Tablets – CBIZ Reviews – MGR Online https://cyberbiz.mgronline.com เว็บไซต์รีวิวอุปกรณ์ ไอที ไฮเทค เป็นส่วนหนึ่งของผู้จัดการออนไลน์ Mon, 28 Jun 2021 06:14:49 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0 Review : Apple iPad Pro 12.9” M1 เร็วแรง จอสวย ครบเครื่อง https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-ipad-pro-m1/ Mon, 28 Jun 2021 06:14:44 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=35440

การนำชิปเซ็ต Apple M1 มาใช้งานบน iPad Pro ทั้ง 11” และ 12.9” ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการเปิดตัว iPad Pro รุ่นของปี 2021 ที่อัปเกรดในเรื่องประสิทธิภาพการประมวลผลภายในชิปเซ็ต ช่วยให้ตัวเครื่องทำงานได้อย่างลื่นไหล

Apple iPad 12.9” ยังมากับหน้าจอแบบใหม่ Liquid Retina XDR ที่รองรับช่วงสีที่กว้างขึ้น และกลายเป็น iPad รุ่นที่จอสวยสุดในเวลานี้ โดยยังคงความสามารถของทั้ง ProMotion True Tone P3 Colour และลดแสงสะท้อนจากหน้าจอด้วย

ทำให้ iPad Pro 12.9” เป็นแท็บเล็ตที่แรง จอสวย รองรับการใช้งานที่หลากหลายทั้ง ใช้งานคู่กับ Apple Pencil 2nd Gen เพื่อสร้างสรรค์ผลงานวาดเขียน จดบันทึก หรือใช้งานควบคู่กับ Magic Keyboard ทำให้มี Productivity ในการทำงานได้มากขึ้น ร่วมกับ iPadOS

ข้อดี

  • iPad ประสิทธิภาพสูง รองรับการใช้งานหลากหลาย
  • จอ Liquid Retina XDR 12.9”
  • ตัวเครื่องรองรับ 5G
  • มีพื้นที่เก็บข้อมูลให้เลือกสูงถึง 2TB

ข้อสังเกต

  • ราคาค่อนข้างสูง
  • ถ้าต้องการใช้งานให้ครบทุกความสามารถต้องซื้ออุปกรณ์เสริมอย่าง Pencil และ Keyboard เพิ่ม
  • Magic Keyboard สีขาวเปื้อนง่ายมาก

Apple M1 เพิ่มประสิทธิภาพ iPad Pro

การเปลี่ยนชิปเซ็ตประมวลผลจาก Apple A12Z Bionic มาใช้งาน Apple M1 ที่มีการผสมผสานทั้งหน่วยประมวลผล กราฟิก ชิปประมวลผลทางด้าน AI อย่าง Apple Neural Engine เข้าไป ทำให้ iPad Pro รองรับการใช้งานได้ครบถ้วนมากขึ้น

ตั้งแต่การใช้งานเพื่อความบันเทิงแบบจัดเต็ม หรือการประมวลผลหนักๆ อย่างการอ่านข้อมูลขนาดใหญ่ ปรับแต่งภาพความละเอียดสูง จนถึงการตัดต่อวิดีโอระดับ 4K ได้อย่างลื่นไหล ทำให้กลายเป็นอุปกรณ์พกพาที่ทรงพลัง

ข้อมูลจากแอปเปิลระบุว่า Appe M1 ที่เป็น CPU 8 Core GPU 8 Core และ Apple Neural Engine 16 Core แรงกว่าซีพียูรุ่นก่อนหน้าถึง 50% และการประมวลผลภาพเร็วขึ้นถึง 40% ส่งผลให้ iPad Pro แรงกว่าโน้ตบุ๊กเกือบทุกรุ่นในตลาดตอนนี้

โดยการประมวลผลที่เร็วขึ้นของ Apple M1 ช่วยให้ผู้ที่ใช้งานทางครีเอทีฟทำงานบน iPad ด้วยระยะเวลาที่น้อยลง ทั้งการใช้งาน Adobe Photoshop Affinity Photo หรือตัดต่อวิดีโอด้วย LumaFusion

ขณะเดียวกัน ถ้าเป็นนักพัฒนาที่กำลังศึกษาเกี่ยวกับ AR VR การที่ M1 มี Neural Engine จะช่วยให้การประมวลผลทางด้านแมชชีนเลิร์นนิ่งต่างๆ ทำได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อรวมกับกล้องที่รองรับ LiDAR ทำให้ iPad Pro รองรับการใช้งาน XR ได้เป็นอย่างดี

จอสวยงาม คมชัด

อีกจุดเด่นที่ปรับปรุงขึ้นของ iPad Pro 12.9 นิ้ว คือหน้าจอที่เลือกใช้แหล่งกำเนิดแสงแบบ mini-LED มาใช้งาน ใน Liquid Retina XDR ความละเอียด 2732 x 2048 พิกเซลนี้ ช่วยให้การแสดงผลของ iPad Pro มี Extreme Dynamic Range ที่สูงขึ้น และยังรองรับ ProMotion ที่ปรับอัตราการแสดงผลระหว่าง 24Hz – 120Hz แบบอัตโนมัติ

นอกจากนี้ เพื่อให้รองรับการใช้งานในสถานที่ต่างๆ รวมถึงในที่แสงจัด ทำให้ iPad Pro 12.9 เพิ่มความสว่างหน้าจอขึ้นมาอยู่ที่ 1000 nits และเร่งได้สูงสุดถึง 1600 nits ซึ่งรองรับการแสดงผลแบบ HDR ทำให้ภาพนิ่ง และวิดีโอที่ได้ชัดเจน และสวยงาม

การเลือกใช้ mini-LCD ยังช่วยให้ทำ Contrast Ratio ได้สูงถึง 1,000,000 : 1 จากจุดกำแนิดแสงที่ละเอียดขึ้นถึง 2596 จุด โดยเมื่อใช้งานกับคอนเทนต์ที่รองรับ Dolby Vision HDR10+ จะสามารถรีดประสิทธิภาพของจอ Liquid Retina XDR ออกมาได้

อย่างไรก็ตาม iPad Pro รุ่นหน้าจอ 11 นิ้ว จะยังใช้จอ Liquid Retina เช่นเดิม ไม่ได้ถูกอัปเกรดมาเป็น Liquid Retina XDR ดังนั้น ถ้าใครใช้งาน iPad Pro 11” อยู่แล้วอยากเปลี่ยนมาใช้รุ่นปี 2021 ก็อาจจะไม่จำเป็นนัก แต่ถ้าข้ามมารุ่นจอใหญ่ 12.9” ก็จะมีความแตกต่างมากขึ้น

มาพร้อม 5G – Thunderbolt 3 – USB 4

การเชื่อมต่อที่ครบจากรุ่น Cellular ที่รองรับทั้ง WiFi 6 และ 5G ทำให้ iPad Pro มีความสมบูรณ์ในการใช้งานมากขึ้น เพราะสามารถรับส่งไฟล์ความละเอียดสูงได้อย่างรวดเร็ว แม้ทำงานอยู่นอกสถานที่ ช่วยปลดล็อกข้อจำกัดหลายๆ อย่างที่ 4G ทำไม่ได้ โดยเฉพาะเวลาที่ต้องดาวน์โหลดไฟล์งานขนาดใหญ่มาใช้

ส่วนผู้ที่มีอุปกรณ์เสริม USB-C อยู่แล้ว ก็สามารถเชื่อมต่อเพื่อโอนถ่ายข้อมูลที่ความเร็วสูงขึ้นถึง 40 Gbps เมื่อใช้งานร่วมกับ Thunderbolt 3 และ USB 4 นอกจากนี้ ยังสามารถใช้เชื่อมต่อกับจอความละเอียดสูงระดับ pro Display XDR ที่ความละเอียด 6K ได้ด้วย

หรือในกรณีที่ต้องการเชื่อมต่อ 10 Gigabit พอร์ต Thunderbolt ที่ให้มาก็รองรับ จึงทำให้ iPad Pro รุ่นปี 2021 มีการเชื่อมต่อที่ครบถ้วนมาก และพื้นที่เก็บข้อมูลภายในยังมีให้เลือกสูงสุดถึง 2TB ด้วย

ดีไซน์เดิมที่คุ้นเคย

ในแง่ของดีไซน์ตัวเครื่อง iPad Pro 12.9 นั้นมีความเปลี่ยนแปลงน้อยมากๆ คือตัวเครื่องหนาขึ้นเล็กน้อย เป็น 280.6 x 214.9 x 6.4 มิลลิเมตร จากรุ่นก่อนหน้าที่ 5.9 มิลลิเมตร ซึ่งความหนา 6.4 มิลลิเมตร ก็ยังถือว่าเป็นแท็บเล็ตที่บางมากๆ อยู่ดี

บริเวณขอบหน้าจอด้านบน (แนวตั้ง) หรือด้านซ้าย (แนวนอน) จะเป็นที่อยู่ของกล้อง TrueDepth 12 ล้านพิกเซล f/2.4 ที่รองรับการปลดล็อกด้วย FaceID สามารถบันทึกวิดีโอที่ความละเอียด 1080p 60fps

รอบตัวเครื่องทางด้านบน (แนวนอน) จะมีปุ่มปรับระดับเสียง แถบแม่เหล็กไว้เชื่อมต่อกับ Apple Pencil 2nd Gen และช่องใส่ซิมการ์ดแบบนาโนซิม ทางขวา จะมีพอร์ต USB-C ทางซ้ายมีปุ่มเปิดเครื่อง

ที่เพิ่มขึ้นมาคือลำโพง 4 จุด ช่วยให้คุณภาพเสียงสเตอริโอของ iPad Pro พัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เช่นเดียวกับไมโครโฟนรับเสียงที่เพิ่มขึ้นเป็น 5 จุด ทำให้ได้เสียงในระดับสตูดิโอเวลาใช้งาน FaceTime หรือ VDO Call

โดยความน่าสนใจของ iPad Pro รุ่นปี 2021 นี้ คือการพัฒนากล้อง TrueDepth ให้มีความสามารถอย่าง Center Stage เพื่อรับกับพฤติกรรมการใช้งานวิดีโอคอลล์ที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19

Center Stage จะนำ AI มาช่วยในการจับภาพ และทำให้ใบหน้าอยู่บริเวณกึ่งกลางของกล้องตลอดเวลา ช่วยให้เวลาใช้งานสามารถขยับ เคลื่อนไหวไปรอบๆ ได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะหลุดออกจากเฟรมเกินไป

ส่วนกล้องหลังยังมาพร้อมกับกล้องเลนส์หลัก 12 ล้านพิกเซล และเลนส์มุมกว้าง 10 ล้านพิกเซล พร้อม LiDAR Scanner ในการตรวจจับวัตถุ และระยะต่างๆ เช่นเดิม ซึ่งช่วยให้สามารถจับโฟกัสในที่แสงน้อยได้ด้วย

ราคาจำหน่าย

Apple iPad Pro 12.9 ที่มาพร้อมชิป Apple M1 วางจำหน่ายในรุ่น RAM 8 GB พื้นที่เก็บข้อมูลให้เลือกตั้งแต่ 128 GB 256 GB และ 512 GB ส่วนพื้นที่เก็บข้อมูล 1 TB และ 2 TB จะมากับ RAM 16 GB

iPad Pro 12.9 นิ้ว ราคา 37,900 บาท – 76,400 บาท ถ้าต้องการรุ่น Cellular ก็เพิ่มเงินอีก 5,000 บาท ในทุกช่วงราคา ส่วน iPad Pro 11 นิ้ว ราคาเริ่มต้น 27,900 บาท – 66,400 บาท

ส่วนราคา Apple Pencil 2nd Gen อยู่ที่ 4,490 บาท Magic Keyboard (3rd Gen) สำหรับรุ่น 11” อยู่ที่ 9,990 บาท ส่วนรุ่น 12.9” อยู่ที่ 11,690 บาท นอกจากนี้ยังมี Smart Keyboard Folio เริ่มต้นที่ 5,990 บาท – 6,590 บาท

สรุป

iPad Pro 12.9 ที่มากับชิปเซ็ต M1 ถือเป็นแท็บเล็ตประสิทธิภาพสูงที่รองรับการใช้งานได้หลากหลายมาก ขึ้นอยู่กับการนำไปใช้งาน ซึ่งถ้าเป็นกลุ่มผู้ใช้ที่เป็นมืออาชีพ ครีเอเตอร์ ช่างภาพ ตัดต่อวิดีโอ นักพัฒนาต่างๆ iPad Pro รุ่นใหม่นี้ตอบโจทย์แน่นอน

แต่ถ้าไม่ได้มองหาการประมวลผลระดับสูง และขนาดหน้าจอ 11 นิ้ว เพียงพอกับการใช้งาน ตัวเลือกอย่าง iPad Air ที่เพิ่งปรับโฉมมาลักษณะเดียวกับ iPad Pro ก็เพียงพอกับการใช้งานทั่วไปอยู่แล้ว ดังนั้นคงต้องดูว่า iPad Pro รุ่นนี้คุ้มค่ากับการใช้งานหรือไม่

]]>
Review : Apple iPad Air (2020) เปลี่ยนโฉม พร้อมชิป A14 Bionic ที่แรงขึ้น https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-ipad-air-2020/ Wed, 21 Oct 2020 13:00:45 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=33970

การปรับโฉมของ Apple iPad Air รุ่นที่ 4 หรือ iPad Air 2020 นั้น กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ไลน์ผลิตภัณฑ์แท็บเล็ตของ แอปเปิล นั้นมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพื่อตอบรับกับรูปแบบการใช้งานที่หลากหลายของผู้บริโภค

โดยจุดเด่นของ iPad Air (2020) นอกจากการปรับดีไซน์มาในลักษณะเดียวกันกับ iPad Pro 11” มีให้เลือกหลายสีสัน แล้วยังนำความสามารถหลายๆ อย่างมาให้ใช้งาน โดยเฉพาะพอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB-C ทำให้สามารถใช้ iPad Air เชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมได้หลากหลายขึ้น

ในขณะเดียวกัน ยังมีการนำชิป Apple A14 Bionic ที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบ 5 นาโนเมตร ที่ประมวลผลเร็วขึ้น พร้อมกับเปลี่ยนปุ่มเปิดปิดเครื่องให้กลายเป็น Touch ID เพื่อปลดล็อกตัวเครื่องด้วยการสแกนลายนิ้วมือ สำหรับราคาเริ่มต้นของ iPad Air 2020 อยู่ที่ 19,900 บาท

ข้อดี

  • ดีไซน์ใหม่ มีสีให้เลือกเพิ่มขึ้น จอใหญ่ขึ้น
  • ยังมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือให้ใช้งาน
  • พอร์ตเชื่อมต่อ USB-C
  • ใช้งานอุปกรณ์เสริมร่วมกับ iPad Pro 11” ได้

ข้อสังเกต

  • ยังไม่รองรับ FaceID
  • จอยังเป็น Refresh Rate 60 Hz
  • ถ้าต้องการใช้ปากกาต้องซื้อ Apple Pencil เพิ่มอีก 4,490 บาท

ปรับโฉมใหม่ ประสิทธิภาพดีขึ้น

แม้ว่ารูปทรงของ iPad Air รุ่นนี้จะไม่ได้ถูกออกแบบใหม่หมดเสียทีเดียว เพราะเป็นการนำดีไซน์ของ iPad Pro 11 นิ้ว มาใช้ แต่ก็ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับสินค้าในตระกูลของ iPad Air

โดยแต่เดิม iPad Air รุ่นแรกจะมีขนาดหน้าจออยู่ที่ 9.7 นิ้ว ก่อนปรับมาเป็นขนาด 10.5 นิ้ว ในรุ่นที่ 3 (2019) และล่าสุดในการปรับดีไซน์มาเป็นเครื่องสี่เหลี่ยมขอบตัดในรุ่นที่ 4 นี้ ขนาดหน้าจอของ iPad Air ก็เพิ่มขนาดขึ้นเป็น 10.9 นิ้ว ในขนาดตัวเครื่องใกล้เคียงเดิม

คุณสมบัติของหน้าจอ iPad Air นั้นใช้จอภาพแบบ Liquid Retina ขนาด 10.9 นิ้ว ให้ความละเอียด 2360 x 1640 พิกเซล 264 ppi มีการเคลือบสารกันรอยนิ้วมือ และแสงสะท้อน แสดงผลสีขอบเขตกว้างระดับ P3 เพียงแต่ว่ายังใช้อัตราแสดงผล (Refresh Rate) ที่ 60 Hz

ส่วนบนหน้าจอมีกล้องหน้าความละเอียด 7 ล้านพิกเซล f/2.2 ให้ไว้ใช้งานร่วมกับ FaceTime HD และบันทึกวิดีโอได้ความละเอียดสูงสุด 1080p ที่ 60fps ซึ่งยังไม่ได้นำชุดกล้อง FaceID มาใช้งานใน iPad Air รุ่นนี้

ตัวเครื่องโดยรวมจะอยู่ที่ขนาด 247.6 x 178.5 x 6.1 มิลลิเมตร น้ำหนัก 458 กรัม มีให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 5 สี แบ่งเป็นสีเริ่มต้นอย่าง เทาสเปซเกรย์ เงิน โรสโกลด์ เขียว และสกายบลู

อีกจุดที่น่าสนใจคือบริเวณปุ่มเปิดปิดเครื่อง ที่ Apple มีการนำ TouchID มาใช้งานร่วมกับปุ่มนี้บน iPad เป็นครั้งแรก จากเดิมที่ใช้ร่วมกับปุ่ม Home ทั้งบน iPhone และ iPad รุ่นเก่า กับบน MacBook ที่มีการฝั่งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือบนปุ่มเปิดเครื่อง

ด้านขวาของเครื่องยังเป็นแม่เหล็กที่ใช้เชื่อมต่อกับ Apple Pencil 2 ไว้สำหรับจับคู่ และชาร์จแบตในตัว ซึ่งแน่นอนว่าใครที่ใช้งาน Apple Pencil รุ่นแรกอยู่ พออัปเกรดมาใช้งาน iPad Air ใหม่นี้ก็ต้องซื้อ Apple Pencil 2 ใหม่ด้วย

ด้านหลังตัวเครื่อง iPad Air จะมากับกล้องความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/1.8 รองรับการถ่ายวิดีโอระดับ 4K ซึ่งเป็นเลนส์เดียวกับใน iPad Pro แต่จะไม่มีเลนส์วัดระยะ LiDAR Scanner มาให้ด้วยนั่นเอง ส่วนล่างก็จะเป็นคอนเนคเตอร์ในการเชื่อมต่อกับคีย์บอร์ด

สำหรับพอร์ตเชื่อมต่อที่ให้เป็น USB-C นั้นจะอยู่ที่ด้านล่างเครื่องถ้าถือใช้งานในแนวตั้ง และทางขวา ในกรณีที่ใช้งานร่วมกับ Magic Keyboard โดยใช้เป็นพอร์ตสำหรับเชื่อมต่อสายชาร์จ ถ่ายโอนข้อมูลสูงสุด 5 Gbps เชื่อมต่อกับกล้องดิจิทัล ฮาร์ดดิสก์พกพา และต่อจอภาพได้ความละเอียดสูงสุด 4K

ภายในกล่องจะมีอะเดปเตอร์ชาร์จไฟแบบ 20W มาให้ พร้อมสาย USB-C ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก iPad Pro ที่เป็นแบบ 18W และได้กลายเป็นอะเดปเตอร์ USB-C มาตรฐานของ Apple ที่ใช้งานในปัจจุบันแล้ว

สเปก

สำหรับ iPad Air จะมากับหน่วยประมวลผล A14 Bionic ที่นำสถาปัตยกรรมแบบ 5 นาโนเมตร มาใช้งาน ร่วมกับทรานซิสเตอร์ 11,800 ล้านตัว เพื่อช่วยประมวลผลภายในซีพียูแบบ 6 คอร์ โดยแบ่งเป็น 2 คอร์ ที่เน้นการประมวลผลหนักๆ และอีก 4 คอร์ มาใช้เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ

พร้อมกันนี้ ยังมากับกราฟิกแยกอีก 4 คอร์ ทำให้สามารถประมวลผลทั้งการเล่นเกม ตัดต่อวิดีโอ จนถึงเรนเดอร์คอนเทนต์ 3มิติ ได้รวดเร็วขึ้น และยังเป็นชิปเซ็ตที่ใส่ Neural Engine มาใช้เรียนรู้การใช้งานเพิ่มเติมด้วย

ด้านการเชื่อมต่อ iPad Air จะมีทั้งรุ่น WiFi และรุ่น Cellular ที่เป็น 4G LTE  ซึ่งรองรับการใช้งาน WiFi 6 Bluetooth 5.0 ทำงานบนระบบปฏิบัติการ iPadOS 14 ที่ช่วยปลดล็อกการใช้งาน iPad ให้ดีขึ้น

ความแตกต่างกับ iPad Pro

(ซ้าย) iPad Pro 11″ (ขวา) iPad Air

ด้วยการที่ตัวเครื่อง iPad Air รุ่นที่ 4 นี้ นำดีไซน์ของ iPad Pro มาใช้งาน ทำให้มีความสงสัยตามมาว่า แล้ว 2 รุ่นนี้แตกต่างกันอย่างไร ถ้าต้องเลือกใช้งานระหว่าง 2 รุ่นนี้ มีอะไรที่ต้องคำนึงถึงบ้าง

จุดหลักๆ ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดนอกเหนือจากหน้าจอ 10.9 นิ้ว และ 11 นิ้ว แล้ว ก็คือการที่ iPad Air ไม่มี FaceID เพราะมากับปุ่ม TouchID แทน ยังมีเรื่องของการแสดงผลหน้าจอที่ iPad Pro มาพร้อมกับเทคโนโลยี ProMotion ที่แสดงผลในอัตรการ 120 Hz

ผลทดสอบประสิทธิภาพของ iPad Air

ผลทดสอบประสิทธิภาพของ iPad Pro 11″

นอกจากนี้ ชิปเซ็ต A12Z Bionic พร้อม RAM 6 GB ที่อยู่บน iPad Pro นั้น ยังคงแรงกว่า A14 Bionic RAM 5 GB ที่นำมาใช้งานกับ iPad Air ในกรณีที่เป็นการประมวลผลแบบ Multitasking ดังนั้น iPad Air จึงยังคงอยู่ตรงกลางระหว่าง iPad รุ่นปกติ และ iPad Pro อยู่เช่นเดิม

โดยการใช้งานของ iPad Air นั้นทำมารองรับผู้ที่เป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์มากยิ่งขึ้น ทั้งการเพิ่มพอร์ต USB-C และหน่วยประมวลผล A14 Bionic นั้นก็รองรับการประมวลผลสูงๆได้ ทำให้สามารถตัดต่อวิดีโอ 4K ทำกราฟิกต่างๆ บน iPad Air ได้ทันที

แต่แน่นอนว่าถ้าเป็นกลุ่มผู้ใช้งานที่เป็นมืออาชีพ ตัวเลือกอย่าง iPad Pro ที่มีขนาดหน้าจอ 11 นิ้ว และ 12.9 นิ้ว ให้เลือกยังเป็นรุ่นที่น่าสนใจมากกว่า แต่ก็แลกกับราคาที่สูงขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน

อุปกรณ์เสริมช่วยเพิ่มรูปแบบการใช้งาน

การใช้งาน iPad Air ให้ครบชุดนั้น นอกจากตัวเครื่อง iPad ที่มีราคาเริ่มต้นสำหรับรุ่น WiFi 64 GB อยู่ที่ 19,900 บาท 256 GB 24,900 บาท ขณะที่รุ่น Cellular เริ่มต้นที่รุ่น 64 GB 24,400 บาท และ 256 GB 29,400 บาท

iPad Air คู่กับ Magic Keyboard

ยังมีอุปกรณ์เสริมที่น่าสนใจอย่าง Apple Pencil 2 ราคา 4,490 บาท ตามด้วย Magic Keyboard ที่ 9,900 บาท หรือถ้าเลือกใช้งานเป็น Smart Keyboard จะอยู่ที่ 5,990 บาท ส่วน Smart Cover อยู่ที่ 2,990 บาท

iPad Air กับ Smart Cover

ดังนั้น ถ้าใครจะเลือกซื้อ iPad Air อย่าลืมเผื่องบประมาณสำหรับอุปกรณ์เสริมเพิ่มเติมด้วย เพื่อให้ได้ประสบการณ์ใช้งานที่ดีที่สุด แต่ถ้าไม่ได้ต้องใช้การป้อนข้อมูลด้วยคีย์บอร์ดมากนัก เลือกซื้อเฉพาะ iPad Air คู่กับ Apple Pencil 2 ก็เพียงพอกับการใช้งานแล้ว

ความรู้สึกหลังใช้งาน

ต้องยอมรับว่า Touch ID ที่แอปเปิล เลือกนำมาวางไว้ที่ปุ่มเปิดปิดเครื่อง นั้นช่วยให้ใช้งาน iPad Air ได้สะดวกขึ้น จากเดิมถ้าใช้งาน iPad Pro จะเจอปัญหาเดียวกับผู้ใช้งาน iPhone คือเวลาที่สวมหน้ากากอนามัย จะไม่สามารถปลดล็อกด้วย FaceID ได้

ทำให้การปลดล็อกตัวเครื่องกลับมาสะดวกเหมือนเดิมแล้ว ที่สำคัญคือในตอนที่เริ่มตั้งค่า Touch ID เหมือนแอปเปิลคิดมาให้แล้วว่ารูปแบบการจับถือใช้งาน iPad Air จะมีด้วยกัน 2 ลักษณะด้วยกัน

ประกอบด้วยการใช้งานแนวตั้ง ที่ปุ่มเปิดเครื่องอยู่ทางขวาบน ก็จะเริ่มแนะนำให้สแกนนิ้วชี้ข้างขวาก่อน หลังจากนั้นจึงให้ปรับตัวเครื่องในแนวนอน และสแกนนิ้วชี้ข้างซ้ายแทน ช่วยให้เวลาถือเครื่องใช้งานสามารถปลดล็อกได้สะดวก

คำถามที่ตามมาคือทำไม แอปเปิล ไม่นำ Touch ID บนปุ่มเปิดเครื่องมาใช้งานกับ iPhone 12 ด้วย เพราะเชื่อว่าทุกคนยังต้องใส่หน้ากากใช้ชีวิตเวลาอยู่นอกบ้านกันอีกพักใหญ่จนกว่าวัคซีนป้องกันโควิด-19 จะออกมาให้ได้ฉีดกัน

ในส่วนของประสิทธิภาพ iPad Air นั้นยอมรับว่า A14 Bionic ทำได้ประทับใจ เพราะจากที่ทดสอบใช้งานเล่นเกม ประมวลผลหนักๆ หรือตัดต่อวิดีโอระดับ 4K ความเร็ว และความลื่นไหลที่ได้ ถือว่าตอบโจทย์ทั้งหมด แบตเตอรีใช้งานได้ทั้งวันสบายๆ

สรุป

รวมๆ แล้ว iPad Air จะกลายเป็นตัวเลือกแท็บเล็ต สำหรับผู้ที่ต้องการใช้งาน iPad ในขั้นสูงมากขึ้น เมื่อเทียบกับ iPad รุ่นปกติ เมื่อใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เสริมของ iPad Pro 11 นิ้ว ได้ ยิ่งทำให้ iPad Air มาใช้ทำงานบางส่วนแทนคอมพิวเตอร์ได้แล้วเช่นกัน

ทั้งนี้ ด้วยระดับราคาของ iPad Air ที่ถ้าจะซื้อใช้งานจริงๆ ควรเลือกเป็นรุ่น 256 GB เพื่อให้สามารถเก็บไฟล์ข้อมูลรูปภาพ หรือวิดีโอ ได้เพียงพอ ก็จะขึ้นไปอยู่ราว 24,900 บาท ก็ถือว่าค่อนข้างสูง เพราะถ้าซื้อร่วมกับ Apple Pencil 2 ก็ขึ้นไปอยู่เกือบ 30,000 บาทแล้ว

อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่ได้ต้องการ iPad ที่มีขนาดหน้าจอใหญ่ สวยขึ้น ได้เทคโนโลยีประมวลผลใหม่ เน้นการใช้งานอินเทอร์เน็ต โซเชียลมีเดียทั่วๆ ไป iPad รุ่นที่ 8 ซึ่งมากับ A12 Bionic ก็เพียงพอกับการใช้งานอยู่แล้ว ไม่ได้จำเป็นที่จะต้องอัปเกรดมาใช้งานเป็น iPad Air แต่อย่างใด

Gallery

]]>
Review : Samsung Galaxy Tab S6 Lite แท็บเล็ตหมื่นต้นๆ พร้อมปากกา S Pen https://cyberbiz.mgronline.com/review-samsung-galaxy-tab-s6-lite/ Wed, 27 May 2020 14:51:17 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=32875

การขยายไลน์สินค้าของซัมซุง มาจับกลุ่มผู้ที่ต้องการใช้งานแท็บเล็ตในช่วงระดับราคาหมื่นต้นๆ ด้วย Samsung Galaxy Tab S6 Lite ในครั้งนี้ ถือว่าเป็นจุดที่มาอุดช่องว่างสำคัญในตลาดแท็บเล็ตได้อย่างเหมาะสม

เนื่องจากที่ผ่านมา Samsung มีแต่แท็บเล็ตในระดับพรีเมียมอย่าง Tab S6 ที่ระดับราคาอยู่ในช่วง 2 หมื่นบาท ในขณะที่คู่แข่งอย่าง Apple มี iPad รุ่นเริ่มต้น ส่วน Huawei ก็มี MediaPad ที่จับกลุ่มระดับราคาหมื่นต้นๆ อยู่ทั้งหมด

Samsung Galaxy Tab S6 Lite จึงเข้ามากลายเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจในช่วงราคา 11,900 บาทได้ทันที ที่สำคัญคือมาพร้อมกับปากกา S Pen พร้อมให้ใช้งานทันที ไม่ต้องซื้อเพิ่มแบบ Apple Pencil และมีให้เลือกรุ่น 4G LTE ด้วยในราคา 14,900 บาท

ข้อดี

  • แท็บเล็ตขนาดหน้าจอ 10.4 นิ้ว น้ำหนักเบา 465 กรัม
  • ทำงานร่วมกับ S Pen
  • แบตเตอรีขนาด 7,040 MHz ใช้งานต่อเนื่องยาวๆ

ข้อสังเกต

  • ไม่รองรับการใช้งาน Samsung DeX
  • รองรับแค่ WiFi 5 ยังไม่เป็น WiFi 6
  • ไม่มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ

แท็บเล็ต เพื่อความบันเทิงเต็มรูปแบบ

ถ้ามองในแง่ของการใช้งานทั่วไป Samsung Galaxy S6 Lite เฉพาะตัวเครื่อง ถือว่าเข้ามาตอบโจทย์ในแง่ของการเป็นแท็บเล็ตเพื่อความบันเทิงในขนาดหน้าจอ 10.4 นิ้ว ได้อย่างลงตัว

ทั้งในแง่ของการออกแบบให้ตัวเครื่องบาง น้ำหนักเบา ถือใช้งานได้ง่ายทั้งแนวตั้ง และแนวนอน โดยขนาดตัวเครื่องของ Tab S6 Lite อยู่ที่ 244.5 x 154.3 x 7 มิลลิเมตร น้ำหนัก 465-467 กรัม (รุ่น WiFi / รุ่น LTE) และมีให้เลือก 3 สี คือ เงิน (Oxford Gray) น้ำเงิน (Angola Blue) และชมพู (Shiffon Pink)

รายละเอียดของจอขนาด 10.4 นิ้ว ที่ใช้งานคือเป็นจอความละเอียด WUXGA+ (2000 x 1200 พิกเซล) 16 ล้านสี โดยมีกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซลอยู่ด้านบน สามารถใช้เพื่อสแกนปลดล็อกใบหน้าได้ด้วย

รอบตัวเครื่อง ทางฝั่งขวา จะมีปุ่มเปิดปิด เเครื่อง และปุ่มปรับระดับเสียง โดยในรุ่น LTE จะมีช่องใส่ถาดซิมอยู่ทางขวาล่างด้วย ส่วนทางซ้ายจะปล่อยว่างไว้ เพื่อให้สามารถใส่เคสตั้งใช้งานในแนวนอนได้

ด้านบน จะมีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ด้านล่าง เป็นพอร์ต USB-C โดยทั้ง 2 ด้าน จะมีลำโพงอยู่ด้วย เพื่อให้เวลาใช้งานเครื่องในแนวนอนจะได้เสียงแบบสเตอรีโอทั้งซ้าย และขวา ที่ปรับแต่งเสียงจาก AKG

ด้านหลังเครื่องจะมีกล้องความละเอียด 8 ล้านพิกเซลอยู่ที่มุมบนเท่านั้น ส่วนที่เหลือจะมีโลโก้ Samsung พาดอยู่ตรงกึ่งกลาง และสำหรับรุ่น LTE จะมีเส้นที่เป็นตัวรับสัญญาณเพิ่มเติมเข้ามา เพื่อใช้รับทั้งสัญญาณ 4G และ WiFi

ภายในของ Tab S6 Lite จะมากับหน่วยประมวลผล Exynos 9611 ความเร็ว 2.3 GHz, 1.7 GHz RAM 4 GB ROM 64 GB แบตเตอรีขนาด 7040 mAh รองรับการเชื่อมต่อ WiFi 5 (802.11ac) บลูทูธ 5.0 4G LTE สามารถใส่ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มเติมได้สูงสุด 1 TB

จุดเด่นอยู่ที่ S Pen

ความพิเศษที่ทำให้ Tab S6 Lite มีความน่าสนใจขึ้นมาจากแท็บเล็ตทั่วไปในระดับราคาดังกล่าวคือ มี S Pen มาให้ใช้งานด้วย ดังนั้นจากการที่เป็นแท็บเล็ตที่ใช้งานเพื่อความบันเทิงเป็นหลัก ก็จะสามารถใช้งานในรูปแบบอื่นได้มากขึ้น

โดยตัว S Pen มีการปรับปรุงดีไซน์ใหม่ให้จับถนัดมือมากยิ่งขึ้น เมื่อเทียบกับที่อยู่ใน Galaxy Note จะมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น ตัว S Pen จะมีแม่เหล็กในตัว ทำให้สามารถแปะติดกับ S6 Lite ได้ทันทีที่ไม่ต้องใช้งาน หัวปากกามีขนาด 0.7 รองรับแรงกด 4,096 ระดับ

อย่างไรก็ตาม การวาดรูปที่อาจจะเป็นงานอดิเรกของใครบางคน แต่ก็สามารถนำมาใช้ทำให้เกิดการสร้างรายได้เพิ่มขึ้นได้เช่นกัน หรือแม้แต่ในกรณีที่ต้องใช้ทำงาน S Pen ก็จะมาช่วยให้คอมเมนต์งานต่างๆ ได้สะดวกขึ้น

หรือในกรณีที่นำมาใช้กับภาคการศึกษา Tab S6 Lite ที่จับคู่กับ S Pen จะช่วยให้สามารถจดบันทึก พร้อมกับเรียนออนไลน์ไปพร้อมๆ กันได้ในตัว จากการที่ตัวเครื่องมีระบบ MultiTasking

จนถึงการเแปลงแท็บเล็ตเป็นสมุดระบายสีให้เด็กๆ ได้ใช้งานในช่วงที่โรงเรียนยังไม่เปิดเทอม ซึ่งจะช่วยเพิ่มสมาธิให้กับเด็กๆ ได้ด้วย หรือถ้าโตขึ้นมาหน่อยใช้เพื่อเรียนรู้ หรือจะเล่นเกมเพื่อความบันเทิงก็รองรับได้เป็นอย่างดี

ข้อดีอีกอย่างคือผู้ที่ใช้งาน Samsung Galaxy Tab S6 Lite จะได้รับสิทธิในการสมัครใช้งาน YouTube Premium ฟรี 4 เดือน จากการเป็นพันธมิตรในการให้บริการระหว่างกูเกิล และซัมซุง

One UI 2 ที่ใช้งานได้ง่ายขึ้น

อีกจุดที่มีการอัปเกรดเพิ่มเติมมาบน Tab S6 Lite คือ User Interface One UI 2 ที่มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 10 เป็นรุ่นแรกของแท็บเล็ตซัมซุง ที่ได้ใช้งาน ทั้งการเพิ่ม Dark Mode ให้ใช้งานได้สบายตามากขึ้นในเวลากลางคืน

พร้อมกับการเชื่อมต่อแท็บเล็ตเข้ากับอีโคซิสเตมส์ของซัมซุง เมื่อใช้งานแท็บเล็ต Tab S6 Lite คู่กับสมาร์ทโฟน Galaxy ที่ลงทะเบียนด้วย Samsung Account เดียวกัน จะสามารถใช้รับโทรศัพท์ได้จากแท็บเล็ตได้ด้วย

รวมถึงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้การใช้งานสะดวกขึ้น อย่างการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่าน Personal Hotspot เมื่อตัวเครื่องตรวจพบว่ามีสมาร์ทโฟนที่ใช้บัญชีเดียวกันอยู่ใกล้เคียง จะแสดงตัวเลือกขึ้นมาให้เลือกเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจากสมาร์ทโฟนใช้งานได้ด้วย

นอกจากนี้ ในกรณีที่เป็นผู้ใช้งาน Spotify แบบ Premium เมื่อล็อกอินเข้าใช้งานแล้ว ยังสามารถค้นหาเพลงต่างๆ ได้จากระบบค้นหาของ Tab S6 Lite ได้ทันที โดยไ่ต้องกดเข้าไปค้นหาจากในแอป Spotify

ทดสอบประสิทธิภาพ

ถ้ามองในแง่ของการใช้งานทั่วไปประสิทธิภาพของ S6 Lite ถือว่าเพียงพอกับการใช้งานอยู่แล้ว โดยเฉพาะเรื่องของแบตเตอรีที่ใช้งานต่อเนื่องได้ยาวนานกว่า 12 ชั่วโมง ดังนั้น เมื่อถอดจากสายชาร์จแล้วใช้งานตลอดวันแบตฯ ก็ยังไม่หมดแน่นอน

สรุป

จะเห็นได้ว่าจากความสามารถของ Samsung Galaxy Tab S6 Lite ที่มาคู่กับปากกา S Pen ให้ใช้งาน ในราคาเริ่มต้นที่ 11,900 บาท ได้กลายมาเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจทันที ในช่วงระดับราคาดังกล่าว

เพราะที่ผ่านมาตลาดนี้แทบจะถูกครองโดย iPad เป็นหลัก ซึ่งทำให้มีตัวเลือกค่อนข้างน้อย การนำ Tab S6 Lite เข้ามาจึงช่วยให้มีตัวเลือกแก่ผู้บริโภคมากขึ้น กับประสิทธิภาพในการใช้งานที่ครอบคลุม และหลากหลายมากกว่า

Gallery

]]>
Review : Apple iPad Pro 11″ (2020) พร้อมคู่หู Magic Keyboard https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-ipad-pro-magic-keyboard/ Mon, 04 May 2020 10:57:23 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=32762

สิ่งที่ แอปเปิล (Apple) พยายามสื่อสารไปยังผู้บริโภคถึงความสามารถของ iPad Pro ในช่วงหลังๆ คือสามารถเข้ามาใช้งานแทนที่โน้ตบุ๊ก พร้อมกับชูเรื่องประสิทธิภาพของ iPad Pro ที่แรงกว่าโน้ตบุ๊กรุ่นทั่วไปในท้องตลาด

จนถึงการแยก iPadOS ออกมาเพื่อพัฒนาให้ iPad Pro รองรับการทำงานให้หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะการทำให้รองรับการใช้งานแทร็กแพด และเมาส์ ผ่านการเชื่อมต่อบลูทูธ จากก่อนหน้านี้ถ้าต้องการใช้งานนจะต้องเชื่อมต่อผ่าน USB-C

พอมาเป็น iPad Pro รุ่นปี 2020 แอปเปิล เลยอัปเดตทั้งตัว iPad Pro ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพิ่มความสามารถของกล้องด้วยการนำเลนส์ LiDAR มาให้ใช้งานเพื่อให้ใช้ AR ได้แม่นยำขึ้น ปิดท้ายที่การออกอุปกรณ์เสริมอย่าง Magic Keyboard มาใช้งานคู่กับ iPad Pro

แน่นอนว่าด้วยระดับราคาของ iPad Pro อาจจะไม่เหมาะกับทุกคน เพราะสามารถหันไปเลือกซื้อโน้ตบุ๊กประสิทธิภาพสูงใช้งานได้ แต่ก็แลกกับเรื่องของความสะดวกในการพกพา และการใช้งานระบบสัมผัสที่ดี และแม่นยำกว่า สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งานที่เหมาะสมเป็นหลัก

ข้อดี

  • iPad Pro ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นจาก Apple Bionic A12Z
  • กล้อง LiDAR Scanner ช่วยให้ใช้งาน AR ได้แม่นยำขึ้น
  • iPad OS ช่วยเสริมให้นำมาใช้งานแทนคอมพิวเตอร์ได้ดีขึ้น

ข้อสังเกต

  • ราคาค่อนข้างสูง เหมาะกับผู้ใช้มืออาชีพเป็นหลัก
  • ใครใช้งานรุ่นเก่าอยู่ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยน
  • พอร์ตใช้งานค่อนข้างจำกัดเพราะมีให้เฉพาะ USB-C เท่านั้น ไม่มีช่องหูฟัง 3.5 มม.

แรงขึ้น สมบูรณ์แบบมากขึ้น

iPad Pro รุ่นปี 2020 จริงๆ แล้วเหมือนเป็นรุ่นไมเนอร์เชนจ์ที่เน้นการอัปเกรดสเปกบนดีไซน์เครื่องแบบเดิม ทำให้ในความเป็นจริงแล้ว ถ้ามี iPad Pro รุ่นปี 2018 อยู่ ก็ยังไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนมาใช้งานรุ่นปี 2020 นี้

เช่นเดียวกับถ้ามีงบประมาณจำกัด การเลือกซื้อ iPad Pro รุ่นปี 2018 ที่มีการปรับราคาลง ก็จะช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น แต่ถ้าวางแผนไว้ว่าจะใช้งานในระยะยาว และงบประมาณไม่ใช่ปัจจัยหลัก การหันมาเลือกรุ่นปี 2020 ก็จะช่วยให้จบในระยะยาวมากกว่า

จุดที่ทำให้ iPad Pro รุ่นใหม่นี้แรงมากขึ้นคือการพัฒนาชิปเซ็ต Apple A12Z Bionic ที่แรงมากขึ้น โดยรุ่นจอ 11 นิ้ว จะมีความละเอียดหน้าจอ 2388  x 1668 พิกเซล 264 ppi  ให้การแสดงผลสีกว้างระดับ P3 ซึ่งยังรักษาเรื่องระยะขอบจอทุกด้านที่เท่ากันอยู่

โดยกล้องหน้าของ iPad Pro จะมากับความละเอียด 7 ล้านพิกเซล ที่มีเทคโนโลยี TrueDepth ไว้ใช้สำหรับปลดล็อกตัวเครื่องด้วย FaceID ด้วย ซึ่งพัฒนาให้สามารถปลดล็อกได้ทุกมุมมอง ไม่จำเป็นต้องเฉพาะแนวตั้ง หรือแนวนอนเท่านั้น

 

อีกส่วนที่พัฒนาเพิ่มคือกล้องหลังที่หันมาใช้กล้อง 2 เลนส์ ประกอบไปด้วย เลนส์ปกติ ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/1.8 และเลนส์มุมกว้าง 10 ล้านพิกเซล f/2.4 และมีไฟแฟลชอยู่ด้านข้าง

เสริมด้วยเซ็นเซอร์ LiDAR Scanner (Light Detection and Ranging) ที่มาช่วยในการวัดระยะ ด้วยการใช้แสงส่องไปยังวัดถุเพื่อรับแสงสะท้อนกลับมา ได้ไกลถึง 5 เมตร และมีการสแกนต่อเนื่องทำให้รองรับการใช้งานร่วมกับ AR ที่แสดงผลได้รวดเร็ว และแม่นยำมากขึ้น

ความสามารถของกล้องหลัง คือยังสามารถใช้ถ่ายภาพวิดีโอระดับ 4K ได้ด้วย แต่ไม่รองรับการถ่ายภาพบุคคล (Portrait) ซึ่งเมื่อกดเข้าโหมด Portrait จะสลับมาใช้งานกล้องหน้าแทน

รอบตัวเครื่องที่เหลือก็จะมีลำโพงในลักษณะของสเตอริโอ มีปุ่มเปิดเครื่องอยู่ด้านบน (เมื่อใช้เครื่องในแนวตั้ง) ปุ่มปรับระดับเสียงอยู่ทางขวา และเป็นที่แปะ Apple Pencil 2 เพื่อชาร์จ และเชื่อมต่อ

นอกจากนี้ ก็จะมีไมโครโฟนรับเสียงอยู่ทางซ้าย และพอร์ต USB-C ที่ใช้ชาร์จได้ และยังสามารถเชื่อมต่อกับอะเดปเตอร์ เพื่อส่งภาพไปยังหน้าจอ และใช้โอนถ่ายข้อมูลจากการ์ดรีดเดอร์ หรือต่อกับฮาร์ดดิสก์พกพาได้ อยู่ข้างล่าง

ขนาดของ iPad Pro 11 นิ้ว จะอยู่ที่ 247.6 x 178.5 x 5.9 มิลลิเมตร นำ้หนัก 471 กรัม ส่วน iPad Pro 12.9 นิ้ว จะมีขนาดอยู่ที่ 280.6 x 214.9 x 5.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 641 กรัม

สำหรับอุปกรณ์ที่ให้มาในกล่อง iPad Pro จะมากับสายชาร์จ USB-C ยาว 1เมตร และอะเดปเตอร์ชาร์จไฟ 18W มาให้ใช้งาน แต่ในความเป็นจริง iPad Pro สามารถชาร์จไฟได้สูงสุด 45W ดังนั้นถ้าใครมีอะเดปเตอร์ชาร์จไฟของ MacBook Pro เมื่อนำมาเสียบชาร์จกับ iPad Pro ก็จะชาร์จได้เร็วขึ้นด้วย

เชื่อมต่อ Apple Pencil และ Magic TrackPad

สำหรับความสามารถที่เพิ่มขึ้นมาหลังการอัปเดต iPadOS 13.4 คือฟีเจอร์ในการใช้งาน iPad Pro ร่วมกับแทร็กแพด ซึ่งอุปกรณ์ที่ Apple มีวางจำหน่ายอยู่แล้วก็คือ Magic TrackPad 2 (4,290 บาท) ซึ่งจะมาช่วยให้เวลาใช้งาน iPad Pro สามารถสั่งงานผ่านแทร็กแพดได้สะดวกขึ้น หรือถ้ามี Magic Mouse อยู่ก็สามารถนำมาเชื่อมต่อใช้งานแทนเมาส์ไร้สายได้

ขณะเดียวกัน ถ้าไม่ได้ต้องการใช้เมาส์ หรือแทร็กแพด การใช้งานร่วมกับ Apple Pencil 2 ก็ยังให้ความสะดวกอยู่เช่นเดิม เพียงแค่แปะ Apple Pencil 2 เข้ากับข้างตัวเครื่องก็จะเชื่อมต่อให้เริ่มใช้งานได้ทันที

ความสามารถของ Apple Pencil 2 เมื่อใช้งานคู่กับ iPad Pro นั้นน่าจะเป็นสิ่งที่ทุกคนทราบถึงความสะดวกในการใช้งานกันอยู่แล้ว แต่ก็จะติดตรงที่เวลาพกพาแม่เหล็กที่ติดอยู่ข้างตัวเครื่องอาจจะไม่ได้ปลอดภัยจนทำให้ถือไปไหนมาไหนได้ง่าย ทำให้ต้องระมัดระวังพอสมควร

Magic Keyboard เคสรุ่นใหม่ที่มีทั้งคีย์บอร์ด และแทร็กแพด

ส่วนเคส Magic Keyboard ถือว่ามาช่วยปลดล็อกการใช้งานแทร็กแพด ให้กับ iPad Pro โดยมีความพิเศษที่ตั้งแต่การปรับขนาดเคอเซอร์ และสามารถเลือกสีให้ขอบของเคอเซอร์ได้ด้วย เพื่อให้เวลาใช้งานเห็นได้ชัดเจนว่าเคอเซอร์อยู่บริเวณไหนของหน้าจอ

ขณะเดียวกัน ด้วยการออกแบบที่ผสมผสานการใช้งานระหว่างแทร็กแพด กับทัชสกรีน ทำให้เวลาเลื่อนเคอเซอร์ไปบนไอค่อน หรือลากไปวางบริเวณแทบคำสั่งต่างๆ ตัวไอค่อน หรือแทบเหล่านั้นจะเด่นขึ้นมาให้รับรู้ว่าได้เลือกไอค่อนเหล่านั้นอยู่

ส่วนการใช้งาน Gesture เพื่อควบคุม iPadOS นั้น ผู้ใช้สามารถใช้ 3 นิ้วลากขึ้นแล้วหยุด เพื่อเปิดหน้า Multitaks ขึ้นมา เพื่อสลับการใช้งานแอปพลิเคชัน โดยในหน้านี้สามารถใช้ 2 นิ้ว ลากขึ้นเพื่อปิดการใช้งานแอปได้ด้วย

ถ้าต้องการกลับสู่หน้าหลัก ให้ใช้ 3 นิ้วลากขึ้นแล้วปล่อย ถ้าต้องการสลับหน้าจอที่เปิดไปยังแอปขึ้น สามารถใช้ 3 นิ้ว ปาดไปทางซ้ายขวาเพื่อสลับหน้าต่างได้เช่นเดียวกัน ถ้าต้องการกดคลิกขวา สามารถใช้การกด 2 นิ้วพร้อมกันได้

กรณีที่ต้องการเรียกใช้งาน Dock สามารถลากเคอเซอร์ลงไปที่สุดขอบจอ Dock จะปรากฏขึ้นมา ถ้าต้องการเข้า Control Center ให้ลากเคอเซอร์ไปไว้บริเวณมุมขวาบนและคลิก เพื่อเข้าไปตั้งค่าการเชื่อมต่อ ปรับความสว่างหน้าจอ ปรับเสียง และเข้าสู่คำสั่งลัดต่างๆ ได้

อย่างไรก็ตามเคส Magic Keyboard อาจจะไม่ได้สมบูรณ์แบบเหมือนที่ทุกคนคาดหวังไว้ เพราะในการใช้งานจริง การปรับมุมมองของหน้าจอ iPad Pro จะยังมีข้อจำกัดอยู่ ทำให้ได้มุมมองในการใช้งานไม่แตกต่างจาก Smart Keyboard Folio

เมื่อทำการใช้งานจะพบว่าเวลาที่ปรับเงยหน้าจอสุดแล้ว เวลาใช้นิ้วพิมพ์ปุ่มตัวอักษรแถวบน นิ้วจะไปโดนบริเวณขอบจอล่างอยู่ ทำให้เวลาใช้พิมพ์งานแล้วไม่ค่อยสะดวกเท่าที่ควร

ประโยชน์อีกหนึ่งประโยชน์ของ Magic Keyboard คือมากับไฟ Backlit ทำให้สามารถใช้งานในที่มืด หรือที่แสงน้อยได้สะดวกขึ้น โดยผู้ใช้สามารถเข้าไปปรับความสว่างของไฟคีย์บอร์ดได้ส่วนของการตั้งค่าได้ด้วย

นอกจากนี้ กรณีที่ต้องการใช้งานปุ่ม ESC สามารถเข้าไปเลือกตั้งปุ่มเปลี่ยนภาษาให้กลายเป็น ESC แทน แล้วเวลาเปลี่ยนภาษาก็หันไปใช้ Capslock เหมือนบน MacBook แทนก็ช่วยให้ใช้คีย์บอร์ดได้ง่ายขึ้นด้วย

ส่วนตัวแทร็กแพดจะไม่ได้ใช้เป็นแบบ Force Touch TrackPad เหมือนใน MacBook รุ่นหลักๆ หรือแม้แแต่ใน Magic Trackpad แต่แอปเปิลกลับไปใช้แทร็กแพดรุ่นปกติทั่วไปแทน เรียกได้ว่าเป็นการนำเทคโนโลยีเก่ากลับมาใช้อีกครั้งก็ว่าได้

แต่ก็จะมีข้อดีเรื่องของการเพิ่มพอร์ต USB-C มาให้ไว้เสียบชาร์จเครื่องเพิ่มเติม ในกรณีที่ต้องใช้พอร์ตหลักเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมอื่นๆ แต่ความเร็วในการชาร์จก็จะไม่เทียบเท่ากับเสียบชาร์จที่ตัวเครื่อง

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของน้ำหนัก Magic Keyboard ที่ถือว่าค่อนข้างหนัก อย่างในรุ่น 11 นิ้ว น้ำหนักคีย์บอร์ดจะอยู่ที่ 596 กรัม เมื่อเทียบกับ Smart Keyboard ที่มีน้ำหนักราว 305 กรัม จะแตกต่างกันเกือบเท่าตัว

ยิ่งเมื่อรวมกับน้ำหนักของ iPad Pro เข้าไปอีก 471 กรัม ทำให้น้ำหนักรวมเมื่อใช้งานร่วมกับ Magic Keyboard จะขึ้นไปถึง 1 กิโลกรัม ซึ่งถ้าเป็น iPad Pro รุ่นจอ 12.9 นิ้ว น้ำหนักก็จะเพิ่มขึ้นไป ไม่แตกต่างจากพก MacBook Pro สักเครื่องใช้งาน

ทั้งนี้ ราคาจำหน่ายของ Magic Keyboard จะเริ่มต้นที่ 9,990 บาท สำหรับรุ่นจอ 11 นิ้ว และ 11,690 บาท สำหรับรุ่นจอ 12.9 นิ้ว ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่ค่อนข้างสูง และ Magic Keyboard ยังมีข้อจำกัดในการใช้งานค่อนข้างเยอะ

เหมาะกับรูปแบบการใช้งานลักษณะใด

กลุ่มเป้าหมายของ iPad Pro ถ้าตัดเรื่องการใช้งานเพื่อความบันเทิงออกไป เพราะ iPad ทุกรุ่นสามารถตอบโจทย์ได้อยู่แล้ว iPad Pro จะเหมาะกับผู้ที่ต้องการอุปกรณ์พกพาที่พกง่าย สะดวกใช้งานหลากหลายรูปแบบ

กลุ่มแรกเลยคือ ผู้ที่ชื่นชอบการวาดเขียน จดบันทึก เชื่อว่าตั้งแต่ iPad Pro รุ่นแรกออกมาพร้อมกับ Apple Pencil ผู้ใช้ในกลุ่มนี้จะประทับใจกันตั้งแต่ยุคแรกแล้ว พอใช้งานไปเรื่อยๆ เกิดความเคยชินก็จะใช้ยาวมาเรื่อยๆ

ส่วนการทำงานทางด้านสื่อออนไลน์ เรียกว่า iPad Pro ในปัจจุบันนี้ตอบโจทย์ได้เกือบทั้งหมด ทั้งด้านการพิมพ์เมื่อมีอุปกรณ์เสริมอย่าง Smart Keyboard หรือ Magic Keyboard ปัญหาในการพิมพ์งานก็จะหมดไป

หรือถ้าด้าน Production ทั้งภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว iPad Pro สามารถใช้ทำรูปได้ไม่แตกต่างจากบนคอมพิวเตอร์ เพราะเริ่มมีแอปพลิเคชันที่รองรับมากขึ้น โดยเฉพาะ Photoshop ก็มีมาให้ใช้งานกันแล้ว

ส่วนทางด้านการตัดต่อวิดีโอ อาจจะไม่สมบูรณ์แบบเท่ากับทำบนเครื่องโน้ตบุ๊ก แต่ก็สามารถตัดต่อวิดีโอดีๆ ได้ถ้าเลือกใช้งานแอปพลิเคชันที่เหมาะสม อย่างที่นิยมกันก็จะเป็น LumaFusion ซึ่งรองรับการตัดต่อไฟล์ระดับ 4K ได้สบายๆ

จะเห็นได้ว่า ถ้าเป็นการใช้งานพื้นฐานทั่วๆไป จนถึงการทำงานเฉพาะทางบางอย่างที่มีแอปพลิเคชันรองรับ iPad Pro สามารถตอบโจทย์ใช้งานได้แล้ว ดังนั้นก็ขึ้นอยู่กับการเลือกนำไปใช้งานมากกว่า ว่าต้องการอุปกรณ์ลักษณะไหน

ซึ่งถ้ามีงบประมาณที่จำกัด แล้วต้องเลือกระหว่างคอมพิวเตอร์เครื่องแรก กับ iPad Pro ก็จะแนะนำให้ซื้อคอมพิวเตอร์มาใช้งานเป็นเครื่องหลักก่อน แล้วในอนาคตถ้ามีความจำเป็นจริงๆ iPad Pro จะเป็นอุปกรณ์พกพาตัวเลือกถัดมาในการลงทุนเพื่อใช้งานได้จริงๆ

สรุป

iPad Pro รุ่นปี 2020 กลายเป็น iPad ที่ดีที่สุดในเวลานี้ได้อย่างไม่ต้องสงสัย โดยเฉพาะรูปแบบการใช้งานที่หลากหลายขึ้นหลังจากอัปเดต iPadOS ที่ช่วยให้สามารถใช้งานแทร็กแพดได้สะดวกขึ้น รวมถึงมีอุปกรณ์เสริมให้ใช้งานมากขึ้นอย่าง Magic Keyboard เพื่อหวังจะเข้ามาแทนที่โน้ตบุ๊ก

แต่ด้วยระดับราคาเครื่องที่เริ่มต้น 27,900 บาท สำหรับรุ่น 11 นิ้ว และ 34,800 บาท สำหรับ 12.9 นิ้ว ทำให้อาจจะตัดสินใจยากสักหน่อยในการลงทุนซื้อ iPad สักเครื่อง ซึ่งถ้าซื้อมาแล้วทำให้ทำงานได้สะดวกขึ้น เร็วขึ่นก็เป็นอะไรที่คุ้มค่า แต่ถ้าจะนำมาใช้เพื่อความบันเทิงอย่างเดียว มองหา iPad รุ่นอื่นๆ ที่มีราคาย่อมเยาว์กว่าก็จะคุ้มค่ามากกว่า

สุดท้ายปัญหาเรื่องของ iPad Pro บิดงอได้ เท่าที่ทดลองใช้รุ่นปี 2018 มาตลอดจนถึงรุ่นปี 2020 ปัญหานี้จะไม่ค่อยพบกันเครื่องขนาดหน้าจอ 11 นิ้วสักเท่าไหร่ เพราะตัวเครื่องมีขนาดเล็กกว่า โอกาสที่จะงอเลยน้อยกว่าเครื่องจอใหญ่อย่าง 12.9 นิ้ว ซึ่งในรุ่นปี 2020 นี้ก็ยังใช้โครงเครื่องรูปแบบเดิม ถ้าสนใจซื้อใช้งานก็ต้องระวังในจุดนี้ด้วย

Gallery

]]>
Review : Samsung Galaxy XCover Pro / Galaxy Tab Active Pro คู่หูดีไวซ์จับกลุ่มองค์กร https://cyberbiz.mgronline.com/review-samsung-xcover-tab-active-pro/ Thu, 30 Apr 2020 09:58:04 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=32709

การทำงานในองค์กรธุรกิจช่วงที่ผ่านมาอาจจะมีกระแสชองการนำ BYOD (Bring your own device) หรือการนำดีไวซ์ส่วนตัวมาใช้ในการทำงาน เพื่อให้ไม่ต้องพกพาอุปกรณ์หลายชนิดให้เป็นภาระ

จนทำให้แบรนด์มือถือ และไอที ทั้งหลายไม่ค่อยให้ความสำคัญกับกลุ่มผู้ใช้งานที่มีความจำเป็นต้องการอุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานภายในองค์กรเท่านั้น ที่ต้องการเรื่องของความทนทาน และประสิทธิภาพในการใช้งาน

ในปีนี้ Samsung เริ่มเห็นถึงโอกาสในการเข้าไปอุดช่องว่างดังกล่าว เลยปัดฝุ่นสินค้าในกลุ่มสมาร์ทโฟน XCover และแท็บเล็ต Galaxy Tab ออกมาพัฒนาเป็นดีไวซ์สำหรับองค์กรธุรกิจโดยเฉพาะ

เพื่อเข้าไปตอบโจทย์การใช้งานทั้งในสำนักงาน รวมถึงการนำออกไปใช้งานในสถานที่ต่างๆ สำหรับพนักงานที่ต้องออกไปสำรวจพื้นที่ หรือเข้าไปเช็กสต็อกภายในโรงงาน

ข้อดี

  • ตัวเครื่องถูกออกแบบมาให้ทนทาน ทั้งกันกระแทก และกันน้ำ กันฝุ่น
  • ประสิทธิภาพตัวเครื่องในระดับท็อป ทำงานได้หลากหลาย
  • มีการเพิ่มปุ่มลัดมาให้เรียกใช้งานแอปฯ ที่ต้องใช้เป็นประจำ
  • รองรับการถอดเปลี่ยนแบตเตอรี

ข้อสังเกต

  • ดีไซน์ตัวเครื่องจะไม่ได้เน้นความสวยงามมากนัก
  • การออกแบบของ Active Pro เน้นใช้งานแนวนอนเป็นหลัก

Galaxy XCover Pro พกง่าย สมบุกสมบัน

เริ่มกันที่สมาร์ทโฟน Samsung Galaxy XCover Pro ที่ถูกออกแบบมาให้มีความทันสมัยมากขึ้น แม้ว่าจะไม่เพรียวบาง และหรูหราเหมือนสมาร์ทโฟนในตระกูล Galaxy S หรือ Note แต่ถ้ามองในเรื่องของความแข็งแรงแล้ว XCover Pro ถือว่าทำออกมาได้น่าสนใจ

ด้วยการที่ให้ตัวหน้าจอขนาด 6.3 นิ้ว ความละเอียด FullHD+ พร้อมกับกล้องหน้าความละเอียด 13 ล้านพิกเซล ที่เจาะรูแบบ Infinity-O เหมือนใน Galaxy S10 ซึ่งยังคงรักษามาตรฐานในการแสดงผลสีได้อย่างสดใสตามสไตล์ของซัมซุง

บริเวณรอบตัวเครื่องจะใช้วัสดุที่มีความยืดหยุ่นสามารถป้องกันแรงกระแทกได้ ขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 159.9 x 76.7 x 9.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 218 กรัม โดยทางซัมซุง เคลมว่าสามารถป้องกันการตกจากที่สูงได้ถึง 1.5 เมตร พร้อมกันน้ำกันฝุ่นมาตรฐาน IP68 ที่ 1.5 เมตร ไม่เกิน 30 นาที นอกจากนี้ ยังผ่านมาตรฐาน US Military Standards MIL-STD-810G มาช่วยยืนยันความแข็งแรงของตัวเครื่อง

ฝาหลังของ XCover Pro จะสามารถแกะออกมาเพื่อปล่อยแบตเตอรีได้ในกรณีที่ต้องการใช้งานต่อเนื่อง และเป็นที่อยู่ของช่องใส่ซิมการ์ด และไมโครเอสดีการ์ด เหมือนสมาร์ทโฟนสมัยก่อนด้วย

บริเวณฝาหลังด้านในจะมียางคอยซีลเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำเข้าไปในตัวเครื่อง และเวลาหลังจากที่มีการถอดฝาหลังออก ตัวเครื่องจะมีการเตือนให้ตรวจสอบการปิดฝาหลังให้สนิททุกครั้งด้วยเช่นกัน

ความพิเศษอีกอย่างของ XCover Pro คือนอกจากปุ่มใช้งานทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นปุ่มเปิดปิด ปุ่มปรับระดับเสียงทางขวาแล้วซัมซุงได้เพิ่มปุ่มสั่งานเข้ามาให้ใช้งานอีก 2 ปุ่มคือ Top Key ที่ด้านบน และ XCover Key ทางด้านซ้าย

ส่วนบริเวณล่างเครื่อง นอกจากใส่พอร์ต USB-C มาให้เสียบสายชาร์จรองรับชาร์จเร็ว 15W แล้ว ยังมี POGO Pin หรือแถบแม่เหล็กมาให้ใช้คู่กับแท่นวางเพื่อชาร์จสมาร์ทโฟนได้ทันที ช่วยให้มีความสะดวกเพิ่มมากขึ้น

เพื่อช่วยให้เวลาที่ต้องการเรียกใช้งานแอปพลิเคชัน สามารถกดปุ่มเพื่อเปิดใช้งานได้ทันที พร้อมมีการเพิ่มความสามารถอย่าง PTT (Push to Talk) ไว้ใช้สื่อสารกันภายในองค์กรมาให้ด้วย

เมื่อเป็นการใช้งานในองค์กรอีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือเรื่องของความปลอดภัย XCover Pro มากับระบบ Biometric Authentication ให้เลือกใช้งานร่วมกับ Samsung Knox ไม่ว่าจะเป็นการสแกนใบหน้า และเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอให้ใช้งานด้วย

สเปกตัวเครื่องของ Samsung XCover Pro จะมากับหน่วยประมวลผล Exynos 9611 RAM 4 GB พื้นที่เก็บข้อมูล 64 GB สามารถใส่ไมโครเอสดีการ์ดได้สูงสุด 512 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 10 รองรับการเชื่อมต่อทั้ง 3G/4G WiFi 5 บลูทูธ จีพีเอส และ NFC

ซึ่งจะช่วยให้สามารถนำไปใช้งานได้ในทุกสถานที่ และทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการนำไปใช้ในธุรกิจค้าปลีกอย่างเป็นอุปกรณ์ไว้ตรวจสอบข้อมูล โรงงานอุตสาหกรรม สำหรับการเช็กสต็อกสินค้า หรือแม้แต่ธุรกิจการบินที่นำไปใช้เพื่อสแกนตั๋วเครื่องบินก็ได้

Galaxy Tab Active Pro ครบเครื่องด้วย S-Pen

การนำแท็บเล็ตไปใช้ในงานภาคธุรกิจ น่าจะกลายเป็นรูปแบบการทำงานยุคใหม่ที่หลายองค์กรเริ่มปรับตัว และนำมาใช้งาน เพราะช่วยทั้งเรื่องของค่าใช้จ่าย ความสะดวก และความรวดเร็วในการทำงาน

Galaxy Tab Active Pro จึงได้ถูกปรับการดีไซน์มาให้เหมาะกับการใช้งานในภาคธุรกิจ ที่อาจจะไม่ได้บางเหมือนในกลุ่มคอนซูเมอร์ แต่ก็ไม่ได้หนาเท่ากับแท็บเล็ต Rugged สมัยก่อน

สำหรับตัวเครื่อง Galaxy Tab Active Pro จะมากับหน้าจอ 10.1 นิ้ว ความละเอียด WUXGA ที่ให้ความสว่างหน้าจอสูงสุดที่ 550 nit เพื่อช่วยให้สามารถใช้งานในที่กลางแจ้งได้

โดยมีกล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซลมาให้ใช้งาน ส่วนขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 170.2 x 243.5 x 9.9 มิลลิเมตร นำ้หนัก 653 กรัม กันน้ำ กันฝุ่นมาตรฐาน IP68 และ MIL-STD-810G

ในส่วนของการใช้งาน ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่า จะใช้งานเฉพาะตัวเครื่องแท็บเล็ต ที่สามารถนำไปเชื่อมต่อกับคีย์บอร์ด หรือใช้เป็นหน้าจอแสดงผลร่วมกับอุปกรณ์อื่นๆ อย่างล่าสุด ซัมซุง นำแท็บเล็ตรุ่นนี้ไปใช้กับหุ่นยนต์การแพทย์เพื่อช่วยให้สื่อสารได้สะดวกขึ้นในสถานการณ์โควิด-19 ด้วย

กรณีที่ต้องการความแข็งแรงของตัวเครื่องมากขึ้น จะมีสามารถใส่เคสเพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยให้มีช่องเก็บปากกา S-Pen เพิ่มเข้ามาด้วย ดังนั้นก็จะขึ้นอยู่กับรูปแบบในการใช้งานที่หลากหลาย ส่วนเครื่องความปลอดภัย Tab Active Pro มีการใส่เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือมาให้บริเวณปุ่มโฮมด้วย

รอบตัวเครื่องของ Galaxy Tab Active Pro ทางขวาจะเป็นช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. พร้อมกับ USB-C และลำโพง ส่วนด้านบน จะมีปุ่มเปิดปิดเครื่อง ปรับระดับเสียง และปุ่มลัดไว้ตั้งเรียกใช้งานแอปฯ เหมือนใน XCover Pro

ด้านล่างจะเป็น POGO Pins ไว้เชื่อมต่อกับแท่นชาร์จ และอุปกรณ์เสริมต่างๆ โดย Galaxy Tab Active Pro ยังรองรับการเชื่อมต่อกับหน้าจอ เพื่อใช้งาน Samsung DeX ที่เป็นโหมดเดสก์ท็อปเพื่อให้ใช้งานคู่กับเมาส์ และคีย์บอร์ดได้ด้วย

ด้านหลังเครื่องเมื่อถอดเคสออกมา จะสามารถเปิดฝาหลังเพื่อเปลี่ยนแบตเตอรีขนาด 7,600 mAh ได้ พร้อมกับมีช่องใส่ซิมการ์ด และไมโครเอสดีการ์ดเหมือนกับใน XCover Pro ซึ่งช่วยให้เกิดความยืดหยุ่นในการใช้งาน กรณีที่ไปในที่ๆ หาที่ชาร์จไม่ได้กรณีแบตหมดก็สามารถเปลี่ยนก้อนใหม่ได้ทันที

สำหรับสเปกของ Galaxy Tab Active Pro จะมากับหน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon 710 ที่เป็น Octa Core 2+1.7 GHz RAM 4 GB พื้นที่เก็บข้อมูลในตัวเครื่อง 64 GB ใส่ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มได้สูงสุด 512 GB ด้านการเชื่อมต่อรองรับ 3G/4G WiFi 5 บลูทูธ 5.0 GPS NFC ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 10

ปุ่มพิเศษไว้เรียกใช้แอปฯ ด่วน

ทั้ง Galaxy XCover Pro และ Galaxy Tab Active Pro จะมีความพิเศษที่เพิ่มขึ้นมาให้ลูกค้าองค์กรธุรกิจใช้งานกันคือการเพิ่มปุ่ม XCover และ ปุ่ม Top ที่ผู้ใช้สามารถเข้าไปตั้งได้ว่าจะใช้การกด 1 ครั้งเพื่อเข้าแอปพลิเคชัน หรือสั่งงานตัวเครื่อง ทำให้กรณีที่มีแอปฯ ขององค์กรที่ต้องใช้งานก็สามารถเปิดใช้ได้ทันที

ส่วนการใช้งานด้านอื่นๆ XCover Pro ก็จะเหมือนสมาร์ทโฟน Galaxy ที่รองรับการใช้งานทั่วๆ ไปได้ทั้งหมด ส่วน Galaxy Tab Active Pro ก็จะมีโหมด DeX ให้ใช้งานบนแท็บเล็ตเพิ่มมา หรือจะเลือกใช้งานร่วมกับปากกา S-Pen ก็ได้เช่นกัน

ทดสอบประสิทธิภาพ

ด้วยสเปกที่ให้มาของตัวเครื่องทั้ง 2 รุ่น ถือว่ารองรับการทำงานได้ทุกรูปแบบอยู่แล้ว โดยเฉพาะเรื่องของระยะเวลาใช้งานบนแบตเตอรีที่ยาวนานต่อเนื่อง และการประมวลผลต่างๆ โดยสามารถดูรายละเอียดคะแนนจากโปรแกรมทดสอบต่างๆได้

สรุป

Samsung Galaxy XCover Pro และ Galaxy Tab Active Pro ถือว่าเข้ามาเป็นตัวเลือกให้แก่องค์กรธุรกิจที่ต้องการสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตไปใช้งาน โดยมีจุดเด่นอยู่หลายๆ เรื่องทั้งความทนทาน ความยืดหยุ่นในการใช้งาน และแบตเตอรีที่สามารถถอดเปลี่ยนได้

ดังนั้นก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละองค์กรธุรกิจที่จะนำไปประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในยุค Digital Tranformation โดยมีพื้นฐานของระบบรักษาความปลอดภัยอย่าง Samsung Knox มาช่วยการันตีให้ข้อมูลของบริษัทมีความปลอดภัยด้วย

Gallery

]]>
Review : Apple iPad (7th Gen) เมื่อจัดครบชุดมาลองใช้งาน https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-ipad-7th-gen/ Mon, 13 Jan 2020 06:14:26 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=32043

คำถามคาใจของหลายๆ คนคือต้องการอุปกรณ์พกพาที่มาใช้ทำงานแทนโน้ตบุ๊กได้ ประกอบกับการที่ iPad รุ่นเริ่มต้นทำราคาออกมาอยู่ในระดับที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น แล้วในการใช้งานจริง iPad เอามาใช้ทำงานแทนได้หรือไม่ ลองดูแนวทางการนำไปใช้จากรีวิวนี้ได้

Apple iPad 7th Generation ถือเป็น iPad รุ่นเริ่มต้นที่จริงๆ แล้วทำออกมาจับกลุ่มผู้ใช้ที่เป็นนักศึกษา ที่ไม่ต้องการสเปกในการประมวลผลสูงมากนัก เน้นใช้งานทั่วๆไป ท่องเน็ต เข้าถึงโซเชียลมีเดีย และเข้าถึงความบันเทิงต่างๆ

ทำให้รุ่นนี้ ไม่ได้ใช้ซีพียูรุ่นใหม่อย่าง Apple A13 Bionic แต่มากับหน่วยประมวลผลอย่าง Apple A10 Fusion ขณะเดียวกันยังมากับหน้าจอ Retina ขนาด 10.2 นิ้ว มาให้ใช้งานคู่กับ Apple Pencil และเพิ่มการรองรับ Smart Keyboard มาด้วย

ข้อดี

  • ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 10,900 บาท
  • รองรับการใช้งานคู่กับ Apple Pencil
  • iPad OS ช่วยให้ใช้งานได้หลากหลายขึ้น

ข้อสังเกต

  • ใช้หน่วยประมวลผลรุ่นเก่า เพื่อให้ราคาเข้าถึงได้มากขึ้น
  • ยังใช้พอร์ต Lightning ในการเชื่อมต่ออยู่

เน้นพกพาง่าย

จุดเริ่มต้นของการนำ iPad มาใช้งานคือต้องการความสะดวกในการพกพา ซึ่งกลายเป็นว่าปัจจุบันนี้โน้ตบุ๊กทั่วไป ไม่ตอบโจทย์การพกพาไปใช้งานนอกสถานที่แล้ว แต่การพกพา iPad ทั้งเครื่องออกมากลับสะดวกกว่า iPad 7 มีให้เลือกทั้งหมด 3 สี คือ สีเงิน สีเทาสเปซเกรย์ และสีทอง

ด้วยขนาดตัวเครื่องของ iPad 7 ซึ่งอยู่ที่ 250.6 x 174.1 x 7.5 มิลลิเมตร น้ำหนัก 483 กรัม เมื่อประกอบเข้ากับเคสแบบ Smart Keyboard แล้วก็ยังมีน้ำหนักไม่ถึง 600 กรัม จึงกลายเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้พกพาได้ง่าย

จุดเด่นของ iPad 7 คือการที่มากับหน้าจอ Retina ชนาด 10.2 นิ้ว ความละเอียด 2160 x 1620 พิกเซล ซึ่งรองรับการสัมผัสได้ลื่นไหลตามมาตรฐานของแอปเปิล หรือในกรณีที่ต้องการใช้งานคู่กับปากกา Apple Pencil ก็สามารถใช้งานได้ เพราะตัวเครื่องรองรับแล้ว

สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาใน iPad รุ่นนี้คือส่วนของ Smart Connector บริเวณทางซ้ายของตัวเครื่อง เพื่อให้ iPad สามารถเชื่อมต่อกับ Smart Keyboard ได้ เหมือนกับบน iPad Pro ที่เคยทำออกมาก่อนหน้านี้แล้ว

ส่วนพอร์ตการเชื่อมต่ออื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Lightning ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ก็ยังมีมาให้ใช้งานเหมือนเดิม โดยรอบๆ ตัวเครื่องยังมีปุ่มเปิดเครื่องอยู่ที่มุมขวาบน ปุ่มปรับระดับเสียงอยู่ทางขวา และในรุ่น Cellular จะมีช่องใส่ถาดซิมอยู่ทางขวาด้วย

iPad 7  ยังมากับ Touch ID อยู่เช่นเดิม ทำให้ผู้ใช้งานยังสามารถปลดล็อกเครื่องด้วยลายนิ้วมือ แทนที่การใช้งาน Face ID บน iPad Pro หรือถ้าไม่ต้องการใช้สแกนลายนิ้วมือก็ใช้การกรอกรหัส หรือวาดรูปแบบบนหน้าจอได้ตามปกติ

เมื่อเชื่อมต่อกับเคสแบบ Smart Keyboard แล้ว iPad 7 ก็จะสามารถใช้งานคีย์บอร์ดเพื่อพิมพ์งาน หรือป้อนข้อมูลต่างๆ ได้ทันที ในจุดนี้ถือว่ามาตอบโจทย์สำหรับอาชีพที่เน้นการพิมพ์งาน หรือกรอกข้อมูลต่างๆ ได้มากขึ้น

ครบชุดราคาเท่าไหร่?

iPad 7 ราคาเริ่มต้นสำหรับรุ่น Wi-Fi พื้นที่เก็บข้อมูล 32 GB จะอยู่ที่ 10,900 บาท ตามมาด้วยรุ่น 128 GB 13,900 บาท แต่ถ้าเป็นรุ่น Cellular จะเพิ่มขึ้นมาเริ่มต้นที่ 15,400 บาท และ 18,400 บาท สำหรับ 32 GB และ 128 GB ตามลำดับ

ตามมาด้วยอุปกรณ์เสริมอย่าง Apple Pencil 3,400 บาท และ Smart Keyboard 5,900 บาท ทำให้ถ้าต้องการซื้อครบชุด อย่างน้อยต้องมี 20,200 บาท แต่ถ้าใครที่ไม่ได้ใช้ Apple Pecil ต้องการแค่คีย์บอร์ดมาใช้งานคู่กัน ก็จะเริ่มที่ 16,800 บาท

เหมาะกับใครบ้าง?

ถามว่ากลุ่มเป้าหมายของ iPad Gen 7 จริงๆ แล้วคือใคร ต้องบอกว่าเป็นแท็บเล็ตที่ครอบคลุมตั้งแต่นักเรียน นักศึกษา จนถึงวัยทำงาน และผู้สูงอายุก็ว่าได้ เพียงแต่ว่าในแต่ละช่วงอายุ ก็จะมีรูปแบบการใช้งานที่แตกต่างกัน

นักเรียน นักศึกษา จะเหมาะกับนำไปใช้งานในการเรียนการสอน เหมาะกับการนำไปจดบันทึก ซึ่งในส่วนนี้แค่จับคู่ iPad กับ Apple Pencil ก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าเป็นกลุ่มเริ่มทำงาน โดยเฉพาะงานเขียน งานพิมพ์ กรอกข้อมูลต่างๆ การมีคีย์บอร์ดเข้ามาก็จะช่วยให้ใช้ได้สะดวกขึ้น

ส่วนผู้สูงอายุ ก็จะเหมาะไปกับการใช้เพื่อเข้าถึงความบันเทิง เข้าถึงข้อมูลต่างๆ จากขนาดหน้าจอที่ใหญ่ และน้ำหนักไม่มากเกินไป ทำให้สะดวกในการพกพาด้วย ดังนั้นกลุ่มผู้ใช้งานของ iPad จึงเป็นกลุ่มที่กว้างมาก

ยกเว้นกลุ่มมืออาชีพผู้ใช้เพื่อนำไปทำงานหนักๆ หรือกลุ่ม Power User ทั้งหลาย เพราะมีตัวเลือกอย่าง iPad Pro ที่จับกลุ่มนี้โดยเฉพาะอยู่แล้ว ด้วยตัวเครื่องที่ประสิทธิภาพสูงกว่า และมีพอร์ตอย่าง USB-C มาช่วยให้ใช้งานกับอุปกรณ์อื่นได้ง่ายขึ้น

ถ้าใช้งานทั่วๆ ไป ครบชุดสบาย

ในสายอาชีพการเป็นนักข่าว เริ่มเห็นทิศทางของการนำ iPad มาใช้งานมากขึ้น เพราะการมี Apple Pencil ช่วยให้การจดบันทึกข้อมูล ทำได้สะดวกขึ้น ไม่ต้องคอยถือกระดาษ ปากกา ไปใช้งาน ส่วนช่วงอื่นๆ ที่ต้องใช้เข้าถึงข้อมูลก็สามารถใช้งานผ่านหน้าเว็บเบราว์เซอร์ได้หมดแล้ว

ขณะเดียวกันถ้าต้องการพิมพ์งาน การมีคีย์บอร์ดมาช่วยก็ทำให้สะดวกขึ้น แต่เสียอย่างเดียวตรงที่พอเป็นแบบ Smart Cover เวลาตั้งใช้งานต้องมีพื้นที่เรียบๆ ในระดับที่พอเหมาะให้ใช้ เพราะถ้าวางบนหน้าขาเหมือนโน้ตบุ๊กปกติ ระดับความเอียงของหน้าจอจะไม่เหมาะกับการใช้งานเท่าไหร่

นอกเหนือจากนี้ ก็คือการปรับแต่ง ครอบ ทำสีรูปเล็กๆ น้อยๆ iPad สามารถตอบโจทย์เหล่านี้ได้อยู่แล้ว ดังนั้นในการทำงานจึงแทบไม่มีความต้องใช้งานโน้ตบุ๊กอีกเลย ซึ่งก็ถือว่าเข้ามาแทนที่ได้ 80-90% แล้ว แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบในการใช้งานด้วย

อะไรที่ iPad ยังไม่ตอบโจทย์

ถ้ามองในมุมของการทำงาน การจัดการไฟล์เอกสาร หรือโปรแกรมเฉพาะที่ยังไม่ได้ทำงานผ่านคลาวด์ หรือโมบายเว็บไซต์ น่าจะเป็นปัญหาเดียวที่ iPad ยังไม่สามารถจัดการได้ ซึ่งปัจจุบันหลายๆ บริษัท ก็พัฒนาระบบหลังบ้านให้ทำงานผ่านหน้าเว็บไซต์ได้แล้ว

ปัญหาหลักๆ ของการทำงานบน iPad ตอนนี้คือเรื่องของการทำหลายๆ งานพร้อมกัน (Multitasking) ที่ปัจจุบัน แม้ว่า iPad OS จะรองรับการใช้งาน 2 แอป แบ่งครึ่งหน้าจอใช้งานแล้ว แต่การรันโพรเซสการทำงานเบื้องหลัง ยังไม่ต่อเนื่องเท่าที่ควร

สรุป

iPad Gen 7 น่าจะกลายเป็นรุ่นยอดฮิตอีกรุ่นต่อเนื่องจากรุ่นก่อนหน้า เพราะด้วยระดับราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น บางทีการนำมาใช้เพื่อเข้าถึงคอนเทนต์ต่างๆ ก็ไม่ต้องการเครื่องราคาที่สูงเกินไป ขณะเดียวกันการปรัปรุง iPad OS ก็ช่วยให้ทุกอย่างชัดเจนขึ้น ใช้ทำงานได้แล้ว

ทั้งนี้ ถ้างบประมาณไม่ใช่ข้อจำกัด และต้องการพกพา iPad ไปใช้งานนอกสถานที่จริงๆ การเลือกรุ่น Cellular 128 GB น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะไม่ต้องกังวลเรื่องการหา Wi-Fi ในการเชื่อมต่อใช้งาน และเรื่องของการบันทึกข้อมูลที่ช่วยให้ใช้งานได้ยาวๆ ไป

Gallery

]]>
Review : Apple iPad mini (2019) ต่อยอดรุ่นเดิมในสเปกที่แรงขึ้น https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-ipad-mini-2019/ Mon, 13 May 2019 04:06:13 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=30697

เชื่อว่าจากความสำเร็จของ iPad Mini ในรุ่นที่ผ่านมา ทำให้ปัจจุบันถ้าใครกำลังมองหาแท็บเล็ตขนาดหน้าจอ 7-8 นิ้ว ตัวเลือกแรกๆที่แว้บขึ้นมาคงหนีไม่พ้น iPad Mini ที่พิสูจน์แล้วในแง่ของการใช้งานที่พกพาได้สะดวกมากที่สุด

พอถึงเวลาอัปเกรด iPad Mini ในคราวนี้ Apple เลือกที่จะยกเครื่องสเปกภายในเป็นหลัก ทำให้ประสิทธิภาพของ iPad Mini รวถมึง iPad Air รุ่นปี 2019 แรงขึ้นเทียบเท่ากับ iPhone XS และยังเพิ่มความสามารถในการใช้งานคู่กับ Apple Pencil ได้ด้วย

ดังนั้น จุดหลักๆ ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาใน iPad Mini และ iPad Air ปี 2019 ก็คือเรื่องของ จอภาพ ชิปหน่วยประมวลผลที่ใช้ รองรับ Apple Pencil รองรับคีย์บอร์ด (iPad Air) กล้องที่ให้ประสิทธิภาพดีขึ้น และถ้าเป็นรุ่นเซลลูล่า ก็จะรองรับการใช้งาน eSIM ด้วย

ข้อดี

  • แท็บเล็ตขนาดพกพาประสิทธิภาพสูง
  • รองรับการใช้งาน Apple Pencil (ซื้อแยก)
  • ราคาเริ่มต้นที่ 13,900 บาท

ข้อสังเกต

  • ใช้ดีไซน์ตัวเครื่องเดิม เพิ่มสเปก ยังไม่เป็น Major Change
  • ยังใช้พอร์ต Lightning อยู่ ในขณะที่ iPad Pro หันไปใช้ USB-C แล้ว

เลือก iPad รุ่นไหนดี

คำถามที่ตามมาเมื่อ Apple มีการอัปเดตไลน์สินค้าในตระกูล iPad ครบถ้วนแล้ว ทีนี้ถ้ามองหาแท็บเล็ตที่มาตอบโจทย์การใช้งานสักเครื่อง ควรเลือกใช้อะไรดีไล่ตั้งแต่ iPad Mini iPad iPad Air และ iPad Pro

อย่างแรกเลยต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่าต้องการ iPad มาใช้ทำอะไร ถ้าต้องการใช้งานทั่วๆไป ต้องการจอขนาดใหญ่ iPad รุ่นจอ 9.7 นิ้ว ในราคาเริ่มต้นที่ 11,500 บาท น่าจะเป็นคำตอบที่ง่ายที่สุด และถือเป็นรุ่นเพื่อการศึกษาของทาง Apple ด้วย

แต่ถ้าต้องการมากกว่านั้น ก็จะเริ่มหันมามอง iPad Mini 7.9 นิ้ว ในราคาเริ่มที่ 13,900 บาท หรือ iPad Air 10.5 นิ้ว ในราคา 17,900 บาท โดยทั้ง 2 รุ่นนี้ เพิ่งเปิดตัวออกมาพร้อมกัน ให้สเปกที่ใกล้เคียงกัน ดังนั้นการเลือกใช้ก็ขึ้นอยู่กับว่าต้องการแท็บเล็ตจอใหญ่ หรือจอเล็กที่พกพาง่าย

ข้ามขึ้นไปอีกขึ้นก็คือ iPad Pro 11 นิ้ว และ 12.9 นิ้ว ในราคาเริ่มต้นที่ 28,900 บาท ก็จะเหมาะกับผู้ใช้อีกกลุ่ม ที่ต้องการแท็บเล็ตประสิทธิภาพสูงที่มาตอบโจทย์ในการใช้งานเฉพาะทางมากขึ้น ทั้งการทำรูป ไปจนถึงใช้ตัดต่อได้

จะเห็นได้ว่า iPad ทั้ง 4 รุ่น ต่างมีกลุ่มเป้าหมาย และจุดเด่นที่แตกต่างกันไป ดังนั้นก็ควรดูที่รูปแบบการใช้งาน และงบประมาณที่มี เพื่อเลือก iPad ให้เหมาะสมกันต่อไป

iPad Mini เน้นพกพาง่าย

มาถึงรายละเอียดหลักๆของ iPad Mini ที่นำมารีวิวกันในวันนี้ ภาพลักษณ์ภายนอก ไม่ได้มีจุดที่เปลี่ยนแปลงไปจากรุ่นเดิมมากนัก ด้วยขนาดตัวเครื่อง 203.2 x 134.2 x 6.1 นิ้ว น้ำหนักรุ่น Wi-Fi 300.5 กรัม Cellular 308.2 กรัม มีให้เลือก 3 สีเช่นเดิมคือ เงิน เทาสเปซเกรย์ และทอง

ตัวเครื่องมากับหน้าจอ Multi Touch ขนาด 7.9 นิ้ว ที่เป็นจอแบบ IPS ความละเอียด 2048 x 1536 พิกเซล 326 ppi ที่ทางแอปเปิลระบุว่า สามารถแสดงสีได้ระดับ P3 รองรับการแสดงผลแบบ True Tone ถัดจากหน้าจอลงมาเป็นปุ่มโฮม และเซ็นเซอร์ Touch ID เช่นเดิม ส่วนขอบบนเป็นกล้องสำหรับ FaceTime ที่ความละเอียด 7 ล้านพิกเซล

ด้านหลังมีกล้องความละเอียด 8 ล้านพิกเซล f/2.4 ที่ได้รับการพัฒนาขึ้น ให้รองรับการถ่ายภาพแบบ Live Photos รองรับการบันทึกวิดีโอระดับ Full HD  รอบตัวเครื่องก็จะมีปุ่มปรับระดับเสียง (ด้านขวา) ปุ่มเปิด-ปิดเครื่อง (ด้านบน) พอร์ต Lightning (ด้านล่าง) อยู่เช่นเดิม

สำหรับอุปกรณ์ที่ให้มาภายในกล่อง นอกจากตัวเครื่อง iPad Mini ก็จะมีอะเดปเตอร์ชาร์จ และสาย USB to Lighting พร้อมกับคู่มือการใช้งานตัวเครื่อง ตามปกติ ส่วน Apple Pencil ถ้าต้องการมาใช้งานคู่กันจะจำหน่ายแยกในราคา 3,100 บาท

อ่านอีบุ๊ก-เล่นเกม-ท่องเว็บ-AR

ด้วยขนาดของตัวเครื่องที่ไม่ใหญ่จนเกินไป พอๆกับหนังสือเล่มหนึ่ง ทำให้ iPad Mini กลายเป็น หนึ่งในดีไวซ์ที่เหมาะกับการนำมาใช้เพื่ออ่านอีบุ๊กเป็นอย่างมาก เพราะสามารถถือใช้งานได้ด้วยมือข้างเดียว ประกอบกับน้ำหนักที่ถือว่าค่อนข้างเบา ทำให้เวลาใช้งานนานๆก็ไม่เมื่อย

เช่นเดียวกับการเล่นเกมมือถือ เพราะเมื่อต้องการดีไวซ์ที่มีหน้าจอขนาดใหญ่ขึ้น iPad Mini ที่จอ 7.9 นิ้ว จะช่วยทำให้การเล่นเกมบนมือถือได้ประสบการณ์ที่ดีขึ้น เพราะมีจอใหญ่กว่าสมาร์ทโฟนทั่วๆไป ในขนาดตัวเครื่องที่ยังจับถนัดมืออยู่เวลาใช้งาน

นอกจากนี้ ด้วยการที่มากับชิปเซ็ต Apple Bionic A12 ยังทำให้ iPad Mini มีประสิทธิภาพในการประมวลผลไม่แตกต่างจาก iPhone XS ที่ถือเป็นระดับท็อปๆ ในเวลานี้รองรับ iPad Pro ทำให้การเล่นเกม โดยเฉพาะเกม AR ที่ต้องการประมวลผลสูงๆ ก็ไม่มีปัญหาใดๆ

ส่วนการใช้งานเว็บไซต์ เล่นโซเชียลมีเดีย หรือตรวจงานเอกสารต่างๆ iPad ทุกรุ่นสามารถตอบโจทย์ได้อยู่แล้ว เพราะเป็นดีไวซ์ที่เน้นการอ่านเป็นหลัก ดังนั้น ประสบการณ์ใช้งานเพื่อความบันเทิงต่างๆ ก็ได้ครบถ้วน

เสริมด้วย Apple Pencil

ก่อนหน้านี้ เราเพิ่งเห็น Apple ออก iPad ที่รองรับการใช้งาน Apple Pencil ออกมา พร้อมทำราคาให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ในระดับหมื่นต้นๆ จากเดิมอุปกรณ์ที่สามารถใช้ Apple Pencil ได้คือต้องเป็นระดับ iPad Pro เท่านั้น การขยายไลน์ออกมายัง iPad ธรรมดาก็ถือเป็นก้าวที่น่าสนใจ

พอมีการอัปเกรด iPad Mini และ iPad Air ก็เลยเพิ่มความสามารถให้ใช้งาน Apple Pencil ได้เช่นกัน ในขณะที่ iPad Pro ก็ได้รับการอัปเกรดก่อนหน้านี้ให้สามารถใช้งานคู่กับ Apple Pencil 2 ที่เพิ่มเรื่องการชาร์จไร้สายเข้ามา

 

ถ้าถามว่า Apple Pencil รุ่นแรก เพียงพอกับการใช้งานในเวลานี้ไหม ก็ต้องบอกว่า Apple Pencil  ทุกรุ่นในเวลานี้ ถือเป็นปากกาที่นำมาใช้งานคู่กับแท็บเล็ตได้แม่นยำที่สุด ทั้งเรื่องการตอบสนองแรงกด และความง่ายในการจดบันทึก ที่ทำให้การใช้งาน iPad ทำได้หลากหลายมากขึ้น

การเชื่อมต่อ Apple Pencil คู่กับ iPad Mini ยังใช้วิธีการเดิมคือ ถอดปลอกที่ปลาย Apple Pencil ออกมาจะพบกับหัวต่อ Lightning ก็นำไปเสียบเข้ากับพอร์ต Lightning เพื่อเชื่อมต่อได้ทันที ผ่านการเชื่อมต่อบลูทูธ เฉพาะครั้งแรกเท่านั้น ส่วนการชาร์จแบตของ Pencil ก็จะมีข้อต่อมาให้ในกล่องใช้ชาร์จกับที่ชาร์จได้ตามปกติ

สรุป

หลังจากที่ Apple ไม่ได้ออก iPad Mini มาหลายปี เชื่อว่าแฟนๆ ที่ใช้งาน Mini เครื่องรุ่นแรก จะเป็นกลุ่มแรกๆ ที่เปลี่ยนมาเป็นรุ่นใหม่นี้ เพราะรู้ถึงประสิทธิภาพ และความสามารถอยู่แล้ว ส่วนถ้าเป็นกลุ่มผู้ใช้ใหม่ ก็ลองเลือกดูว่าต้องการแท็บเล็ตขนาดเล็กพกพาง่าย ก็เลือก Mini ถ้าต้องการจอใหญ่ขึ้นก็มีตัวเลือกอื่นๆในตระกูล iPad ให้ใช้

ทั้งนี้ iPad Mini วางจำหน่ายในราคาเริ่มต้นที่ 13,900 บาท สำหรับรุ่น WiFi 64 GB และ 18,900 บาท สำหรับ WiFi+Cellular 64 GB

Gallery

]]>
Review : Apple iPad Pro (2018) เมื่อ iPad ทรงพลังกว่าโน้ตบุ๊ก แล้วเปิดโลกกว้างด้วย USB-C https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-ipad-pro-2018/ Sun, 23 Dec 2018 10:11:21 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=29972

Apple วาง iPad Pro ให้กลายเป็นอุปกรณ์ที่ใช้เพื่อสร้างสรรค์ผลงานบนโลกดิจิทัล โดยในช่วงที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่าทั้ง iPad Pro และ Apple Pencil กลายเป็นหนึ่งในอุปกรณ์สำคัญที่ขาดไม่ได้ และในการอัปเดตไลน์ผลิตภัณฑ์ของแอปเปิลในปีนี้ ก็ทำให้ iPad Pro ใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น

จุดเปลี่ยนหลักๆ ของ iPad Pro 2018 คือเรื่องของดีไซน์ตัวเครื่อง ที่ปรับโฉมใหม่ทั้งหมด โดยเฉพาะในรุ่นจอ 12.9 นิ้ว ที่ตัวเครื่องมีขนาดเล็กลง จากการหันมาใช้เทคโนโลยี FaceID แทนระบบ Touch ID ช่วยประหยัดพื้นที่ขอบเครื่องลงไปในตัว

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของการประมวลผลที่ทรงประสิทธิภาพมากขึ้น โดยแอปเปิลเคลมว่า iPad Pro ประมวลผลได้แรงกว่าโน้ตบุ๊ก 92% ในท้องตลาดเวลานี้ ซึ่งช่วยให้การทำงานตัดต่อวิดีโอ สร้างผลงานมัลติมีเดีย วาดรูป แต่งรูป หรือใช้เพื่อการทำงานได้รวดเร็วมากขึ้น

ข้อดี

หน้าจอขนาดเท่าเดิม ในขนาดตัวเครื่องที่เล็กลง (12.9″) และหน้าจอใหญ่ขึ้น ขนาดเครื่องเท่าเดิม (11″)

ประสิทธิภาพในการประมวลผลจาก Apple Bionic A12x

FaceID ช่วยปลดล็อกเครื่อง และทำให้ใช้งาน Animoji / Memoji

พอร์ต USB-C ช่วยให้ใช้งานกับอุปกรณ์ที่หลากหลายมากขึ้น

ข้อสังเกต

การทำงานแบบ Multitask ยังมีข้อจำกัดอยู่

ยังไม่สามารถใช้งานแทน Mac/PC ได้เต็มที่

ระดับราคาค่อนข้างสูง

ดีไซน์ใหม่ เครื่องบางลง

ในส่วนของการออกแบบ iPad Pro (2018) จะมีด้วยกัน 2 รุ่นเช่นเดิมคือรุ่นจอ 11 นิ้ว (จากเดิม 10.5 นิ้ว) ในขนาดตัวเครื่องใกล้เคียงเดิม และรุ่นจอ 12.9 นิ้ว ที่มีขนาดตัวเครื่องเล็กลง โดยมีการนำเทคโนโลยีจอแสดงผล Liquid Retina ที่ใช้งานบน iPhone XR มาใช้งานด้วย

ขนาดของ iPad Pro รุ่น 11 นิ้ว จะอยู่ที่ 247.6 x 178.5 x 5.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 468 กรัม ส่วนรุ่น 12.9 นิ้ว จะอยู่ที่ 280.6 x 214.9 x 5.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 631 กรัม มีวางจำหน่ายด้วยกัน 2 สีคือ สีเงิน และสีเทา

สำหรับดีไซน์โดยรวมของ iPad Pro จะถูกออกแบบมาให้จับถือใช้งานง่ายขึ้น ด้วยการตัดขอบเครื่องลดส่วนโค้งลง และด้วยการออกแบบให้น้ำหนักที่สมมาตร ทำให้สามารถตั้ง iPad บนพื้นผิวเรียบๆ ได้ด้วยทั้งแนวตั้ง และแนวนอน

พื้นที่ด้านหน้าส่วนใหญ่จะถูกใช้ไปกับจอแสดงผล โดยจอ Liquid Retina ถือเป็นจอภาพที่แสดงผลสีบนมาตรฐาน P3 รองรับการแสดงผลแบบ True Tone ที่จะปรับสีให้เหมาะกับแต่ละสภาพแสง นอกจากนี้ เมื่อถูกใช้งานบนแอปพลิเคชันที่รองรับจะสามารถปรับการแสดงผลขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 120Hz เพื่อให้ภาพที่ได้ไหลลื่นมากที่สุด

โดยรอบๆตัวเครื่องเมื่อวางในแนวนอนจะมีเพียงปุ่มเปิดปิดเครื่อง อยู่ทางซ้าย และปุ่มปรับระดับเสียงอยู่ด้านบน (ยึดจากด้านที่สามารถต่อ Apple Pencil ไว้ด้านบน) แต่จริงๆแล้ว iPad Pro ที่ใช้ iOS 12 สามารถหมุนหน้าจอใช้งานได้ทุกด้านอยู่แล้ว ด้านล่างก็จะมีพอร์ต USB-C อยู่

ด้านหลังที่บริเวณมุมจะมีกล้องความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ที่รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K 60fps ติดตั้งมาให้ใช้งานพร้อมกับไฟแฟลช ที่สำคัญรองรับการทำงานร่วมกับ AR ทำให้ iPad Pro กลายเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ AR ที่ประสิทธิภาพสูงระดับต้นๆในท้องตลาดเวลานี้

ที่เหลือก็จะมีสัญลักษณ์ แอปเปิล อยู่ตรงกึ่งกลาง ถัดลงมาด้านล่างจะมีจุดเชื่อมต่อระหว่าง iPad Pro เข้ากับ Smart Keyboard Folio ทำให้สามารถแปะ iPad Pro เข้ากับคีย์บอร์ดเพื่อใช้งานได้ทันที ไม่ต้องทำการเชื่อมต่อผ่านระบบไร้สายใดๆ

Gallery

Face ID ช่วยให้สะดวกขึ้น

การที่ iPad Pro เปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยี Face ID ร่วมกับกล้อง TrueDepth เหมือนบน iPhone X XS XS Max และ XR ที่นอกจากช่วยให้มีพื้นที่สำหรับขอแสดงผลขนาดใหญ่มากขึ้นแล้ว ก็ยังช่วยให้ iPad Pro สามารถถ่ายภาพ Portrait หลังละหลายได้จากกล้องหน้า รวมถึงการใช้งาน Animoji  Memoji ต่างๆได้

ในส่วนของการปลดล็อกตัวเครื่อง Face ID บน iPad Pro ถูกพัฒนาให้ฉลาดขึ้น ด้วยการที่รองรับการปลดล็อกด้วยใบหน้าได้จากทุกมุมมอง ไม่ว่าจะเป็นแนวตั้ง หรือแนวนอน เพียงแต่ในการปลดล็อกต้องระวังไม่ให้มือไปบังหน้ากล้องเท่านั้นเอง (จะมีแจ้งเตือนถ้ามือบังหน้ากล้องอยู่)

ส่วนวิธีการในการควบคุมเพื่อใช้งาน iPad Pro เมื่อไม่มีปุ่มโฮม การสั่งงานต่างๆ ก็จะใช้วิธีการปาดจากขอบหน้าจอเหมือนบน iPhone X ซึ่งถ้าเป็นผู้ที่คุ้นเคยกับการใช้ iPad รุ่นเก่าบน iOS 12 อยู่แล้ว ก็จะเรียนรู้และใช้งานได้ไม่ยาก

USB-C พอร์ตใหม่เชื่อม iPad สู่โลกกว้าง

ประเด็นสำคัญของการมีพอร์ต USB-C ให้ใช้งานบน iPad Pro (2018) ถือเป็นหนึ่งในจุดสำคัญที่ช่วยให้ iOS 12 สามารถสื่อสารกับอุปกรณ์อื่นๆ ที่เชื่อมต่อกันบนมาตรฐานของพอร์ต USB ได้แล้ว จากที่ก่อนหน้านี้แอปเปิลเลือกใช้งานพอร์ต Lighting มาตลอดในช่วงหลังๆ

แน่นอนว่าจุดสำคัญที่สุดของ USB-C คือเรื่องของการรับส่งข้อมูลที่รวดเร็วขึ้นกว่าเดิม (สูงสุด 10 Gbps) ประกอบกับหลังๆ อุปกรณ์ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ MacBook ก็หันมาใช้พอร์ต Thunderbolt 3 (USB-C) ทั้งหมดอยู่แล้ว อุปกรณ์เสริมที่ไว้เชื่อมต่อก็มีรองรับมากขึ้นด้วย

การที่มี USB-C มาให้ทำให้นอกจากผู้ใช้จะใช้อะเดปเตอร์ และสายชาร์จ MacBook ในการชาร์จ iPad Pro ได้แล้ว ตัว iPad Pro ยังสามารถใช้เป็นอุปกรณ์ชาร์จไฟให้กับ iPhone ได้ด้วย (ต้องมีสาย USB-C to Lightning) หรือจะใช้ต่อกับจอภาพความละเอียดสูงระดับ 5K ก็ได้ด้วย

นอกจากนี้ USB-C ยังเปิดให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อกล้อง ไอโฟน แอนดรอยด์โฟน รุ่นอื่นๆ เข้ากับ iPad เพื่อถ่ายโอนไฟล์รูป และวิดีโอจากในอุปกรณ์เหล่านั้นมาแต่งรูปขั้นสูงบน iPad Pro ได้ หรือถ้าเชื่อมต่อกับอะเดปเตอร์การ์ดรีดเดอร์ต่างๆ ก็ทำได้เช่นเดียวกัน

Apple Pencil รุ่นใหม่ มาพร้อมปุ่มสัมผัส

อีกหนึ่งอุปกรณ์คู่กับ iPad Pro ที่ขาดไม่ได้เลยคือ Apple Pencil (วางจำหน่ายแยกในราคา 4,490 บาท) โดยถือเป็นรุ่นที่ 2 ที่น่าเสียดายคือ iPad Pro รุ่นแรกไม่สามารถใช้งานคู่กับ Pencil รุ่นใหม่ได้ เช่นเดียวกับ iPad Pro รุ่นใหม่ ก็ไม่สามารถใช้งานกับ Pencil รุ่นเดิมได้

ความสามารถที่พัฒนาขึ้นของ Pencil 2 คือเรื่องของความสะดวกในการใช้งาน ทั้งการเชื่อมต่อกับ iPad Pro ที่ทำได้ด้วยการนำ Pencil มาแปะไว้ที่ข้างเครื่อง ตัวเครื่องจะขึ้นคำสั่งให้กดเชื่อมต่อโดยอัตโนมัติ และเมื่อแปะไว้ก็จะเป็นการชาร์จแบต Pencil 2 ไปในตัวด้วย

นอกจากนี้ อีกฟีเจอร์ที่พัฒนาขึ้นมา จากเสียงตอบรับของผู้บริโภคคือ การเพิ่มปุ่มสัมผัสให้แตะสั่งงานบน Pencil ได้เลย โดยค่ามาตรฐานในการใช้งานผู้ใช้สามารถแตะ 2 ครั้งบน Pencil เพื่อสลับโหมดปากกา / ยางลบ และสามารถเข้าไปตั้งค่าเพิ่มเติมให้แตะเพื่อเรียกใช้แพลตสี เป็นต้น

ส่วนในอนาคต ทางแอปเปิลให้ข้อมูลว่า ได้ใช้มาตรฐานเปิดในการพัฒนาเพื่อให้นักพัฒนาสามารถ นำคำสั่งในการแตะบน Pencil ไปใช้งานในแอปอื่นๆได้ด้วย ซึ่งในช่วงแรกที่เปิดตัวแอปพลิเคชันที่รองรับหลักๆ จะเป็นของทางแอปเปิลมากกว่า

Smart Keyboard Folio พิมพ์สนุก เสริมประสบการณ์ใช้งาน

iPad Pro คู่กับคีย์บอร์ดเป็นอีกหนึ่งคู่อุปกรณ์ที่ออกมาช่วยให้ผู้ที่ชื่นชอบการพิมพ์ สามารถหันมาใช้งาน iPad Pro แทนโน้ตบุ๊กได้ โดย Smart Keyboard Folio จะวางขายแยกเช่นกันในราคา 6,490 บาท และ 7,290 บาท

จุดเด่นของคีย์บอร์ดเฉพาะตัวนี้คือ สามารถแปะ iPad Pro เข้าไปด้วยการเชื่อมต่อกับแม่เหล็กที่ iPad Pro จะมีแม่เหล้กกระจายอยู่รอบหลังเครื่อง เมื่อแปะเข้าไปแล้วก็สามารถใช้งานคีย์บอร์ดได้ทันที ผู้ใช้สามารถปรับระดับหน้าจอได้ 2 มุม

ส่วนขนาดของปุ่มคีย์บอร์ดก็จะใกล้เคียงกับคีย์บอร์ดบนโน้ตบุ๊ก ขณะเดียวกันผู้ใช้ยังสามารถใช้คีย์ลัดต่างๆได้เหมือนใช้งานบนแมคบุ๊ก เพื่อให้ประสบการณ์ใช้งานในจุดนี้ดีขึ้น ขณะเดียวกันตัวเคสก็จะช่วยปกป้อง iPad Pro ไปในตัว

สรุป

แน่นอนว่า การที่ iPad Pro สามารถพิมพ์งานได้ มี Pencil ช่วยในการวาดเขียน การมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ก็ช่วยเพิ่มความสามารถให้หลากหลายขึ้น แต่ไม่ใช่ว่าสุดท้ายแล้ว iPad Pro จะเข้ามาแทนที่โน้ตบุ๊กได้ เพราะในการใช้งานโน้ตบุ๊กก็จะได้การใช้งานที่หลากหลายขึ้นไปอีก ส่วน iPad Pro ก็จะได้ในแง่ของความสะดวกในการพกพา

จุดที่พัฒนาขึ้นมาอย่าง USB-C ก็ช่วยเจาะกลุ่มช่างภาพเพิ่มเติม เนื่องจากช่างภาพสามารถต่อ iPad เข้ากับกล้องรุ่นใหม่ที่เชื่อมต่อผ่าน USB-C เพื่อดูรูป และในกรณีที่ต้องปรับแต่งสี ก็สามารถแต่งภาพเบื้องต้นบน iPad Pro ได้ทันที และสะดวกกว่าด้วย

ไม่นับรวมกับกลุ่มเป้าหมายเดิมอย่าง ผู้ที่ชื่นชอบการวาดภาพ ใช้ Apple Pencil ในการสร้างสรรค์ผลงาน ที่เชื่อว่าเมื่อมีรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมออกมา ก็พร้อมที่จะเปลี่ยนเครื่องรุ่นใหม่เพื่อใช้งานอยู่แล้วด้วย

]]>
Review : Apple iPad 6th Gen เมื่อ iPad รุ่นปกติรองรับ Apple Pencil ทำให้ใช้ได้สนุกขึ้น https://cyberbiz.mgronline.com/review-apple-ipad-6th-gen-2018/ Tue, 12 Jun 2018 10:09:30 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=28591

จุดเด่นหลักของ Apple iPad รุ่นใหม่นี้ คือเรื่องของประสิทธิภาพของตัวเครื่องที่เร็วขึ้นกว่ารุ่นเดิม และที่สำคัญคือรองรับการใช้งาน Apple Pencil ในราคาเริ่มต้นที่ 11,500 บาท สำหรับรุ่น Wi-Fi และ 16,500 บาท สำหรับรุ่น Wi-Fi + Cellular

ข้อดี

  • ทำราคาให้ผู้ใช้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะนักเรียน-นักศึกษา
  • รองรับการใช้งานคู่กับ Apple Pencil
  • หน้าจอแสดงผล Retina ขนาด 9.7 นิ้ว

ข้อสังเกต

  • ต้องซื้อปากกา Apple Pencil เพิ่มอีก 3,400 บาท
  • กรณีที่ซื้อมาใช้งานหนักๆ แนะนำให้ซื้อรุ่น 128 GB เพราะ 32 GB แค่ลงแอป เก็บรูปก็หมดแล้ว

ข้อมูลเบื้องต้น iPad 6th Gen

ในแง่ของการออกแบบตัว iPad 6th Gen ไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนจากรุ่นเดิมมากนัก เนื่องจากยังคงใช้จอขนาด 9.7 นิ้ว ที่มีขอบจอหนาเช่นเดิม ทำให้ขนาดเครื่องอยู่ที่ 240 x 169.5 x 7.5 มิลลิเมตร น้ำหนัก 469 – 478 กรัม วางจำหน่ายด้วยกัน 3 สี คือ สีเงิน สีทอง และสีเทาสเปซเกรย์

สำหรับจอที่ใช้เป็นจอ Retina ที่เป็นแบบ IPS ความละเอียด 2048 x 1536 พิกเซล ความละเอียดเม็ดสี 264 ppi โดยพัฒนาขึ้นมาให้รองรับการใช้งานคู่กับ Apple Pencil เพิ่มจากเดิมที่รองรับเฉพาะใน iPad Pro เท่านั้น

รอบตัวเครื่องจะมีปุ่มปรับระดับเสียง และถาดใส่นาโนซิมการ์ด ทางฝั่งขวา ปุ่มเปิดปิดเครื่อง และช่องเสียบหูฟังด้านบน ส่วนด้านล่างเป็นช่องต่อสาย Lightning ขนาบด้วยลำโพงสเตอริโอ ในส่วนของล่างหน้าจอก็จะเป็น Toucd ID มาให้ใช้งานเช่นเดิม

ส่วนของสเปกทั่วไป iPad 6th Gen จะมากับหน่วยประมวลผล Apple A10 Fusion ขณะที่กล้องถ่ายภาพหลักความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รองรับการบันทึกวิดีโอระดับ Full HD ส่วนกล้องหน้าสำหรับใช้ FaceTime ความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล (HD)

เหมาะกับการใช้งานแบบใด

ในส่วนของการใช้งานโดยรวม iPad 6th จะเหมาะกับผู้เริ่มใช้งานแท็บเล็ต หรือกลุ่มผู้ที่ใช้เพื่อความบันเทิงเป็นหลัก ทั้งการท่องเว็บไซต์ รับชมภาพยนต์ เล่นโซเชียลมีเดียต่างๆ รวมถึงกลุ่มนักเรียน นักศึกษา ที่ใช้เพื่อจดบันทึก หรือวาดรูปแบบย่อๆ โดยไม่ได้เน้นเพื่อสร้างสรรค์ผลงาน

เพราะจากการพัฒนาของ iOS ที่ปัจจุบันเป็นเวอร์ชัน 11 ก็มีการเพิ่มการใช้งานแบบ MultiTask ให้ใช้งาน 2 แอปพร้อมกันได้ เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกเมื่อต้องการหาข้อมูล ควบคู่ไปกับการจดบันทึกเป็นต้น

เนื่องจากถ้าจะทำงานหนักๆ อย่างการสเก็ตซ์ภาพความละเอียดสูง หรือการแต่งรูปบน Photoshop แบบหลายๆเลเยอร์ หรือไฟล์ขนาดใหญ่ อาจจะต้องใช้งานบน iPad Pro ที่มีหน่วยประมวลผลที่แรงกว่า

ผู้ใช้ยอมจ่ายเพื่อแอปสำหรับ Apple Pencil

ข้อมูลจากแอปเปิลอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือ หลังจากที่ iPad Pro ที่ทำงานร่วมกับ Apple Pencil ออกมาจำหน่ายยอมดาวน์โหลดแอปพลิเคชันแบบเสียเงิน 3 อันดับแรก ต่างเป็นแอปที่ใช้งานควบคู่กับ Apple Pencil แสดงให้เห็นว่าผู้ใช้งาน Apple Pencil ต้องการหาแอปที่ไปรองรับการใช้งานได้แบบเต็มประสิทธิภาพ

ไม่ว่าจะเป็นแอปอย่าง Procreate ที่ใช้ในการวาดรูปภาพ ที่ผู้ใช้สามารถเลือกปรับลายเส้น เลือกสีมาใช้งานได้หลากหลาย ถือว่าเป็นแอปที่คู่กับการใช้งาน iPad Pro + Apple Pencil แน่นอน ซึ่งเมื่อนำมาใช้งานบน iPad 6th Gen ก็สามารถใช้งานคู่กันได้

ถัดมาคือแอปอย่าง Notability และ GoodNote 4 หรือสมุดจดบันทึกที่เหมาะสำหรับการใช้เพื่อจดข้อมูลลงบน iPad ที่ให้ความรู้สึกเหมือนเขียนอยู่บนกระดาษ หรือโปรแกรมระบายสีอย่าง Sketch ที่ช่วยให้เด็กๆได้เพลิดเพลินไปกับการระบายสีภาพต่างๆ

เทียบกับ iPad รุ่นปี 2017

ถ้ามองในแง่ของราคาแล้ว iPad (2018) จะมีระดับราคาที่ต่ำกว่า iPad (2017) อยู่ราว 1,000 บาทในแต่ละรุ่น ในขณะเดียวกันก็ได้ประสิทธิภาพการใช้งานที่ดีขึ้น โดยทาง Apple ระบุว่า จากการที่หันมาใช้หน่วยประมวลผล Apple A10 Fusion ทำให้ iPad (2018) ประมวลผลได้เร็วขึ้น 40% และการแสดงผลกราฟิกได้เร็วขึ้น 50%

โดยนอกเหนือจากการที่ตัวเครื่องประสิทธภาพสูงขึ้นแล้ว ก็จะมีความสามารถในการทำงานร่วมกับ Apple Pencil ที่สามารถใช้งานได้ไม่ต่างจากบน iPad Pro ดังนั้น เมื่อเทียบกับรุ่นของปี 2017 แล้วถือว่า iPad (2018) ให้ความคุ้มค่ามากกว่า ในระดับราคาที่ถูกกว่า

ราคาจำหน่าย iPad 6th Gen

iPad 6th Gen (2018) เริ่มวางจำหน่ายรุ่น Wi-Fi มาสักพักแล้วในราคาเริ่มต้น 11,500 บาท สำหรับรุ่น 32 GB และ 14,900 บาทสำหรับรุ่น 128 GB ทั้งนี้ ถ้าต้องการใช้งาน iPad คู่กับ Apple Pencil ต้องซื้อปากกาเพิ่มในราคา 3,400 บาท

ส่วนรุ่น Wi-Fi + Cellular เพิ่งเริ่มวางจำหน่ายในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาในรุ่น 32 GB ราคา 16,500 บาท และ 128 GB ราคา 19,900 บาท ซึ่งมีการทำโปรโมชันร่วมกับโอเปอเรเตอร์ลดสูงสุดถึง 7,500 บาท (เหลือ 9,900 บาท) เมื่อเปิดเบอร์ใหม่ย้ายค่ายเบอร์เดิมและเลือกใช้แพกเกจตามที่กำหนด

Gallery

]]>
Review : Microsoft Surface Pro 2017 สเปกใหม่ ลงตัวมากขึ้น https://cyberbiz.mgronline.com/review-surface-pro2017/ Mon, 16 Oct 2017 07:18:05 +0000 https://cyberbiz.mgronline.com/?p=27436

วันนี้ไมโครซอฟท์เปิดตัว New Surface Pro หรือแท็บเล็ตสายพันธุ์วินโดวส์รุ่นใหม่จากไมโครซอฟท์ (หลายคนเรียกว่าเป็น Surface Pro รุ่นที่ 5) ประจำปี 2017 ที่ทีมงานไซเบอร์บิซมองว่าเป็นรุ่นพัฒนาต่อยอด อัปสเปกเพิ่มจาก Surface Pro 4 โดยเฉพาะในส่วนอุปกรณ์เสริมอย่างปากกา Surface Pen ที่ถูกปรับปรุงใหม่ให้แม่นยำมากขึ้น รวมถึงตัวเครื่อง Surface เองที่ออกแบบมาได้ลงตัวพร้อมสเปกซีพียูเปลี่ยนไปใช้ตระกูล Kaby Lake (รุ่นที่ 7)

การออกแบบ

สำหรับการออกแบบ Surface Pro ยังคงเป็นวินโดวส์แท็บเล็ตที่สามารถใช้งานแบบโน้ตบุ๊กได้อย่างสมบูรณ์แบบเช่นเดิม โดยตัวเครื่องมาพร้อมหน้าจอแสดงผล PixelSense แบบสัมผัส 10 จุด ขนาด 12.3 นิ้ว ความละเอียด 2,736×1,824 พิกเซล ขนาดตัวเครื่องหนา 8.5 มิลลิเมตร พร้อมน้ำหนักประมาณ 770 กรัม

เหนือหน้าจอแสดงผลขึ้นไป ยังคงเป็นที่อยู่ของกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล รองรับวิดีโอคอลล์ที่ความละเอียดสูงสุด FullHD 1080p พร้อมไมโครโฟนแบบคู่ในตัวรวมถึงมีเซ็นเซอร์ตรวจจับใบหน้าเพื่อใช้ปลดล็อกตัวเครื่องผ่านฟีเจอร์ Windows Hello ใน Windows 10 และเซ็นเซอร์ตรวจวัดแสง รวมถึงภายในยังมีไจโรสโคปด้วย

นอกจากนั้นบริเวณขอบจอทั้งสองด้าน ไมโครซอฟท์เลือกติดตั้งลำโพงสเตอริโอ (ใช้เทคโนโลยี Dolby Audio Premium) ไว้ด้วย

ด้านหลัง วัสดุเป็นอะลูมิเนียมมาพร้อมขาตั้ง Kickstand อันเป็นเอกลักษณ์เด่นของไมโครซอฟท์ Surface โดยในรุ่นปี 2017 ขาตั้งจะกางออกได้ถึง 165 องศา ส่วนการปรับเปลี่ยนขาตั้งสามารถทำได้ 3 โหมดหลักได้แก่ 1.แล็ปท็อป เมื่อเชื่อมต่อกับคีย์บอร์ดจะใช้งานได้แบบโน้ตบุ๊ก 2.Studio ปรับ Kickstand ลงให้สุด 165 องศาสำหรับใช้งานวาดเขียน 3.แท็บเล็ต สามารถใช้งานเป็นแท็บเล็ตพกพาได้ปกติ

มาดูกล้องหลังจะมีความละเอียดอยู่ที่ 8 ล้านพิกเซลพร้อมออโต้โฟกัสและรองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียด FullHD 1080p พร้อมไมโครโฟนรับเสียงสเตอริโอติดตั้งอยู่ด้วย

ส่วนช่องใส่การ์ด MicroSD (จะใช้เพื่อเพิ่มความจุตัวเครื่องหรือใช้อ่านการ์ด MicroSD ปกติก็ได้) จะถูกติดตั้งอยู่ใต้ Kickstand

มาถึงพอร์ตเชื่อมต่อและปุ่มกดรอบตัวเครื่อง เริ่มจากด้านซ้ายมือจะเป็นช่องหูฟัง/Headset 3.5 มิลลิเมตร ถัดไปจะเป็นส่วนแม่เหล็กที่สามารถดูดปากกา Surface Pen ให้ติดกับตัวเครื่องได้ (หรือจะเรียกว่าที่เก็บปากกาก็ไม่ผิด)

ขวา เริ่มจาก Surface Connect สำหรับใช้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมและอะแดปเตอร์ชาร์จไฟบ้านของ Surface พอร์ต USB 3.0 จำนวน 1 ช่องและ Mini Display Port (ไม่รองรับการเชื่อมต่อ USB-C)

ด้านล่าง ตรงกลางจะเป็นช่องเชื่อมต่อกับคีย์บอร์ดเพื่อใช้งานในรูปแบบโน้ตบุ๊ก

ด้านบน เป็นปุ่มเพิ่มลดเสียงและปุ่มเปิดปิดเครื่อง

อุปกรณ์เสริม (จำหน่ายแยก)

มาดูอุปกรณ์เสริมของ Surface Pro 2017 กันบ้าง เริ่มจากคีย์บอร์ดจะเพิ่มรุ่น “Surface Pro Signature Type Cover” (ราคา 6,390 บาท) หุ้มด้วยผ้าวัสดุ Alcantara ตามภาพประกอบด้านบน

Surface Arc Mouse ใหม่ เมาส์ดีไซน์ล้ำจากไมโครซอฟท์ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานกับ Surface Pro และสามารถนำไปใช้งานกับโน้ตบุ๊กทั่วไปหรือพีซีที่ติดตั้ง Windows 10/8.1/8 ผ่านการเชื่อมต่อบลูทูธ โดยส่วนแบตเตอรีอัลคาไลน์ขนาด AAA สองก้อน

Surface Pen รุ่นใหม่ปี 2017 (ต้องซื้อแยกต่างหากในราคา 3,900 บาท) จะถูกอัปเกรดเรื่องการรองรับแรงกดได้มากถึง 4,096 จุดพร้อมปรับปรุงเรื่องการตอบสนองให้ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้า หัวปากกาขนาด HB ส่วนการเชื่อมต่อทำผ่านบลูทูธ แบตเตอรีใช้ถ่าน AAAA 1 ก้อน รองรับ Surface Pro ตั้งแต่รุ่น 3 ขึ้นไป

สเปก

สำหรับ Surface Pro รุ่นใหม่นี้จะวางตลาดด้วยสเปกซีพียูใหม่ 3 รุ่นย่อยได้แก่ Intel Core m3, i5 และ i7 (เจนเนอเรชั่น 7 ทั้งหมด) โดยรุ่นที่ทีมงานได้รับมาทดสอบวันนี้จะเป็นตัวกลางขับเคลื่อนด้วยซีพียู Intel Core i5 7300U ความเร็ว 2.60GHz กราฟิกการ์ดเป็นออนบอร์ด Intel HD Graphics 620 (ท็อปสุดสำหรับรุ่นซีพียู i7 จะเป็นการ์ดจอ Intel Iris Plus 640) พร้อมแรม DDR3 (Dual Channel) 8GB หน่วยเก็บข้อมูลเป็น SSD ความจุ 256GB (เหลือให้ใช้จริงประมาณ 190-200GB) มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Windows 10 Pro ตัวเต็ม พร้อมแถม Office ให้ใช้งานฟรี 30 วันด้วย

ด้านการเชื่อมต่อจะรองรับ WiFi มาตรฐาน 802.11 a/b/g/n/ac บลูทูธ 4.1 ไม่รองรับการใส่ซิมการ์ดโทรศัพท์ และไม่มี GPS นำทางในตัว

ฟีเจอร์เด่นและทดสอบประสิทธิภาพ

Surface Pro 2017 จะติดตั้ง Windows 10 Pro มาให้ ทำให้ผู้ใช้สามารถติดตั้งซอฟต์แวร์ที่รองรับ Windows ได้ปกติเช่น ชุดซอฟต์แวร์ Adobe, Office ได้แบบเดียวกับการใช้บนพีซีหรือโน้ตบุ๊กทั่วไป ส่วนซอฟต์แวร์พิเศษ เนื่องจาก Surface Pro เป็นของไมโครซอฟท์เพราะฉะนั้นการปรับตั้งค่าระบบต่างๆจะสามารถทำผ่านหน้า Settings ได้ทั้งหมด รวมถึงการกำหนดรูปแบบการใช้พลังงานเพื่อประหยัดแบตเตอรีก็สามารถทำผ่านส่วนไอคอนแบตเตอรีได้ทันที

ทดสอบประสิทธิภาพ : PCMark 10 = 2,894 คะแนน

ทดสอบประสิทธิภาพ : Geekbench 4 / Single Core = 4,071 คะแนน / Multi Core = 8,415 คะแนน

ทดสอบประสิทธิภาพ : Cinebench R15 / OpenGL = 43.02 เฟรมต่อวินาที / CPU = 343cb

มาดูด้านการทดสอบประสิทธิภาพ โดยรุ่นที่เราได้รับมาเป็น Core i5 7300U ประกบกราฟิก Intel HD Graphics 620 ซึ่งถือเป็นสเปกระดับกลาง ภาพรวมถือว่าสามารถตอบโจทย์การทำงานได้หลากหลายตั้งแต่ใช้พิมพ์งาน ตกแต่งภาพจากไฟล์ RAW ของกล้อง DSLR ไปถึงตัดวิดีโอ 1080p ทุกอย่างทำงานได้ลื่นไหล หน่วยเก็บข้อมูล SSD ทำงานได้รวดเร็วดี และสามารถเพิ่มความจุด้วย MicroSD เพื่อใช้สำหรับเก็บไฟล์งานได้ (แต่ไม่แนะนำให้ใช้เก็บโปรแกรมเพราะอ่านเขียนช้า)

ส่วนข้อสังเกตจะเป็นเรื่องของพอร์ตเชื่อมต่อที่มีให้เพียง USB 3.0 จำนวน 1 พอร์ตเท่านั้น (ถ้ามีอุปกรณ์ต่อพ่วงเยอะอาจต้องหาอุปกรณ์เสริมอย่าง Surface Dock มาใช้งาน) อีกทั้งตัวเครื่องยังไม่มี USB-C ที่เป็นมาตรฐานใหม่ของปีนี้ติดตั้งมาให้ด้วย

ด้านการใช้งานคีย์บอร์ดและปากกา เริ่มจากคีย์บอร์ด ทีมงานรู้สึกว่านอกจากพื้นผิว Alcantara ในคีย์บอร์ดเวอร์ชัน Signature Type Cover ที่สัมผัสแล้วรู้สึกกระชับมือ วางพิมพ์งานบนตักแล้วตัว Cover เกาะกับขาและกางเกงไม่ลื่นหล่นได้ดีมาก ส่วนแป้นพิมพ์ให้ความรู้สึกกดง่ายและแม่นยำมากขึ้น โดยเฉพาะส่วนทัชแพดที่ตอบสนองได้ดีมาก

ด้านปากกา Surface Pen นอกจากดีไซน์ที่ปรับเหมือนดินสอมากขึ้นแล้ว เรื่องสเปกฮาร์ดแวร์ภายยังถูกปรับปรุงให้ตอบสนองได้ดีขึ้นแถมรับแรงกดได้ละเอียดขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า ประสิทธิภาพถือว่าเทียบเท่าคู่แข่งแล้ว แถมตัวปากกายังมีฟีเจอร์เด่นอย่างท้ายปากกาเป็นยางสามารถใช้แทนยางลบดิจิตอลหรือแม้แต่หัวปากกาก็สามารถเปลี่ยนรูปแบบได้ทั้งเป็นแบบดินสอ HB/B หรือหัวปากกาลูกลื่น

สุดท้ายในส่วนของแบตเตอรีโดยทดสอบใช้งานเป็นโน้ตบุ๊กส่วนตัวเน้นพิมพ์งาน ต่อ WiFi เข้าเว็บไซต์ แชทและเล่นเกมฆ่าเวลาบ้างสลับตลอดทั้งวัน พบว่าเรื่องของแบตเตอรีทำได้น่าพอใจกว่ารุ่นก่อน โดยทีมงานทดสอบสามารถทำเวลาใช้งานได้มากถึง 9-11 ชั่วโมงเลยทีเดียว และอีกหนึ่งข้อดีของ Surface Pro ที่ถูกปรับระบบทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ Windows 10 มาให้เข้ากันมากขึ้นก็คือ เวลาเราเลิกใช้งานเครื่องเราสามารถกดปุ่มปิดเครื่องครั้งเดียวเพื่อสั่งให้หน้าจอดับแล้วเข้าโหมดสแตนบายได้ทันทีแบบเดียวกับแท็บเล็ตแอนดรอยด์หรือ iOS และสามารถปลุกเครื่องให้ตื่นได้ตลอดเวลาโดยไม่พบอาการเครื่องค้างให้เห็น อีกทั้งถ้าเรากดสแตนบายเครื่องเป็นเวลานานเกินไป ระบบจะพาตัวเองเข้าสู่ Hibernate อัตโนมัติ เวลาเปิดเครื่องใหม่ระบบบู๊ตค่อนข้างเร็วกว่ารุ่นที่แล้ว ทำให้การใช้งาน Surface Pro 2017 ไม่พบอาการสะดุดให้เห็นตลอดการทดสอบร่วม 2 อาทิตย์ (ทีมงานไม่เคยสั่งชัทดาวน์เครื่องเลย ส่วนใหญ่ใช้วิธีกดปุ่มปิด 1 ครั้งให้หน้าจอดับแล้วก็ใส่กระเป๋าทันที)

กล้องหน้า

กล้องหลัง

สุดท้ายในส่วนการทดสอบกล้องถ่ายภาพ เริ่มจากด้านหน้า คุณภาพถือว่าอยู่ในระดับพอใช้ไม่ค่อยคมชัดเมื่ออยู่ในที่แสงน้อย แต่เรื่องความลื่นไหลของภาพถือว่าทำได้ดี ส่วนกล้องหลังถือว่าคุณภาพกลางๆ ใช้แก้ขัดได้

สรุป

สำหรับราคา Surface Pro 2017 จะเริ่มต้นที่ 30,900 บาทไปจนถึงรุ่นท็อปสุด Intel Core i7/1TB SSD/16GB RAM/Iris Plus Graphics 640 อยู่ที่ราคา 101,900 บาท

Surface Pro 2017 ถือว่าเป็นแท็บเล็ตลูกผสมโน้ตบุ๊กสายพันธุ์ Windows 10 จากไมโครซอฟท์ที่เน้นการปรับปรุงด้านสเปกภายในที่มีให้เลือกหลากหลายระดับตั้งแต่ระดับเริ่มต้นไปถึงเน้นประสิทธิภาพสูง เน้นงานตัดต่อวิดีโอ 4K รวมถึงการปรับปรุงเรื่องฟีเจอร์ในแบบแท็บเล็ต เช่น การปิดเปิดเครื่องที่รวดเร็วกว่าโน้ตบุ๊กปกติและสามารถใช้งานได้ตลอดทั้งวันแบบไร้รอยต่อ สิ่งเหล่านี้ไมโครซอฟท์ปรับปรุงมาได้ดีมากขึ้น ผู้อ่านที่กำลังมองหาโน้ตบุ๊ก-แท็บเล็ตวินโดวส์เน้นน้ำหนักเบา พกพาง่ายแบบแท็บเล็ตแต่ประสิทธิภาพสูงสามารถใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์รองรับ Windows ได้แบบเดียวกับพีซี Surface Pro 2017 เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ

ส่วนผู้ใช้ที่เป็นแฟน Surface Pro อยู่แล้ว ต้องเรียนตามตรงเลยว่ารุ่นปี 2017 ถูกปรับปรุงเน้นความลงตัวและพยายามเป็นแท็บเล็ตไฮบริดที่สมบูรณ์มากกว่าเก่า จุดที่แตกต่างจากรุ่นเดิมจริงๆจะอยู่ที่ตัว m3 กับ i5 ที่ไม่มีพัดลมระบายความร้อนแล้วทำให้เครื่องทำงานเงียบมาก รวมถึงแบตเตอรีที่อึดขึ้น มองแล้วมีความเป็นแท็บเล็ตสูงกว่ารุ่นก่อน นอกนั้นจะแตกต่างจากเดิมไม่มากนัก ใครกำลังสนใจต้องลองช่างใจดูเองครับ

ข้อดี

– ปรับแต่งได้ลงตัวไม่ว่าจะใช้ในโหมดไหนก็ตาม
– ได้ Windows 10 Pro มาจากโรงงาน
– รุ่น m3 และ i5 ทำงานเงียบเพราะใช้ระบบระบายความร้อนแบบใหม่ ไร้พัดลม
– แบตเตอรีอึดกว่ารุ่นเดิมเกือบเท่าตัว
– ปากกา Surface Pen ใหม่ เขียนได้แม่นยำ ลื่นไหลขึ้นมาก

ข้อสังเกต

– กล้องหน้าและหลังคุณภาพแค่พอใช้
– ช่องเชื่อมต่อ USB ให้มาน้อย ไม่มี USB-C

Gallery

]]>