ตลาดกล้องถ่ายวิดีโอพกพาถือว่ากลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังจากที่ทั้ง GoPro เปิดตัวแอคชันคาเมร่ารุ่นใหม่ Hero 7 ตามมาด้วยเจ้าพ่อโดรน และอุปกรณ์กันสั่น (Gimbal) DJI ที่นำความสามารถของกล้องโดรน มาพัฒนาเป็นกล้องขนาดเล็กพกพาง่าย พร้อมกันสั่นระดับเทพ Osmo Pocket
DJI อาจจะไม่ได้วาง Osmo Pocket มาให้เป็นแอคชันแคมฯ ที่นำไปใช้งานได้ทุกสถานการณ์ แต่เน้นการนำไปถ่ายระหว่างเที่ยว หรือการใช้ชีวิตประจำวัน เพื่อเก็บช่วงเวลาประทับใจ ด้วยขนาดที่เล็ก และพกพาง่าย
Osmo Pocket เป็นได้ทั้งกล้องถ่ายภาพนิ่ง และกล้องวิดีโอ ที่มากับระบบกันสั่น 3 แกน ที่ผู้ใช้สามารถถ่ายจากอุปกรณ์ได้ทันที หรือจะเลือกเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่านพอร์ตพิเศษ เพื่อใช้เป็นจอแสดงผลเพิ่มเติมได้
ขนาดเล็ก พกพาง่าย
จุดเด่นหลักของ Osmo Pocket คือการเป็นกล้องบันทึกวิดีโอคุณภาพสูงที่มีขนาดเล็ก ทำให้สามารถพกพาใส่กระเป๋าไปได้ทุกที่ โดยขนาดของ Osmo Pocket จะอยู่ที่ มิลลิเมตร 121.9 x 36.9 x 28.6 น้ำหนัก 116 กรัม
ที่ตัวกล้องบริเวณแกนด้านบนจะเป็นที่อยู่ของกล้อง ที่ใช้เซ็นเซอร์ขนาด 1/2.3” ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ที่สามารถหมุนได้เกือบๆ 360 องศา ทำให้เวลาถือถ่าย สามารถหมุนหน้าจอกลับมาเป็นถ่ายแบบเซลฟี่ หรือจะเลือกบันทึกภาพไปด้านหน้าได้ โดยไม่ต้องพลิกตัวเครื่องไปมา
ถัดลงมา จะเป็นส่วนของจอทัชสกรีนที่ใช้แสดงผล ขนาดหน้าจอ 1 นิ้ว โดยในการใช้งานจะสามารถควบคุมโหมดเบื้องต้นได้จากหน้าจอนี้ทันที และใช้เป็นจอในการดูภาพด้วย
ต่อจากหน้าจอลงมาเป็นพอร์ตเชื่อมต่อ (Universal Port) ที่ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนตัวเชื่อมต่อเข้ากับสมาร์ทโฟนที่ใช้งาน โดยจะมีให้เลือกทั้งพอร์ต Lightning กับ iPhone และ USB-C ของ Android โดยบนสมาร์ทโฟนต้องมีการติดตั้งแอปเพื่อควบคุมเพิ่มเติมด้วย
ที่เหลือก็จะไฟแสดงสถานะ และปุ่มควบคุมต่างๆ ที่จะมีทั้งปุ่มบันทึกภาพ (จุดสีแดง) และปุ่มเปิดเครื่อง/สลับโหมดถ่ายภาพ ที่สามารกด 2 ครั้งเพื่อให้กล้องกลับมาที่จุดกึ่งกลาง และกด 3 ครั้ง เพื่อหมุนกล้องสลับหน้า–หลัง ซึ่งออกแบบให้เหมาะกับการใช้งานด้วยมือข้างเดียว
อีกจุดที่ลืมไม่ได้คือพอร์ต USB-C ด้านล่างเครื่อง ที่ใช้เป็นพอร์ตชาร์จตัวเครื่อง รวมถึงการเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์เสริมอื่นๆ ที่จะทยอยออกมาให้ใช้งาน
ทั้งนี้ อุปกรณ์ในกล่องที่ให้มา นอกจากตัวกล้อง DJI Osmo Pocket แล้วก็จะมีตัวเชื่อมต่อพอร์ตต่างๆ สายชาร์จ USB-C เคสใส่สำหรับพกพา และคู่มือการใช้งานมาให้ ในกล่องกระดาษรีไซเคิล
หยิบ ถ่าย ได้ทุกเวลา
ความสะดวกในการพกพา Osmo Pocket ใช้งานคือการที่ผู้ใช้สามารถหยิบออกจากกระเป๋า เพื่อถ่ายใช้งานได้ทันที โดยเมื่อหยิบขึ้นมาเปิดเครื่อง กดถ่าย ตัวเครื่องก็จะเริ่มบันทึกเรื่องราวที่ต้องการ ที่สำคัญก็คือไม่ต้องกังวลในเรื่องของการสั่นไหวของกล้อง ที่จะทำให้วิดีโอออกมาดูไม่สวยงาม
นอกจากความสะดวกแล้ว Osmo Pocket ยังมีโหมดให้เลือกใช้งานนอกเหนือจากถ่ายภาพนิ่ง และวิดีโอ ก็คือสามารถเลือกถ่ายแบบติดตามวัตถุ (ActiveTrack) ถ่ายภาพพาโนราม่า ถ่ายภาพ Timelapse แบบเคลื่อนไหว ที่ทุกอย่างสามารถกดตั้งค่าได้จากในตัว Osmo Pocket ทันที
ในแง่ของการใช้งานจริง Osmo Pocket จะเป็นเหมือนกล้องแทนสายตาให้แก่ผู้ใช้งาน ที่ไม่ต้องกังวลในการถือเดินถ่าย หรือแม้แต่การวิ่งถ่ายภาพ ซึ่งปกติถ้าใช้กล้องมือถือ หรือกล้องทั่วๆไปถ่าย ภาพที่ได้ออกมาจะมีการสั่นไหวรุนแรง แต่ถ้าเป็น Osmo Pocket ข้อจำกัดดังกล่าวก็จะหายไป
ดังนั้น ถ้ามองหาอุปกรณ์ที่จะมาช่วยให้การถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอสนุกขึ้น นอกเหนือจากมือถือ Osmo Pocket ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ยิ่งสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการถ่าย Vlog ก็จะทำให้มีฟุตคุณภาพให้นำมาใช้งานได้มากขึ้นด้วย
ใช้สนุกขึ้น ถ้าต่อกับสมาร์ทโฟน
ความสนุกขึ้นของ Osmo Pocket ไม่ใช่แค่อยู่กับการใช้บนตัวเครื่องเท่านั้น เพราะด้วยการที่ตัวเครื่องรองรับการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่านแอป DJI MIMO ที่เมื่อเชื่อมต่อแล้ว จะแปลงให้สมาร์ทโฟนกลายเป็นจอภาพในการแสดงผล
ที่บอกว่าสนุกขึ้นก็คือในแอปจะมีความสามารถเพิ่มเติม อย่างโหมด Story ที่เป็นธีมในการถ่ายวิดีโอมาให้ หรือจะเลือกโหมดถ่ายเพื่อติตตามวัตถุ ที่สามารถใช้ปุ่มควบคุมบนหน้าจอเพื่อหมุนมุมกล้องได้ทันที
นอกจากนี้ เมื่อเชื่อมต่อแล้วก็สามารถโอนถ่ายไฟล์ภาพและวิดีโอเข้ามาไว้ในเครื่อง เพื่อแชร์ขึ้นโซเชียลได้ทันที ดังนั้น จึงช่วยให้ไม่ต้องมาคอยต่อ WiFi เพื่อเชื่อมต่อเครื่องให้ยุ่งยาก
สรุป
Osmo Pocket จะเหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบการถ่าย VLOG เล่าเรื่องราวต่างๆ ที่จะช่วยยกระดับคุณภาพของวิดีโอให้ดีขึ้น ด้วยการที่มีกล้องกันสั่นขนาดพกพาเข้ามาช่วย และด้วยการที่ขนาดเล็ก ทำให้สามารถถือถ่ายได้สะดวกด้วย ขณะเดียวกันด้วยราคาเปิดตัวที่ไม่แรงมากนัก (13,500 บาท) ก็ถือว่าค่อนข้างคุ้มค่า
แต่ถ้าซื้อมาแล้วใช้ถ่ายวิดีโอทั่วๆไป ไม่ได้ใช้เป็นอาชีพ หรือต้องการเน้นกันสั่นมากนัก เชื่อว่าคุณภาพของกล้องบนสมาร์ทโฟนระดับท็อปสามารถแทนที่ได้สบายๆ เช่นกัน ดังนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าซื้อมาแล้วจะได้ใช้งานมากแค่ไหน