Wiko Fever ถือเป็นหนึ่งในแอนดรอยด์โฟนที่น่าสนใจ กับราคาเครื่อง 6,990 บาท แต่รองรับการใช้งาน 4G กับสเปกเครื่องระดับกลางๆ ที่เหมาะกับการใช้งานทั่วๆไป ที่สำคัญคือเรื่องของตัวเครื่องที่มีการนำอะลูมิเนียมมาใช้งาน ผสมกับฝาหลังพลาสติกที่ทำลายเป็นหนังให้จับได้ถนัดมือมากขึ้น
นอกจากนี้ ก็ยังมีในส่วนของกล้องความละเอียด 13 ล้านพิกเซล กล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชหน้าหลัง และมาพร้อมกับแอนดรอยด์ 5.1 Lollipop กับหน้าจอขนาด 5.2 นิ้ว ความละเอียด Full HD ทำให้โดยรวมแล้ว Wiko ทำการบ้านมาค่อนข้างดีกับเครื่องรุ่นนี้ อยู่ที่ว่าจะทำให้ลูกค้าเชื่อใจในแบรนด์ได้มากขึ้นอย่างไร
การออกแบบ
ตัวเครื่อง Fever ออกแบบมาได้น่าสนใจเมื่อเทียบกับราคา เนื่องจากตัวเครื่องมีการใช้อะลูมิเนียมรอบตัวเครื่อง ขณะที่กระจกแผ่นหน้าบริเวณขอบก็โค้งรับกับขอบเครื่องพอดี ทำให้เวลาใช้งานทำได้ลื่นดี เพียงแต่ว่ายังมีการเว้นพื้นที่บริเวณบนและล่างตัวเครื่องมากเกินไป ทำให้ตัวเครื่องดูยาวกว่าปกติ โดยขนาดรอบตัวอยู่ที่ 148 x 73.8 x 8.3 มม. น้ำหนัก 143 กรัม มีให้เลือกด้วยกัน 2 สี คือ สีดำ สีขาว และ สีทอง
ด้านหน้า – จะมีหน้าจอทัชสกรีนแบบ IPS ขนาด 5.2 นิ้ว ความละเอียด Full HD (1920 x 1080 พิกเซล) โดยมีช่องลำโพงสนทนาอยู่ตรงกึ่งกลางบน ขนาบด้วยกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล และไฟแฟลช พร้อมกับสัญลักษณ์ ‘Wiko’ ที่มุมซ้ายบนน ส่วนล่างหน้าจอจะถูกปล่อยว่างไว้ เพราะปุ่มสั่งงานต่างๆรวมอยู่ในหน้าจอสัมผัสแล้ว
ด้านหลัง – บริเวณฝาหลังจะเป็นพลาสติกทำเป็นลายหนัง ทำให้สัมผัสแล้วไม่ลื่นหลุดมือ โดยมีสัญลักษณ์ ‘Wiko’ สีเงินตรงกึ่งกลาง กล้องความละเอียด 13 ล้านพิกเซล และไฟแฟลชที่มุมซ้ายบน ส่วรล่างตัวเครื่องจะมีช่องลำโพงอยู่ ขณะที่ช่องสำหรับงัดฝาหลังจะอยู่เยื้องมาทางซ้ายล่าง
เมื่อแกะฝาหลังออกมาจะพบกับแบตเตอรีขนาด 2,900 mAh ที่ไม่สามารถถอดเปลี่ยนได้ โดยมีช่องใส่ไมโครซิมการ์ด 2 ช่อง และไมโครเอสดีการ์ด รองรับสูงสุด 64 GB อยู่ส่วนบน
ด้านซ้าย – จะถูกปล่อยว่างไว้ ด้านขวา – เป็นปุ่มปรับระดับเสียงและปุ่มเปิด–ปิดเครื่อง
ด้านบน – เป็นช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. ด้านล่าง – มีช่องไมโครยูเอสบี และไมโครโฟน
อย่างไรก็ตาม แม้ทาง Wiko จะชูจุดเด่นในเรื่องของ ตัวเครื่องเรืองแสงในความมือ (Glow in the Dark) แต่จากเครื่องที่ได้มาทดสอบเป็นเครื่องสีดำ ทำให้อาจจะเห็นการเรืองแสงไม่ชัดเจน อาจจะต้องรอดูในตัวเครื่องสีขาว หรือ สีทองแทน ว่าจะเหมือนกับที่โฆษณาไว้หรือไม่
นอกจากนี้ ภายในกล่องของ Wiko Fever จะมาพร้อมกับอุปกรณ์เสริม อย่างที่ชาร์จ สายยูเอสบี ฟิลม์กันรอย เคสใส และตัวแปลงซิมการ์ดเผื่อมาให้ด้วย
สเปก
สำหรับสเปกเครื่องของ Wiko Fever ทำงานบนหน่วยประมวลผลจาก MediaTek MT6753 ที่เป็น Octa-core 1.3 GHz 64บิต ใช้หน่วยประมวลผลภาพ Mali-T720 RAM 3GB พื้นที่เก็บข้อมูลภายในตัวเครื่อง 16 GB สามารถใส่ไมโครเอสดีการ์ดได้สูงสุด 64 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอดย์ 5.1 (Lollipop)
ขณะที่ในแง่ของการเชื่อมต่อ ตัวเครื่องรองรับการใช้งาน 2 ซิม เพียงแต่เฉพาะซิมหลักเท่านั้นที่ใช้งาน 3G/4G ได้ทุกเครือข่ายในประเทศไทย โดยเป็น LTE Cat4 ดาวน์โหลดสูงสุด 150 Mbps อัปโหลดสูงสุด 50 Mbps ขณะที่การเชื่อมต่อไวเลส รองรับมาตรฐาน 802.11 b/g/n บลูทูธ 4.0 จีพีเอส วิทยุFM และรองรับการใช้งาน USB OTG
ฟีเจอร์เด่น
การออกแบบอินเตอร์เฟสการใช้งานของ Wiko Fever จะเน้นไปที่การใช้งานง่ายไม่ซ้ำซ้อน ผู้ใช้สามารถตั้งลูกเล่นการปรับหมุนหน้า เปลี่ยนภาพพื้นหลังต่างๆได้เอง โดยตัวเครื่องจะไม่มีหน้ารวมแอปฯมาให้ ดังนั้นการเข้าถึงแอปจึงทำได้จากการปัดหน้าแรกไปยังแอปที่ต้องการได้ทันที ถ้ากลัวมีหน้ามากเกินไปก็สามารถจัดหมวดหมู่แอปรวมเข้าไปไว้ในโฟลเดอร์ได้
ในส่วนของการล็อกหน้าจอก็เป็นตามมาตรฐานของแอนดรอดย์ผู้ใช้สามารถเข้าไปเลือกรูปแบบการล็อกหน้าจอแบบใส่รหัสหรือจะใช้แค่การปัดเพื่อปลดล็อกก็ได้ การแสดงข้อมูลในหน้าจอล็อกจะมีจุดที่น่าสนใจนอกจากการแจ้งเตือนทั่วไปแล้ว เวลาเสียบสายชาร์จจนเครื่องชาร์จเต็ม จะมีบอกระยะเวลาการใช้งานเครื่องให้ด้วยว่าสามารถใช้สนทนาได้กี่ชั่วโมง เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตใช้งานได้กี่นาที รวมถึงพยากรณ์อากาศในวันนั้นๆด้วย
ถัดมาส่วนของแถบการแจ้งเตือนด้านบนผู้ใช้ยังสามารถเข้าไปปรับตั้งค่าด่วนได้อย่างการปรับความสว่างหน้าจอเปิดปิดการเชื่อมต่ออย่างไวไฟบลูทูธดาต้าจีพีเอสไฟฉายหมุนหน้าจอและโหมดประหยัดพลังงานเพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้งานเพียงแต่ผู้ใช้ไม่สามารถจัดเรียงด้วยตนเองได้นอกจากนี้จากระบบของแอนดรอยด์รุ่นใหม่ๆทำให้สามารถใช้งานบางแอปพลิเคชันแบบลอยตัวได้อย่างเช่นเครื่องคิดเลข
ตัวแอปที่ติดตั้งมาให้ในเครื่องจะเป็นแอปทั่วๆไปในการใช้งาน ไม่มีการพรีโหลดแอปพลิเคชันที่ไม่จำเป็นมาให้ รวมถึงแอปเกี่ยวกับโซเชียลเน็ตเวิร์กต่างๆด้วย ดังนั้นจึงต้องเข้าไปทำการดาวน์โหลดเพิ่มเอง ขณะที่แอปที่ติดตั้งมาให้ก็จะเป็นพวกตัวจัดการไฟล์ เครื่องอัดเสียง ไฟฉาย เป็นต้น
ในส่วนของโหมดกล้องจะเน้นความง่ายในการใช้งานเช่นเดียวกัน โดยมีไอค่อนชัตเตอร์ภาพนิ่ง และบันทึกวิดีโอให้กดที่ฝั่งขวา ส่วนฝั่งซ้ายไว้สำหรับ หมุนกล้อง ปรับแฟลช เลือกโหมดถ่ายภาพ ที่มีให้เลือกทั้ง อัตโนมัติ โปร พาโนราม่า กลางคืน ชดเชยแสง หน้าสวย ถ่ายกล้องคู่ และโหมดกีฬา
โดยในโหมด Pro จะเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ปรับตั้งค่าความไวแสง (ISO) สมดุลแสงขาว (White Balance) ความคมชัด อุณหภูมิสี และปรับค่าชดเชยแสง เพื่อให้ได้ภาพในโทนแสงที่ต้องการ ส่วนการตั้งค่าอื่นๆก็จะมีอย่างระบบสัมผัสหน้าจอเพื่อถ่ายภาพ ปิดเสียงชัตเตอร์ ตั้งเวลาถ่ายภาพ ตั้งปุ่มปรับระดับเสียงเป็นปุ่มถ่ายภาพ หรือซูม และเลือกความละเอียดของทั้งวิดีโอ และภาพนิ่ง
ถัดมาคือโหมดการใช้งานโทรศัพท์ ก็จะใช้ดีไซน์มาตรฐาน มีระบบคาดเดารายชื่อจากเลขหมายที่กด ขณะสนทนาจะมีแสดงชื่อ เบอร์ เวลาใช้สาย พร้อมไอค่อนลัดในการเปิดลำโพง ปิดไมค์ เรียกปุ่มกด พักสาย เพิ่มสาย และบันทึกเสียงด้วย ส่วนหน้าจอสายเรียกเข้าจะเป็นแบบวงกลมให้ปัดเลือกรับสาย ตัดสาย และส่งข้อความกลับได้
การใช้งานเว็บเบราว์เซอร์จะใช้โครมเบราว์เซอร์เป็นมาตรฐาน และด้วยความละเอียดหน้าจอขนาด Full HD ในขนาด 5.2 นิ้ว ทำให้การอ่านข้อมูลต่างๆจำเป็นต้องซูมเข้ามาอ่านใกล้ๆแทน แต่โดยรวมการตอบสนอง การใช้งานถือว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน เมื่อเทียบกับราคาเครื่องที่จ่ายไป
แป้นพิมพ์ที่ติดมาในเครื่องจะเป็นมาตรฐานของแอนดรอยด์อยู่แล้ว ผู้ใช้สามารถเข้าไปเลือกเพิ่มภาษาไทยได้ทันที และสามารถกดเปลี่ยนภาษาได้ที่ปุ่มลูกโลก เพียงแต่คีย์บอร์ดจะมีขนาดเล็กไปสักหน่อย ดังนั้นถ้าใช้แล้วไม่คุ้นก็สามารถเปลี่ยนเป็นคีย์บอร์ดอื่นได้จากในเพลยสโตร์
ทดสอบประสิทธิภาพ
มาถึงส่วนของผลการทดสอบ ผ่านโปรแกรมทดสอบประสิทธิภาพบนแอนดรอยด์อย่าง Quadrant Standard และ Antutu ได้คะแนน 35,248 คะแนน และ 20,331 คะแนน ตามลำดับ หน้าจอรองรับการสัมผัส 5 จุดพร้อมกัน
ทดสอบการใช้งาน HTML 5 ผ่าน Vellamo จากโครมเบราว์เซอร์ 2,619 คะแนน แอนดรอยด์เว็บวิวได้ 2,386 คะแนนส่วนประสิทธิภาพตัวเครื่องได้ (Metal) 1,068 คะแนน Multicore 1,482 คะแนน คะแนน Geek Bench 3 Single-Core 620 Multi-Core 2,673 คะแนน
ระยะเวลาการใช้งานบนแบตเตอรีต่อเนื่องอยู่ที่ 8 ชั่วโมง 53 นาที 40 วินาที คิดเป็นคะแนนของ Geekbench 3 ได้ 3,624 คะแนน
ขณะที่การทดสอบด้วยโปรแกรม PCMark ในส่วนของ Work Performance ได้ 3,739 คะแนน 3D Mark ตัว Sling shot ES3.1 ได้ 183 คะแนน Sling shot ES3.0 ได้ 281 คะแนน Ice Storm Unlimited ได้ 6,849 คะแนน ส่วน Ice Storm Extreme 4,385 คะแนน และ Ice Storm 7,593 คะแนน
ส่วน Passmark Performance Test Mobile ได้คะแนน System 4,476 คะแนน CPU 77,189 คะแนน Disk 36,152 คะแนน Memory 4,959 คะแนน 2D Graphics 2,901 คะแนน และ 3D Graphics 1.135 คะแนน
สรุป
แม้ว่าจุดเด่นอย่างเรื่องของขอบตัวเครื่องเรืองแสงจะไม่ชัดเจนมากนักกับ Wiko Fever แต่โดยรวมแล้วถือว่าทาง Wiko ออกราคา และตัวเครื่องมาได้จับตลาดกลุ่มที่ไม่ต้องการสมาร์ทโฟนราคาแพง แต่เพียงพอกับการใช้งานได้เป็นอย่างดี จากการที่เครื่องทั้งรองรับ 4G และมีหน่วยประมวลผลที่เหมาะกับการใช้งานทุกรูปแบบ
อย่างไรก็ตาม ถ้ามองไปในตลาดอาจจะเจอคู่แข่งที่อยู่ในช่วงระดับราคาเดียวกันแต่มีขนาดหน้าจอใหญ่กว่า ตรงจุดนี้ก็อยู่กับทางผู้บริโภคแล้วว่าต้องการเครื่องหน้าจอใหญ่ หรือเครื่องหน้าจอขนาดพอดีมือ ถือจับใช้งานได้ง่าย ที่สำคัญคือตัวแอนดรอยด์ที่ลงมาค่อนข้างโล่ง และลื่นมาก