เรียกได้ว่า หัวเว่ย (Huawei) ประสบความสำเร็จอย่างมาก ในการปรับแนวคิดการถ่ายภาพบนสมาร์ทโฟน ด้วยการชูจุดเด่นอย่างการซูมภาพได้ไกล 50x บน P30 Pro และการถ่ายภาพในที่แสงน้อย ให้ออกมาสว่างเหมือนกลางวัน จนกลายเป็นจุดขายหลักของเครื่องรุ่นนี้
Huawei P30 Pro ถือว่าทำการบ้านมาเป็นอย่างดี ด้วยการเลือกนำจุดที่ผู้บริโภคต้องการเป็นลำดับต้นๆ ในการเลือกซื้อสมาร์ทโฟนเวลานี้คือเรื่องของกล้อง มาชูเป็นจุดเด่น ต่อยอดจากความร่วมมือกับ ไลก้า (Leica) ที่มัดใจผู้บริโภคมาได้ตั้งแต่ P20 ซีรีส์แล้ว
การมาของ P30 Pro เลยยิ่งเข้าไปตอกย้ำภาพของการเป็นผู้นำสมาร์ทโฟนที่สามารถถ่ายภาพได้ดี ผสมไปกับประสิทธิภาพของตัวเครื่องที่ถูกพูดถึงมาตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมาคือ Mate20 Pro ที่แสดงให้ผู้บริโภคเห็นถึงความสามารถมาแล้ว
เด่นที่กล้องชัดเจน
จุดสำคัญที่ทำให้ P30 Pro กลายเป็นสมาร์ทโฟนที่มีความโดดเด่นเรื่องของกล้องคือการปรับแนวคิดในการบันทึกภาพ จากเดิมที่เซ็นเซอร์จะรับแสง RGB (แดง เขียว น้ำเงิน) มาเพื่อประมวลผลออกมาเป็นภาพ แต่ Huawei เลือกนำการรับแสงแบบ RYYB (แดง เหลือง เหลือง น้ำเงิน) มาช่วยประมวลผลแทน ทำให้สามารถเก็บแสงได้มากกว่าเดิม 40%
โดยเมื่อดูถึงการจัดเรียงกล้องหลังทั้ง 3 เลนส์ ของ P30 Pro ไล่จากด้านบนลงมาคือเลนส์มุมกว้างสุดที่ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล f/2.2 ในระยะเลนส์ 16 มม. ตรงกลางคือเลนส์หลักระยะ 27 มม. ที่ความละเอียด 40 ล้านพิกเซล f/1.6 และสุดท้ายคือเลนส์ซูมระยะ 125 มม. ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล f/2.4
ที่น่าสนใจคือเลนส์ทุกตัวมาพร้อมกับระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบ PDAF และระบบกันสั่น OIS ไม่นับรวมกับเลนส์ ToF ที่มาช่วยในการโฟกัสระยะของวัตถุเพิ่มเติม ซึ่งช่วยให้สามารถจับโฟกัสในที่แสงน้อยได้ง่ายขึ้น รวมไปถึงการสร้างโบเก้ของการถ่ายภาพบุคคล (Portrait) ด้วย
การใช้งานแต่ละช่วงเลนส์ก็จะมีการจับคู่ทำหน้าที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งาน เบื้องต้นก็คือถ้าใช้งานถ่ายระยะปกติ 1x กล้องหลัก 40 ล้านพิกเซลจะเป็นเลนส์หลัก เมื่อซูมเข้าไปถึงระยะ 5 เท่า ถึงจะปรับเป็นหน้าที่ของเลนส์ซูม 8 ล้านพิกเซล
ในขณะที่ถ้าถ่ายภาพในระยะ 3x-5x จะเป็นการทำงานคู่กันระหว่างเลนส์หลัก และเลนส์ซูม เพื่อให้ภาพที่ออกมาได้รายละเอียดมากที่สุด นอกจากนี้ ก็ยังมีการทำงานของเลนส์มุมกว้างคู่กับเลนส์หลัก เมื่อถ่ายภาพซูเปอร์มาโคร หรือการนำเลนส์กว้างมาช่วยลดการสั่นไหวของภาพขณะถ่ายวิดีโอด้วย
จะเห็นได้ว่า การทำงานของ AI ที่มากับหน่วยประมวลผล Kirin 980 ที่เข้ามาช่วยควบคุมการทำงานของกล้องตรงนี้ กลายเป็นจุดเด่นหลักที่ทำให้ P30 Pro สามารถถ่ายภาพได้ดีขึ้น พัฒนาขึ้นจาก P20 Pro และ Mate20 Pro เป็นอย่างมาก
โดยภาพการเปรียบเทียบของรูปที่ถ่ายในที่แสงน้อย ระหว่าง iPhone XS Max Galaxy S10+ และ P30 Pro ถือเป็นการแสดงจุดเด่นที่ชัดเจนที่สุดของเครื่องรุ่นนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะในสภาพแสงที่เครื่อง 2 รุ่นแรกไม่สามารถบันทึกภาพได้ แต่ P30 Pro สามารถถ่ายและเก็บรายละเอียดออกมาได้ แม้ใช้งานในโหมดอัตโนมัติ
นอกจากนี้ การซูมภาพในระยะที่ให้ความคมชัดมากที่สุดของรุ่นนี้ เมื่อหันมาใช้เลนส์ซูมแบบ Periscope ทำให้การถ่ายภาพระยะ 10x ที่เป็นไฮบริดจ์ซูมได้ความคมชัดมาก และช่วยให้สามารถทำดิจิทัลซูมไปได้สูงถึง 50 เท่าด้วย
ส่วนกล้องหน้าที่หันมาใช้เลนส์แบบฟิกซ์โฟกัส ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล เมื่อทำงานร่วมกับระบบ AI ก็ช่วยให้สามารถละลายหลังได้เมื่อถ่ายเซลฟี่ รวมไปถึงการใส่เอฟเฟกต์ภาพต่างๆ และเนื่องจากเป็นเลนส์แบบฟิกซ์โฟกัส ทำให้เหมาะกับระยะการถ่ายเซลฟี่เป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของโหมดการถ่ายวิดีโอ P30 Pro ยังมีจุดที่ยังไม่สามารถแซงคู่แข่งได้อย่างเรื่องระบบกันสั่น การโฟกัสภาพ การตรวจจับวัตถุต่างๆ ที่เชื่อว่ามีโอกาสพัฒนาขึ้นอีกแน่นอนในอนาคต ซึ่งถ้ามองเทียบกับรุ่นก่อนหน้าของหัวเว่ยก็ถือว่าพัฒนาขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดแล้ว
โหมดถ่ายวิดีโอที่น่าสนใจใน P30 Pro คือเรื่องของการถ่ายวิดีโอ 2 กล้องพร้อมกัน ทำให้ได้มุมมองที่แตกต่างกัน คือได้ทั้งแบบมุมกว้าง และมุมแคบ ทำให้ได้ภาพเคลื่อนไหวที่แปลกตาไปอีกแบบ
Photos Gallery
ฟีเจอร์อื่นๆก็ไม่ทิ้ง
ต่อมา หลังจากเรื่องกล้องฟีเจอร์อื่นๆที่ถูกนำเสนอมาใน Mate20 Pro ที่ถือเป็นรุ่นแฟลกชิปที่เน้นประสิทธิภาพ Huawei ก็มีการนำมาให้ใช้งานภายใน P30 Pro นี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นระบบบริหารจัดการพลังงาน ที่ทำให้ P30 Pro สามารถใช้งานบนแบตเตอรีขนาด 4,200 mAh ได้สบายๆ
พร้อมด้วยเทคโนโลยีชาร์จเร็ว Huawei Super Charge ที่รองรับไฟแรง 40W ทำให้สามารถชาร์จได้ 70% ในเวลา 30 นาที รวมกับรองรับการชาร์จไร้สาย และฟีเจอร์อย่าง Reverse Charge ที่จะแชร์แบตเตอรีแบบไร้สายให้อุปกรณ์อื่นด้วย
ส่วนการปลดล็อกด้วยการสแกนลายนิ้วมือก็ทำได้รวดเร็ว แถมตัวเครื่อง P30 Pro ยังมากับการป้องกันน้ำกันฝุ่นระดับ IP68 ที่น้ำลึก 1.5 เมตร ไม่เกิน 30 นาที ทำให้ในการใช้งาน เมื่ออกไปถ่ายภาพก็ไม่ต้องกังวลเมื่อฝนตก
ในส่วนของประสิทธิภาพตัวเครื่อง เนื่องจาก P30 Pro นำชิปเซ็ตอย่าง Kirin 980 มาใช้งาน ซึ่งถือเป็นหน่วยประมวลผลบนสถาปัตยกรรมแบบ 7 นาโนเมตรรุ่นแรกๆของโลกอยู่แล้ว เมื่อนำมาใช้งานคู่กับเครื่อง RAM 8 GB ROM 256 GB จึงถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่อยู่ในกลุ่มประสิทธิภาพสูงในทันที
แต่ถ้ามองในแง่ของการเป็นเครื่องไฮเอนด์แล้ว P30 Pro ก็ยังมีจุดที่น่าเสียดายอยู่เมื่อเทียบกับ Mate20 Pro อย่างเรื่องจอแสดงที่ Mate20 Pro ให้ความละเอียดจอเป็น 2K รวมถึงกล้องหน้าที่รองรับการสแกนใบหน้าแบบ 3D ที่หายไปในรุ่นนี้
ดีไซน์ ยังคงสำคัญ
ดีไซน์ตัวเครื่องของ P30 Pro ถูกพัฒนามาเรื่อยๆ จากรุ่นเดิมที่เป็นจอแบน พอมาในรุ่นนี้ก็พัฒนามาเป็นจอโค้ง เช่นเดียวกับใน Mate20 Pro ที่ทำเป็นรุ่นจอโค้งมาก่อนแล้ว พร้อมกับปรับลดรอยบากบนหน้าจอออกไป เหลืองเพียงกล้องหน้าอยู่ตรงกึ่งกลางจอด้านบนเท่านั้น เพื่อให้ได้หน้าจอแสดงผลที่เต็มพื้นที่มากที่สุด
ด้านหลังเครื่องก็มีการไล่เฉดสีตามสมัยนิยม โดยเฉพาะสีอย่าง Breathing Crystal ที่จะไล่เฉดสีตามแต่ละมุมมอง ทำให้ตัวเครื่องมีความหรูหรามากยิ่งขึ้น ประกอบกับการออกแบบให้เป็นขอบหลังโค้งด้วยเช่นกัน ทำให้เวลาจับถือถนัดมือมากยิ่งขึ้น
ขนาดของ P30 Pro จะอยู่ที่ 73.4 x 158. X 8.41 มิลลิเมตร น้ำหนัก 192 กรัม โดยส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่ของหน้าจอ 6.47 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ (2340 x 1080 พิกเซล) แน่นอนว่าเมื่อหันมาใช้จอโค้งทำจะเสียพื้นที่บริเวณขอบเครื่องไปบางส่วน ซึ่งในจุดนี้ถ้าเป็นผู้ที่ไม่ค่อยชินกับจอโค้งเวลาใช้งานช่วงแรกๆ จะต้องมีอาการสัมผัสบริเวณขอบไม่ค่อยติดอยู่บ่อยๆ
ส่วนรอบๆตัวเครื่องของ P30 Pro ทางด้านซ้ายจะถูกปล่อยว่างไว้ ส่วนทางด้านขวา เป็นปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มเปิด–ปิดเครื่อง ขณะที่ด้านบนจะมีไมโครโฟนตัดเสียง และพอร์ตอินฟาเรตที่เอาไว้ใช้ควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ
ด้านล่างจะนอกจากเป็นที่อยู่ของพอร์ต USB-C ที่ใช้เป็นทั้งช่องชาร์จแบตเตอรี เชื่อมต่อหูฟัง และอุปกรณ์เชื่อมต่อต่างๆ พร้อมกับรูไมโครโฟน ก็จะมีช่องใส่นาโนซิมการ์ด ที่รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิม หรือ 1 ซิม คู่กับการ์ดนาโนเมมโมรี่ (NM Card) ของหัวเว่ยโดยเฉพาะ
ส่วนลำโพงสนทนา P30 Pro จะใช้เทคโนโลยีใหม่ Acoustic Display ที่ใช้การกระจายตัวของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จากการสั่นสะเทือนในจอภาพ ทำให้เสียงสามารถแนบหน้าจอเข้ากับหูเพื่อใช้งานได้เลย ส่วนเสียงลำโพงของเครื่องรุ่นนี้ที่เป็นแบบโมโน ก็จะไม่ดังออกมาจนกังวาล แต่อยู่ในระดับที่เพียงพอกับการใช้งาน
อุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องของ P30 Pro นอกจากตัวเครื่องก็จะมี อะเดปเตอร์ที่รองรับการชาร์จเร็ว 40w สายชาร์จ USB-C หูฟัง USB-C เคสใส คู่มือ เข็มจิ้มถาดซิมมาให้
Gallery
สรุป
จากประสิทธิภาพของกล้องในหลายๆจุด Huawei P30 Pro ได้พิสูจน์ถึงความเป็นสมาร์ทโฟนที่กล้องถ่ายภาพนิ่งได้ดีที่สุดในตลาดเวลานี้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ก็ยังมีส่วนที่ต้องพัฒนาในการถ่ายวิดีโอให้ดีขึ้น เทียบกับคู่แข่งรายอื่นๆในท้องตลาด
นอกจากนี้ ด้วยการทำราคากับโอเปอเรเตอร์ และโปรโมชันในช่วงเปิดจองทำให้ P30 Pro กลายเป็นสมาร์ทโฟนที่ระดับราคาน่าสนใจ เพราะถ้าเป็นผู้ที่ใช้แพกเกจมือถือรายเดือนแพงๆอยู่แล้ว ก็สามารถซื้อเครื่องได้ในราคาเริ่มต้นที่ 9,990 บาท จากราคาปกติที่ 31,990 บาท ซึ่งถือว่าลดเยอะมาก