octa-Core แบ่งเป็น 4 แกนแรกความเร็ว 2.4GHz ส่วน 4 แกนหลังความเร็ว 1.8GHz กราฟิกชิป Mali-G71 MP8 รองรับ Vulkan API พร้อมแรม 4GB รอม 64GB แบบ UFS 2.1 (เหลือพื้นที่ใช้งานจริงประมาณ 49GB)
ในส่วน HUAWEI Mate 9 Pro และ Mate 9 Porsche Design จะมาพร้อมแรม 6GB พร้อมรอม 128GB ในรุ่น Pro และ 256GB ในรุ่น Porsche Design ซึ่งถือเป็นรุ่นท็อปสุดของตระกูล
มาถึงเรื่องการเชื่อมต่อเครือข่าย Mate 9 รองรับ 2G/3G/4G ทุกเครือข่ายในไทย โดย 4G รองรับ LTE-Advanced Cat.12 600Mbps รวมถึงรองรับการรวมคลื่นความถี่ได้สูงสุด 4CA เหลือเฟือสำหรับการใช้งาน 4G ในบ้านเรา
ส่วน WiFi รองรับมาตรฐาน 802.11a/b/g/n/ac แบบ Dual Band 2.4/5GHz บลูทูธรองรับรุ่น 4.2, มี NFC, GPS รองรับ Glonass/Galileo/BDS และในส่วนของการถอดรหัสไฟล์เสียง เรียกว่าหัวเว่ยจัดเต็มตั้งแต่ไฟล์ MP3, MIDI, AMR-NB, AAC, AAC+, eAAC+, AMR-WB, WMA2-9, RA, PCM, OGG, and FLAC สามารถเล่นไฟล์เสียงตั้งแต่ MP3 ไปถึงไฟล์ Lossless คุณภาพสูง
ด้านระบบปฏิบัติการเป็นแอนดรอยด์ 7.0 (Nougat) จากโรงงานพร้อม EMUI 5.0
ยูสเซอร์อินเตอร์เฟสและฟีเจอร์เด่น
เริ่มจากส่วนยูสเซอร์อินเตอร์เฟส EMUI 5.0 บนแอนดรอยด์ 7.0 เรียกได้ว่าถูกปรับปรุงด้านความเสถียร ความลื่นไหลและความเรียบร้อยที่ดีขึ้นจากเดิมมาก โดยเฉพาะส่วน Notifications/Quick Settings ที่ใช้งานได้หลากหลาย การแจ้งเตือนเกี่ยวกับระบบทำได้ชัดเจน ช่วยเหลือผู้ใช้ดีมาก
นอกจากนั้นตัวระบบซอฟต์แวร์ยังทำงานสอดประสานกับฮาร์ดแวร์ที่หัวเว่ยเป็นผู้พัฒนาด้วยตัวเองได้ดีขึ้น การมาของระบบ Machine Learning ทำให้ตัว Mate 9 สามารถเรียนรู้การใช้งานของผู้ใช้แต่ละคนได้ จากนั้นระบบจะปรับแต่งฮาร์ดแวร์ตามการใช้งานเพื่อประสิทธิภาพและการประหยัดพลังงานที่ทำได้สูงสุด
และนอกจากนั้น EMUI 5.0 ใน Mate 9 ยังสามารถเรียนรู้รูปแบบการใช้งานแอปฯของผู้ใช้และจัดลำดับความสำคัญทำให้การเปิดปิด สลับใช้งานแอปฯต่างๆในตัวเครื่องทำได้ลื่นไหล ไม่สะดุด โดยเฉพาะการเคลียร์แรมที่ทำได้ฉลาดและรวดเร็วโดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องจัดการด้วยตัวเอง ระบบทุกอย่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์จะเป็นตัวจัดการให้อัตโนมัติ
มาถึงฟีเจอร์เด่นใน EMUI 5.0 กันบ้าง ขอคัดมาเฉพาะที่โดดเด่น เริ่มจากระบบโอนถ่ายข้อมูล (Data transfer) จากสมาร์ทโฟนเครื่องเก่า ที่ผู้ใช้สามารถย้ายข้อมูลได้ง่ายจากทั้ง iOS และ Android ด้วยกันเอง หรือจะสำรองข้อมูลผ่านบริการคลาวด์ HiCloud จากหัวเว่ยก็สามารถทำได้เช่นกัน
ในส่วนระบบใช้งาน มีโหมด Minimal มาให้ในชื่อ Simple Mode และผู้ใช้สามารถสร้างบัญชีใช้งานได้มากกว่า 1 บัญชีสำหรับการใช้งานที่มีความเป็นส่วนตัวสูงพร้อม Private Space
Multitasking ด้วยหน้าจอขนาดใหญ่ทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกใช้งาน 2 แอปฯพร้อมกันได้ในหนึ่งหน้าจอ
Smart Controller (รีโททอินฟาเรด) เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่หัวเว่ยพัฒนามาได้ดีเยี่ยม เพราะในแอปฯนอกจากจะสามารถโคลนรีโมททีวี แอร์ ได้แล้ว ผู้ใช้ยังสามารถโคลนรีโมทสั่งงานกล้องถ่ายภาพแต่ละรุ่นได้ด้วย
App twin เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ใช้ที่มีบัญชีโซเชียล เช่น เฟสบุ๊ก 2 บัญชี เพราะเมื่อเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ ระบบจะสร้างแอปฯซ้อนขึ้นมา (โดยจะมีเลข 2 พิมพ์กำกับไว้) ผู้ใช้สามารถเลือกล็อกอินแอปฯดังกล่าวได้พร้อมกัน 2 บัญชี
Battery เป็นจุดเด่นมานานสำหรับหัวเว่ย เพราะส่วนของ Battery นอกจากจะใช้ตรวจดูการบริโภคพลังงานของแอปฯในเครื่องได้แล้ว ตัวแอปฯยังมีระบบตรวจจับ Background Apps ที่แอบบริโภคพลังงานอยู่เบื้องหลังพร้อมแจ้งเตือนผู้ใช้ให้ทราบด้วย
Sound Recorder เพราะ Mate 9 มาพร้อมไมโครโฟนรับเสียง 4 ตัวทำให้การบันทึกเสียงทำได้หลากหลายมากขึ้น ตั้งแต่บันทึกการประชุม สัมภาษณ์ (ใช้ไมโครโฟน 2 ตัว) หรือบันทึกเสียงปกติ ทุกอย่างสามารถเลือกตามการใช้งานได้ผ่านแอปฯบันทึกเสียงนี้
Health ไว้ใช้สำหรับนับก้าวเดิน คำนวณการเผาผลาญแคลอรี่
สุดท้ายในส่วนตั้งค่า หัวเว่ยเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ปรับแต่งการใช้งานได้หลากหลายตั้งแต่ส่วน Navigation Buttons ปรับอุณหภูมิสีหน้าจอ ไปถึงเปิดปิดระบบช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกต่างๆ
UI กล้องถ่ายภาพ
ทุกอย่างยังคงเหมือนกับ HUAWEI P9/P9+ เพราะหัวเว่ยและไลก้าร่วมกันพัฒนาเช่นเดิม โดยอินเตอร์เฟสของกล้องจะใช้เอกลักษณ์ของไลก้าตั้งแต่ฟอนต์ตัวอักษรไปถึงเสียงชัตเตอร์
ส่วนโหมดกล้องก็มีให้เลือกหลากหลายตั้งแต่ Photo ถ่ายปกติ Monochrome ขาวดำ โหมดบิวตี้เน้นหน้าเด้ง หน้าใส HDR, Night Shot เป็นต้น
โดยส่วนที่เพิ่มขึ้นมาก็คือระบบซูมภาพแบบไฮบริด 2 เท่า แต่มีข้อแม้ว่าต้องเลือกความละเอียดภาพ 12 ล้านพิกเซล ระบบถึงจะทำงาน
ส่วน Manual Mode และระบบจำลองสีเอกลักษณ์ของไลก้า มีการปรับปรุงให้ใช้งานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงความลื่นไหลที่ดีกว่าเดิม ส่วน RAW สามารถถ่ายได้เมื่ออยู่ใน Manual Mode เท่านั้น โดยตัวไฟล์ เมื่อเปิดใช้ RAW จะถ่ายได้ที่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล และรูปแบบไฟล์ที่ได้จะเป็น RAW+JPEG
ภาพตัวอย่างซูม 2 เท่าพร้อมเปิดใช้ฟีเจอร์ Wide Aperture ทำหน้าชัดหลังเบลอ โดยจำลองรูรับแสง f0.95
ด้านฟีเจอร์ Wide Aperture มีให้เลือกใช้เหมือน P9/9P+ โดยการทำงานกล้องจะถ่ายภาพไปก่อนหลังจากนั้นเราสามารถเลือกจุดโฟกัสที่หลังได้พร้อมละลายฉากหลังด้วยการจำลองรูรับแสงกว้างตั้งแต่ f0.95 เป็นต้นไป
ทดสอบประสิทธิภาพ
AnTuTu Benchmark = 125,052 คะแนน
PCMark
Work 2.0 = 6,297 คะแนน
Computer Vision = 3,240 คะแนน
Storage = 9,719 คะแนน
3DMark
Sling Shot Extreme = 1,952 คะแนน
Sling Shot = 2,262 คะแนน
Ice Storm Unlimited = 26,485 คะแนน
Geekbench 4
Single-Core = 1,937 คะแนน
Multi-Core = 5,512 คะแนน
Vellamo
Multicore = 4,094 คะแนน
Metal = 3,356 คะแนน
Chrome Browser = 6,248 คะแนน
PassMark PerformanceTest Mobile
System = 9,092 คะแนน
CPU Tests = 230,257 คะแนน
Disk Tests = 99,097 คะแนน
Memory Tests = 13,193 คะแนน
2D Graphics Tests = 10,184 คะแนน
3D Graphics Tests = 1,860 คะแนน
Multi-Touch Test = 10 Point
ในส่วนทดสอบประสิทธิภาพ เรื่องผลคะแนนคงไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะ Mate 9 คือเรือธงเพราะฉะนั้นประสิทธิภาพที่ได้ย่อมอยู่ระดับบนสุดอยู่แล้ว แต่สิ่งที่น่าสนใจและหัวเว่ยทำได้ดีมากก็คือ ส่วนของการจัดการภายใน ทั้งส่วนของระบบ Machine Learning เองก็ดีหรือส่วนระบบจัดการแบตเตอรีที่ถูกปรับปรุงมาดีกว่าเดิมมาก แอปฯทุกตัวทำงานได้ลื่นไหลมาก แม้จะเปิด Background Apps ไว้มากมายเพียงใด แต่ระบบทำงานได้ไม่สะดุดเลย
อีกหนึ่งส่วนที่ถือเป็นจุดเด่นมากก็คือ รอมหรือหน่วยเก็บข้อมูลภายในที่ทำงานภายใต้มาตรฐาน UFS 2.1 สามารถอ่านเขียนข้อมูลได้รวดเร็วระดับ 100-600MB/s สร้างความประทับใจให้ทีมงานอย่างมาก
นี่ขนาดเป็นแค่ Mate 9 รุ่นเริ่มต้น ถ้าเป็นรุ่น Pro คงให้ประสิทธิภาพที่ดีขึ้นกว่านี้อีกระดับหนึ่ง เพราะรุ่นนั้นมาพร้อมแรม DDR4 มากถึง 6GB
มาดูในส่วนแบตเตอรี ทดสอบแบบหนักหน่วง (เปิดหน้าจอตลอดการทดสอบ) ด้วยแอปฯ Geekbench 3 พบว่าสามารถทำเวลาใช้งานได้ยาวนาน 10 ชั่วโมง 37 นาที หรือถ้าคิดเป็นเวลาใช้งานของคนปกติทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 15-18 ชั่วโมง ถือว่าอยู่ระดับเดียวกับคู่แข่งอย่าง iPhone 7 Plus ได้สบายๆ
สำหรับกล้อง LEICA รุ่นที่ 2 หลังจากทดสอบใช้งานร่วมอาทิตย์ เรื่องของโทนภาพถือว่ายังคงเอกลักษณ์เดิมเหมือน P9/P9+ คือภาพจะติดคอนทราสต์ที่จัดจ้าน ส่วนเรื่องความสดของสีจะน้อยว่า P9/P9 Plus แต่สิ่งที่ได้เพิ่มขึ้นมาคือรายละเอียดของภาพ ไดนามิกที่ดีขึ้น โดยเฉพาะ RAW ที่นำไปต่อยอดได้ไกลกว่าเดิม รวมถึงฟิลเตอร์สี Vivid Colors ที่ปรับปรุงให้โทนที่สวยใสขึ้น
ส่วนเรื่องความละเอียดภาพผู้อ่านอาจกำลังสับสนว่าสรุปแล้ว Mate 9 ใช้กล้องความละเอียดเท่าไร ทีมงานขอเรียนตามตรงว่า ความละเอียดมาตรฐานสำหรับรูปสีจะอยู่ที่ 12 ล้านพิกเซล ซึ่งเป็นความละเอียดที่สามารถใช้ฟีเจอร์ของกล้องถ่ายภาพได้ครบถ้วนทั้งหมด แต่ผู้ใช้สามารถตั้งความละเอียดเป็น 20 ล้านพิกเซลได้ เพียงแต่โหมดซูมและฟีเจอร์บางตัวจะไม่ทำงาน
ส่วนภาพขาวดำ (Monochrome) จะมีความละเอียดอยู่ที่ 20 ล้านพิกเซล (แต่ระบบซูมจะใช้ได้แต่ดิจิตอลซูมเท่านั้น) ซึ่งโทนภาพผมมองว่ายังเหมือนกับ P9/P9+ ไม่แตกต่างเท่าใด
มาถึงจุดเด่นหนึ่งของระบบกล้องของ HUAWEI/LEICA ที่น่าชื่นชมมาตั้งแต่ P9/P9 Plus ก็คือโหมดแมนวลที่ปรับแต่งได้เหมือนกล้อง DSLR ตั้งแต่ความเร็วชัตเตอร์ที่สามารถลากได้ยาวนานถึง 30 วินาที ไปถึงระบบวัดแสงและโฟกัสที่จัดมาให้แบบเต็มระบบ (ดูตัวอย่างภาพที่ผมถ่ายเซลฟีตัวเองแล้วใช้แฟลชแยกจากกล้อง DSLR ยิงสวนเข้าไปได้)
ส่วนโหมดถ่ายภาพอย่าง Night Shot และ Light Painting ถูกปรับปรุงให้ทำงานได้ดีขึ้น และความละเอียดภาพที่ได้เพิ่มเป็น 12 ล้านพิกเซล
ด้านระบบออโต้โฟกัส อยู่ระดับปานกลาง บางครั้งการโฟกัสภาพในที่แสงน้อยก็ดูเชื่องช้าไปสักนิด รวมถึงชัตเตอร์ที่อาจมีอาการแลคให้เห็นบ้างบางจังหวะ แต่ภาพรวมถือว่าทำได้ดีกว่า P9/P9+
สุดท้ายในส่วนวิดีโอถือว่าได้รับการปรับปรุงดีขึ้น รองรับ 4K ไมโครโฟนสามารถปรับไปใช้ Directional microphone ได้ ส่วนความลื่นไหลถือว่าทำได้ดีระดับหนึ่ง กันสั่นที่ให้มาช่วยได้เล็กน้อย แต่ภาพจะหน่วงและดีเลย์ โดยรวมสำหรับการถ่ายวิดีโอถือว่าพอใช้เท่านั้น
สรุป
สำหรับราคา HUAWEI Mate 9 รุ่นแรม 4GB พร้อมรอม 64GB อยู่ที่ 23,900 บาท ส่วนรุ่น Mate 9 Pro (แรม 6GB/รอม 128GB) ราคาอยู่ที่ 27,900 บาท และรุ่นพิเศษ Mate 9 Porsche Design (แรม 6GB/รอม 256GB – ขายจำนวนจำกัดแค่ 800 เครื่อง) ราคาอยู่ที่ 49,900 บาท
หลังจาก HUAWEI P9/P9+ เปิดตลาดปูทางสมาร์ทโฟนเรือธงให้หัวเว่ยประสบความสำเร็จไปก่อนหน้า Mate 9 ก็เหมือนเป็นรุ่นต่อยอดช่วยผลักดันให้แบรนด์หัวเว่ยเข้าสู่ตลาดไฮเอนด์สมาร์ทโฟนได้อย่างสวยงาม จนปัจจุบันหัวเว่ยสามารถเข้าชิงแชร์จากเจ้าตลาดได้อย่างสมศักดิ์ศรียิ่งขึ้น ด้วยจุดเด่นในเรื่องราคาเทียบประสิทธิภาพแล้วจัดว่าอยู่ในเกณฑ์คุ้มค่าอย่างมาก (แค่รุ่นที่ทีมงานทดสอบ ราคา 23,900 บาทก็ถือว่าตอบสนองทุกการใช้งานแล้ว) โดย Mate 9 ไม่ได้มีดีแค่กล้องไลก้าเพียงอย่างเดียวแล้ว แต่เรื่องของสเปก ระบบการทำงาน ภาพรวมทั้งหมดถือว่าหัวเว่ยทำได้ลงกว่าตอนเปิดตัว Mate 8 ยิ่งปัจจุบันเจ้าตลาดต่างเปิดตัวราคาสมาร์ทโฟนเรือธงด้วยราคาที่สูงลิ่วด้วยแล้ว Mate 9 น่าจะเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดูคุ้มค่าคุ้มราคาที่สุดของตลาดไฮเอนด์ปีนี้