การมาของ Galaxy S6edge+ เหมือนเป็นการออกมาจับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการสมาร์ทโฟนหน้าจอใหญ่ในดีไซน์ที่ไม่เหมือนใคร แตกต่างจากกลุ่มลูกค้า Note 5 ที่มีความต้องการชัดเจนในเรื่องของการนำ S-Pen มาใช้งาน ทำให้กลุ่มลูกค้า 2 ส่วนนี้แยกกันอย่างชัดเจน
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าด้วยประสิทธิภาพภายในของ S6edge+ และ Note 5 จะไม่แตกต่างกันมากนัก เพียงแต่ในส่วนของ S6edge+ จะเพิ่มมาด้วยความพิเศษของ EDGE Screen ที่แตกต่างออกไป และมีการพัฒนาเพิ่มขึ้นจาก S6edge ปกติด้วย
ส่วนที่ซัมซุงพยายามชูขึ้นมาอีกจุดก็คือเรื่องของการถ่ายภาพจากกล้องความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ในการบันทึกภาพในโหมด Pro ที่ผู้ใช้สามารถปรับความเร็วของชัตเตอร์ได้เอง พร้อมกับฟีเจอร์อื่นๆที่โดดเด่นใน S6 และ Note 5
การออกแบบและสเปก
ในแง่ของการออกแบบ S6edge+ อาจจะไม่แปลกใหม่ เพราะก่อนหน้านี้ซัมซุงเพิ่งออก S6edge เข้าสู่ตลาด พอมาถึง S6edge+ จึงเหมือนเป็นการเพิ่มขนาดหน้าจอเข้าไปเท่านั้น ส่วนที่เหลือเหมือนเดิมทั้งหมด โดยเป็นเครื่องที่มีจอโค้งทั้งฝั่งซ้ายและขวา
ขณะเดียวกันก็มีการนำกระจก Gorilla Glass 4 มาใช้งานทั้งหน้าและหลัง ทำให้เวลาถือจับหลังเครื่องอาจจะมีรอยนิ้วมือได้ง่าย ทั้งนี้ S6edge+ มีวางจำหน่ายด้วยกัน 2 สี คือทอง และเงิน ขนาดรอบตัวอยู่ที่ 154.4 x 75.8 x 6.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 153 กรัม
ด้านหน้า – จะเห็นจอ SuperAMOLED ที่เป็น dual edge ขนาด 5.7 นิ้ว ความละเอียด Quad HD (2,560 x 1,440 พิกเซล) ความละเอียดเม็ดสี 518 ppi โดยส่วนบนหน้าจอจะมีช่องลำฉพงสนทนาสีเงินตัดกับตัวเครื่อง และมีเซ็นเซอร์ตรวจวัดแสง และตรวจจับใบหน้าอยู่ กับกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ล่างหน้าจอจะมีพร้อมกับปุ่มโฮม ที่เป็นจุดสแกนลายนิ้วมือ กับปุ่มย้อนกลับ และเรียกดูแอปพลิเคชันที่ใช้งานล่าสุด
ด้านหลัง – อย่างที่กล่าวไปว่าซัมซุงเลือกนำกระจกมาใช้งานเพิ่มความสวยงามให้กับตัวเครื่อง จะมีบริเวณกล้องที่นูนออกมาจากตัวเครื่องเล็กน้อย โดยกล้องที่ให้มาความละเอียด 16 ล้านพิกเซล โดยมีไฟแฟลชอยู่ด้านข้าง พร้อมกับเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ภายใน S6edge+ มาพร้อมกับแบตเตอรีขนาด 3,000 mAh รองรับการใช้งาน Wireless Charge ด้วย
ด้านซ้าย – จะมีปุ่มปรับระดับเสียง ด้านขวา – เป็นปุ่มเปิดปิดเครื่อง เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่ถูกจอโค้งกินบริเวณไป
ด้านบน – มีช่องสำหรับใส่นาโนซิมการ์ดที่ต้องใช้เข็มจิ้มถาดซิมออกมา และไมโครโฟนตัวที่ 2 ด้านล่าง – จะมีทั้งพอร์ตไมโครยูเอสบี ช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. และลำโพง ทั้งนี้บริเวณด้านบนและล่างจะมีส่วนที่เป็นขีดสำหรับรับสัญญาณโทรศัพท์อยู่ด้วย
สเปก
สำหรับสเปกภายในของ S6edge+ จะมาพร้อมกับชิปเซ็ต Exynos 7420 ที่เป็น Octa-Core (Quad 2.1 GHZ + Quad 1.5 GHz) RAM 4 GB พื้นที่เก็บข้อมูลภายในเครื่องมีให้เลือกทั้ง 32 GB และ 64 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 5.1.1 Lolipop
ด้านการเชื่อมต่อรองรับ 3G ความเร็วในการดาวน์โหลด และอัปโหลดสูงสุด 42.2 / 5.76 Mbps 4G LTE Cat 9 450 / 50 Mbps ส่วน WiFi รองรับมาตรฐาน 802.11 a/b/g/n/ac และแบบ dual band บลูทูธ 4.2 พร้อม NFC GPS
ฟีเจอร์เด่น
แน่นอนว่ารูปแบบการใช้งานของ S6edge+ นั้นแทบจะไม่แตกต่างจาก S6edge หรือ Note 5 ที่ออกมาวางจำหน่ายก่อนหน้านี้มากนัก โดยเฉพาะในแง่ของรูปแบบการใช้งานทั่วไป ทั้งอินเตอร์เฟสในการใช้งานที่เป็น TouchWIz รวมถึงประสิทธิภาพในการใช้งานโดยรวม
แต่สิ่งที่พิเศษเพิ่มขึ้นมาใน S6edge+ คือเรื่องของหน้าจอ Edge Screen ที่จากเดิมใน S6edge จะเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถนำรายชื่อผู้ติดต่อหลัก 5 รายมาใส่เพื่อเป็นทางลัดในการติดต่อได้ แต่ในเวอร์ชันของ S6edge+ มีการเพิ่มอีกหน้าจอให้สามารถใส่แอปพลิเคชันที่ใช้งานบ่อยเพิ่มขึ้นมา
แน่นอนว่า อาจจะมองว่าเป็นความสามารถเล็กๆ ที่เพิ่มขึ้นมา แต่แสดงให้เห็นว่าในอนาคต ตรงส่วนขยายของจอที่เป็น EDGE Screen จะมีความสามารถในการใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน จากปัจจุบันที่ใช้เป็นพื้นที่แสดงความสวยงามของตัวเครื่อง แสดงเวลาตอนกลางคืน และแสดงการแจ้งเตือนต่างๆ
โดยในจุดนี้ผู้ใช้สามารถเข้าไปตั้งค่า EDGE Screen ได้ทั้งเลือกฝั่งที่ต้องการใช้งาน เลือกจุดสำหรับลาก EDGE Screen ออกมา โดยผู้ใช้สามารถเลือกสลับขึ้นลงได้ รวมถึงตั้งได้ว่าจะให้มีการแจ้งเตือนสิ่งใดบ้าง
ถัดมาในส่วนของกล้องอย่างที่บอกไปว่า อินเตอร์เฟส การใช้งานโดยรวมจะเหมือนกันรุ่นที่ออกมาก่อนหน้านี้ แต่ที่พัฒนาเพิ่มขึ้นมาคือในส่วนของโหมด Pro ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถตั้งความเร็วชัตเตอร์ได้เอง (ใน Note 5 ก็ปรับได้เช่นเดียวกัน) ส่วนโหมดถ่ายภาพอื่นๆอย่างเลือกจุดโฟกัส พาโนราม่า ถ่ายวิดีโอแบบรวมภาพ ตั้งถ่ายทอดสดผ่านยูทูป วิดีโอแบบช้า และเร็วก็ยังมีให้เลือกใช้งานอยู่
ขณะที่แอปพลิเคชันที่ติดตั้งมาให้ในเครื่องก็จะเป็นแอปพลิเคชันสมาร์ทโฟนทั่วไปอย่างโทรศัพท์ รายชื่อ ข้อความ เบราว์เซอร์ อีเมล รูปภาพ กล้อง เพลง วิดีโอ เครื่องคิดเลข นาฬิกา พร้อมกับบริการต่างๆของกูเกิลอย่าง โครมเบราว์เซอร์ แผนที่ ยูทูป เพลยสโตร์ กับแอปของทางซัมซุงอย่างตัวบริหารจัดการเครื่อง กาแล็กซีแอป และที่สำคัญคือ Galaxy Gift
Smart Manager ทำหน้าที่ไว้คอยบริการจัดการพลังงาน ROM และ RAM ของตัวเครื่อง ถ้ารู้สึกเครื่องช้าสามารถเข้ามากดล้างข้อมูลตรงนี้ได้ ส่วน SideSync ช่วยให้ผู้ที่ใช้งานสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และพีซี สามารถสั่งานเครื่องผ่านอุปกรณ์อื่นได้ และสุดท้ายคือ Galaxy Gift ที่เป็นแหล่งรวมข้อเสนอพิเศษสำหรับลูกค้าซัมซุง
ในส่วนของ S-Health นอกเหนือไปจากการวัดอัตราการเต้นของหัวใจแล้ว ยังสามารถใช้วัดระดับความเครียด ปริมาณออกซิเจน และยังใช้บันทึกข้อมูลความดัน และค่าน้ำตาลในเลือดเพิ่มเติมจากอุปกรณ์อื่นได้ เพื่อนำมาใช้ในการบันทึกข้อมูลด้านสุขภาพ รวมไปกับข้อมูลการออกกำลังกาย
ส่วนการใช้งานทั่วๆไปอย่างหน้าจอการโทรศัพท์ การใช้งานเว็บเบราว์เซอร์ ปุ่มคีย์บอร์ดที่ให้มา ถือว่าเป็นไปตามมาตรฐานของซัมซุงทั้งหมด ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรที่ชัดเจนในเครื่องรุ่นนี้
เช่นเดียวกับหน้าจอการตั้งค่า ที่ให้ผู้ใช้สามารถเลือกการตั้งค่าด่วนที่ใช้ประจำขึ้นมาไว้ข้างบนได้ ที่เหลือก็จะมีการแบ่งการตั้งค่าเป็นการเชื่อมต่อ อุปกรณ์ ผู้ใช้ และระบบเช่นเดิม ผู้ใช้สามารถเข้าไปปรับแต่งค่าต่างๆได้ตามต้องการ
ตัวลูกเล่นพิเศษที่เพิ่มขึ้นมาอย่างการนำโทรศัพท์แนบหูเพื่อโทรออกทันที ปาดหน้าจอเพื่อจับภาพหน้าจอ คว่ำเครื่องเพื่อปิดเสียง การใช้ลายนิ้วมือปลดล็อกเครื่อง และระบบประหยัดพลังงานขั้นสูง รวมถึงการย่อขนาดหน้าจอ (กดปุ่มโฮมติดกัน 3 ครั้ง) เพื่อให้ใช้งานมือเดียว การปรับสีหน้าจอก็ยังมีมาให้ใช้งานเหมือนเดิม
ทดสอบประสิทธิภาพ
มาถึงส่วนของผลการทดสอบ ผ่านโปรแกรมทดสอบประสิทธิภาพบนแอนดรอยด์อย่าง Quadrant Standart และ Antutu 32bit และ 64bit ได้คะแนน 31,481 คะแนน 61,564 คะแนน และ 67,624 คะแนน ตามลำดับ หน้าจอรองรับการสัมผัส 10 จุดพร้อมกัน
ทดสอบการใช้งาน HTML 5 ผ่าน Vellamo จากเว็บเบราว์เซอร์ได้ 5,061 คะแนน โครมเบราว์เซอร์ 5,145 คะแนน และ WebView 5,022 คะแนน ส่วนประสิทธิภาพตัวเครื่องได้ (Metal) 2,465 คะแนน Multicore 3,255 คะแนน คะแนน Geek Bench 3 Single-Core 1,158 Multi-Core 3,766 คะแนน
ระยะเวลาการใช้งานบนแบตเตอรีต่อเนื่องอยู่ที่ 9 ชั่วโมง 30 วินาที คิดเป็นคะแนนของ Geekbench 3 ได้ 4,952 คะแนน
ขณะที่การทดสอบด้วยโปรแกรม PCMark ในส่วนของ Work Performance ได้ 5,252 คะแนน 3D Mark ตัว Sling shot ES 3.1 ได้ 1,246 คะแนน Sling shot Unlimited Es 3.0 1,613 คะแนน Ice Storm Unlimited ได้ 17,058 คะแนน ส่วน Ice Storm Extream และ Ice Storm คะแนนทะลุเกินไป
ส่วน Passmark PerformanceTest Mobile ได้คะแนน System 8,141 คะแนน CPU 168,611 คะแนน Disk 69,084 คะแนน Memory 6,681 คะแนน 2D Graphics 5,150 คะแนน และ 3D Graphics 2,249 คะแนน
สรุป
แม้จะรู้สึกว่าซัมซุงเพิ่งออกแฟลกชิปในกลุ่มสมาร์ทโฟนอย่าง S6 และ S6edge ไปไม่ทันไร ก็มีรุ่นใหม่อย่าง S6edge+ มาวางจำหน่ายเพิ่มแล้ว ขณะเดียวกันก็เป็นขนาดหน้าจอเดียวกับ Note 5 ทำให้เชื่อว่ากลุ่มลูกค้าที่กำลังตัดสินใจซื้อสมาร์ทโฟนระดับไฮเอนด์น่าจะปวดหัวกันพอสมควรว่าจะเลือกรุ่นไหนดี
ถ้าให้มองในระหว่าง 3 รุ่นนี้ ต้องแยกออกเป็น 2 ส่วนคือ ต้องการจอใหญ่ หรือจอขนาดเหมาะมือ ถ้าต้องการจอใหญ่ก็จะต้องเลือกต่อว่าต้องการใช้ปากกาหรือไม่ ถ้าไม่ก็ออกที่ S6edge+ ถ้าปากกาก็ออกที่ Note 5 แต่ถ้าต้องการเครื่องขนาดพอดีมือ S6edge ก็ยังถือเป็นรุ่นที่น่าสนใจอยู่
เพราะประสิทธิภาพโดยรวมของเครื่องทั้ง 3 รุ่นนั้นแทบจะไม่แตกต่างกัน ดังนั้นกับการเปิดราคาของ S6edge+ ที่ 26,900 บาท สูงกว่า Note 5 ที่ 25,900 บาท และ S6edge ที่ปรับราคาลงมาเหลือประมาณ 23,900 บาท ก็ทำให้ต้องตัดสินใจว่าอยากได้เครื่องแบบใดมากกว่ากัน