ในปีที่ผ่านมา Apple ได้พิสูจน์มาแล้วถึงความสำเร็จของ iPhone X ที่กลายเป็นการยกระดับสมาร์ทโฟนของแอปเปิลในรุ่นท็อปให้สูงขึ้นไปอีกระดับ ฉีกหนีแอนดรอยด์โฟนหลายๆรุ่นที่เริ่มสร้างแบรนด์ตามขึ้นมา โดยปัจจุบันเริ่มเปิดให้จองแล้ว และจะวางจำหน่ายในวันที่ 26 ตุลาคมนี้
แม้ว่ายอดขายของ iPhone X จะไม่ได้ขายดีถล่มทลาย จากราคาจำหน่ายที่สูงขึ้น แต่จากผลประกอบการของแอปเปิลในรอบปีที่ผ่านมา ก็แสดงให้เห็นว่ามีกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อให้ความสนใจ และเลือกที่จะซื้อหามาใช้งาน เพียงพอกับเป้าหมายของแอปเปิลแล้ว
พอมาในรุ่น iPhone XS ก็เหมือนแอปเปิลกลับมาใช้กลยุทธ์เดิมในการออกรุ่นอัปเกรดออกมา ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพตัวเครื่องให้ดีขึ้น เช่นเดียวกับการออกรุ่นจอใหญ่อย่าง iPhone XS Max มาจับกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการจอใหญ่
อีกจุดอัปเกรดใหญ่ๆ ที่สำคัญคือเมื่อแอปเปิล เริ่มนำ eSIM มาใช้ใน Apple Watch 3 และได้รับการตอบรับที่ดี ใน iPhone XS และ XS Max ก็จะรองรับการใช้งาน 2 ซิมในรูปแบบของซิมหลัก + eSIM ช่วยให้สามารถใช้งาน iPhone 2 ซิมได้ด้วย
Gallery
จุดต่างระหว่าง XS และ XS Max
ก่อนอื่นย้อนกลับไปดูราคาจำหน่ายของ iPhone XS และ iPhone XS Max กันก่อน โดย XS จะเริ่มต้นที่ 39,900 บาท สำหรับรุ่น 64 GB เมื่อเทียบกับช่วงที่ iPhone X เปิดตัวราคาอยู่ที่ 40,500 บาท ถือว่ามีการปรับลดลงเล็กน้อย และราคาสูงสุดของ XS รุ่น 512 GB จะอยู่ที่ 53,900 บาท
ในขณะที่รุ่น XS Max ราคาเริ่มต้น 64 GB อยู่ที่ 43,900 บาท และไปสุดอยู่ที่ 57,900 บาทสำหรับรุ่น 512 GB แน่นอนว่าถ้าเป็นราคาที่ซื้อพร้อมโปรโมชันกับทางโอเปอเรเตอร์ก็จะได้รับส่วนลดค่าเครื่องลงไปอีก แต่ราคาเครื่องเปล่าจากศูนย์แอปเปิลถือเป็นราคากลางไว้
โดยถ้ากำลังตัดสินใจเลือกซื้อว่าจะซื้อรุ่นเริ่มต้นที่เป็น 64 GB ดีหรือไม่ ในการใช้งานจริงทีมงานแนะนำให้เลือกซื้อรุ่น 256 GB ไปดีกว่า เพราะด้วยการถ่ายภาพ และวิดีโอในปัจจุบันพื้นที่เก็บข้อมูลเริ่มต้นที่ 64 GB ไม่เพียงพอกับการใช้งานอยู่แล้ว
ส่วนเมื่อกลับมาดูจุดต่างหลักๆ ระหว่าง iPhone XS และ iPhone XS Max มีอยู่ด้วยกัน 3 จุดใหญ่ๆ 1.คือเรื่องหน้าจอ ที่ XS มากับหน้าจอขนาด 5.8 นิ้ว ความละเอียด 2436 x 1125 พิกเซล ในขณะที่ XS Max มากับหน้าจอขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียด 2688 x 1242 พิกเซล ทั้ง 2 รุ่นให้ความละเอียดเม็ดสีเท่ากันที่ 458 ppi
ตามมาด้วย 2.ขนาดตัวเครื่อง XS จะอยู่ที่ 143.6 x 70.9 x 7.7 มิลลเมตร น้ำหนัก 177 กรัม (ใกล้เคียงกับ iPhone X เดิม) ส่วน XS Max จะอยู่ที่ 157.5 x 77.4 x 7.7 มิลลิเมตร น้ำหนัก 208 กรัม (ใกล้เคียงกับ iPhone 8 Plus)
สุดท้าย 3.เรื่องแบตเตอรี โดยทางแอปเปิลระบุมาคร่าวๆว่า iPhone XS ใช้งานได้นานกว่า iPhone X 30 นาที และ iPhone XS ใช้ได้นานกว่า 1.5 ชั่วโมง ซึ่งในรุ่น XS Max ให้แบตเตอรีมาที่ 3,174 mAh ที่ถือว่าเพิ่มขึ้นจาก iPhone 8 Plus ค่อนข้างเยอะ
ขณะเดียวกันพบว่า iPhone XS มากับแบตเตอรีขนาด 2,658 mAh ลดลงจากใน iPhone X แต่ด้วยหน่วยประมวลผลรุ่นใหม่ Apple A12 ที่ประหยัดพลังงานมากขึ้น ทำให้สามารถใช้งานได้นานกว่าเดิม ส่วน
สิ่งที่อัปเกรดขึ้นจากเดิม
ในส่วนของการอัปเกรดที่เพิ่มขึ้นจาก iPhone X ทั้ง XS และ XS Max มากับหน่วยประมวลผล Apple A12 Bionic ที่กลายเป็นหน่วยประมวลผลรุ่นแรกที่ทำงานบนสถาปัตยกรรมแบบ 7 นาโนเมตร ให้ความแรงในการประมวลผลเพิ่มขึ้น 15% และใช้พลังงานน้อยลง 50% เมื่อเทียบกับ A11
พร้อมกับการเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลกราฟิก ด้วยการนำ GPU แบบ 4 Core มาใช้ประมวลผลร่วมกับ Metal 2 ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพขึ้นจากเดิม 50% นอกจากนี้ ยังมีการนำระบบ AI มาใช้ (Neural Engine) ในการประมวลผลแมชชีนเลิร์นนิ่ง (Core ML)
เมื่อดูถึงข้อมูลดังกล่าวอาจจะดูแล้วยาก แต่ถ้าให้สรุปง่ายๆคือ หลังจากลองใช้งานมาสักพักก็พบว่าตัวเครื่องเร็วขึ้น ทำงานได้หลากหลายมากขึ้นจากใน iPhone X ที่เดิมก็ประมวลผลได้ดีอยู่แล้ว แต่แน่นอนว่าการอัปเกรด iOS 12 ก็มีส่วนช่วยให้เครื่อง iPhone เร็วขึ้นด้วยเหมือนกัน
วัสดุที่ใช้ทำตัวเครื่องก็ถูกพัฒนาขึ้นมาใช้เป็นสแตนเลสสตีลระดับเดียวกับที่ใช้ทำเครื่องมือศัลยกรรม เคลือบผิวด้วยไอสาร (Physical Vapor Deposition – PVD) ให้ตัวเครื่องมีสีสันที่ชัดเจนขึ้น และจับถนัดมือมากขึ้น
ระบบสเตอริโอที่อยู่บน iPhone XS และ XS Max จะให้เสียงที่มีมิติมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อใช้รับชมภาพยนตร์ในแนวนอน เช่นเดียวกับการบันทึกวิดีโอที่มีไมค์รอบเครื่องถึง 4 ไมค์ ทำให้แยกทิศทางเสียงเข้าได้อย่างชัดเจน
นอกจากนี้ ยังมีในส่วนของ eSIM ที่คาดว่าจะเปิดให้ใช้งานกันภายในปีนี้ ทำให้ตัว iPhone สามารถใช้งาน 2 ซิมได้แล้ว โดยส่วนใหญ่จะแนะนำให้ใช้เบอร์หลักเป็น eSIM และช่องใส่ถาดซิมไว้สำหรับเบอร์ที่ถอดเปลี่ยนได้ หรือเวลาเดินทางไปต่างประเทศก็สามารถนำซิมต่างประเทศมาใส่ใช้งานได้
ในส่วนของระบบเครือข่ายก็มีการพัฒนาขึ้นมารองรับ LTE Cat 16 หรือเครือข่ายระดับ Gigabit ด้วยการนำเทคโนโลยีอย่าง 4×4 MIMO LAA มาใช้งาน ซึ่งเครือข่ายในประเทศไทยส่วนใหญ่ก็เริ่มมีติดตั้งให้ใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพแล้ว
กล้องที่เก็บรายละเอียดได้มากขึ้น
สำหรับเรื่องกล้องที่ทั้ง 2 รุ่นมากับกล้องคู่เหมือนเดิมคือ ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/1.8 สำหรับเลนส์มุมปกติ และ f/2.4 สำหรับเลนส์เทเลโฟโต้ เพิ่มเติมด้วยการนำระบบประมวลผลภาพมาใช้ ทำให้สามารถถ่ายภาพชดเชยแสง (Smart HDR) เก็บรายละเอียดได้มากขึ้นกว่าเดิม
ในส่วนของกล้องหน้า ยังคงเป็นกล้อง TrueDepth ความละเอียด 7 ล้านพิกเซล f/2.2 ที่รับกับความสามารถใหม่เครื่อง สามารถถ่ายภาพ Portrait และเลือกปรับระดับความชัดตื้น ชัดลึกได้หลังถ่ายภาพ
โดยเท่าที่ลองถ่ายภาพเล่นๆ ก็พอว่าตัว iPhone XS และ XS Max สามารถเก็บภาพในที่แสงน้อยได้ดีขึ้นกว่าเดิม และในขณะเดียวกันโหมด Portrait ก็ฉลาดมากขึ้น ด้วยการเบลอฉากหลังที่เนียนขึ้นด้วยการนำ Neural Engine มาช่วยประมวลผล
ดูตัวเครื่องจริง XS / XS Max
โดยสีที่ได้มาจะเป็นสีใหม่ที่เพิ่งมีวางจำหน่ายคือสีทอง (Gold) ที่ลักษณะการออกแบบไม่ต่างจากเดิมอยู่แล้วอย่างที่รู้กัน มีเพียงการเพิ่มในแง่ของการกันน้ำ กันฝุ่นที่เป็น IP68 หรือกันน้ำลึก 2 เมตรได้ 30 นาที จากที่ในรุ่นก่อนหน้าเป็น iP67 กันน้ำได้ 1 เมตรไม่เกิน 30 นาที
รอบๆ ตัวเครื่องก็จะมีปุ่มเปิดเครื่อง และใช้เรียก Siri อยู่ทางขวา ปุ่มปิดเสียง และปรับระดับเสียงทางซ้าย ด้านล่างเครื่องเป็นพอร์ต Lightning ตัวเครื่องรองรับการใช้ Fast Charge ชาร์จได้ 50% ภายใน 30 นาที (ต้องซื้อสายชาร์จ USB-C to Lightning เพิ่มพร้อมหัวชาร์จ) และสามารถใช้การชาร์จไร้สายได้เหมือนเดิม
ส่วนในแง่ของการใช้งานตัวเครื่องต่างๆ จะไม่แตกต่างจาก iPhone X อยู่แล้ว ดังนั้นถ้าอยากย้อนไปดูรายละเอียดสามารถกลับไปอ่านกันได้ที่ https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-iphone-x/
ส่วนการใช้งานแบบเจาะลึกหลังจากใช้งานแบบเต็มที่แล้วจะกลับมาเล่าให้ฟังแบบละเอียดๆ แน่นอน เพราะเนื่องจากปัจจุบันผู้ให้บริการในประเทศไทยยังไม่ได้เปิดรองรับการใช้งาน eSIM บน iPhone