แม้ว่าใครหลายคนจะเคยใช้ Google Hangouts ในการใช้งานวิดีโอคอล หรือใช้ในการประชุมสายแบบกลุ่มผ่านพีซี หรือเว็บเบส แต่กูเกิลยังไม่เคยออกผลิตภัณฑ์ที่มาจับกลุ่มผู้ใช้งานวิดีโอคอลผ่านสมาร์ทโฟนอย่างจริงจังเลยในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เกิดแนวคิดในการสร้าง ‘Duo’ ขึ้นมาเพื่อจับกลุ่มผู้ใช้งานวิดีโอคอลแบบ 1:1 ผ่านสมาร์ทโฟนโดยเฉพาะ
แนวคิดในการพัฒนา ‘Duo’ เกิดขึ้นจากการการเห็นสถิติจากการสำรวจผู้ใช้บริการในสหรัฐฯ ของทางกูเกิลในเดือนก.ค. พบว่า 46% ของผู้ใหญ่ในสหรัฐไม่เคยใช้งานวิดีโอคอลเลย ในขณะที่ 7% ของผู้บริโภคในสหรัฐใช้งานวิดีโอคอลทุกๆวัน โดยผู้ที่ใช้งานวิดีโอมากที่สุดจะอยู่ในช่วงอายุ 25-34 ปี ซึ่งในกลุ่มนี้ 13% มีการใช้งานทุกวัน
โดยเหตุผลหลักที่คนสหรัฐไม่นิยมใช้งานวิดีโอคอล 34% ให้ความเห็นว่ามาจากปัญหาของเครือข่ายที่ใช้ในการเชื่อมต่อ ที่มักจะเจอปัญหาสายหลุดทำให้หงุดหงิดเมื่อใช้งานถึง และ 17% ไม่แน่ใจว่าจะสามารถใช้งานได้ นอกจากนี้ยังพบว่า 1 ใน 6 คน รู้สึกว่าการใช้งานวิดีโอคอลจะเป็นการบกวนผู้รับสาย
ขณะเดียวกันทางกูเกิลได้เปิดเผยข้อมูลถึง 8 สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ ‘Duo’ ว่า การใช้งานวิดีโอคอลจะกลายเป็นเรื่องง่ายในการสื่อสารระหว่างบุคคล โดยไม่ต้องกังวลว่าจะใช้งานอยู่บนการเชื่อมต่อ Wi-Fi หรือโมบายอินเทอร์เน็ต เพียงแค่คู่สนทนามีการใช้งาน ‘Duo’ ทั้งคู่ ก็สามารถติดต่อสื่อสารแบบเห็นหน้ากันได้ตลอดเวลา
1. Duo ถือเป็นแอปพลิเคชันวิดีโอคอลที่สร้างขึ้นมาให้ทุกคนใช้งานผ่านอุปกรณ์พกพา ทั้งบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android) 4.1 (Jelly bean) ขึ้นไป และไอโอเอส (iOS) 9.0 ขึ้นไป 2.การทำงานของ Duo จะอ้างอิงถึงเลขหมายโทรศัพท์ที่ใช้ในการลงทะเบียน และสามารถสั่งโทรผ่านสมุดรายชื่อในเครื่องได้ทันที
3.ฟีเจอร์ Knock Knock จะช่วยให้ปลายสายสามารถเห็นหน้าผู้ที่โทรมาก่อนกดรับสาย ซึ่งจะทำงานก็ต่อเมื่อเลขหมายของคู่สนทนาอยู่ในสมุดรายชื่อ (แต่สามารถเข้าไปเลือกปิดการใช้งานฟังก์ชันดังกล่าวได้เช่นเดียวกัน) อย่างไรก็ตามฟีเจอร์ดังกล่าวยังไม่รองรับการใช้งานบน iOS
4.Duo สามารถทำงานได้ทั้งบนการเชื่อมต่อ WiFi และ Mobile Data โดยสามารถสลับสัญญาณได้โดยที่สายไม่หลุด
5.Duo จะเน้นไปที่การให้บริการสนทนาแบบ 1:1 เท่านั้น ไม่ได้ให้บริการในแนวทางของการประชุมสาย 6.Duo ถูกออกแบบมาให้สามารถโทรออกได้ด้วยความรวดเร็ว โดยทางกูเกิลเคลมว่าเร็วกว่าผู้ให้บริการวิดีโอคอลส่วนใหญ่ในท้องตลาด แม้ว่าผู้ใช้จะเชื่อมต่อบนสถานที่ที่ไม่ค่อยมีสัญญาณอินเทอร์เน็ตก็ตาม 7.สามารถใช้งานบนเน็ต 2G ได้ 8.มีการเข้ารหัสการสนทนา ทำให้ไม่ต้องกลัวการดังฟังใดๆ
ความรู้สึกหลังลองใช้จริง
ทีมงาน Cyberbiz ได้เข้าร่วมการทดสอบของ Duo ก่อนเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการมาในช่วงระยะเวลาหนึ่ง พร้อมกับสื่อมวลชนกลุ่มเล็กๆ เพื่อให้ได้ทดสอบการใช้งานกันอย่างเต็มที่ ซึ่งแน่นอนว่า Duo สามารถทำได้ทุกอย่างตามที่ให้ข้อมูลไว้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานบนทั้ง 2 ระบบปฏิบัติการ
โดยทีมงานได้ลดลองลงใช้งานแอปพลิเคชันทั้งบนแอนดรอยด์ และ iOS ที่ใช้งานบน iPad ก็สามารถใช้งาน Duo ได้ตามปกติโดยใช้การยืนยันรหัสผ่านเลขหมายโทรศัพท์ที่ใช้บนสมาร์ทโฟน ดังนั้นถ้าต้องการใช้งาน iPad ให้สามารถโทรวิดีโอคอลหาเบอร์มือถืออื่นๆที่ใช้งาน Duo ได้ แอปพลิเคชันนี้ก็จะเข้ามาตอบโจทย์ดังกล่าว
ในแง่ของความเร็วในการโทร ได้มีการทดสอบผ่านทั้งบนการเชื่อมต่อ 2G 3G และ 4G ซึ่งความเร็วในการโทรถือว่ารวดเร็วตามที่บอกไว้ เพียงแต่คุณภาพของวิดีโอก็จะขึ้นอยู่กับความเร็วของอินเทอร์เน็ตที่เชื่อมต่อ ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อเน็ตช้าตัวแอปก็จะทำการลดความละเอียดในการส่งผ่านข้อมูลเพื่อให้การสื่อสารลื่นไหลมากที่สุด
สำหรับอินเตอร์เฟสในการใช้งาน จะเน้นไปที่ความเรียบง่ายเป็นหลัก โดยเมื่อเปิดแอปพลิเคชันขึ้นมาจะพบเพียงปุ่มกดโทรวิดีโอคอลเท่านั้น เมื่อกดเข้าไปก็สามารถเลือกคู่สนทนาได้จากรายชื่อในเครื่องได้ทันที หลังจากนั้นเมื่อกดโทรก็จะขึ้นหน้าต่างวิดีโอคอลขึ้นมาทันที ขณะที่ปลายสายก็จะเห็นวิดีโอของผู้ที่โทรมาเพื่อให้รู้ว่าใครเป็นคนโทรด้วย (ฟีเจอร์ Knock Knock)
ขณะที่ทำการสนทนาผู้ใช้สามารถเลือกสลับกล้องหน้า–หลัง ปิดไมค์ กดสลับลำโพงเครื่องกับหูฟัง (กรณีมีการเชื่อมต่อหูฟัง) รวมถึงกดสลับการแสดงผลให้เห็นหน้าคู่สนทนาแบบเต็มจอ หรือเห็นหน้าตนเองแบบเต็มจอแทนก็ได้เช่นเดียวกัน รวมถึงยังสามารถใช้สนทนาเฉพาะเสียงได้โดยการกดออกจากแอป (แต่ไม่ต้องวางสาย) และแน่นอนว่าเพื่อความง่ายจึงมีฟังก์ชันการใช้งานเพียงเท่านี้
แน่นอนว่าคู่แข่งรายสำคัญของ Duo คงหนีไม่พ้น Facetime ที่มีข้อจำกัดหลักอยู่ในเรื่องของการใช้งานได้เฉพาะบน iOS เท่านั้น ในขณะที่ Duo รองรับการใช้งานบน 2 ระบบปฏิบัติการ ที่สำคัญคือใช้งานได้รวดเร็วกว่า Facetime แต่อย่างไรก็ตาม Duo ก็มีข้อเสียตรงที่ใช้งานได้เฉพาะบนอุปกรณ์พกพาเท่านั้น
หลังจากนี้ ก็คงต้องลองดูกันว่า Duo จะได้รับความนิยมในประเทศไทย รวมถึงในอีกหลายๆประเทศทั่วโลกหรือ เพราะถ้ามองจากความง่ายในการใช้งาน ถือว่า Duo ทำออกมาได้ตอบโจทย์ แต่การที่จะให้คนเปลี่ยนมาใช้งานผ่าน Duo แทนแอปเดิมที่ใช้กันอยู่ทั้ง Facebook LINE หรือ Facetime สำหรับคนที่ใช้ iOS อยู่แล้ว ถือเป็นสิ่งที่น่าจับตามอง